ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


    เพิ่มเติมครั้งที่ 6 #ศูนย์ข้อมูลสาธารณภัย ปภ ติดตามเหตุน่าสนใจต่างประเทศ เหตุเกิดสึนามิ ช่องแคบชุนดา ประเทศอินโดนิเซีย เวลาภูเขาไฟปะทุ 21.00 น. (เวลาสึนามิเข้าฝั่ง 21.30-22.00 น.)


    / เบื้องต้น สาดหตุแผ่นดินถล่มใต้น้ำเนื่องจากการระเบิดของภูเขาไฟ ขนาดใหญ่ คลื่นสูงโดยเฉลี่ย 1-1.5 ม.


    / มีบ้านเรือนประชาชนเสียหาย 530 หลัง อาคารขนาดใหญ่ 3 แห่ง พังถล่ม โรงแรม 9 แห่งได้รับความเสียหาย


    / #มีผู้เสียชีวิต 170 บาดเจ็บ 800 คน


    / ได้ผลกระทบใน 3 เมือง

    / มีกิจกรรมรีสอร์ทริมทะเล อย่างน้อย 2 แห่ง โดนคลื่นสึนามิ


    // ยังเฝ้าระวังต่อเนื่อง เนื่องจาก ภูเขาไฟยังปะทุอยู่

    ** ล่าสุด พบผู้ชีวิต 2-3 ราย ใต้ซากอาคาร

    ** มีการแจ้งเตือนการเดินอากาศ เนื่องจาก ควันไฟพุ่งขึ้นสูง กว่า 50000 ฟิต

    ** ไม่มีรายงานคนไทยบาดเจ็บเสียชีวิต


    // สำนักจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (BNPB) หน่วยบาซานาส ทหาร อยู่ระหว่างช่วยเหลือ และสำรวจความเสียหาย / ห้อง 61 /

    ไลน์กลุ่มภาคพื้นแปซิฟิก

    IMG_6469.JPG IMG_6470.JPG IMG_6471.JPG IMG_6472.JPG IMG_6473.JPG IMG_6474.JPG IMG_6475.JPG IMG_6476.JPG IMG_6477.JPG IMG_6478.JPG

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มต่อต้านมุสลิมหัวรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้


    เหตุการณ์นี้มุสลิมทั่วโลกออกมาประนามการใช้ความรุนแรงกับคนต่างศาสนา(กาเฟร์)ของมุสลิมสุดโต่ง

    ดูคลิปตัดคอขณะมีชีวิตทั้งสองคนแล้วโหดเหี้ยมมาก


    น.ส.ลุยซา เจสเปอร์เซ่น และ น.ส.มาเรน อูแลนด์ ชาวนอร์เวย์ ถูก ISIS สังหารโหดด้วยการ ฆ่าตัดศีรษะ ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในแถบ เทือกเขาแอตลาส ทางตะวันตกของ โมร็อกโก

    #RIP


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา

    IMG_6480.PNG IMG_6481.JPG IMG_6482.JPG IMG_6483.JPG
    ภูเขาไฟระเบิด เกิดสึนามิถล่มชายฝั่งอินโดนีเชีย เสียชีวิต62 (168 ราย) บาดเจ็บ500 (700 ราย) (สูญหายกว่า 30 ราย!


    (บีบีซี) อ้างอิงข่าวทางการอินโดนีเซีย ที่รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย - คน และบาดเจ็บกว่า - คน หลังจากเกิดสึนามิพัดถล่มชายฝั่งรอบ ๆ ช่องแคบซุนดา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเกาะสุมาตราและเกาะชวาของอินโดนีเซีย


    ภูเขาไฟอะนัก กรากะเตาระเบิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย เริ่มเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่แล้ว ในเบื้องต้นว่ามีอาคารบ้านเรือนจำนวนมากพังเสียหาย


    สาเหตุนั้นคงเกิดจากสึนามิใต้ทะเลหลังจากเกิดดินถล่มลงไปหลังจากภูเขาไฟกรากะเตาเกิดระเบิดขึ้น บวกกับเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นยิ่งทำให้ความรุนแรงจากคลื่นยักษ์รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาเดียวกับในประเทศไทย) ของวันเสาร์ ( 22 ธ.ค.61) ที่ผ่านมา


    มีผู้เสียชีวิตในเมืองปันเดกลัง ลัมปุงใต้และเซรัง เจ้าหน้าที่ระบุอีกว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้


    bbc


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6484.JPG
    (Dec 23) ทรัมป์'เล็งปลดปธ.เฟด ส่อใช้อำนาจมิชอบ? ผู้เชี่ยวชาญของ มอร์แกน สแตนลีย์ บริษัทการเงินระดับโลก ของสหรัฐ ชี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่พอใจ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่ทรัมป์ ก็ไม่มีอำนาจปลดพาวเวลออกจากตำแหน่ง



    เอลเลน เซนท์เนอร์ หัวหน้า นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ เผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถเสนอชื่อประธานเฟด แต่หลังจากมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ประธานาธิบดีไม่มีสิทธิที่จะปลดประธานเฟดได้



    "วิธีเดียวที่คุณจะปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่งคือในกรณีที่เขาทำผิดกฎหมาย อย่างชัดเจนเท่านั้น และสภาคองเกรสจะต้องหาสาเหตุการปลดประธานเฟดผ่านการลงมติและทำตามขั้นตอน"



    เว็บไซต์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า กฎหมายสหรัฐกำหนดไว้ว่า เจ้าหน้าที่ ของเฟด และหน่วยงานอิสระอื่นๆ สามารถ ถูกปลดได้หากมีเหตุผลสมควร "เหตุผล" ในที่นี้มักหมายถึงเรื่องนอกเหนือจากการมี ความเห็นไม่ลงรอยกับประธานาธิบดี



    อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่เคยมี ประธานเฟดถูกประธานาธิบดีสหรัฐปลดแม้แต่คนเดียว



    "พาวเวลจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป เขาไม่ เอนเอียงตามกระแสทางการเมือง เขาตัดสินใจ ตามข้อมูลที่บ่งชี้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจแน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และหากเฟดพักการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ก็ไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกัน" เซนท์เนอร์ กล่าว



    ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์มอร์แกน สแตนลีย์มีขึ้นไม่นาน หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างแหล่งข่าววงในวานนี้ (22ธ.ค.)ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังหารือเรื่องการปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งประธานเฟดหลังจากผิดหวังและไม่พอใจประธานเฟดรายนี้ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ย และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวร่วงลงอย่างหนัก



    แหล่งข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับการปลดพาวเวลมาหลายครั้งแล้วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว เช่นเดียวกับมิเชล สมิธ โฆษกเฟดที่ปฏิเสธที่จะยืนยันข่าวนี้



    ข่าวการปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งมีขึ้นหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันพุธ (19 ธ.ค.) ที่ผ่านมา เป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้ และ ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต



    ขณะที่ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ที่เคย หวังว่าจะเห็นภาพรวมของนโยบายที่ดีขึ้น จึงพากันเทขายหุ้นทิ้งอย่างมากส่งผลให้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาด ปรับตัวลงอย่างหนัก โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เผชิญหน้ากับสัปดาห์ที่เลวร้าย ที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินปี 2551 ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก ดิ่งลงอย่างหนัก เช่นกัน



    อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งของผู้นำสหรัฐ อาจถูกมองว่าเป็นการบั่นทอนความเป็นอิสระในการบริหารงานของธนาคารกลางได้ด้วยเช่นกัน



    ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า เฟดเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดสำหรับเขา และเขาวิตกกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลกระทบต่อ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ



    "ภัยคุกคามใหญ่ที่สุดของผมก็คือเฟด เพราะเฟดกำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป" ทรัมป์กล่าวเมื่อเดือนต.ค. และว่า "เฟดมีความเป็นอิสระ ดังนั้นผมจึงไม่พูดกับคุณเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แต่ผม รู้สึกไม่สบายใจต่อสิ่งที่เขากำลังทำ"



    นอกจากนั้น ทรัมป์ยังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงเกือบ 1,400 จุด



    "เป็นการปรับฐานของตลาดซึ่งผมคิดว่า เกิดจากเฟดและอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดอลลาร์แข็งค่ามาก ทำให้ภาคธุรกิจประสบปัญหา" ทรัมป์กล่าว และชี้ว่า พาวเวลเข้มงวด เกินไปในการใช้นโยบายการเงิน และกำลังดำเนินการผิดพลาด



    ทรัมป์เคยยืนยันก่อนหน้านี้ว่า เขาจะไม่ปลดพาวเวลออกจากตำแหน่ง เพียงแต่เขารู้สึกผิดหวังต่อการดำเนินนโยบายของเฟด



    ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐได้แต่งตั้งพาวเวลเป็นประธานเฟดเมื่อปีที่แล้ว หลังจาก เจเน็ต เยลเลน พ้นวาระการดำรงตำแหน่ง ในเดือนก.พ. 2560


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    ความคืบหน้าล่าสุดมีการปฏิเสธข่าว

    - Treasury Secretary Mnuchin moves to quell firestorm, says Trump never suggested firing Fed Chairman Powell despite ‘absolute terrible’ policy: https://www.cnbc.com/2018/12/22/mnuchin-trump-never-said-he-would-fire-fed-chairman-powell.html
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยังไม่รุนแรง ตายยังไม่มากประมาณ 170 คน แต่ก็ต้องเริ่มระวังตัวกันแล้ว เพราะเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้จะน่ากลัวกว่านี้มากนัก จนเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องปรกติ


    Senee Pholpinih


    23 ธ.ค.61 เวลา 16.00 น.

    ศภช.ปภ.ขอแจ้งข่าวกรณีเกิดภูเขาไฟระเบิด(กรากาตัว/Krakatoa) บริเวณช่องแคบซุนดรา อินโดนีเซีย

    (ห่างเกาะภูเก็ตประมาณ 1,700 กม)

    โดยภูเขาไฟกรากา ได้ระเบิดเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 22 ธันวาคม 2561 (เวลาไทย)

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคลื่นสึนามิ สาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟอานักกรากาตัว ซึ่งเป็นภูเขาไฟย่อยใน

    กลุ่มของภูเขากรากาตัว แรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดทำให้เถ้าถ่านและเศษชิ้นส่วนของภูเขาไฟที่รัเบิดออกมาได้

    ตกและถล่มลงสู่ก้นทะเลเกิดเป็นแผ่นดินถล่มใต้ท้องทะเล

    จึงทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ซัดเข้าหาฝั่งกระทบ 3 เมืองได้แก่ Pandeglang /Serang/ Lampung

    ในช่วงเวลาตั้งแต่ 21.27น.-21.53น. ของวันที่ 22 ธันวาคม 2561

    โดยสึนามิมีความสูง 0.28-0.90 เมตร และได้ซัดเข้าสู่ชายหาดเข้ามาแผ่นดิน ประมาณ 15-20 เมตร

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 170 ราย บาดเจ็บกว่า 800 ราย โดยสินามินี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย

    ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ให้ติดตามข่าวจากทางราชการอย่างใกล้ชิด

    ทั้งนี้ ศภช.ปภ.จะรายงานให้ทราบเป็นระยะต่อไป

    ***************************************************************


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6494.JPG

    (Dec 23) บทความ "Household Debt and Delinquency over the Life Cycle" นี้ศึกษามิติต่าง ๆ ของหนี้ครัวเรือนในแต่ละช่วงอายุตลอดวงจรชีวิตของคนไทยและความแตกต่างของมิติดังกล่าวในแต่ละ generation โดยใช้ข้อมูลหนี้รายสัญญาจากเครดิตบูโร บทความนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบ inverted-U ของการเป็นหนี้และช่วงอายุซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ แต่การเป็นหนี้ของคนไทยได้เพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มีการก่อหนี้เร็วกว่าคนรุ่นเก่า และผู้สูงอายุในวัยหลังเกษียณยังคงมีหนี้อยู่ นอกจากนี้ พบว่าสัดส่วนหนี้เสียลดลงตามช่วงอายุ


    ผลการศึกษาข้างต้นได้สะท้อนนัยเชิงนโยบายด้านการเข้าถึงบริการทางการเงินและเสถียรภาพทางการเงินของประเทศไทย


    สามารถอ่านบทความวิจัยฉบับเต็มเพิ่มเติมได้ที่

    https://www.pier.or.th/wp-content/uploads/2018/09/pier_dp_094.pdf


    Source: PIER FB
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 222 รายแล้วครับ


    Bank of Thailand Scholarship Students
    E3959E49-B24B-40A9-A53B-DA35FD67296E.jpeg

    (Dec 23) สถานทูตไทยในอินโดฯแถลง “ยังไม่พบคนไทยบาดเจ็บ-เสียชีวิต” ยอดดับล่าสุด 62 บาดเจ็บ 600 สูญหาย 20 ออสเตรเลียส่งกู้ภัยช่วยด่วน: ล่าสุดสถานทูตไทยประจำกรุงจาการ์ตาแถลงผ่านเฟซบุ๊ก หลังเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิ ยังไม่พบคนไทยบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พร้อมขอให้คนไทยที่จะเดินทางไปแดนอิเหนาให้ลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าหากเกิดฉุกเฉิน ส่วนสำนักงานธรณีฟิสิกต์อินโดนีเซียแถลงพบภูเขาไฟอานัค กรากะตัว (Anak Krakatoa)สูง 305 เมตร เกิดปะทุ 24 นาทีก่อนหน้าเกิดสึนามิที่มียอดผู้เสียชีวิตล่าสุด 62 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวน 600 คน สุญหาย 20 ราย บ้านเรือนจำนวนมากเสียหายที่เกาะสุมาตราใต้ และปลายแหลมตะวันตกของเกาะชะวาโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าในเวลา 21.30 น. ของวันเสาร์(22 ธ.ค) เจ้าหน้าที่แดนอิเหนาอ้างเหตุระเบิดไม่บ่อยทำให้เกิดความสับสนเลยไม่เตือนสึนามิล่วงหน้า พบวงดนตรีทั้งวงถูกกวาดลงทะเล แคนเบอร์ราประกาศ กำลังประเมินว่ามีพลเมืองแดนจิงโจ้ได้รับผลกระทบ นายกฯมอร์ริสสันประกาศส่งทีมช่วย


    หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานวันนี้(23 ธ.ค)ว่า นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสกอตต์ มอร์ริสสัน (Scott Morrison) แถลงล่าสุดว่า ทางออสเตรเลียจะส่งทีมกู้ภัยไปให้การช่วยเหลืออินโดนีเซียหลังเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิในช่วงดึกวันเสาร์(22) คร่าชีวิตคนไปล่าสุด 62 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิต 600 คน


    มอร์ริสสันกล่าวถึงเหตุสึนามิว่า “เป็นหายนะครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับอินโดนีเซีย” และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่สุลาเวสี (Sulawesi)ในเดือนกันยายน


    “นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดเหตุที่เกิดในสุลาเวสีหรือเช่นนั่นเหมือนที่เคย ทางเราพร้อมที่จะให้การสนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซียในสิ่งเหล่านี้ หากมีการร้องขอ”


    และกล่าวต่อว่า “แต่ไม่เคยมีการร้องขอมาเลย ซึ่งผมคงจะไม่คาดหวังในเหตุการณ์นี้ แต่การร้องขอควรปรากฎ และดังนั้นแน่นอนทางเราจะทำงานร่วมมือกับรัฐบาลอินโดนีเซียหากมีการร้องขอ”


    นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียแถลงว่า ในเวลานี้กำลังทำงานเพื่อประเมินว่ามีพลเมืองออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ


    “ทางสถานทูตออสเตรเลียประจำกรุงจาการ์ตากำลังอยู่ในระหว่างการประเมินฉุกเฉินเพื่อตรวจดูว่ามีชาวออสเตรเลียได้รับผลกระทบกับคลื่นยักษ์ที่ชายหาดบริเวณช่องแคบซุนดา (Sunda Strait)” รายงานจากแถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศ


    สื่ออังกฤษชี้ว่า สำนักงานธรณีฟิสิกต์อินโดนีเซียแถลงพบว่า ภูเขาไฟอานัค กรากะตัว(Anak Krakatoa)ที่มีความสูง 305 เมตรสเกิดระเบิด 24 นาทีก่อนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ


    ล่าสุดทางMGRออนไลน์รายงานว่า สถานทูตไทยประจำกรุงจาการ์ตาออกแถลงการณ์ด่วนวันนี้(23)ว่า ความว่า


    "ตามที่ได้เกิดเหตุคลื่นสึนามิบริเวณช่องแคบซุนดา(Sunda Strait)ระหว่างเกาะสุมาตราและเกาะชะวา เมื่อช่วงค่ำวันที่ 22 ธันวาคาม 2561 ซึ่งคาดว่าเกดจากการปะทุของภูเขาไฟกรากาตัว(Krakatau)ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 43 ราย ผู้บาดเจ็บมากกว่า 500 ราย ในเขตเมือง Pandeglag , Lampung และ Serang จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีคนไทยได้รับผลกระทบ "


    และในแถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊กของสถานทูตยังกล่าวต่อว่า “กรณีคนไทยได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา +62 811 186253 ตลอด 24 ชั่วโมง”


    ซึ่งในแถลงการณ์ยังได้ประกาศเตือนให้ยักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางมาอินโดนีเซียสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าในกรณีที่หากเกิดฉุกเฉินได้ที่ www.thaiembassyjakarta.com โดยได้ให้เหตุผลจากการที่ภายในปีนี้ อินโดนีเซียเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 5 ครั้ง โดยผู้ที่ต้องการสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกน "QRบาร์โค๊ด" ได้จากหน้าประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กสถานทูต


    ภูเขาไฟลูกนี้ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะชะวาราว 80 กิโลเมตร และเกิดระเบิดล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน และในเดือนกรกฎาคม ทางเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียได้ขยายพื้นที่ห้ามเข้ารัศมี 2 กิโลเมตรจากปากปล่อง


    ซึ่งทางเจ้าหน้าที่แดนอิเหนาอ้างว่า เป็นเพราะการเกิดระเบิดของภูเขาไฟน้อยครั้งที่จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้เกิดความสับสนในเบื้องต้นและไม่มีการประกาศเตือนสึนามิออกมา


    เอพีรายงาน ยอดตัวเลขเสียชีวิตล่าสุด 62 คน บาดเจ็บ 600 คน หลังคลื่นยักษ์ได้พัดเข้าไปในแผ่นดินไกล 20 เมตร ซึ่งในเวลานี้ยังมีผู้สูญหายอีกราว 20 คนที่ไม่ทราบชะตากรรม


    เอเอฟพีรายงานก่อนหน้าว่า เหตุสึนามิเกิดขึ้นในเวลา 21.30. น. ของวันเสาร์(22) อาคารนับร้อยหลังเกิดพังทะลายจากคลื่นยักษ์ที่พัดเข้าชายหาดโดยปราศจากการเตือนในเกาะสุมาตราใต้และแหลมตะวันตกของเกาะชะวา สุโตโป ปูร์โว นูโกรโฮ (Sutopo Purwo Nugroho) โฆษกสำนักงานภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซียแถลง


    มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 43 คน และบาดเจ็บ 584 คนได้รับบาดเจ็บในทั่ว 3 ภูมิภาค ซึ่งในตอนแรกทางการอินโดนีเซียออกมาอ้างว่า คลื่นยักษ์ที่เกิดไม่ใช่สึนามิ แต่เป็นกำแพงน้ำและร้องเตือนไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก


    อย่างไรก็ตามในตอนหลังยอมรับว่า สึนามิอาจเกิดมาจากกำแพงคลื่นยักษ์เนื่องมาจากน้ำขึ้นน้ำลงจากดวงจันทร์และเกิดแผ่นดินเลื่อนใต้น้ำหลังจากเกิดภูเขาไฟอานัค กรากะตัวได้ระเบิด


    ด้าน เจการ์ ประเซ็ตยา( Gegar Prasetya) ผู้ก่อตั้งร่วมศูนย์วิจัยสึนามิอินโดนีเซียให้สัมภาษณ์กับเอพีว่า การถล่มของเนินของภูเขาไฟอานัค กรากะตัวระหว่างการเกิดระเบิดทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสอดคล้องกับการรายงานของเอเอฟพี


    เดอะการ์เดียนชี้ว่า มีภาพสุดตระหนกเผยแพร่ผ่านทางทีวีเมื่อพบว่าสึนามิได้กวาดเอาวงดนตรีทั้งวงที่กำลังเล่นในงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีใหม่ของบริษัทอยู่บริเวณชายหาดให้หายไปกับสายตา


    ทั้งนี้พบว่ามีพนักงานกว่า 100 คนของบริษัทสาธารณูปโภคอินโดนีเซีย PLN ได้รวมตัวกันที่ตันจุง เลซุง ( Tanjung Lesung) จังหวัดบันเตน (Banten)สำหรับการฉลองสิ้นปี และในเวลานั้นวงดนตรีเซเว่นทีนซึ่งเป็นวงในพื้นที่กำลังเล่นเพื่อขับกล่อมในระหว่างที่คลื่นยักษ์เคลื่อนตัวมาจากด้านหลังของเวที กวาดทั้งนักดนตรีและผู้กำลังร่วมงานปาร์ตี้


    “คลื่นยักษ์ได้กวาดไปทั้งเวทีซึ่งอยู่ติดกับทะเล” วงเซเว่นทีนกล่าวผ่านแถลงการณ์ และเสริมว่า “น้ำได้เริ่มระดับและลาดเอาทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ทางเราได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก รวมไปถึงคนที่เป็นแกนกลางและผู้จัดการ...และคนอื่นๆให้หายไป”


    โดยสื่อการ์เดียนชี้ว่า ทางวงได้ชี้แจงว่านอกเหนือจากผู้จัดการวงที่ถูกพบเสียชีวิตแล้ว สมาชิกวงอีก 4 คนเสียชีวิตเช่นกัน


    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    https://mgronline.com/around/detail/9610000126973


    ************

    ภูเขาไฟอินโดนีเซียระเบิด เกิดสึนามิถล่มชายฝั่ง เจ็บตายรวมนับร้อยคน: ทางการอินโดนีเซียรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 43 คน และบาดเจ็บกว่า 584 คน หลังจากเกิดสึนามิพัดถล่มชายฝั่งรอบ ๆ ช่องแคบซุนดรา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเกาะสุมาตราและเกาะชวาของอินโดนีเซีย หลังจากภูเขาไฟอะนัก กรากะเตาระเบิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา


    สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติของอินโดนีเซีย ระบุในเบื้องต้นว่ามีผู้สูญหาย 2 คน และอาคารบ้านเรือนพังเสียหาย ส่วนสาเหตุนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากสึนามิใต้ทะเลหลังจากเกิดดินถล่มลงไปหลังจากภูเขาไฟกรากะเตาเกิดระเบิดขึ้น บวกกับเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นยิ่งทำให้ความรุนแรงจากคลื่นยักษ์รุนแรงมากขึ้น

    มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วในเมืองปันเดกลัง ลัมปุงใต้และเซรัง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระบุอีกว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่รายงานล่าสุดว่า มียอดผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 43 คน


    เกิดคลื่นซัดสองระลอก


    ออยสไตน์ ลุนด์ แอนเดอร์สัน ช่างภาพชาวนอร์เวย์ ผู้อยู่ในเหตุการณ์บนชายหาดแห่งหนึ่งบนเกาะชวาตะวันตก ให้สัมภาษณ์บีบีซี เวิร์ล นิวส์ว่า ในขณะนั้นเขาอยู่บนชายหาดคนเดียว และพยายามที่จะถ่ายภาพการระเบิดของภูเขาไฟอะนัก กรากะเตา ส่วนครอบครัวของเขากำลังนอนหลับพักผ่อนในห้องพัก


    เมื่อวานตอนเย็นเขาสังเกตว่า การระเบิดของภูเขาไฟลุกนี้ค่อนข้างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีคลื่นยักษ์ซัดชายฝั่ง กลับไม่มีการปะทุใด ๆ ให้เห็นเลย มองไปมีแต่เพียงความมืด


    ทันทีที่เขาเห็นคลื่นยักษ์ สิ่งที่เขาต้องทำคือวิ่งหนีเอาตัวรอด โดยคลื่นที่ซัดเข้ามามีสองระลอก ระลอกแรงไม่รุนแรงนักจึงทำให้เขาวิ่งหนีตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อปลุกภรรยาและลูกได้ทันก่อนคลื่นระลอกหลังที่ขนาดใหญ่และรุนแรงกว่าจะเข้ามา โดยพวกเขาและแขกคนอื่น ๆ ในโรงแรมได้ปีนขึ้นไปเนินป่าข้างหลังโรงแรม ซึ่งเป็นที่สูงและรอจนถึงขณะนี้

    ภาพที่เขาเห็นในตอนนั้นเมื่อคลื่นเคลื่อนตัวผ่านโรงแรมที่เขาอยู่มันได้กวาดรถยนต์ออกจากถนนไปเลย


    เจ้าหน้าที่กำลังสืบค้นหาสาเหตุว่าสึนามิดังกล่าวเกิดขึ้นจากภูเขาไฟอะนัก กรากะเตาหรือไม่ ในขณะที่เจสส์ ฟีนิกซ์ นักภูเขาไฟวิทยาบอกกับบีบีซีว่า เมื่อภูเขาไฟระเบิด หินหนืดแมกมาจะผลักพื้นดินออกไปและสามารถเคลื่อนย้ายทำลายหินที่แข็งตัวใต้พิภพได้ นั่นสามารถทำให้เกิดดินถล่มได้


    นักภูเขาไฟวิทยารายนี้อธิบายเพิ่มเติมว่า เพราะบางส่วนของภูเขาไฟกรากะเตาอยู่ใต้น้ำ แทนที่จะมีเพียงการเกิดดินถล่มเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเกิดขึ้นใต้ทะเลก็เป็นเหตุให้เกิดสึนามิได้เช่นกัน


    ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่บนวงแหวนแห่งไฟ จึงไม่น่าแปลกที่จะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวและสึนามิอยู่บ่อยครั้ง อย่างเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2 พันคน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงทางตอนกลางของเกาะสุลาเวสี ซึ่งทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มเมืองปาลูพังเสียหายอย่างรุนแรง


    เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เกิดสึนามิครั้งใหญ่ที่เกิดจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย ในครั้งนั้นคลื่นยักษ์ได้ขยายวงซัดชายฝั่งของ 14 ประเทศ รวมทั้ง อินโดนีเซียและไทยรวมอยู่ด้วย และคร่าชีวิตไปกว่า 228,000 คน


    สำหรับภูเขาไฟอะนัก กรากะเตา ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา มีการปะทุอย่างต่อเนื่อง สำนักงานทางธรณีวิทยาของอินโดนีเซียรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาภูเขาไฟลูกนี้ปะทุเป็นเวลา 2 นาทีกับอีก 12 วินาที พ่นเถ้าถ่านขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงกว่า 400 เมตรจากปากปล่องภูเขาไฟ และเตือนภัยไม่ให้เข้าใกล้ภูเขาไฟดังกล่าวในรัศมี 2 กิโลเมตร


    Source:BBC Thai


    https://www.bbc.com/thai/international-46663739


    - ทูตนอร์เวย์เผยนาทีหนีตายสึนามิถล่มอินโดฯ

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/822034


    - คลิประทึก! สึนามิกลืนเวทีร็อกริมหาดอินโด หายวับไปกับสายน้ำ ผู้ชมกรี๊ดลั่นหนีตายอลหม่าน

    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000126936
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อัปเดตสึนามิอินโดฯ : ยอดดับล่าสุด 222 บาดเจ็บ 834 สูญหาย 28
    9533FCB5-A834-44A7-BFE2-A7E2E23D7241-525-0000005766430F22.jpg
    เอเอฟพี/เอพี/เอเจนซีส์ - ล่าสุดรัฐบาลออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ออกแถลงการณ์เบื้องต้นวันอาทิตย์ (23 ธ.ค.) ว่าไม่พบพลเมืองของ 2 ประเทศอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิอินโดนีเซียเมื่อคืนวันเสาร์ (22) โดยนายกฯ สกอตต์ มอร์ริสสัน ของออสเตรเลียชี้ในชั้นแรก ไม่มีชาวต่างชาติรวมอยู่ในกลุ่มผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 222 ราย และอีก 834 คนได้รับบาดเจ็บ สูญหาย 28 ราย

    เอเอฟพีรายงานล่าสุดว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 222 ราย บาดเจ็บ 834 ราย และสูญหายอีก 28 ราย และหน่วยกู้ภัยยังคงค้นหาผู้ประสบภัยต่อไป

    ซึ่งก่อนหน้านี้เอพีรายงานว่า สุโตโป ปูร์โว นูโกรโฮ (Sutopo Purwo Nugroho) โฆษกสำนักงานภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย แถลงวันอาทิตย์ (23) ถึง ตัวเลขการเสียชีวิตทางการล่าสุดอยู่ที่ 168 คน บาดเจ็บ 745 คน และสูญหายอีก 30 คน ซึ่งเพิ่มจากตัวเลขเสียชีวิตก่อนหน้าที่ 43 คน และบาดเจ็บ 600 คน เอพีรายงาน

    ด้านนักข่าวของ ABC News ออสเตรเลีย อ้างอิงจากเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ ชี้ว่าสำนักงานกู้ภัยอินโดนีเซียระบุว่ายอดเสียชีวิตเฉพาะในเขตลัมปุงและสุมาตราอยู่ที่ 113 ราย และนักข่าวของสื่อออสเตรเลียกล่าวว่า และที่ปันเดอกลัง (Pandeglang) บนเกาะชะวา หน่วยงานท้องถิ่นระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 92 ราย ซึ่งเชื่อว่าตัวเลขสูญเสียจะเพิ่มขึ้น

    สื่ออังกฤษรายงานว่า พร้อมกันนี้ทางโฆษกภัยพิบัติอินโดนีเซียได้โพสต์ภาพความเสียหายทางอากาศของหาดคาเลียนดา (Kalianda Beach) ที่ลัมปุงใต้ (south Lampung) ซึ่งมาถึงเวลาล่าสุดพบว่าทางเจ้าหน้าที่สามารถดึงร่างผู้เสียชีวิตขึ้นจากน้ำได้แล้ว 35 ศพ และมีรายงานว่ามีคนราว 115 คนได้รับบาดเจ็บ

    ในขณะที่นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริอสสัน ของออสเตรเลีย แถลงวันอาทิตย์ (23) ว่า “ทางเราเข้าใจในเบื้องต้นว่าในเวลานี้ไม่มีชาวต่างชาติ หรือง่ายๆ แค่พลเมืองออสเตรเลีย ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”

    ด้านกระทรวงการต่างประเทศและการค้านิวซีแลนด์ แถลงว่า มีชาวนิวซีแลนด์ทั้งหมด 299 คนได้ลงทะเบียนในระหว่างอยู่ในอินโดนีเซีย และทางโฆษกกระทรวงยังชี้ว่าทางสถานทูตนิวซีแลนด์ประจำกรุงจาการ์ตาได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสำหรับเหตุการณ์วิกฤตสึนามิแล้ว

    ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียได้ออกคำเตือนประชาชนในพื้นที่ว่า ขอให้ประชาชนที่ถูกอพยพออกนอกพื้นที่ช่องแคบซุนดา (Sunda Strait) ให้ยังคงอยู่นอกพื้นที่ต่อไปจนกว่าจะได้รับคำสั่งอนุญาตกลับเข้ามาได้เนื่องจากยังไม่ปลอดภัย

    รอห์มัต ตรีโยโน (Rahmat Triyono) ผู้อำนวยการสำนักงานอุตุนิยมวิทยาอินโดนีเซียแถลงผ่านการรายงานของรอยเตอร์ว่า “ได้โปรดอย่าอยู่บริเวณชายหาดรอบช่องแคบซุนดา และกลุ่มคนที่ถูกสั่งอพยพออกนอกพื้นที่ ขอความกรุณาอย่าเพิ่งกลับเข้ามา”

    ล่าสุด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โจโค วิโดโด ได้ออกมาแสดงความไว้อาลัยต่อการสูญเสียพร้อมประกาศว่า ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องรับมือออกมาตรการฉุกเฉินต่อวิกฤตคลื่นยักษ์สึนามิ รวมไปถึงให้ติดตามค้นหาผู้ได้รับผลกระทบ ดูแลผู้บาดเจ็บ

    https://mgronline.com/around/detail/9610000127006
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone


    Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (The Federal Reserve System (also known as the Federal Reserve or simply the Fed) is the central banking system of the United States of America.) เขาอาจเป็นประธาน Fed คนแรกที่ถูกประธานาธิบดีสหรัฐปลดกลางอากาศ


    ตอนนี้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเรียกคุยกับที่ปรึกษา และทีมงานทำเนียบขาวทั้งหมด เพื่อหาข้อกฎหมายที่สามารถใช้ในการปลด ท่านประธาน Jerome Powell เพราะประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องระงับความโกรธเป็นรอบที่ 2 หรือที่3 ไปแล้ว ต่อกรณีที่ Fed ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะปัญหาภาระหนี้สินอันมากมายมหาศาลของรัฐบาลกลางสหรัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจของสหรัฐไม่ได้ดีจริงๆ ทางธนาคารกลางฯ เกรงว่าเงินจะไหลออกจากสหรัฐ จนเกิดวิกฤติทางการเงิน จึงประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 หรือที่ 3 ของปีนี้ แต่เมื่อขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินให้อยู่ในสหรัฐ ก็เป็นภาระหนักต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งงบประมาณก็ต้องขอเพิ่มเป็นครั้งคราว แทบจะต้องปิดสำนักงานของรัฐบาลกลางอยู่บ่อยๆ เดือนธันวาคมช่วงที่ผ่านมา ทางทำเนียบขาวของบประมาณทำกำแพงชายแดน สหรัฐ-เม็กซิโก วุฒิสภาก็ผ่านให้เพียงบางส่วน ไม่ได้ให้ไปเต็มจำนวนตามที่ร้องขอ จึงทำให้ฝ่ายบริหารของสหรัฐ ต้องนั่งอยู่บนความเครียดตลอดเวลา


    รอดูอีก 2-3 วันว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถปลดท่านประธาน Fed ได้หรอไม่


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai


    ... “เฟด ขึ้นดอกเบี้ยรังแกชาวโลก บาปนั้นจะคืนสนอง”


    ... หลังจากหยุดการออก QE มา 3 ปี ที่เริ่มจาก 2008 – 2015 และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยมา 3 ปี จาก 2015 จนถึง 2018 พวกเขาทำสองอย่างไปพร้อมๆกันคือเอาเงินของรัฐไปกว้านซื้อหนี้เสียทั้งในรูปของพันธบัตร หรือ ตราสารที่มีสินเชื่อค้ำประกันของบริษัทที่มีปัญหาพร้อมๆกับการลดอัตราดอกเบี้ยต่ำเรี่ยศูนย์เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนตาวาว มากู้ไปลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ซึ่งปรากฏว่าในระหว่างปี 2008 – 2015 ที่ออกคิวอีนั้น นักลงทุนแทนที่จะเอาไปเงินลงทุนในตลาดอเมริกาบ้านตัวเอง ตามวัตถุประสงค์ในการฟื้นชีพของตลาดทุนของตัวเอง กลับเกิดเงินไหลออก นักลงทุนเอาเงินนั้นไปหากินยังต่างประเทศทั่วโลก


    ... แต่เพราะว่าในอเมริกาได้อัตราดอกเบี้ยต่ำเรี่ยศูนย์ พวกนักลงทุนเขาจึงย้ายเงินลงทุนที่กู้จากเฟดในโครงการคิวอีในอัตราดอกเบี้ยต่ำไปกระจายออกดอกในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดพันธบัตรทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่นในเอเชีย จนหลายสายมองว่าเป็นการเอาเงินร้อนจากอเมริก มาให้เอเชียกู้ในสกุลดอลล่าร์เพื่อให้เอเชียติดกับดักหนี้มากๆ เหมือนที่เคยทำกับเอเชียในปี 1997 จนเกิดวิกฤติ


    ... หลังจากที่อเมริกาค่อยๆขึ้นดอกเบี้ยจากปี 2015 – 2018 และเพราะเหตุผลที่พวกเขาอ้างว่ากลัวเงินคิวอีจะทำให้เงินเฟ้อ ( จริงๆ คือฟองสบู่ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร จะแตก ) และกระตุ้นเศรษฐกิจมานานพอแล้ว ถึงเวลาต้อง “ขึ้นดอกเบี้ย” บ้าง ทำให้เงินคิวอีจากอเมริกาค่อยๆทยอยไหลคืนกลับแผ่นดินแม่ “อเมริกา” เพื่อจะกลับไปเอาเงินจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในบ้านเกิดและไม่ต้องเสี่ยงกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เงินไหลจากหลายประเทศไหลกลับบ้านเกิด และเมื่อประกอบกับเกมการรังแกกัน เช่นในกรณีของ “ตุรกี” หลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินไหลออกจากตุรกี ทำให้ค่าเงินลีร่าตกต่ำ แถมอเมริการังแกเรื่องขึ้นภาษีและการเมืองอีก ทำให้ตุรกีแย่หนัก นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายประเทศที่ประสบปัญหาเหมือนกัน เช่น อาร์เจนติน่า อินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย บราซิล เม็กซิโก


    ... ตอนนี้ในหลายประเทศ เหล่านั้น พยายามจะสร้างเขื่อนกั้นเงินจากคิวอีกลับอเมริกา โดยการพยายามจะขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อจะดึงดูดเงินจากนักลงทุนให้เก็บไว้ในตลาดประเทศเขาต่อไป ซึ่งการทำแบบนี้ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยเพื่อคานการขาดทุนของนายธนาคาร จะทำให้เกิดการลดการลงทุนและเศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้น ดังนั้น ถ้าสมมุติว่าถ้าในปี 2019 เฟดของอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยอีก เงินร้อนเมื่อสิบปีก่อนจะเริ่มไหลออกจากตลาดบ้านเรา ถ้าประเทศไทยเราแก้ปัญหาโดยการจะขึ้นดอกเบี้ยตาม ก็จะทำให้การลงทุนในประเทศสะดุด และตามมาด้วย การใช้จ่ายของประชาชนทั่วประเทศลดลง ภาษีรายได้ของประเทศก็จะลดตามมา


    ... ขณะที่ใน “อเมริกา” เองเมื่อทำการขึ้นดอกเบี้ยทั้งๆที่คิวอี ไม่มีประสิทธิภาพ โดยสังเกตจากการจ้างงานยังไม่ดี ยังต้องแจกคูปองเลี้ยงคนจน รายจ่ายส่วนนี้ยังมากมาย มีการไหลของการลงทุนบริษัทใหญ่ไปต่างแดน อัตราเงินเดือนยังไม่เพิ่ม จะยิ่งทำให้อเมริกาเจอปัญหาอีกมากเช่น ตลาดบ้านที่อยู่อาศัยจะยิ่งขายยากมากขึ้น เพราะเมื่อดอกเบี้ยเงินกู้ผ่อนบ้านแพงขึ้น คนก็ไม่กล้ามาซื้อบ้าน บ้านก็ขายไม่ได้ และถ้าปริมาณบ้านที่สร้างมากและขายได้น้อยก็จะเกิดวิกฤติฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์อีก หรือการใช้จ่ายบัตรเครดิตก็จะน้อยลงเพราะอัตราดอกเบี้ยแพงขึ้น การจะซื้อรถแบบผ่อนก็จะลดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน การกู้เงินมาลงทุนขยายธุรกิจก็จะน้อยลง ทำให้เงินเดือนไม่ขยับขึ้น การสร้างงานสร้างเงินก็น้อยลง การใช้จ่ายซื้อขายของผู้บริโภคชาวบ้านทั่วไปในประเทศก็น้อยลง รายได้ภาษีที่จะเอามาหล่อเลี้ยงประเทศของอเมริกาก็ยิ่งน้อยลง รายได้ที่จะมาจ่ายหนี้ทั่วโลกก็น้อยลง


    ... ยิ่งตอนนี้อเมริกา มีหนี้มากมาย ยิ่งต้องเจอปัญหาการ “ขยายเพดานหนี้” ไปอีกเรื่อยๆ ประกอบกับระหว่างการขึ้นดอกเบี้ยนี้ อเมริกาพยายามจะขายคืนพันธบัตร หุ้นกู้เน่าที่ซื้อจากบริษัทที่เจอวิกฤติในปี 2008 หรือที่เรียกว่า Unwind นั้นก็ต้องใช้เงิน ก็ยิ่งไม่มีเงินมาซื้อคืน ถึงจะปล่อยให้พันธบัตรหมดอายุก็ต้องการเงินมาจ่ายให้กับผู้ถือพันธบัตรอยู่ดี และผู้ถือพันธบัตรรายใหญ่ก็คือ “จีน” ยิ่งจนเงินจะมาจ่ายหนี้


    ... และเมื่อ เฟด ขึ้นดอกเบี้ยสูงแบบนี้ แปลว่าต้องการให้เงินไหลเวียนในเศรษฐกิจของประเทศน้อยลง และทำให้ “ตลาดพันธบัตร” ของ อเมริกา ได้รับความนิยมมาทันที เพราะว่าเสี่ยงน้อยกว่าตลาดหุ้นและพันธบัตรอเมริกาก็ได้รับความนิยมมากกว่าประเทศอื่น และในหลายกรณี หลายประเทศออกพันธบัตรมาเพื่อจะเป็น “ฟองน้ำดูดซับเงินไม่ให้ไหลเวียนในการค้า ในเศรษฐกิจน้อยลง” เพราะกลัวเงินเฟ้อ


    ... ซึ่งเมื่อขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น นักลงทุนไม่กล้ากู้มาลงทุน และจึงมองเห็น “ตลาดพันธบัตรเป็นบ่อทอง หลุมหลบภัยทางการเงิน” ทำให้ตลาดนี้ต้องขึ้นดอกเบี้ยเอาใจนักลงทุนด้วย เงินจากตลาดหุ้นก็ไหลมาที่ตลาดพันธบัตรที่ใหญ่กว่า และเมื่อดอกเบี้ยแพงทำให้ตลาดหุ้นก็จะซบเซาลง ไหลไปพันธบัตร ไม่มีใครเสี่ยงกู้แพงไปลงทุนเล่นพนันในตลาดหุ้น แม้ว่า “ทรัมป์” จะเอาใจนักลงทุนโดยการลดภาษีบริษัทขนาดใหญ่ลง เหมือนจับเงินยัดใส่มือ เพื่อให้นักธุรกิจเอาเงินไปลงทุน จนช่วงนั้นตลาดหุ้นพุ่งขึ้นมาก แต่ก็ช่วงสั้นๆ เพราะหลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก ก็ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนที่ตลาดพันธบัตรอีกเหมือนเดิม


    ... จนทำให้ “ทรัมป์” ไม่พอใจเฟด จนมีข่าวว่า ทรัมป์อาจจะปลดผู้ว่าการเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ เพราะรีบขึ้นดอกเบี้ยเร็วไป ทำให้ตลาดหุ้นซบเซา เป้าหมายของเขาที่ต้องการเอางาน สร้างงาน กลับมาที่อเมริกาอีกครั้งแทบจะเป็นศูนย์ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ยิ่งเจอ “สงครามการค้ากับจีนและทั่วโลก” ยิ่งทำให้อเมริกาเจอปัญหาขายสินค้ายากขึ้น สินค้าอเมริกาบางอย่างก็ขายยากขึ้น เพราะประเทศทั่วโลกที่มีหนี้มากขึ้น ก็ไม่อยากจ่ายง่ายๆเหมือนก่อน


    ... และเมื่อ “ตลาดหุ้นซบเซา” การสร้างงาน การขยายธุรกิจก็น้อยลง การใช้ “พลังงาน” ก็น้อยลง ราคาน้ำมันก็จะลดลงเรื่อยๆ กระทบกับบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของอเมริกา ประเทศบริวาร และทั่วโลก จนข่าวว่าถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก ในปีหน้า จะทำให้ความต้องการน้ำมันของโลกตกลง ราคาก็จะต่ำลง จน”รัสเซีย” กับ “โอเปก” โดยการนำของซาอุดิอาระเบีย กำลังจะจับมือกันลดกำลังการผลิตน้ำมันลง เพื่อจะดึงราคาน้ำมันสูงขึ้นไม่ให้ตกต่ำเกินไปในปีหน้านี้ อเมริกานั้นปีหน้ามีแผนใหญ่ต้องการพัฒนาเป็น “ผู้ผลิตส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกในปี 2019” หน้านี้ โดยเฉพาะน้ำมันเชลออย จึงต้องการยันราคาน้ำมันไม่ให้ตกต่ำเกินไป


    ... แต่ ก็มีอีกวิธีหนึ่ง ที่แม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ความต้องการน้ำมันก็ยังคงสูงอยู่ ก็คือ “การที่ทั่วโลกอยู่ในสภาวะสงคราม” เพราะเมื่อเกิดแนวโน้มการเกิดสงคราม ทั่วโลกจะต้องการน้ำมันเอาไว้ยามฉุกเฉินยามสงคราม ดังนั้น จึงเกิดวิกฤติ “สงครามยูเครน” เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเรือยูเครนเข้าทะเลอาซอฟโดยที่ไม่ได้แจ้งรัสเซีย โดยนักวิเคราะห์บางสายบอกว่า เป็นแผนของ “อเมริกา” ที่ต้องการที่ต้องการเอาเรือรบเข้ามาป่วนในย่านนี้ เพื่อจุดขนวนความขัดแย้ง ให้ชาวยุโรปหวาดกลัวสงคราม


    ... ยิ่งกว่านั้น ในสแกนนิเวีย ทะเลบอลติค หรือแม้แต่ในเอเชีย อเมริกาก็พยายามทำให้ ญี่ปุ่นสร้างเรือรบและกองทัพของตัวเองได้อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นการซื้อน้ำมันในทั่วโลกให้มากขึ้น “เงินดอลล่าร์” ก็จะยังคงแข็งและประเทศต่างๆไม่กล้าเทขายทิ้งต่อไป รวมทั้งกระตุ้นธุรกิจการค้าอาวุธ พาหนะสงครามที่อเมริกาเป็นเจ้าพ่อรายใหญ่ต่อไป เพื่อจะได้นับรายได้ภาษีเข้าประเทศได้ต่อไป


    ... ดังนั้น ปีหน้า 2019 ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก เศรษฐกิจจะตกต่ำ ฝืดเคืองอีกต่อไป ( ไม่ได้เป็นเพราะรัฐบาลไหนในไทยชนะการเลือกตั้งแต่อย่างใด ) แต่ จะมีการพยายามสร้างความขัดแย้งและสงคราม หรือก่อการร้าย ให้มีมากขึ้นในทั่วโลก เพื่อพยุงธุรกิจน้ำมันและขายพาหนะทางสงคราม และ ให้ชาวบ้านทั่วโลกเก็บเงินดอลล่าร์เอาไว้อีกต่อไป


    ... แต่ประเด็นที่นักวิเคราะห์จับตาก็คือ “ทรัมป์” จะกล้าปลดผู้ว่าการเฟด ที่มีนโยบายขัดแย้งกับเขา หรือไม่ ?


    .


    .

    https://www.investopedia.com/articles/investing/010616/impact-fed-interest-rate-hike.asp

    https://www.bloomberg.com/opinion/a...ases-will-have-their-biggest-effect-in-europe

    https://www.businessinsider.com/how-the-fed-raises-interest-rates-2017-12

    https://www.bbc.com/news/business-44389203

    https://www.moneybuffalo.in.th/หุ้น/fed-อัตราดอกเบี้ย-ตลาดหุ้น


    http://www.maoinvestor.com/2015/10/fed-2.html

    https://www.ryt9.com/s/iq35/2932079


     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6503.JPG
    (Dec 23) แบงก์'รับอานิสงส์ขึ้นดอกเบี้ย0.25%ฝากธปท.ได้เงินเพิ่ม : จ นักวิเคราะห์ ประเมิน "แบงก์พาณิชย์" ได้ประโยชน์กว่า 1.6 หมื่นล้าน จากดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้น พร้อมระบุหากดอกเบี้ยเงินฝากยัง ไม่ปรับตาม อาจไม่ช่วยสกัดพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น เหตุคนยังโยกเงินหาแหล่ง เงินทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ด้าน "กรุงไทย -ซีไอเอ็มบี" ลั่นยังไม่ขยับดอกเบี้ยทั้งฝาก-กู้



    แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 1.5% เป็น 1.75% แต่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ ยังคงไม่ปรับดอกเบี้ยตามแต่อย่างใด มีเพียงธนาคารออมสินที่ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากออกทรัพย์ทุกประเภท 0.25% มีผล24 ธ.ค.นี้



    นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ผู้บริหาร TMB Analytics กล่าวว่า หากระบบ ธนาคาร ไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย ตามดอกเบี้ยนโยบายอาจส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยิ่งนำเงินฝาก ที่เป็นสภาพคล่องส่วนเกินเข้าสู่ระบบของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ผ่าน ธุรกรรม Bilateral Reverse Repo มากขึ้น เนื่องจากหลัง ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เมื่อแบงก์นำเงินไปฝากกับธปท. แบงก์จะได้ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้นอีก 0.25%



    ดังนั้น หากแบงก์ไม่มีการขยับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ตามดอกเบี้ยนโยบายส่วนนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อแบงก์ที่นำสภาพคล่องส่วนเกินมาฝากไว้กับธปท.ทันที แถมสภาพคล่องส่วนเกินที่มาฝากธปท.ไม่มีความเสี่ยงด้วย หากเทียบกับการนำเงินฝากไปปล่อยกู้ ที่มีต้นทุนการตั้งสำรอง และต้องบริหาร ความเสี่ยงซึ่งอาจได้ผลตอบแทนต่ำกว่า การนำเงินฝากมาปล่อยกู้ ธปท.



    ธปท.จ่ายแบงก์1.6หมื่นล้านต่อปี



    ทั้งนี้ หากดูยอดเงินฝากส่วนเกิน ที่แบงก์นำไปฝากธปท.เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ราว 1.3 ล้านล้านบาท โดยได้ผลตอบแทนที่ 1.75% ต่อปี ดังนั้นเมื่อหักต้นทุนของธนาคารจากการระดมจากประชาชน คาดว่า ผลตอบแทนที่แบงก์จะได้ต่อปี จากการนำเงินมาฝากธปท.อยู่ที่ราว 1.6 หมื่นล้านบาท



    "แบงก์เมื่อได้เงินฝากมา บางกลุ่มเอาไปปล่อยกู้ที่ 6% ส่วนนี้แบงก์โดยตั้งสำรองอีก 3% แถมมีต้นทุนจากเงินฝากที่ต้องเสียให้กับผู้ฝากเงิน 0.50% ซึ่งก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว แถมต้องมานั่งบริหารจัดการว่าเงินส่วนนี้จะเป็นหนี้เสียหรือไม่ ดังนั้นง่ายๆแถมไม่มีความเสี่ยงด้วย คือเอาเงินไปฝากธปท.ดีกว่าได้ดอกเบี้ยสบายๆ 1.75% ได้เพิ่มขึ้นด้วย 0.25% หลังกนง.ขึ้นดอกเบี้ย หากแบงก์ไม่ขยับดอกเบี้ยตาม ดอกเบี้ยส่วนนี้แบงก์ก็จะได้ประโยชน์ฟรีๆ ดังนั้นอาจกระตุ้นให้แบงก์หันมาทำรีเวิร์ดรีโปมากขึ้นก็ได้ เพราะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น โดยไม่ได้ต้องทำอะไรแค่เอาสภาพคล่องส่วนเกินสิ้นวันมาฝาก ธปท." นริศ กล่าว



    ขณะเดียวกัน จุดประสงค์ของ กนง.ในการขึ้นดอกเบี้ย ก็เพื่อมีกระสุน หรือขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน(Policy space) และต้องการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน เพราะปัญหาของการขาดเสถียรภาพวันนี้มาจาก การที่ดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการออกไปแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ดังนั้น สุดท้ายหากแบงก์ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ผู้ฝากเงินก็อาจเสียโอกาสได้ดอกเบี้ยที่ดี ดังนั้นเป้าหมายที่กนง.ต้องการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ก็อาจแก้ไขไม่ได้ ปัญหานี้ก็อาจเพิ่มขึ้นต่อได้ในอนาคต



    ทั้งนี้ การปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องปรับสองขาพร้อมๆกันทั้งฝั่งเงินฝาก และเงินกู้ ดังนั้นหากแบงก์นำประโยชน์ ดังกล่าวมา จากผลตอบแทนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น มาเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้กับประชาชน ก็เชื่อว่า จะไม่กระทบต่ออัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ(NIM)ของแบงก์ทั้งระบบ เนื่องจากปัจจุบัน แบงก์มีการบริหารจัดการ NIM ที่ดีอยู่แล้ว ทำให้NIM ทรงตัวต่อเนื่องเฉลี่ยที่ราว 3%



    ชี้ขยับดอกเบี้ยกู้กระทบเอสเอ็มอี



    การขยับดอกเบี้ยเงินกู้ เชื่อว่าอาจจะมีผลโดยตรงกับเอสเอ็มอี ที่กู้เงินแบบดอกเบี้ย MOR MLR ต่างๆ แต่แบงก์ก็สามารถออกมาตรเสริมเพื่อเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มผู้กู้เหล่านี้ได้ เพื่อให้กลุ่มเอสเอ็มอีต่างๆไม่ได้รับผล กระทบจากภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เช่นอาจออกแคมเปญ คงดอกเบี้ยโดยกำหนดช่วงระยะเวลา สำหรับเอสเอ็มอีได้ เพื่อให้กลุ่มนี้ไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่เชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะมีผลกระทบกลุ่มอื่นๆค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระผ่อนคงที่



    "เราคิดว่าควรขยับดอกเบี้ย ไม่งั้นดอกเบี้ยนโยบายจะมีความศักดิ์สิทธิ์อะไร ที่อยากตอบ คือ มันศักดิ์สิทธิ์เพราะแบงก์เอาเงินไปปล่อยธปท.แล้วธปท.ต้องจ่ายเรทที่แพงขึ้น ก็คือเงินของประชาชน เหล่านี้มีดาวน์ไซด์ ไม่ใช่ว่าขึ้นดอกเบี้ย แล้วผู้ประกอบการบอกว่าจะลำบากมาก แบงก์สามารถเลือกวิธีที่จะทำให้กลุ่มเหล่านี้ไม่กระทบ โดยการออกโปรแกรมล็อกเรทดอกเบี้ย สำหรับเฉพาะกลุ่ม เช่นเอสเอ็มอี เพราะหากไม่ขึ้นดอกเบี้ย ก็แปลว่าทั้งสองขา ก็ไม่ขึ้น ไม่งั้นการส่งผ่านนโยบายการเงินขาดตอน"



    กรุงไทยย้ำไม่ขึ้นดบ.เงินกู้-ฝาก



    นายผยง ศรีวณิช กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือKTB กล่าวว่า ยังไม่มีนโยบาย ปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากสภาพคล่องทั้งระบบยังดี การฟื้นตัวของเอสเอ็มอี กลุ่มใหญ่ กับการประคองตัวให้ฝ่าย ภาวะผันผวนของตลาดส่งออก ธนาคารจะต้องดูแลประคับประคองบนสภาพวะที่สภาพคล่องส่วนเกินและยังเกินอยู่



    'ซีไอเอ็มบี'รอประเมินภาวะตลาด



    ด้านนายสุธีร์ โล้วโสภณกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า ธนาคารยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ทั้งฝั่งเงินฝากและเงินกู้ ส่วนระยะข้างหน้าจะขึ้นหรือไม่ คงต้องตามทิศทางตลาดทั้งระบบ แต่หากแบงก์ทั้งระบบไม่มีการปรับดอกเบี้ยตามดอกเบี้ยนโยบาย เชื่อว่า ก็อาจมีความได้เปรียบ หรือได้ประโยชน์ จากการนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินไปฝากธปท. ซึ่งได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น



    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคงเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะการปรับดอกเบี้ยถือว่าเป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6504.JPG
    (Dec 23) สี จิ้นผิงส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ 'ไม่มีใครชี้นิ้วสั่งจีนได้' : จีนตั้งเป้าเป็นมหา อำนาจโลกทางด้านเทคโนโลยีให้ได้ภายในปี 2025 โดยรัฐบาลมีแผนอัดฉีดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 แขนง เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อนโยบาย เมด อิน ไชน่า 2025 (Made in China 2025) เพื่อไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของต่างชาติอีกต่อไป แต่นโยบายดังกล่าวก็ถูกเตะตัดขาโดยสหรัฐอเมริกา ที่หวั่นเกรงว่าความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี ของจีนจะทำให้สหรัฐฯต้องพบกับความสูญเสียทั้งในแง่เศรษฐกิจและความมั่นคง การรณรงค์ให้นานาประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯเลิกใช้อุปกรณ์โทรคมนาคม ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมและเป็นความภาคภูมิใจของจีนที่กำลังรุกสร้างเครือข่ายการสื่อสารไร้สายความเร็วสูงระดับ 5G ไปทั่วโลกในเวลานี้ เป็นเพียงปฐมบทของการต่อสู้ทางด้านเทคโนโลยีที่ กำลังเกิดขึ้น มะกันกดดันทุกรูปแบบ



    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ พยายามเพิ่มแรงกดดันด้วยการตั้งกำแพงภาษีสกัดกั้นสินค้าจีน โจทย์ใหญ่จึงตกเป็นของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่จะต้องหาวิธีเจรจารอมชอมเพื่อลดแรงกดดันทางการค้าและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจจีนเดินหน้าต่อไปแม้ในอัตราที่ลดน้อยลงก็ตาม และที่สำคัญคือทำอย่างไรจึงจะสามารถเดินหน้านโยบาย Made in China 2025 ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว ได้ต่อไปท่ามกลางการต่อต้านของสหรัฐฯ จุดยืนดังกล่าวนี้เห็นได้ชัดว่า ผู้นำจีนยอมถอยบางส่วนในแนวรบด้านการค้า เช่น ยอมลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ และเพิ่มการซื้อสินค้าเกษตรที่สำคัญจากสหรัฐฯ อาทิ ข้าวโพดและถั่วเหลือง แต่ไม่เคยส่งสัญญาณใดๆ ว่าจะพิจารณาทบทวนหรือติดเบรกให้กับนโยบาย Made in China 2025



    ย้อนกลับไปในปี 2015 พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศแผน 10 ปีที่มุ่งเป้าพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศหลากแขนงโดยนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อากาศยานและอุปกรณ์การแพทย์ที่นำสมัย แต่เป้าหมายการสร้างห่วงโซ่การผลิตของทั้งอุตสาหกรรมแบบพึ่งพาตนเองได้นั้นกลับสร้างความกังวลใจให้กับบรรดาบริษัทต่างชาติที่กลัวจะต้องเผชิญการแข่งขันจากบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น และรัฐบาลของหลายประเทศก็หวั่นเกรงว่าศักยภาพทางเทคโนโลยีของจีนอาจเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) เคยเอ่ยปากออกมาตรงๆเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ (10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย) หากจีนสามารถครองตลาดโลก นั่นก็เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับสหรัฐอเมริกา ไม่ถอย แต่อาจยอมปรับ



    จีนเองรู้ดีว่าการที่สหรัฐฯกล่าวโทษจีนว่ามีพฤติกรรมการค้าไม่เป็นธรรมหรือแม้กระทั่งข้อกล่าวหาว่าจีนขโมยเทคโนโลยีของต่างชาตินั้น เป้าหมายก็เพื่อเล่นงานนโยบาย Made in China 2025 ซึ่งเป็นนโยบายไต่บันไดดาวสู่การเป็นมหาอำนาจโลกทางด้านเทคโนโลยีในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้น ในระยะหลังๆ นี้ จีนพยายามทำให้นโยบายดังกล่าวไม่เป็นจุดสนใจ แต่สิ่งที่จีนทำไม่ใช่เป็นการ "ถอย" ทว่าเป็นการ "ปรับ"เพื่อลดทอนแรงเสียดทาน เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อใหญ่อย่างเดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ได้รายงานข่าวว่า จีนกำลังร่างแผนที่มีการปรับใหม่เปิดทางให้บริษัทต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมของจีนมากยิ่งขึ้น ซึ่งรายละเอียดของร่างใหม่ดังกล่าวคาดว่าจะมีการเผยแพร่ให้ได้เห็นกันช่วงต้นปีหน้า (2562)



    วันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 40 ปีของการ ปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีน ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ชี้ว่า จีนจะยังคงเดินหน้าและยึดมั่นต่อนโยบายที่วางเอาไว้แม้ว่าจะมี แรงกดดันจากภายนอกที่ต้องการให้จีนเปิดกว้างระบบเศรษฐกิจให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันมากขึ้นและเรียกร้องให้จีนลดการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภายในประเทศ "ไม่มีใครสามารถชี้นิ้วสั่งว่าอะไรที่คนจีนควรทำหรือไม่ควรทำ" ส่วนหนึ่งของถ้อยแถลง 80 นาทีของผู้นำจีนระบุ สะท้อนชัดเจนว่าจีนไม่ใส่เกียร์ถอยนโยบาย Made in China 2025 (โดยพยายามไม่กล่าวถึงและไม่เอ่ยชื่อนโยบายนี้ออกมา) แต่อาจจะมีการปรับแก้ไขซึ่งหลายฝ่าย รวมทั้งหอการค้าอเมริกันในจีน หวังว่าจะเป็นการแก้ไขเพื่อให้บริษัทต่างชาติมีโอกาสที่จะแข่งขันในอุตสาหกรรมเป้าหมายของจีนมากยิ่งขึ้น


    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 23) กูรูชี้"ทรัมป์"ทำไม่ได้หลังมีกระแสข่าวเตรียมปลดประธานเฟด : ขณะผู้เชียวชาญระบุประธานาธิบดีสหรัฐไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ เนื่องจากการกระทำของ“เจอโรม พาวเวล” ไม่เข้าข่ายผิดกฏหมายและต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส


    ผู้เชี่ยวชาญของมอร์แกน สแตนลีย์ บริษัทการเงินระดับโลกของสหรัฐ ชี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่พอใจ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่ประธานาธิบดีสหรัฐไม่มีอำนาจปลดพาวเวลออกจากตำแหน่ง


    นายเอลเลน เซนท์เนอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ เผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถเสนอชื่อประธานเฟดได้ แต่หลังจากมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ประธานาธิบดีไม่มีสิทธิที่จะปลดประธานเฟดได้


    “วิธีเดียวที่คุณจะปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่งคือในกรณีที่เขาทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจนเท่านั้น และสภาคองเกรสจะต้องหาสาเหตุการปลดประธานเฟดผ่านการลงมติและทำตามขั้นตอน”

    ทั้งนี้ เว็บไซต์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า กฎหมายสหรัฐกำหนดไว้ว่า เจ้าหน้าที่ของเฟด และหน่วยงานอิสระอื่น ๆ สามารถถูกปลดได้หากมีเหตุผลสมควร “เหตุผล” ในที่นี้มักหมายถึงเรื่องนอกเหนือจากการมีความเห็นไม่ลงรอยกับประธานาธิบดี


    อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่เคยมีประธานเฟดถูกประธานาธิบดีสหรัฐปลดแม้แต่คนเดียว


    “พาวเวลจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป เขาไม่เอนเอียงตามกระแสทางการเมือง เขาตัดสินใจตามข้อมูลที่บ่งชี้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจแน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และหากเฟดพักการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ก็ไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกัน” เซนท์เนอร์ กล่าว


    ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์มอร์แกน สแตนลีย์มีขึ้นไม่นาน หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างแหล่งข่าววงในวานนี้ (22 ธ.ค.)ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังหารือเรื่องการปลดพาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟดหลังจากผิดหวังและไม่พอใจประธานเฟดรายนี้ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ย และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวร่วงลงอย่างหนัก


    แหล่งข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับการปลดพาวเวลมาหลายครั้งแล้วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว เช่นเดียวกับ มิเชล สมิธ โฆษกเฟดที่ปฏิเสธที่จะยืนยันข่าวนี้


    ข่าวการปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งมีขึ้นหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันพุธ (19 ธ.ค.) ที่ผ่านมา เป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้ และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต


    ขณะที่ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ที่เคยหวังว่าจะเห็นภาพรวมของนโยบายที่ดีขึ้น จึงพากันเทขายหุ้นทิ้งอย่างมากส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวลงอย่างหนัก โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เผชิญหน้ากับสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินปี 2551 ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก ดิ่งลงอย่างหนักเช่นกัน


    อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งของผู้นำสหรัฐ อาจถูกมองว่าเป็นการบั่นทอนความเป็นอิสระในการบริหารงานของธนาคารกลางได้ด้วยเช่นกัน


    ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า เฟดเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดสำหรับเขา และเขาวิตกกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ


    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    https://www.cnbc.com/2018/12/22/trump-reportedly-wants-to-fire-fed-chair-powell.html
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สื่อออสเตรเลียเผยแพร่ภาพชาวปาปัวตะวันตกถูกโจมตีจากระเบิด 'ฟอสฟอรัสขาว' ของกองทัพอินโดฯ
    Submitted on Sun, 2018-12-23 17:21

    สื่อแซทเทอร์เดย์เปเปอร์จากออสเตรเลียเผยแพร่เรื่องที่กองทัพอินโดนีเซียโจมตีทางอากาศใส่จังหวัดปาปัวตะวันตกด้วยระเบิดฟอสฟอรัสขาวซี่งเป็นสารเคมีต้องห้ามในการสงคราม เพื่อเป็นการโต้ตอบกรณีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนก่อเหตุสังหารคนทำงานก่อสรางของรัฐบาลเมื่อต้นเดือนที่่ผ่านมา

    32557660208_4501748b17_o_d.jpg
    ที่มาภาพ: thesaturdaypaper.com.au

    นักข่าวต่างประเทศจากสื่อออสเตรเลีย จอห์น มาร์ตินคัส และมาร์ค ดาวิส รายงานถึงสภาพเหยื่อที่มีบาดแผลเหวอะหวะและมีรอยไหม้ขอบแผล รวมถึงสภาพเสื้อผ้าที่ละลายหรือขาดออกจากกัน พวกเขาถูกโจมตีจากอาวุธสงครามของกองทัพอินโดนีเซีย มี 7 รายเสียชีวิตจากการโจมตีนี้และมีคนอีกจำนวนมากที่หนีขึ้นภูเขาไป

    รูปถ่ายรอยแผลที่นักข่าวทั้งสองคนได้รับมาเป็นภาพแรกที่แสดงให้เห็นถึงปฏิบัติการของกองทัพอินโดนีเซียในปาปัวตะวันตก อีกรูปภาพหนึ่งเป็นรูประเบิดที่มีปลายหัวสีเหลืองที่มีชาวบ้านเก็บได้ อาวุธบางส่วนดูเหมือนจะเป็นระเบิดฟอสฟอรัสสีขาวที่ถูกสั่งห้ามจากกฎหมายนานาชาติ

    ฟอสฟอรัสขาวเป็นสารที่ถูกจัดเป็นทั้งอาวุธเชื้อเพลิงและอาวุธเคมี มันสามารถทำให้เกิดการเผาไหม้ผิวหนังและเนื้อลึกไปจนถึงกระดูกได้ รวมถึงไม่สามารถดับการเผาไหม้ของมันได้ วิธีเดียวที่จะช่วยเหลือคนที่ถูกอาวุธนี้คือการแช่ตัวเขาในน้ำและพยายามนำสารฟอสฟอรัสออกจากตัว หลายคนเสียชีวิตจากการเผาไหม้ภายในตัว หลายคนดูดซึมเอาสารฟอสฟอรัสเข้าไปในร่างกายส่งผลให้เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลวหลายส่วน

    แซทเทอร์เดย์เปเปอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวของกองทัพอินโดนีเซียว่า อาวุธที่ใช้ "ดูเหมือนจะเป็นอาวุธเชื้อเพลิงหรือไม่ก็ฟอสฟอรัสขาว" ขณะที่ทหารอินโดนีเซียนายหนึ่งบอกว่ามันเป้นอาวุธระเบิดแต่มีลักษณะเป็นแก็สชนิดหนึ่ง

    รูปภาพเหยื่อที่มีรอยแผลไหม้ดังกล่าวเป็นรูปภาพที่ถ่ายไว้ในช่วงระหว่างวันที่ 4-15 ธ.ค. ที่ผ่านมาจากเหยื่อหลายรายในหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งกล่าวว่ากองทัพอินโดนีเซียทิ้งระเบิดจากเฮลิคอปเตอร์จนเป็นเหตุให้คนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีแหล่งข่าวที่เปิดเผยว่ามีการโจมตีด้วยอาวุธปืนใหญ่และกองกำลังภาคพื้นดินด้วย

    หลังฐานในเรื่องนี้มีทั้งรูปถ่ายของคนที่มีผ้าเปียกพันแผลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการเผาไหม้จากในร่างกายเขาเอง มีภาพผู้หญิงที่อยู่ข้างหลุมศพคนที่ถูกสังหารจากระเบิด นอกจากนี้ชาวบ้านยังเก็บอาวุธส่วนหนึ่งที่ยังไม่ระเบิดเอาไว้ได้ มีหลักฐานอีกส่วนหนึ่งเผยให้เห็นว่าทหารอินโดนีเซียทิ้งอาวุธและกระเป๋าสะพายเอาไว้ทั่วสนามบินอาเบปุระ ในเมืองหลวงจายาปุระของปาปัวตะวันตก ซึ่งเป็นสถานที่ๆ กองทัพใช้จัดขบวนทัพ และภาพเหล่านี้มีการนำเสนอในโทรทัศน์ช่องของรัฐบาลอินโดนีเซีย

    แซทเทอร์เดย์เปเปอร์ระบุว่าถึงแม้วกองกำลังทหารเหล่านี้จะทำเหมือนว่าพวกเขากำลังไปรับศพคนก่อสร้าง 31 ราย ที่ถูกสังหารจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาแสร้งทำเป็นเข้าไปช่วยเหลือเพื่อกลบเกลื่อนปฏิบัติการใช้อาวุธสังหารผู้คนในพื้นที่

    กรณีความขัดแย้งในพื้นที่ปาปัวตะวันตกรอบล่าสุดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เมื่อชาวปาปัวตะวันตกทำการเคลื่อนไหวรำลึกถึงการประกาศอิสรภาพจากเจ้าอาณานิคมชาวดัทช์เมื่อปี 2506 โดยมีการนำธงปาปัวตะวันตกสู่ยอดเสาซึ่งเรื่องนี้สร้างความตึงเครียดต่อทางการกลางอินโดนีเซีย ซึ่งในประวัติศาสตร์อินโดนีเซียได้เข้าไปยึดครองพื้นที่ปาปัวตะวันตกและผนวกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอินโดนีเซียในปี 2509

    ในพิธีชักธงปีนี้ทหารอินโดนีเซียเข้าไปจับกุมผู้คนมากกว่า 500 ราย ที่เข้าร่วมพิธีรำลึกในจายาปุระ และในบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ก็มีการจัดพิธีชักธงในอีกที่หนึ่งที่หมู่บ้านดูกา แต่ในเหตุการณ์นั้นมีคนทำงานก่อสร้างถนนโครงการของรัฐบาลคนหนึ่งถ่ายภาพและวิดีโอของผู้ชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมกลัวว่าภาพที่เชาถ่ายไว้จะหลายเป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเขาถูกจับกุมหลังจากนั้น ชาวปาปัวจึงพากันไล่ล่าตัวผู้ถ่ายภาพไปจนถึงที่พักคนงาน มีคนงาน 24 รายเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มี 8 รายที่เหลือหลบหนีไปพักพิงอยู่ที่บ้านของนักการเมืองท้องถิ่น ในวันต่อมาก็มีเหตุสังหารคนงานเหล่านี้อีก 7 ราย

    สื่อเอบีซีระบุว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียพยายามลดทอนกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนด้วยการส่งตัวชาวอินโดนีเซียจากพื้นที่อื่นเข้าไปอาศัยและทำโครงการพัฒนา ซึ่งคนงานเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นคนนอกในสายตาของกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนปาปัว

    พื้นที่ปาปัวตะวันตกนี้ถูกปิดกั้นจากรัฐบาลอินโดนีเซียไม่ให้สื่อต่างชาติเข้าไปได้ แต่สื่อก็ได้รับข้อมูลเหล่านี้จากชาวบ้านที่ถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์เก็บไว้ได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้นำหาหัวตะวันตกก็เรียกร้องให้ต่างชาติแทรกแซงการใช้กำลังของกองทัพอินโดนีเซีย โดยระบุว่ามีการใช้อาวุธที่ถูกห้ามตามหลักกฎหมายนานาชาติ

    ทางกระทรวงการต่างประเทศของออสเตรเลียแถลงในเรื่องนี้ว่าพวกเขาทราบเรื่องราวความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปาปัวตะวันตก รวมถึง "รายงานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์" ในเรื่องการใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาว ทางรัฐบาลแถลงประณามการใช้ความรุนแรงทุกกรณีในปาปัวไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงที่ส่งผลต่อประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทางการก็ตาม รวมถึงบอกว่าพวกเขาจะเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปและจะมีปฏิบัติการผ่านทางการทูตกับอินโดนีเซีย

    เรียบเรียงจาก
    Exclusive: Chemical weapons dropped on Papua, The Saturday Paper, 22-12-2018
    https://www.thesaturdaypaper.com.au...chemical-weapons-dropped-papua/15453972007326

    Separatist gunmen kill 31 workers in restive Papua region, Indonesian authorities say, 06-12-2018
    https://www.abc.net.au/news/2018-12...sts-allegedly-kill-workers-indonesia/10582480


    https://prachatai.com/journal/2018/12/80205
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2018
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers


    #ข่าวภัยพิบัติ

    UPDATE:

    #Tsunami ใน #Sunda #Indonesia

    23 ธันวาคม 2018 เวลาท้องถิ่น 16: 00h

    ยอดคงเหลือครั้งสุดท้าย:

    • ผู้เสียชีวิต 222 คน

    • 843 คนบาดเจ็บ

    • สูญหายไป 28 ราย

    • 556 บ้านและอาคารที่เสียหาย

    • โรงแรมที่ได้รับผลกระทบ 9 แห่ง

    • เรือเสียหาย 350 ลำ

    ภาพจากอาสาสมัครกู้ภัย

    ผ่านทาง@Sutopo_PN

    #Watchers


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone


    การตัดสินใจถอนทหารสหรัฐทั้งหมด 2,000 นายออกจากซีเรีย สร้างความร้าวฉานในหมู่ผู้บริหารรัฐบาลสหรัฐอย่างหนัก เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา นายเบรตต์ แมคเกิร์ค ทูตพิเศษของสหรัฐประจำกองกำลังพันธมิตรต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ก็ได้ลาออกไปแล้ว


    ตามข่าวนี้ Jim Mattis รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ซึ่งทำหน้าที่มาได้ 2 ปีเศษ ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมแล้วด้วยเช่นกัน โดยเขาจะออกจากตำแหน่งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2019 เพราะเขามองว่า สหรัฐได้ทุ่มเทให้กับชาวเคิร์ด SDF ไปมากมายและเคิร์ด ก็ให้ใจกับทางสหรัฐมาแบบ 100% แต่อยู่ๆ สหรัฐกลับปล่อยเคิร์ด SDF ทิ้งเสียดื้อๆ เป็นการไม่รับผิดชอบต่อพันธมิตร เขาจึงขอลาออก


    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คงต้องการแก้ปัญหารายจ่ายของสหรัฐ ซึ่งสูงมากกว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษีมายาวนาน และเป็นภาระที่หนักมากถึงขั้นอาจทำให้สหรัฐล่มสลายแตกออกเป็น 50 ประเทศได้ ต้องอับอายต่อรัสเซีย ซึ่งสหรัฐเคยทำให้สหภาพโซเวียต-รัสเซีย ล่มสลายมาแล้ว มาคราวนี้สหรัฐเองก็ร่อแร่เต็มทนแล้ว ทำเนียบขาวจะต้องเด็ดขาด ตัดอวัยวะ ซึ่งก็คือพันธมิตรทิ้งทั้งหมด เพื่อลดค่าใช้จ่ายสงครามลงทั้งหมด ผมคิดว่านักบัญชีของโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องมีเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายสงครามลงทั้งหมด เพราะมันไม่ใช่ธุระของสหรัฐในการไปคุ้มกันซาอุดิอาระเบีย ไปเปลี่ยนแปลงการปกครองของยูเครน ส่งกองเรือรบไปที่นั่นที่นี่ ส่งทหารไปอยู่ในยุโรป นั่นล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรต้องจ่ายทั้งสิ้น


    ผมคิดว่าตอนนี้วลาดิเมียร์ ปูติน กับประธานาธิบดีซีเรีย บาร์ซา อัล อัสซาด ที่สหรัฐเคยยื่นคำขาดว่า ต้องออกไป ไม่งั้นไม่ต้องมาคุยกัน คงจะรู้สึกผ่อนคลายมากๆ แม้ผู้ก่อการร้ายจะฟาดหัวฟาดหาง หนักหน่วงแค่ไหน ก็คงไม่ตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันแน่นอน


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nonthalee Ann Kasemsook

    IMG_6519.JPG IMG_6520.JPG
    ช่องแคปซุนดา เฝ้าระวังต่อ #Krakatua ดีดขึ้นมาอีก..!

    CA20181223


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai


    ... "อเมริกา ระเบิดหนี้หรือระเบิดตลาดหุ้นจะแตกก่อน?"


    ... อเมริกามีหนี้ทั้งหมดตอนนี้21.8 ล้านล้านดอลลาร์, งบประมาณขาดดุล779, 000ล้านดอลลาร์ ปีนี้มากสุดนับแต่ปี2012 เหมือนคนหนี้ท่วมหัว แถมรายได้ประจำเดือน"รายจ่ายไม่พอรายรับ" ต้องกู้สร้างหนี้ใหม่มาจ่ายโปะหนี้เก่าไปเรื่อยๆ ตามแนวคิดประเทศธนาคาร


    ... ยิ่งเฟดขึ้นดอกเบี้ยยิ่งเพิ่มหนี้ระเบิดหนี้ก็จะยิ่งแตก แต่ถ้าอัดเงินเข้าตลาดทุนตามแนวคิดทรัมป์ ตลาดหุ้นตลาดอนุพันธ์พันธบัตรก็อาจจะแตก ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไปซ้ายก็แตกไปขวาก็แตกแนวทรัมป์นั้นอัดเงินเข้าตลาดหุ้นโดยการลดภาษีให้บรรษัทใหญ่ เพื่อหวังสร้างงานในประเทศ อาจจะ "ระเบิดตรงตลาดทุนหุ้น" นี้ ขณะที่เฟดกลัวตรงนี้เลยขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ออกแนว"ระเบิดหนี้" แตก


    ... ทรัมป์นั้นสร้างรายได้เพิ่มทดเแทนจากกำแพงภาษีและ"สงครามการค้า" และที่เหมือนกันทั้งเฟดและทรัมป์ คือการ"สร้างความกลัวสงครามขึ้นทั่วโลก" เพื่อดันราคาน้ำมันและค่าเงินดอลล่าร์


    ... ทั้งทรัมป์และเฟดขัดแย้งกัน เดินคนละแนว ปัญหาคือใครจะแตกก่อนกันหนี้หรือหุ้น?


    .

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา


    ข่าวด่วน!

    คาดว่าทรัมป์จะสั่งให้ James Mattis หยุดทำหน้าที่ในตำแหน่ง รมว.กลาโหมสหรัฐอเมริกา วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า


    BREAKING: CBS News has learned that President Trump is expected to order Defense Secretary JamesMattis to leave his post as of January 1st. He will then appoint Deputy Secretary Patrick Shanahan as Acting Secretary of Defense.


    - jenjira -


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,254
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หนุมานมุนี มุ ฤกษ์อัศวบุญชัย

    IMG_6523.JPG
    เถ้าพระอัฐิพระพุทธเจ้า


    เมื่อปี 1957 ศาตราจารย์ บี. Subbrao และทีมนักโบราณคดี จากภาควิชาโบราณคดี และประวัติศาสตร์โบราณ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาราชาสยาซิเรา (Maharaja Sayajirao University) เมืองวาโรดารา ได้ไปทำการ ขุดเจาะซากสถูปใหญ่ที่เมืองเทวนิโมรี ทางตอนเหนือของรัฐคุชราต ซึ่งการขุดเจะสถูปนี้ พวกเขาได้พบผอบ 2 ใบ


    ใบแรก ฝังอยู่ใต้ดินชั้นล่างของสถูป ลักษณะเป็นหินเจาะตรงกลางและมีฝาปิด แต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่บรรจุสิ่งใด


    ใบที่สอง อยู่ช่วงกลางของสถูป มีการก่อหินล้อมไว้อย่างดี ผอบมีลักษณะทรงกลมมีฝาปิดใบ ทำจากหินแปรสีเขียว (chlorite schist) มีอักษรพราหมีจารึกไว้ทุกรอบด้าน


    นักวิชาการโบราณคดีทีมของศาตราจารย์ วีเอช sonawane จึงได้ช่วยกันแกะ และแปลอักษรในจารึก พวกเขาจึงได้รู้ว่า จารึกนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน อีกทั้งยังได้ทราบว่า เป็นพระเถ้าอัฐิของพระพุทธเจ้า (ถ้าแปลเอาตรงๆ เขาว่า ซากศพพระพุทธเจ้า )


    จารึกส่วนแรกนั้น กล่าวถึง "ปฏิจจสมุปบาท"

    ซึ่งเป็นหลักธรรมที่อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบๆเนื่องกันมาตามลำดับ ..


    จารึกส่วนที่สอง กล่าวถึงความเป็นมาของสถูป ความดังนี้..


    " สถูปนี้สร้างในสมัยของพระเจ้ารุทราเสน (Rudrasena) แห่งราชวงศ์กธิกะ (Kathika) โดยการกำกับดูแลของพระสงฆ์ 2 รูปได้แก่ พระอัคนีพรหม (Agnivarmma) และพระสุทรสนะ (Sudarsana) ที่ใกล้ๆ กับเมืองกรมันฏิกะ (Karmantika) และปสันฏิกะ (Pasantika) สำหรับผอบนั้นสร้างถวายเป็นที่ประดิษฐานของ ทศพลสรีระ (Dashabalasharira) โดยพระเจ้าวรหะ โอรสของพระเจ้าเสนะ มีพระภิกษุมหาเสนะเป็นผู้จัดเตรียมผอบเพื่อบรรจุพระอัฐิธาตุ .."


    นอกจากคำว่า ทศพลสรีระแล้ว ก็ยังมีคำจารึกพระนามอื่นของพระพุทธเจ้าอีก คือ ศากยภิกษุอวตาร (Sakyabhikshukavatr)


    ส่วนสาเหตุที่พระเถ้าอัฐิของพระพุทธเจ้าไปอยู่ไกลถึงตอนเหนือ ของรัฐคุชราตนั้น เกิดจากพระเจ้าอโศกได้แบ่งพระบรมสาริกธาตุ แล้วเถ้าพระอัฐิใหม่ แล้วนำไปประดิษฐานตามวัดพุทธต่างๆ ถึง 80,000 กว่าแห่ง ในเวลาต่อมากษัตริย์เมืองเทวนิโมรีก็ได้รับมาด้วยเหมือนกัน จึงได้สร้างสถูปครอบไว้ เมื่อราว พุทธศักราช ที่ 700-800


    ภาพนิ่ง : ดูในคอมเม้น

    ที่มาข้อมูล : ท่านคมสรณ์ - พระธรรมทูตไทยในอินเดีย


     

แชร์หน้านี้

Loading...