ติดตามสถานะการณ์

Bank of Thailand Scholarship Students


(Dec 19) บิ๊กดีล 'ทีเอ็มบี' ควบ 'ธนชาต' สินทรัพย์หลังควบ 1.8 ล้านล้าน : ไอเอ็นจี” ควง “ธนชาต-สโกเทีย” เตรียมหารือรมว.คลังเสนอแผนควบรวมกิจการ “ทหารไทย-ธนชาต” พร้อมเล็งเพิ่มทุนครั้งใหญ่ให้สิทธิไอเอ็นจีถือหุ้นมากสุด 25% กุมอำนาจการบริหารเต็มตัว ส่วน “บันเทิง-ศุภเดช-ปิติ” ลดบทบาทเหลือแค่กรรมการ เร่งควบรวมให้เสร็จก่อนสิ้นปีหน้า ยันไม่เอาคนออก


ไอเอ็นจีแบงก์ ธนาคารธนชาต ธนาคารโนวาสโกเทีย และ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มีแผนเข้าพบ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อรายงานความคืบหน้าการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย และ ธนาคารธนชาต ที่ได้ข้อสรุปร่วมกันแล้ว


แหล่งข่าวกล่าวว่า แผนที่ทั้ง 4 ฝ่ายหารือร่วมกันมาแล้วระยะหนึ่งจะเป็นการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions หรือ M&A) ระหว่างธนาคารทหารไทย(ทีเอ็มบี) และธนาคารธนชาต บริษัทในเครือทุนธนชาต โดยจะใช้วิธีการเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย โดยไอเอ็นจีแบงก์ จะถือหุ้นมากที่สุดมากกว่า 20% แต่ไม่เกิน 25% ธนาคารธนชาต ถือหุ้น 20% กระทรวงการคลังถือต่ำกว่า 20% และ สโกเทีย ถือหุ้นน้อยที่สุด


“มีการคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นการคุยแบบต่างฝ่ายคุยกัน จนเมื่อเร็วๆ นี้ คิดว่าได้ข้อสรุปในเบื้องต้น มีการร่างข้อตกลงที่ทุกฝ่ายจะต้องเซ็นเป็นบันทึกข้อตกลง(เอ็มโอยู)ร่วมกันว่าจะควบรวมกิจการระหว่างทหารไทยและธนชาต และนำไปรายงานให้ท่านรัฐมนตรีฯได้รับทราบ”


แหล่งข่าวกล่าวว่า การเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารไอเอ็นจีแบงก์ และสโกเทีย จะเดินทางมาจากเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ฝ่ายธนชาต นำโดยนายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการ และนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ประธานกรรมการบริหาร บริษัททุนธนชาต


เร่งควบให้เสร็จก่อนหมดสิทธิภาษี


แหล่งข่าวกล่าวว่า ประเด็นของการควบรวมกิจการมีขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นภาษีสำหรับการควบรวมกิจการสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2561 จึงได้เรียกสโกเทีย มาหารืออย่างจริงจัง และต่างฝ่ายก็มีการหารือร่วมกันตลอด จนนำมาซึ่งข้อตกลงที่จะนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเร็วๆ นี้


“เราคุยกันตลอด ทุกฝ่ายได้เข้าหารือกับรัฐมนตรีคลัง คุยกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คุยกับสคร. แต่การพบรัฐมนตรีคลังในเร็วๆ นี้ จะเป็นวันที่ทุกฝ่าย ทุกปาร์ตี้เข้าพบพร้อมกัน”


ทั้งนี้หลังจากเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ขั้นตอนต่อไปทั้ง 4 ฝ่ายจะต้องไปเร่งกระบวนการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 2562 เพื่อให้ได้รับสิทธิการยกเว้นภาษีการควบรวมกิจการ ที่จะหมดอายุในสิ้นปี 2562


ตามมติครม.กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประโยชน์จากการควบ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ และภาษีสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน เป็นต้น

สำหรับราคาซื้อขายรวมทั้งราคาหุ้นที่จะเพิ่มทุน ณ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้


ทหารไทยยังรั้งเบอร์ 6 หลังควบ


ธนาคารทหารไทย มีทุนจดทะเบียน 41,903,301,555 บาท คิดเป็นหุ้นจดทะเบียน 43,851,893,110 หุ้น ราคาพาร์ 0.95 บาท ณ วันที่ 24 เม.ย. 2561 กระทรวงการคลังถือหุ้น อันดับ 1 จำนวน 11,364,282,005 หุ้น หรือ 25.92% อันดับ 2 คือ ING BANK N.V. ถือ 10,970,893,359 หุ้น หรือ 25.02% และ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือ 5 ,043,971,032 หุ้น หรือ 11.50% ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย


ฐานะการเงินงวดล่าสุด 30 ก.ย.2561 มีสินทรัพย์ 873,172 ล้านบาท สินเชื่อ 635,908 ล้านบาท เงินฝาก 638,863 ล้านบาท เงินกองทุน 17.76% และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 2.69% ส่วนผลการดำเนินงานมีกำไรสุทธิ 9,900 ล้านบาท รายได้ 36,556 ล้านบาท


ส่วนธนาคารธนชาต มีทุนจดทะเบียน 99,136 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 9,913 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท มีบริษัททุนธนชาต ถือหุ้นใหญ่ 50.96% และธนาคารสโกเทีย จากแคนาดา ถือหุ้น 48.99%


ฐานะการเงินงวดล่าสุด 30 ก.ย.2561 มีสินทรัพย์ 1.001 ล้านล้านบาท สินเชื่อ 735,960 ล้านบาท เงินฝาก 700,386 ล้านบาท เงินกองทุน 15.30% และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 2.06% ส่วนผลการดำเนินงานมีกำไรสุทธิ 11,687 ล้านบาท มีรายได้รวม 43,460 ล้านบาท


ภายหลังการควบรวมกิจการ หากนับถึงงวดไตรมาสที่ 3 จะทำให้ธนาคารแห่งใหม่ มีสินทรัพย์รวมราว 1.87 ล้านล้านบาท เงินฝากรวม 1.37 ล้านล้านบาท และสินเชื่อรวม 1.33 ล้านล้านบาท ในแง่สินทรัพย์ ยังคงอยู่อันดับ 6 แต่ขยับเข้าใกล้อันดับ 5 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่มีสินทรัพย์ 2.09 ล้านล้านบาท


หาทางออกธุรกิจซ้ำซ้อน


แหล่งข่าวกล่าวว่า ธุรกิจที่ซ้ำซ้อนกันของทั้ง 2 แห่งต้องมีการดำเนินการ ซึ่งจะมีผลต่อสัดส่วนการถือหุ้นด้วย เช่นกรณีธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ที่ทหารไทยมี ซึ่งได้ขายออกไปแล้ว 50% ส่วนธนชาต มี บลจ.ธนชาต จะต้องขายออกไปหรือไม่ หรือว่า เก็บไว้ ส่วนธนชาตที่มีธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่ทหารไทยไม่มี เป็นรายละเอียดที่ต้องจัดการภายหลังจากที่ได้ข้อตกลงร่วมกัน


ธุรกิจในเครือธนาคารธนชาติ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) มีส่วนแบ่งค้าหุ้นอันดับ 4 ของระบบ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) 2.37 แสนล้านบาท บริษัทธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีเบี้ยประกันภัยรับงวด 9 เดือนแรกปีนี้ 5,783 ล้านบาท


นอกจากนี้ยังมี บริษัทบริหารสินทรัพย์ทีเอส จำกัด ทำธุรกิจบริหารหนี้ตามนโยบายและแผนธุรกิจของกลุ่มธนชาต และบริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งธนาคารธนชาตถือหุ้นใหญ่ 65.18% ทำธุรกิจเช่าซื้อ พอร์ตสินเชื่อ ณ 30 ก.ย.2561 จำนวน 45,748 ล้านบาท


ส่วนทหารไทยมีธุรกิจการบริหารจัดการสินทรัพย์ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด ถือหุ้น 100% ธุรกิจการบริหารและจัดการกองทุนรวม ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย จำกัด ต่อมาขายให้ พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย หรือ PCAL จำนวน 65% เหลือถือ 35%


“ไอเอ็นจี”บริหาร-ไม่เอาคนออก


แหล่งข่าวกล่าวว่าในส่วนของการบริหารธนาคารใหม่นั้น จะให้สิทธิแก่ไอเอ็นจีแบงก์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยจะได้ตำแหน่งประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆจะได้ตำแหน่งกรรมการ และรองประธานกรรมการตามสัดส่วนการถือหุ้น


ขณะที่การดูแลพนักงานของทั้ง 2 ธนาคารนั้น จะไม่มีการเอาคนออกแม้จะมีซ้ำซ้อน รวมถึงสาขาด้วย การปฏิบัติต่อพนักงานจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย


“คุณบันเทิง ก็มีความเป็นห่วงหากมีข่าวการควบรวมกิจการออกไป อาจจะมี Panic จากพนักงานได้ ซึ่งเรื่องนี้แบงก์ชาติมีมตราการดูแลอยู่แล้ว มีการกำหนดอยู่แล้วว่า หากเอาพนักงานออกไปภายในระยะเวลาที่กำหนด”


ปัจจุบัน ธนาคารธนชาตมีพนักงานจำนวน 13,702 คน ส่วนธนาคารทหารไทย มีพนักงาน 8,446 คน


ลุ้น รมว.คลังชี้ขาดการควบรวม


แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทั้ง 2 ธนาคารน่าจะได้ข้อยุติแล้วว่าจะดำเนินการควบรวมกันอย่างไร หลังจากที่หารือร่วมกันมาต่อเนื่อง เพียงแต่ข้อสรุปที่ได้ยังต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงการคลังด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้ามาหารือกับกระทรวงการคลังหลายครั้งแล้ว แต่ยังมีบางประเด็นที่ รมว.คลัง ไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดเรื่องบริษัทย่อยของทั้ง 2 ธนาคารว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป


“เขาอาจจะได้ข้อยุติในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ข้อยุติในระดับนโยบายเพราะต้องรอให้ท่านรมว.คลังเห็นชอบด้วย การหารือก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า รมว.คลัง เอาด้วยหรือไม่ เพราะถ้าควบรวมแล้วกลุ่มธุรกิจได้ประโยชน์ แต่กระทรวงการคลังไม่ได้ประโยชน์อย่างนี้ก็คงไม่เอา”


Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/821641

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Dec 19) เฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ย 0.25% : ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 2-2.25% มาที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของปี 2561 อย่างไรก็ดี เฟดคงจะเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป หลังจากที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐปรับเข้าใกล้ระดับดุลยภาพ ทำให้ในปี 2562 การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดคงจะขึ้นอยู่กับการประเมินภาวะเศรษฐกิจและมีความไม่แน่นอนมากขึ้นกว่าในปี 2561 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐบางตัวจะเริ่มมีสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะเครื่องชี้ที่อยู่อาศัย หลังจากที่เฟดดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจัยพื้นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมยังคงสนับสนุนเส้นทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นของเฟด อันจะเห็นได้จากดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ เดือน พ.ย. 2561 ที่อยู่ในระดับ 59.3 อันบ่งชี้ถึง มุมมองเชิงบวกต่อภาคการผลิตของสหรัฐในระยะข้างหน้า ขณะที่พัฒนาการตลาดแรงงานสหรัฐ แม้ว่าจะมีสัญญาณชะลอลงบ้างแต่โดยรวมการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานยังคงทำได้สูงกว่าวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบที่ผ่านมา (ค.ศ. 2004-2006) โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาที่ 2.04 แสนตำแหน่ง/เดือน เทียบกับ 1.90 แสนตำแหน่ง/เดือน ขณะที่ระดับการว่างงานยังคงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 49 ปีที่ระดับ 3.7% เทียบกับมุมมองอัตราการว่างงานตามธรรมชาติของเฟดที่ระดับ 4.0-4.6%

การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐทยอยหมดลง คงส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าแรงส่งจากมาตรการปรับลดภาษีเริ่มทยอยหมดลง กอปรกับการครองเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐ ที่ส่งผลให้การพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐทำได้ลำบากมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงด้านการคลังอาจจะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2562 ทยอยชะลอลงสู่ระดับการขยายตัวที่เป็นปกติมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องคงมีน้อยลง

ความไม่แน่นอนในประเด็นข้อพิพาททางการค้ายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐคงส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนของปัจจัยดังกล่าวอันอาจส่งผลให้การจ้างงานในระยะข้างหน้าชะลอลงได้ นอกจากนี้ในส่วนของผู้บริโภค หากสหรัฐมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารอบใหม่จากจีน ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหมวดอุปโภคบริโภคอันอาจจะเป็นปัจจัยกดดันภาคการบริโภคของสหรัฐ จากต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

การผลัดเปลี่ยนคณะกรรมการนโยบายการเงินในส่วนของเฟดสาขาในปี 2562 อาจส่งผลให้เฟดมีมุมมองระมัดระวัง ต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น อาจจะเว้นระยะการคงอัตราดอกเบี้ยในจังหวะที่นานขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้ามีความเหมาะสมกับพัฒนาการของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มีโอกาสมากขึ้นที่เฟดอาจจะเว้นระยะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า เพื่อรอประเมินภาพของพัฒนาการของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2562 ยังคงรักษาการเติบโตที่สูงกว่าระดับศักยภาพในระยะยาว เฟดน่าจะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้งภายในการประชุมเฟดเดือน มิ.ย. และมีโอกาสที่เฟดจะพิจาณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น

เฟดน่าจะยังมีมุมมองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในระดับค่อนข้างดีต่อเนื่อง ขณะที่มีโอกาสที่เฟดอาจจะปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อลงเล็กน้อย ทำให้โดยรวมแล้วเฟดอาจจะไม่ได้ส่งสัญญาณถึงเส้นทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า (Dot-Plot) ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก อย่างไรก็ดี เฟดน่าจะส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินตามพัฒนาการเศรษฐกิจ (Data Dependent) ที่ชัดเจนขึ้น อันจะเปิดโอกาสให้เฟดสามารถปรับหรือชะลอจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

การตอบสนองของตลาดการเงินหากตลาดการเงินมองว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ไม่น่าจะขยับขึ้นจากระดับปัจจุบันได้มากนัก จากความกังวลต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนพัฒนาการของเงินเฟ้อ ซึ่งความแตกต่างของมุมมองดังกล่าวทำให้ความเสี่ยง ที่จะเกิดเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร จะเป็นแบบวกกลับ (Inverted Yield Curve) อันจะส่งผลให้เกิดความผันผวน ในตลาดการเงินเนื่องจากตลาดการเงิน มักตีความว่าการเกิด Inverted Yield Curve มักจะตามมาด้วยการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 1-2 ปีข้างหน้า

ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค. จุดสนใจหลักจะอยู่ที่ประมาณการดอกเบี้ย (Dot Plots) ของเฟด รวมถึงการประเมินทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ และภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว หากเฟดส่งสัญญาณขึ้น. ดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงในปี 2562 เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าได้เล็กน้อย

ในทางกลับกัน หากเฟดสร้างความประหลาดใจด้วยการคงไว้ซึ่งประมาณการเดิมที่ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปีหน้า จะกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) นัดสุดท้ายของปีในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะคงนโยบายไว้ตามเดิม

สำหรับปัจจัยภายในประเทศาดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 19 ธ.ค.จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.75% โดยจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปีเพื่อดูแลความเสี่ยงด้านเสถียรภาพและสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายในอนาคต

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Source: Posttoday

 

China Report ASEAN - Thailand


โบกมือลา ‘ความหิวโหย ความยากไร้ และความยากจน’

.

ในที่ประชุมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีแห่งการปฏิรูปและเปิดประเทศจีนวันนี้ (อังคารที่ 18 ธ.ค.) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ ใจความสำคัญระบุว่า ประเทศจีนได้พัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนมาตลอด 40 ปี

.

ดูได้จากตัวเลขประชากรจีน 740 ล้านคนพ้นภาวะยากจน ประชากรทั้งประเทศมีอัตราส่วนความยากจนลดลง 94.4% อีกทั้ง รัฐบาลยังได้จัดสรรให้มีเบี้ยคนชราครอบคลุมประชากร 900 ล้านคน และประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุม 1,300 ล้านคน นับเป็นระบบประกันสังคมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

.

สี จิ้นผิง กล่าวด้วยว่า ประเทศจีนขอกล่าวอำลาปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าชาวจีนมานานหลายพันปี นั่นก็คือความหิวโหย ความยากไร้ และความยากจน อันทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่ผู้คนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดในโลก

.

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Dec 19) ทำเนียบขาวอยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกการระดมทุน เพื่อสร้างกำแพงกั้นเขตแดนสหรัฐฯ–เม็กซิโก : สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทำเนียบขาวอยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกการระดมทุน เพื่อสร้างกำแพงกั้นเขตแดนสหรัฐฯ–เม็กซิโก ตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดี Trump ซึ่งเคยระบุถึงแนวโน้มการเกิด government shutdown หากไม่สามารถรวมการใช้จ่ายเพื่อสร้างกำแพงใน spending bill ได้


นาง Sarah Sanders, White House Press Secretary ยืนยันกับผู้สื่อข่าวประจำสำนักข่าว Fox News ถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมเสริมว่า แหล่งเงินทุนอาจมาจาก Defense Department


ขณะที่นาย Richard Shelby, Senate Appropriations Committee Chairman (Republican) ไม่แน่ใจว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามที่นาง Sanders กล่าวไว้ แม้ว่าประธานาธิบดีจะมีอำนาจสั่งการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของสหรัฐฯ รวมถึงการป้องกันเขตชายแดน


ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี Trump และนาย Mitch McConnell, Senate Majority Leader เสนอแผนให้สภาคองเกรสอนุมัติ “unspecified money” มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อใช้จ่ายด้านความมั่นคงเขตชายแดน ซึ่งนาย Chuck Schumer, Senate Democratic Leader วิจารณ์ว่าเป็น “slush fund”


อนึ่ง สมาชิกพรรค Democrat และ Republican หลายท่าน ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของประธานาธิบดี เนื่องจากสิ้นเปลืองและไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด พร้อมคาดว่าอาจหลีกเลี่ยง government shutdown โดยการผ่าน stopgap spending bill เพื่ออนุมัติเงินทุนชั่วคราวจนถึงช่วงต้นปี 2019


Source: BOTSS


- Trump asking cabinet to look for funds for border wall: spokeswoman: https://www.reuters.com/article/us-...nds-for-border-wall-spokeswoman-idUSKBN1OH28M

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Dec 19) สหรัฐฯ และทางการจีนมีแผนเจรจาอีกครั้งในเดือน ม.ค. ปีหน้า: สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ และทางการจีนมีแผนที่จะเจรจาร่วมกันอีกครั้งในเดือน ม.ค. ปีหน้า


ทั้งนี้ นาย Steven Mnuchin, U.S. Treasury Secretary เปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์อยู่หลายครั้งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนสำหรับการประชุมหารือร่วมกันอย่างเป็นทางการครั้งต่อไป ซึ่งจะมุ่งเน้นไปในเรื่องการดำเนินการด้านเอกสารของข้อตกลงต่างๆ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มี.ค. ปีหน้า ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกำหนดการยุติข้อพิพาทชั่วคราว และคาดว่า การประชุมเจรจาจะสามารถเกิดขึ้นได้ในเดือน ม.ค.


นอกจากนี้ นาย Mnuchin ยังได้ให้ความเห็นเรื่องความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก Volker rule และ high-speed trading ซึ่งตนมีแผนที่จะดำเนินการทบทวนโครงสร้างตลาด


นาย Mnuchin กล่าวว่า ตลาดในระยะยาวสะท้อนถึงหลายองค์ประกอบสำคัญทางด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ในช่วงระหว่างวันซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วง 500 จุดนั้น มาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำการพิจารณา โดยตนจะมอบหมายให้ the Financial Stability Oversight Council เป็นผู้ดำเนินการศึกษาความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์


Source: BOTSS


- Mnuchin Says China and U.S. Planning for Trade Talks in January: https://www.bloomberg.com/news/arti...a-and-u-s-planning-for-trade-talks-in-january

 

ม็อบบุก! ก.พลังงาน-พาณิชย์ บีบแก้ปาล์มตกต่ำ


Publisher : 19 December 2018

นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วงเช้าจะขอเข้าพบนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยมีนายธีรศักดิ์ จรัสศรีวิสิษฐ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงพลังงานแลหน่อแก้ว รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับเรื่อง สาเหตุที่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาพบในครั้งนี้เนื่องจากเห็นว่ามาตรการต่างๆที่ออกมานับตั้งแต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ได้มีมติเห็นขอบเรื่องการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศเพื่อแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำโดยการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตรับซื้อปาล์มดิบในปริมาณ 1.6 แสนตัน เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้านั้นเห็นว่าผ่านพ้นล่วงกลางเดือนธันวาคม 2561 แล้วยังไม่มีความเคลื่อนไหวในการดำเนินการแต่อย่างใด เกษตรกรชาวสวนปาล์มที่ยังได้รับความเดือดร้อนต้องการทราบความก้าวหน้าของการดำเนินการดังกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนใด อย่างไรและจะทันตามเวลาที่ได้เคยประกาศไว้หรือไม่


นอกจากนั้นหากการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นไปอย่างล่าช้าประกอบกับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่กำลังถึงรอบที่จะมีผลผลิตมากอาจส่งผลเรื่องสต็อกล้นให้มีปัญหามากกว่าเดิม เกษตรกรจึงขอให้กระทรวงพลังงานเร่งประกาศนโยบายการใช้น้ำมันไบโอดีเซลบี 10 โดยเร็วที่สุด ซึ่งจะช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบได้ปีละหลายแสนตัน อีกทั้งขณะนี้ประเทศมาเลเซียได้มีการประกาศใช้บี 10 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นการยืนยันได้ว่าการใช้บี 10 เป็นที่ยอมรับว่าสามารถดำเนินการได้ ดังนั้นจึงขอให้ทางกระทรวงพลังงานช่วยแจ้งความก้าวหน้าและเร่งรัดเรื่องการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตกระแสไฟฟ้าและการประกาศนโยบายการใช้บี 10 โดยเร่งด่วน หากมีเหตุขัดข้องประการใดขอให้ชี้แจงให้เกษตรกรทราบด้วย


ส่วนในช่วงบ่ายจะเดินทางไปพบกับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ปี 2542 ทางเกษตรกรจึงมีความประสงค์ที่จะขอทราบหลักการคิดในการกำหนดราคารับซื้อปาล์มน้ำมัน

ประกอบกับมีปัญหาการดำเนินงานในพื้นที่ที่ผ่านมาเกษตรกรมีความเห็นว่า กกร.ควรมีการติดตามควบคุมกำกับการทำงานของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยด้วยราคาสินค้าและบริการ(กจร.) ให้เป็นไปอย่างเข้มงวดและจริงจัง และที่สำคัญในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าในการนี้เกษตรกรเห็นว่ารัฐบาลควรจะซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงานสกัดได้ไม่ต่ำกว่า 18% เพื่อสนับสนุนนโยบายปาล์มคุณภาพของรัฐ

http://m.thansettakij.com/content/363261

 

Sayan Rujiramora


TF Metals Report ...Turd Ferguson : Brandon Smith

Thursday Conversation

Dec 13, 2018


***อ่านให้ถึงย่อหน้าสุดท้ายนะครับ เพื่อนๆอาจคิดถึงใครบางท่าน......***


05:00..TF...อย่างที่เรารู้กันมาว่าตั้งแต่สิบปีมาแล้วที่ Fed มีการซื้อขยะจากแบ้งค์ต่างๆเข้ามาเก็บไว้ใน Balance Sheet ของตน แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อจึงเพิ่มไปเรื่อยๆ .. มาวันนี้ก็ถึงคราวต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย เรื่องนี้จะผ่านไปได้ง่ายๆหรือเปล่า


Brandon Smith.....ช่วงชีวิตของเศรษฐกิจแต่ละรอบที่เรารู้กันมามันอยู่ที่ 8-10 ปี อย่างเราๆอาจเห็นว่ามันนาน แต่พวกธนาคารกลางกลับเห็นว่ามันชั่วกระพริบตาเท่านั้น การแครชของปี 2008 มันไม่ได้ยุติไปตอนนั้นหรอก หลายคนคิดว่าขณะนี้เรากำลังจะแครชอีกรอบหนึ่ง แต่ไม่ใช่ ...ความจริงคือปี 2008 มันเป็นการเริ่มต้นของการล่มสลาย ตลอดสิบปีมานี้มันก็ยังอยู่ในช่วงการล่มที่เลวร้ายลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ยังไม่เคยหยุดเลย


ที่ผ่านมาพวกเขาสร้างฟองสบู่ขึ้นจากการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำตั้งแต่ก่อนปี 2008 ..สร้างวิกฤติเครดิตขึ้นปีนั้น และขยายฟองสบู่ให้เกิดเร็วขึ้นอีกจากนั้นมา ฟองสบู่เกิดขึ้นทุกวงการจนเรียกว่า everything bubble ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้น หรือตลาดเครดิตแต่รวมถึงตลาดบอนด์และยูเอสดอลล่าร์ที่เป็นรีเสิร์ฟของโลก เป้าหมายของพวกเขาคือล้มระบบทั้งหมดซึ่งฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อของคนส่วนใหญ่


09:25..TF ...จากบทความที่คุณเขียนเมื่อวาน ขณะนี้ใช่เวลาที่ฟองสบู่ของทุกอย่างได้เวลาที่จะป๊อปหรือยัง


Brandon.....บอกได้ว่าธนาคารกลางกำลังถอดปลั๊กแล้ว จากที่ผ่านมามีการหนุนตลาดหุ้นอยู่ มีการซื้อทรัพย์สินมาตลอด เรียกได้ว่า Balance Sheet ของ Fed เป็นตัวชี้วัดตลาดได้เลย....ตอนนี้มีการตัดการถือทรัพย์สินใน Balance Sheet ของ Fed ลง ..เวลานี้ตัดถึง $50,000 ล้านต่อเดือน ตามด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ..จากนี้ตลาดหุ้นจะร่วงลงด้วยความเร็วทวีคูณ เริ่มจากการซื้อหุ้นคืนของบริษัทในตลาดจะหยุดลง จะเห็นได้ชัดในไตรมาสสุดท้ายนี้ และตามด้วยตลาดอสังหาฯ และตลาดรถยนตร์ที่เราก็ได้เห็นแล้วในสามเดือนที่ผ่านมา


ตามที่เรารู้ว่าเมื่อปี 1988 ในแมกกาซีน The Economist ได้มีบทความถึงเรื่องการ Currency Reset ให้ดอลล่าร์ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาเป็นสกุลเงิน Phoenix (นกฟินิกซ์ที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากถูกไฟเผา) ในปี 2018 ...นี่เรียกว่าเป็นการทำนายหรือที่ถูกน่าจะเป็นการวางแผนล่วงหน้าถึง 30 ปี ..เพราะตอนนี้นางคริสติน ลาการ์ดแห่ง IMF ก็ออกมาพูดถึงการรีเซ็ทแล้ว เรียกว่ารีเซ็ทระดับโลกเลย หมายถึงว่าต้องล่มระบบเศรษฐกิจของสหรัฐไปเลย ทั้งหมดให้มาอยู่ในความควบคุมของ IMF


16:40...TF.... ในช่วงระหว่างที่มี all kind of unrest ทั้งความไม่สงบของการเงิน สังคม และการเมืองแบบทุกวันนี้ ..คุณคิดว่าถ้ามีการเปลี่ยนผ่านของระบบ มันจะเป็นไปอย่าง smoothly หรือไม่


Brandon... พวก Globalist รู้ดีว่าเรื่องนี้จะต้องใช้เวลา เพราะถ้าทำทันทีเลย ก็ต้องมีการต่อต้านแน่ มันต้องวุ่นวายถึงขั้นจราจลไปทั้งโลก พวกเขาใช้เวลาช่วงสิบปีที่ผ่านมาเตรียมการขั้นสุดท้าย โดยใช้ทั้งเวลาและทุนมาตลอดสิบปีสร้างฟองสบู่แบบ everything bubble เพื่อให้เกิดการแครชจนทำให้ผู้คนต้องพากันยอมรับการรีเซ็ท แต่ก็เกิด unrest แบบที่เห็นอยู่


การล่มสลายต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่มีทางอื่น ..บางคนพูดถึงทฤษฎี debt jubilee ที่เป็นการยกหนี้ แต่หนี้ดอลล่าร์มันก็ยังต้องอยู่ ต้องมีดอลล่าร์แครชจนได้ ...มันไม่มีทางแก้แบบอื่นหรอก .......นอกจากจะมีชุมชนใดหรือประเทศใดที่สร้างระบบเศรษฐกิจที่พอเพียงเฉพาะตนแยกเป็นเอกเทศเกิดขึ้นมาก่อน ก็จะพอสู้กับพายุร้ายนี้ได้ .......ถ้ามีชุมชนใดในสหรัฐที่มีระบบ self sufficient (พอเพียงเฉพาะตน) พวกเขาจะไม่มีอะไรต้องห่วงเลย.....มาถึงตอนนี้แม้จะสายไป แต่หลายชุมชนก็ยังคงต้องการให้มีการสร้าง producer เพื่อสร้างระบบเฉพาะของตนเอง สร้างสิ่งจำเป็นที่ #พอเพียง .....(เสียดายมากนะครับสำหรับคนไทย...)

 

La nueva era de la tierra - respaldo


สุดยอด ในประเทศจีน หนาวมากจนน้ำตกแข็งตัว

ว้าววว

18.12.2018

 

La nueva era de la tierra - respaldo


ฤดูหนาวกำลังจะเริ่มต้น แต่ในบางประเทศ มีหิมะตกอยู่แล้ว,


นี่คือรถ ที่เต็มไปด้วยหิมะในโรมาเนีย

2018/12/18

 

La nueva era de la tierra - respaldo


ผลกระทบของพายุไซโคลน phethai ในอินเดียทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หายากฝนปลาตกจากฟ้า

17.12.2018

 

Clima Extremo 24


โบลิเวีย


ฝนตกหนัก น้ำท่วม terminal ของ oruro

 

Clima Extremo 24


โบลิเวีย


พายุฝนตกทำให้เกิดน้ำท่วมที่ terminal oruro

 

Clima Extremo 24

บราซิล



ความร้อนของอากาศที่รุนแรงในหลายพื้นที่ใกล้เคียงของริโอเดอจาเนโร ที่ถังน้ำบางถังมีการละลายตัว

 

Clima Extremo 24

อินโดนีเซีย



หลุมยุบที่เกิดขึ้นในค่ำวันนี้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่เมือง Gubeng, East Java ประเทศอินโดนีเซีย มีหลุมเกิดขึ้นเรื่อย ๆ

 

Clima Extremo 24


อินโดนีเซีย



คืนนี้เมื่อวันที่ 18 โลกกำลังจมลง และเกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ ใน Gubeng เมืองชวาตะวันออก ของอินโดนีเซีย รถยนต์จำนวนอินโดนีเซีย


คืนนี้เมื่อวันที่ 18 อ่างล้างมือโลกและหลุมขนาดใหญ่จะทำใน Gubeng เมืองชวาตะวันออกอินโดนีเซียรถยนต์จำนวนมาก .และถนนได้ถูกกลืนหายไป

 

Clima Extremo 24


United States


หลังจากพายุทอร์นาโดผมออกจากบ้านที่แตกสลายในพอร์ต ออร์ชาร์ด วอชิงตันวันที่ 18 ธันวาคม

 

Clima Extremo 24


แอฟริกาใต้



หลังจากฝนตกอย่างรุนแรง ทำให้เกิดน้ำท่วมกระทันหันใน pietermaritzburg ในช่วงบ่ายของวันนี้ 18 ธ. ค.

 

Clima Extremo 24


บราซิล



ภาพวิดีโอ สำหรับ ช่วงเวลาที่แน่นอน เมื่อมีการระเบิด microburst เมื่อลมลงมาจากเมฆและโจมตีพื้นผิวดิน ในเมืองซานตา Tereza ภายใน LourençoSão do Sul, ได้ทำลายอย่างสมบูรณ์

ทุกสถานประกอบการฃเชิงพาณิชย์ ลมมีความเร็วเกิน 193 KMH / 120 ไมล์ต่อชั่วโมง


เจ้าของเข้าไปหลบในห้องน้ำที่อยู่ด้านล่างของอาคาร คนที่อยู่ใกล้ทางเข้าที่มีการจัดการที่จะหลบหนีและหลบภัยในรถที่อยู่ด้านหน้า

 

เกรียน BRN


" คำแนะนำจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้ 3 จังหวัดเป็นเขตปกครองพิเศษ

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ต้องให้หาเงินมาบริหารเอง ขืนให้เอาเงินจากส่วนกลางมาให้ถลุง ชนชั้นปกครองคงอิ่มหนำละครับ คนชั้นปกครองใน 3 จังหวัดชอบเอาเปรียบชาวบ้านมาก พยายามแช่แข็งความคิดคนในพื้นที่ให้ตัวเองเหยียบหัว


จากข้อแนะนำ “เรารู้สึกว่าควรจะมีความเข้าใจกันก่อนว่า ภาคใต้ของไทยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ผมไม่คิดว่าจะมีประเทศไหนเต็มใจสูญเสียดินแดนให้กับประชาชนในภูมิภาคนั้นๆ เหมือนอย่างในสเปน (กรณีการขอแยกตัวของแคว้นกาตาลุญญา) รัฐบาลสเปนไม่พิจารณาให้เอกราชหรือแยกขาดจากรัฐบาลกลาง ดังนั้นผมคิดว่าคนในชายแดนใต้ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตรงนี้ก่อน แล้วจึงพยายามให้มีอำนาจในการบริหารตัวเองมากที่สุด เหมือนกับในอินโดนีเซียที่มีเขตปกครองพิเศษ ไทยเองก็อาจจะมีการให้อำนาจปกครองตนเองบางส่วนกับชายแดนใต้ก็ได้ ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นจริง พวกเขาคงจะยอมรับได้ว่ามันไร้ประโยชน์หากจะพยายามให้ได้มาซึ่งเอกราชอีก”

 

มหาธีร์: ทางออกไฟใต้ไม่ใช่เอกราช แต่อาจเป็นเขตปกครองตนเอง
เขียนวันที่ วันพุธ ที่ 19 ธันวาคม 2561 เวลา 01:40 น. เขียนโดย ศูนย์ข่าวภาคใต้


"ทีมข่าวเนชั่น" สัมภาษณ์พิเศษนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด ระหว่างเดินทางมาประเทศไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ธ.ค.61 เพื่อรับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง ซึ่งมหาวิทยาลัยรังสิตมอบให้



การเดินทางมาไทยครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ของ ดร.มหาธีร์ ภายหลังนำพรรคร่วมฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งแบบพลิกความคาดหมายเมื่อเดือน พ.ค.ที่่ผ่านมา โดยครั้งแรกเป็นการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24-25 ต.ค. ซึ่งในครั้งนั้นผู้นำมาเลเซียได้ให้สัมภาษณ์ตอกย้ำเป็นสัญญาประชาคมว่า จะช่วยไทยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ประสบความสำเร็จ ในฐานะเพื่อนบ้านที่มีรั้วติดกัน และไทยเองก็เคยให้ความช่วยเหลือมาเลเซียมาก่อน เมื่อครั้งประสบปัญหาขบวนการโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา

หนึ่งในประเด็นที่ "ทีมข่าวเนชั่น" ให้ความสำคัญ และหยิบยกมาซักถาม ดร.มหาธีร์ ก็คือปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อยาวนานจะครบ 15 ปีเต็มของเหตุการณ์ปล้นปืนในวันที่ 4 ม.ค.ที่จะถึงนี้แล้ว โดยกระบวนการสำคัญที่หลายฝ่ายฝากความหวังและเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาความไม่สงบจบลงได้อย่างยั่งยืน ก็คือกระบวนการพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก

ท่าทีของผู้นำมาเลเซียในช่วงที่ผ่านมานับว่าน่าสนใจ เพราะสะท้อนว่าได้ให้ความสำคัญกับปัญหาภาคใต้ของไทยเป็นอย่างมาก และหลังจากเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลได้ไม่นาน ก็ได้เปลี่ยนตัว "ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุย" โดยมอบหมายให้อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลที่มีความรู้ความเข้าใจในปัญหามาทำหน้าที่

การสัมภาษณ์ล่าสุดของ "ทีมข่าวเนชั่น" เริ่มเจาะลึกกันที่ประเด็นนี้...

O มาเลเซียมีบทบาทสำคัญในการอำนวยสะดวกกระบวนการพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้ ท่านได้แต่งตั้งผู้อำนวยความสะดวกคนใหม่ ในขณะที่ไทยมีหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ ในมุมมองของท่าน อะไรคือแนวทางและวิสัยทัศน์ของท่านในการนำไปสู่สันติภาพชายแดนใต้?

ประเทศเพื่อนบ้านกันมักมีปัญหาเกิดขึ้นเสมอ ช่วงหนึ่งมาเลเซียก็มีปัญหากลุ่มคอมมิวนิสต์ก่อความไม่สงบ ซึ่งไทยได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ผลก็คือสถานการณ์ได้สงบลงในช่วงปี 1960 ตอนนี้ไทยมีปัญหาชายแดนใต้ มาเลเซียก็อยากจะช่วยไทย ด้วยการร่วมมือกับไทยยุติการใช้ความรุนแรงในภาคใต้

O เมื่อนานมาแล้ว มาเลเซียเคยมีผู้อำนวยความสะดวกที่มีบทบาทพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร คราวนี้มีคนใหม่เข้ามา แต่ฝั่งของผู้ก่อความไม่สงบยังคงเป็นคนเดิม แล้วแบบนี้จะมีแนวทางเดินหน้าต่อได้อย่างไร?

เราพยายามมาหลายครั้ง แต่ปัญหาชายแดนใต้ของไทยก็คือผู้ก่อความไม่สงบไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว มีอยู่หลายกลุ่ม ดังนั้นแม้คุณสามารถบรรลุการเจรจากับกลุ่มหนึ่งได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มอื่นๆ จะยอมรับด้วย เรามีหลายคนที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับคนในภาคใต้ เราจึงแต่งตั้งคนใหม่ซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับชายแดนไทย-มาเลเซียเป็นอย่างดี เราหวังว่าเขาจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะผู้อำนวยความสะดวก เพื่อที่จะได้เชื่อมโยงระหว่างเจ้าหน้าที่ของทางการไทยกับ "คนในภาคใต้" และจะได้เกิดความเข้าใจกัน ซึ่งนี่อาจนำไปสู่สันติภาพ

O ท่านมีข้อเสนอแนะให้กับเขาไหมครับ?

เรารู้สึกว่าควรจะมีความเข้าใจกันก่อนว่า ภาคใต้ของไทยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ผมไม่คิดว่าจะมีประเทศไหนเต็มใจสูญเสียดินแดนให้กับประชาชนในภูมิภาคนั้นๆ เหมือนอย่างในสเปน (กรณีการขอแยกตัวของแคว้นกาตาลุญญา) รัฐบาลสเปนไม่พิจารณาให้เอกราชหรือแยกขาดจากรัฐบาลกลาง ดังนั้นผมคิดว่าคนในชายแดนใต้ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตรงนี้ก่อน แล้วจึงพยายามให้มีอำนาจในการบริหารตัวเองมากที่สุด เหมือนกับในอินโดนีเซียที่มีเขตปกครองพิเศษ ไทยเองก็อาจจะมีการให้อำนาจปกครองตนเองบางส่วนกับชายแดนใต้ก็ได้ ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นจริง พวกเขาคงจะยอมรับได้ว่ามันไร้ประโยชน์หากจะพยายามให้ได้มาซึ่งเอกราชอีก

O อีกประเด็นหนึ่งก็คือ กลุ่มมาราปาตานีไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ พอพวกเขามานั่งโต๊ะเจรจา ตกลงเงื่อนไขกับทางการไทยแล้ว แต่กลับสั่งการไปยังคนในพื้นที่ไม่ได้ เรื่องนี้ท่านพอทราบหรือไม่?

เราทราบดี ทราบว่าไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น มันมีอยู่ 2-3 กลุ่มด้วยกัน หากกลุ่มหนึ่งบรรลุความเข้าใจแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มอื่นจะยอมรับผลการเจรจา ดังนั้น ประเด็นสำคัญก็คือเราต้องพบกับกลุ่มต่างๆ ให้ได้มากที่สุด

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สัมภาษณ์พิเศษโดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น

ถอดความโดย ทีมข่าวเนชั่นทีวี


https://www.isranews.org/south-news/special-talk/72113-autonomy-72113.html