ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    ถนน ในอลาสก้า 4 วันหลังจากแผ่นดินไหวประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    04.12.2018


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo


    โหด



    ถนนในซาอุดีอาระเบียได้รับผลกระทบจากพายุลูกเห็บที่น่าตกใจว้าว

    05.11.2018
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 5) เฟดไม่เร่งเกียร์ เอเชียผ่อนขึ้นดอกเบี้ย : ถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบมาตรฐานในช่วงที่ผ่านมา และต่ำกว่าเล็กน้อยจากระดับที่สมดุลต่อเศรษฐกิจ หรือระดับที่ได้ทั้งช่วยกระตุ้นหรือชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจลงมา" ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนักลงทุนกับนักเศรษฐศาสตร์ว่า นี่คือสัญญาณชะลอยุคดอกเบี้ยขาขึ้นหรือไม่

    ฝ่ายตลาดทุนส่วนใหญ่ตีความว่า การบอกว่าอัตราดอกเบี้ยใกล้แตะระดับสมดุลแล้วนั้น หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเร่งเกียร์ขึ้นดอกเบี้ย และมีความหวังว่าเฟดจะลดการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตลง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในรายงาน Dot Plot ว่า จะขึ้นอีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค.นี้ และอีก 3 ครั้งในปี 2019 จนทำให้ตลาดหุ้นกลับมาดีดตัวกลับแรงสุดในรอบ 8 เดือน เมื่อไม่กี่วันมานี้

    ทว่าฝ่ายนักเศรษฐศาสตร์ก็แย้งว่า ตลาดทุนตีความเข้าข้างตัวเองมากเกินไป และยังไม่มีอะไรที่บ่งชี้ชัดเจนว่า เฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยเฉพาะเฟดนั้นจะตัดสินใจบนฐานของ "ข้อมูล" มากกว่าตลาดทุนหรือปัจจัยชั่วคราว ซึ่งหากมองในแง่เศรษฐกิจ พื้นฐานทั้งการขยายตัวของจีดีพี การว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ก็ไม่มีปัจจัยอะไรที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยตามแผนเดิม

    อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของพาวเวลล์ก็อ่อนลงมาจริงๆ จากที่เคยกล่าวไว้เมื่อเดือน ต.ค. ว่าดอกเบี้ยปัจจุบันยังห่างไกลจากระดับสมดุล ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็พอจะบ่งบอกได้ว่า เฟดจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่าแผนที่เคยบอกเอาไว้

    ในทางกลับกัน นักวิเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับภาษาใหม่ในรอบการประชุมเดือน ธ.ค.นี้ คืออาจลดการใช้คำว่า "จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป" เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ในอนาคตมากขึ้น เพราะในบันทึกการประชุมเดือน พ.ย. เฟดยังคงแสดงความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อยู่ อาทิ กำแพงภาษี (สงครามการค้า) ทำให้นักวิเคราะห์บางสำนัก เช่น โกลด์แมน แซคส์ และเจพี มอร์แกน เชส มองว่าอาจเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดเป้าหมายการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าลง แม้ว่าปัจจุบันทั้งสองสำนักนี้จะยังคง ตัวเลขไว้ที่เดิมที่ 4 ครั้งก็ตาม (รวมเดือน ธ.ค. 2018)

    ทิศทางเช่นนี้เองจึงนำไปสู่การจับตาความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางอื่นๆ ตามมาว่า หากเฟดไม่เร่งเครื่อง จะช่วยให้แบงก์ชาติอื่นๆ สามารถผ่อนเกียร์ลงได้หรือไม่

    หากมองในภาพรวมแล้ว นักวิเคราะห์คาดว่าน่าจะช่วยผ่อนให้ธนาคารกลางส่วนใหญ่ในเอเชียสามารถคงอัตราดอกเบี้ยกันเอาไว้ในระดับเดิมได้

    เทยี ตัน นักเศรษฐศาสตร์ด้านเอเชียของมอร์แกน สแตนลีย์ ให้มุมมอง กับบลูมเบิร์ก ว่า น่าจะมีแค่แบงก์ชาติเฉพาะเป็น บางรายเท่านั้น ที่ยังต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ เพราะปัจจัยกดดันเฉพาะภายในประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย และอินโดนีเซีย แต่ส่วนใหญ่แล้วน่าจะไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย

    นักเศรษฐศาสตร์ของ มอร์แกน สแตนลีย์ มองว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่น่าจะอ่อนค่าลงในปีหน้า บวกกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่ปรับตัวลงมาแตะ 2.75% จากที่เคยพุ่งไปทะลุ 3% ก่อนหน้านี้ จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องเงินทุนไหลออกและความผันผวนของค่าเงินให้กับบรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM)

    ขณะเดียวกันหลายประเทศก็ยังมีการเตรียมตัวป้องกันที่ดีขึ้น เช่น มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล และมีการจัดการอัตราเงินเฟ้อในบ้านได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดแรงกดดันให้แบงก์ชาติเหล่านี้ต้องขึ้นดอกเบี้ย

    นอกจากนี้ ยังมองว่าแทนที่จะใช้นโยบายการเงินตึงตัวโดยรวมด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางหลายแห่งในเอเชียสามารถใช้นโยบายตึงตัวแบบอื่นแทนได้ เช่น การดูแลเสถียรภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ (Macro-prudential) ให้ตึงตัวแบบมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

    ส่วน "อินเดีย" และ "อินโดนีเซีย" นั้นเผชิญปัญหาค่าเงินอ่อนค่าหนักในช่วงที่ผ่านมา และทำให้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วหลายรอบในปีนี้ เป็นที่คาดว่าทั้งสองประเทศจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าอีกราว 1 ครั้ง จนเมื่อขึ้นไปรวมทั้งหมดครบ 1.75% แล้วก็น่าจะพักยกดอกเบี้ยขาขึ้นได้ ขณะที่ "ฟิลิปปินส์" มีปัจจัยเฉพาะในบ้าน

    เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงมากหลังเผชิญภัยพิบัติครั้งใหญ่ และยังมีปัญหาหนี้กับ สินเชื่อที่สูงกว่าระดับจีดีพีถึง 2 เท่า ทำให้คาดว่าจะยังต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าประเทศอื่น โดยคาดว่าจะขึ้น 2 ครั้ง ในไตรมาสแรกและไตรมาส 2 ของปีหน้า

    อย่างไรก็ดี สำหรับบางประเทศที่ยังไม่เคยขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดเลยมาเป็นปีนั้น อาจถึงคราวต้องขึ้นดอกเบี้ยก่อนสักยก เพื่อลดสเปรดของดอกเบี้ยที่ต่างกันมาก ก่อนจะสามารถพักยกในปีหน้า 2019 ได้ เช่น เกาหลีใต้ ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 1 ปี ไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว

    ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ไปอยู่ที่ระดับ 1.75% โดยมีเป้าหมายเพื่อลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ถ่างกันมากเกินไปกับดอกเบี้ยสหรัฐซึ่งอยู่ที่ 2-2.25% และยังเพื่อควบคุมภาวะหนี้ครัวเรือนที่กลับมาพุ่งสูงสุดทุบสถิติใหม่อีกครั้ง หลังกดดอกเบี้ยต่ำมาเป็นเวลานาน ทำให้แบงก์ชาติเกาหลีต้องส่งสัญญาณปรับดอกเบี้ยขึ้นมา

    อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่สัญญาณของดอกเบี้ยขาขึ้น แต่เป็นการปรับให้เข้ากับเฟดและภาวะหนี้ที่กระเตื้องขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ขึ้นมาเป็นปีแล้วเท่านั้น และคาดว่าหลังจากนี้ไปในปีหน้า เกาหลีใต้น่าจะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยยืนพื้นยาวไปได้ในขณะที่เฟดผ่อนเกียร์ลง ท่ามกลางธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ที่น่าจะยืนพื้นดอกเบี้ยคงเดิมในปีหน้าเช่นกัน โดยล่าสุด แบงก์ชาติออสเตรเลียเพิ่งคงอัตราดอกเบี้ย หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบ้านผ่อนความร้อนแรงลงมา

    ภายใต้ทิศทางเช่นนี้ แบงก์ชาติในเอเชียก็น่าจะสามารถผ่อนเกียร์ลงมาได้บ้างเช่นกัน จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆให้ต้องลุ้นกันต่อในปีหน้านี้

    โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ

    Source: Posttoday
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) จับตา 'โอเปค' บนทางสองแพร่ง : สมาชิกกลุ่ม ประเทศส่งออกน้ำมัน (โอเปค) และ ประเทศนอกกลุ่มมีกำหนดประชุมกัน ที่กรุงเวียนนาของออสเตรียในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือเรื่องลดกำลังการผลิต หลังจาก ราคาน้ำมันตกต่ำส่งผลกระทบต่อรายได้ แต่ขณะเดียวกันโอเปคก็ต้องเผชิญ แรงกดดันหนักหน่วงจากสหรัฐที่อยากให้ รับรองว่าน้ำมันยังราคาถูกเหมือนเดิม ไม่กี่วันก่อนในการประชุมผู้นำ กลุ่มประเทศ จี 20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ของอาร์เจนตินา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน กล่าวว่า กำลังทำ ข้อตกลงควบคุมเพดานการผลิตต่อไปอีก ในปีหน้า แต่รัฐมนตรีจากทั้ง 2 ประเทศ และพันธมิตรอื่นๆ ต้องมาหารือกัน ในการประชุมโอเปควันพฤหัสและ ศุกร์นี้ เพื่อทำข้อตกลงอย่างเป็นทางการ และฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของตลาด



    ถ้า 20 ประเทศทั้งสมาชิกโอเปค และนอกกลุ่ม ที่รวมกันแล้วผลิตน้ำมัน กว่าครึ่งหนึ่งของโลก ยังคงผลิตน้ำมัน ในระดับปัจจุบันต่อไป ก็เป็นไปได้ว่า ราคาจะดิ่งลงไปอีก จากที่ทรุดลงไปกว่า 30% ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ขณะนี้ น้ำมันดิบเบรนท์ เกณฑ์อ้างอิงสำคัญ ของยุโรปราคาอยู่ที่ราว 60 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล



    แต่ถ้าผู้ผลิตน้ำมันลดการผลิตลง ก็เสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายให้กับ เศรษฐกิจโลก ที่จำเป็นต้องมีน้ำมัน ในราคาเข้าถึงได้ผลักดันให้เศรษฐกิจ เดินหน้า ขณะเดียวกันประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐก็วิจารณ์โอเปค อยู่บ่อยๆ ว่าแกล้งปั่นราคาน้ำมันให้สูงเกินจริง เท่ากับว่าขณะนี้ซาอุดีอาระเบีย พี่ใหญ่ของ กลุ่มโอเปคกำลังตกที่นั่งลำบาก นอกจากนี้รัฐบาลริยาดก็ไม่อยากให้ ทรัมป์โกรธ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ ระหว่าง 2 ประเทศเปราะบางหลังเหตุ ฆาตกรรม"จามาล คาช็อกกี" นักข่าว ฝีปากกล้าแต่นักวิเคราะห์จากบริษัท เอนเนอร์จีแอสเปคท์ส ยังมองว่า ซาอุฯ ไม่อยากให้น้ำมันราคาถูก เพราะจะทำให้แผนการปฏิรูปประเทศ ของมกุฎราชกุมารเกิดความเสี่ยง ซาอุฯ จำต้องรีบทำความเข้าใจกับทรัมป์



    จีโอวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์ จากยูบีเอส เผยว่า สำหรับสหรัฐแล้ว อาจต้องเปลี่ยนจุดยืนโดยเร็วด้วย เนื่องจากผู้ผลิตหินน้ำมันในประเทศ ต้องการให้น้ำมันราคาสูง เพื่อสร้าง หลักประกันว่าการปฏิบัติการของตนมีกำไร



    เขายกตัวอย่างเหตุการณ์เมื่อ ปลายปี 2557 ตอนนั้นโอเปคตกลงลด การผลิตกันไม่ได้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ดิ่งเหวไปอยู่ที่ 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเดือน ม.ค.2558 ราคานี้บั่นทอน ความน่าเชื่อถือของโอเปคอย่างรุนแรง



    ครั้นสิ้นปี 2559 โอเปคก็เคลื่อนไหว กลับมาคุมตลาดได้อีกครั้ง ด้วยการจับมือ กับผู้ผลิตนอกกลุ่ม เช่น รัสเซีย ตกลงกัน ลดการผลิตเพื่อควบคุมซัพพลายน้ำมัน ความร่วมมือที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ได้ผล ราคา น้ำมันขยับขึ้นมาจนถึงต้นเดือน ต.ค.ปีนี้



    เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้ผลิตน้ำมันตัดสินใจเปลี่ยนยุทธวิธีกำหนดเป้าการผลิต เพื่อเปิดช่องให้รัสเซียและซาอุฯ ผลิตน้ำมัน ออกมาชดเชยผลผลิตของอิหร่านที่ถูกสหรัฐ คว่ำบาตร แต่รัฐบาลมอสโกและริยาด ออกตัวเร็วเกินไป สุดท้ายสหรัฐยอม ยกเว้นให้บางประเทศยังซื้อน้ำมันจากอิหร่านได้สูงกว่าระดับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงในช่วง 2 เดือน ที่ผ่านมา ทำลายผลกำไรที่เคยได้มาตั้งแต่ ต้นปี 2560


    ด้วยเหตุนี้จึงต้องจับตาว่า พันธมิตรทั้งในและนอกโอเปคจะตัดสินใจ ลดการผลิตลงอีกหรือไม่ และถ้าใช่ จะกระจายภาระกันอย่างไร การประชุมรอบนี้อาจไม่ง่ายนัก เมื่อสมาชิกบางประเทศไม่พอใจที่ซาอุฯ เป็นผู้กำหนดนโยบายของโอเปคและเมื่อ วันจันทร์ (3 ธ.ค.) ก็เกิดเหตุไม่คาดคิด กาตาร์ที่เป็นสมาชิกโอเปคมาตั้งแต่ปี 2504 ประกาศว่าจะออกจากกลุ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2562 เพื่อมุ่งไปที่การผลิตก๊าซเป็นหลัก


    การจากไปของกาตาร์คงไม่ทำให้โอเปคสะเทือนนัก เนื่องจากมีสัดส่วน การผลิตเพียงราว 2% ของน้ำมันโอเปคทั้งหมด ส่วนอิหร่านผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มก็กล่าวหาซาอุฯ ว่ากำลังถูกสหรัฐครอบงำ โดนทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้พี่ใหญ่โอเปคก็ทำตัวลำบาก


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    เพิ่มเติม

    - OPEC's Push to Cut Even Deeper Shows Price Warriors Were Right: https://www.bloomberg.com/news/arti...t-even-deeper-shows-price-warriors-were-right


    - Does Trump control OPEC policy? A critical meeting of major oil producers is set to test the energy markets' 'biggest fear' : https://www.cnbc.com/2018/12/05/opec-meeting-oil-markets-fear-trump-controls-production-policy.html


    ************************

    ซาอุฯ พยายามกล่อม “รัสเซีย” ลดผลิตน้ำมันร่วมกับโอเปก


    ซาอุดีอาระเบียกำลังหาทางชักจูงรัสเซียในวันนี้ (5) ให้ลดปริมาณการผลิตน้ำมันร่วมกับโอเปกในปีหน้า ในความพยายามเพื่อชะลอการดิ่งลงของราคาน้ำมันและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดโลกอีกครั้งหนึ่ง


    ในวันนี้ (5) รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ โนวัค มีกำหนดพบปะกับ คาลิด อัล ฟาลีห์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบีย ประเทศผู้นำองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)


    ในวันพรุ่งนี้ (6) โอเปกจะจัดการพูดคุยนโยบายในเวียนนา ต่อด้วยการประชุมกับเหล่าพันธมิตรรวมถึงรัสเซียในวันศุกร์ (7)


    ซาอุดีอาระเบีย ระบุว่า พวกเขาต้องการให้โอเปกและพันธมิตรปรับลดปริมาณการผลิตลงอย่างน้อย 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 1.3 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการผลิตทั่วโลก


    ริยาดต้องการให้มอสโกมีส่วนช่วยปรับลดอย่างน้อย 250,000 – 300,000 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่รัสเซียยืนกรานว่า พวกเขาช่วยได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แหล่งข่าวในและนอกโอเปก เผย


    “มันไม่ง่ายแต่เราจะทำงานร่วมกับเพื่อนสมาชิกของเราอยู่เสมอ” ซูฮาอิล บิน โมฮัมเหม็ด รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับจุดยืนของรัสเซีย


    แหล่งข่าวใกล้ชิดกระทรวงพลังงานของรัสเซีย ระบุว่า “ไม่มีใครอยากจะปรับลดหากไม่มีภาวะฉุกเฉิน มีแต่สหรัฐฯที่เราเห็นถึงการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันอย่างมหาศาล โอเปกและรัสเซียจะระมัดระวังอย่างมากในการที่จะยอมกรีดเลือดตัวเอง”


    รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐฯ แข่งขันกันเป็นผู้ผลิตน้ำมันดินอันดับหนึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สหรัฐฯไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจำกัดปริมาณการผลิตใดๆ เนื่องจากกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอันเข้มงวดและอุตสาหกรรมน้ำมันที่ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน


    ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงนับตั้งแต่เดือนตุลาคมเนื่องจากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจทั่วโลกและความกลัวว่าจะเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด เนื่องจากการเพิ่มปริมาณการผลิตอย่างมหาศาลของสหรัฐฯ


    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    https://mgronline.com/around/detail/9610000121150
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) จีนเอาจริง! ค้างจ่ายภาษีสะสมถึง 1 แสนหยวน มีผลห้ามออกไปต่างประเทศทันที: ทางการจีนเอาจริงกับประชาชนที่ค้างจ่ายภาษีมากขึ้น โดยยาแรงตัวล่าสุดที่นำมาใช้คือห้ามออกนอกประเทศ ถ้าหากยังไม่จ่ายภาษีจนครบ


    ทางการจีนเริ่มเอาจริงเอาจังกับบรรดาประชาชนที่ค้างจ่ายภาษี โดยมาตรการนี้ถือเป็นยาแรงสำหรับประชาชน เมื่อข้อกำหนดใหม่ของทางการจีนคือ ถ้าหากค้างจ่ายภาษีสะสม 100,000 หยวน จะไม่สามารถอออกไปต่างประเทศทันที และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2019 ทันที


    ก่อนหน้านี้ทางการจีนได้กำหนดเพดานสำหรับผู้ที่ค้างจ่ายภาษีสะสมไว้ที่ 1 ล้านหยวน ก่อนที่จะปรับลงมาเหลือเพียงแค่ 1 แสนหยวน และเพ่งเล็งไปที่ผู้มีรายได้เดือนละ 20,000 หยวนขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ประชาชนที่ค้างจ่ายภาษีต้องรีบนำเงินมาจ่ายสรรพากรทันที เพราะไม่งั้นแล้วจะไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้


    จีนเริ่มเอาจริงเอาจังกับประชาชนที่หลีกเลี่ยงภาษี หลังจากกรณีของ ฟ่าน ปิงปิง ที่ท้ายสุดได้จ่ายค่าปรับภาษีย้อนหลังมูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาท ช่วงที่ผ่านมา สรรพากรจีน หน่วยงานดูแลอัตราแลกเปลี่ยน สำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน ฯลฯ ได้ร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลคนดังที่หลีกเลี่ยงภาษี


    นอกจากนี้ยังรวมไปถึงนิติบุคคลที่ถ้าหากค้างสะสมภาษีนิติบุคคลแล้วเกิดล้มละลายเนื่องจากไม่จ่ายภาษี ทางการจีนจะทำการจับกุม และขึ้นบัญชีดำบุคคลต่างๆ ในนิติบุคคลนั้นๆ รวมไปถึงทำการประจานอย่างทั่วถึงด้วย


    โดย Wattanapong Jaiwat


    Source: Brandinside.asia


    https://brandinside.asia/if-chinese-overdue-tax-100k-yuan-cant-go-outside-china/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 5) ธปท.คุมเข้ม แบงก์รัฐปีหน้า : กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เพื่อแก้ไขปรับปรุงมาตรา 120 แห่ง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 เพื่อเปิดให้ ธปท.สามารถกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFI) หรือ แบงก์รัฐ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    จากเดิมที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ อาจมอบหมายให้ ธปท.ทำหน้าที่ อาทิ การกำกับดูแล สั่งให้ชี้แจงข้อเท็จจริง การยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อนโยบายรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน ตามที่กฎหมายได้กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีผู้รักษาการได้เท่านั้น

    ล่าสุด กฎหมายดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับกฤษฎีกา ลงวันที่ 21 พ.ย. 2561 โดยจะมีผลบังคับใช้ 90 วัน หรือเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 ก.พ. 2562

    ทำให้ภาพรวมการดำเนินงานของแบงก์รัฐ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ บตท. มียอดสินเชื่อของทั้งระบบซึ่งไม่นับรวม อยู่ที่ 4.75 ล้านล้านบาท มีเงินรับฝากทั้งระบบอยู่ที่ 4.72 ล้านล้านบาท มีกำไรสะสม 8 เดือนแรก รวมกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ทั้งระบบอยู่ที่ 2.55 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.5%

    แบงก์รัฐทั้งระบบจะถูกกำกับโดย ธปท.ใกล้ชิดมากขึ้น ภายใต้ความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เช่น เรื่องการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง และผู้บริหารระดับสูง รวมถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงต่างๆ การดำรงเงินกองทุนและสินทรัพย์ ข้อห้ามในการให้สินเชื่อ และการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน

    ทั้งนี้ การแต่งตั้งกรรมการและผู้บริหารของแบงก์รัฐ ยังเป็นอำนาจตามกฎหมายจัดตั้งและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งในส่วนของ ธปท.จะกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ไม่ใช่กรรมการโดยตำแหน่ง และผู้บริหารระดับสูง 3 ระดับบน ได้แก่ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ และผู้ช่วยผู้จัดการ ถือเป็นการส่งสัญญาณการกำกับผู้บริหารแบงก์รัฐ จะต้องไม่อยู่ภายใต้อำนาจการเมือง

    นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ ธปท.มีอำนาจแต่งตั้งผู้ตรวจการแบงก์รัฐ มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบ สั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ และแสดงหลักฐานต่างๆ และมีการกำหนดบทลงโทษแบงก์รัฐกรณีที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์

    และในกรณีที่เกิดปัญหาฐานะและการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐ จะเปิดให้ ธปท.โดยความเห็นชอบของ รมว.คลัง พิจารณาแก้ฐานะหรือการดำเนินงาน หรือระงับการดำเนินงานทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในเวลาที่กำหนด สามารถสั่งให้ผู้มีอำนาจหยุดการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งให้แบงก์รัฐลดหรือเพิ่มทุนได้

    ขณะที่การดำเนินธุรกรรมนโยบายรัฐ หรือธุรกรรมพีเอสเอ (PSA) ทาง ธปท.กำหนดให้แบงก์รัฐบันทึกบัญชีธุรกรรมพีเอสเอ แยกจากบัญชีการดำเนินธุรกรรมตามปกติ เพื่อความโปร่งใสในการกำกับดูแล

    สำหรับการจัดชั้นสินทรัพย์และการกันเงินสำรองสำหรับธุรกรรม พีเอสเอ ให้แยกเป็น 2 กรณี คือ กรณีธุรกรรมนโยบายรัฐ ส่วนที่มีการชดเชยความเสียหายตามมติ ครม. ให้แบงก์รัฐจัดชั้นลูกหนี้เป็นปกติโดยไม่ต้องกันเงินสำรอง และในกรณีธุรกรรมนโยบายรัฐ ส่วนที่ไม่มีการชดเชยความเสียหายตามมติ ครม. ให้แบงก์รัฐจัดชั้นและกันเงินสำรองตามคุณภาพของตัวธุรกรรมตามปกติ

    อย่างไรก็ดี การสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลแบงก์รัฐถือว่าเป็นเรื่องดี ที่จะสร้างเกราะในการกำกับดูแลแบงก์รัฐไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปล่อยกู้เสี่ยงๆ ให้นโยบายประชานิยม และยังรองรับธุรกรรมในอนาคตที่แบงก์รัฐจะให้บริการลูกค้าด้วยนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบต่างๆ รวมถึงการมีแบงก์กิ้งเอเย่นต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เพราะถ้าย้อนไปเมื่อครั้งที่มีแบงก์รัฐมีฐานะทางการเงินมีปัญหาหนี้เสียซึ่งเกิดจากการปล่อยกู้ที่มีความสี่ยง ขาดการกำกับดูแลที่ดีจนมี 2 แบงก์รัฐ ได้แก่ ธพว. และธนาคารอิสลามฯ เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการมาแล้ว แต่ที่ผ่านมา ธพว.สามารถแก้ปัญหาจนออกจาก แผนฟื้นฟูได้แล้วตั้งแต่ต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ส่วนธนาคารอิสลามฯ อยู่ระหว่างการแก้ปัญหา น่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้

    แต่ในมุมกลับกัน การเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลแบงก์รัฐ จะมีผลทำให้การปล่อยสินเชื่อต้องมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้นในการพิจารณาคัดเลือกลูกหนี้ ทำให้เป็นอุปสรรคยากต่อการเข้าถึงสินเชื่อของผู้มีรายได้น้อย ประชาชนฐานราก เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า ที่มีโอกาสถูกปฏิเสธการขอสินเชื่อมากขึ้น เพราะแบงก์รัฐจะต้องมีเกณฑ์ที่ใช้ในการคัดเลือกลูกค้าเข้มงวดมากขึ้นตามการจัดชั้นลูกหนี้

    ทำให้บทบาทในส่วนของการเป็นสถาบันการเงินเพื่อสังคม อาจจะต้องมาตีโจทย์กันใหม่ว่าการจะช่วยคนด้อยโอกาสจะต้องเสนอโครงการพีเอสเอเพียงอย่างเดียวหรือไม่ จากเดิมที่แบงก์รัฐ ยังสามารถออกมาตรการหรือโครงการสินเชื่อผ่อนปรนเพื่อช่วยลูกหนี้ของตัวเองได้

    เป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องตามต่อว่า คนที่อ่อนแอ เช่น เอสเอ็มอี เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ที่ยังไม่มีความพร้อมหากไม่สามารถเข้าสู่ระบบแบงก์รัฐได้ จะกลายเป็นก่อปัญหาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นในสังคมไทยอีกหรือไม่

    โดย กนกวรรณ บุญประเสริฐ

    Source: Posttoday

    เรื่องเดิม
    - ราชกิจจาออกประกาศแบงก์เฉพาะกิจต้องอยู่ในกำกับดูแลของธปท.มีผลบังคับใช้ใน90วัน : https://www.prachachat.net/finance/news-253933
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Nov 5) Big Data Analysis แรงงานเอเชียได้ค่าเหนื่อยมากกว่าชาติมั่งคั่ง- ดูเหมือนว่าในยุคที่แรงงานทั่วโลกต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับกับกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก เพื่อความอยู่รอด แรงงานในเอเชียอยู่ในฐานะได้เปรียบเพราะได้ค่าเหนื่อยมากกว่าแรงงานในประเทศอื่นๆทั่วโลก โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ


    ไอแอลโอ) ระบุว่า ค่าจ้างแรงงานในเอเชียในช่วงปี 2549-2560 ขยายตัวเร็วกว่าอัตราค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยของชาติมั่งคั่งหรือ จี20 เกือบ 10 เท่า ปีที่แล้ว อัตราค่าจ้างในเอเชียขยายตัวที่ 3.5% เทียบกับอัตราค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยของชาติสมาชิกมั่งคั่งที่สุดในกลุ่มจี20ที่ 0.4% อานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจเอเชียโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่อเนื่องและเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มจี20 ซึ่งรวมถึงอินโดนีเซียและอินเดียมีอัตราค่าแรงเพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วง 2 ทศวรรษ


    ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินเอเชีย สวนทางกับชาติพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นที่ปีที่แล้ว อัตราค่าแรงลดลงประมาณ 0.4% แม้เอเชียจะมีค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นแซงหน้าภูมิภาคอื่น แต่การที่ภาคการผลิตของเอเชียเริ่มหันมาพึ่งพาหุ่นยนต์ หรือระบบการผลิตที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดแรงงานในภูมิภาคนี้แน่นอน


    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/820300
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) วุฒิสภาสหรัฐ-CIA สรุป “เจ้าชายซาอุฯ” อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรม “คาช็อกกี”: จากกรณีการลอบสังหาร “จามาล คาช็อกกี” คอลัมนิสต์ฝีปากกล้า ผู้ที่แสดงจุดยืนต่อต้านเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ประจำคอลัมน์ของ “วอชิงตันโพสต์” ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา


    ล่าสุด รอยเตอร์ส รายงานอ้างการแถลงสรุปของ วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา ร่วมกับสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) โดยนางจีนา แฮสเพล ผู้อำนวยการ CIA กล่าวสรุปเมื่อคืนที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) ระบุว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนายคาช็อกกี


    ทั้งนี้ จากการสอบสวนของหน่วยงาน CIA เป็นที่แน่ชัดและสามารถเชื่อถือได้ในระดับกลาง-สูง ว่ามกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย อาจเป็นผู้บงการให้ทีมเจ้าหน้าที่ของซาอุฯ ลงมือฆ่านายคาช็อกกี ที่สถานกงสุลในนครอิสตันบูล


    ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอๆ อีกทั้งยังเคยกล่าวปฏิเสธข้อสรุปที่ว่ามกุฎราชกุมารซาอุฯ ทรงเห็นชอบและเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จากข้อสรุปของรัฐบาลตุรกี โดยนายทรัมป์อ้างว่า ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันชัดเจน


    ขณะที่ นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งกล่าวถึงประเด็นที่ต้องจับตานับจากนี้ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ และสหรัฐฯ โดยเฉพาะดีลการซื้อขายอาวุธที่เกิดขึ้นเป็นประจำเกือบทุกปี ซึ่งซาอุฯ เปรียบเสมือนเป็นลูกค้าชั้นดีที่สุดประเทศหนึ่งของสหรัฐฯ ในธุรกิจดังกล่าว


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    -Top senators briefed by CIA blame Saudi prince for Khashoggi death: https://www.reuters.com/article/us-...audi-prince-for-khashoggi-death-idUSKBN1O32BR
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) "รักพ่อ"๙ สู่ชีวิตพอเพียงลดละหวยแบ่งเงินไปออม : 'รักพ่อ' ๙ สู่ชีวิตพอเพียง ลดละหวยแบ่งเงินไปออม : ศูนย์ Customer Insight by TMB Analytics และสำนักงานสถิติแห่งชาติ:พฤศจิกายน 2561 ระบุว่าคนไทยใช้เงินซื้อหวยเฉลี่ยถึงคนละ 4,500 บาทต่อปี บางคนถึง 100,000 บาทต่อปีเลย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน จึงได้จัดทำโครงการ "๙ สู่ชีวิตพอเพียง" ขึ้นเพื่อถวายเป็นปฏิบัติบูชาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร



    ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ผู้รับผิดชอบโครงการเล่าว่า อยากชวนให้คนไทยลดการซื้อหวยรวมทั้งการพนันอื่นๆ ให้น้อยลง "๙ สู่ชีวิตพอเพียง" เป็นโครงการรณรงค์ส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกัน 9 จังหวัดในภูมิภาค ประกอบด้วย ลำปาง น่าน พะเยา เลย กาฬสินธุ์ สุรินทร์ อุบลราชธานี สระบุรี และพัทลุง บวกกับอีก 1 คือ กรุงเทพมหานคร



    โดยทำในพื้นที่ชุมชนทั้งสิ้น 50 ชุมชน กิจกรรมสำคัญ คือการชวนกันปฏิบัติใน 5 เรื่อง ได้แก่หลีกเลี่ยงอบายมุข-สุขกับบัญชีครัวเรือน-เตือนตนให้เป็นนักผลิต-หมั่นเก็บออมอยู่เป็นนิจ-ติดอาวุธความคิดเป็นประจำ กว่า 1 ปี ของการดำเนินโครงการพบว่าเกิดผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ ผู้เข้าร่วมโครงการประกาศเลิกเล่นการพนันด้วยความสมัครใจเพื่อถวายแด่ในหลวง



    อำนวย น้อยตรีมูล ชาวชุมชน ต.ผาอินทร์แปลง อ.เอราวัณ จ.เลย หนึ่งในผู้ประกาศเลิกเล่นการพนัน เล่าว่าชอบเล่นพนันมากตั้งแต่ที่มีโครงการ ๙ สู่ชีวิตพอเพียง เลยตัดสินใจว่าจะนำเงินไปใส่กระบอกไม้ไผ่แทนจะไม่เล่นแล้ว พอเต็มผ่าออกได้เงินไปฝาก 30,000 บาท วันนี้หยุดมาได้ 2 ปีมีเงินเก็บเป็นแสน



    พินิจ ฉุนแสนดี ชาวชุมชนบ้านจรูกแขวะ ต.โคกยาง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ มีชีวิตชาวนาที่เต็มไปด้วยหนี้สิน ใช้ชีวิตพอเพียง ตามรอยเท้าของพ่อ โดยการทำเกษตรผสมผสาน ใช้ชีวิตพอเพียง รู้จักประหยัดอดออม เริ่มจากการลดต้นทุนการทำนา ใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักแทนปุ๋ยเคมี ใช้สมุนไพรแทนยาฆ่าแมลง ใช้วิธีถอนหญ้าแทนการใช้ยาฆ่าหญ้า และจดบันทึกค่าใช้จ่ายในการทำนา เมื่อคำนวณต้นทุนและกำไร เริ่มมีกำไร จึงทำมาอย่างต่อเนื่องและเริ่มศึกษาหาวิธีการที่จะประหยัดต้นทุนให้ได้มากที่สุด โดยการทำนาอินทรีย์สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มาก และขายได้ราคามากกว่ากันเป็นเท่าตัว ด้วยการทำเกษตรผสมผสาน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นๆ จนสามารถใช้หนี้ได้



    ทุกวันนี้พินิจเข้าร่วมเโครงการ ๙ สู่ชีวิตพอเพียงเรียนรู้ทุกกิจกรรมและเริ่มทำบัญชีครัวเรือน โดยทำตารางแบบง่ายๆ จดบันทึกและหยอดกระปุกทุกวัน ทุกครั้งที่มาร่วมกิจกรรมจะนำบัญชีครัวเรือนที่ทำพร้อมกับกระปุกออมสินมาด้วยทุกครั้ง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมโครงการของตำบลโคกยาง เกิดการออมแข่งกันและทำบัญชีครัวเรือนจนทำให้บ้านโคกยางเกิดข้อสรุปร่วมกันว่าจะตั้ง "สหกรณ์เพื่อการผลิต" จากเงินออมที่เหลือจากการใช้จ่ายในครัวเรือน



    อีกเรื่องหนึ่งของปฏิบัติการชุมชนพลิกชีวิต คือเรื่องเล่าจากอบต.บัวใหญ่ ต.นาน้อย อ.นาน้อย จ.น่าน ที่คิดวิธีเสริมพลังใจโดยการชวนชาวชุมชนมาคิดมาคุย มาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้เกี่ยวกับความพอเพียงของครอบครัว นางวิจิตรา ระพีทัศนพงศ์ นักพัฒนาชุมชนแห่ง อบต.บัวใหญ่ เล่าว่าไม่ได้ห้ามไม่ให้เล่นหวย แต่ต้องมีการออมในสัดส่วนที่เหมาะสมกันถามว่าออมทำไม ออมเพื่อใคร?... คำตอบก็คือ "ออมเพื่ออนาคต ทั้งอนาคตของตัวเอง และอนาคตของลูกหลาน"



    เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า จากความสำเร็จของโครงการในปีที่ผ่านมา ปีนี้สสส.ร่วมกับมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันจึงจะดำเนินโครงการนี้ต่อโดยให้ชื่อว่า "๙ ต่อไปสู่ชีวิต พอเพียง" เพื่อสานต่อพระราชปณิธานในการส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9



    โดยปีนี้เราจะเน้นการชวนกันเปลี่ยนเงินหวยเป็นเงินออม สนับสนุนปฏิบัติการชุมชนด้วย 3 เครื่องมือทรงงานที่อยู่ข้างพระวรกายของในหลวง คือ "แผนที่-กล้องถ่ายรูป-และวิทยุสื่อสาร" โดยทุกชุมชนจะลงสำรวจแผนที่เดินดินและเชิญชวนชาวชุมชนเข้าร่วมโครงการ แล้วทำการบันทึกปริมาณการเล่นหวยของครัวเรือนที่เข้าร่วม เปรียบเทียบก่อน-หลังการเข้าร่วมโครงการ และนำเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นมาสื่อสารต่อในชุมชนและสังคมวงกว้าง



    เพราะการพนันทุกรูปแบบล้วนขัดแย้งกับแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ทำให้ไม่รู้จักประมาณตนเอง และทำลายภูมิคุ้มกันของครัวเรือน หยุดพนันแล้วเปลี่ยนเงินเล่นพนันมาเป็นเงินออมกันดีกว่า



    ซึ่งในวันพ่อแห่งชาติปีนี้ อุทยานการเรียนรู้ ทีเคพาร์ค ชวนมาใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวเรียนรู้วิถีชีวิตแบบพอเพียงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นำมาเป็นแบบอย่างและประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยกับกิจกรรม "เรียนรู้ กิน-อยู่ อย่างพอเพียง" วันที่ 5pวันที่ 9 ธันวาคม 2561 เวลา 11.00p17.00 น. ณ อุทยานการเรียนรู้ ทีเค พาร์ค ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์


    Source: คมชัดลึก

    http://www.komchadluek.net/news/edu-health/354541
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) สหรัฐจะไม่เกิดเหตุการ Government Shutdown ในสิ้นปีนี้: นาย Mitch McConnell, Senate Majority Leader ระบุว่าตนไม่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ Government Shutdown ในสิ้นปีนี้ ภายหลังจากที่สภาคองเกรสได้เสนอ spending bill ระยะสั้น เพื่อต่ออายุจากร่างกฎหมายเดิมซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 7 ธ.ค. ไปอีกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 21 ธ.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด shutdown โดยมีรายงานว่าร่างดังกล่าวมีแนวโน้มจะได้รับการเห็นชอบจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สืบเนื่องจากการจัดรัฐพิธีศพของอดีตประธานาธิบดี George H.W. Bush


    ทั้งนี้ นาย McConnell เสนอว่าประธานาธิบดี Trump จะต้องทำการเจรจากับแกนนำพรรค Democrat เกี่ยวประเด็นที่มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยนาย Trump มีความต้องการให้สภาคองเกรสอนุมติงบประมาณจำนวน 5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพื่อใช้ในการก่อสร้างกำแพงตามแนวชายแดนทางใต้


    ขณะที่ นาย Chuck Schumer, Senate Minority Leader แสดงจุดยืนว่า ส.ว. พรรค Democrat จะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ในการสร้างรั้ว แทนที่จะเป็นกำแพงตามที่นาย Trump ต้องการ รวมถึงใช้ในการดำเนินมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ border security


    Source: BOTSS


    - McConnell Predicts Lawmakers Will Avoid Government Shutdown: https://www.wsj.com/articles/mcconnell-predicts-lawmakers-will-avoid-government-shutdown-1543892180
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) รัฐสภาสหราชอาณาจักรเปิดอภิปรายเกี่ยวกับแผน Brexit ของ นาง Theresa May เป็นวันแรกในวันนี้ : วานนี้ที่ปรึกษาอาวุโสด้านกฎหมายของสหภาพยุโรป กล่าวว่า สหราชอาณาจักรมีสิทธิที่จะถอนความจำนงในการขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก EU ฝ่ายเดียวได้ ซึ่งคำแนะนำดังกล่าวช่วยสนับสนุนแนวคิดของสมาชิกรัฐสภาสหราชอาณาจักรที่ต้องการให้สหราชอาณาจักรยังคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป


    ขณะที่นาง Theresa May กล่าวว่า ไม่มีความคิดที่จะถอนความจำนงในการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปตามคำแนะนำดังกล่าว แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการโน้มน้าวให้รัฐสภาอนุมัติแผน Brexit ของตน โดย นาง Theresa May ต้องการยึดถือคำมั่นที่จะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยยังคงรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างกันภายหลัง Brexit ในเดือนมีนาคม 2019 ต่อไป จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สนับสนุน Brexit และฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา


    ด้านรัฐสภาสหราชอาณาจักรเปิดอภิปรายเกี่ยวกับแผน Brexit ของ นาง Theresa May เป็นวันแรกในวันนี้ โดยมีกำหนดการอภิปรายทั้งหมด 5 วัน โดย นาง Theresa May กล่าวเตือนว่า หากสภาผู้แทนราษฎรไม่สนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว อาจทำให้สหราชอาณาจักรต้องออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปโดยปราศจากมาตรการที่จะช่วยลดความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงในช่วง transition หรืออาจไม่เกิด Brexit ขึ้นในที่สุด ทั้งนี้ รัฐสภาสหราชอาณาจักรจะมีการลงคะแนนเสียงที่สำคัญเพื่อรับรองข้อตกลงดังกล่าวในวันที่ 11 ธ.ค. 2018


    ขณะที่ นาย Mark Carney ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการด้านการคลัง (Treasury Committee) สหราชอาณาจักร ว่า no-deal Brexit อาจส่งผลให้ราคาอาหารในสหราชอาณาจักรปรับสูงขึ้นกว่าร้อยละ 10 สำหรับกรณี “extreme case” และอาจปรับสูงขึ้นกว่าร้อยละ 6 สำหรับกรณี “a less severe scenario”


    ร้อยละ 50 ของอาหารที่จำหน่ายในสหราชอาณาจักรนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดย BOE ทำการประเมินถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกรณี no-deal Brexit พบว่า การปรับสูงขึ้นของราคาอาหารดังกล่าวเป็นผลมาจาก

    1) การอ่อนค่าลงของเงินปอนด์สเตอร์ลิง

    2) การปรับสูงขึ้นของภาษีศุลกากร และ

    3) การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าธรรมเนียมต่างๆ บริเวณชายแดน


    จากการสำรวจและหารือร่วมกับบริษัทขนส่งโดย BOE staff พบว่า การจัดการด้านศุลาการของสหราชอาณาจักรยังไม่มีความพร้อมเพียงพอที่จะรองรับกรณี no-deal Brexit รวมถึงการเข้าร่วมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ด้านการค้าขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยภายใต้กฎเกณฑ์ของ WTO อัตราภาษีจะแตกต่างกันไปในแต่ละรายการสินค้าตั้งแต่ 1) อัตราร้อยละ 0 สำหรับสินค้าแร่เชื้อเพลิงและยา 2) อัตราร้อยละ 20-35 สำหรับสินค้าอาหารแปรรูป และ 3) อัตราร้อยละ 45-50 สำหรับสินค้าผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์

    ซึ่งสหราชอาณาจักรจำเป็นต้องเตรียมการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น


    BoE มั่นใจในการเตรียมการของภาคการเงินสหราชอาณาจักรว่าพร้อมจะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยภาคการธนาคารซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การรับผิดชอบของ BoE ได้เตรียมการสำหรับกรณี “worst-case scenario” ไว้แล้ว


    Source: BOTSS


    - Carney Rebuts Attacks on BOE as Ex-Governor Slams Brexit Study: https://www.bloomberg.com/news/arti...acks-on-boe-as-ex-governor-slams-brexit-study
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 5) ส.แบงก์ปัดรีดค่ากดเอทีเอ็ม : นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยกรณีที่ธนาคารพาณิชย์จะเสนอธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เก็บค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) ถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มและออกเช็คหน้าเคาน์เตอร์ ว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะ เนื่องจากต้องดูรายละเอียด ผลกระทบ และประโยชน์ที่ได้รับให้ครอบคลุมทุกฝ่าย เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่อาจกระทบกับลูกค้า ซึ่งอยากให้รอ ธปท. ประมวลข้อมูลและเป็นผู้แจ้งรายละเอียดอย่างเป็นทางการ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของลูกค้าและประชาชนผู้ใช้บริการ ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมจะเก็บลักษณะเดียวกับพร้อมเพย์ที่ออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่ มองว่าเป็นเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจมากกว่า

    "เรื่องเก็บค่าฟีจากการกดเงินสดหน้าตู้เอทีเอ็ม เป็นเรื่องที่ยังคุยกันไม่จบ ขอดูอีกสักพัก เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ขอให้รอ ธปท. ประมวลผลและบอกอย่างเป็นทางการดีกว่า เนื่องจากขณะนี้มีกระแสข่าวออกไป ยิ่งพูดไปลูกค้าอาจเกิดการไขว้เขว"

    ส่วนเรื่องที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีแผนยกเลิกค่าใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) ทีวีดิจิทัลนั้น มองว่าจะเป็นผลดีต่อธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อ เพราะบริษัทที่ดำเนินกิจการทีวีดิจิทัล ก็จะมีรายได้เพิ่มมีเงินมาใช้หนี้ผู้ให้กู้ แต่ยังต้องดูแนวทางที่จะออกมาอย่างเป็นทางการก่อนว่าจะเป็นอย่างไร

    นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เรื่องค่าธรรมเนียมกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม ต้องขอหารือกับทุกฝ่ายก่อน เช่น ธปท. และธนาคารสมาชิกของสมาคมฯ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้หารือกันอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันแต่ละธนาคารยังยกเว้นค่าธรรมเนียมการกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม 4 ครั้งต่อเดือนอยู่ และจะเก็บเท่าไหร่ หรือจะเก็บหรือไม่ ตอนนี้ยัง ไม่ได้เริ่ม ก็ขอให้ลูกค้าและประชาชนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ยังไม่ต้องกังวล ถ้าหากธนาคารพาณิชย์มีการเก็บค่าธรรมเนียมส่วนนี้จริง อาจไม่ใช่ทำทันที เชื่อว่าวิธีการคงต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้ลูกค้าได้ปรับตัว

    แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นจริง เพราะรายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านมือถือ หรือออนไลน์ หายไป ทำให้ต้องหารายได้จากส่วนอื่นทดแทน ส่วนการเก็บค่าธรรมเนียมกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่จำเป็นต้องหารืออย่างละเอียด เพราะกระทบกับลูกค้าแน่นอน โดยก่อนหน้านี้ธนาคารที่เป็นสมาชิกสมาคมธนาคารไทยยังมีแนวคิดที่จะทำตู้เอทีเอ็มสีขาว ไม่แบ่งแยกสี ไม่แบ่งธนาคาร ลูกค้ากดได้ทั้งหมดยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะธนาคารได้แข่งขันเรื่องโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก

    Source: เดลินิวส์ออนไลน์
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 5) การเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนจะเป็นไปอย่างเข้มข้นในช่วง 90 วัน: สำนักพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า ประธานาธิบดี Trump แสดงความมั่นใจว่าทางการจีนจะดำเนินการตามที่ตนและประธานาธิบดี Xi Jinping ได้ตกลงหารือกันไว้ ในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ G-20 ที่ประเทศอาเจนติน่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


    อย่างไรก็ดี เรื่องการจัดเก็บภาษีศุลกากรก็อาจจะดำเนินต่อไปได้ หากทางจีนไม่ดำเนินการไปในทิศทางที่จะยุติข้อพิพาท ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Trump ทวีตข้อความระบุว่า การเจรจากับทางการจีนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ซึ่งหากไม่ต้องขยายระยะเวลาออกไป ก็จะสามารถสรุปได้ภายใน 90 วัน โดยคาดว่าทางการจีนจะเริ่มทำการซื้อสินค้าการเกษตรและอื่นๆ จากสหรัฐฯ โดยทันที


    ขณะเดียวกัน ทางด้านนาย John Bolton, ประธานที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของชาติ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ โดยนาย Bolton กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นคนละประเด็นกับเรื่องการจัดเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งรัฐบาลควรที่จะพิจารณาออกกฎหมายเพิ่มเติม


    อนึ่ง ทางด้านรัฐบาลจีนยังคงไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ที่ชัดเจนในเรื่องการเจรจาและข้อตกลง โดยรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีนมีกำหนดการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ในวันพฤหัสนี้


    Source: Botss


    เพิ่มเติม

    - Trump Team Set to Take Tough Stand in 90-day Trade Talks With China: https://www.wsj.com/articles/john-b...nce-on-intellectual-property-theft-1543935567


    - หุ้นกลุ่มแบงก์วูบฉุดดาวโจนส์ดิ่งเกือบ800จุด : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/820396#cxrecs_s


    - เจ้าพ่อบอนด์ฟันธงตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณศก.สหรัฐซบ: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/820399
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 4) แฉเฟซบุ๊คสอบการเงิน'โซรอส' : สื่อสหรัฐแฉผู้บริหาร เฟซบุ๊คสั่งลูกน้องค้นหาผลประโยชน์ทางการเงินของจอร์จ โซรอส หลังวิจารณ์บริษัทอินเทอร์เน็ตดังกลางเวทีเวิลด์อีโคโนมิกส์ ฟอรัมช่วงต้นปี



    หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (29 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า นางเชอรีล แซนด์เบิร์ก ประธานคณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (ซีโอโอ) เฟซบุ๊ค สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารค้นหาว่านายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีหัวเสรี มีผลประโยชน์ทางการเงินอะไรบ้าง



    คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนาย โซรอสวิจารณ์เฟซบุ๊คและกูเกิลอย่างรุนแรง ขณะกล่าวสุนทรพจน์ในงาน เวิลด์อีโคโนมิกส์ฟอรัมที่เมืองดาวอส เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเรียก 2 บริษัทนี้ว่าเป็นภัยอันตราย ซึ่งช่วงนั้นเฟซบุ๊ค กำลังถูกตรวจสอบเรื่องวิธีจัดการกับการเผยแพร่ข้อมูลลวงของรัสเซีย และ เฮทสปีชที่มีอยู่ทั่วแพลตฟอร์ม เธอจึง สั่งให้ลูกน้องตรวจสอบคำวิจารณ์ของ นายโซรอส และดูว่าเขารับเงินมาโจมตีบริษัทหรือไม่



    ด้านโฆษกเฟซบุ๊คชี้แจงว่าบริษัทสั่งให้ หาแรงจูงใจของนายโซรอสเมื่อเดือน ม.ค. ก่อนที่นางแซนด์เบิร์กจะมีคำสั่ง



    "นายโซรอสเป็นนักลงทุนที่โดดเด่น เราจึงตรวจสอบการลงทุนของเขาและการค้าขายที่เกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊ค ตั้งแต่ก่อนที่นางเชอรีลจะมีอีเมลมาถาม ว่านายโซรอสเทขายหุ้นเฟซบุ๊คหรือไม่ และเธอไม่เคยสั่งให้หาข้อมูลกลุ่มฟรีดอมฟรอมเฟซบุ๊ค แต่บอกก่อนหน้านั้นว่าเธอขอรับผิดชอบทุกอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของเธอ"



    ทั้งนี้ กลุ่มฟรีดอมเฟซบุ๊คเป็นกลุ่มที่ต่อต้านโซเชียลมีเดียรายนี้


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    - Facebook’s report on George Soros attempts to tie him to an anti-Facebook coalition

    https://www.theverge.com/2018/12/1/...irs-commissioned-report-george-soros-document
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 4) กาตาร์'อำลา'โอเปก'ตั้งแต่ปีหน้า ย้ำไม่เกี่ยวการเมือง-หันโฟกัสอุตสาหกรรมก๊าซ - กาตาร์ ประกาศถอนตัวออกจาก “โอเปก” ตั้งแต่ 1 มกราคมปีหน้า ย้ำไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง แต่วางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวเพื่อโฟกัสอุตสาหกรรมก๊าซ การตัดสินใจนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่โอเปกและพันธมิตรจะประชุมที่กรุงเวียนนา ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะตกลงลดการผลิต 1-1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 5% เมื่อวานนี้



    ซาเอ็ด อัล-คาบี รัฐมนตรีพลังงานกาตาร์ ได้แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า กาตาร์จะถอนตัวออกจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 1 มกราคม 2562 การตัดสินใจนี้มีขึ้นหลังจากที่กาตาร์ได้ทบทวนแนวทางต่าง ๆ เพื่อเพิ่มบทบาทระหว่างประเทศและวางแผนกลยุทธ์ในระยะยาว ซึ่งรวมถึงการหันไปโฟกัสต่ออุตสาหกรรมก๊าซ



    รัฐมนตรีพลังงานกาตาร์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวนี้จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลง “ในเชิงกลยุทธ์และเทคนิค” และไม่ได้มีแรงจูงใจทางการเมือง และได้แจ้งแก่โอเปกแล้ว แต่กาตาร์จะยังคงเข้าร่วมการประชุมโอเปกที่กรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้



    รัฐมนตรีพลังงานกาตาร์ กล่าวว่า การตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากกาตาร์ได้เป็นสมาชิกโอเปกมานาน 57 ปี แต่กล่าวว่าผลกระทบของกาตาร์ที่มีต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตของโอเปกมีน้อย และย้ำว่ารัฐบาลโดฮาจะยังคงทำตามคำมั่นทั้งหมดเหมือนกับผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกรายอื่นๆ



    รัฐมนตรีพลังงานกาตาร์ยังกล่าวว่า การตัดสินใจถอนตัวจากโอเปกเป็นการสะท้อนว่ากาตาร์ตั้งใจที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากกำลังจะเพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จาก 77 ล้านตัน เป็น 110 ล้านตันต่อปี



    การประกาศของกาตาร์มีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะมีการประชุมของโอเปกและพันธมิตรซึ่งรวมถึงรัสเซียในวันที่ 6-7 ธันวาคมนี้ที่กรุงเวียนนา เพื่อหารือเกี่ยวกับการลดซัพพลาย



    อัล-คาบี กล่าวว่า การตัดสินใจในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับที่ซาอุดีอาระเบียและชาติอาหรับอื่น ๆ อีกสามชาติ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อกาตาร์นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560



    ขณะนี้ กาตาร์ผลิตน้ำมันเพียง 600,000 บาร์เรลต่อวัน แต่เป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่สุดของโลก



    ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นประมาณ 5% เมื่อวานนี้ หลังจากที่สหรัฐและจีนตกลงพักรบจากสงครามการค้าเป็นเวลา 90 วันและก่อนที่จะมีการประชุมโอเปก



    ตราสารน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต ของสหรัฐ (ดับเบิลยูทีไอ) อยู่ที่ 53.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเวลา 13.22 น.ตามเวลาในประเทศไทยเมื่อวานนี้ เพิ่มขึ้น 2.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือ 4.9% เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวันศุกร์ ส่วนตราสารน้ำมันดิบเบรนต์ปรับตัวขึ้น 2.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือ 4.9% อยู่ที่ 62.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล



    ราคาน้ำมันดิบสหรัฐยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการประกาศของแคนาดาที่ว่ารัฐแอลเบอร์ตาของแคนาดาจะบีบให้ผู้ผลิตลดกำลังการผลิตลงประมาณ 8.7% หรือ 325,000 บาร์เรลต่อวันเพื่อจัดการกับปัญหาคอขวดของท่อส่งน้ำมันซึ่งได้ทำให้เกิดการสะสมน้ำมันดิบในสต๊อก น้ำมันของแอลเบอร์ตาส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐ



    จีนและสหรัฐได้ตกลงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานอกรอบการประชุมกลุ่มจี 20 ในอาร์เจนตินา โดยทั้งสองประเทศจะไม่เก็บภาษีเพิ่มเป็นเวลา 90 วัน และในขณะเดียวกันก็จะเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่มีอยู่



    สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐได้ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนักซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าน้ำมันดิบไม่ได้รวมอยู่ในรายการสินค้าที่แต่ละฝ่ายได้เก็บภาษีนำเข้าแต่เทรดเดอร์กล่าวว่า อารมณ์บวกจากการพักรบก็กำลังขับเคลื่อนตลาดน้ำมันดิบ



    มอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ข้อตกลงที่จะเจรจาต่อไปเป็นเวลา 90 วันในระหว่างที่หยุดขึ้นภาษีเป็นเซอร์ไพรส์ในทางบวกแม้ว่าการเจรจาการค้าจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ และกล่าวว่าโดยรวม ๆ แล้ว แนวโน้มการเติบโตของปี 2562 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพราะการเจรจาใหม่



    เทรดเดอร์น้ำมันจะจับตาการประชุมโอเปกในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ มีการคาดการณ์ว่า การประชุมครั้งนี้ สมาชิกโอเปกและรัสเซียซึ่งเป็นสมาชิกนอกกลุ่มจะประกาศลดการผลิตเพื่อควบคุมการผลิตที่เกินความต้องการอยู่จนทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงประมาณหนึ่งในสามมาตั้งแต่เดือนตุลาคม



    นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า โอเปกจะลดการผลิต 1-1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับระดับการผลิตของเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของโอเปกทั้งกลุ่มนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559



    ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานชี้ว่า รัสเซีย ผลิตน้ำมัน 11.37 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพฤศจิกายน ลดลงจากที่เคยผลิต11.41 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดหลังยุคโซเวียต



    ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐยังคงผลิตน้ำมันสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีกำลังการผลิตมากกว่า 11.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน และเนื่องจากกิจกรรมในการขุดเจาะน้ำมันยังคงสูงอยู่ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า


    Source: ข่าวหุ้น


    ความคืบหน้า

    - ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัว ก่อนประชุมโอเปกวันที่ 6 ธ.ค. : https://www.ryt9.com/s/iq35/2924592


    - Oil prices climb on expected OPEC-led supply cuts

    https://www.cnbc.com/2018/12/04/oil-markets-opec-meeting-in-focus.html
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 4) จีน'ลด-เลิก'ภาษีนำ เข้า'รถสหรัฐ': ประธานาธิบดีทรัมป์ เผยจีนเห็นชอบ ลด-เลิก เก็บภาษีรถยนต์ นำเข้าจากสหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญแนะ สงคราม การค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะเป็นอย่างไร ให้จับตาวันที่ 18 ธ.ค.นี้



    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐทวีตข้อความเมื่อวันอาทิตย์ (2 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น หนึ่งวันหลังตกลงสงบศึก การค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ว่าจีนเห็นชอบลดและเลิกเก็บภาษีรถยนต์ นำเข้าจากสหรัฐ จากปัจจุบันที่เก็บในอัตรา 40%



    อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐไม่ได้อธิบายว่า ภาษีรถยนต์ตัวใดได้รับการลดและยกเลิก



    ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ค.รัฐบาลปักกิ่ง ได้ลดภาษีรถยนต์นำเข้าจาก 25% มาอยู่ที่ 15% เพื่อกระตุ้นให้บริษัทรถยนต์นานาชาติ เพิ่มยอดขายในแดนมังกรซึ่งเป็นตลาด รถยนต์ใหญ่สุดของโลก แต่สงครามการค้า กับสหรัฐที่ระอุขึ้นในฤดูร้อนนี้ ทำให้ รัฐบาลปักกิ่งเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจาก สหรัฐเพิ่มอีก 25% รวมเป็น 40%



    ปัจจุบันบริษัทรถยนต์สหรัฐหลายราย เข้ามาผลิตในจีน แต่การขึ้นภาษีก็ส่งผล กระทบต่อยอดขาย เช่น เทสลา ที่ราคารถ สูงขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้ส่งผลให้ยอดขายลดลง ล่าสุดบริษัทประกาศว่าจะดูดซับต้นทุนภาษี ที่สูงขึ้นไว้เอง ไม่ส่งต่อให้เป็นภาระผู้บริโภค



    ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยูจากเยอรมนี และลินคอล์นของฟอร์ดก็ได้รับผลกระทบ หนักจากภาษี เนื่องจากรถบางรุ่นผลิต ในสหรัฐส่งมาขายในจีน



    ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก ประธานาธิบดีทรัมป์และสีตกลงระงับ เก็บภาษีใหม่เป็นเวลา 90 วันและเกิดขึ้น ในช่วงที่นายทรัมป์เล็งขึ้นภาษีรถยนต์ นำเข้าจากสหภาพยุโรป สำนักข่าวดีพีเอ ของเยอรมนีรายงานอ้างแหล่งข่าว ระบุ ผู้บริหารระดับสูงจากค่ายรถเยอรมนี ทั้ง โฟล์คสวาเกน เดมเลอร์ และบีเอ็มดับเบิลยู มีกำหนดพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ทำเนียบขาวในวันอังคาร (4 ธ.ค.) ตามเวลา ท้องถิ่น เพื่อหารือกันในเรื่องนี้


    สำหรับการสงบศึกการค้า 90 วัน ระหว่างจีนกับสหรัฐนายสกอตต์ เคนเนดี รองผู้อำนวยการกลุ่มคลังสมองฟรีแมนแชร์ อินไชน่าสตัดดีส์และผู้อำนวยการโครงการ เศรษฐกิจการเมืองและธุรกิจจีน ศูนย์ เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ ศึกษาตั้งข้อสังเกตกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี ว่า วันที่ 18 ธ.ค.นี้จีนจะฉลองวันครบรอบ 40 ปี การปฏิรูปเศรษฐกิจ จึงอาจถือโอกาส ตอกย้ำเรื่องการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ ประเทศ


    "ถ้าถึงวันนั้นหรือในสัปดาห์นั้นไม่มีการ ประกาศเรื่องสำคัญออกมา ก็มั่นใจได้เลยว่า จีนไม่น่าจะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงทิศทาง นโยบายอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของ ประเทศ" แต่ถ้ามีการประกาศ ก็แน่นอนว่า ศึกภาษีระหว่างสหรัฐกับจีนจะปะทุอีกครั้ง หลังสิ้นสุดช่วงสงบศึก 90 วัน


    ด้านตลาดหุ้นทั่วเอเชียวานนี้ขานรับ ข่าวดีจากสองมหาอำนาจเศรษฐกิจ ตลาดฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ปิดบวกกว่า 2% ตลาดโตเกียวขยับขึ้น 1% ซิดนีย์เพิ่มขึ้น 1.8% โซล 1.7% สิงคโปร์ 2.2% และ ไทเป 2.5%


    เมื่อเดือน ก.ค.รัฐบาลปักกิ่งได้ลดภาษีรถยนต์นำเข้า จาก 25% มาอยู่ที่ 15% แต่สงครามการค้ากับสหรัฐที่ระอุขึ้น ทำให้ต้องเก็บภาษีรถยนต์สหรัฐเพิ่มอีก 25% รวมเป็น 40%


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    - China has agreed to lower, remove tariffs on cars: Trump

    https://www.businesstimes.com.sg/transport/china-has-agreed-to-lower-remove-tariffs-on-cars-trump


    - Trump's China car tariffs claim sows confusion

    https://www.bbc.com/news/business-46436269
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 4) Updated: รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีน้ำมันออกไปอย่างน้อย 6 เดือน หลังจากได้รับการต่อต้าน: รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีน้ำมันออกไปอย่างน้อย 6 เดือน หลังได้รับการต่อต้านจากประชาชนจำนวนมากและเกิดเหตุการณ์ประท้วงที่มีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

    โดย นาย Edouard Philippe นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กล่าวว่า “No tax is worth jeopardising the unity of the nation” และรัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อความไม่พอใจของประชาชนที่ออกมาประท้วงบนท้องถนน อีกทั้งพร้อมจะนำเสนอมาตรการใหม่ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงคนชั้นกลางอีกด้วย


    อย่างไรก็ตาม นาย Philippe กล่าวเตือนว่า ประชาชนไม่สามารถคาดหวังการบริการภาครัฐที่ดีขึ้นพร้อมกับอัตราภาษีที่ปรับลดลงได้ในขณะเดียวกัน โดยประชาชนฝรั่งเศสแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการให้ภาษีปรับสูงขึ้นหรือไม่ต้องการให้มีการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นหรือในกรณีที่อัตราภาษีต้องปรับลดลง การใช้จ่ายภาครัฐจำเป็นต้องปรับลดลงด้วยเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลไม่ต้องการให้คนรุ่นต่อๆ ไปต้องรับภาระหนี้ที่เพิ่มมากขึ้นจากระดับหนี้ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงมากอยู่แล้ว


    การประท้วงของประชาชนตามท้องถนนในช่วงที่ผ่านมาหรือที่เรียกว่ากลุ่ม “yellow vest” เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 2018 โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจต่อแนวคิดการจัดเก็บภาษีน้ำมันจากประชาชน ก่อนจะขยายวงไปสู่การประท้วงเพื่อต่อต้านรัฐบาลของ นาย Emmanuel Macron ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งการประท้วงดังกล่าวเป็นไปด้วยความสงบในช่วงแรก ก่อนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเกิดเป็นการจลาจลในกรุงปารีสเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


    ประเด็นปัญหาดังกล่าว นอกจากส่งผลให้รัฐบาลฝรั่งเศสจำเป็นต้องเลื่อนการจัดเก็บภาษีน้ำมันออกไปและอาจส่งผลกระทบต่องบประมาณของฝรั่งเศสซึ่งคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านยูโร ยังก่อให้เกิดความกังวลต่อแนวทางการปฏิรูปประเทศของนาย Macron ต่อไปในอนาคตอีกด้วย


    Source: BoTSS


    ************

    รัฐบาลฝรั่งเศสระงับแผนขึ้นภาษีน้ำมันเป็นเวลา 6 เดือน หวังยุติความรุนแรงในประเทศ:


    รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศระงับแผนการปรับขึ้นภาษีเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 หลังจากชาวฝรั่งเศสพากันลุกฮือประท้วงต่อแผนการดังกล่าว จนเกิดความรุนแรงไปทั่วประเทศ


    "หลังจากที่ได้รับทราบความไม่พอใจของประชาชน ผมก็ได้ตัดสินใจระงับการใช้ 3 มาตรการทางการคลัง ซึ่งรวมถึงการเพิ่มภาษีเชื้อเพลิง" นายเอดูอาร์ด ฟิลิป นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กล่าว


    นอกจากนี้ นายฟิลิปยังกล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาจะต้องยุติลง และการใช้มาตรการภาษีจะต้องไม่มีผลกระทบต่อความเป็นเอกภาพของประเทศ


    รัฐบาลประกาศระงับแผนการปรับขึ้นภาษีเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่แกนนำของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองที่ออกโรงคัดค้านการปรับขึ้นภาษีน้ำมัน และค่าครองชีพที่พุ่งขึ้นสูง ได้ปฏิเสธคำเชิญของนายฟิลิปที่ต้องการให้เข้าพบเพื่อหาทางแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น


    Source --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    https://www.cnbc.com/2018/12/04/france-fuel-protests-government-to-suspend-fuel-tax-reports-say.html
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 4) ปอนด์พุ่งเทียบดอลลาร์,ยูโร หลังที่ปรึกษาศาลยุโรปไฟเขียวอังกฤษยกเลิก Brexit: ปอนด์พุ่งขึ้นเทียบดอลลาร์และยูโร หลังเป็นที่ปรึกษาศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) เสนอให้อังกฤษสามารถดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวในการยกเลิกกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)


    ณ เวลา 18.00 น.ตามเวลาไทย ปอนด์แข็งค่า 0.75% สู่ระดับ 1.2817 ดอลลาร์ และปรับตัวขึ้น 0.25% สู่ระดับ 0.8898 เทียบยูโร


    นายมานูเอล แคมโปส ซานเชส-บอร์โดนา ซึ่งเป็นที่ปรึกษา ECJ กล่าวว่า อังกฤษควรได้รับอนุญาตให้สามารถดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวในการยกเลิกกระบวนการ Brexit


    คำกล่าวของนายซานเชส-บอร์โดนามีขึ้น ขณะที่รัฐสภาอังกฤษกำลังดำเนินการอภิปรายเป้นเวลา 5 วันต่อข้อเสนอของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ที่นางเมย์ทำไว้กับ EU ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติต่อข้อตกลง Brexit ในวันอังคารหน้า


    ทั้งนี้ นายซานเชส-บอร์โดนาให้คำแนะนำดังกล่าวต่อ ECJ ก่อนที่ ECJ จะมีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวอย่างเป็นทางการในเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ โดยที่ผ่านมา ECJ มักมีคำวินิจฉัยสอดคล้องกับคำแนะนำของที่ปรึกษา


    นอกจากนี้ นายซานเชส-บอร์โดนาเสนอให้ ECJ ประกาศว่า มาตรา 50 อนุญาตให้ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) สามารถประกาศยกเลิกแต่เพียงฝ่ายเดียวเกี่ยวกับความตั้งใจในการถอนตัวออกจาก EU ซึ่งในกรณีของอังกฤษนั้น รัฐบาลอังกฤษสามารถแจ้งต่อ EU เกี่ยวกับการยกเลิก Brexit ก่อนวันที่ 29 มี.ค.62 ซึ่งจะเป็นวันที่อังกฤษแยกตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการ


    นักการเมืองของสก็อตแลนด์เป็นผู้ยื่นเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ ECJ โดยหวังว่าคำวินิจฉัยของ ECJ จะช่วยปูทางให้มีการจัดการลงประชามติเกี่ยวกับ Brexit อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ลงคะแนนมีทางเลือกในการตัดสินใจอยู่กับ EU ต่อไป


    Source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    https://www.cnbc.com/2018/12/03/brexit-eu-top-court-is-set-to-rule-on-article-50.html


    - ปรึกษาศาลยุโรปไฟเขียวอังกฤษฉีก Brexit โดยไม่ต้องขออนุญาต Eu : https://www.ryt9.com/s/iq37/2924547
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 4) ขึ้นดอกเบี้ยไม่ต้องรีบร้อน : รายงานการประชุมของคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบอร์ด กนง.ได้มีมติ 4 ต่อ 3 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยกรรมการ 3 คน เห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% ต่อปี

    อย่างไรก็ดี เสียงส่วนใหญ่ยังมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ซึ่งเป็นการคงดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยไว้ได้ตลอดไป เสียงของบอร์ด กนง.ที่เห็นว่าควรจะขึ้นดอกเบี้ย ให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวชัดเจน และภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และเพื่อเริ่มสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) สำหรับอนาคต

    บอร์ด กนง.ส่วนใหญ่เห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จึงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะขึ้นดอกเบี้ย แม้บอร์ด กนง.ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยให้ขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็มีการส่งสัญญาณอย่างน้อย 2 ครั้งว่า ความจำเป็นของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายน้อยลงเรื่อยๆ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงิน โดยเฉพาะจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน

    ด้านตลาดการเงินนั้น เริ่มมีการขยับปรับสภาพคล่องทางการเงินบ้างแล้ว หลายธนาคารเริ่มปรับไส้ในของเงินฝากและสินเชื่อ โดยขึ้นดอกเบี้ยเป็นรายผลิตภัณฑ์ไม่ได้ขึ้นเป็นการทั่วไป โดยเฉพาะสินเชื่อบุคคล ทั้งนี้

    ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศว่าขึ้นดอกเบี้ย 0.05% บางแคมเปญตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 เป็นต้นมา อีกทั้งมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ 0.5-1% เช่นเดียวกับธนาคารธนชาตที่ประกาศก่อนหน้านี้ว่าเลิกการจัดแคมเปญโปรโมชั่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้สอดคล้องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

    ส่วนธนาคารขนาดเล็กก็จัดโปร โมชั่นเงินฝากลูกค้ารายใหญ่ ให้ดอกเบี้ยพิเศษ โดยจัดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น 6-9 เดือน เป็นต้น ซึ่งใช้ดึงเงินฝากเข้าในช่วงที่ต้องการเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี

    นอกจากนี้ สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวได้ดีเกินคาด มาจากการเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางเป็นหลัก ซึ่งได้รับอานิสงส์จากภาคการส่งออก ทำให้ความต้องการสินเชื่อในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวดี

    อย่างไรก็ดี ยังมีแรงกดดันจาก เอสเอ็มอีขนาดเล็กและขนาดย่อมที่ยังไม่ฟื้นตัวทันกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ขณะที่สินเชื่อรายย่อยปรับตัวดีขึ้นตามคาด ดังนั้นแนวโน้มสินเชื่อในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง และประคองให้สิ้นปีนี้เติบโต 5% ได้ โดยมีสินเชื่อธุรกิจและรายย่อยเป็นตัวนำ

    นักวิเคราะห์ระบุว่า ภายหลังจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยต่างประเทศปรับขึ้นชัดเจนแล้ว การระดมทุนของภาคเอกชนนั้นมีทั้งระดมทุนในประเทศและต่างประเทศ จากนี้ไปจะเริ่มเห็นผู้ที่กู้เงินต่างประเทศหันมากู้เงินในประเทศมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยต่ำต้นทุนการเงินก็จะถูกกว่า ซึ่งจะมีส่วนทำให้สภาพคล่องในประเทศลดลง

    การระดมทุนของภาคเอกชนไทยที่ผ่านมาพึ่งพาเงินจากตลาดหุ้นกู้มีสัดส่วนที่สูงมากขึ้น และมียอดคงค้างในระบบมากถึง 2.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเกือบจะมีมูลค่าเท่ากับสินเชื่อของภาคสถาบันการเงินที่ถ้าหักสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและเล็กจะอยู่ที่ 3.3 ล้านล้านบาท

    นอกจากนี้ การไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่จะไหลออกไปหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีมากขึ้น สำหรับตลาดหุ้นมีเงินไหลออกไปร่วม 2 แสนล้านบาทแล้ว แต่ในตลาดพันธบัตรนั้นก็มีทั้งไหลออกและไหลเข้า เป็นระยะตามสถานการณ์ต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มว่าเงินจะไหลกลับเข้ามา เพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องอย่างชัดเจน

    และหากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ สามารถปักธงได้ในปีนี้ โอกาสที่จะได้เห็นดอกเบี้ยปรับทิศเป็นขาขึ้นอาจจะเร็วกว่าที่คาด และอาจหักปากกา นักวิเคราะห์ที่มองไปในทางเดียวกันว่าดอกเบี้ยไทยจะไปขึ้นในปีหน้า เพราะสภาพคล่องในประเทศยังมีสูง 2-3 ล้านล้านบาท เนื่องจากสภาพคล่องเริ่มเหือดลงเร็วกว่าที่คาด

    วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า การที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่การสื่อความว่าหมดยุคดอกเบี้ยต่ำอาจเกิดความเข้าใจผิดว่าเมื่อเริ่มขึ้นดอกเบี้ยแล้ว จะขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นเช่นนั้น

    ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงภายนอกอีกหลายด้าน เช่น มาตรการกีดกันการค้าและผลกระทบการท่องเที่ยว ซึ่งในที่ประชุม กนง.เห็นตรงกันว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากเป็นพิเศษลดความจำเป็นลงแล้ว แต่นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยการจะตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยจะพิจารณาจากข้อมูลและสถานการณ์ในแต่ละช่วงเป็นสำคัญ

    อย่างไรก็ดี ไม่คิดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะสภาพคล่องส่วนเกินยังมีมาก และธนาคารแข่งขันสูง ต้นทุนเงินฝากไม่ได้ปรับขึ้นทันที จึงไม่ต้องเร่งปรับดอกเบี้ยสินเชื่อ สิ่งที่ธนาคารควรทำคือปรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่เคยให้เอ็มแอลอาร์ลบสูงๆ แก่ธุรกิจรายใหญ่ก่อน

    โดย ชลลดา อิงศรีสว่าง

    Source: Posttoday
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,263
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 4) ครม.ไฟเขียว! ช็อปช่วยชาติ 15 ธ.ค.61-16 ม.ค.62 : นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการช็อปช่วยชาติ โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 15 ธ.ค.2561 - 16 ม.ค.2562


    โดยมีสินค้ายางรถยนต์ ผลิตภายในประเทศและใช้ยางพาราในประเทศในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ โดยบริษัทยางรถยนต์ที่เข้าร่วมมาตรการนี้ รัฐบาลจะมีโควตาในการจำหน่ายเพื่อให้สอดคล้องกับการรับซื้อยางพาราที่ซื้อจากเกษตรกร และขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)


    2. การซื้อหนังสือและ e-book ไม่รวมหนังสือพิมพ์-นิตยาสาร และ

    3.สินค้าโอทอป โดยสินค้าทั้ง 3 รายการจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท และต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบมาแสดงในการขอคืนภาษี


    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/820347


    ************

    มติครม.ไฟเขียวมาตรการช้อปช่วยชาติ


    ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการช้อปช่วยชาติซื้อสินค้าโอท็อป-หนังสือ-ยางล้อรถ ตั้งแต่ 15 ธ.ค.61-16 ม.ค.62 หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท


    วันนี้ (4ธ.ค.61) นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (ช้อปช่วยชาติ) โดยปีนี้จะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นผลผลิตทางการเกษตรที่มีราคาตกต่ำ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการเรียนรู้ทางหนังสือ และส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชน


    มาตรการดังกล่าวกำหนดให้ผู้มีรายได้บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าซื้อสินค้าในช่วงตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.61-16 ม.ค.62 ไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมาตรการดังกล่าวจะคร่อมปี ดังนั้นขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายว่าเกิดขึ้นในช่วงปีใดก็จะสามารถนำไปหักลดหย่อนได้ในปีนั้น หรือหากซื้อทั้ง 2 ปีก็จะสามารถหักได้ทั้ง 2 ปีแต่รวมกันต้องไม่เกินไม่เกิน 15,000 บาท


    ผู้ใช้สิทธิดังกล่าวสามารถซื้อสินค้าได้ 3 ประเภท คือ 1.สินค้าโอท็อปที่ลงทะเบียนไว้กับกรมการพัฒนาชุมชน โดยผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป และต้องระบุว่าเป็นการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์


    2.หนังสือหรือ e-Book แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ โดยต้องซื้อจากผู้ประกอบการที่ได้รับจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และต้องออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปเช่นกัน


    3.ยางล้อรถยนต์ ล้อรถจักรยานยนต์ และรถจักรยาน โดยซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายซึ่งซื้อวัตถุดิบจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยผู้มีเงินได้จะต้องมีหลักการซื้อสินค้าเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป และหลักฐานที่เป็นคูปองจาก กยท.


    ทั้งนี้ กยท.จะไปดำเนินการแจกคูปองให้กับร้านค้า ซึ่งจะเริ่มโครงการวันที่ 15 ธ.ค.ก็คงต้องดำเนินการให้ทัน ส่วนค่าเปลี่ยนล้อรถ ค่าถ่วงยาง ไม่รวมอยู่ใน 15,000 บาท


    Source: TNN 24

    https://tnnthailand.com/content/10474
     

แชร์หน้านี้

Loading...