ติดตามสถานะการณ์

Clima Extremo 24

สหรัฐอเมริกา
เหลือเชื่อ! พวยน้ำ ในมาราธอน, ฟลอริดา

 

Clima Extremo 24

อิตาลี
การมาถึงของพายุลูกเห็บในไม่กี่นาทีจะกลายเป็นลูกเห็บรุนแรงที่กระทบ Viverone, 16 มิถุนายน

 

Clima Extremo 24

อิตาลี
พายุลูกเห็บขนาดใหญ่กระทบ Viverone, 16 มิถุนายน

 

Clima Extremo 24

MEXICO

คลื่นความร้อนในวันอาทิตย์นี้จะพบในหลายพื้นที่ทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ โดยคาดว่าจะมีอุณหภูมิสูงสุด35-42ºC
มีฝนตกอย่างรุนแรงคาดว่าจะเกิดในโกอาวีลา(Coahuila) ดูรังโก(Durango) จาลิสโก(Jalisco) โกเกร์เรโร(Guerrero) มอเรโลส(Morelos) ปวยบลา(Puebla) โออาซากา(Oaxaca) เวรากรูซ (Veracruz) และเชียปัส(Chiapas)

 

Clima Extremo 24

สวัสดีตอนเย็นทุกคน ..

ที่นี่ฉันจะให้คุณพิสูจน์ข้อมูลจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคูเวตคลื่นความร้อนและสิ่งที่เกิดขึ้นข้อมูลถูกนำมาจากผู้ให้บริการข่าวสองราย ฉันมักจะตรวจสอบข้อมูลมากกว่าหนึ่งหน้าเสมอ เพื่อให้แน่ใจในข้อมูล มันไม่ได้มาจากสิ่งพิมพ์ของตัวเอง มันถูกนำมาจากข้อมูลของแหล่งข่าว, หน้าพยากรณ์อากาศสุดขั้วไม่ได้เป็นแท็บลอยด์, ฉันไม่เผยแพร่ความคิดของตัวเอง หรือมันถูกคิดค้นขึ้นมา, ทุกอย่างถูกนำมาจากข่าวอิสระ, ข่าว, คนอิสระที่เผยแพร่และแบ่งปัน กิจกรรมผ่านภาพถ่ายและวิดีโอ รวมถึงรูปถ่ายของสัญญาณไฟจราจร

ที่นี่ด้านล่างนี้เป็นข้อพิสูจน์ของมันและด้านล่างคือลิงค์สำหรับทุกคนที่มีข้อสงสัย

ฉันขอขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจหน้านี้และติดตามข่าวโลกของคุณ

ขอบคุณค่ะ

https://revista7sm.com/2019/06/16/ola-de-calor-derrite-carros-en-el-medio-oriente/

https://twitter.com/saksivarnan?ref...sm.com/2019/06/16/ola-de-calor-derrite-carros- % 2F ในตะวันออกกลาง

Hola Buenas noches a todos..

Aqui les dejo informacion de prueba de lo que se a sacado de la noticias de lo que esta pasando en Kuwait, de la ola de calor y lo que esta pasando, la informacion fue sacada de dos proveedores de noticias. Siempre baso mas de una pagina, para asegurar de la informacion. No es basado a mi propia publicacion, es sacado de la informacion de fuentes de noticias, la pagina Clima Extremo no es amarillista, no publico mi propio pensamientos o es inventado, todo es sacado por noticias independientes, noticieros, personas independientes que publican y comparten los sucesos por medio de fotos y videos. Asi como la foto de el semáforo.

Aqui abajo esta la pruba de ello, y abajo esta tambien el link, para todos aquellos que tienen la duda.

Les doy las gracias a todos que confian en la pagina y la siguen como sus noticias mundiales.

Gracias.

https://revista7sm.com/2019/06/16/ola-de-calor-derrite-carros-en-el-medio-oriente/

https://twitter.com/saksivarnan?ref...-de-calor-derrite-carros-en-el-medio-oriente/

 

อิหร่านยิงมิสไซล์หวังสอยโดรนสหรัฐฯ ก่อนโจมตี2เรือบรรทุกน้ำมัน สะท้านโลก

ตึงเครียดหนัก..แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ เผย อิหร่าน ยิงขีปนาวุธโจมตีโดรนของสหรัฐฯ แต่พลาดเป้า ก่อนจะก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมาน

เมื่อ 15 มิ.ย.62 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ นายหนึ่ง ถึงสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำถูกลอบโจมตีที่อ่าวโอมาน จนเกิดระเบิดและไฟไหม้เมื่อ 13 มิ.ย.62 ว่า ไม่กี่ชั่วโมง ก่อนเรือบรรทุกน้ำมันฟรอนต์ อัลแตร์ และโคคุกะ คอเรเจียส จะโดนโจมตีนั้น กองทัพอิหร่านได้ตรวจพบว่ามีโดรน อากาศยานไร้คนขับลำหนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ บินอยู่เหนือเรือของอิหร่าน จึงได้ตัดสินใจยิงขีปนาวุธแบบภาคพื้นสู่อากาศโจมตีโดรนดังกล่าวทันที ทว่าขีปนาวุธพลาดเป้า ไม่ถูกโดรน

ซีเอ็นเอ็นเผยว่า ก่อนโดรนของสหรัฐฯ MQ-9 Reaper จะถูกยิงนั้น โดรนได้พบว่ามีเรืออิหร่านแล่นอยู่ใกล้เรือบรรทุกน้ำมันทั้งสองลำ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวไม่ได้ระบุว่า โดรนของสหรัฐฯ ได้เห็นว่าเรือบรรทุกน้ำมันสองลำโดนโจมตีหรือไม่

https://www.thairath.co.th/news/foreign/1592735

 

อุณหภูมิที่สัมผัส 51 องศาเซลเซียส (124 องศาฟาเรนไฮ) ภัยแล้งในอดีตเป็นสาเหตุทำให้ผู้คนนับล้านต้องละทิ้งบ้านเพื่อค้นหาน้ำและก่อให้เกิดการฆ่าตัวตายจำนวนมากในอินเดีย

ภาพถ่าย theleaders-online.com

* อุณหภูมิสูงถึง 50.8C ทำให้เป็นสถานที่ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก

* หมู่บ้านหลังหมู่บ้านถูกทิ้งร้างทำให้คนป่วยและผู้สูงอายุต้องดูแลตัวเอง

* ภัยแล้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าเลวร้ายยิ่งกว่าความอดอยากปี 1972 ที่ส่งผลกระทบ 25 ล้านคน

* ภัยแล้งนำไปสู่การฆ่าตัวตายของเกษตรกร เกือบ 5,000 รายในช่วงห้าปีที่ผ่านมารวมถึง 947 ราย เมื่อปีที่แล้ว

* ประมาณ 20,000 หมู่บ้านในรัฐมหาราษฏระกำลังเผชิญกับวิกฤติน้ำดื่มที่รุนแรงโดยไม่มีน้ำเหลืออยู่ในเขื่อนหลัก ๆ 35 แห่ง

ชาวบ้านในหมู่บ้านในอินเดียหลายร้อยแห่ง ต้องอพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากความแห้งแล้งครั้งประวัติศาสตร์ ทำให้ครอบครัวต้องละทิ้งบ้านเพื่อค้นหาน้ำ
ประเทศได้พบกับอุณหภูมิสูงมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในวันจันทร์เมืองหลวงเดลลีมีอุณหภูมิสูงสุดที่ 48 C ในเดือนมิถุนายน

ในรัฐราชสถานเมื่อเร็ว ๆ นี้เมือง Churu มีประสบการณ์สูงถึง 50.8C ทำให้เป็นสถานที่ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก

ไกลออกไปทางใต้น้อยกว่า 250 ไมล์จากเมืองหลวงการค้าของประเทศคือมุมไบ หมู่บ้านหลังจากหมู่บ้านถูกทอดทิ้ง

ประมาณการว่ามีประชากรมากถึง 90% ของพื้นที่ได้หลบหนีออกไป ผู้ป่วยและผู้สูงอายุตัองดูแลตัวเอง เมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์น้ำ ซึ่งไม่แสดงสัญญาณว่าจะลดน้อยลง

หมู่บ้าน Hatkarwadi ประมาณ 20 ไมล์จาก Beed ในรัฐมหาราษฏระถูกทิ้งร้างเกือบทั้งหมด

บ่อน้ำต่างๆและปั๊มมือแห้งได้แห้งลง ด้วยคลื่นความร้อน 45 C

ภัยแล้งซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าเลวร้ายยิ่งกว่าความอดอยากปี 1972 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน 25 ล้านคนทั่วรัฐ ซึ่งเริ่มต้นในเดือนธันวาคม

ในปลายเดือนพฤษภาคม Hatkarwadi ถูกทิ้งร้าง โดยเหลือครอบครัว เพียง 10-15 ครอบครัวที่เหลือ จากจำนวนประชากรที่มากกว่า 2,000 คน

ด้วย 80% ของเขตต่างๆ ในกรณาฏกะ(Karnataka)ที่อยู่ใกล้เคียง และ 72% ในมหาราษฏระ(Maharashtra) ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และการปลูกพืชไม่ขึ้น เกษตรกร 8 ล้านคนในสองรัฐนี้กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

รถบรรทุกมากกว่า 6,000 คัน ส่งน้ำไปยังหมู่บ้านและชุมชนเล็ก ๆ ในรัฐมหาราษฏระทุกวัน เนื่องจากความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างสองรัฐเหนือแหล่งน้ำทั่วไป
การขาดแคลนน้ำแบบเฉียบพลันได้ทำลายความเป็นอยู่ทางการเกษตรของชาวบ้าน

พืชได้เหี่ยวเฉาและตายไปแล้ว ปล่อยให้สัตว์อดอยาก และน้ำดื่มน้อย

พืชผลสำคัญ ได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลืองฝ้าย มะนาวหวาน พัลส์ และถั่วลิสงซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในท้องถิ่น
ทั่วโลก รูปแบบภูมิอากาศของ El Nino ที่รุนแรง และสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างต่อเนื่อง กำลังก่อให้เกิดความแห้งแล้งที่รุนแรงขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น และอินเดียที่แห้งแล้งได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ

นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อโลกร้อนและมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ภูมิภาคจะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำที่รุนแรงขึ้น และจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่ามีน้ำเพียงพอสำหรับทุกคน

ใน Marathwada จากการประมาณการจำนวนมาก ภูมิภาคอินเดียที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภัยแล้งและความแห้งแล้งที่เพิ่มขึ้นบ่อยครั้ง นำไปสู่การฆ่าตัวตายของเกษตรกรกว่า 4,700 รายในช่วงห้าปีที่ผ่านมารวมถึง 947 ราย ในปีที่แล้ว วิกฤตินั้นได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในเมือง Beed น้ำดื่มสะอาดหมดแล้วและครัวเรือนไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับซักเสื้อผ้า ล้างจาน หรือล้างห้องน้ำ

โรงพยาบาลกำลังเต็มไปด้วยคนที่ทุกข์ทรมานจากการขาดน้ำ - และโรคระบบทางเดินอาหารจากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อน

ผู้อยู่อาศัยสามารถจ่ายน้ำส่วนตัวได้เทียบเท่า L3 สำหรับน้ำ 1,000 ลิตร หลายคนจบลงในโรงพยาบาลด้วยเหตุนี้

- แม้วัวปฏิเสธที่จะดื่มของเหลวโคลนและเค็ม ที่ถูกขุดขึ้นมาจากก้นเขื่อนและทะเลสาบที่เหนื่อยล้าในภูมิภาค

“ ในช่วงหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา มีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น 50% ที่ทุกข์ทรมานจากโรคท้องร่วง โรคกระเพาะ และโรคอื่น ๆ ” แซนดีป เดห์มุคห์ (Sandeep Deshmukh) ซึ่งเป็นแพทย์จากโรงพยาบาล Beed Civil กล่าว
เขาตำหนิการปนเปื้อนของโรคที่เกิดจากน้ำ
“เราแนะนำผู้คนให้ต้มน้ำดื่ม” เดห์มุคห์กล่าว
สำหรับประชากรในเขตจำนวน 2.2 ล้านคน ซึ่ง 240,000 คนอาศัยอยู่ใน Beed นั้นเอง วันของพวกเขาเริ่มต้นด้วยการค้นหาน้ำจากบอเรล
คนอื่น ๆ ต้องอ้อนวอนกับเพื่อนบ้านเพื่อหาน้ำ
Usha Jadhav ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงชิวาจินาการ์(Shivajinagar) กล่าวว่าครอบครัวของเธอไม่ใช้ห้องน้ำอีกต่อไป เพราะมันกลายเป็นความหรูหราที่ไม่สามารถหาซื้อได้ และผู้หญิงรอความมืดมิดในเวลากลางคืน เพื่อถ่ายอุจจาระในที่โล่ง

“เราไม่สามารถใช้น้ำ 5-10 ลิตรในการล้างได้เพราะเราต้องซื้อน้ำ” เธอกล่าว
ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 43% ของอินเดียกำลังประสบกับความแห้งแล้งโดยมีฝนมรสุมที่ล้มเหลว เป็นสาเหตุหลัก

ประเทศประสบภัยแล้งอย่างกว้างขวางทุกปีตั้งแต่ปี 2015 ยกเว้นปี 2017
ประมาณ 20,000 หมู่บ้านในรัฐมหาราษฏระกำลังเผชิญกับวิกฤติน้ำดื่มที่รุนแรงโดยไม่มีน้ำเหลือในเขื่อนหลักจำนวน 35 แห่ง

ในเขื่อนเล็ก 1,000 แห่ง ระดับน้ำต่ำกว่า 8%

แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงเขื่อนนั้นได้กลายเป็นดินที่แห้งแล้งและพื้นแม่น้ำแตกร้าว

น้ำบาดาลซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความต้องการน้ำของอินเดีย 40% กำลังสูญเสียไปในอัตราที่ไม่ยั่งยืน Niti Aayog, ซึ่งเป็นถังเก็บความคิดของรัฐบาล กล่าวในรายงานปี 2018

เมืองต่างๆ ของอินเดียจำนวน 21 เมือง ได้แก่ เดลี, เบงกาลูรู, เจนไนและไฮเดอราบัด คาดว่าจะหมดน้ำบาดาล ภายในปี 2020 และ 40% ของประชากรอินเดียจะไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มได้ภายในปี 2030 รายงานกล่าว

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งในปีนี้รับผิดชอบต่อปริมาณน้ำฝน 80% ของประเทศคาดว่าจะล่าช้าและน้อยกว่าปกติซึ่งหมายความว่าไม่มีการทุเลาในการมองเห็นสภาพที่แห้งแล้งของรัฐมหาราษฏระ(Maharashtra)

Monday, 17 June 2019

Temperatures touching 51 deg C (124 deg F) a historic drought causing millions of people to abandon their homes in search of water and causing mass suicides in India

Photo theleaders-online.com

Highs of 50.8C, making it the hottest place on the planet.

Village after village lies deserted leaving the sick and elderly to fend for themselves

The drought, which officials say is worse than the 1972 famine that affected 25 million

Droughts have led to almost 5,000 farmer suicides in the last five years, including 947 last year

About 20,000 villages in the state of Maharashtra are grappling with a severe drinking water crisis, with no water left in 35 major dams

Hundreds of Indian villages have been evacuated as historic drought forces families to abandon their homes in search of water.
The country has seen extremely high temperatures in recent weeks.
On Monday the capital, Delhi, saw its highest ever June temperature of 48C.
In Rajasthan, the city of Churu recently experienced highs of 50.8C, making it the hottest place on the planet.
Further south, less than 250 miles from the country's commercial capital, Mumbai, village after village lies deserted.
__
Estimates suggest up to 90% of the area's population has fled, leaving the sick and elderly to fend for themselves in the face of a water crisis that shows no sign of abating.
The village of Hatkarwadi, about 20 miles from Beed in Maharashtra state, is almost completely deserted.
Wells and handpumps have run dry in the 45C heatwave.
The drought, which officials say is worse than the 1972 famine that affected 25 million people across the state, began early in December.
By the end of May, Hatkarwadi had been deserted with only 10-15 families remaining out of a population of more than 2,000.
With 80% of districts in neighbouring Karnataka and 72% in Maharashtra hit by drought and crop failure, the 8 million farmers in these two states are struggling to survive.
More than 6,000 tankers supply water to villages and hamlets in Maharashtra daily, as conflict brews between the two states over common water resources.
The acute water shortage has devastated villagers' agriculture-based livelihood.
___
Crops have withered and died, leaving livestock starving and with little to drink.
Major crops, including maize, soya, cotton, sweet lime, pulses, and groundnuts - drivers of the local economy - have suffered.
Around the world, stronger El Nino weather patterns and the ongoing climate breakdown are bringing harsher and more frequent droughts - and already-dry India has been particularly hard hit.
Scientists predict that as temperatures continue to rise with global heating and populations grow, the region will experience harsher water shortages - and will need to find clever solutions to ensure there is enough water for all.
In Marathwada, by many estimates, the Indian region most affected by drought, increasingly frequent droughts have led to more than 4,700 farmer suicides in the last five years, including 947 last year. That crisis has deepened.
In the city of Beed, clean drinking water has run out and households do not have enough water to wash clothes, clean dishes or flush the toilet.
Hospitals are filling up with people suffering from dehydration - and gastrointestinal disease from drinking contaminated water.
Residents who can afford it pay private water tankers the equivalent of L3 for 1,000 litres of water. Many end up in hospital as a result - even cows refuse to drink the muddy and salty liquid that has been dredged from the bottom of exhausted dams and lakes in the region.

___
"Over the last one-and-half months, there has been a 50% rise in the number of patients suffering from diarrhoea, gastritis, etc," said Sandeep Deshmukh, a doctor at the Beed Civil hospital.
He blamed contamination for the rise in water-borne diseases.
"We have appealed to the people to boil drinking water," Deshmukh said.
For many of the district's population of 2.2 million, of which 240,000 live in Beed itself, their day starts by searching for water from borewells.
Others have to plead with their neighbours for water.
Usha Jadhav who lives in nearby Shivajinagar said her family does not use the toilet any more as it has become an unaffordable luxury, and that women wait for the darkness of night to defecate in the open.
"We cannot use 5-10 litres of water for flushing as we have to purchase water," she said.
By the end of May, 43% of India was experiencing drought, with failed monsoon rains seen as the primary reason.
The country has seen widespread drought every year since 2015, with the exception of 2017.
About 20,000 villages in the state of Maharashtra are grappling with a severe drinking water crisis, with no water left in 35 major dams.
In 1,000 smaller dams, water levels are below 8%.
The rivers that feed the dams have been transformed into barren, cracked earth.
Groundwater, the source of 40% of India's water needs, is depleting at an unsustainable rate, Niti Aayog, a governmental think tank, said in a 2018 report.
Twenty-one Indian cities - including Delhi, Bengaluru, Chennai, and Hyderabad - are expected to run out of groundwater by 2020, and 40% of India's population will have no access to drinking water by 2030, the report said.
This year's south-west monsoon, responsible for 80% of the country's rainfall, is projected to be delayed and smaller than normal, meaning there is no respite in sight for the parched state of Maharashtra.

https://www.thebigwobble.org/2019/06/temperatures-touching-51-deg-c-124-deg.html?spref=fb&m=1

 

“เมฆ วินัย” ใจชื้น! แพทย์ชี้โรคตุ่มน้ำพองรักษาหาย (คลิป)
.
.
พระเอกร้อยล้านวินัย ไกรบุตร โด่งดังจากหนังนางนาก เดินทางเข้ารับการให้ยาเพื่อรักษาโรคตุ่มน้ำพอง จากเชื้อเพมพิกอยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ในวันนี้ (17มิ.ย.62) ซึ่ง “เมฆ วินัย” เผยกับทีมข่าววันบันเทิงว่า อาการเริ่มดีขึ้น หลังจากผิวหนังพุพองทั้งตัวจนน่าตกใจนานร่วม 2 เดือน แถมยังทรมานด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน จนไม่สามารถทำงานได้ เครียดถึงขั้นคิดลาจากวงการ
.
เจ้าตัวยังเผย เสียเงินนับแสนเพื่อรักษา แต่ก็ดีใจที่โรคนี้มียารักษาและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่วิตกกังวล ที่สำคัญดีใจที่ได้แบ่งปันอาการการป่วยครั้งนี้ให้กับผู้อื่น เพราะเท่าที่ทราบ มีคนเป็นโรคนี้หลายคนและบางคนยังเชื่อว่าเป็นโรคติดต่อซึ่งไม่จริง และมียารักษาให้าย
ด้านแพทย์ รพ.จุฬาฯ ผู้ทำการรักษาเผยว่าโรคเพมพิกอย มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป เกิดจากภูมิแพ้หรือภูมิคุ้มกันในร่างการผิดปกติ แต่ไม่ใช่โรคพุ่มพวง SLE ยืนยันว่าสามารถรักษาได้แน่นอน
.
#วินัยไกรบุตร
#oneบันเทิง
#ช่องวัน31

 

Mark Elkin

การแพร่ระบาดของ EBOLA ในแอฟริกา

เดือนมิถุนายนปีนี้จำนวนผู้ติดเชืัอพุ่งขึ้นสูงและไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น

ติดตามแนวโน้มและ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ใช่มันถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นสูง

อยู่อย่างระมัดระวัง

EBOLA epidemic in Africa.

June, this year- huge spike and no sign of getting better.

Follow the trend and we have a dramatic rise in the last 3 months.

Yes, it was created by the elite.

Stay vigilant.

 

กระทรวงพลังงานตั้ง3รองอธิบดีใหม่
17/06/2019 ; 6:33 pm

กระทรวงพลังงานตั้ง3 รองอธิบดีใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่างอยู่โดย ขยับ ชนานัญ นั่งรองผอ.สนพ.(เทียบเท่ารองอธิบดี) สมบูรณ์ นั่งรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และ ถวัลย์ นั่งรองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน(Energy News Center-ENC )รายงานว่า กระทรวงพลังงานมีการแต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารเทียบเท่าระดับรองอธิบดี แทนตำแหน่งที่ยังว่างอยู่จำนวน3ตำแหน่ง ดังนี้

1.นางสาว ชนานัญ บัวเขียว ผู้อำนวยการกองนโยบายอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน เป็น รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) (เทียบเท่ารองอธิบดี)
2. นาย สมบูรณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้อำนวยการกองจัดการเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็น รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

และ3.นายถวัลย์ ธนกิจเจริญพัฒน์ ผู้อำนวยการกองความปลอดภัยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เป็นรองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน

http://www.energynewscenter.com/กระทรวงพลังงานตั้ง3รองอ/

 

Bank of Thailand Scholarship Students



(Jun 17) คอลัมน์ บางขุนพรหมชวนคิด: ประเทศไทย:แหล่งลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย?ในช่วงที่ตลาดการเงินทั่วโลกเริ่มผันผวนไม่มั่นคง นักลงทุนต่างชาติมักจะลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (risk-off) ไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น สำหรับสินทรัพย์ในประเทศไทยเอง บางช่วงก็ถูกมองว่าเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets:EMs) จึงน่าคิดว่าอะไรทำให้นักลงทุนต่างชาติมองไทยเช่นนั้น

เมื่อเกิดภาวะ risk-off ขึ้นเงินทุนเคลื่อนย้ายมักไหลออกจากตลาดหุ้นหรือการถือสินทรัพย์เสี่ยงของ EMs ไปถือทองคำหรือสินทรัพย์ของสกุลเงินปลอดภัย (safe-haven currency) อันดับต้นๆในโลกที่มักจะอยู่ในรูปเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของเงินเยนญี่ปุ่นหรือเงินสวิสฟรังก์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพสูงในพื้นฐานเศรษฐกิจ ภาครัฐ ระบบการเงินและราคาสินทรัพย์รวมถึงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่นิยมใช้เป็นสื่อกลางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศและเป็นสกุลเงินหลักในทุนสำรองของประเทศต่างๆ แต่หากสินทรัพย์ปลอดภัยในโลกที่ว่ากลับมีความเสี่ยงเสียเอง ก็อาจเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลไปถือสินทรัพย์ของ EMs บางประเทศได้ ถ้าสกุลเงินนั้นๆมีภูมิต้านทานความผันผวนในตลาดการเงินโลกและมีพื้นฐานเศรษฐกิจเข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านต่างประเทศ

ตัวอย่างเหตุการณ์ล่าสุดหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศบน Twitter เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ทำให้บรรยากาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เข้มข้นขึ้น นักลงทุนเป็นกังวลเห็นได้จากดัชนีความเสี่ยงในตลาดการเงินโลกที่พุ่งขึ้นรวดเร็วกว่า 25% เกิดแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดหุ้นประเทศต่างๆและมีการเทขายพันธบัตรในตลาด EMs ในเวลาต่อมา
ในช่วงนี้ไทยถูกมองเป็น EM safe haven มีเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นมาก 2 เดือนติดกัน หลังจากที่เงินลงทุนในหลักทรัพย์ไทยไหลออกสุทธิมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้เงินบาทแข็งค่าต่างจากสกุลเงินภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งเผชิญกับเงินทุนไหลออกสูง

สาเหตุที่ประเทศไทยถูกมองเป็น safehaven ส่วนหนึ่งเพราะมีพื้นฐานเศรษฐกิจดี คือดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง ทั้งในดุลการค้าและบริการ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงขึ้น หลังรัฐบาลเร่งผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และมีความชัดเจนในนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ๆทำให้เศรษฐกิจไทยมีกระแสรายได้เงินตราต่างประเทศไหลเข้าต่อเนื่อง เสถียรภาพต่างประเทศเข้มแข็ง จากเงินสำรองระหว่างประเทศสูงและสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่ำ
ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เงินบาทรักษามูลค่าไว้ได้และมีเสถียรภาพแม้จะเกิดเหตุกังวลในตลาดการเงินโลกหลายครั้ง เช่น ในปีก่อนที่ธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักหลายแห่งปรับทิศทางนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นจนตลาดกังวลว่าสภาพคล่องในระบบการเงินโลกจะตึงตัว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนก่อตัวขึ้น และเหตุการณ์ความกังวลต่อความเปราะบางของ EMs บางประเทศ

แต่การถูกมองเป็น safe haven ในภาวะ risk-off ก็มีส่วนทำให้ค่าเงินแข็งกว่าประเทศอื่น และบางครั้งการรักษาพื้นฐานเศรษฐกิจให้เข้มแข็งได้อย่างยั่งยืนก็ขึ้นกับหลายปัจจัยโดยเฉพาะปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยอาจไม่สามารถควบคุมได้หมด หากเมื่อใดที่พัฒนาการเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปจนถูกนักลงทุนจัดอยู่ในกลุ่ม EMs เปราะบางก็อาจทำให้ประเทศได้รับผลกระทบทางลบจากเงินทุนไหลออกในภาวะ risk-off ได้ง่ายจึงต้องติดตามพฤติกรรมเงินทุนเคลื่อนย้ายประเภทนี้ให้ดีเพราะอาจกระทบต่อภาวะการเงินและราคาสินทรัพย์ในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการระดมทุนของธุรกิจและกิจกรรมการค้าการลงทุนของไทยได้ในที่สุด.

โดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย

**บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด**
Source: ไทยรัฐ

 

Bank of Thailand Scholarship Students



(Jun 16) คอลัมน์ EEC Analysis: 'ญี่ปุ่น'ปรับแผนลงทุนลดพึ่งจีน- องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือเจโทร เผยข้อมูลการลงทุนของญี่ปุ่นในต่างประเทศปี 2561 ที่ผ่านมา มีสัดส่วนสูงขึ้นถึง 33.9% เทียบกับปีก่อนหน้า ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก 2.8% มาอยู่ที่ 4.1%

อย่างไรก็ตาม ช่วง 3 เดือนแรกปี 2562 ที่ผ่านมา การลงทุนจากญี่ปุ่นในไทยลดลงแต่นั่นเป็นช่วงที่สงครามการค้ายังไม่ลุกลามจนเป็นเหตุของกระแสการย้ายฐานการลงทุนออกจากประเทศจีน แต่ขณะนี้สถานการณ์สงครามการค้าทวีความรุนแรงและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติหรือบรรเทาลง

เนื่องจาก จนถึงขณะนี้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ยังไม่มีแผนที่จะหารือนอกรอบการประชุมสุดยอด G20 ที่ญี่ปุ่น ในปลายเดือนนี้ ทำให้ต้องประเมินไว้ก่อนว่า สถานการณ์สงครามการค้ายังรุนแรงและไม่มีจุดจบของปัญหา รวมถึงไม่สามารถรับรองได้ว่าจะไม่เกิดซ้ำ

ญี่ปุ่นมีการกระจายการลงทุนในประเทศต่างๆ อย่างน่าสนใจแต่พบว่าญี่ปุ่นมีการลงทุน สูงสุดในจีน จึงมีความจำเป็นต้องปรับแผน การลงทุนต่างประเทศใหม่และไทยโดยเฉพาะ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นอีกตัวเลือกที่ดีของภูมิภาคนี้
Source: กรุงเทพธุรกิจ

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jun 16) Worst Case สงครามการค้า “6 ยุทธวิธี” สหรัฐเล่นงานจีน: ต้องลุ้นกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เพราะล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาขู่แล้วว่าหากการประชุมกลุ่มประเทศ จี20 ที่ญี่ปุ่นปลายเดือนนี้ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ไม่มาพบปะตนเพื่อสานต่อการเจรจาปัญหาการค้า สหรัฐก็จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ที่เหลืออยู่เป็น 25% ทันที และอาจเพิ่มมากกว่า 25% ก็เป็นได้

ท่าทีแข็งกร้าวของทรัมป์เช่นนี้ ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติ แต่ใช้วิธีข่มขู่ ประหนึ่งเห็นจีนเป็นลูกน้องใต้บัญชา นอกจากนี้ ถึงแม้สี จิ้นผิง จะยอมพบปะทรัมป์ที่ญี่ปุ่น ก็ไม่น่าที่จีนจะยอมตามเงื่อนไขของสหรัฐที่เสนอไว้จากรอบที่แล้ว ซึ่งมีลักษณะยื่นคำขาด อาทิ ให้จีนยกเลิกการอุดหนุนอุตสาหกรรมที่อยู่ในเป้าหมายของแผน “เมด อิน ไชน่า 2025” ทั้งหมด ต้องลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 1 แสนล้านดอลลาร์ภายใน 12 เดือน ยกเลิกข้อจำกัดการลงทุนของบริษัทต่างชาติทั้งหมด เป็นต้น

คำขาดเช่นนี้ จีนไม่น่าจะยอมตามเนื่องจากเท่ากับยอมสละอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศที่มีเอกราชของตัวเอง จีนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบโต้กลับ แต่จะเป็นการตอบโต้ในระดับจำกัดเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่ใช่สร้างสงครามใหม่ให้ขยายตัวออกไป

หากพิจารณาบทความล่าสุดที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทม์ส ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลจีน มีการประเมินว่าสหรัฐจะขยายสงครามการค้ากับจีนใน 6 รูปแบบ ประกอบด้วย

1.ทรัมป์จะเปิดศึกด้วยภาษีต่อไป

2.บีบให้บริษัทอเมริกันย้ายหนีออกจากจีน ขณะเดียวกันจะสร้างอุปสรรคไม่ให้บริษัทจีนลงทุนในสหรัฐ

3.สหรัฐจะพยายามตัดจีนออกจากห่วงโซ่มูลค่าโลก (global value chain หรือ GVC) โดยเริ่มจากการกำจัดบริษัทโทรคมนาคม ZTE และหัวเว่ย

ประการที่ 4.ใช้ปมค่าเงินเล่นงาน ด้วยการกล่าวหาว่าบิดเบือนค่าเงินหยวน

5.แซงก์ชั่นทางการเงินต่อบริษัทจีน แบบเดียวกับที่ทำกับบริษัทอิหร่านและรัสเซีย โดยอาศัยพลังอำนาจของค่าเงินดอลลาร์ที่ทรงอิทธิพลสุดในโลกเป็นอาวุธ ซึ่งเป็นกรณีที่น่ากลัวมากเพราะหากเป็นเช่นนั้นแทบจะไม่มีบริษัทต่างชาติใด ๆ กล้าทำธุรกรรมกับบริษัทจีน ไม่เช่นนั้นอาจถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ

6.สหรัฐอาจจะไปไกลถึงขั้นยึดทรัพย์นอกประเทศของจีน รวมทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ข้อนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเท่ากับสหรัฐประกาศสงครามกับจีนโดยแท้จริง ไม่ใช่แค่สงครามการค้า

จากบทความนี้จะเห็นว่า ในมุมมองของจีนมีเพียงข้อเดียวที่สหรัฐไม่น่าจะดำเนินการคือข้อ 6 ส่วนอีก 5 ข้อที่เหลือนั้น มีทั้งที่ทำไปแล้วและมีความเป็นไปได้ที่จะทำ ซึ่งบทความนี้ได้เสนอคำแนะนำในการรับมือ เช่น การรับมือกับข้อ 2 ทางจีนจะต้องทำให้บริษัทอเมริกันในจีนรู้สึกสบายใจที่จะทำธุรกิจ แทนการทำให้ตกใจและหนีไป โดยให้ดูจากกรณีความสำเร็จของจังหวัดกวางตุ้ง ที่ถึงแม้จะมีบริษัทต่างชาติถอนตัวออกไป 2,200 แห่ง แต่กลับมีต่างชาติย้ายเข้ามาในปริมาณมากกว่าคือ 3,500 แห่ง

ส่วนการรับมือกับข้อที่ 3 นั้น จีนมี 3 ทางเลือก คือ 1.พึ่งพาตัวเองโดยสิ้นเชิงและตัดขาดจาก GVC 2.ยังคงอยู่ใน GVC และ 3.เป็นทางเลือกกึ่งกลางระหว่างข้อ 1 และ 2 ซึ่งเป้าหมายของสหรัฐนั้นต้องการบีบให้จีนเลือกข้อ 1 คือ ออกจาก GVC แต่จะมีผลเสียหนักต่อบริษัทสหรัฐอย่าง Qualcomm เพราะถ้าไม่มีจีนแล้ว คงยากที่จะหาลูกค้ารายอื่นมาซื้อผลิตภัณฑ์ของ Qualcomm คราวละมาก ๆ กรณีนี้หนทางดีที่สุดสำหรับจีนคือพยายามอยู่ใน GVC แต่ต้องเตรียมแผนสำรองไว้ด้วยแบบที่หัวเว่ยกำลังทำ

ส่วนการรับมือข้อ 5 ที่จีนเห็นว่าน่ากลัวที่สุดนั้น บทความนี้แนะนำไว้ว่าจีนควรใช้ blocking statute (รัฐบัญญัติขัดขวาง) แบบเดียวกับที่สหภาพยุโรปนำมาใช้ ซึ่งมีผลให้การแซงก์ชั่นทางการเงินของสหรัฐต่ออิหร่านเป็นโมฆะ เพื่อปกป้องบริษัทยุโรปให้สามารถทำธุรกรรมกับอิหร่านได้

พูดอีกอย่างก็คืออนุญาตให้บริษัทยุโรปไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐ

Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/world-news/news-338937

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jun 16) ซาอุฯ เตือนภัยคุกคามหลังเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน : ซาอุดิอาระเบียเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการรับมือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับอุปทานพลังงานและเสถียรภาพของราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างเร่งด่วนและเด็ดขาด หลังการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมาน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

วันนี้ (16 มิ.ย.2562) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐมนตรีพลังงานซาอุดิอาระเบีย เรียกร้องให้ดำเนินมาตรการรับมือการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา อย่างเร่งด่วนและเด็ดขาด เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่ออุปทานพลังงานและเสถียรภาพของราคาน้ำมันในตลาดโลก

ความเคลื่อนไหวของซาอุดิอาระเบียเกิดขึ้น หลังจากกองทัพสหรัฐอเมริกาแสดงหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ากองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามอิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 2 ลำ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านทวีความตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

ขณะที่ฮัสซาน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่านประกาศลดระดับความร่วมมือในข้อตกลงนิวเคลียร์ จนกว่าจะเห็นสัญญาณเชิงบวกจากประเทศภาคี เนื่องจากอิหร่านไม่สามารถยึดมั่นในข้อตกลงนิวเคลียร์แต่เพียงฝ่ายเดียว

Source: ThaiPBS

- Saudi Arabia Sees Same Source Behind Tanker, Airport Attacks : https://www.bloomberg.com/news/arti...hind-tanker-airport-attacks?srnd=premium-asia

********************
ซาอุฯโหมเร่งรับมืออิหร่าน จี้ตัดสินใจฉับไว-เด็ดขาด

ซาอุฯโหมเร่งรับมืออิหร่าน – เมื่อ 16 มิ.ย. อัลจาซีรา รายงานว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียออกโรง เรียกร้องให้ชาติที่เกี่ยวข้องตัดสินใจฉับไวและเด็ดขาดเพื่อรับมือกับเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันในอ่าวโอมาน น่านน้ำอาหรับ หลังจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเปิดคลิปกล่าวหาอิหร่าน ว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำของนอร์เวย์และญี่ปุ่นในอ่าวโอมาน เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังทวีตย้ำว่า “อิหร่านนั่นแหละทำ”

นายคาลิด อัลฟาลีห์ รมว.พลังงานซาอุดีอาระดบีย กล่าวว่า ต้องมีการรับมือกับภัยคุกคามเสถียรภาพของตลาดพลังงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคนี้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด

ส่วนรัฐบาลยูเออีเรียกร้องให้ชาติมหาอำนาจช่วยสร้างจราจรทางทะเลและการขนส่งพลังงาน เพื่อความปลอดภัยของประชาคมโลก

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐเผย มีมีขีปนาวุธยิงจากแดนอิหร่าน น่าจะเป็นของกบฏฮูตีที่อิหร่านสนับสนุนอยู่พุ่งใส่โดรนของสหรัฐในบริเวณดังกล่าวแต่พลาดเป้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่เพิ่งเผยแพร่ หลังจากลูกเรือลำประสบเหตุของญี่ปุ่นยืนยันว่า มีวัตถุพุ่งผ่านบนฟ้าเหนือเรือก่อนการโจมตี

ด้านรัฐบาลรัสเซียแถลงเตือนสหรัฐอย่าเร่งด่วนสรุปกล่าวโทษใคร เพราะอาการเกลียดกลัวอิหร่านของสหรัฐจะยิ่งสร้างความตรึงเครียดให้ภูมิภาคยิ่งขึ้น ตอนนี้ขอให้ทุกฝ่ายอดกลั้น สงบสติอารมณ์ นอกจากนี้รัสเซียยังขอบคุณอิหร่านที่ส่งทีมไปช่วยลูกเรือชาวรัสเซีย 11 คนที่อยู่บนเรือประสบเหตุดังกล่าว

Source: ข่าวสดออนไลน์
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2619494

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jun 16) ญี่ปุ่นเตรียมเก็บค่าใช้ถุงพลาสติกในร้านค้า คาดบังคับใช้ก่อนงานโอลิมปิกปีหน้า : ปัจจุบัน กระแสการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสนใจ และญี่ปุ่นที่มีการใช้งานพลาสติกปริมาณมากเป็นอันดับสองรองเพียงสหรัฐฯ ก็เริ่มจะขยับตัวในเรื่องนี้ไปอีกขั้น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังจะเริ่มเก็บค่าใช้ถุงพลาสติกในร้านค้าก่อนการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนจะเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถุงพลาสติกในประเทศให้เร็วที่สุดภายในวันที่ 1 เมษายน 63 โดยจะร่วมมือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อกำหนดนโยบายนี้ให้ชัดเจน เช่น ถุงพลาสติกแบบใดที่จะต้องเก็บเงินตามนโยบายนี้

เป้าหมายของการออกนโยบายครั้งนี้คือเพื่อลดจำนวนขยะพลาสติกในมหาสมุทรโลก ซึ่งคาดว่าจะเป็นหัวข้อหลักในการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นในโอซาก้าในเดือนนี้ โดยนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe เคยกล่าวว่าเขาอยากให้ญี่ปุ่นเป็นผู้นำของโลกในด้านการลดขยะพลาสติกที่ทิ้งลงมหาสมุทร

แม้ว่าญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีส่วนมากในการสร้างกองขยะพลาสติกในมหาสมุทร แต่ในแง่การใช้แพคเกจจิ้งที่เป็นพลาสติกต่อคนนั้น ญี่ปุ่นมียอดใช้เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ โดยถุงพลาสติกในญี่ปุ่นนั้นมีปริมาณการใช้งานต่อปีราว 2 แสนตันหรือ 2% ของปริมาณพลาสติกทั้งหมด ถ้าขึ้นค่าใช้ถุงพลาสติกก็จะช่วยขยะพลาสติกในประเทศก็น่าจะช่วยให้ญี่ปุ่นลดขยะพลาสติกได้ไม่น้อย

ตอนนี้ผู้ค้าปลีกหลายรายในญี่ปุ่นก็เริ่มมาตรการเก็บค่าใช้ถุงพลาสติกบ้างแล้ว หรือบางแห่งก็เปลี่ยนเป็นใช้วัสดุทางเลือกอย่างเช่นกระดาษ โดยซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเป็นกลุ่มแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงก็ยินดีทำตามแผนของรัฐบาล เพราะตอนนี้มีซุปเปอร์หลายแห่งใน 10 เมืองของญี่ปุ่นเริ่มนโยบายเก็บค่าถุงพลาสติกแล้ว ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเพราะลูกค้า 70% นำถุงมาเอง เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีสัดส่วนน้อยกว่า 30%

Takaharu Iwasaki ประธานของซุปเปอร์มาร์เก็ต Life ในญี่ปุ่นระบุว่า “ถ้าทุกร้านใช้ค่าธรรมเนียมเหมือนกัน ก็จะทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น”

ส่วนฝั่งร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่นในญี่ปุ่นก็เคยประกาศมาแล้วในเดือนพฤษภาคมว่าจะเปลี่ยนจากถุงพลาสติกธรรมดาเป็นถุงที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติภายในปี 2030 ส่วน Lawson ก็วางแผนจะลดถุงพลาสติกให้ได้ครึ่งหนึ่งในปี 2030 และเปลี่ยนเป็นถุงที่ทำจากอ้อยในบางพื้นที่ และ FamilyMart สามารถลดการใช้พลาสติกได้แล้ว 30% เมื่อเทียบกับปี 2000 โดยการใช้ถุงพลาสติกที่บางลง
นอกจากการลดใช้ถุงพลาสติกแล้ว ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน ญี่ปุ่นก็วางแผนจะทำโพเดียมสำหรับรับเหรียญรางวัลจากพลาสติกรีไซเคิลอีกด้วย เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาของพลาสติกในโลกปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น

สรุป

ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องที่ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก การที่ญี่ปุ่นซึ่งกำลังจะจัดงานโอลิมปิกออกนโยบายจะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ และสร้างความตระหนักรู้ทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกหันมาสนใจปัญหานี้เพิ่มขึ้นด้วย

โดย nutmos

Source: Brandinside.asia
https://brandinside.asia/japan-will-charge-for-plastic-bag-use-in-stores/

- Japan to start plastic bag fee before Tokyo Olympics: https://asia.nikkei.com/Politics/Japan-to-start-plastic-bag-fee-before-Tokyo-Olympics

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jun 16) "สถานการณ์สูงวัยกับผลิตภาพและการทำเกษตรของครัวเรือนเกษตรไทย" การเข้าสู่สังคมสูงวัยรุนแรงแค่ไหนในภาคเกษตรไทย? และมีนัยอย่างไรต่อการพัฒนาของเกษตรกรไทย
บทความนี้พยายามเข้าใจถึงความรุนแรงและผลกระทบของการเข้าสู่สังคมสูงวัยของครัวเรือนเกษตร โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีรายละเอียดของสมาชิกในทุกครัวเรือนเกษตรไทยมาฉายภาพสถานการณ์สูงวัยของครัวเรือนจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในระดับครัวเรือน และความสัมพันธ์ของสถานการณ์สูงวัยในครัวเรือนต่อวิถีการทำเกษตรและระดับผลิตภาพของครัวเรือนเกษตร ผลการศึกษานี้อาจมีนัยต่อการมุ่งเป้าและออกแบบนโยบายภาคเกษตรไทย

สามารถอ่านบทความวิจัย aBRIDGEd เพิ่มเติมได้ที่ https://www.pier.or.th/?post_type=abridged&p=6704
โดย
1. โสมรัศมิ์ จันทรัตน์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
SommaraC@bot.or.th
2. บุญธิดา เสงี่ยมเนตร
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
boontids@bot.or.th
3. วิษณุ อรรถวานิช
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
witsanu.a@ku.ac.th
4. จิรัฐ เจนพึ่งพร
ธนาคารแห่งประเทศไทย
JirathC@bot.or.th
Source: PIER FB

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jun 17) อิหร่านเผย! จะฝ่าฝืนเกณฑ์ควบคุม “ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ” ภายใน 10 วัน : อิหร่าน ระบุในวันนี้ (17) ว่า พวกเขาจะฝ่าฝืนเกณฑ์ควบคุมคลังยูเรเนียมสมรรถนะต่ำของนานาชาติภายใน 10 วัน ความเคลื่อนไหวที่น่าจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดกับวอชิงตัน แต่อิหร่านเสริมว่า กลุ่มประเทศยุโรปยังพอมีเวลารักษาข้อตกลงนิวเคลียร์

ความตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่านเลวร้ายลงหลังจากรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวหาว่า เตหะรานทำการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันสองลำเมื่อวันพฤหัสบดี (13) ในอ่าวโอมาน เส้นทางขนส่งน้ำมันเส้นสำคัญ อิหร่านปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ

“เราเพิ่มอัตราการเสริมสมรรถนะขึ้นมา 4 เท่าและปรับขึ้นอีกเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นภายใน 10 วัน มันจะพ้นเกณฑ์ควบคุม 300 กิโลกรัม” เบห์รูซ คามัลวานดี โฆษกองค์กรพลังงานปรมาณูแห่งอิหร่าน กล่าวกับช่องโทรทัศน์ทางการ “ยังมีเวลาเหลืออยู่ หากกลุ่มประเทศยุโรปทำอะไรสักอย่าง”

เมื่อเดือนพฤษภาคม เตหะราน ระบุว่า พวกเขาจะลดการปฏิบัติข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำกับกลุ่มมหาอำนาจโลกในปี 2015 เพื่อเป็นการประท้วงสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงเพียงฝ่ายเดียวและเริ่มใช้การคว่ำบาตรอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว

ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อขายเวลาที่อิหร่านจะต้องใช้ในการผลิตวัสดุฟิสไซล์ให้เพียงพอสำหรับระเบิดนิวเคลียร์จากหลายเดือนเป็นอย่างน้อยหนึ่งปี

ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้คลังยูเรเยีมสมรรถนะต่ำของอิหร่านมียูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์เสริมสมรรถนะ 3.67 เปอร์เซ็นต์หรือเทียบเท่าได้ไม่เกิน 300 กิโลกรัมเป็นเวลา 15 ปี

สหรัฐฯและองค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศเชื่อว่า อิหร่านมีโครงการอาวุธนิวเคลียร์ที่พวกเขาเคยละทิ้งไปแล้ว เตหะรานปฏิเสธว่ามันไม่เคยมีอยู่

คามัลวานดี กล่าวเสริมว่า “ยังพอมีเวลาสำหรับยุโรป แต่ยุโรปได้แสดงให้เห็นถึงความไร้สามารถอย่างอ้อมๆ พวกเขาไม่ควรคิดว่าหลังจาก 60 วัน (เส้นตายที่กำหนดโดยอิหร่านในเดือนพฤษภาคม) พวกเขาจะมีโอกาสอีก 60 วัน”

อิหร่านวิจารณ์หลายครั้งถึงความล่าช้าในการจัดตั้งกลไกของยุโรปที่จะปกป้องไม่ให้การค้ากับอิหร่านได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ในความพยายามเพื่อรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์

Source: ผู้จัดการออนไลน์

- Iran says it will break internationally-agreed limit on uranium levels in 10 days
https://www.cnbc.com/2019/06/17/ira...greed-limit-on-uranium-levels-in-10-days.html

เรื่องเดิม
- สหรัฐฯ ยัน กำลังพิจารณาใช้ทหารกับอิหร่าน หลังเรือบรรทุกน้ำมันถูกโจมตี
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1593420

- ปรินซ์ซาอุฯ ฟันธง อิหร่านระเบิดเรือ 2 ลำในอ่าวโอมาน
https://www.thaipost.net/main/detail/38704

- อังกฤษมีหลักฐานยิงเรือน้ำมันฝีมืออิหร่าน
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/837978

**********************
ลูกเรือน้ำมันญี่ปุ่นเล่าเหตุการณ์โจมตีคนละแบบกับสหรัฐ

ประธานบริษัทเจ้าของเรือบรรทุกน้ำมันของญี่ปุ่นซึ่งถูกโจมตีในอ่าวโอมาน กล่าวว่าลูกเรือเห็น "วัตถุโจมตีที่บินได้" เคลื่อนตรงเข้ามาที่เรือก่อนเกิดเหตุ สวนทางกับข้อมูลของสหรัฐ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ว่าสืบเนื่องจาก "เหตุวินาศกรรม" ต่อเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมาน บริเวณปากช่องแคบฮอร์มุซ ในอ่าวเปอร์เซีย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยเรือลำที่ตกเป็นเป้าหมายคือเรือ “โคคุกะ คอเรเจียส” ของญี่ปุ่น และเรือ “ฟร้อนต์ อัลแตร์” ของนอร์เวย์ ขณะที่เรือตรวจการณ์ของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ( ไออาร์จีซี ) ให้ความช่วยเหลือลูกเรือทั้ง 23 คนจากเรือของนอร์เวย์ และเรือลาดตระเวนของกองทัพสหรัฐให้ความช่วยเหลือลูกเรือทั้ง 21 คนจากเรือของญี่ปุ่นได้อย่างปลอดภัย หลังจากนั้นรัฐบาลวอชิงตันและซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( ยูเออี ) กล่าวหาอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังนั้น

นายยูทากะ ทาคาดะ ประธานบริษัทเจ้าของเรือโคคุกะ คอเรเจียส กล่าวเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าได้มีโอกาสสนทนากับลูกเรือหลายคน ซึ่งให้ข้อมูลไปในทางเดียวกัน ว่าก่อนเกิดเหตุเห็น "วัตถุชนิดหนึ่งซึ่งน่าจะบรรจุกระสุนปืนเอาไว้ด้วย" หรือวัตถุนั้นเองที่เป็นวัตถุโจมตี เคลื่อนที่เข้ามาใกล้กับเรือ ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวเรือจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากขีปนาวุธหรือระเบิด เนื่องจากร่องรอยความเสียหายอยู่เหนือระดับน้ำ เช่นเดียวกับข้อสันนิษฐานเรื่องการโจมตีด้วยทุ่นระเบิดที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน

ทาคาดะกล่าวต่อไปว่า วัตถุที่บินมานั้นโจมตีเรือพลาดไปในครั้งแรก จึงบินวกกลับมาอีกครั้งและคราวนี้สร้างความเสียหายบริเวณใกล้กับห้องเครื่องยนต์ และหางเสือเรือ นอกจากนี้ ลูกเรือโคคุกะ คอเรเจียส ยืนยันด้วยว่าพบเห็นเรือตรวจการณ์ของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ( ไออาร์จีซี ) อยู่ในบริเวณนั้นด้วย แต่ไม่ชัดเจนว่าเรือเข้ามาก่อนหรือหลังเกิดเหตุ ขณะที่ลูกเรือและบริษทเจ้าของเรือฟร้อนต์ อัลแตร์ ยังปฏิเสธให้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาเกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม คำบอกเล่าของลูกเรือญี่ปุ่นขัดแย้งกับคลิปที่กองทัพสหรัฐเผยหลังจากนั้นไม่นาน แม้คลิปนั้นค่อนข้างเบลอและไม่มีการระบุช่วงเวลาอย่างชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลวอชิงตันยืนยันว่าเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ของไออาร์จีซีพยายามนำระเบิดด้านออกจากโพรงของเรือ 1 ใน 2 ลำที่เป็นเป้าหมาย และเผยด้วยว่าไออาร์จีซีมีประวัติใช้ทุ่นระเบิดโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันหลายลำ ระหว่างปี 2530 ถึง 2531.

Source : เดลินิวส์ออนไลน์
https://www.dailynews.co.th/foreign/715216

 

Setiawan

# BlackOut
อาร์เจนตินา, อุรุกวัย, ปารากวัยประสบไฟฟ้าดับมาก
กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังจากความมืดมนในวันอาทิตย์ ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายสิบล้านคนในอาร์เจนตินา และอุรุกวัย
สาเหตุของไฟฟ้าดับยังไม่ได้รับการพิจารณา

 

John Traczyk

มันเกิดขึ้นอีกครั้ง - น้ำทะเลชายฝั่งมากกว่า 2 ไมล์ หายไป! อ่าวเบิร์ช, วอชิงตัน วิดีโอ:

Its happening AGAIN - More than 2 MILES of coastal water vanishes! Birch Bay, WA. Video:

 

Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

คลื่นยักษ์สึนามิที่รุนแรงในประเทศจีน # 17 มิถุนายน