ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อาวุธยุทโธปกรณ์ และ เทคโนโลยี


    สีวิเศษ!!!!(เสียงโดเรม่อน)


    ศาสตรจารย์ ดร.Ridwam หัวหน้าศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุขั้นสูง (PSTBM) ของสำนักงานพลังงานนิวเคลียร์แห่งชาติ (BATAN) แห่งประเทศอินโดนีเซีย กำลังเริ่มต้นโครงการสีเคลือบพิเศษในการลดการตรวจจับเรดาร์


    สีพิเศษนี้จะถูกพัฒนาและสร้างขึ้นในอินโดนีเซียเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะส่วนผสมของสีลดการตรวจจับนั้นจะส่วนผสมมาจากในประเทศกว่า 85% และในอนาคตมีความต้องการที่จะสามารถผลิตสีเคลือบพิเศษนี้โดยใช้ส่วนผสมในประเทศทั้งหมด 100%


    โดยเป้าหมายหลักของการทำสีเคลือบพิเศษนี้ขึ้นมา ก็เพื่อลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ และสามารถทำภารกิจเข้าไปยังแนวหลังของข้าศึกโดยที่ข้าศึกไม่ทันรู้ตัว และในขั้นต้นนั้นทาง PSTBM จะทำการเริ่มพัฒนาสีสำหรับเรือก่อน


    ซึ่งหลักการทำงานของสีเคลือบนี้นั้นจะทำหน้าที่ดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเรดาร์ของศัตรูเพื่อให้สะท้อนกลับไปให้น้อยที่สุด ซึ่งก็จะหมายความว่า สีพิเศษที่ทางอินโดนีเซียจะทำนั้นก็มีคอนเซปเดียวกับ RAM (Radiation-absorbent material) หรือสารเคลือบลดการตรวจจับของเรดาร์ของทางฝั่งตะวันตกที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันนั่นเอง แต่จะพิเศษกว่าก็คือจะเป็นการพึ่งพาตนเองในระดับสูงมากของทางอินโดนีเซียเอง และต่อยอดอุตสาหกรรมต่อเรือรบของอินโดนีเซียไปในตัวด้วยเช่นกัน


    และนอกจากนี้นั้นทางอินโดนีเซียมีแผนที่จะสีเคลือบพิเศษดังกล่าวมาใช้กับอากาศยานด้วยเช่นกัน โดยจะมีการเริ่มทดสอบสีเคลือบพิเศษดังกล่าว ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2562


    //ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างน่าสนใจของอินโดนีเซีย ด้วยความพยายามที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับยุทโธปกรณ์ของตนเองโดยการพึ่งพาตนเองในระดับสูง ซึ่งหากเป็นไปได้สวยก็มีโอกาสที่จะเพิ่มทวีคูณความสามารถให้กับโครงการเครื่องบินขับไล่ IFX/KFX ที่ทางอินโดนีเซียร่วมมือกับทางเกาหลีใต้ งานนี้ก็คาดหวังว่าทางอินโดนีเซียจะทำสำเร็จนะครับ เผื่อบ้านเราจะได้อานิสงค์จากโครงการนี้บ้าง


    ที่มา : https://www.beritasatu.com/nasional/528665-batan-kembangkan-cat-khusus-anti-deteksi-radar.html


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สมัย โอบามาก็เป็นแบบนี้

    Economy by Than


    มะกัน "ชัตดาวน์" ส่อลากยาวถึงต้นปีหน้า เกษตรกรเจอผลกระทบ ชะลอจ่ายงบชดเชยสงครามการค้า #ฐานเศรษฐกิจ


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6692.JPG IMG_6693.JPG

    (Dec 26) ที่ประชุมร่วมกนง.-กนส. เชื่อระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ แต่ยังเฝ้าระวังความผันผวนทั้งจากใน-ตปท.ในอนาคต:ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.61 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

    ที่ประชุมมีความเห็นว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศมีความเข้มแข็ง สะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่อง และภาระหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดการเงินโลกในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ดี ระบบการเงินไทยยังมีความเปราะบางในบางจุดที่อาจมีนัยต่อเสถียรภาพในระยะต่อไป โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) ภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้าง แต่ยังต้องติดตามมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน อุปสงค์จากต่างชาติโดยเฉพาะจีนที่อาจชะลอลง และอุปทานจากโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (mixed-use) ที่จะเร่งขึ้นในอนาคต และ (2) พฤติกรรมการแสวงหา

    ผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ออมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่

    ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีความเปราะบางสะสมในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย แม้ความเสี่ยงจากการแข่งขันกันรุนแรงในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ส่งผลให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อหย่อนลง จะได้รับการดูแลไปในระดับหนึ่งแล้วจากการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย แต่ยังต้องติดตามการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลใหม่ และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน โดยอัตราส่วนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อรายได้ผู้กู้ (loan-to-income: LTI) ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาระผ่อนชำระหนี้เทียบกับรายได้ต่อเดือน (debt service ratio: DSR) ของครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยยังอยู่ในระดับสูง

    ขณะเดียวกัน ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากภาวะอุปทานคงค้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอุปสงค์จากต่างชาติ โดยเฉพาะจีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดอาคารชุด จึงต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่อุปสงค์ในส่วนนี้อาจลดลง หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ขณะที่อุปทานพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกมีแนวโน้มเร่งขึ้นจากโครงการ mixed-use โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงปี 2563 เป็นต้นไป ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและภาวะอุปทานคงค้างในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

    พฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ยังมีอยู่ต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) การลงทุนในต่างประเทศของกองทุนรวมตราสารหนี้ยังคงกระจุกตัวสูงในบางประเทศและสถาบันการเงิน ซึ่งแม้จะมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในเกณฑ์ดีและมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน แต่อาจทำให้มูลค่ากองทุนอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงรายประเทศ และสถาบันการเงินที่ทำธุรกรรม (counterparty risk) ได้ สำหรับพฤติกรรม search for yield ผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง สะท้อนจากเงินรับฝากและเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ยังขยายตัวสูง รวมทั้งพบว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่บางแห่งกู้ยืมเงินระยะสั้นเพื่อมาลงทุนในหลักทรัพย์มากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความผันผวนของมูลค่าเงินลงทุน

    ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการยกระดับการกำกับดูแลระบบสหกรณ์ แต่ต้องเร่งพัฒนากระบวนการกำกับดูแลความเสี่ยงและธรรมาภิบาล เพื่อให้ระบบสหกรณ์ออมทรัพย์มีความเข้มแข็ง สามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับปรัชญาของสหกรณ์โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพการเงินโดยรวม

    กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีการเร่งระดมทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ โดยหลายกลุ่มขยายการลงทุนออกจากธุรกิจหลักดั้งเดิมและออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้การประเมินความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ทำได้ยากขึ้น และอาจนำไปสู่ underpricing of risks นอกจากนี้ บางกลุ่มธุรกิจได้ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (perpetual bond) เพิ่มขึ้น ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และเน้นการให้ข้อมูลความเสี่ยงที่ชัดเจนและครบถ้วนแก่นักลงทุน ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญกับระบบการเงิน ทั้งจากโครงสร้างกลุ่มธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากสินเชื่อและตราสารหนี้

    ในระยะต่อไป ระบบการเงินไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะการเงินโลกที่มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น ความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก มาตรการกีดกันทางการค้า และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical risks) ที่ประชุมจึงเห็นว่าต้องติดตามบางจุดที่อาจสร้างความเปราะบางให้กับระบบการเงินไทย ได้แก่ ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์หากอุปสงค์ต่างชาติชะลอลงและอุปทานจากโครงการ mixed-use เร่งขึ้นในอนาคต ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและ SMEs ในบางภาคธุรกิจ รวมถึงพฤติกรรม search for yield ซึ่งอาจนำไปสู่การ underpricing of risks โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสหกรณ์ออมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่

    ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะร่วมกันประเมินและติดตามความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปรับปรุงและบังคับใช้กฎเกณฑ์การกำกับดูแลให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ

    Source: อินโฟเควสท์ โดย ธปฦ/กษมาพร/รัชดา

    อ่านข่าว ธปท.
    https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2561/n7961t.pdf
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6694.JPG
    (Dec 26) ขีดจำกัดของทรัมป์และสหรัฐฯ - เดือนธันวาคมปีนี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วสหรัฐฯ ได้เรียนรู้ว่า เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งโดยปกติจะเป็นเดือนขาขึ้นของดัชนีตลาดและราคาหุ้น แต่ปีนี้ นอกจากจะไม่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า December Effect หรือ Santa Claus Rally แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นสถิติใหม่ของเดือนธันวาคมที่เลวร้ายสุดรอบ 87 ปี นับตั้งแต่ ค.ศ. 1931 เป็นต้นมา



    ความเลวร้ายที่เกิดในช่วงเวลาคริสต์มาสอีฟที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก แล้วส่งผลพวงต่อเนื่องเป็นวงกว้างในวันวันคริสต์มาส เริ่มจากตลาดหุ้นนิวซีแลนด์-ออสเตรเลีย ลุกลามไปที่โตเกียวแล้วก็ทั่วทั้งเอเชีย สำหรับตลาดที่ไม่ได้หยุดทำการ ทำให้นักลงทุนขวัญผวา ถือว่าปีนี้ไม่น่าบันเทิงใจเอาเสียเลย



    ความเลวร้ายของบรรยากาศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ ที่ดัชนี SET ร่วงหลุดแนวรับ 1,590 จุดอย่างสิ้นสภาพนับแต่เปิดตลาด หลังจากที่สองวันทำการที่ผ่านมา บรรดากองทุนรวมได้พยายามทำวินโดว์เดรสซิ่งด้วยมุมมองฝืนธรรมชาติแบบโลกสวย จนต้องยอมปรับท่าทีใหม่ขายทิ้งเพื่อปรับพอร์ตใหม่ ซึ่งมีผลให้ดัชนีต้องหาแนวรับใหม่อุตลุด



    คำถามคือ แนวรับไหน จะเอาอยู่ เพราะดูเหมือนสัญญาณเทคนิคจะใช้การไม่ได้ชั่วคราว เหตุผลคือ สหรัฐฯ เริ่มแสดงให้เห็นขีดจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และที่ร้ายกว่านั้น โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มแสดงขีดจำกัดความสามารถในการเป็นผู้นำที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่เคยคุยโตช่วงหาเสียงคือ “นำอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”



    การแสดงออกดุจหมาบ้าของทรัมป์ล่าสุด เมื่อเขาออกโรงใช้ถ้อยคำรุนแรงจู่โจมทางวาจากล่าวโทษธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ว่ากำลังซ้ำเติมความกังวลแก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเปรียบเทียบเฟดว่าเป็นเหมือน "นักกอล์ฟที่ซุ่มซ่าม"



    คำพูดที่เริ่มต้นในทวิตเตอร์ส่วนตัวของทรัมป์ ที่ระบุว่า "ปัญหาทางเศรษฐกิจเดียวของเราคือเฟด....เฟดอยากเป็นนักกอล์ฟทรงพลัง แต่ไม่สามารถทำสกอร์ได้เพราะไม่มีสัมผัส พวกเขาพัตต์ไม่เป็น" ถือเป็นถ้อยคำอันรุนแรง ที่สอดรับกระแสข่าวลือว่าอาจจะมีการปลดเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากประธานเฟด



    เหตุผลคือ การที่เฟดมีแนวทางนโยบายการเงินที่เป็นอิสระจากทำเนียบขาว ซึ่งดูแลนโยบายการคลัง ทำให้ทรัมป์แสดงความผิดหวังอย่างเกรี้ยวโกรธต่อสิ่งที่เขาเรียกว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยแย่ ๆ ของธนาคารกลาง



    ทรัมป์ ซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัมย์มาเกือบตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยชื่นชอบกับการขึ้นดอกเบี้ย และยังชอบอวดอ้างเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของสหรัฐฯ ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จหลักของเขาในฐานะประธานาธิบดี ขณะที่ในระยะอันใกล้นี้ นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นต่อสไตล์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของทรัมป์และสงครามการค้าของเขากับจีน เพราะผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่พุ่งขึ้น



    คำกล่าวของทรัมป์ที่บอกว่าเฟดไม่เห็นใจตลาด ไม่เข้าใจถึงความจำเป็นของการทำสงครามการค้า และดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่เหตุชัตดาวน์โดยเดโมแครตเกี่ยวกับประเด็นชายแดน สะท้อนมุมมองส่วนตัวที่นักลงทุนพากันส่ายหน้าด้วยความระอาไปตาม ๆ กัน



    ความเคลื่อนไหวล่าสุด ที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักใต้ 22,000 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากรณีนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เรียกหารือร่วมกับผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่ 6 แห่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความเพียงพอของสภาพคล่องในตลาด ทำให้ไม่สามารถบรรเทาความวิตกกังวลของนักลงทุนได้ เพราะข่าวลือที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งประธานเฟด เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดเช่นกัน



    นายมนูชินได้หารือกับผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่ 6 แห่งของสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ผู้บริหารของโกลด์แมน แซคส์, เจพี มอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าธนาคารเหล่านี้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ ขณะที่ผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่เหล่านี้ต่างก็ยืนยันว่าธนาคารยังมีสภาพคล่องเพียงพอในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภค



    นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้นายมนูชินได้ออกมาสร้างความเชื่อมั่นด้วยการหารือกับ 6 ผู้บริหารธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ เจพี มอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, โกลด์แมน แซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, เวลส์ ฟาร์โก และธนาคารซิตี้กรุ๊ป แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ตลาดคลายความวิตกกังวลลงได้ นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่า การที่นายมนูชินได้เรียกประชุมคณะทำงานด้านตลาดการเงินของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือกลุ่มเฉพาะกิจเพื่อป้องกันการทรุดตัวของตลาด (Plunge Protection Team) เมื่อวานนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้



    นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่หน่วยงานบางส่วนของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ ขณะที่นายมิค มัลวานีย์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณแห่งทำเนียบขาวเตือนว่า ภาวะชัตดาวน์อาจจะยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 3 ม.ค.ปีหน้า หลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่อนุมัติร่างกฎหมายที่บรรจุงบประมาณสำหรับก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ตามความประสงค์ของประธานาธิบดีทรัมป์



    หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนัก ขณะที่หุ้นแอปเปิล ร่วงปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 2560 นอกจากนี้ มูลค่าตลาดของบริษัทแอปเปิล อิงก์ ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 7 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2560



    สถานการณ์อย่างนี้ ต่อให้กองทุนคิดจะทำวินโดว์เดรสซิ่ง ก็คงได้แค่คิด แต่ไม่กล้าทำ การเร่งขายหนักของกองทุนวานนี้ ส่งสัญญาณมากกว่าถอย



    คริสต์มาสปีนี้ ตลาดหุ้นทั้งโลก มีสีแดงมากกว่าปกติ ยกเว้นตลาดที่ปิดทำการ


    คอลัมน์ พลวัตปี2018: วิษณุ โชลิตกุล

    Source: ข่าวหุ้น


    ความคืบหน้า

    - U.S. stock futures turn higher as market readies to reopen after Christmas Eve meltdown

    https://www.marketwatch.com/story/u...eopen-after-christmas-eve-meltdown-2018-12-26
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOREMOVE


    #มอร์มูฟเป็นข่าว ข่าวร้ายมหาวิทยาลัยไทย!!! "เด็กมีจำนวนน้อยลง #ไม่สนใจเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพราะเทคโนโลยีกว้างไกล เด็กรักอิสระมากขึ้น" ทปอ.เร่งแก้ปัญหา ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้อุดมศึกษา #ดิ้นหาทางออก ประธาน ทปอ.เผยซ้ำ ทีแคส 2562 มหาวิทยาลัย 92 แห่ง รับนักศึกษา 3.9 แสนที่นั่ง #แต่เด็กสมัครเรียนไม่ถึง3แสนคน มีที่นั่งเหลือ 127,646 #ผู้สมัครมีจำนวนน้อยกว่าปีที่ผ่านมามาก จำนวนที่นั่งที่มหาวิทยาลัยเปิดรับมีมากกว่าจำนวนนักเรียนถึง 2 เท่า


    Source : https://www.brighttv.co.th/latest-news/318903


    โดยเรื่องนี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ของอุดมศึกษาไทยในปี 2562 พบว่า #มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องปรับตัวเพราะจำนวนนิสิตนักศึกษาจะลดน้อยลง โดยพิจารณาได้จากการเปิดรับสมัครลงทะเบียนของระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือ TCAS (ทีแคส) ประจำปีการศึกษา 2562 พบว่า จากมหาวิทยาลัย 92 แห่งเปิดรับนิสิตนักศึกษา จำนวน 390,120 คน แต่มีผู้มาลงทะเบียนในระบบ 262,474 คน มีที่นั่งเหลือ 127,646 ซึ่งผู้สมัครมีจำนวนน้อยกว่าปีที่ผ่านมามาก ดังนั้น ทปอ.การันตีได้ว่า จำนวนที่นั่งที่มหาวิทยาลัยเปิดรับมีมากกว่าจำนวนนักเรียน 2 เท่า


    “ปี 2562 เป็นปีที่น่ากลัวมากสำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย #ที่ผ่านมาเราไม่ทราบถึงปัญหานี้ เพราะมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเปิดรับนิสิตนักศึกษาเอง เมื่อมีทีแคส 2561 ทำให้ ทปอ.ทราบปัญหานี้ทันที และปี 2562 มหาวิทยาลัยมาถึงจุดเผาแล้ว คือเด็กมีจำนวนน้อยลง เด็กไม่สนใจที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพราะเทคโนโลยีกว้างไกล เด็กรักอิสระมากขึ้น” ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าว


    ทปอ.มีมติตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ระดับอุดมศึกษา (University Learning Reform Committee) โดยมี ศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน รองประธาน ทปอ.เป็นประธาน #เพื่อปฏิรูปการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย เพราะการปฏิรูปครั้งนี้ หากมหาวิทยาลัยทำกันเองจะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนมาก ทปอ.จึงเข้ามาช่วยเป็นศูนย์กลางในการปฏิรูปให้


    “มหาวิทยาลัยต้องปรับตัว เช่น วิชาเลือกต้องมีมากขึ้น ปรับวิชาบังคับน้อยลง ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพในการสอนต้องดึงนิสิตนักศึกษาที่เรียนจบไปแล้ว หรือคนอายุ 60 70 ปีที่ยังมีกำลังและสติปัญกลับเข้ามาเรียนใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่คนเหล่านี้มากขึ้น” ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าว


    สถาบัน 5 อันดับแรกที่มีจำนวนรับนักศึกษามากที่สุด ได้แก่

    - ม.สงขลานครินทร์ รับ 36,650 คน

    - ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 22,017 คน

    - ม.เกษตรศาสตร์ 19,973 คน

    - ม.พะเยา 17,728 คน

    - ม.บูรพา 17,633 คน


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา


    "จอห์น แองกลิน"

    หนึ่งในนักโทษที่แหกคุกอัลคาทาซ เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ได้ส่งจดหมายมาให้สำนักข่าวแห่งหนึ่งเมื่อปี 2013 แต่เพิ่งได้รับการเปิดเผยเป็นทางการจาก FBI เมื่อต้นปี 2018 นี่เอง


    มีใจความสำคัญว่า "เขาอายุ 83 แล้ว อีกสองคนตายหมด ต้องการรับโทษแลกกับการรักษามะเร็ง .."


    เนื้อความจดหมาย "ผมจอห์น แองกลิน ผู้ที่หลบหนีจากคุกอัลคาทาทาซ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1962 พร้อมกับพี่ชายและเพื่อนของเราแฟรงค์ ตอนนี้ผมอายุ 83 ปีแล้ว ซึ่งดูไม่ค่อยดีนักเพราะผมป่วยเป็นมะเร็ง ใช่..ผมรู้ว่าสิ่งที่เราทำกันในคืนนั้นมันฉิวเฉียดมาก แฟรงก์เสียชีวิตเมื่อปี 2005 หลุมศพของเขาถูกฝังอยู่ที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ภายใต้ใช้ชื่ออื่น ส่วนพี่ชายของผมเสียชีวิตเมื่อปี 2011


    ..หากคุณเผยแพร่จดหมายฉบับนี้ ผมสัญญาว่าจะมอบตัวเพื่อรับโทษไม่เกิน 1 ปี และต้องได้รับการรักษาพยาบาล ผมจะเขียนถึงคุณอีกครั้งเพื่อให้คุณรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นี่คือเรื่องจริงขอยืนยันด้วยความสัตย์จริง.."


    จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมายังสำนักข่าวแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2013 แต่เพิ่งได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะชน ซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 5 ปี เพราะ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถสรุปได้ว่า จดหมายฉบับนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดพอว่าเป็นลายมือของนักโทษคนดังกล่าวจริง ซึ่งหากเปิดเผยไปเลยก็อาจเป็นการปล่อยข้อมูลเท็จ แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายถูกส่งเข้ามา แต่หลักฐานทั้งหมดกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ เป็นของปลอม


    ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตัดสินใจประกาศเรื่องนี้แก่สาธารณะชน เพราะต้องการเริ่มการสืบสวนอีกครั้ง และหากพิสูจน์ได้ว่า จดหมายฉบับนี้เป็นของจริง ก็จะช่วยยืนยันได้ว่าภารกิจการหลบหนีคุกที่ได้ชื่อว่า"ไร้จุดอ่อน" สำเร็จตามตำนานที่ถูกเล่าต่อกันมานานกว่า 56 ปี เพราะก่อนนี้มีข่าวลือว่า แฟรงก์ มอริส จมน้ำตายก่อนจะรอดถึงฝั่ง !

    via, jenjira1958


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    George Nammour

    IMG_6696.JPG IMG_6697.JPG IMG_6698.JPG
    เอตนากำลังค่อยๆลื่นไถลลงไปในทะเล: "เป็นไปไม่ได้ ที่จะ ทำนาย ว่า มัน จะ ทำให้เกิด สึนามิ"

    เพื่อเป็นสิ่งที่ดีที่สุด http://www.meteoweb.eu/2018/10/etna...geologia-sicilia/1163419/#5VX05t5VE6JzYDap.99


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กองข่าวอากาศ (เหล่าอุตุนิยมวิทยา) WEATHER DIVISION RTAF THAILAND

    IMG_6699.JPG
    มวลอากาศเย็นที่มีกำลังแรงระลอกใหม่กำลังแผ่ลงมา

    บริเวณประเทศไทยจะมีอุณหภูมิลดลงหลายองศาเซลเซียส ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.61 เป็นต้นไป มีกลุ่มเมฆจากหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้เข้ามา

    ทำให้เกิดฝนร่วมด้วยได้โดยเฉพาะทางด้านตะวันออก

    ข้ามไปปี62 แบบจำลองวิเคราะห์ว่ามีโอกาสที่พายุเขตร้อนจะมาเกิดอีกลูก น่าสนใจและติดตามในช่วงวันที่ 3 ม.ค.62 โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง


    ที่มา แผนที่อากาศกรมอุตุนิยมวิทยา

    แบบจำลอง GFS


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จังหวัดนครศรีธรรมราช


    #สงขลา ป่วนสงขลา ระเบิด 2 ครั้งสนั่นหาดสมิหลา รูปปั้นนางเงือกทองหางกระจุย - ผู้ว่าฯ สงขลาพร้อมฝ่ายความมั่นคง รุดตรวจสอบพื้นที่ชายหาด หลังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น 2 จุด ในเวลาไล่เลี่ยกัน ยังไม่ชัดเป็นการสร้างสถานการณ์หรือสาเหตุใด...


    เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. วันที่ 26 ธ.ค. 2561 ผู้ส่อข่าวได้รับรายงานว่า เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกันบริเวณชายหาดแหลมสมิหลา แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของ จ.สงขลา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครสงขลา โดยจุดที่เกิดระเบิดอยู่ตรงบริเวณรูปปั้นนางเงือกทอง และรูปปั้นหนูกับแมว ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 200 เมตร และเป็นสัญลักษณ์ของชายหาดแหลมสมิหลา แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุได้เนื่องจากมืดและเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบอีกครั้ง พร้อมกับปิดกั้นบริเวณจุดเกิดเหตุทั้งสองจุด แต่ในเบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ส่วนจะเป็นระเบิดชนิดใดและเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์หรือไม่นั้นยังไม่สามารถระบุได้ ต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ที่เกิดเหตุและการประเมินเหตุการณ์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง



    หลักฐานที่เจ้าหน้าที่พบในจุดเกิดเหตุ

    ด้าน นายวีรนันท์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อสรุปสถานการณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเกี่ยวกับระเบิดที่เกิดขึ้น


    ล่าสุดเจ้าหน้าที่กล่าวว่าคนร้ายได้ลอบวางระเบิดเพื่อข่มขู่ มิได้หวังผล คาดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ เนื่องจากเป็นเพียงระเบิดที่มีเสียงดังเท่านั้น ประกอบกับในการจุดระเบิดเป็นช่วงกลางดึก จึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และไม่มีผู้เสียชีวิต แต่รูปปั้นนางเงือกทองได้รับความเสียหายบริเวณหาง ขณะนี้หน่วยเก็บกู้ระเบิด EOD จากตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลากั้นไม่ให้ผู้ใดเข้าที่เกิดเหตุแล้ว


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6700.JPG
    (Dec 26) ผวาเศรษฐกิจมะกันเข้าสู่ภาวะชะลอตัว-'ทรัมป์'ขู่ปลดปธ.เฟด สหรัฐ'ป่วน'ทุบหุ้นโลกดิ่ง : นักลงทุนผวาเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หลังสหรัฐ ชัตดาวน์หน่วยงาน 1 ใน 4 กดดันหุ้นทั่วโลก ดิ่งรับ "คริสต์มาส" ดัชนีนิกเคอิหนักสุดร่วงกว่า 5% ต่ำสุดรอบ 20 เดือน ผลพวงจาก "ดาวโจนส์" ทรุด 4 วันติด ขณะกระแสข่าวปลดประธานเฟดผสมโรง ฉุดดอลลาร์อ่อน สวนทาง ราคาทองคำพุ่ง ด้าน ตลาดหุ้นไทย ร่วงกว่า 2.18% จากสารพัดปัจจัยลบต่างชาติ นักวิเคราะห์ ชี้ พี/อี หุ้นไทยเริ่มถูก

    ตลาดหุ้นเอเชียปิดตลาดวานนี้ (25 ธ.ค.) ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก ในวันก่อนหน้า ขณะที่ตลาดหุ้นหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และตลาดหุ้นอินเดีย ปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาส ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังเปิดตลาด ดัชนีร่วงแรงกว่า 34.64 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ราคาตลาดวันเดียวหายไปกว่า 3.53 แสนล้านบาท

    ทั้งนี้ ดัชนีนิกเคอิตลาดหุ้นโตเกียว ปิดดิ่งลงไปกว่า 5% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2560 โดยภาวะการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก ที่ร่วงหนักอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้หุ้นส่งออกยังได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินเยน

    หุ้น"นิกเคอิ"ปิดร่วง5%

    สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า ดัชนีนิกเคอิปิดร่วงลง 1,010.45 จุด หรือ 5.01% แตะที่ 19,155.74 จุด โดยหุ้นปรับตัวลดลงทุกกลุ่ม นำโดยเครื่องมือวัด เภสัชกรรม และเครื่องจักร

    นายทาโร อาโสะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น กล่าวว่า การร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นโตเกียวว่า เกิดจาก การที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากเกินไป การที่ดัชนีนิกเคอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงกว่า 5% จนหลุดจากแนว 20,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือน เกิดจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้น "ผมอยากบอกว่านักลงทุนไม่ควรต้องตื่นตระหนกมากเกินไป เพราะยังไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับบริษัททั้งหลายเลย"

    ขณะเดียวกัน นายโทชิมิตสึ โมเทกิ รัฐมนตรีด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเงิน ของญี่ปุ่นออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน โดยระบุว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ดังจะเห็นได้จากผลกำไรที่มากเป็นประวัติการณ์ของบรรดาบริษัทต่างๆ

    "ทรัมป์"ตำหนิเฟดต้นตอหุ้นร่วงหนัก

    ด้าน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ตำหนิธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีกครั้ง เมื่อวันที่ 24ธ.ค. หลังตลาดหุ้นสหรัฐยังคงร่วงลงต่อเนื่อง รวมถึงข่าวลือที่ว่า ปธน.ทรัมป์อยู่ระหว่างพิจารณาขับนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง

    ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความว่า "ปัญหาของเศรษฐกิจสหรัฐคือเฟด พวกเขาไม่มีความเข้าใจตลาด ไม่เข้าใจถึงความจำเป็นในการทำสงครามการค้า หรือการแข็งค่าของเงินดอลล์ หรือการที่พรรคเดโมแครตปฏิเสธอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงจนเกิดภาวะชัตดาวน์เฟดก็เหมือนโปรกอล์ฟ ที่ทำแต้มไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้สึก ถึงตีลูกลงหลุมไม่ได้"

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (24ธ.ค.)ร่วงลง โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงกว่า 650 จุด หรือ 2.9% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดปรับตัวลง 2.7% และดัชนี แนสแด็กปิดปรับตัวลง 2.2%

    นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวผ่านทาง ทวิตเตอร์ โดยกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ไม่เคยบอกว่าจะปลดประธานเฟดและไม่คิดว่าตนเองมีสิทธิทำเช่นนั้น แต่นายมนูชินก็กล่าวว่า ผู้นำสหรัฐยอมรับว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบายของเฟด

    ดอลล์อ่อนหนุนทองทะยาน

    สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดวันจันทร์ (24ธ.ค.)พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงิน ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ การที่ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลง อย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

    สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 13.70 ดอลลาร์ หรือ 1.09% ปิดที่ 1271.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.ปีนี้ สัญญาทองคำได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น และหันเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างหนักติดต่อกันเป็นวันที่ 4 อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับหน่วยงานบางส่วนของสหรัฐต้องถูก ชัตดาวน์ และข่าวลือที่ว่า ทรัมป์ ต้องการปลดนายพาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟด

    หวั่นน้ำมันล้นตลาดฉุดราคาปิดร่วง

    สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดวันจันทร์ (24ธ.ค.)ร่วงลงกว่า 6% โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐ รวมทั้งความวิตกกังวลที่ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจส่งผลให้ความต้องการพลังงานถดถอยลงด้วย

    สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 3.06 ดอลลาร์ หรือ 6.7% ปิดที่ 42.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 2560 ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.พ. ดิ่งลง 3.35 ดอลลาร์ หรือ 6.2% ปิดที่ 50.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ปัจจัยลบกดดันหุ้นไทยดิ่ง2.18%

    นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 10 แท่น สู่ระดับ 883 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันมากที่สุด นับตั้งแต่สัปดาห์ต้นเดือนพ.ย.

    ด้าน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 34 จุด ตามตลาดหุ้นต่างชาติ โดยปิดที่ 1,556.65 จุด หรือลดลง 2.18% มูลค่าการซื้อขายรวม 33,018.22 ล้านบาท จากปัจจัยต่างประเทศกดดดันทั้ง ข่าวการชัตดาวน์ของสหรัฐ กระแสการปลดประธานเฟด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ส่งผลนักลงทุนโยกแงินลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 12.54 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 2,911.28 ล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ ขายสุทธิ 767.73 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อสุทธิราว 3,691 ล้านบาท

    ลุ้นนักลงทุนสถาบันทำราคาปิด

    นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.).เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนี ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศหลายเรื่อง เช่น จากเรื่องการปิดหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐ จึงทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงกว่า 653.17 จุด หรือเกือบ 3 % และกระแสข่าวที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจะมีการปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าที่มีผลกระทบมากขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก

    ขณะที่ ภายในประเทศไทยนั้นไม่มีปัจจัยบวก ทำให้มูลค่าการซื้อขายเบาบาง และเมื่อเจอกับปัจจัยลบต่างประเทศที่เข้ามากระทบทำให้มีแรงขายออกมาจึงทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลเร็ว แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลดลงน้อยกว่าภูมิภาค ที่ปรับตัวลดลง แรงกว่า


    "หุ้นไทยวันนี้จากที่ดัชนีที่ปรับตัวลดลงมานั้น มีระดับ P/E เพียง 14.30 เท่าซึ่งถือว่าถูกมาก จึงเชื่อว่าจะมีแรงซื้อจากกองทุนหุ้นระยะยาว ( LTF) และมีแรงจูงใจให้นักลงทุน สถาบันมีการทำราคาปิด (Window dressing) ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไม่มาก โดยมองแนวรับที่ระดับ 1,550 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,585 จุด"

    บาทแข็งกดดันราคาทองในประเทศ

    นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดโลก ที่ปรับตัวพุ่งขึ้นแรง ทำสถิติสูงสุดรอบ 6 เดือน เชื่อว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากนักลงทุนแห่เข้ามาถือทองคำแทนค่าเงินดอลลาร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่มีสัญญาณ อ่อนตัวลง

    ประกอบกับภาวะสงครามการค้าที่มีผลกระทบต่อหลายประเทศและความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวยิ่งกดดันให้นักลงทุนเลือกเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ

    นอกจากนี้ การเข้าสู่ฤดูกาลช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งปกติทั่วโลกมักจะใช้ปริมาณทองคำมากอยู่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม มองว่าแม้ราคาทองคำตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก แต่สวนทางกับราคาทองคำในไทยที่ขยับขึ้นไม่มากเพียง 50 บาท เนื่องจากทิศทางค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำหลังจากนี้คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว


    ทั้งนี้ประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ระดับ 1,245 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านที่ระดับ 1,275 ดอลลาร์ต่อออนซ์


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_6701.JPG
    (Dec 26) ขีดจำกัดของทรัมป์และสหรัฐฯ - เดือนธันวาคมปีนี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วสหรัฐฯ ได้เรียนรู้ว่า เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งโดยปกติจะเป็นเดือนขาขึ้นของดัชนีตลาดและราคาหุ้น แต่ปีนี้ นอกจากจะไม่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า December Effect หรือ Santa Claus Rally แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นสถิติใหม่ของเดือนธันวาคมที่เลวร้ายสุดรอบ 87 ปี นับตั้งแต่ ค.ศ. 1931 เป็นต้นมา

    ความเลวร้ายที่เกิดในช่วงเวลาคริสต์มาสอีฟที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก แล้วส่งผลพวงต่อเนื่องเป็นวงกว้างในวันวันคริสต์มาส เริ่มจากตลาดหุ้นนิวซีแลนด์-ออสเตรเลีย ลุกลามไปที่โตเกียวแล้วก็ทั่วทั้งเอเชีย สำหรับตลาดที่ไม่ได้หยุดทำการ ทำให้นักลงทุนขวัญผวา ถือว่าปีนี้ไม่น่าบันเทิงใจเอาเสียเลย

    ความเลวร้ายของบรรยากาศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ ที่ดัชนี SET ร่วงหลุดแนวรับ 1,590 จุดอย่างสิ้นสภาพนับแต่เปิดตลาด หลังจากที่สองวันทำการที่ผ่านมา บรรดากองทุนรวมได้พยายามทำวินโดว์เดรสซิ่งด้วยมุมมองฝืนธรรมชาติแบบโลกสวย จนต้องยอมปรับท่าทีใหม่ขายทิ้งเพื่อปรับพอร์ตใหม่ ซึ่งมีผลให้ดัชนีต้องหาแนวรับใหม่อุตลุด

    คำถามคือ แนวรับไหน จะเอาอยู่ เพราะดูเหมือนสัญญาณเทคนิคจะใช้การไม่ได้ชั่วคราว เหตุผลคือ สหรัฐฯ เริ่มแสดงให้เห็นขีดจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และที่ร้ายกว่านั้น โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มแสดงขีดจำกัดความสามารถในการเป็นผู้นำที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่เคยคุยโตช่วงหาเสียงคือ “นำอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”

    การแสดงออกดุจหมาบ้าของทรัมป์ล่าสุด เมื่อเขาออกโรงใช้ถ้อยคำรุนแรงจู่โจมทางวาจากล่าวโทษธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ว่ากำลังซ้ำเติมความกังวลแก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเปรียบเทียบเฟดว่าเป็นเหมือน "นักกอล์ฟที่ซุ่มซ่าม"

    คำพูดที่เริ่มต้นในทวิตเตอร์ส่วนตัวของทรัมป์ ที่ระบุว่า "ปัญหาทางเศรษฐกิจเดียวของเราคือเฟด....เฟดอยากเป็นนักกอล์ฟทรงพลัง แต่ไม่สามารถทำสกอร์ได้เพราะไม่มีสัมผัส พวกเขาพัตต์ไม่เป็น" ถือเป็นถ้อยคำอันรุนแรง ที่สอดรับกระแสข่าวลือว่าอาจจะมีการปลดเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากประธานเฟด

    เหตุผลคือ การที่เฟดมีแนวทางนโยบายการเงินที่เป็นอิสระจากทำเนียบขาว ซึ่งดูแลนโยบายการคลัง ทำให้ทรัมป์แสดงความผิดหวังอย่างเกรี้ยวโกรธต่อสิ่งที่เขาเรียกว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยแย่ ๆ ของธนาคารกลาง

    ทรัมป์ ซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัมย์มาเกือบตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยชื่นชอบกับการขึ้นดอกเบี้ย และยังชอบอวดอ้างเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของสหรัฐฯ ว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จหลักของเขาในฐานะประธานาธิบดี ขณะที่ในระยะอันใกล้นี้ นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นต่อสไตล์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของทรัมป์และสงครามการค้าของเขากับจีน เพราะผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนสินค้านำเข้าที่พุ่งขึ้น

    คำกล่าวของทรัมป์ที่บอกว่าเฟดไม่เห็นใจตลาด ไม่เข้าใจถึงความจำเป็นของการทำสงครามการค้า และดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่เหตุชัตดาวน์โดยเดโมแครตเกี่ยวกับประเด็นชายแดน สะท้อนมุมมองส่วนตัวที่นักลงทุนพากันส่ายหน้าด้วยความระอาไปตาม ๆ กัน

    ความเคลื่อนไหวล่าสุด ที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักใต้ 22,000 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากรณีนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เรียกหารือร่วมกับผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่ 6 แห่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความเพียงพอของสภาพคล่องในตลาด ทำให้ไม่สามารถบรรเทาความวิตกกังวลของนักลงทุนได้ เพราะข่าวลือที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งประธานเฟด เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดเช่นกัน

    นายมนูชินได้หารือกับผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่ 6 แห่งของสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ผู้บริหารของโกลด์แมน แซคส์, เจพี มอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าธนาคารเหล่านี้มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ ขณะที่ผู้บริหารของธนาคารรายใหญ่เหล่านี้ต่างก็ยืนยันว่าธนาคารยังมีสภาพคล่องเพียงพอในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภค

    นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้นายมนูชินได้ออกมาสร้างความเชื่อมั่นด้วยการหารือกับ 6 ผู้บริหารธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ เจพี มอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, โกลด์แมน แซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, เวลส์ ฟาร์โก และธนาคารซิตี้กรุ๊ป แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ตลาดคลายความวิตกกังวลลงได้ นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่า การที่นายมนูชินได้เรียกประชุมคณะทำงานด้านตลาดการเงินของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือกลุ่มเฉพาะกิจเพื่อป้องกันการทรุดตัวของตลาด (Plunge Protection Team) เมื่อวานนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้

    นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่หน่วยงานบางส่วนของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ ขณะที่นายมิค มัลวานีย์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณแห่งทำเนียบขาวเตือนว่า ภาวะชัตดาวน์อาจจะยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 3 ม.ค.ปีหน้า หลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่อนุมัติร่างกฎหมายที่บรรจุงบประมาณสำหรับก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ตามความประสงค์ของประธานาธิบดีทรัมป์

    หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนัก ขณะที่หุ้นแอปเปิล ร่วงปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. 2560 นอกจากนี้ มูลค่าตลาดของบริษัทแอปเปิล อิงก์ ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 7 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2560

    สถานการณ์อย่างนี้ ต่อให้กองทุนคิดจะทำวินโดว์เดรสซิ่ง ก็คงได้แค่คิด แต่ไม่กล้าทำ การเร่งขายหนักของกองทุนวานนี้ ส่งสัญญาณมากกว่าถอย

    คริสต์มาสปีนี้ ตลาดหุ้นทั้งโลก มีสีแดงมากกว่าปกติ ยกเว้นตลาดที่ปิดทำการ

    คอลัมน์ พลวัตปี2018: วิษณุ โชลิตกุล

    Source: ข่าวหุ้น

    ความคืบหน้า

    - U.S. stock futures turn higher as market readies to reopen after Christmas Eve meltdown

    https://www.marketwatch.com/story/u...eopen-after-christmas-eve-meltdown-2018-12-26
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo

    #URGENTE
    IMG_6702.JPG

    พวกเขารายงานการสั่นสะเทือนเกือบ 40 ครั้งในเดือนธันวาคมใน nayarit ประเทศ Mexico ใกล้เขื่อน la tinder เฉพาะเมื่อวานมีการสั่น 5 ครั้ง


    รายละเอียด


     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo



    เกิดรอยแตกใหญ่บนพื้นดิน ใน catania, อิตาลี

    สำหรับแผ่นดินไหวของต้นกำเนิดภูเขาไฟ

    26.12.2018
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo





    น้ำท่วมแย่มากในอินโดนีเซีย

    สถานที่ที่ฉันโดนสึนามิ

    26/12/2018
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo

    IMG_6703.JPG
    แผ่นดินไหวของแมกนิจูด 4,8 เหตุเกิดจากภูเขาไฟเอตนา มีผู้บาดเจ็บ 10 คน



    เพื่อดูรายละเอียดที่สมบูรณ์คลิ๊กที่ภาพ


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo



    หิมะตกขนาดใหญ่ในโซชิ, รัสเซีย

    26.12.2018
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    คาตาเนีย อิตาลีหลังจากเกิดแผ่นดินไหวภูเขาไฟ

    26/12/2018


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo



    รายงานน้ำท่วมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ ในอินโดนีเซีย

    26.12.2018
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo



    เกิดขึ้นอีกครั้ง คลื่นใหญ่บนชายฝั่งของวอชิงตัน usa

    24.12.2018
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_6704.JPG
    (Dec 26) เหลียวหลัง 2018 แลปีหน้า ศึกค้า'จีน-สหรัฐ'ไม่จบง่าย : อีกไม่กี่วันข้างหน้า ปี 2018 ซึ่งนับเป็นอีกปีแห่งความวุ่นวาย กำลังจะปิดฉากลงไป พร้อมกับความเสี่ยงนานัปการที่เตรียมแผลงฤทธิ์ต่อใน ปีหน้า

    สำหรับความเสี่ยงใหญ่ที่ต้องจับตาในปี 2019 คงหนีไม่พ้นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสองยักษ์เศรษฐกิจโลกอย่าง "จีน" และ "สหรัฐ" โดยตลอดปีที่ผ่านมาการตอบโต้กันระหว่างสองชาติได้สร้างผลกระทบไปแล้วทั่วโลก

    หากจะย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของความปั่นป่วน คงต้องเริ่มที่การประกาศตั้งภาษีเซฟการ์ดเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากทั่วโลกของสหรัฐที่ 25% และ 10% ตามลำดับ ซึ่งนำไปสู่ระเบิดศึกตั้งภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐและจีนรวม 3 รอบในปีนี้ โดยฝั่งสหรัฐตั้งภาษีกับสินค้าจีนรวมแล้ว 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.14 ล้านล้านบาท) ด้านจีนตั้งกับสินค้า สหรัฐรวมทั้งหมด 1.1 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 3.58 ล้านล้านบาท)

    หลังตั้งภาษีตอบโต้กันไปแล้ว 2 ยก ในช่วงประมาณเดือน ก.ย. ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ออกมาขู่สำทับว่าสหรัฐจะพิจารณาตั้งภาษีกับสินค้าจีนอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หากทำจริง สินค้าจีนทั้งหมดที่ส่งออกมายังสหรัฐจะถูกตั้งภาษี ท่าทีดังกล่าวทำให้ทั่วโลก ต่างนั่งไม่ติด

    ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความปั่นป่วนหลายระลอก ทำให้สถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งหั่นเป้าจีดีพีเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยไอเอ็มเอฟนั้นมองว่า ศึกพิพาทระหว่างสองชาติจะฉุดอัตราการขยายตัวของปริมาณการค้าทั่วโลกลง 0.5% ในปีหน้าไปอยู่ที่ 4%

    แม้สหรัฐและจีนตกลงสงบศึกชั่วคราว 90 วัน หลังทรัมป์และประธานาธิบดี สีจิ้นผิง พบปะกันนอกรอบการประชุม จี20 โดยล่าสุดทั้งสองฝ่ายตกลงคุยการค้ากันอย่างเป็นทางการในเดือน ม.ค.นี้ และเริ่มมีข่าวออกมาหลายระลอกว่า จีนและสหรัฐมีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้นในการเจรจาแก้พิพาทการค้า

    อย่างไรก็ดี ระยะเวลาเพียง 90 วัน อาจยังไม่เพียงพอต่อการวางแนวทางขจัดทุกประเด็นขัดแย้งในระยะยาว และตราบใดที่สองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้อย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับประเด็นค้างคาใหญ่ คือ ข้อพิพาทด้านเทคโนโลยีความหวังสู่การแก้ข้อพิพาทระหว่างสองชาติอย่างสิ้นเชิงก็คงยังเป็นเรื่องยากอยู่

    ล่าสุดนั้น ท่ามกลางคลื่นลมที่เริ่มสงบ "ความขัดแย้งเรื่องเทคโนโลยี" ได้กระพือความตึงเครียดระหว่างสองชาติขึ้นมาอีกครั้ง สะท้อนออกมาจากการที่ทางการสหรัฐเดินหน้าฟ้องร้อง 2 แฮ็กเกอร์ชาวจีน โดยกล่าวหาว่าทั้งสองอยู่ในหน่วยงานข่าวกรองของจีน และดำเนินปฏิบัติการจารกรรมไซเบอร์ล้วงตับข้อมูลสำคัญๆ จากหลายหน่วยงานสหรัฐมานานกว่า 10 ปีแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นสหรัฐยังระบุว่า จีนดำเนินการดังกล่าวในอีกอย่างน้อย 12 ประเทศทั่วโลกด้วย

    ในช่วงที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าจีนยอมแสดงท่าทีถอยให้สหรัฐประเด็นเทคโนโลยี โดยเฉพาะจากข่าวว่าจีนชะลอแผนยุทธศาสตร์ "เมด อิน ไชน่า 2025" ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวถือว่าเป็นหนามตำใจสหรัฐมาช้านานแล้ว และรัฐบาลวอชิงตันกดดันให้จีนล้มเลิกแผน ดังกล่าวมาโดยตลอด เพราะกรณีบีบเอกชนต่างชาติถ่ายโอนเทคโนโลยีให้รัฐบาล รวมถึงข้อกล่าวหาว่าจีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็มีต้นตอมาจากความต้องการเสริมแกร่งศักยภาพด้านเทคโนโลยีให้จีนตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว

    อย่างไรก็ดี การยอมถอยแผน เมด อิน ไชน่า 2025 อาจเป็นเพียงท่าทีเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะยุทธศาสตร์ดังกล่าว คือ หัวใจสำคัญในการยกระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ท่ามกลางความท้าทายนานัปการที่รายล้อมจีนอยู่ในขณะนี้

    ท่าที "ถอย" แต่ "ไม่เลิก" ปรากฏสัญญาณออกมาจากสุนทรพจน์สีจิ้นผิง เนื่องในวาระครบรอบ 40 ปี แห่งการปฏิรูปและเปิดประเทศจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า ไม่มีใครอยู่ในสถานะสั่งการประชาชนจีนได้ ซึ่งหลายฝ่ายตีความว่าจีนอาจไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเทคโนโลยี

    การยอมถอยชั่วคราวสะท้อนออกมาจากการประชุมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลกลางที่แม้จะไม่เอ่ยถึง เมด อิน ไชน่า 2025 ในที่ประชุมแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากทิศทางนโยบายของรัฐบาลจีนที่ระบุว่าจะผลักดันการลงทุนเพิ่มเติมเพื่ออัพเกรดภาคผลิต ตั้งแต่การจะเปิดเครือข่ายระบบ 5จี ไปจนถึงการพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในเขตชนบท ทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวต่ออยู่ดี

    สำหรับแนวทาง เมด อิน ไชน่า มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย โดยคาดว่าจะเน้นที่การพัฒนาระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เพื่อใช้เพิ่มมูลค่าภาคการผลิต โดยบลูมเบิร์กรายงานว่า ในวันเดียวกับข่าวการประกาศแผน เมด อิน ไชน่า คณะรัฐมนตรีจีนประกาศแผนยกระดับภาคเกษตร เน้นผลักดัน "ฟาร์มจักรกล" และพัฒนาเครื่องจักรด้านเกษตรกรรม

    จากการเดินหน้าพัฒนาระบบอัตโนมัติดังกล่าว ทำให้ภาคหุ่นยนต์ของจีนมีอัตราเติบโตต่อปีที่ 27% ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยไอดีซี และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์จีนคาดว่าจะมีมูลค่าแตะ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 5.53 แสนล้านบาท) ในปี 2019 และเติบโตต่อไปอยู่ที่ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2022 คิดเป็น 38% ของตลาดโลก

    นอกจากแผน เมด อิน ไชน่า 2025 แล้ว การแก้ปัญหาละเมิด ไอพีก็ยังไม่ได้เป็นรูปธรรมชัดเจน

    ล่าสุดนั้น พีเพิลส์ เดลี สื่อใหญ่ของจีน รายงานว่า คณะรัฐมนตรีจีนกำลังพิจารณาทบทวนกฎหมายการลงทุนต่างชาติ โดยภายใต้ข้อเสนอการปรับแก้กฎหมาย ได้เพิ่มมาตรการห้ามการบีบบังคับให้เอกชนต่างชาติถ่ายโอนเทคโนโลยีให้หน่วยงานรัฐบาล หรือบริษัทในท้องถิ่น

    แม้การปรับแก้กฎหมายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดปัญหาการละเมิด ไอพีได้ แต่ร่างดังกล่าวกลับไม่ได้ระบุมาตรการลงโทษชัดเจนหากเกิดกรณีดังกล่าว โดยระบุเพียงแต่ว่าความร่วมมือด้านเทคโนโลยีควรผ่านการตัดสินใจจากทุกฝ่าย และควรเป็นไปอย่าง "สมัครใจ" ซึ่งนิกเกอิระบุว่า ความร่วมมือโดยสมัครใจดังกล่าว ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ "การบีบบังคับ ถ่ายโอนเทคโนโลยี" อยู่ดี

    ด้วยเหตุนี้ คาดการณ์ว่า จีนจะพักแผน เมด อิน ไชน่า 2025 ไว้เพียงชั่วคราว และความไม่ชัดเจนมากพอในการแก้ปัญหาละเมิดไอพี จึงจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ศึกการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเดือดขึ้นมาได้ทุกเมื่อในอนาคตปีหน้านี้

    โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

    Source: Posttoday
     

แชร์หน้านี้

Loading...