ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 13) ควอลคอมยื่นคำร้องใหม่ต่อศาล หวัง iPhone สูญพันธุ์ในจีน: หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า ควอลคอม อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ของสหรัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลในจีนเพื่อให้ศาลออกคำสั่งห้ามบริษัทแอปเปิล อิงค์ จำหน่าย iPhone XS, iPhone XS MAX และ iPhone XR หลังจากที่ควอลคอมชนะคดีก่อนหน้านี้ที่ทำให้ศาลมีคำสั่งระงับการจำหน่าย iPhone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นเก่า

    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ศาลเมืองฝูโจวของจีนได้มีคำสั่งให้บริษัทสาขาของแอปเปิล 4 แห่งในจีนห้ามการจำหน่าย iPhone 6s, iPhone 6s Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X เนื่องจากละเมิดสิทธิบัตร 2 ฉบับของควอลคอมในการทำให้ผู้ใช้สามารถปรับขนาดภาพ และจัดการแอปพลิเคชั่นในการใช้ทัชสกรีน

    อย่างไรก็ดี แอปเปิลได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งศาลดังกล่าว และระบุว่า คำสั่งศาลจะไม่มีผลบังคับใช้ต่อ iPhone ทั้ง 3 รุ่น ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเดือนก.ย. เนื่องจากมีการใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 12

    ทางด้านนายเจียง ฮองยี ซึ่งเป็นทนายความรับมอบอำนาจจากบริษัทควอลคอมกล่าวว่า "เราต้องการยื่นฟ้องโดยอ้างถึงสิทธิบัตร 2 ฉบับเดิมเพื่อให้ศาลสั่งระงับการจำหน่าย iPhone ใหม่ทั้ง 3 รุ่น"

    คาดว่าทั้งควอลคอมและแอปเปิลจะต้องใช้เวลาต่อสู้ทางกฎหมายกันอย่างยาวนานในจีน โดยอาจจะต้องจบลงที่ศาลฎีกา

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและ เรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

    ***********************
    Apple ประกาศขยายสำนักงานเพิ่มในเมือง Austin อเมริกา จ้างงานอีก 5,000 อัตรา :

    แอปเปิลประกาศแผนขยายงานในอเมริกา โดยจะสร้างพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่เพิ่มอีกหนึ่งแห่งในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ด้วยเงินลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันแอปเปิลมีพื้นที่สำนักงานอยู่แล้วในออสติน 2 แห่ง รวมทั้งจะขยายสำนักงานในรัฐต่าง ๆ อีกหลายแห่งด้วย

    สำนักงานใหญ่ของแอปเปิลอยู่ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยออสติน เป็นอีกเมืองที่มีมีพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่คู่กัน ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นการตัดสินใจสร้างสำนักงานใหญ่ต่างเมืองของ Amazon แต่กรณีของแอปเปิลเป็นการเลือกขยายพื้นที่ในเมืองเดิมที่อยู่ปัจจุบันก่อนแล้ว ทั้งนี้แอปเปิลบอกว่าเบื้องต้นจะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 5,000 อัตรา และขยายไปสูงสุดได้ราว 15,000 คน

    แอปเปิลเผยว่าสำนักงานใหม่นี้ จะเหมือนกับทุกสำนักงานในอเมริกา นั่นคือใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100%

    Source: Blogone.com

    เพิ่มเติม
    - Qualcomm to file suits in Chinese courts to ban sales of iPhone XS and XR: Financial Times: https://www.reuters.com/article/us-...phone-xs-and-xr-financial-times-idUSKBN1OC1PL

    - ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งกว่า 43,000% เมื่อเทียบราคา IPO เมื่อ 38 ปีก่อน : https://www.ryt9.com/s/iq38/2928344
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_5854.JPG
    (Dec 13) คอลัมน์ Big Data Analysis: เผยโฉมแหล่งน้ำมันดิบโลก : การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ร่วมกับประเทศส่งออกน้ำมันที่ไม่ใช่ สมาชิกโอเปค นำโดยรัสเซีย เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ผลสรุปว่า ทุกประเทศที่เข้าร่วม ประชุมจะลดการผลิตน้ำมันลงร่วมกัน เพื่อช่วย บรรเทาปริมาณน้ำมันดิบที่กำลังล้นตลาดโลก อยู่ในขณะนี้ โดยสมาชิกโอเปคจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันวันละ 800,000 บาร์เรล ส่วนผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปคจะปรับลดกำลังการผลิตวันละ 400,000 บาร์เรล ซึ่งจะส่งผลทำให้มีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบรวมกันวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล โดยเริ่มลดกำลังการผลิตจริงๆในเดือนม.ค.ปี 2562

    ส่วนรัสเซีย ตกลงปรับลดการผลิตน้ำมันวันละ 200,000 บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากระดับวันละ 150,000 บาร์เรลที่รัสเซียประกาศไว้ก่อนหน้านี้

    เมื่อดูกราฟฟิกประกอบ จะเห็นว่า ในบรรดาผู้ผลิตน้ำมันดิบออกมาจำหน่ายในตลาดโลก10 ประเทศนี้ สหรัฐ มีผลผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดคือ 571.0 ล้านตัน จึงเป็นเหตุผลให้บรรดานักลงทุนใน ตลาด เกิดความวิตกกังวลกันมากว่าปริมาณน้ำมันดิบจะล้นตลาด หากโอเปคไม่ลดกำลังการผลิต ส่วนกราฟฟิกอีกชิ้นตอกย้ำว่าสหรัฐนำเข้าน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปคลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2543

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 13) คอลัมน์ Global Vision: ตลาดการเงินโลก ปี 2019 'ปีของทรัมป์' : ในปี 2019 ที่กำลังจะ มาถึงนี้ ผู้เขียนขอฉาย 4 ธีม ใหญ่ของเศรษฐกิจโลกที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ ดังนี้

    1.สงครามการค้าเปลี่ยนเป็นสงครามเทคโนโลยี (Trade war to tech war)

    ปี 2018 เป็นปีที่ทรัมป์เริ่มเปิดศึกสงครามการค้า โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งส่งผล ต่อระบบห่วงโซ่การผลิตโลก (Global supply chain) โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกไปยังจีน อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นหลังการประชุม G20 ที่สหรัฐประกาศจะไม่ขึ้นภาษีจาก 10% เป็น 25% ในสินค้านำเข้า 2 แสนล้านดอลลาร์ แลกกับการที่จีนยอมเริ่มเจรจาเรื่องประเด็นการบีบบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี (Forced Technology Transfer)

    แต่ผู้เขียนเชื่อว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงการสงบศึกชั่วคราว (Truce) แต่จะไม่สามารถยุติสงครามได้ในระยะ ยาว เนื่องจากจีนใช้กลยุทธ์นี้พัฒนา เทคโนโลยีของตนเพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ชาติ Made in China 2025 ขณะที่ทรัมป์ ไม่ต้องการให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ โลก

    ดังนั้น ในปี 2019 ทรัมป์จะบีบจีนมากขึ้นในประเด็นดังกล่าว โดยจะกำกับ ตรวจสอบ และควบคุมไม่ให้เทคโนโลยีของตนถูกโอนย้ายไปสู่มือบริษัทจีน รวมถึง บีบบังคับผ่านการใช้กลไกอื่นๆ มากขึ้น เช่น การจับกุมผู้บริหารของบริษัทเทคโนโลยีจีน เช่นกรณีหัวเว่ย ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้กับบริษัทเหล่านั้น รวมถึงกระทบต่อระบบห่วงโซ่อุปทานของสินค้าเหล่านี้ด้วย

    2.นโยบายการเงินโลก : Inverted Yield Curve ของสหรัฐจะเป็นกุญแจหลัก

    ปี 2018 เป็นปีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ทำนโยบายการเงินตึงตัวอย่างต่อเนื่องทั้งการขึ้นดอกเบี้ย และลดปริมาณพันธบัตรที่ Fed ถืออยู่ นโยบายดังกล่าวเกิดผลกระทบสำคัญ 3 ประการ คือ

    1.ทำให้สภาวะทางการเงินสหรัฐเริ่มตึงตัวขึ้น โดยดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage) รวมทั้งดอกเบี้ยหุ้นกู้บริษัทเอกชนถูกปรับเพิ่มขึ้น 1% เป็นอย่างน้อย

    2.ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากจนทำให้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะตลาด เกิดใหม่ (EM) จนเกิดวิกฤติ เช่น ตุรกี แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย เป็นต้น

    และ 3.นำไปสู่ความเสี่ยง Inverted Yield Curve หรือผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของวิกฤติในอนาคต (ประเด็นนี้อ่านเพิ่มเติมได้ใน SCBS Make Sense#3 : Inverted Yield Curve ไม่ Make sense ใน fb : SCB Securities)

    ในปี 2019 การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะชะลอลง โดยอาจขึ้นดอกเบี้ยได้เพียง 1-2 ครั้งในปีหน้า โดยผู้เขียนมองว่าประเด็น Inverted Yield Curve จะเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ Fed ชะลอหรือ ยุติการขึ้นดอกเบี้ย โดยหากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 2 ปี เข้าใกล้หรืออยู่ในระดับเดียวกับ 10 ปีแล้วนั้น (หรือ Yield Curve ใกล้จะ Inverted) จะส่งผลสำคัญให้ตลาดตื่นตระหนกและผันผวนอย่างรุนแรง

    แต่หาก Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงสามารถสร้างความมั่นใจให้กับตลาดการเงินได้ ความตึงตัวทางการเงินของสหรัฐก็จะลดลง ภาวะ Inverted Yield Curve ก็อาจไม่เกิดขึ้น และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐรอดพ้นจากวิกฤติได้ ซึ่งทรัมป์ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ด้วยเช่นกัน

    3.ตลาดน้ำมันจะเป็นของทรัมป์ในปี 2019 ผู้เขียนเชื่อว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดต่ำลงจากประมาณ 70-75 ดอลลาร์ในปี 2018 จาก 3 ปัจจัยคือ 1.เศรษฐกิจ โลกที่แผ่วลง โดยเฉพาะจากประเทศยักษ์ใหญ่เช่น สหรัฐ ยุโรป และจีน 2.การที่ OPEC โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียขาดอำนาจในการต่อรอง โดยทรัมป์จะนำประเด็นเรื่องมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียสังหารนักข่าววอชิงตันโพสต์มาเป็นประเด็นต่อรอง และ 3.ทรัมป์สามารถเลื่อนหรือยกเลิกการผ่อนปรนการคว่ำบาตรอิหร่านได้ ผู้เขียนเชื่อว่า ในปัจจุบันทรัมป์มี แรงจูงใจที่จะให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ ต่อเนื่องเพื่อให้ 1.ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศต่ำลง และลดแรงกดดันต่อผู้บริโภค 2.เพื่อให้ผู้ประกอบการสหรัฐขายได้ในปริมาณมาก หลังจากที่สหรัฐเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์สามารถบงการตลาดน้ำมันได้นั้นทำให้ราคาน้ำมันมีความเสี่ยงผันผวนมากขึ้นในอนาคต

    4.การเมืองสหรัฐจะลุกเป็นไฟในปี 2019 หลังการเลือกตั้ง Midterm Election ที่สภาคองเกรส หรือ สภาล่างของสหรัฐตกเป็นของพรรค Democrat เป็นไปได้สูงที่การเมืองภายในสหรัฐจะร้อนแรงขึ้น เนื่องจาก ส.ส. Democrat ที่ได้รับเลือกเป็นหนุ่มสาว ไฟแรง ขณะที่ ส.ส.ฝั่ง Republican ที่ได้รับเลือกก็เป็นเพราะทรัมป์ไปช่วยหาเสียงในลักษณะก้าวร้าวและรุนแรง

    ดังนั้น จึงเป็นไปได้สูงว่าเมื่อ ส.ส.เหล่านี้ เข้ามาในสภา จะมีการต่อสู้อย่างเผ็ดร้อนมากขึ้น โดยฝั่ง Democrat จะหาจุดอ่อนที่ สามารถล้มทรัมป์ได้และตีในประเด็นนั้น ในขณะที่ทรัมป์และ ส.ส. Republican ก็จะผลักดันประเด็นที่เป็นวาระของตนมากขึ้น ดังนั้น ในปี 2019 แม้ว่าเสียงของ Democrat จะไม่พอที่จะลงชื่อเพื่อถอดถอน (Impeach) จากตำแหน่ง แต่ก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วนในการเมืองสหรัฐมากขึ้น

    รวมทั้งหากกระแสการเมืองภายในสหรัฐรุนแรง ทรัมป์อาจนำประเด็นอื่นๆเช่น สงครามการค้า การเข้าแทรกแซงการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed รวมทั้งประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ในตลาดน้ำมัน เข้ามากลบกระแสการเมืองภายในได้

    4 ธีมข้างต้น จะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ตลาดการเงินโลกผันผวน และเมื่อผนวกกับความเสี่ยงอื่นๆ โดยเฉพาะในยุโรป เช่น กระแสความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Brexit (ว่าจะ Hard, Soft หรือ No Brexit หรือจะเลื่อนการเจรจาออกไป) การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศใหญ่ รวมถึงการเลือกตั้งในรัฐสภายุโรป (ที่กลุ่มขวาจัดสุดโต่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น) รวมถึงการเปลี่ยนตัวประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินได้

    2019 จะเป็นปีแห่งความบ้าคลั่งของทรัมป์ (Crazy Trump) นักลงทุนเตรียมพร้อมรับมือแล้วหรือยัง

    โดย ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์
    piyasak.manason@gmail.com

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/646125
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    IMG_5855.JPG
    ภาพที่น่าประทับใจของ #ดาวหาง 46P / Wirtanen ที่ถ่ายภาพมาจาก Valle De Elqui, # Vicuña, #Chile (13 ธันวาคม 2018) เครดิต: Emilio Lepeley


    คุณเคยเห็นแล้วหรือยัง?


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Manuel Barrera

    IMG_5856.JPG
    #ดาวหาง 46 p / wirtanen ถูกจับโดยช่างภาพ tommy eliassen ใน #bleikvassli, #นอร์เวย์ (12 ธันวาคม 2018)


    เคยดูยังครับ


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Manuel Barrera



    ช่วงเวลาที่มีการจับภาพระเบิดใน #ภูเขาไฟ fuego ของ #กัวเตมาลาในวันที่ 24 พฤศจิกายน ภาพถูกปล่อยในสัปดาห์นี้


    เครดิต: รอยเตอร์ latam
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Manuel Barrera





    ฤดูใบไม้ผลิที่ ukayshiyyah, เมกกะ, ซาอุดีอาระเบีย (13 ธันวาคม 2018)
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โปรรัสเซีย - Pro Russia

    อิหร่านต้องการเครื่องบินประมาณ 500 ลำ และพร้อมจะซื้อเครื่องบินโดยสาร Sukhoi Superjet 100 หากทางรัสเซียอยากจะขายให้แก่สายการบินของอิหร่าน


    ก่อนหน้านี้ สายการบิน อิหร่านแอร์ ได้สั่งซื้อเครื่องบินโดยสารไปแล้ว 200 ลำ แบ่งเป็นแอร์บัส 100 ลำ โบอิ้ง 80 ลำ และอีก 20 ลำจากเอทีอาร์ แต่สัญญาก็ถูกยกเลิกจากทางสหรัฐฯ เพราะมาตรการคว่ำบาตร.....


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    China Xinhua News



    ท่องเที่ยวชุมชุนคือคำตอบ! โมเดล 'แก้จน' จากหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร

    .

    หมู่บ้านสุยโข่ว (Shuikou) เคยเป็นเพียงหมู่บ้านยากจนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในมณฑลเจียงซี แต่เมื่อประเทศจีนดำเนินนโยบายปฏิรูปเปิดประเทศ หมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้รับการพัฒนาจนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียง ภายในเวลาเพียง 40 ปี

    .

    ปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของการปลดแอกจากความยากจนด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวท้องถิ่น

    .

    เล่อเจี๋ยหมิงเป็นหนึ่งในชาวบ้านซึ่งเคยใฝ่ฝันจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นมาตั้งแต่เล็ก หลังจากเขาออกไปทำงานที่อื่นได้ 2-3 ปี เมื่อเขากลับมาบ้านเกิดในปี 2016 พ่อและแม่ของเขาเปิดจุดท่องเที่ยวเชิงเกษตรกรรม หรือที่เรียกว่า Agritainment (农家乐) และขอให้เขากลับมาช่วยงาน

    .

    เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้านและคุณภาพชีวิตของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้รับการพัฒนาและเปิดกว้างมากขึ้น การท่องเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้จึงได้รับความนิยมสูงขึ้น และชาวบ้านก็ไม่จำเป็นจะต้องย้ายออกไปหางานทำในถิ่นฐานอื่น
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    China Xinhua News





    เสี่ยงตาย! วิศวกรผู้กล้าปีนซ่อมสายไฟในแดนมังกร


    นี่ไม่ใช่ภาพของชายผู้ต้องการสร้างสถิติใหม่ ด้วยการไปเดินบนเส้นลวดที่ขึงอยู่เหนือหุบเหวแต่อย่างใด แต่เป็นภาพของวิศวกรไฟฟ้าผู้กล้าหาญ ที่ออกไปเสี่ยงอันตรายเพื่อแก้ไขสายเคเบิล ให้แก่ประชาชน ในพื้นที่ที่ไกลจากตัวเมืองในแดนมังกร
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    China Xinhua News


    มิควรลืมเลือน! โศกนาฏกรรม #สังหารหมู่นานกิง ประวัติศาสตร์ที่ "ญี่ปุ่น" ต้องยอมรับ เรียนรู้ และแก้ไข

    .

    ย้อนกลับไปในวันที่ 13 ธ.ค. 1937 กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกรานยึดครองนครหนานจิง (นานกิง) เมืองหลวงของจีนในเวลานั้น และเปิดฉากการสังหารหมู่ชาวจีนที่กินเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์ กลายโศกนาฏกรรมแสนโหดเหี้ยมที่โลกต้องจารึก

    .

    ทว่าแม้กาลเวลาจะผันผ่านมานานกว่า 81 ปีแล้ว แต่ญี่ปุ่นยังคงแสดงท่าทางอึกอักมิเต็มใจยอมรับความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ที่ตนเองได้กระทำไว้กับประชาชนจีนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งถูกทหารญี่ปุ่นเข่นฆ่าเอาชีวิตไปราว 300,000 คน

    .

    ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ทั้งระดับพลเรือนและระดับรัฐบาล พากันเมินเฉยเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิง โดยเฉพาะนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้ยึดหลักคิดอนุรักษ์นิยมอย่างเหนียวแน่น กลับ “หูหนวกตาบอด” ต่อเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้

    .

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าทัศนคติของรัฐบาลญี่ปุ่นต่อเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิง สร้างความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจแก่ประชาชนชาวจีนอย่างมาก และขัดขวางการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น ซึ่งยังคงอยู่ในสภาวะถมึงทึงมึนตึงต่อกันอย่างชัดเจน

    .

    วันนี้ (13 ธ.ค. 2018) จึงนับเป็นวันพิเศษที่เราต้องทำความเข้าใจว่าการรำลึกและการจดจำเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงอันเป็นโศกนาฏกรรมแห่งประวัติศาสตร์ คือสิ่งสำคัญยิ่งยวดทั้งต่อจีนและญี่ปุ่น รวมถึงโลกใบนี้ด้วย

    .

    #ญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์

    .

    ชาวญี่ปุ่นบางส่วนคิดว่าเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงคือเรื่องของคนรุ่นก่อนและคนรุ่นถัดมาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร พวกเขาคิดว่าการปฏิเสธหรือการลบเลือนประวัติศาสตร์จะช่วยดำรงเกียรติภูมิของญี่ปุ่น ส่วนการยอมรับและการขอโทษเป็น “การตำหนิตัวเอง”

    .

    อย่างไรก็ดี การปฏิเสธอาชญากรรมทางประวัติศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้คนในเอเชียตะวันออกและโลก กลับมิช่วยปกป้องภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง เพราะหนทางเดียวคือการยอมรับสิ่งที่ตนเองก่อขึ้นเท่านั้น

    .

    เยอรมนีคือตัวอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีวิลลี บรันท์ แห่งเยอรมนีตะวันตก คุกเข่าต่อหน้าอนุสรณ์สถานเกตโตชาวยิวในกรุงวอร์ซอว์ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 1970 เพื่อขอโทษกรณีเยอรมนีก่อเหตุสังหารหมู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

    .

    ในเวลาเดียวกันเยอรมนียังเสนอคำขอโทษอย่างเป็นทางการและการชดใช้ในรูปแบบต่างๆ แก่กลุ่มประเทศและประชาชน ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานจากการบุกรุกรานและการฆ่าล้างนองเลือดของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย

    .

    ดังนั้น ญี่ปุ่นที่พยายามแพร่กระจายแนวคิดขยับขยาย “อิทธิพลระหว่างประเทศ” ของตัวเองเพื่อสถานะ “มหาอำนาจทางการเมือง” ของโลก ควรแสวงหาการยอมรับจากชาวเอเชียตะวันออกเสียก่อน จึงค่อยก้าวสู่การยอมรับจากประชาคมโลก

    .

    #เรียนรู้จากประวัติศาสตร์

    .

    หากกล่าวกันตามข้อเท็จจริง การปฏิเสธเหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงถือเป็นหนึ่งส่วนสำคัญของการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น โดยปัจจัยสำคัญที่นำพาให้เกิดปัญหานี้คืออาการพะเน้าพะนอของ “สหรัฐอเมริกา”

    .

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สหรัฐฯ ไม่ได้สะสางชำระความกับลัทธิทหารญี่ปุ่น หยั่งผลให้อาชญากรสงครามมากมายหลุดพ้นจากการดำเนินคดีความผิดและการลงโทษ รวมถึงมีกองกำลังลัทธิทหารหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น

    .

    นอกจากนั้นในศตวรรษที่ 21 นี้ สหรัฐฯ ยังเพิกเฉยกองกำลังฝ่ายขวาของญี่ปุ่นและเดินหน้านโยบายเชิงสนับสนุนญี่ปุ่น เพื่อเหนี่ยวรั้งการพัฒนาของจีนและรักษาผลประโยชน์ระยะสั้นของตัวเอง ซึ่งนับเป็นความคิดตื้นเขินอย่างที่สุด

    .

    สิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้จากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างดี เมื่อช่วงทศวรรษ 1930 สหราชอาณาจักรหวังยับยั้งความแข็งแกร่งของฝรั่งเศสและถ่วงดุลอำนาจในยุโรปด้วยการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจการสั่งสมอาวุธของนาซีเยอรมนี

    .

    ซ้ำร้ายสหราชอาณาจักรยังเรียกร้องฝรั่งเศสลดขนาดกองทัพและจำกัดการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ นโยบายเหล่านี้ของสหราชอาณาจักรอำนวยความสะดวกแก่การฟื้นตัวและการเสริมความแข็งแกร่งของนาซีเยอรมนีจนสุดท้ายนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

    .

    สงครามโลกครั้งนั้น สหราชอาณาจักรพบผู้คนบาดเจ็บล้มตายมหาศาล และสูญเสียสถานะมหาอำนาจผู้นำโลก กลายเป็นข้อเท็จจริงว่าพฤติกรรมอันโง่เขลาของสหราชอาณาจักร ส่งผลเสียหายย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

    .

    บทเรียนของสหราชอาณาจักรนั้นเป็นเรื่องที่มองเห็นได้ประจักษ์ชัดเจน กอปรกับที่นายวินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เคยกล่าวว่า “พวกที่ล้มเหลวจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์มักจะทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก”

    .

    ฉะนั้นสหรัฐฯ จึงควรเรียนรู้ความผิดพลาดจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และไม่ไขว่คว้าแสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้นด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ที่มีราคาแพงและอาจได้ไม่คุ้มเสียในท้ายที่สุด

    .

    #แนวคิดยุโรปเป็นศูนย์กลางต้องถูกทลาย

    .

    แม้กาลเวลาผันผ่านกว่า 81 ปี แต่เหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงยังคงไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างทั่วโลก เมื่อกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศรู้เพียงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซีเยอรมนี

    .

    ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความแพร่หลายของกระบวนทัศน์ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” (Europe-centric) ดังเช่นการปักหมุดหมายเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการด้วยเหตุการณ์เยอรมนีรุกรานโปแลนด์ในปี 1939

    .

    ความเข้าใจเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มักอ้างอิงสงครามในยุโรป ทำให้สงครามในเอเชียโดยเฉพาะบนแผ่นดินจีนเป็นที่รับรู้น้อยมาก กล่าวได้ว่าจนถึงวันนี้ โลกยังคงไม่สามารถสลัดพันธนาการ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” เมื่อต้องทำความเข้าใจสงครามโลกครั้งที่ 2

    .

    ข้อเท็จจริงคือ “จีน” นับเป็นประเทศแรกสุดที่เข้าร่วมสงครามและต่อสู้เป็นเวลายาวนานที่สุด อีกทั้งเป็นหนึ่งในสนามรบสำคัญที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ความเสียสละและการมีส่วนร่วมของจีนจึงมิอาจถูกละเลย

    .

    การทลายกระบวนทัศน์ “ยุโรปเป็นศูนย์กลาง” และการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การสู้รบของจีนในสงครามโลกครั้งที่ 2 จะช่วยทำให้โลกเข้าใจประวัติศาสตร์แบบองค์รวมของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ดียิ่งขึ้น

    .

    เหตุการณ์สังหารหมู่นานกิงเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ... เป็นจุลพิภพของหายนะและความทุกข์ทรมานอันยิ่งใหญ่ที่มนุษยชาติต้องเผชิญในเวลานั้น ซึ่งควรถูกจดจำตราบชั่วนิรันดร์

    .

    (เรียบเรียงจากบทความคิดเห็นของสี่ว์ ฉวนปัว นักศึกษาปริญญาเอกประจำสำนักสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน)


     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 14) จับตาย!!เผยมือปืนฆ่าหมู่ปลิดชีวิตคนไทยในสตราสบูร์กถูกตำรวจวิสามัญแล้ว: มือปืนผู้ต้องสงสัยกราดยิงฆ่าหมู่ 3 ศพที่ตลาดคริสต์มาสในเมืองสตราสบูร์ก หนึ่งในนั้นเป็นคนไทย ถูกปลิดชีพแล้ว จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวตำรวจในวันพฤหัสบดี(13ธ.ค.) สิ้นสุดปฏิบัติการไล่ล่านานกว่า 48 ชั่วโมง

    เชริฟ เชกัตต์ ถูกสังหารในพื้นที่นอยดอร์ฟ/แมโนของเมืองสตาร์สบูร์ก ในปฏิบัติการหนึ่งของตำรวจตอนประมาณ 21.00น.ของวันพฤหัสบดี(ตรงกับเมืองไทย 0.300น.ของวันศุกร์) ห่างจากจุดที่เขาลงมือโจมตีเข่นฆ่าผู้คนเมื่อวันอังคาร(11ธ.ค.) ราวๆ 2 กิโลเมตร

    แหล่งข่าวรายหนึ่งเผยว่า เชกัตต์ ถูกวิสามัญหลังเขายิงใส่ตำรวจ กระตุ้นให้พวกเจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้กลับไป

    ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุเล่าว่าได้ยินเสียงปืนราว 3 หรือ 4 นัด หลังมีปฏิบัติการตามล่าขนานใหญ่โดยกองกำลังติดอาวุธจากหน่วยคอมนานโดและหน่วยจู่โจม โดยมีเฮลิคอปเตอร์ตำรวจลำหนึ่งบินวนอยู่ด้านบน

    ในเวลาต่อมา คริสตอฟ กัสตาเนร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศส ให้การยืนยันผู้ต้องสงสัยหลักในเหตุสังหารผู้คน 3 ศพในสตาร์สบูร์ก ถูกตำรวจปลิดชีพแล้ว โดยเขาเผยว่าตำรวจ 3 นายพบชายคนหนึ่งที่เชื่อว่าเป็น เชริฟ เชกัตต์ โดยบังเอิญบนถนน และรุดเข้าจับกุมเขา แต่เขากลับยิงใส่ตำรวจ ทำให้พวกเจ้าหน้าที่ต้องลั่นไกตอบโต้และสังหารเขา

    ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีเมื่อวันอังคาร(11ธ.ค.) เพิ่มเป็น 3 คน ในนั้นรวมถึงนายอนุพงษ์ สืบสมาน นักท่องเที่ยวชาวไทยวัย 45 ปี ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมของเมืองเป็นวันที่ 2 รวมถึงมีการตั้งด่านตรวจตามแนวชายแดนติดกับเยอรมนีด้วย

    ก่อนหน้านี้ตำรวจได้ออกโปสเตอร์หมายจับ เชริฟ เชกัตต์ ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุโจมตีคราวนี้แล้ว โดยระบุว่าเขาอยู่ในบัญชีบุคคลที่ต้องเฝ้าจับตามองเนื่องจากอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ขณะที่เจ้าหน้าที่รับผิดชอบหลายรายบอกว่า เป็นที่ทราบกันว่า เชกัตต์ซึ่งปัจจุบัน 29 ปีมีความฝักใฝ่ความคิดทางศาสนาแบบหัวรุนแรงเมื่อตอนที่อยู่ในคุก

    เมื่อถูกโทรทัศน์ซีนิวส์ ถามว่าตำรวจฝรั่งเศสได้รับคำชี้แนะให้จับเป็นหรือจับตายเชกัตต์ ปราฏว่า บองจาแมง กรีวูซ์ โฆษกรัฐบาลฝรั่งเศสตอบว่า “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่ดีที่สุดคือจะต้องค้นหาเขาให้พบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

    สำนักงานอัยการปารีสเผยว่าพ่อแม่ของเชกัตต์และพี่น้องผู้ชายของเขา 2 คนอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ ส่วนพี่น้องผู้หญิง 2 คน ซึ่งพำนักอยู่ในปารีสก็ถูกสอบปากคำเช่นกันในวันพฤหัสบดี(13ธ.ค.) และบ้านของหนึ่งในนั้นถูกตรวจค้น

    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/around/detail/9610000123894

    - Main suspect in Strasbourg attack killed in gun battle with police: officials: https://www.reuters.com/article/us-...un-battle-with-police-officials-idUSKBN1OC0UT
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thon Thamrongnawasawat


    เขียนยามดึก รวดเดียวจบ ยาวมากๆ แต่อยากให้อ่าน #คูนิมาซึ #การตามหาปลาที่หายไป


    ปลาตระกูลแซลมอนแปซิฟิก เป็นปลาที่มีชีวิตแปลกประหลาด พ่อแม่ออกไข่ในลำธารน้ำตื้น จากนั้นก็ตาย


    ลูกลงสู่ทะเลจวบจนเติบใหญ่ ค่อยกลับมาวางไข่ในน้ำจืดอีกครั้ง


    แต่ในจำนวนนี้ มีปลาแซลมอนอยู่ชนิดหนึ่ง คนญี่ปุ่นรู้จักในนาม Kunimasu


    คูนิมาซึอาศัยอยู่ในทะเลสาบน้ำจืดที่เป็น land-locked ไม่มีส่วนที่เชื่อมต่อกับทะเล


    พ่อแม่คูนิจะวางไข่ตามพื้นหิน ในความลึก 40-200 เมตร และชีวิตของปลาจะวนเวียนอยู่เฉพาะในทะเลสาบแห่งนั้น


    ทะเลสาบดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่เฉพาะ เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟที่ระเบิดมาแล้ว 1.8 ล้านปี


    ระเบิดรุนแรงจนเกิดเป็นเป็นปล่องลึก เมื่อมีน้ำไหลลงไปจึงเกิดเป็นทะเลสาบลึกสุดของญี่ปุ่น


    Lake Tazawa อยู่ในเขตฮาชิมันไต (ใกล้โมริโอกะ) ความลึก 423 เมตร พื้นที่ 26 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนับว่าไม่ใหญ่เลย


    แต่ในความไม่ใหญ่ มีปลาพิเศษหนึ่งเดียวในโลกอาศัยอยู่


    ด้วยสภาพแวดล้อมเฉพาะถิ่นและแหล่งน้ำที่ไม่ติดต่อกับแห่งอื่น ทำให้คูนิมาซึพบเฉพาะที่นี่ เธอเป็นปลาเฉพาะถิ่น


    คูนิมาซึวางไข่ในน้ำลึกที่อุณหภูมิคงที่ 4 องศาตลอดปี ลูกปลาเกิดและเติบโตวนเวียนในทะเลสาบ


    ชาวบ้านจำนวนไม่มากอาศัยอยู่รอบเลคทาซาวามาตั้งแต่โบราณ


    ในจำนวนนั้น ประมาณ 65 ครอบครัวหาเลี้ยงด้วยการเป็นชาวประมง


    ชาวประมงหากินกับการจับคูนิมาซึมาตลอดหลายร้อยปี


    พวกเขาดูแลปลาอย่างดี เพราะถือเป็นปลาพิเศษ จึงมอบพื้นที่จับปลาให้แต่ละครอบครัวเพื่อดูแลโดยเฉพาะ


    วิธีการจับก็เฉพาะ ใช้เรือขุดจากไม้ พายเรือไปคนเดียว ลงอวนลักษณะพิเศษเพื่อจับปลาในที่ลึก 120 เมตรหรือกว่านั้น (ดูภาพประกอบนะครับ)


    การจับได้แต่ละตัวก็ต้องลงบันทึก เพื่อไม่ให้เกิดการจับมากเกินไป


    เท่าที่มีบันทึกย้อนไป พวกเขาทำเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยเอโดะ (ตั้งแต่โตกุกาว่าตั้งเมือง)


    ทวดเขียนบันทึกให้ปู่ ปู่เขียนต่อส่งพ่อ ส่งต่อลูก...ต่อหลาน ทำกันมาเนิ่นนาน


    ทุกอย่างเป็นไปอย่างพอดีและสมดุล จนถึงวันหนึ่ง...


    วันนั้นคือกลางเดือนมกราคม ค.ศ.1940


    อันที่จริง เหตุการณ์เริ่มก่อนหน้านั้นมานาน เพราะรอบเลคทาซาวาเป็นแหล่งผลิตข้าวที่ย่ำแย่ เนื่องจากอาศัยน้ำจากแม่น้ำทามา


    แต่แม่น้ำทามาเป็นกรด เพราะมีน้ำจาก Tamagawa Hot Spring ไหลลงมา


    Tamagawa Hot Spring คือแหล่งน้ำร้อนจากใต้พิภพที่ไหลแรงที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยอัตรา 150 ลิตร/วินาที


    น้ำกรดไหลลงสู่แม่น้ำ ทำให้ลำน้ำเป็นกรด ไม่เหมาะสำหรับการปลูกข้าว


    เมื่อญี่ปุ่นพัฒนามากขึ้น ต้องการข้าวมากขึ้น แต่พื้นที่กลับมีน้อยลง ตามด้วยปัญหาซ้ำเติมเมื่อเกิดภัยพิบัติทำให้ผลผลิตตกต่ำในค.ศ.1934


    ชาวนาจึงเรียกร้องให้แก้ปัญหา แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ


    จึงมีแนวคิด หากเราผันน้ำกรดจากฮอตสปริงให้ลงไปในทะเลสาบ แม่น้ำจะได้ไม่มีน้ำกรดผสม


    ประกอบกับช่วงนั้นญี่ปุ่นต้องการไฟฟ้าเพื่อพัฒนาประเทศ จึงต้องการสร้างเขื่อนจำนวนมาก


    การผันน้ำลงไป จะช่วยทำให้สร้างเขื่อนได้ง่ายขึ้น


    ชาวประมงทัดทาน แต่คนแค่ 60 กว่าครอบครัว ไม่สามารถยันต่อแนวคิดดังกล่าวได้


    20 มกรา 1940 น้ำจากฮอตสปริงถูกผันลงมาสู่ทะเลสาบ ซึ่งดังที่เล่าไว้ ที่นี่ไม่ใหญ่เลย


    ภายในเวลาอันสั้น ค่า Ph เปลี่ยนแปลงกะทันหัน จาก 6.7 กลายเป็น 4.7


    ทะเลสาบกลายเป็นน้ำกรด !


    แทบไม่มีชีวิตใดเหลือรอดอยู่ได้ ระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างตัวมา 1.8 ล้านปี ถูกทำลายลงเพียงแค่ไม่กี่เดือน


    ไม่มีใครจับปลาคูนิมาซึได้อีกแล้ว


    สูญพันธุ์...ตลอดกาล...ตลอดไป


    และอาชีพชาวประมงที่พึ่งพาปลาชนิดนี้ วิถีสืบต่อมาตั้งแต่ยุคโชกุนโตกุกาว่า ก็สูญตามไป...สิ้นสลาย


    เมื่อปลาสิ้น คนจึงสิ้นตาม...


    ในปี 1972 รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามแก้ปัญหา สร้างโรงบำบัดน้ำและการปรับสภาพน้ำในทะเลสาบให้กลับคืนมาเหมือนเดิม จนเริ่มต้นเดินเครื่องในปี 1991


    จนถึงปัจจุบัน คุณภาพน้ำดีขึ้น Ph กลับมาที่ 5.14 แต่ในที่ลึกสุด (400 เมตร) ยังอยู่ต่ำกว่า 5


    ลองดูเวลาอีกครั้ง จะได้ทราบว่าใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหน และผลก็ยังคงไม่เหมือนสมัยก่อน


    นี่คือคำตอบว่าบางครั้งเมื่อเราพลั้งเผลอทำลายอะไรไป การเรียกคืนหรือฟื้นฟูมันเป็นไปได้ยากแสนยาก


    แม้กระทั่งประเทศที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีดังเช่นญี่ปุ่น


    และต่อให้น้ำกลับมามีสภาพดังเดิม สิ่งหนึ่งที่กลับมาไม่ได้คือคูนิมาซึ


    ปลาเฉพาะถิ่น สูญสิ้นไปแล้วตลอดกาล...


    เรื่องก็คงจะจบลงเพียงแค่นี้ หากไม่มีชายผู้หนึ่ง


    ชาวประมงคนสุดท้ายแห่งเลคทาซาวา !


    คายูเบอิ มิอุระ เกิดในปี 1921 เขาเป็นชาวประมงวัยรุ่นผู้เคยจับคูนิมาซึ ก่อนที่ทะเลสาบจะตาย


    เมื่อทะเลสาบตาย คูนิมาซึสูญพันธุ์ไปตลอดกาล แต่คนๆ นี้ไม่เชื่อ


    ทะเลสาบยังไม่ตาย ตราบใดที่ยังมีคูนิมาซึอยู่ในโลก


    ปลาที่ทวดเทียดปู่พ่อจับมาตลอดหลายชั่วคน ยังต้องคงอยู่สักที่


    เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ปลาชนิดหนึ่ง แต่มันยังหมายถึงวิถีชีวิตและการสืบทอดสิ่งที่บรรพชนทำมา


    คายูเบอิบอกใครต่อใคร ทุกคนไม่เชื่อ


    ทุกคนบอกว่าทะเลสาบตายแล้ว คูนิมาซึสูญจากโลกไปแล้ว หมดหวังแล้ว...


    แต่บางครั้งบางครา เกือบทุกคนหมดหวัง ไม่ได้หมายความว่าไม่มีหวังเหลืออยู่


    เพราะขอเพียงหนึ่งคน แค่เพียงหนึ่งคน แค่เพียงคนเดียว


    กับความหวังของเขา...


    คายูเบอิค้นเอกสารทั่วทั้งบ้าน ทั้งห้องเก็บของ ค้นแผ่นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือทวด ปู่ พ่อ


    ค้นทุกอย่างที่เขียนถึงคูนิมาซึ


    ค้นแล้วค้นเล่า อ่านแล้วอ่านเล่า ทำมัน...และทำมันต่อไป


    ตราบใดที่ยังทำ ความหวังก็ยังไม่หมด


    และแล้ว โปสการ์ดเก่าๆ ใบหนึ่งก็ตกลงมาจากซอกตู้


    โปสการ์ดอันเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังทั้งมวล


    ในโปสการ์ดเป็นลายมือบอกว่า ได้รับไข่คูนิมาซึ 100,000 ใบเรียบร้อยแล้ว


    โปสการ์ดมี 2 แผ่น แผ่นหนึ่งส่งมาจาก Lake Saiko อีกแผ่นส่งมาจาก Lake Motosu


    เหตุการณ์เกิดขึ้นในค.ศ.1935 ในห้วงเวลาที่มีการขยายพันธุ์ปลาในทะเลสาบหลายแห่งในญี่ปุ่น


    หมายความว่า อาจจะมีคูนิมาซึอยู่ในทะเลสาบที่ห่างไกลทั้งสองแห่ง !


    คายูเบอิพยายามบอกคนอื่น แต่ก็ยังไม่มีใครทำอะไรได้


    จนในที่สุด เขาตัดสินใจเขียนบทความเล็กๆ ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในค.ศ.1978


    บทความมีคนอ่านเพียงไม่เท่าไหร่ และเรื่องก็เริ่มเงียบหายไป


    แต่เมื่อเราเริ่มอะไรสักอย่าง มันอาจไม่สำเร็จวันนี้ มันก็จะมีเชื้อรออยู่ รอให้คนจุดไฟ


    .ในช่วง 1990+ การท่องเที่ยวกำลังบูมทั่วญี่ปุ่น หน่วยงานท้องถิ่นล้วนหาจุดดึงดูดให้ชื่อเสียงของเขตตนเป็นที่รู้จัก


    อีกทั้งกำลังเริ่มมีการฟื้นคืนทะเลสาบทาซาวา


    องค์กรท้องถิ่นจึงตัดสินใจทำแคมเปญ “หาปลาที่หายไป” โดยตั้งรางวัลไว้ถึง 1 ล้านเยนในค.ศ.1995


    รางวัลถูกเพิ่มเป็น 5 ล้านเยน ในปี 1997


    แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครหาปลามาแลกรางวัลดังกล่าวได้


    อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พยายามเขียนหนังสือไว้ให้เป็นหลักฐาน ตีพิมพ์ในปี 2000


    และหนังสือเล่มนั้นถูกส่งต่อให้ดร.เทตสึจิ นาคาโบ ในปี 2003


    เขาสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงกลับไปศึกษาตัวอย่างปลาที่เก็บไว้ในมหาลัยเกียวโตตั้งแต่ปี 1915-17


    การศึกษาตัวอย่างเก่าแก่ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้จักคูนิมาซึมากขึ้น


    เพื่อรอสักวัน ให้ฝันของคายูเบอิเป็นจริง...


    คายูเบอิตายในปี 2006


    ชาวประมงคนสุดท้ายของเลคทาซาวาจากโลกไป


    เขาไม่สมหวัง ไม่ได้เห็นคูนิมาซึอีกครั้ง


    แต่ความหวัง...ส่งต่อและสืบทอด


    ค.ศ.2010 ปลา 2 ตัวถูกจับจาก Lake Saiko มีลักษณะประหลาดกว่าปลาอื่น


    ปลาถูกส่งมาที่มหาวิทยาลัย


    ดร.เทตสึจิศึกษาปลาทั้งคู่อย่างละเอียด เขาเริ่มคิดว่า ก็อาจจะ...ใช่


    ในเวลาเพียงไม่นาน ตัวอย่างอีก 7 ตัวถูกส่งมา ถึงตรงนี้ ดร.เทตสึจิมั่นใจ เขาประกาศต่อโลก


    ใช่ ! นี่คือคูนิมาซึ


    ลูกชายคายูเบอิหลั่งน้ำตาทันทีที่ทราบข่าว


    เขายังคงสืบต่ออาชีพครอบครัว อาชีพชาวประมงแห่งทะเลสาบ


    เขาไปยืนริมตลิ่ง พลางตะโกนก้อง


    พ่อ ได้ยินมั้ย พ่อ !


    คูนิมาซึยังไม่ตาย


    ปลาของเรายังคงอยู่รอดในโลก !


    ....


    ปัจจุบัน มีโครงการในการดูแลพ่อแม่พันธุ์คูนิมาซึใน Lake Saito อย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการทดลองผสมคูนิมาซึ


    ลูกปลาอัตรารอดต่ำ แต่ก็ยังคงรอด และบางส่วนถูกส่งมาที่เลคทาซาวา


    จุดที่คูนิมาซึอยู่ใกล้ถิ่นกำเนิดเมื่อ 1.8 ล้านปีก่อนมากที่สุด คือตู้ปลาในพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ริมทะเลสาบ


    คูนิมาซึยังคืนสู่ทะเลสาบไม่ได้


    แต่ความหวังจากชายหนึ่งคน โปสการ์ดเก่าแก่ กลายเป็นแคมเปญที่คนทั้งชุมชนต่างร่วมใจ


    กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ กลายเป็นเรื่องราว และกลายเป็นบทความเรื่องนี้


    เรื่องจริงของชายคนหนึ่งกับการตามหาปลาที่หายไป 70 ปี


    Xxx


    ผมเขียนเรื่องนี้จากการเข้าชมพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่ใหม่เอี่ยม ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ


    ตอนก่อนเข้าลังเลมาก เพราะต้องเสียค่าเข้าชมหลายร้อยเยน


    เวลายังเย็นย่ำ พิพิธภัณฑ์จะปิดภายในอีก 8 นาที และพระอาทิตย์หน้าหนาวกำลังจะตกดิน


    หากเข้าพิพิธภัณฑ์ ผมจะแทบไม่มีแสงเหลือเมื่อออกมาขับรถรอบทะเลสาบ


    จะไม่ได้ถ่ายภาพกับจุดนั้นจุดนี้อย่างที่เขาโชว์กันเยอะแยะ


    แถมคุณลุงผู้เฝ้า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้แต่คำเดียว แกมีแต่แผ่นกระดาษที่ดูแล้วไม่น่าอ่านเลยแม้แต่น้อย


    ผมถึงขั้นขอเข้าไปคนเดียวก่อน ให้หนูดาวและเด็กๆ รออยู่ข้างนอก เพราะกลัวเปลืองตังค์และเสียเวลา


    เมื่อเข้าไป ผมพบว่าทุกอย่างล้วนเขียนในภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว


    เรื่องทั้งหมดที่เล่าให้คุณฟัง ผมไม่เคยทราบก่อนหน้านั้น


    แต่ตัดสินใจหันกลับไปเรียกหนูดาวและเด็กๆ ตามเข้ามา เพราะดูแล้วมันใช่


    เมื่อดูต่อไป ผมก็เริ่มเดาว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างมาเพื่อปลาชนิดเดียว


    เจ้าปลา 2 ตัวที่ว่ายอยู่ในตู้กระจก


    ผมจึงนั่งดูวิดีโอที่คุณลุงเปิดให้ เคราะห์ดีเหลือหลาย มีซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ


    และเรื่องราวก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละน้อย


    เมื่อผมเห็นลูกของคายูเบอิน้ำตาซึมตอนให้สัมภาษณ์ ผมยิ่งคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา


    ผมกลับไปขอแผ่นกระดาษนั้นจากลุงมาอีกครั้ง ปรากฏว่านั่นคือเอกสารวิชาการที่สรุปมาจากผลงานของดร.เทตสึจิ


    ผมถ่ายภาพต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ไว้เท่าที่ทำได้ เพราะเขาจะปิดแล้ว


    โลกข้างนอกหิมะกำลังเริ่มตก ไม่มีใครเข้าพิพิธภัณฑ์ยกเว้นพวกเรา ร้านขายของที่ระลึกเงียบเหงา ลุงคงอยากกลับบ้าน


    แต่แกก็ไม่ว่าเราสักคำ ทั้งที่เราใช้เวลาเกินไปมาก


    ผมกลับมาด้วยความติดใจในเรื่องนี้ และเริ่มอ่านและค้นคว้าเพิ่มอีกที


    จนกลายเป็นเรื่องที่เพื่อนธรณ์เพิ่งอ่านจบ


    ผมชอบเรื่องนี้มาก เพราะมีทุกอย่าง


    ปลาหนึ่งเดียวในโลก ความผิดพลาด ความสัมพันธ์ชาวประมงกับปลา ความหวังของชายผู้หนึ่ง การค้นคว้าเอกสารที่เก็บไว้อย่างดี ตัวอย่างที่ถูกสะสมไว้ การทำงานของมีนกร (ผู้เชี่ยวชาญด้านปลา)


    การสนับสนุนของชุมชน แคมเปญที่ตั้งขึ้น ความหวัง ความล้มเหลว ฯลฯ


    จนสุดท้าย กลายเป็นจุดจบที่เป็นจุดเริ่มต้น ความหวังครั้งต่อไป ความร่วมใจของชุมชน เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอด จากโปสการ์ดในปี 1935 กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่งเปิดไม่นาน


    ที่สำคัญ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง


    เรื่องจริงที่มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย หากเราคิดจะเรียนรู้ ไตร่ตรอง และนำไปใช้ครับ


    xxxx


    มีคนมาสัมภาษณ์ผมเป็นระยะ พรุ่งนี้ก็จะมี สัปดาห์หน้าก็มีอีก


    คำถามที่เจอทุกครั้ง คือทำไมถึงมีโครงการโน่นนี่ ทำไมถึงมีแคมเปญสัตว์สงวน ทำไงพีพีโมเดลถึงสำเร็จ ทำไมถึงเปลี่ยนอ่าวมาหยาได้ ?


    พวกเขาคาดหวังกับคำตอบที่สามารถเข้าใจได้ง่าย สามารถอธิบายเป็นขั้นตอน 1-2-3-4


    ซึ่งมันไม่มี เพราะถ้ามันมี มันก็คงมีไปนานแล้ว


    วิธีการอื่นใด มันเป็นแค่ส่วนประกอบ มันเป็นแค่หนทาง


    สำคัญสุดคือจุดเริ่มต้น และจุดเริ่มต้นสำหรับผม ผู้เป็นอาจารย์ ไม่มีใครสั่งให้ทำโน่นนี่ได้


    จุดเริ่มต้นของผมมีอย่างเดียวคือแรงบันดาลใจ


    และแรงบันดาลใจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณได้รับมาจากคนอื่น


    ทราบเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่อื่น เรียนรู้ความลำบาก อุปสรรค ระยะเวลา และความล้มเหลว


    และความหวัง...


    เรื่องเหล่านี้มีซ่อนอยู่ทุกมุมโลก ทว่า...คุณต้องใช้เวลาในการค้นหา


    และอย่าท้อถอยในการค้นหา อย่าให้ข้อจำกัดอื่นๆ มาทำลายความตั้งใจในการค้นหาของคุณ


    ลงท้ายง่ายๆ ด้วยประโยคที่ชอบมากของมิสเตอร์เช


    สโลแกนในชีวิตของผม


    “หากรักอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มให้โลกเปลี่ยนเรา”


    และโลกไม่มีวันเปลี่ยนเราได้ หากเราไปดูโลกเพียงแค่ยืนมองและถ่ายภาพกลับมาครับ


     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thon Thamrongnawasawat

    ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายครับ และขออธิบายสั้นๆ ดังนี้

    D002244A-5DA5-435A-8DB4-B114BC2469AD-700-00000037B3370BFA.jpg
    ปลาเต็กเล้งพบได้ทั่วไป เป็นปลาผิวน้ำ หากินปลาเล็กเป็นอาหาร


    ทั่วไปในที่นี้คือตามกองหิน ใกล้แหลม ตามท่าเรือ หรือตามวัสดุลอยน้ำกลางทะเล


    ปลาเต็กเล้งไม่ดุร้าย ในทางกลับกัน เป็นปลาขี้ตกใจ ตื่นกลัวคน


    นักดำน้ำเจอปลาเต็กเล้งเป็นประจำ ไม่ใช่ปลาหายาก


    กรณีนี้เกิดขึ้นเฉพาะจริงจัง คาดว่าปลาคงตกใจจากจุดอื่น แล้วพุ่งหนีมาทางนี้


    ปลาไม่มีพิษ และไม่จู่โจมด้วยการพุ่งเข้าแทง เป็นเหตุบังเอิญ


    เท่าที่ทราบ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ถึงขั้นเสียชีวิตในไทย


    ในเมืองนอกมีอยู่บ้างที่ได้รับบาดเจ็บ แต่นานๆ ครั้ง (นานมาก)


    เราไม่จำเป็นต้องกลัวปลาชนิดนี้ว่าจะจู่โจมเรา


    สุดท้าย ขอแสดงความเสียใจอีกครั้งครับ





    ภาพจาก กูเกิล
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผวาวิกฤตการเงินรอบใหม่ พบหนี้สินสหรัฐฯ พุ่งกระฉูดใกล้แตะระดับ $22 ล้านล้าน!! เผยแพร่: 14 ธ.ค. 2561 01:06 ปรับปรุง: 14 ธ.ค. 2561 10:00 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000012874201.jpg

    รัสเซียทูเดย์ - เจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แสดงความกังวล หลังข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลังอเมริกาเผยให้เห็นว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางอยู่ที่แถวๆ 21.85 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว และจากอัตราการพอกพูนปัจจุบันมีแนวโน้มว่ามันจะแตะระดับ 22 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า

    จากข้อมูลพบว่า หนี้สินสาธารณะของอเมริกาพุ่งทะยานขึ้นมาถึง 11.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 11 ปี นั่นหมายความว่าเป็นเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้พอกพูนหนี้สาธารณะราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละปี

    ทั้งนี้ หนี้สินสาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมา 1.36 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 6.6% นับตั้งแต่ต้นปี และเพิ่มขึ้นแล้ว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งตัวเลขหลังนี้มีขนาดพอๆ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของบราซิลเลยทีเดียว

    ด้วยตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 บุคคลระดับสูงในแวดวงการเงินโลกจึงเริ่มส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของวิกฤตการเงินรอบใหม่

    “ฉันเคยคิดว่าสิ่งต่างๆ ดีขึ้นแล้ว แต่จากนั้นฉันก็คิดว่ามีข่องโหว่ขนาดใหญ่ในระบบ ในสหรัฐฯ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ไม่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่ในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่กำลังโผล่ขึ้นมา” เจเน็ต เยลเลน อดีตประธานเฟดกล่าวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์

    เธอแสดงความกังวลเกี่ยวกับการสร้างผลประโยชน์จากการกู้ยืม โดยระบุว่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบทำได้เพียงจัดการปัญหาดัวกล่าวตามธนาคารแต่ละรายเท่านั้นไม่ครอบคลุมทั่วระบบการเงิน

    “ฉันไม่แน่ใจว่าเรากำลังทำงานในเรื่องนี้ในแนวทางที่เราควรทำหรือไม่ และเมื่อยังมีช่องโหว่อยู่ ฉันกังวลว่าเราอาจเจอกับวิกฤตการเงินอีกครั้ง” เยลเลนกล่าว

    เยลเลน ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ให้เป็นประธานเฟดตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2018 ก่อนที่เธอจะถูกปลดออกโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยระหว่างที่เธอนั่งเก้าอี้นั้น หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พอกพูนจาก 17 ล้านล้านดอลลาร์เป็น 21 ล้านล้านดอลลาร์

    https://mgronline.com/around/detail/9610000123882
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทดสอบสำเร็จ! เครื่องบินจรวด Virgin Galactic ขึ้นสู่ขอบโลก คาดเที่ยวบินทัวร์อวกาศเริ่มปีหน้า (ชมคลิป) เผยแพร่: 14 ธ.ค. 2561 04:01 ปรับปรุง: 14 ธ.ค. 2561 09:56 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

    รอยเตอร์ - เครื่องบินจรวด Virgin Galactic ทะยานสู่ขอบอวกาศในวันพฤหัสบดี (13 ธ.ค.) และลงกลับสู่ทะเลทรายแคลิฟอร์เนียอย่างปลอดภัย ผ่านพ้นการทดสอบที่ประสบปัญหายุ่งยากมานานหลายปี กลายเป็นเที่ยวบินมนุษย์เชิงพาณิชย์เที่ยวแรกของสหรัฐฯ ที่ไปถึงอวกาศ นับตั้งแต่โครงการ Space Shuttle หรือยานอวกาศแบบไป-กลับ ยุติลงในปี 2011

    เที่ยวบินทดสอบดังกล่าวเป็นนิมิตหมายว่ายุคสมัยใหม่แห่งการเดินทางท่องอวกาศของพลเมืองอาจเริ่มต้นได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2019 ด้วยจรวด Virgin Galactic ของริชาร์ด แบรนสัน มหาเศรษฐีชาวอังกฤษกำลังช่วงชิงกับบริษัทต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีรายอื่นๆ อย่างเช่นบริษัท บลูออริจิน ของเจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ในการมอบเที่ยวบินท่องอวกาศทางวงโคจร (Suborbital flight) แก่นักท่องเที่ยวที่จ่ายเงินซื้อตั๋ว

    561000012875701.jpg


    เครื่องบินขนส่งแบบลำตัวแฝดของเวอร์จิน แบกยานโดยสาร SpaceShipTwo พุ่งทะยานจากท่าขนส่งอวกาศโมฮาวี (Mojave Air and Spaceport) ห่างจากลอสแองเจลิส ไปทางเหนือราว 145 กิโลเมตร ขึ้นสู่ท้องฟ้าตอนประมาณ 07.00 น.(ตรงกับเมืองไทย 22.00 น.ของวันพฤหัสบดี)

    แบรนสัน ได้เข้าเป็นสักขีพยานการเทกออฟครั้งนี้พร้อมกับผู้ชมอีกหลายร้อยคนที่มารวมตัวกันในแถบทะเลทรายของแคลิฟอร์เนียในตอนเช้า และหลังจากเครื่องบินพุ่งขึ้นเหนือความสูง 50 ไมล์ (ราว 80 กิโลเมตร) แตะระดับจุดโคจรไกลสุดจากโลก 51.4 ไมล์ (ราว 82.4 กิโลเมตร) แบรนสันถึงกับหลั่งน้ำตาแตะมือและกอดแสดงความยินดีกับผู้ชม จากนั้นเครื่องบินก็คืนสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วเหนือเสียง 2.5 เท่าและลงจอดในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

    561000012875702.jpg


    “วันนี้เราแสดงให้เห็นว่า Virgin Galactic สามารถเปิดอวกาศให้แก่โลก” แบรนสันกล่าว พร้อมระบุว่าเขาวางเป้าหมายมีเที่ยวบินอวกาศเชิงพาณิชย์ขนส่งผู้โดยสาร ในนั้นรวมถึงตัวเขาเอง ภายในเดือนมีนาคม 2019

    เครื่องบินขนส่งนี้พาเครื่องบินจรวดบรรทุกผู้โดยสาร SpaceShipTwo ขึ้นสู่ระดับความสูงราว 45,000 ฟุตและปล่อยมัน จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา SpaceShipTwo ได้ติดเครื่องขับดันตัวเองขึ้นสู่ระดับความสูงมากกว่า 51 ไมล์ (ราว 82 กิโลเมตร) เหนือโลก สูงมากพอที่ 2 นักบิน ได้แก่ มาร์ก สตัคซี และ เฟรเดริค สตูร์คโคว์ ตกอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักและเห็นส่วนโค้งของโลก

    561000012875703.jpg


    การทดสอบเที่ยวบินล่าสุดของเวอร์จิน มีขึ้น 4 ปีหลังจากจรวด SpaceShipTwo ดั้งเดิมประสบอุบัติเหตุระหว่างเที่ยวทดสอบ ซึ่งเป็นผลให้นักบินผู้ช่วยเสียชีวิตและนักบินได้รับบาดเจ็บสาหัส และมันเป็นการก้าวถอยหลังใหญ่ของโครงการนี้

    ในขณะที่ถูกพวกนักวิจารณ์เย้ยหยันว่าทำไม่ได้อย่างที่เคยสัญญาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา แบรนสัน ได้ตอกกลับโดยให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผานมาว่า เที่ยวบินท่องอวกาศเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกของเวอร์จินซึ่งจะมีเขาเดินทางไปด้วย “จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่ใช่อีกหลายปี”

    561000012875704.jpg


    ณ ตอนนี้มีผู้คนแล้วมากกว่า 600 รายที่จ่ายเงินหรือวางเงินมัดจำสำหรับจองตั๋วเที่ยวบินท่องอวกาศของเวอร์จิน ในนั้นรวมถึง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ นักแสดงคนดังของฮอลลีวูด และป็อปสตาร์อย่าง จัสติน บีเวอร์ โดยเที่ยวบินที่ใช้เวลาเดินทางราวๆ 90 นาที มีค่าตั๋วอยู่ที่ 250,000 ดอลลาร์ (ราว 8 ล้านบาท)

    ด้านค่าตั๋วสำหรับชมอวกาศระยะเวลาสั้นๆ บนจรวด New Shepard ของบลูออริจิน น่าจะมีราคาราวๆ 200,000 ถึง 300,000 ดอลลาร์ โดยตั๋วจะเปิดขายก่อนหน้าที่จะปล่อยยานอวกาศเชิงพาณิชย์เที่ยวจริงขึ้นสูอวกาศ ขณะที่เที่ยวทดสอบของบลูออริจิน คาดหมายว่าจะเริ่มต้นได้ในปี 2019

    ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่กำลังมีแผนเปิดเที่ยวบินทัวร์อวกาศเช่นกัน มีทั้งโบอิ้ง โค, สเปซเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์และ - สตราโตลอนช์ ของพอล อัลเลน อดีตผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ที่ล่วงลับไปแล้ว

    561000012875705.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9610000123883
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ทรัมป์” โต้ไม่เคยสั่ง “โคเฮน” ละเมิดกฎหมาย หลังอดีตทนายความเจอคุก 3 ปี เผยแพร่: 14 ธ.ค. 2561 03:32 ปรับปรุง: 14 ธ.ค. 2561 09:53 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000012876601.jpg

    ไมเคิล โคเฮน อดีตทายความส่วนตัวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พยายามปกป้องตนเองจากประเด็นร้อนทางกฎหมายที่โหมกระพือหนักหน่วงขึ้น โดยทวีตยืนยันในวันพฤหัสบดี (13 ธ.ค.) ว่าเขาไม่เคยสั่งให้ ไมเคิล โคเฮน อดีตทายความส่วนตัวทำผิดกฎหมาย

    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าสู่ปีที่ 3 ของการดำรงตำแหน่งท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณที่อัยการรัฐและอัยการพิเศษเดินหน้าตรวจสอบคำกล่าวหาว่าเขาและคนใกล้ชิดสมคบคิดกับรัสเซียหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ก็ยังคงตอบโต้อย่างที่เคยทำมา ล่าสุดเขียนบนทวิตเตอร์ พยายามเว้นระยะห่างจาก โคเฮน บุคคลซึ่งเคยทำหน้าที่ทนายความส่วนตัวของเขามาช้านาน “ผมไม่เคยสั่ง ไมเคิล โคเฮน ให้ฝ่าฝืนกฎหมาย”

    ศาลกลางนิวยอร์กเมื่อวันพุธ (12 ธ.ค.) พิพากษาจำคุก โคเฮน เป็นเวลา 3 ปี จากอาชญากรรมต่างๆ ในนั้นรวมถึงหลีกเลี่ยงภาษี, ฉ้อโกงทางการเงิน, สนับสนุนละเมิดกฎหมายการระดมทุนหาเสียง และให้การเท็จต่อสภาคองเกรส

    ในบรรดาข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีต่อโคเฮนนั้น หนึ่งในนั้นคือการจ่ายเงินปิดปากผู้หญิง 2 คนได้แก่อดีตดาวโป๊และนางแบบเพลย์บอย ที่อ้างว่าเคยมีสัมพันธ์ลับกับทรัมป์ หลังพวกเธอขู่นำเรื่องนี้แฉต่อสาธารณะระหว่างศึกรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016

    อัยการชี้ว่า การจ่ายเงินในลักษณะนี้เข้าข่ายละเมิดกฎหมายระดมทุนหาเสียงซึ่งกำหนดให้ต้องเปิดเผยทรัพย์สินมีค่าใดๆ ก็ตามที่มอบให้แก่ทีมหาเสียงโดยมุ่งหวังผลต่อการเลือกตั้ง และจำกัดวงเงินบริจาคไม่เกิน 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน

    แม้ ทรัมป์ ปฏิเสธว่าไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงทั้งสอง แต่ โคเฮน ให้การว่าการจ่ายเงินดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกลบความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องอื้อฉาวระหว่างศึกรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี 2016 ที่ต่อมา ทรัมป์ สร้างความประหลาดใจด้วยการพลิกล็อกเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากเดโมแครต

    “มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องปกปิดการกระทำสกปรกๆ ของเขา” โคเฮน กล่าวระหว่างให้การรับสารภาพเพื่อขอความเมตตาจากผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ

    โคเฮน วัย 52 ปี บอกว่า “ผมต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ผมก่อ ในนั้นรวมถึงที่โยงใยถึงประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา”

    ในการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีคำพิพากษา ทรัมป์บอกว่าเขาเป็นเหยื่อการปฏิบัติมิชอบของนักกฎหมาย “เขาเป็นทนายความ เขาแน่ใจว่าเขารู้กฎหมาย” ทรัมป์เขียนบนทวิตเตอร์ “มันเรียกว่าคำแนะนำของที่ปรึกษา ทนายความต้องมีความรับผิดชอบใหญ่หลวงหากเกิดความผิดพลาดขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงถูกว่าจ้าง”

    https://mgronline.com/around/detail/9610000123888
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ลือหึ่ง! ‘ทรัมป์’ อาจตั้งลูกเขยคนโปรด ‘เจเร็ด คุชเนอร์’ เป็นปธ.เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว เผยแพร่: 14 ธ.ค. 2561 09:34 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000012878501.jpg

    รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาบางคนให้ตั้ง เจเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยคนโปรดเป็นประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนใหม่

    แหล่งข่าวใกล้ชิด 2 คนให้ข้อมูลกับรอยเตอร์วานนี้ (13 ธ.ค.) ว่า คุชเนอร์ เองยังไม่มีท่าทีว่าจะเต็มใจรับตำแหน่ง

    ผู้นำสหรัฐฯ ระบุวานนี้ (13) ว่ากำลังพิจารณาตัวเลือกไม่ต่ำกว่า 5 คนสำหรับเก้าอี้ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่จะว่างลง หลังจาก พล.อ. จอห์น เคลลี อำลาตำแหน่งในช่วงต้นปีหน้า

    แหล่งข่าวชี้ว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่หลายคนเสนอให้ ทรัมป์ แต่งตั้ง คุชเนอร์ ซึ่งเป็นทั้งบุคคลใกล้ชิดและยังสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์มาแล้วหลายอย่าง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมเจรจาข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับเม็กซิโกและแคนาดา และผลักดันกฎหมายปฏิรูปเรือนจำ เป็นต้น

    ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกหญิงทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่ายังไม่ทราบมาก่อนว่า คุชเนอร์ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการพิจารณาหรือไม่ “แต่เราทุกคนคงก็ตระหนักดีว่า เขาจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าประธานาธิบดีจะมอบหมายงานอะไรให้ก็ตาม”

    “เขาทำผลงานที่วิเศษสุดหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการค้าหรือการปฏิรูประบบยุติธรรมทางอาญา เขาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม” แซนเดอร์ส ระบุ

    แหล่งข่าวคนหนึ่งเผยว่า คนที่ยุให้ ทรัมป์ เลือก คุชเนอร์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวนั้นมีทั้งที่ปรึกษาภายนอกและเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของ ทรัมป์ เอง

    “ทุกคนรู้ดีว่า เราต้องการคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประธานาธิบดี” แหล่งข่าวผู้นี้ระบุ

    อย่างไรก็ตาม คุชเนอร์ ยังมีความสุขกับบทบาทปรึกษาทำเนียบขาว“และไม่มีท่าทีว่าอยากจะได้ตำแหน่งนี้” แหล่งข่าวเผย

    คุชเนอร์ และ อิวองกา ทรัมป์ ภรรยาของเขา ต่างสนับสนุน นิค แอร์ส (Nick Ayers) ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ทว่า แอร์ส ได้ยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะไม่รับตำแหน่งต่อจาก เคลลี เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตลอด 2 ปีเต็มได้อย่างที่ ทรัมป์ ต้องการ

    คนสนิทของ ทรัมป์ อีกคนซึ่งไม่ประสงค์ออกนามยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีจะมอบตำแหน่งดังกล่าวให้ลูกเขยตัวเอง

    “ถ้าคุณต้องการความสม่ำเสมอ และรู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีก 2 ปีแน่ๆ ก็แค่แต่งตั้ง เจเร็ด และปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่อยากทำ” แหล่งข่าวบอกกับรอยเตอร์

    อีกคนซึ่งถูกคาดหมายเป็นตัวเก็งก็คือ เดวิด บอสซี (David Bossie) อดีตที่ปรึกษาทีมหาเสียงของ ทรัมป์ ซึ่งเดินทางมาประชุมที่ทำเนียบขาวด้วยเมื่อวานนี้ (13) แต่มีรายงานว่าเขาไม่ได้เข้าพบประธานาธิบดี

    https://mgronline.com/around/detail/9610000123917
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Clip: ยูเอ็นประกาศ “กบฎฮูตี-คนของปธ.ฮาดี” ตกลงหยุดยิงใน “โฮเดดา” ระหว่างร่วมโต๊ะเจรจาสันติภาพในสวีเดน
    เผยแพร่: 13 ธ.ค. 2561 21:36 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000012865101.jpg

    เอเอฟพี/เอพี – วันนี้(13 ธ.ค)เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้ทำหน้าที่ในฐานะคนกลาง เพื่อผลักดันในนาทีสุดท้ายทำให้ข้อตกลงหยุดยิงเมืองท่าโฮเดดาของเยเมนเกิดขึ้นสำเร็จ หลังกลุ่มกบฎฮูตีและฝ่ายรัฐบาลเอเดนเข้าร่วมการหารือเป็นวันที่ 7ในสวีเดน โต้เถียงประเด็นเมืองท่าโฮเดดาและสนามบินซานาซึ่งในเวลานี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกบฎ

    เอเอฟพีรายงานว่า แรงกดดันจากนานาชาติมีขึ้นเพื่อต้องยุติการต่อสู้ระหว่างกบฎฮูตีที่มีอิหร่านให้การสนับสนุน และรัฐบาลเยเมนของประธานาธิบดี อาเบดรับบู มันซูร์ ฮาดี ภายใต้การสนับสนุนของซาอุฯและชาติพันธมิตร โดยฮาดีฐานบัญชาการบริหารเยเมนที่เมืองเอเดน

    สงครามกลางเมืองเยเมนกลายเป็นฝันร้ายที่สุด ซึ่งสหประชาชาติได้เคยประกาศว่า ประชาชนชาวเยเมนจำนวน 14 ล้านคนในเวลานี้เข้าใกล้วิกฤตความอดอยาก

    การเจรจาสันติภาพระหว่างกลุ่มกบฎฮูตีและรัฐบาลฮาดีเกิดขึ้นภายในหมู่บ้านริมโบฟอร์( Rimbofor)ที่ห่างไกลของสวีเดน โดยมีสหประชาชาติเป็นตัวกลางที่ทำให้การเจรจาครั้งนี้เกิดขึ้นสำเร็จ

    ซึ่งมาถึงวันนี้(13)เป็นวันที่ 7 ของการเจรจาที่อยู่ในช่วงปิดท้าย ทางยูเอ็นทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้เกิดข้อตกลงในประเด็นสำคัญ รวมไปถึงเมืองท่าโฮเดดา(Hodeida)ที่เป็นด่านการรับส่งอาหารและความช่วยเหลือจากต่างชาติ

    โดยแหล่งข่าวในการเจรจาให้ข้อมูลว่า บรรดาคนกลางยังคงมีความหวังถึงแม้ว่าจะมีความไม่เห็นด้วยในประเด็นการเจรจาเกิดขึ้น

    แหล่งข่าว 4 คนจากทั้ง 2 ฝั่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า มาจนถึงเวลานี้ซึ่งเป็นเช้าวันพฤหัสบดี(12) ยังไม่มีข้อตกลงใดที่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ทั้งในประเด็นเมืองท่าโฮเดดาและสนามบินซานา ซึ่งในเวลานี้ยังคงปิดให้บริการแก่สายการบินพาณิชย์มาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว และทั้ง 2 ฝ่ายยังคงกล่าวหาอีกฝ่ายว่า ไม่มีการให้ความร่วมมือระหว่างกัน

    เอเอฟพีรายงานว่า ฝ่ายกลุ่มกบฎฮูตีเป็นผู้ควบคุมทั้งเมืองท่าโฮเดดาและกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน แต่ทว่ากองกำลังซาอุฯและกองกำลังชาติพันธมิตรอาหรับเป็นผู้ควบคุมพรมแดนน่านน้ำและน่านฟ้าของเยเมน

    ในวันพุธ(12) พบว่าสภาสูงสหรัฐฯไฟเขียวผ่านในมติที่จะอนุญาตให้สหรัฐฯหยุดให้การสนับสนุนทางทหารแก่ริยาดในสงครามเยเมนด้วยมติ 60 ต่อ 39 ซึ่งมีสมาชิกสภาสูงสายพรรครีพับลิกัน 11 รายเข้าร่วมกับฝั่งพรรคเดโมแครตในการสนับสนุนมติ

    และการโหวตครั้งสุดท้ายคาดว่าจะเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดี(13) ซึ่งหากสภาสูงสหรัฐฯอนุมัติมาตรการนี้จริง แต่คาดว่าจะคงจะไม่สามารถผ่านได้สภาล่างซึ่งทางพรรครีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากไปจนถึงวันที่ 3 ม.คปีหน้า

    โดยการเจรจาสันติภาพเยเมนที่ถูกจัดขึ้นที่สวีเดนนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากันเป็นครั้วแรกในรอบ 2 ปี ซึ่งเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประชุมวันนี้(13)

    เอพีรายงานว่า กูเตอร์เรสแถลงถึงความสำเร็จว่า ทุกฝ่ายในสงครามกลางเมืองเยเมน “ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงครอบคลุมระดับจังหวัดในโฮเดดา” และจะมีการถอนกำลังออกจากเมืองท่าแห่งนี้ซึ่งติดกับทะเลแดง

    ซึ่งในวันพุธ(12) พบว่า มาร์ติน กริฟฟิธส์ (Martin Griffiths)ทูตพิเศษยูเอ็นประจำเยเมนซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้การพบกันครั้งนี้เกิดขึ้นได้แจกร่างข้อตกลงให้ทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อพิจารณา

    ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศสวีเดน มาร์ก็อต วอลสตรอม(Margot Wallstrom) ได้กล่าวถึงสปิริตในด้านบวกของการเจรจาสันติภาพที่มีเป้าหมายเพื่อวางกรอบการทำงานสำหรับการเจรจาที่อาจจะเกิดขึ้นรอบใหม่ในอนาคต โดยเธอหวังว่าสวีเดนจะได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการจัดการเจรจาสันติภาพเยเมนได้อีกครั้ง

    เอพีชี้ว่า การจัดเจรจาสันติภาพที่มียูเอ็นเป็นตัวกลางนั้นถูกคาดหวังต่ำว่าจะประสบความสำเร็จในการสามารถยุติการสู้รบลงได้ทันที แต่ทว่าได้มีการเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้นบ้างแล้ว เป็นต้นว่าสำหรับข้อตกลงการแลกเปลี่ยนนักโทษที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวน 15,000 คน และทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวว่าพวกเขาต้องการสร้างความมั่นใจสำหรับการเจรจาอีกครั้งในอนาคต





    561000012865102.jpg


    561000012865103.jpg


    561000012865104.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9610000123836
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังจากถูกโจมตี ชาวไซออนิสต์นับพันชุมนุมประท้วงต่อต้านเนทันยาฮู
    Published: Friday, 14 December 2018 10:20 |
    Against-Netanyahu1.jpg

    ในคืนวันพฤหัสบดี(13 ธันวาคม) ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานชาวไซออนิสต์หลายพันคนได้รวมตัวชุมนุมหน้าบ้านของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเพื่อประท้วงสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เลวร้าย….

    ตามรายงานนี้ข้อความในแผ่นป้ายหนึ่งที่ผู้ชุมนุมประท้วงถือได้เขียนว่า : "โอ้นายเนทันยาฮู! ความมั่นคงสงบสุขที่คุณสัญญาไว้แก่พวกเรานั้นอยู่ที่ไหน?"

    แหล่งข่าวไซออนิสต์รายงานเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี (13 ธันวาคม) ที่ผ่านมาว่า การปฏิบัติการต่อต้าน (มุกอวะมะฮ์) ล่าสุดในเขตเวสต์แบงก์นั้น มีทหารไซออนิสต์เสียชีวิตสามนาย

    โทรทัศน์ไซออนิสต์รายงานว่า มีคนร้ายพร้อมอาวุธได้ลงจากรถยนต์ของตนและเริ่มกราดยิงใส่ทหารไซออนิสต์และผู้ตั้งถิ่นฐาน เหตุเกิดใกล้เมืองรอมัลเลาะห์ ในเขตเวสต์แบงก์

    ในเหตุการณ์ยิงครั้งนี้ทำให้ทหารไซออนิสต์สามนายเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน

    หลังจากปฏิบัติการดังกล่าว นายเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เตือนไปยังผู้ก่อเหตุ ประกาศขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การเร่งรัดการทำลายบ้านเรือนของบรรดาผู้ปฏิบัติการนี้ เพื่ออนุมัตการสร้างบ้านสำหรับผู้ถิ่นฐานที่ไม่ได้รับอนุญาตนับพันๆ หลัง

    นายเนทันยาฮูยังได้เรียกร้องให้กองทัพและกองกำลังรักษาความมั่นคงปิดล้อมเมือง Al-Bireh และควบคุมเส้นทางในเขตเวสต์แบงก์และทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

    ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาทหารอิสราเอลได้ยิงชายหนุ่มชาวปาเลสไตน์ 3 คนจนเสียชีวิต ซึ่งพวกเขาแจ้งว่าสามคนนี้คือผู้ที่ร่วมดำเนินการปฏิบัติการต่อต้านต่างๆ

    กลุ่มต่อต้านชาวปาเลสไตน์อย่างเช่นกลุ่มญิฮาดอิสลามี ของปาเลสไตน์ประกาศในเช้าวันพฤหัสบดีว่า เลือดของบรรดาชายหนุ่มชาวปาเลสไตน์จะไม่สูญเปล่า

    ด้วยเหตุนี้เองกลุ่มญิฮาดอิสลามี จึงได้แสดงความยินดีต่อปฏิบัติการที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี (13 ธันวาคม) ที่ผ่านมา พร้อมประกาศว่าเรามั่นใจว่าศัตรูชาวไซออนิสต์จะต้องถูกบดขยี้

    ที่มา : อัล-อาลัม

    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม


    http://www.iicth.com/news01/muslim-news/425-against-netanyahu
     

แชร์หน้านี้

Loading...