ติดตามสถานะการณ์

รีเซ็ตใหม่! ม.44 แก้ กม.ป.ป.ช. กก.สภามหาวิทยาลัย-บอร์ดกองทุนไม่ต้องยื่นทรัพย์สิน เขียนวันที่ วันอังคาร ที่ 11 ธันวาคม 2561 เวลา 12:43 น.

‘บิ๊กตู่’ งัด ม.44 แก้ไขกฎหมายลูก ป.ป.ช. รีเซ็ตนิยามผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ยกเลิกตำแหน่งนายก-กก.สภามหาวิทยาลัย บอร์ดกองทุนต่าง ๆ ไม่ต้องยื่นบัญชี ให้ใช้ดุลพินิจใหม่ว่าตำแหน่งใดต้องยื่นทรัพย์สินบ้าง



ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2561 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 21/2561 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยใช้มาตรา 44 แก้ไข พ.ร.บ.ป.ป.ช. และยกเลิกตำแหน่งกรรมการในกองทุนต่าง ๆ รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งหน่วยงานของรัฐอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและเปิดเผยตามมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2561

คำสั่งดังกล่าว ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีความเห็นและข้อเสนอแนะมายังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกี่ยวกับประกาศ ป.ป.ช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 พ.ศ.2561 ที่กำหนดให้กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานรัฐทุกแห่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะการกำหนดตำแหน่งตามมาตรา 102 (7) ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง มีการนิยามความหมายไว้ตามมาตรา 4 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง หมายความรวมถึง กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐ ส่งผลให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่สามารถใช้ดุลพินิจกำหนดตำแหน่งเฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงได้

แต่เนื่องจากประกาศดังกล่าว กำหนดให้กรรมการและผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานอื่นของรัฐทุกแห่ง (เช่น นายกสภา กรรมการสภามหาวิทยาลัย บอร์ดกองทุนต่าง ๆ) ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งผลให้การบริหารจัดการภายในหน่วยงานบางแห่งประสบปัญหา ดังนั้นเพื่อให้การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน รวมถึงการป้องกันการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล และเป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งควรให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการใช้ดุลพินิจกำหนดตำแหน่งผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ป.ป.ช. เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเป็นส่วนสำคัญ ของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 หัวหน้า คสช. โดยความเห็นชอบจาก คสช. จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

1.ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง” ในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. และให้ใช้ความต่อไปนี้ “ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง” หมายความว่า ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สำหรับข้าราชการพลเรือน และปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ สำหรับข้าราชการทหาร และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และให้หมายความรวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัด กทม. กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หัวหน้าหน่วยงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่รวมถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด หรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด

2.ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ป.ช. “ในกรณีที่มีปัญหาการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. นี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการตีความและวินิจฉัย ทั้งนี้มติในการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องมีคะแนนเสยงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

3.ให้ยกเลิกข้อ 5 (บอร์ดกองทุนต่าง ๆ และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในหน่วยงานของรัฐอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน) แห่ง ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องกำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช.

(ข้อ 5 ตามประกาศ ป.ป.ช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 พ.ศ.2561 ระบุว่า หน่วยงานอื่นของรัฐนอกจากที่กำหนดไว้ในข้อ 4. (7) 7.8 ของประกาศดังกล่าว ให้ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน รวมถึง (1) ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ หรือตำแหน่งที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นในคณะกรรมการ หรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการกำกับควบคุมดูแล (2) เลขาธิการ ผู้อำนวยการ หรือตำแหน่งที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่)

4.เพื่อประโยชน์ของการกำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ให้สำนักงาน ป.ป.ช. เร่งดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียใหม่ให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ป.ป.ช. ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนี้ เสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อประกาศใช้ต่อไป

5.ในกรณีที่เห็นสมควรนายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้ คสช. แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้

6.คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 11 ธ.ค. 2561

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

(อ่านคำสั่งดังกล่าวฉบับเต็ม คลิกที่นี่)

(อ่านประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 พ.ศ.2561 คลิกที่นี่)

https://www.isranews.org/isranews/71898-isranews2323-71898.html

 

SSBN - Thailand


นายกฯ สั่งสอบ จนไม่จริง! เตรียมถูกยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ


นายกรัฐมนตรี สั่งกระทรวงการคลังเรียกสอบกรณีสาวใส่ทองกดเงินของขวัญปีใหม่ 500 บาทจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโชว์ในโซเชียล ระบุ หากไม่จนให้ยกเลิกบัตรทันที ส่วนวันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค.)จะเริ่มต้นโอนค่าเช่าบ้าน คนละ 400 บาทต่อเดือน


วันนี้(11 ธ.ค.2561) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึง กรณีประชาชนแห่กดเงินของขวัญปีใหม่ จำนวน 500 บาทจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะกลัวรัฐบาลจะดึงเงินคืนว่าต้องช่วยกันตรวจสอบผู้ปล่อยข่าวซึ่งรัฐบาลชี้แจงแล้วว่าเงินยังอยู่ในบัญชีจนกว่าจะเบิกหมด


เชื่อว่าปัญหาเกิดจากไม่เข้าใจ วิธีการกดเงิน 4 ขั้นตอน จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์เพราะหากกดไม่เป็นก็ต้องจ้างให้คนอื่นทำรายการแทน และต้องเสียเงินค่าตอบแทน ซึ่งก็ยังพบคนหาประโยชน์จากเรื่องนี้


พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีมีผู้โพสต์ภาพตัวเองถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเงินสด 500 บาท แต่ใส่สร้อยคอทองคำใน จ.เชียงราย จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ใช่คนจน ตอนนี้สามารถให้ไปแจ้งความ ให้ตรวจสอบได้ และก็กำลังตรวจสอบอยู่


“เห็นในโซเชียล แต่จะจริงหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่ก็ได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง เรียกบุคคลดังกล่าวมาตรวจสอบ ทุกอย่างอยู่ที่ความซื่อสัตย์ หากพบไม่ใช่คนจนจริงก็ต้องยกเลิกบัตร ”

 

คงจะมองออกแล้วว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนมาจากเหตุผลอะไร

MGROnline Live


“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44

ยกเลิก กก.สภามหาวิทยาลัย, บอร์ดกองทุน

ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน


#mgronline #ม44 #ราชกิจจานุเบกษา #สภามหาวิทยาลัย #บอร์ดกองทุน #ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน #คสช

 

Gossipสาสุข


เมื่อโรงเรียน/โรงพยาบาลเข้าสู่ตลาดหุ้น ใช่ต้นเหตุความเหลื่อมล้ำ?

•

•

กลายเป็นข้อถกเถียงในวงกว้างถึงความเหมาะสมและจริยธรรม เมื่อบริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB ซึ่งทำธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเพื่อระดมทุนในวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา

•

การที่ SISB เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่เข้าสู่ตลาดหุ้นไทย เรียกเสียงกังวลจากสาธารณชนว่าจะมีสถาบันการศึกษาอื่นเข้าสู่ตลาดหุ้นตามหรือไม่

•

ข้อกังวลหลักพุ่งเป้าไปยังวัตถุประสงค์ของโรงเรียน ที่อาจเปลี่ยนไปมุ่งเน้นแสวงหาผลกำไรสูงสุด แทนที่เน้นพัฒนาการศึกษา แม้ว่าผู้บริหารโรงเรียน นายยิว ฮอคโคว จะยืนยันว่าวัตถุประสงค์ของการนำโรงเรียนเข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นไปเพื่อการระดมทุน และไม่กระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนอย่างแน่นอน

•

กรณีดังกล่าวถูกนำไปเทียบเคียงกับกรณีของการเข้าสู่ตลาดหุ้นของโรงพยาบาลเอกชนในระบบสาธารณสุขไทย

•

โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบด้านความเหลื่อมล้ำ จากการนำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานชีวิตมนุษย์เข้าสู่ตลาดหุ้น

•

การระดมทุนในตลาดหุ้นทำให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถสะสมทุนเพื่อขยายการบริการ ลงทุนกับเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับสูง โรงพยาบาลเอกชนยังมีกำลังเงินดึงดูดแพทย์เฉพาะทางฝีมือดี ต้นทุนการให้บริการสูง ค่ารักษาพยาบาลจึงแพงตาม

•

แต่เป็นที่น่าสนใจว่าแม้โรงพยาบาลเอกชนในไทยได้เข้าสู่ตลาดหุ้นระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนยังถือว่าไม่หนักหนาสาหัส หากเทียบเคียงกับกรณีการนำธุรกิจสุขภาพเข้าสู่ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา

•

อาจมีบ้างที่หมอมือดีจากภาครัฐถูกซื้อตัวไปภาคเอกชน หรือมีกรณีที่ผู้ป่วยร้องเรียนเรื่องค่ารักษาแพง

•

นั่นอาจเพราะมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสิทธิด้านการรักษาพยาบาลอื่นๆรองรับ คนที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาแพงจึงยังมีทางเลือกมาลงที่บริการสาธารณสุขของภาครัฐ คนที่มีเงินก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน

•

ในกรณีของสหรัฐฯ การยกย่องตลาดเสรีเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิดลิเบอรัล นั่นหมายถึงความเชื่อที่ว่าทุกคนมีสิทธิที่จะทำมาหากินอย่างอิสระ คนทำงานหนักก็สามารถรวยได้ รัฐจึงไม่จำเป็นต้องแทรกแทรงตลาด

•

แนวคิดดังกล่าวทำให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้ยาก และยังทำให้ธุรกิจด้านสุขภาพสามารถระดมทุนในตลาดหุ้นได้เต็มที่ ไร้การควบคุมและถ่วงดุล ขณะที่ไทยแม้เข้าสู่ตลาดเสรีเต็มรูปแบบ แต่รัฐยังคงมีบทบาทจัดสวัสดิการให้ประชาชน และเข้าจัดการควบคุมกิจการสุขภาพอยู่บ้าง

•

การเปิดเสรีให้ธุรกิจสุขภาพทำให้ค่ายาและบริการทางการแพทย์ในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นถึง 600 เท่าในช่วงเวลา 3 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังรัฐบาลสหรัฐฯดำเนินการนโยบายเสรีนิยมใหม่

•

ความแปรผันของหุ้นธุรกิจสุขภาพในสหรัฐฯในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบอกเล่าปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพได้เป็นอย่างดี

•

ในเดือน ก.ค. 2558 ราคาหุ้นธุรกิจสุขภาพในภาพรวมพุ่งสูงขึ้นที่เฉลี่ย 75 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะดำเนินนโยบายยกเลิกโอบามาแคร์ในขณะที่กำลังหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

•

อย่างไรก็ตาม เมื่อผลโพลออกมาว่าผู้สมัครชิงตำแหน่ง ฮิลลารี คลินตัน มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้ง หุ้นธุรกิจสุขภาพตกลงเหลือที่ 61 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้นก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน

•

นั่นเพราะคลินตันหนุนโครงการโอบาม่าแคร์ โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายประกันสุขภาพให้แก่ผู้มีรายได้น้อย และยังให้สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาราคายาแพง จึงมีแนวโน้มทำให้ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทขายประกันสุขภาพและบริษัทยามีผลกำไรลดลง

•

เมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอย่างคาดไม่ถึง หุ้นสุขภาพกลายเป็นดาวเด่นในทันที ในปลายปี 2560 ราคาหุ้นพุ่งแตะ 80 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น ภายหลังประธานาธิบดีทรัมป์เซนต์คำสั่งให้ดำเนินการยกเลิกโอบามาแคร์

•

หุ้นสุขภาพยิ่งดูมีอนาคตมากขึ้น เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯประกาศว่าจะลดหย่อนภาษีให้กับธุรกิจสุขภาพ โดยหวังว่าบริษัทข้ามชาติด้านสุขภาพต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทยาที่มีรายได้ในต่างประเทศ จะนำรายได้กลับมาใส่ในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

•

ในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของโรงพยาบาลและบริษัทประกันสุขภาพที่อยู่ภายใต้เครือข่ายโครงการโอบามาแคร์กลับร่วงดิ่ง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลของทรัมป์ให้ข่าวว่ารัฐบาลจะไม่ร่วมจ่ายค่าประกันสุขภาพให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยอีกต่อไป

•

ทำให้ราคาหุ้นของบริษัท Centene ซึ่งสนับสนุนแพคเกจประกันสุขภาพในโครงการ Medicaid ภายใต้โอบามาแคร์ร่วงลง 6% ราคาหุ้นของบริษัทอื่นๆ เช่น Molina Healthcare และ Anthemตกลง 4% และ 3% ตามลำดับ

•

ปรากฏการณ์แปรผันราคาหุ้นนี้บอกอะไรกับเรา?

•

การซื้อขายหุ้นสุขภาพมิได้อิงอยู่กับแนวคิดการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบสุขภาพ หากอยู่กับการหาผลกำไรสูงสุด โดยผู้เล่นหุ้นพร้อมที่จะซื้อหรือเทขายหุ้นเมื่อนโยบายรัฐสร้างผลกระทบต่อการแสวงหาผลกำไร

•

ความสูญเสียในตลาดหุ้นของภาคเอกชน อาจนำไปสู่การล็อบบี้เพื่อให้รัฐดำนเนินนโยบายตลาดเสรี ลดหย่อนระเบียบข้อบังคับเพื่อเอื้อธุรกิจเอกชนทำกำไรได้มากยิ่งขึ้นไปอีก

•

นักวิเคราะห์ทางการเงินพยายามอธิบายว่าการนำระบบสุขภาพเข้าสู่ตลาดหุ้นจะสร้างสวัสดิภาพที่ดีให้กับสังคม เพราะเมื่อหุ้นกระจายไปอยู่ในมือคนทั่วไป ก็ย่อมที่จะสร้างอำนาจการต่อรองกับบริษัทได้

•

แต่นั่นเป็นคำอธิบายเพ้อฝัน เพราะคนที่ซื้อขายหุ้นหลายรายคือผู้เก็งกำไรและนักลงทุนขาเล็กถึงขาใหญ่ ผู้ที่ต้องการอำนาจต่อรองกับบริษัทสุขภาพตัวจริงคือผู้มีรายได้น้อยซึ่งไม่มีกำลังซื้อหุ้นของบริษัท ผู้ถือหุ้นจึงมิใช้ภาพตัวแทนของประชากรที่ต้องการเรียกร้องสวัสดิภาพที่ดีให้กับสังคม

•

เช่นเดียวกันกับระบบการศึกษาในสหรัฐฯ เมื่อเอกชนสามารถทำกำไรจากธุรกิจการศึกษาได้อย่างเสรี ค่าเล่าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยพุ่งสูงขึ้นถึง 1120% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

•

เมื่อไม่มีรัฐสวัสดิการรองรับ บ่อยครั้งที่พบว่านักเรียนสหรัฐฯเป็นหนี้การศึกษา หรือครอบครัวล้มละลายเพราะจำเป็นต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลแสนแพง

•

ในประเทศไทยเองก็มีผู้ที่มีแนวคิดสนับสนุนการเปิดตลาดเสรีให้กับระบบการศึกษาและระบบสุขภาพ หากแต่ยังทำมิได้เต็มที่ เพราะการเกิดขึ้นของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคในปี 2545 ขวางไว้โดยไม่ตั้งใจ ธุรกิจเอกชนจึงไปเน้นกลุ่มลูกค้าคนมีเงินหรือชาวต่างชาติแทน

•

แม้การศึกษาภาครัฐมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าเอกชนอยู่มาก แต่คุณภาพก็ถดถอยตามไปด้วย หรือแม้ระบบสาธารณสุขรัฐที่ให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ก็ยังมีปัญหาด้านคุณภาพการบริการเช่นกัน

•

ซึ่งเรื่องบริการสาธารณสุขในโรงพยาบาลรัฐนี้ ถือว่าเป็นระเบิดเวลา หากไม่เร่งจัดการ อนาคตจะวุ่นวายหนัก เพราะปริมาณความต้องการใช้บริการจะมีมาก ขณะที่ระบบบริการสาธารณสุขจำกัด ทั้งคน เงิน ของ ทุกวันนี้เราจึงได้ยินข่าวกระทบกระทั่งกันของผู้ป่วยและ รพ.รัฐเสมอ

•

สถานการณ์ของระบบบริการสาธารณสุขใน รพ.รัฐของไทยทุกวันนี้เหมือนที่ครั้งหนึ่ง อ.อัมมาร สยามวาลา เคยพูดไว้ตั้งแต่ปี 2015 ว่า

•

“สรุป 10 กว่าปีที่ผ่านมา คนไทยเหมือนได้บริการสุขภาพเท่ากันแต่วิธีการเข้าถึงบริการต่างกันไป 3 วิธี 1.คนรวยใช้เงิน 2.อำมาตย์ใช้เส้น 3.คนจนใช้เวลาแลกกับการเข้าถึงบริการ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เสียเงิน แต่จริงๆ ก็เสียเวลาที่จะเอาไปใช้หาเงินเหมือนกัน”

•

ปัญหาจึงอยู่ที่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการบริการทางการแพทย์ให้ทัดเทียมกับภาคเอกชน พร้อมไปกับการกำกับดูแลเอกชนและรักษาระบบรัฐสวัสดิการไว้ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการเข้าถึงบริการและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในระบบ

•

หรือพูดง่ายๆคือวันหนึ่ง จะต้องไม่มีใครมาพูดได้ว่า “เฉพาะคนมีเงินและอำมาตย์เท่านั้น ที่จะเข้าถึงระบบที่มีคุณภาพได้”


#ตลาดหุ้น #โรงพยาบาลเอกชน

 

Jeerachart Jongsomchai


... "เงินเฟ้อตุรกี ดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน"


... หลังจากเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา "ตุรกี" ประสบกับการมีอัตราเงินเฟ้อสูงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003 หรือในรอบ 15 ปี และมีผลทำให้ตุรกีประสบกับวิกฤติค่าเงินลีร่าตกต่ำ ที่ทำให้หนี้ต่างประเทศสูงขึ้น ราคาสินค้านำเข้าแพงมาก สินค้าส่งขายยากขึ้นเพราะโดนขึ้นภาษีอีก


... ซึ่งมีหลายปัจจัยทั้ง "อเมริกา" ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่ทำให้นักกู้จากตุรกีเเป็นหนี้เพิ่มขึ้นทันที ทำให้นักลงทุนขายเงินลีร่าไปซื้อดอลล่าร์แทน และอเมริกาขึ้นภาษีศุลกากรจากตุรกีโดยอ้างว่า ตุรกีจับกุมนักบวชของเขา ที่ตุรกีบอกว่าเป็นพวกมาป่วนในตอนรัฐประหารในปี 2016


... หลังจากนั้น ตุรกีก็ขอกู้เงินและดึงนักลงทุนจาก "จีน" มากขึ้น มาชดเชยเงินที่ไหลออก ทำให้มีเงินมาไหลเวียนในประเทศมากขึ้น ทำให้สถานการณืดีขึ้น จนในเดือนพศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา เงินเฟ้อของตุรกีต่ำลงแล้ว จาก 5.24 % มาเป็น 21.62 % โดยปัจจัยที่ส่งเสริมคือ ค่าการขนส่งมวลชนลดลง 6.46% รวมทั้งราคาสินค้าในครัวเรือน ค่าการบันเทิงและวัฒนธรรมก็ลดลง 2.85 % และ 2.08 % ตามลำดับ แต่บางอย่างก็ยังสูงกว่าเดิม ราคาไม่ลงมา เช่น ค่าเสื้อผ้า รองเท้าและร่ารักษษสุขภาพ แต่โดยภสพรวมก็ดีขึ้น


... ตอนนี้ตุรกีพยายามจะให้ประชาชนเอาทองคำไปซื้อเงินลีร่าและเอาเงินดอลล่าร์ขายทิ้งไปซื้อเงินลีร่าแทน รวมทั้งพยายามจะไม่ใช้เงินดอลล่าร์ในการซื้อขายระหว่างประเทศด้วย


.


... ISTANBUL, Dec. 3 (Xinhua) -- Turkey's annual inflation fell to 21.62 percent in November, mainly driven by plunging prices in transportation, according to data released on Monday.


On a monthly basis, the costs of transportation declined by 6.46 percent in November, show the figures released by the Turkish Statistical Institute.


Meanwhile, the prices related to household goods and entertainment and culture dropped by 2.85 percent and 2.08 percent respectively.


In November, the costs of clothing and footwear grew by 2.37 percent, while the health expenses increased by 0.57 percent.


Turkey's inflation hit 25.24 percent in October, the highest since 2003.


http://www.xinhuanet.com/english/2018-12/03/c_137648145.htm

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Dec 11) สื่อตีข่าวจีนเตรียมหั่นภาษีรถยนต์สหรัฐเหลือ 15% จากปัจจุบัน 40%: สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลจีนกำลังเตรียมดำเนินการปรับลดอัตราภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ หลังจากที่เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนได้หารือกันทางโทรศัพท์ในวันนี้


แหล่งข่าวระบุว่า คณะรัฐมนตรีจีนเตรียมพิจารณาข้อเสนอปรับลดอัตราภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ ลงสู่ระดับ 15% จากปัจจุบันที่ระดับ 40%


ทั้งนี้ จีนได้ปรับขึ้นอัตราภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐสู่ระดับ 40% ในเดือนก.ค.เพื่อตอบโต้มาตรการปรับขึ้นอัตราภาษีของทางสหรัฐ


รายงานข่าวจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กสอดคล้องกับข้อความในทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งระบุก่อนหน้านี้ว่า จีนได้ตกลงที่จะปรับลดภาษีรถยนต์สหรัฐจากระดับ 40%


Source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


https://www.reuters.com/article/us-...on-u-s-car-tariff-cut-bloomberg-idUSKBN1OA1AC

 

ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


#ประกาศ.. แจ้งเตือนจะมีน้ำล้นตลิ่งจากคลองบางสะพานเข้าท่วมพื้นที่ริมน้ำและลุ่มต่ำบางสะพาน ในวันที่ 10 ธันวาคม 2561 เวลาประมาณ 23.00 น. ขอให้ประชาชนเคลื่อนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงและติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด

 

วัณณา มีคล้าย


กพร. ชี้ไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์คุณภาพสูง- วัตถุดิบผลิตเซลล์แสงอาทิตย์กว่า 25 ล้านตัน

เขียนวันที่ วันจันทร์ ที่ 05 ธันวาคม 2559


กพร. ยันไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์คุณภาพสูงกว่า 25 ล้านตัน ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1 ล้านเมกกะวัตต์ หรือ 34 เท่าของความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของประเทศปี 2559


นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวถึง แร่ควอตซ์ นับเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สำคัญในอุตสาหกรรมซิลิกอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์(Solar Cell) ในการผลิตพลังงานไฟฟ้ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบกิจการแร่เล็งเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพของแร่ควอตซ์คุณภาพสูงมากพอที่จะผลักดันสู่การนำไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ โดยมีเป้าหมายในการใช้แร่ควอตซ์คุณภาพสูงเป็นวัตถุดิบในการผลิตซิลิกอนเกรดแสงอาทิตย์ (Solar Grade Silicon)


"ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีอุตสาหกรรมผลิตซิลิกอนเกรดแสงอาทิตย์ มีเพียงการผลิตซิลิกอน เกรดโลหกรรม (Metallurgical Grade Silicon) ซึ่งถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมหล่อโลหะผสมอะลูมิเนียมสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมเคมีเพื่อผลิตซิลิโคนเท่านั้น"


นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์คุณภาพสูงกว่า 25 ล้านตัน ซึ่งจะสามารถผลิตซิลิกอนความบริสุทธิ์สูงได้ประมาณ 6 ล้านตันและสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1 ล้านเมกกะวัตต์ หรือประมาณ 34 เท่าของความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทยและสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยได้ไม่น้อยกว่า3.6-4.5 ล้านล้านบาทซึ่งยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Hi-technology) และมีมูลค่าสูงในประเทศ


สำหรับพื้นที่ที่พบว่า เป็นแหล่งแร่ควอตซ์ในประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีปริมาณ 9.97 แสนตันเพชรบุรี มีปริมาณ 9.7 หมื่นตันสระแก้ว มีปริมาณ4 แสนตันระยอง มีปริมาณ7.56 ล้านตันจันทบุรี มีปริมาณ2 หมื่นตัน และราชบุรีมีปริมาณ 16 ล้านตัน


จากข่าว https://www.isranews.org/thaireform/thaireform-news/item/52296-quartz.html

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว แต่ละธนาคารแห่ลดสาขากันรึ่มๆ โดยล่าสุด #SCB ปิดแล้ว 140 สาขาในปีนี้ #เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปทำธุรกรรมบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น จากการยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านทางดิจิทัล


ชี้ชัด เป็นเรื่องดีในการปิดสาขาทั้ง 140 แห่ง เพราะสามารถยกระดับพนักงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ 2,000 คน เชื่อว่ากลยุทธ์การปรับลดสาขาให้เหมาะสม บวกกับการพัฒนาเทคโนโลยี และการใช้ดาต้าเสริมทัพ #ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มและลดต้นทุนแบงก์ได้


Source : smartsme - https://bit.ly/2C4A94j


โดยเรื่องนี้ นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุดลูกค้าบุคคลและผู้บริหารสูงสุดเครือข่ายสาขา ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยถึงภาพรวมการทำธุรกรรมผ่านสาขาที่มีอยู่ราว 10 ล้านรายการต่อเดือน ว่า ลดลงกว่า 20% จากปกติ 13 ล้านรายการต่อเดือน โดยส่วนหนึ่งมาจากสาขาที่ลดลงในปี 61 กว่า 140 สาขา แต่หากไม่นับสาขาที่หายไป ภาพรวมการทำธุรกรรมก็ยังลดลงสูงอยู่ถึง 16 - 17%


ทั้งนี้ ในปี 62 หากยังเห็นจำนวนธุรกรรมลดลงอยู่ 10-15% ก็อาจลดสาขา 100-125 แห่ง เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปทำธุรกรรมบนสมาร์ทโฟนมากขึ้น จากการยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านทางดิจิทัล


"โดยแผนปีหน้าจะปรับปรุงการให้บริการสาขา แบ่งรูปแบบสำหรับ 3 กลุ่มอย่างชัดเจน ได้แก่ สาขาเวลธ์ 100 แห่ง สาขาเอสเอ็มอี 250 แห่ง และส่วนที่เหลือเป็นสาขารายย่อย #ไทยพาณิชย์ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาลดสาขา #ทุกอย่างเกิดจากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป ส่วนเป้าที่จะเหลือ 400 สาขาในปี 64 หรือไม่ #ยังไม่รู้อนาคต เพราะตัวเลขที่วางไว้เป็นเพียงโจทย์แรกเพื่อกำหนดทิศทางการก้าวเดินเท่านั้น" นายสารัชต์ ระบุ.

 

คิดว่าท่านจริงจังกับการแก้ไขปัญหาทุจริตแค่ไหน

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว เป็นคำสั่งที่บอกได้ว่า #สุขสว่างกระจ่างใจมล ของจริง!! เมื่อ 'บิ๊กตู่' พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี งัดม.44 แก้กฎหมาย ปปช. ยกเลิก ให้กรรมการสภามหาวิทยาลัย-บอร์ดกองทุน #ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการ ปปช. เหตุส่งผลให้การบริหารจัดการภายในหน่วยงานบางแห่งประสบปัญหา #เฮสิคะรออะไร #ฟ้าผ่ากลางวันแดดเปรี้ยงๆ


Source : https://www.springnews.co.th/politics/400151?sp


โดยล่าสุด ราชกิจานุเบกษาเผยเเพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑ /๒๕๖๑ เรื่อง #การแก้ไขเพิ่มเติม #กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต


ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะมายังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ #เกี่ยวกับประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๖๑ #ที่กำหนดให้กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐทุกแห่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะการกำหนดตำแหน่งตามมาตรา ๑๐๒ (๗) ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงซึ่งได้มีการนิยามความหมายไว้ในมาตรา ๔ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงหมายความรวมถึง #กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐ จึงส่งผลให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. #ไม่สามารถใช้ดุลพินิจกำหนดตำแหน่งเฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงได้ แต่เนื่องจากการที่ประกาศดังกล่าวกำหนดให้กรรมการและผู้บริหารสูงสุดในหน่วยงานอื่นของรัฐทุกแห่ง ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. #ได้ส่งผลให้การบริหารจัดการภายในหน่วยงานบางแห่งประสบปัญหา


ดังนั้น #เพื่อให้การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน รวมถึง #การป้องกันการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม #เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล และ #เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งควรให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในการพิจารณาใช้ดุลยพินิจกำหนดตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอันเป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย


อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๖๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้


ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง” ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน #ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง หมายความว่า ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำหรับข้าราชการพลเรือน และปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ สำหรับข้าราชการทหาร และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และให้หมายความรวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดกรุงเทพมหานคร กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หัวหน้าหน่วยงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่รวมถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด หรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ”


ข้อ ๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ #ในกรณีที่มีปัญหาการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการตีความและวินิจฉัย ทั้งนี้ มติในการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่


ข้อ ๓ ให้ยกเลิกข้อ ๕ แห่งประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๖๑


ข้อ ๔ เพื่อประโยชน์ของการกำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ให้สำนักงาน ป.ป.ช. เร่งดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสียใหม่ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนี้เสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อประกาศใช้ต่อไป


ข้อ ๕ ในกรณีที่เห็นสมควร #นายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้


ข้อ ๖ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจำนุเบกษาเป็นต้นไป


สั่ง ณ วันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว สำหรับบ้านเราคงแปลกที่ใช้วิธีนี้ในการลดเครียดของคน แต่เราก็ไม่อาจรู้จริงได้ว่า คนบ้านเขาจะต้องเครียดกันเบอร์ไหนถึงเลือกการ 'ติดคุก' แทนการใช้ชีวิตอิสระ เพียงเพื่อต้องการค้นพบอิสรภาพ-ปลดแอกจากความคาดหวังและความกดดันเรื่องงานและความสำเร็จด้านการศึกษา


#อัตราการฆ่าตัวตายของเกาหลีใต้นับว่าสูงมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก (สูงกว่าในสหรัฐฯถึงเท่าตัว) โดยชาวเกาหลีจะทำงานโดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 68 ชั่วโมง หรือเท่ากับ 6 วันต่อสัปดาห์ วันละกว่า 11 ชั่วโมง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวเกาหลีใต้กลุ่มหนึ่ง #ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานในออฟฟิศและนักเรียน ยอมจ่ายเงินในราว 3,000 บาท #เพื่อหลีกหนีความกดดันจากโลกภายนอกและเข้าไปใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ในคุกจำลอง


Source : voathai - https://bit.ly/2QGEGlx


อนึ่ง #เรือนจำหรือคุกจำลองเพื่อปรับภาวะจิตใจ มีชื่อเรียกกันว่า 'Prison Inside You' หรือคุกในตัวคุณ เปิดมาตั้งแต่ปี 2556 แต่ลักษณะพิเศษของคุกดังกล่าวคือ #เป็นเรือนจำจำลอง ซึ่งนักโทษผู้สมัครใจที่เข้าไปใช้ชีวิตต้องจ่ายเงิน 90 ดอลลาร์ หรือราว 3000 บาทไทย เพื่อเข้าไปใช้บริการ 24 ชั่วโมง


โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีชาวเกาหลีใต้กว่า 2,000 คน #ยอมจ่ายเงินเพื่อเข้าไปใช้ชีวิตในห้องขังขนาดพื้นที่เพียงห้าตารางเมตร นอนกับพื้น กินแค่โจ๊กเป็นอาหารเช้า และถูกห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมทั้งของใช้ส่วนตัว เช่น นาฬิกา #แถมยังมีการนำกฎระเบียบของเรือนจำมาใช้อย่างเข้มงวดอีกด้วย


เรื่องนี้ โน จี ยาง ผู้ร่วมก่อตั้งคุกจำลองดังกล่าวเปิดเผยว่า ได้แนวคิดเรื่องนี้จากการที่สามีของเธอซึ่งเป็นนักกฎหมายต้องใช้เวลากับงานถึงอาทิตย์ละ 100 ชั่วโมง จนสามีเคยบ่นว่าอยากจะขอหยุดโลกหยุดงานไว้ก่อนและใช้ชีวิตตามลำพังสักอาทิตย์ เพื่อให้ได้พักผ่อนและชาร์จแบตเตอรี่ชีวิตอย่างแท้จริง


"ในตอนแรก นักโทษอาสาสมัครส่วนใหญ่มักไม่ค่อยแน่ใจว่าจะได้อะไรหลังจากเดินออกจากคุกไป แต่เมื่อได้เข้ามาลองสัมผัสชีวิตแบบสันโดษและสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริง เพื่อสร้างอิสรภาพและปลดปล่อยจิตใจตนเอง คนเหล่านี้มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า #คุกที่แท้จริงคือชีวิตและเงื่อนไขที่เรานำมาสวมใส่ให้กับตัวเองต่างหาก" โน จี ยาง ทิ้งท้าย.

 

รายได้น่าจะหายไปประมาณร้อยละ 18 ของรายได้รวม

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว ต้องบอกว่าไงดี #แค้นนี้ต้องชำระ ถูกมะ!!? เมื่อล่าสุด ศาลจีนมีคำสั่งห้ามขายไอโฟนในจีน #อ้างมีปัญหาด้านสิทธิบัตรระหว่างบริษัทควอลคอมม์และแอปเปิล วงในคาด #จีนโต้ตอบปมลูกสาวผู้ก่อตั้งหัวเว่ยถูกจับ ด้านแอปเปิลแถลงด่วน โทรศัพท์ของแอปเปิลยังมีวางขายอยู่ในจีน


คำแถลงของศาลประชาชนชั้นกลาง (Intermediate People's Court) เมืองฝูโจว #เป็นการอนุมัติคำร้อง ของ 'ควอลคอมม์ อิงค์' บริษัทผลิตสารกึ่งตัวนำ หรือชิป สัญชาติอเมริกัน สำหรับขอให้ออกคำสั่งชั่วคราวถึงบริษัทย่อย 4 แห่งของแอปเปิล #ให้พวกเขาหยุดจำหน่าย ไอโฟน6S, ไอโฟน 6S Plus, ไอโฟน 7, ไอโฟน 7 Plus, ไอโฟน 8, ไอโฟน 8 Plus และ ไอโฟน X ในจีน ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุด #ในข้อพิพาทยืดเยื้อเกี่ยวกับปัญหาสิทธิบัตรและค่าลิขสิทธิ์ระหว่าง2เทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต่อสู้กันในหลายศาลและในองค์กรบริหารต่างๆ ทั่วโลก


Source : tnnthailand - https://bit.ly/2RQtO1Q


อนึ่ง ศาลระบุว่า แอปเปิลมีการละเมิดสิทธิบัตร 2 ฉบับของควอลคอมม์ในการทำให้ผู้ใช้สามารถปรับขนาดภาพและจัดการแอปพลิเคชั่นโดยการใช้ทัชสกรีน อย่างไรก็ดี แอปเปิลระบุว่า #คำสั่งศาลดังกล่าวมีผลบังคับใช้ต่อไอโฟนซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการแบบเก่า แต่ขณะนี้ไอโฟนที่มีการจำหน่ายในตลาด มีการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 12 ซึ่งไม่ได้มีการละเมิดสิทธิบัตรของควอลคอมม์


อย่างไรก็ตาม คำสั่งของศาลเมื่อจันทร์ #ยังมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าที่ร้อนระอุระหว่างสหรัฐกับจีน และเหตุจับกุมตัว 'เมิ่ง หว่านโจว' ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน หรือ CFO และบุตรสาวผู้ก่อตั้ง #หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนในแคนาดาตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ #จีนมีปฏิกิริยาที่ไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อการจับกุมเมิ่ง ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาสมรู่ร่วมคิดฉ้อฉลสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมทั้งเกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมกับอิหร่าน #เข้าข่ายละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ


$จีนกลายเป็นตลาดสำคัญของแอปเปิลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ ไชนา โมบายล์ ตกลงเริ่มเป็นผู้แทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนแก่แอปเปิล รายงานผลประกอบการรายไตรมาสของแอปเปิลเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ตลาดจีนซึ่งรวมทั้งไต้หวันและฮ่องกง สร้างรายได้ให้แอปเปิลถึง 11,000 ล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 18 ในรายได้รวมของบริษัท.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว ใกล้ปีใหม่!! หลายคนเตรียมแพ็คกระเป๋ากลับไปเยี่ยมบ้าน โดยล่าสุด บขส.ประกาศความมั่นใจ #ปีนี้ไม่มีตกค้างแม้ตั๋วเต็มหมดแล้ว เตรียมรถเสริมไว้เพียบ รองรับผู้โดยสารได้ 200,000 คน พร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาทั้งขาไปและขากลับตั้งแต่ 27 ธ.ค.61-3 ม.ค.62 โดยเตรียมรถโดยสารไว้แล้วกว่า 16,707 เที่ยว พร้อมกันนี้ ยังเตรียมรถโดยสารไม่ประจำทางเสริมอีกกว่า 800-900 คัน รับผู้โดยสารที่จะเดินทางออกต่างจังหวัดช่วงวันที่ 28-29 ธ.ค.ด้วย


Source : thaiquote - https://bit.ly/2PnjeNI


นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า คาดว่าช่วงวันที่ 27-30 ธ.ค.61 จะมีผู้โดยสารเดินทางออกจาก กทม.มากกว่าปกติ จึงได้เตรียมจัดรถเพิ่มเติมจากปกติที่มี 6,195 เที่ยวต่อวัน เพิ่มเป็น 8,289 เที่ยว หรือเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2,094 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้ถึงวันละ 173,000 คน และยังเตรียมรถเสริมไว้รองรับด้วย ส่วนเที่ยวขากลับวันที่ 1-3 ม.ค.62 บขส.ได้จัดเที่ยววิ่งจากปกติ 6,132 เที่ยวต่อวัน เพิ่มเที่ยวเสริมอีก 2,284 เที่ยว รวม 8,416 เที่ยว รับผู้โดยสารได้ถึงวันละ 162,482 คน โดยเที่ยวขากลับคาดว่าผู้โดยสารจะเดินทางด้วยรถตู้จำนวนมาก บขส.จึงได้ให้ผู้ประกอบการรถตู้ที่มีความพร้อมแจ้งความประสงค์นำรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถ 30) มาวิ่งเสริมได้


"ส่วนการเปิดจองขายตั๋วเดินทางล่วงหน้าของ บขส.นั้น #ขณะนี้ตั๋วเต็มทุกที่นั่งแล้ว หากประชาชนจะเดินทางยังมาซื้อตั๋วในวันเดินทางได้อยู่ เพราะจะมีรถเสริมตลอดเวลา #ไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้างเด็ดขาด และเพื่อลดความแออัดบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 ทาง บขส.ได้จัดแผนการเดินรถเฉพาะรถโดยสาร บขส. ดังนี้


ผู้โดยสารที่จองตั๋วล่วงหน้าเส้นทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉพาะรถปรับอากาศชั้น 1 และรถวีไอพี บขส.วันที่ 27-29 ธ.ค.61 ตั้งแต่เวลา 17.30-22.00 น.ให้ไปขึ้นรถที่กรมการขนส่งทางบก #จัดรถตู้ไว้บริการรับส่งฟรี


ผู้โดยสารที่จองตั๋วโดยสารรถปรับอากาศชั้น 2 ขึ้นรถที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 เช่นเดียวกับผู้โดยสารที่ไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้าให้มาซื้อตั๋วและขึ้นรถเที่ยวเสริมที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 เช่นกัน


อย่างไรก็ตาม #หากพบมีการขายตั๋วเกินราคาหรือพบรถโดยสารบรรทุกเกินกว่าจำนวนที่นั่ง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ที่จุดรับเรื่องร้องเรียนบริเวณประชาสัมพันธ์ชั้น 1 และชั้น 3 สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือ Call Center 1490 ตลอด 24 ชั่วโมง


ผู้ประกอบการที่ขายตั๋วเกินราคาจะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 บาทจนถึงโทษสูงสุดยกเลิกสัญญา ส่วนกรณีบรรทุกเกินน้ำหนักจะถูกปรับทันที 5,000 บาท.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว น่ายินดีที่ทั่วโลกต่างระดมกำลังต้านโลกร้อน!! โดยล่าสุด บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด Climate Investment Opportunities in Cities ซึ่งระบุว่า ภายในปี 2030 จะมีโอกาสหรือช่องทางในการลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศ #ในประเทศภูมิภาคเอเชีย มากกว่า 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 640 ล้านล้านบาท


สำหรับภาพรวมในระดับโลก #อาคารสีเขียว จะสร้างโอกาสในการลงทุนราว 24.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ #อีกส่วนที่มีศักยภาพสำคัญในการลงทุนคือการขนส่งคาร์บอนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือยานยนต์ไฟฟ้า 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันโอกาสการลงทุนในภาคอื่นๆ เช่น พลังงานสะอาด 8.42 แสนล้านเหรียญสหรัฐ การจัดการน้ำ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และของเสีย 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ #ล้วนยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน


Source : สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม - https://bit.ly/2QFKDPu


ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวได้ทำการวิเคราะห์เป้าหมายและแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ จากหลากหลายเมืองใน 6 ภูมิภาคทั่วโลก เพื่อวิเคราะห์โอกาสในการลงทุนผ่านภาคที่สำคัญ โดยเมื่อประเมินจากแผน นโยบายและโครงการต่างๆ แล้วพบว่า #เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการลงทุนมากกว่าภูมิภาคอื่นๆในโลก โดยเฉพาะโอกาสในการลงทุนด้านอาคารสีเขียว ที่จะมีมากที่สุดถึงประมาณ 17.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2030 จากการเพิ่มขึ้นของประชากรที่อยู่อาศัยในเขตเมืองของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกว่า 1.2 พันล้านคน ภายใน 35 ปี


"#การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน ส่วนใดที่มีความหมายต้องทำโดยทันที ซึ่งแต่ละเมืองนี่เองที่จะเป็นด่านหน้าต่อไปในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยช่องทางในการลงทุนมากกว่าล้านล้านเหรียญสหรัฐที่ยังรอคอยอยู่ และเพื่อสร้างเมืองที่ปรับตัวเท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศตามที่ได้สัญญาไว้ #ภาครัฐควรปรับปรุงกฎหมายเพื่อมุ่งเน้นดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนให้มากขึ้น" Philippe Le Houérou ซีอีโอของ IFC กล่าว


โอกาสในการลงทุนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเกิดขึ้นในภาคส่วน

- อาคารสีเขียว 17.8 ล้านล้านเหรียญ

- ของเสีย 1.04 แสนล้านเหรียญ

- ขนส่งมวลชน 3.52 แสนล้านเหรียญ

- พลังงานหมุนเวียน 4.07 แสนล้านเหรียญ

- การจัดการน้ำ 5.71 แสนล้านเหรียญ

- ยานยนต์ไฟฟ้า 7.83 แสนล้านเหรียญ.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว คลอดแล้วจ้า!! #ผ่านร่างกฎหมายเก็บภาษีขายออนไลน์ ทำธุรกรรมทางการเงินเกิน 3,000 ครั้ง/ปี หรือฝาก-โอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 200 ครั้งต่อปี รวมมูลค่า 2,000,000 บาทต่อปีขึ้นไป #ต้องได้รับการตรวจสอบจากสรรพากร #เพื่อนำไปสู่การจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ


#ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเก็บภาษีคนขายของออนไลน์ แต่เป็นการจัดเก็บภาษีให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจากตัวเลขระบุว่ามีกลุ่มใช้แรงงานที่มีอายุระหว่าง 30-39 ปี จำนวน 10.7 ล้านคน ซึ่งในกลุ่มดังกล่าวมีเงินเดือนประจำ 8.2 ล้านคน แต่มีการยื่นภาษีเพียง 5.2 แสนราย ส่วนนิติบุคคลมีจำนวน 6.4 แสนราย ยื่นเสียภาษี 4.2 แสนราย #กฎหมายนี้จะเป็นผลดีในเรื่องการตรวจสอบพร้อมทั้งป้องกันธุรกิจสีเทาอีกด้วย.


Source : https://www.smartsme.co.th/content/...zTjH_xcSY-SPtYvGZ-E4dRxja0pdTcKk-KV14lnPZb3lg

 

ฝันดีครับ

Bank of Thailand Scholarship Students


(Dec 11) รายงาน: 'เฟด' ชะลอขึ้นดอกเบี้ย ? หลังจากที่ได้เพียรพยายามโจมตีธนาคารกลางสหรัฐมาเป็นเวลาหลายเดือนเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย ความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใกล้จะประสบความสำเร็จเสียที โดยในขณะนี้เริ่มมีวี่แววมากขึ้นว่าเฟดอาจจะชะลอขึ้นดอกเบี้ย



มีรายงานจากวอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า ธนาคารกลางสหรัฐกำลังพิจารณาว่าจะส่งสัญญาณว่าจะรอดูสถานการณ์ที่จะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อมีการประชุมในเดือนนี้หรือไม่ และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐไม่รู้ว่าจะเคลื่อนไหวเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยอย่างไรหลังเดือนธันวาคมไปแล้ว



วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า ตามส่วนหนึ่งของแผน “พึ่งข้อมูล” ที่เฟดทำขึ้นมาใหม่ เฟดอาจเลือกที่จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.25% ตามที่ทำเป็นประจำและไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม



หลังจากมีรายงานนี้ ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งได้ดิ่งลงไปเกือบ 800 จุดในช่วงก่อนหน้า ก็สามารถปิดตลาดในวันพฤหัสบดีได้ดีขึ้น โดยปรับตัวลงเพียง 79.40 จุด ปิดที่ระดับ 24,947.67 จุด



เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอในช่วงสองปีที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวเพียงพอ โดยไม่ต้องคงดอกเบี้ยไว้ที่ศูนย์เปอร์เซ็นต์อีกต่อไป หลังจากที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับนั้นมาเกือบทศวรรษนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงิน



แต่เนื่องจากการเติบโตทั่วโลกกำลังชะลอตัวลง ความตึงเครียดทางการค้ากำลังร้อนฉ่า และผลกระทบของนโยบายของเฟดเองเริ่มจะหยุดชะงัก ธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะแสดงท่าทีอย่างระมัดระวังมากขึ้นที่จะประมาณการเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย นอกเหนือจากที่มีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในเดือนนี้



พูดง่าย ๆ ก็คือ เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยหากการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐเย็นลง แต่นั่นอาจจะไม่ใช่อย่างที่ทรัมป์มอง โดยเขาเคยพูดว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพราะคิดว่าเศรษฐกิจอเมริกาดีเกินไป



นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์หลาย ๆ คนได้ออกมาเตือนแล้วว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะชะลอตัวลงในปีหน้าแม้ว่าอาจจะไม่ถึงกับเข้าสู่ภาวะถดถอย



คำถามจึงอยู่ที่ว่า เฟดควรจะปรับนโยบายต่อการชะลอตัวนั้นอย่างไร และมากและรวดเร็วเพียงไร ?



แต่ไม่ว่าเฟดจะเดินไปในทางใด ทรัมป์ก็ไม่น่าจะพอใจ หากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวในอัตราปัจจุบัน ทรัมป์ก็คงจะวิจารณ์การขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีก แต่หากเศรษฐกิจชะลอตัวลง ทรัมป์ก็น่าจะโทษเฟดอยู่ดี ซึ่งเขาได้กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า นโยบายของเฟดทำให้ตลาดหุ้นดิ่ง



คนที่รู้จัก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ บอกว่า พาวเวลล์จะทำอะไรก็ตามที่คิดว่าดีต่อเศรษฐกิจ โดยจะไม่ยอมก้มหัวให้กับการโจมตีจากประธานาธิบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาวเวลล์เป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อความน่าเชื่อถือในระยะยาวของเฟดในฐานะที่เป็นสถาบันที่เป็นอิสระจากแรงกดดันทางการเมือง



ทรัมป์ได้หาว่าเฟด “บ้า” และในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้กล่าวว่า เขาไม่พอใจแม้แต่น้อยกับการแต่งตั้งเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งได้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วสามครั้งนับตั้งแต่มารับตำแหน่งเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์



ท่าทีของทรัมป์ได้อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่พาวเวลล์ปราศรัยเมื่อสองสัปดาห์ก่อน และตลาดตีความว่าเป็นสัญญาณว่าเฟดจะหยุดรณรงค์ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด



อย่างไรก็ดี เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างแน่นอนอีกครั้งหลังการประชุมในวันที่ 18-19 ธันวาคมนี้ และการปราศรัยของพาวเวลล์ตั้งใจที่จะย้ำเป็นส่วนใหญ่ว่า การขึ้นดอกเบี้ยสามครั้งในปีหน้าตามที่เฟดได้คาดการณ์ไว้จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ



จอห์น วิลเลี่ยม ประธานธนาคารกลางสหรัฐสาขานิวยอร์กก็ได้ออกมาย้ำถึงความพร้อมของเฟดที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ยว่า ขึ้นอยู่กับว่าเฟดมองว่าเศรษฐกิจจะเดินไปทางไหน



ในท้ายที่สุดแล้ว เฟดและทรัมป์คงจะมองเศรษฐกิจแตกต่างกันในเชิงพื้นฐาน ในขณะที่เป้าหมายของคณะบริหารคือต้องทำให้การเติบโตอยู่ที่ 3% อย่างยั่งยืน ธนาคารกลางสหรัฐไม่คิดว่าเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรักษาอัตราการเติบโตนั้นไว้ได้โดยไม่ก่อเงินเฟ้อ



ดังนั้นหากเศรษฐกิจโตใกล้เป้าหมายของคณะบริหารเหมือนเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากการลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล เฟดน่าจะยังขึ้นดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง



การขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะถดถอย ซึ่งเคยมีตัวอย่างให้เห็นมาเพียงพอแล้ว ในวงจรการขึ้นดอกเบี้ย 13 วงจรนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง มี 10 วงจรที่เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยซึ่งย้ำให้เห็นว่าเฟดจำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อข้อมูลใหม่



นอกเหนือจากปัญหาภายในประเทศอย่างเช่นเรื่องสงครามการค้า การแข็งค่าของดอลลาร์ และแนวโน้มที่จะมีการต่อสู้เรื่องการกู้ยืมในสภาคองเกรส ธนาคารกลางสหรัฐต้องจับตามองผลกระทบจากการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ปัญหางบประมาณในอิตาลี และการขยายตัวที่ลดลงของเศรษฐกิจจีนด้วย



ยังไม่แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐจะส่งสัญญาณอย่างไรในสัปดาห์หน้า แต่ตามความเห็นของคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เฟดน่าจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยเมื่อพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจ



ถ้าเป็นอย่างที่บอสหญิงไอเอ็มเอฟว่า ความพยายามของทรัมป์ในการโจมตีเฟดก็น่าจะเห็นผลเสียที แต่ไม่ได้เป็นเพราะเขากดดัน แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวต่างหาก


Source: ข่าวหุ้น


- Fed Weighs Wait-and-See Approach on Future Rate Increases

https://www.wsj.com/articles/restra...or-quarterly-rate-increase-pattern-1544127856

 

สัญญาณมหากลียุค Signs of the end in Current Events


แท่นบูชาที่เตรียมไว้สำหรับวัดสาม!

ในวันสุดท้ายของ HANUKKAH ซึ่งแปลว่า "การอุทิศ" - อิสราเอลได้เตรียมแท่นบูชาใหม่ไว้เพื่อใช้ในวิหารที่สามที่ยังไม่ได้สร้าง (กำลังจะสร้าง)

https://m.jpost.com/Israel-News/Tem...OCpgv5IP5BUOOj_WrM2j9ZsmeztQVDMzDTdNADGwQlQ3U


อิสราเอลเริ่มเตรียมแท่นบูชา?

ในสงครามซีเรียมีการขโมยซุ้มประตูพระบาอัล และในปัจจุบันที่สหราชอาณาจักร-สหรัฐฯ รวมถึงสถานที่ประชุมของผู้นำระดับโลกที่ผ่านมา ได้เคยตั้งซุ้ม "พระบาอัล" เพื่อกิจกรรมบางอย่างของสังคมของชนชั้น และในอดีต (อาจจะรวมปัจจุบัน) มีการใช้แท่นบูชาเพื่อประกอบพิธีกรรมที่น่าสยดสยองโดยการบูชายัญมนุษย์หรือกระทั่งเด็ก ๆ

* เมื่อกษัตริย์อิสราเอลบางองค์ละทิ้งพระยะโฮวา พวกเขาสร้าง "แท่นบูชา" สำหรับพระเจ้าของพวกนอกรีต เช่น พระบาอัล! (1 กษัตริย์ 16:29-32) #พระบาอัล


ที่โยฮัน 4:21, 23, ล.ม กล่าวว่า " ศาสนาคริสเตียนตั้งอยู่บนหลักการอันจะเป็นที่ยอมรับและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทั่วทุกหนแห่ง จึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ อีกต่อไปที่จะต้องมีนครศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินโลก หรือมีพระวิหารจริง ๆ พร้อมกับแท่นบูชา อีกทั้งไม่ต้องมีปุโรหิตที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นชนชั้นพิเศษที่แต่งกายด้วยชุดที่ต่างไปจากคนอื่น"

พระเยซูตรัสไว้ว่า “จะมีเวลาที่พวกเจ้าจะมิได้นมัสการพระบิดาที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเลม ผู้นมัสการแท้ทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง.”


* สรุป ไม่จำเป็นต้องมีแท่นบูชาและไม่จำเป็นต้องมีนครศักดิ์สิทธิ์! แต่ข่าวทางเลือกบอกไว้ว่าโกลบอลลิสต์กำลังสร้างอิสราเอลเป็นนครศูนย์กลางของโลก และสิ่งที่กำลังเป็นคือการเตรียมแท่นเพื่อวัดสาม!


การสร้างวัดสามหมายถึงสัญญาณสิ้นสุดยุค! (ตามที่ไบเบิ้ล) เมื่อแหงนมองฟ้าเราพบว่าเหตุการณ์ร้อน (ทั่วโลก) สอดคล้องกับการมาของพลูโตและฮามอร์นิคบรรจบที่กำลังแสดง "สิ่งเลวร้ายออกมาให้ปรากฏ" แล้วในท้ายสุดจะแทนด้วยสิ่งดี.


พิจารณาสิ่งต่างๆที่ได้เกิด!

 

Severe Weather Europe


การพาความร้อนที่ล้ำลึกข้างหลัง montegranaro, marche, เซ็นทรัล อิตาลี เมื่อเย็นวาน วันที่ 10 เดือนธันวาคม 2561. รายงาน: Meteo Macerata e provincia-ขอบคุณสำหรับรายงาน (Y)

 

เกรียน BRN


#โจรใต้ตายในเรือนจำ

มีบางเพจบิดเบือนข้อมูลในโลกออนไลน์ว่าเจ้าหน้าที่สยาม/ไทย วางยานายอารซู เวาะงอย นักโทษคดีความมั่นคงเสียชีวิต เมื่อ 06/12/61 ณ โรงพยาบาลนราธิวาสศรีนครินทร์ เกิดกระแสไม่พอใจเจ้าหน้าที่รัฐ

ทางญาติเรียกร้องความเป็นธรรมให้ทางหน่วยงานรัฐออกมาชี้แจงกรณีการเสียชีวิตของนายอารซู เวาะงอยนี้


นายอารซู เวาะงอย จำคุก 2 ปี ข้อหาอั่งยี่ เรือนจำนราธิวาส มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง ป่วยเป็นวัณโรคปอด เข้ารักษาตัวเมื่อ 17 พ.ย.61 ณ โรงพยาบาลนราธิวาสฯ ระหว่างเข้ารับการรักษา วันที่เสียชีวิตได้เกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลว ภาวะไตวายเรื้อรัง และมีภาวะติดเชื้อในปอดรุนแรง นายอารซูฯ ได้เสียชีวิตในเวลา 21.18 น. เมื่อ 6 ธ.ค.61

 

ข่าวต่างประเทศ


ข่าวไทยที่รายงานโดย Japan Today


นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น โดนลวงให้มาเที่ยวไทย เซี่ยงไฮ้และ แฟรงก์เฟิร์ตฟรีๆ โดยแก๊งค้ายาชาวอิหร่าน


นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวเมื่อมาถึงเมืองไทย ก็ได้รับกระเป๋าเดินทางให้ฝากไปเซี่ยงไฮ้ แต่ ชาวญี่ปุ่นพบว่าเสื้อผ้าในกระเป๋ามันแข็งกระด้างไม่เหมือนเสื้อผ้าทั่วไป เลยรายงานสถานทูตญี่ปุ่นในรายละเอียด


สุดท้ายตำรวจพบว่า เสื้อผ้าที่แข็งเหล่านั้น เนื้อผ้าถูกเคลือบไว้ด้วยยาไอซ์ เพื่อเป็นการปิดบังการขนส่งยา


สุดท้ายแกงค์อิหร่านโดนจับโดยตำรวจไทย