ติดตามสถานะการณ์

ทันข่าวเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผลพิสูจน์ปลอกกระสุนชี้ชัด!! คนร้ายยิงทหารพรานเสียชีวิต กลางตลาดนัดบ้านตันหยงดาลอ ปัตตานี เชื่อมโยงกลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ จชต.

..........................................................

ผลพิสูจน์หลักฐาน จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) กรณีคดีคนร้าย 4 คน ใช้อาวุธปืนประกบยิง ทหารพรานเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย กลางตลาดนัดบ้านตันหยงดาลอ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พบคนร้ายเคยใช้อาวุธปืนทำการก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน เชื่อมโยงคดีสำคัญหลายคดี ชี้ชัดเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่

จากกรณีเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 2 พ.ย.61 ที่ผ่านมา ร.ต.ท.เจตรินทร์ เจตนุรักษ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี รับแจ้งคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงทหารพรานเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณตลาดนัดบ้านตันหยงดาลอ หมู่ 1 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบศพ อส.ทพ.วราพันธ์ ขุนทอง อายุ 22 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช สังกัด ร้อย.ทพ.4203 ฉก.ทพ.42 เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ยังพบผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทราบชื่อคือ อส.ทพ.อาทร ทั่วจบ อายุ 23 ปี ชาว จ.ปัตตานี สังกัด ร้อย.ทพ.4203 ฉก.ทพ.42 ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหารพรานทั้ง 2 นาย กำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณตลาดนัด ซึ่งเปิดขายเป็นประจำช่วงตอนเย็น มีแม่ค้าพ่อค้า ประชาชน มาจับจ่ายซื้อของกันอย่างพลุกพล่าน จากนั้นได้มีคนร้ายจำนวน 4 คน อำพรางตัวทำทีมาซื้อของ ก่อนใช้อาวุธปืนประกบยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานทั้ง 2 นาย หลังก่อเหตุคนร้ายยังได้เอาอาวุธปืนยาวของเจ้าหน้าที่จำนวน 2 กระบอก หลบหนีขึ้นรถ จยย. 2 คัน จากเหตุการดังกล่าวมีประชาชน 1 ราย ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนหมดสติถูกนำตัวส่ง ร.พ.ยะหริ่ง

ส่วนความคืบหน้าของคดีล่าสุด ผลการตรวจพิสูจน์ปลอกกระสุนที่เก็บรวบรวมได้ในที่เกิดเหตุของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) จำนวน 5 รายการ ได้แก่ปลอกกระสุนปืนกลเล็กขนาด .223(5.56 มม.) จำนวน 1 ปลอก, ปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER จำนวน 1 ปลอก, ลูกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด .38 (9 มม.) จำนวน 1 ลูก, ลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาดประมาณ .38 จำนวน 1 ลูก และรองลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาดประมาณ .38 จำนวน 1 อัน

จากการพิสูจน์หลักฐานพบว่าปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงคดีสำคัญถึง 24 คดีด้วยกัน ก่อเหตุตั้งแต่ปี 2554 - 2561 เช่น คดียิงและเผานางเบญจพร เกื้อตุ้ง ขณะไปซื้อสินค้าในตลาดนัด เยื้องกับ อบต.ราตาปันยัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 ก.พ.57

ลูกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด .38 (9 มม.) พบว่ามีความเชื่อมโยงถึง 4 คดี เช่นคดียิง น.ส.อารมย์ จอมเพ็ชร และนายกรินท์ ชวิศสกุล สองแม่ลูกรับเหมาก่อสร้างเสียชีวิตคาร้านน้ำชา ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 4 ต.ค.61

ส่วนของรองลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาดประมาณ .38 พบมีความเชื่อมโยงคดีสำคัญถึง 21 คดี คดีสำคัญได้แก่ คดียิงนายยะโก๊ป หร่านมณี เป็นโต๊ะอีหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี บริเวณ ถ.ยะรัง ซอย 6 ต.จะบังติกอ อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 5 ส.ค.56 และคดียิงนายสกล ชฎารัตน์ ครูอัตราจ้างโรงเรียนชุมชนบ้านตะลุโบะเสียชีวิต บริเวณถนนสาย 42 ม.3 ต.บาราโหม อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 13 ก.ค.58

จากผลพิสูจน์หลักฐาน การก่อเหตุยิงทหารพรานเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย เมื่อวันที่ 2 พ.ย.61 ที่ผ่านมานั้น จะเห็นได้ว่าอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการมีความเชื่อมโยงการก่อเหตุคดีสำคัญหลายคดีด้วยกัน พฤติกรรมการก่อเหตุดังกล่าวเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ เพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง โดยมุ่งเน้นทำร้ายต่อ จนท.รัฐ บุคลากรทางการศึกษา ผู้นำศาสนา รวมถึงประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแอ

จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความหดหู่สะเทือนใจให้กับคนในพื้นที่ และรับไม่ได้กับการก่อเหตุสุดอุกอาจในพื้นที่สาธารณะ ส่วนภาคประชาสังคมตั้งคำถามหาเหตุผลการก่อเหตุดังกล่าว ทำไปเพื่ออะไร เพราะภาคประชาสังคมและกลุ่มผู้หญิงออกมาเรียกร้องตลอดให้มี "พื้นที่สาธารณะปลอดภัย" โดยเฉพาะตลาด โรงเรียน ถนน และศาสนสถาน แต่ผู้ก่อเหตุเลือกลงมือในตลาด แสดงให้เห็นถึงการไม่รับฟัง และก่อความรุนแรงสวนกระแสเรียกร้องความสงบของทุกฝ่าย

 

Candy Bella

ตําแหน่งพระยายืนชิงช้า แต่เดิมเป็นหน้าที่ประจําของเจ้าพระยาพลเทพ จตุสดมภ์กรมนา มาตั้งแต่สมัยอยุธยา จนถึงปลายรัชกาลที่ ๓ เมื่อเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) ถึงแก่อสัญกรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสุภาวดี (โต กัลยาณมิตร) และพระยาราชนิกูล (เสือ สนธิรัตน) เป็นพระยายืนชิงช้าแทนเจ้าพระยาพลเทพคนละปี แล้วจึงเปลี่ยนเป็นพระยาสุรเสนา (สุข สินสุข) เป็นพระยายืนชิงช้าซ้ำทุกปีจนสิ้นรัชกาล

ครั้งถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพระราชดําริว่า เจ้าพระยาพลเทพถูกเกณฑ์แห่ใน พระราชพิธีถึงปีละ ๒ ครั้ง คือ พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ต้องแจกจ่ายเบี้ยเลี้ยงผู้คนสิ้นเปลืองเงินทองมาก กระบวนแห่ก็ไม่สนุกครึกครื้นเท่าที่ควร ขณะที่ข้าราชการผู้ใหญ่ท่านอื่น ๆ ที่มีกําลังในราชการมากกลับไม่มีโอกาสแห่แหนแสดงเกียรติยศ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการผู้ใหญ่ผลัดเปลี่ยนรับหน้าที่ เป็นพระยายืนชิงช้าคนละปี โดยทรงเลือกจากตําแหน่ง หน้าที่ ความดีความชอบในราชการและกําลังในสังกัด

# เครดิต

กลุ่มภาพเก่าในอดีต / © Punchalit Jotikasthira.

 

เจนจิรา จันทรเสนา

" ทวงคืนพลูโต "

นักดาราศาสตร์ Philip Metzger ได้กลับมาตั้งคำถามต่อนิยาม “ดาวเคราะห์” ใหม่ และเชื่อว่าดาว"พลูโต" ควรกลับมาเป็นดาวเคราะห์ ไม่ใช่ "ดาวเคราะห์แคระ" อย่างที่ได้ถูกจัดประเภทไว้นับตั้งแต่ถูกทิ้งเมื่อปี 2006

Philip Metzger นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Central Florida ระบุว่านิยาม "ดาวเคราะห์"ของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) ที่ว่า :
❶ โคจรรอบดวงอาทิตย์
❷ มีมวลมากพอที่แรงโน้มถ่วงจะคงรูปคล้ายทรงกลมได้
❸ ไม่มีวัตถุอื่นทับซ้อนอยู่บนวงโคจรเดียวกัน

ปัญหาข้อ ❸ นี่เองทำให้น้องพลูโต ถูกกีดกันออกจากการเป็นดาวเคราะห์ โดยที่ประชุม IAU เห็นว่าพลูโตไม่สามารถผลักให้วัตถุอื่นเช่นดาวเคราะห์น้อยหรืออุกกาบาตเบนออกจากเส้นทางการโคจรได้

แต่เมื่อกลับมาทบทวนดีๆ แล้ว ดาวเคราะห์ทุกดวงก็ไม่มีดวงไหนที่สามารถทำเช่นนั้นได้เลย แม้กระทั่งโลก

ดาวเคราะห์อย่างโลกเองก็มีอุกกาบาตขวางทางอยู่ในวงโคจรจำนวนมาก เพียงแต่ยังไม่มีลูกใดใหญ่พอจะสร้างความเสียหายในระดับที่ไดโนเสาร์เคยพบมาเท่านั้น

ส่วนนิยามดาวเคราะห์ข้อ ❶ นั้นก็กลายเป็นว่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะทุกดวงก็จะไม่ถูกนับเป็นดาวเคราะห์ไปเสียเฉยๆ เพราะมันโคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น

Philip Metzger เสนอว่าการนิยามดาวเคราะห์ด้วยข้อ ❶ และ ❷ ก็เพียงพอแล้ว แต่ต้องปรับนิยามให้ครอบคลุมขึ้น อย่างเช่นดูกระบวนการพัฒนาทางธรณีวิทยาประกอบด้วย

แต่หากนิยามเช่นนั้น ระบบสุริยะของเราก็อาจมีดาวเคราะห์ให้ท่องจำอย่างน้อย 13 ดวงแล้ว และอาจมีมากขึ้นในอนาคต

ที่มา:https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0019103518303063
via, jenjira1958

 

ครูใหญ่โรงเรียนจีนถูก “ไล่ออก” หลังพบว่าใช้ไฟฟ้าโรงเรียนในการ ‘ปั๊ม’ เงินดิจิทัล By เหมียวโลลิ -13/11/2018

ครูใหญ่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของมณฑลหูหนานประเทศจีนถูกไล่ออกเพราะมีคนจับได้ว่าแอบใช้ไฟฟ้าของโรงเรียนในการสร้างห้อง “ปั๊ม” เงินดิจิทัล Cryptocurrency





Lei Hua อาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียนมัธยมต้นในเมืองเฉินโจว ทุ่มเงินกว่า 10,000 หยวน (กว่า 47,000 บาท) ในการซื้ออุปกรณ์สำหรับกอบโกย Cryptocurrency

โดยที่เขานั้นไม่รู้เลยว่าการกระทำดังกล่าวทำให้มีค่าใช้จ่ายสำหรับไฟฟ้าสูงขึ้นมาก สูงกระทั่งเขาไม่สามารถจ่ายมันได้ด้วยตัวเอง

เขาจึงตัดสินใจย้ายอุปกรณ์ทั้งหมดมาไว้ที่โรงเรียน โดยจัดวางในห้องควบคุมไฟฟ้า เขาใช้ทั้งไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนเพื่อกอบโกยเงินดิจิทัลสกุล Ethereum อย่างต่อเนื่อง



การกระทำของครูใหญ่ทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอและอินเทอร์เน็ตช้าลงจนทำให้เกิดปัญหา ทั้งเด็กนักเรียนทั้งครูผู้สอนต่างพากันบ่นอย่างไม่พอใจ

เมื่อมีคนมารายงานปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้าให้ครูใหญ่ Hua ฟัง เขาก็กลับปัดความรับผิดชอบโดยการอ้างว่าน่าจะเป็นเพราะอากาศร้อน

แต่ภายหลังเสียงการทำงานของเครื่องปั๊มเงินของครูใหญ่ก็ดังจนไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ กระทั่งถูกค้นพบในที่สุด พอนับมูลค่าความเสียหายรวมของโรงเรียนแล้ว คิดได้เป็นเงิน 14,714 หยวน (เกือบ 70,000 บาท)



นั่นทำให้ครูใหญ่ Hua ถูกไล่ออก เพราะประเทศจีนนั้นยังไม่อนุญาตให้ผู้คนมีการข้องเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum จนกว่าทางการจะสามารถแนะแนวการใช้งานที่เหมาะสมได้

ที่มา: nextshark และ Xinhua


https://www.catdumb.com/fired-after...TbP0hY6TWm9Xzrgm2DB2WG8GBAyvZynP01qUeHar3vvCY

 

เจนจิรา จันทรเสนา



คุณยายชาวฝรั่งเศสท่านนี้ อายุ 101 ปีแล้วค่ะ รู้สึกตื้นตันใจมากที่คุณยายได้จับมือกับท่าน ปธน ของฝรั่งเศส แต่ว่า..คุณยายไม่รู้จักท่านนายกฯเยอรมนี จึงเข้าใจว่า ท่านนายกฯ เป็นภริยาของ ปธน.มาครง

ท่านนายกฯ เยอรมนี ต้องอธิบายอยู่พักใหญ่หลายรอบ ที่สุดคุณยายก็เข้าใจ..และดูคุณยายจะดีใจมาก

ขอให้คุณยายสุขภาพแข็งแรงนะคะ

 

La nueva era de la tierra - respaldo กำลังถ่ายทอดสด

#urgente
ไฟป่าออกจากการควบคุมในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีรายงานว่าได้รับบาดเจ็บแล้ว

 

La nueva era de la tierra - respaldo

















แจ้งว่าไฟป่าขาดการควบคุม
ใน California fontana รายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน

 

La nueva era de la tierra - respaldo



ทะเลกับหมู่บ้าน ใน เมืองการ์เมน
(เม็กซิโก) และถนนเป็นเหมือนแม่น้ำ
2018/11/13

 

La nueva era de la tierra - respaldo



มุมมองของ El Jonuco ใน Santa Catarina
ในมอนเตร์เรย์ มีลูกเห็บสะสมมากขึ้นและมอบโปสการ์ดที่งดงามให้เรา
2018/11/13

 

La nueva era de la tierra - respaldo



พวกเขาจับภาพได้สุดยอด พายุใน cordoba อาร์เจนตินาว้าว!!!!!!!
12.11.2018

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Nov 14) กนง.คงดอกเบี้ย 1.50 % กรรมการเสียงแตก 4 ต่อ 3 ส่งสัญญาณขยับดอกเบี้ย : นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี โดย 3 เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี

ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้อุปสงค์ต่างประเทศมีสัญญาณชะลอลงบ้าง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัว ทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสะสม ความเปราะบางในระบบการเงินได้ในอนาคต

โดยเฉพาะจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน คณะกรรมการฯ เห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัว ของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ย นโยบายไว้
ส่วนกรรมการ 3 ท่านเห็นว่าความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนเพียงพอ และภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมิน ความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนใน ระยะยาว และเพื่อเริ่มสร้างขีดความสามารถในการดําเนินนโยบายการเงิน (policy space) สําหรับอนาคต

เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าการส่งออกจะมีสัญญาณชะลอลงบ้าง โดยส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ ที่ชะลอลง และผลจากสภาวะอากาศของประเทศคู่ค้าที่เป็นปัจจัยชั่วคราว ขณะที่การท่องเที่ยวชะลอลง โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ตาม แรงส่งของอุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง การบริโภค ภาคเอกชนขยายตัวตามรายได้และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ปรับดีขึ้น แต่ยังได้รับแรงกดดันจาก หนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวตามการย้ายฐานการผลิต มายังไทย และโครงการร่วมลงทุนของรัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัว ชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้เดิมจากความล่าช้าในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ในภาพรวมเศรษฐกิจไทย ยังขยายตัวดีแต่เผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจมากกว่าคาดรวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปียังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นตามความผันผวนของราคาพลังงานและราคาอาหารสด อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิมตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่ปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิ ผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจ e-Commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น รวมถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ทําให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต

ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่อง ในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ ทําให้ภาคเอกชนสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวทั้ง สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค ด้านอัตราแลกเปลี่ยนนับจากการประชุมครั้งก่อน เงินบาทเทียบกับ เงินดอลลาร์สรอ.อ่อนค่าลงเช่นเดียวกับเงินสกุลภูมิภาคจากความกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ในระยะข้างหน้า อัตราแลกเปลี่ยนยังมีแนวโน้มผันผวน คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ติดตาม สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสร้างความเปราะบางให้ เสถียรภาพระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนําไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) สําหรับภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ส่งผลให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลดลง ได้รับการดูแลในระดับหนึ่งด้วยการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกํากับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ให้ติดตามพฤติกรรมการก่อหนี้ของภาคครัวเรือน และความสามารถในการชําระหนี้ของ ภาคธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้างและรูปแบบ การทําธุรกิจ

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้แรงส่งจากอุปสงค์ ต่างประเทศชะลอลงบ้างและอาจมีความเสี่ยงจากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และ จีนที่มากกว่าคาด รวมถึงต้องติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ในระยะต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป แต่การดําเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจําเป็นลง

Source: การเงินธนาคาร

******************************
ตามคาด กนง. 4:3 คงดอกเบี้ย 1.5% : กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% แต่เสียงแตกเพิ่ม มีกรรมการโหวตให้ขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1 เสียงจากการประชุมครั้งก่อน หรือมีมติ 4:3 ส่งสัญญาณความจำเป็นใช้ดอกเบี้ยต่ำน้อยลง

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) แถลงผลการประชุมกนง.ว่า คณะกรรมการมีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ต่อปี โดย 3 เสียงเห็นควรให้ขึ้นดกเบี้ยในอัตรา 0.25% เป็น 1.75% โดยมองเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง แม้อุปสงค์ในประเทศมีสัญญาณชะลอตัวบ้าง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่อาจมีความเสี่ยงจากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และจีนที่มากกว่าคาด รวมถึงต้องติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินในระยะต่อไป

ทั้งนี้คณะกรรมการ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนปรนต่อไป แต่การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจำเป็นลง

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)" ครั้งที่ 7/2561 วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561

Thai Version: https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...yHHCZaxCSa3gFRhv_IPC1VI8N6CLgN7FsPQViSsMo2PbI
English Version: https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...5kBW_yLvkjwhDh2CyOspWL1PpzlYb8RAuXW-3Su0LTXDQ

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Nov 14) ธปท.ปลื้มแบงก์แกร่ง แม้ค่าฟีหด-เอ็นพีแอลเพิ่ม : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาพรวมผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2561 พบว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงจากเงินสำรองและเงินกองทุนที่อยู่ในระดับสูง และสภาพคล่องเพียงพอในการสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงอย่างต่อเนื่อง

สมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์กันเงินสำรองเพื่อสร้างความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรอง 6.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1.54 หมื่นล้านบาท และสัดส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรองพึงกันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 190.7% จาก 182% ในไตรมาส 2 ส่วนอัตราเงินสำรองต่อ เอ็นพีแอล (Coverage Ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 146.5% จาก 139.5% เมื่อ สิ้นปีที่แล้ว

ทั้งนี้ การตั้งสำรองไม่ได้เร่งตัวขึ้น มากแล้วมาจาก 2 สาเหตุ คือหนี้ที่ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทรงตัวแล้ว ไม่เร่งขึ้นมากเหมือนในอดีต และการเลื่อนบังคับใช้มาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (IFRS9) ไปเป็นปี 2563 ช่วยผ่อนภาระของธนาคารลง ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น

ด้านเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสะท้อนว่าธนาคารพาณิชย์ไทยมั่นคงแข็งแรง โดยสิ้นไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 2.55 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.91 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการจัดสรรกำไรเข้าเป็นเงินกองทุน ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) 18.4% และอัตราส่วน เงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.8%

ขณะที่การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์เกินกว่าที่ ธปท.กำหนดไปมาก โดย ธปท.กำหนดให้ธนาคารมีสินทรัพย์สภาพคล่อง ระยะสั้น (LCR) 80% ในปี 2561 เพิ่มเป็น 90% ในปี 2562 และ 100% ในปี 2563 แต่ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีสูงถึง 176.9% ขณะที่การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องในระยะยาว (NSFR) ที่กำหนดไว้ 100% ธนาคารพาณิชย์ดำรงไว้สูงถึง129.3%

สมชาย กล่าวว่า สิ่งที่กดดันรายได้ของธนาคารพาณิชย์ยังคงเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังลดลงต่อเนื่อง โดยรายได้ ค่านายหน้าหดตัว 12.8% ซึ่งโดยหลักเป็นค่านายหน้าขายประกันที่ธนาคารยังอยู่ระหว่างปรับตัว เพื่อยกมาตรฐานการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (มาร์เก็ตคอนดักต์) ต้องให้เวลาสื่อสารสาขาและพนักงานให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์

ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินหดตัว 8.7% เนื่องจากผู้บริโภคหันมาโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งไตรมาส 3 ปริมาณธุรกรรมการโอนเงินผ่านโมบายและอินเทอร์เน็ตสูงถึง 314 ล้านรายการ โตกว่าไตรมาสก่อนหน้า 40% และก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 ที่มีเพียง 52 ล้านรายการ

สำหรับรายได้ค่านายหน้าและค่าโอนมีสัดส่วนน้อยเพียง 5.7% ของสินเชื่อ รวม แต่เมื่อเทียบเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมแล้วมีสัดส่วนสูงกว่า 30% ซึ่งการที่รายได้ ค่านายหน้าหดตัวมากกว่านั้น เพราะมาร์เก็ตคอนดักต์เพิ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อต้นปีนี้ ขณะที่รายได้ค่าโอนที่หดตัวน้อย กว่าเพราะผลกระทบเริ่มมีขึ้นตั้งแต่มีพร้อมเพย์เมื่อปี 2560 แล้ว

ด้านคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิด รายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2.94% เพิ่มขึ้นจาก 2.93% ในไตรมาสก่อน ยอดคงค้างเอ็นพีแอลที่ 4.43 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1,250 ล้านบาท โดยมาจากสินเชื่อเอสเอ็มอีที่เอ็นพีแอลเร่งตัวขึ้นจาก 4.45% เป็น 4.65% โดยเฉพาะใน 2 หมวด คือ หมวดอุตสาหกรรมและหมวดพาณิชย์ ที่มีความท้าทายในการปรับตัวรองรับโครงสร้างธุรกิจที่เปลี่ยนไป ทั้งการใช้เทคโนโลยีและการแข่งขันสูงขึ้นจากโมเดิร์นเทรดและอี-คอมเมิร์ซ

ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอลในช่วงที่เหลือของปี มองว่ามีโอกาสปรับขึ้นอีกในกลุ่มเอสเอ็มอีที่อาจเร่งตัวขึ้นบ้าง เพราะโดยปกติการส่งผ่านการกระจายตัว กว่าจะเห็นผลไปถึงภาคธุรกิจเอสเอ็มอี จะล่าช้ากว่าการเติบโตจีดีพี 2-3 ไตรมาส

"ปริมาณเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นอยู่ สะท้อนว่าเอ็นพีแอลยังไม่ถึงจุดพีก เพียงแต่อัตราการเพิ่มขึ้นนั้นเริ่มชะลอลง ตอบไม่ได้ว่าจะขึ้นไปถึง 3% หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในระยะต่อไปและนโยบายของธนาคารพาณิชย์ในการบริหารจัดการเอ็นพีแอล ซึ่งตามข่าวพบว่ามีธนาคารพาณิชย์บางแห่งปรับนโยบายไม่ขายเอ็นพีแอลออก เก็บมาบริหารเองเพื่อโอกาสสร้างรายได้เพิ่ม หากธนาคารแห่งอื่นมีนโยบายแบบเดียวกัน ตัวเลขเอ็นพีแอลอาจสูงขึ้นได้" สมชาย กล่าว

ขณะที่ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 เติบโต 6.3% เทียบระยะเดียวกันปีก่อนสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง แต่ผลบวกยังไม่ ส่งผ่านไปยังคุณภาพสินเชื่อบางกลุ่มโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ทำให้กำไรสุทธิของธนาคารมาจากรายได้ดอกเบี้ยตามสินเชื่อที่เติบโต ในภาวะที่รายได้ค่าธรรมเนียมหดตัวลงไป

แนวโน้มสินเชื่อในช่วงที่เหลือ ของปีนี้มีโอกาสเร่งตัวขึ้นได้ เพราะโดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 4 จะเป็นฤดูกาลที่ธนาคารพาณิชย์เร่งขยายสินเชื่อก่อนปิดปีบัญชี ส่วนมาตรการกำกับดูแล สินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้เร่งสินเชื่อไตรมาสสุดท้ายมากนัก เพราะได้เลื่อนการบังคับใช้ออกไปเป็นวันที่ 1 เม.ย. 2562 แล้ว

โดย ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์

Source: Posttoday

ข่าว ธปท. https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/News2561/n7361t.pdf

 

เผ่นแล้ว “อัสมา ดำรงค์ผล” อดีตอาจารย์ ม.ดัง ผวาโดนจับหอบเงินหนีไปฮ่องกงแฟนหนุ่มบินตาม เผยแพร่: 13 พฤศจิกายน 2561 21:28 น. ปรับปรุง: 13 พฤศจิกายน 2561 22:55 น. โดย: ผู้จัดการออนไลน์


MGR online - อดีตอาจารย์สาวมหาวิทยาลัยดัง หนีไปฮ่องกงแล้วตั้งแต่เช้ามืดที่ผ่านมา หลังมีข่าวโรงเรียนบดินทรเดชา แจ้งความกองปราบให้ดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง หลอกนักเรียนไปซัมเมอร์แคมป์ที่อังกฤษ ส่วนแฟนหนุ่มนั่งเครื่องตามกันไปติดๆ

วันนี้ (13 พ.ย.) มีรายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.อัสมา ดำรงค์ผล อดีตหัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งก่อเหตุหลอกลวงนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา 2 ไปศึกษาภาคฤดูร้อน หรือซัมเมอร์แคมป์ ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีนักเรียน 30 คนเข้าร่วม สูญเงินคนละ 9 หมื่นบาท รวมมูลค่าความเสียหาย 2.7 ล้านบาท และยังนำสำเนาเอกสารส่วนตัวของนักเรียนไปกู้เงินนอกระบบอีกนับล้านบาท จนรองผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา เข้าแจ้งความกองปราบปรามให้ดำเนินคดี ล่าสุด พบว่า น.ส.อัสมา ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว โดยขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านขั้นตอนด่านตรวจลงตราขาออก เมื่อเวลา 01.24 น. ของวันที่ 13 พ.ย. ไปยังฮ่องกง ด้วยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เที่ยวบิน HX-762 กำหนดเดินทางเวลา 03.20 น. ถึงสนามบินฮ่องกง 07.05 น.ตามเวลาท้องถิ่น

มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายธนพัฒน์ อวยพร แฟนหนุ่มของอาจารย์สาว ได้เดินทางออกนอกประเทศเช่นกัน โดยขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ ผ่านขั้นตอนด่านตรวจลงตราขาออก เวลา 02.08 น. ของวันที่ 13 พ.ย. เดินทางไปฮ่องกง ด้วยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เที่ยวบิน HX-780 กำหนดเดินทาง 04.00 น. ถึงสนามบินฮ่องกง 08.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยทั้งคู่ไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินขากลับแต่อย่างใด

โดยคาดว่า น.ส.อัสมา หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังทราบข่าวถูกโรงเรียนบดินทรเดชา 2 แจ้งความกองปราบปรามให้ดำเนินคดีฐานฉ้อโกงดังกล่าว

http://news1live.com/detail.aspx?Ne...QlpddBOGL4AMZiRRErDVdzvxNhjWDZGmktomskPV3D9Kw

 

เจ้าหน้าที่รัฐบาลโอบามา 30 คน ยื่นจดหมายถึงทรัมป์ ร้องยุติสงครามเยเมน! โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ - 14 พฤศจิกายน 2018



parstoday:เจ้าหน้าที่อาวุโส 30 คนของสหรัฐฯ ขณะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ในความผิดพลาดต่อการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในสงครามเยเมน ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯยุติสงครามในเยเมนโดยเร็วที่สุด

เจ้าหน้าที่คณะบริหารรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา 30 คน ได้เขียนจดหมายถึงโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องให้มีการยุติสงครามและการช่วยเหลือพันธมิตรซาอุดีอาระเบียในสงครามเยเมนโดยด่วน

บุคคลที่ปรากฏชื่อในจดหมายดังกล่าว อาทิ Susan Rice อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ John Brennan อดีตหัวหน้าสำนักงานข่าวกรองกลาง CIA, Wendy Sherman อดีตรัฐมตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และ Lisa Monaco อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโส

บรรดาผู้เขียนจดหมายดังกล่าวยอมรับว่า รัฐบาลโอบามาในปี 2015 ได้ตัดสินใจเพื่อให้การสนับสนุนพันธมิตรซาอุดีอาระเบียในการโจมตีเยเมน แต่ขณะนี้ไม่เห็นโอกาสใดๆที่จะยุติการแทรกแซงทางทหารของสหรัฐในสงครามเยเมน

ซาอุดิอาระเบียได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอีกหลายประเทศ ในการเข้าโจมตีเยเมนเมื่อเดือนมีนาคม 2015 และปิดล้อมรัฐอาหรับที่ยากจนทั้งทางบก ทางทะเลและทางอากาศ

ฝูงบินรบของซาอุดีอาระเบียและกลุ่มพันธมิตรในเยเมนได้ทำการโจมตีเยเมนอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลเรือนเยเมนเสียชีวิตมากกว่า 14,000 คน ได้รับบาดเจ็บนับหมื่นคน และยังส่งผลทำให้นับล้านคนต้องลี้ภัยและกลายเป็นบุคคลเร่ร่อน

ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ Mike Pompeo เรียกสงครามในเยเมนว่า หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ และกล่าวว่า: กองทัพซาอุดิอาระเบียและเอมิเรตส์มีความต้องการและจำเป็นต้องใช้อาวุธสงครามของสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯได้นำเสนอทั้งเครื่องบินรบและการฝึกอบรมแบบคู่ขนานและการปฏิบัติการทั้งหมดแก่พวกเขา

การยืนยันและการเน้นย้ำของ Mike Pompeo ถือเป็นการเปิดไฟเขียวให้แก่วอชิงตัน ในการดำเนินการขายอาวุธและอุปกรณ์ที่สร้างให้กับซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต่อไป เพื่อสร้างรายได้อันมหาศาลให้กับสหรัฐฯ

หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศถือว่าการโจมตีทางอากาศและขีปนาวุธของพันธมิตรซาอุดีอาระเบียเป็นสาเหตุหลักของการฆาตกรรมเด็ก ผู้หญิง และผู้สูงอายุในเยเมน

เอบีนิวส์ทูเดย์
http://www.abnewstoday.com
เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

http://www.abnewstoday.com/13394?fb...uDItOHPd7JQ537PEqdeOh6kxN9jBangmZSjZhCM8_x5hI

 

อังกฤษ: ‘Hate Crime’ ที่มีต่อศาสนา พุ่งสูงขึ้น 40% – มากกว่าครึ่งมุ่งเป้า “ชาวมุสลิม” ! โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ -18 ตุลาคม 2018



อาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อศาสนา (Religious Hate Crime)พุ่งสูงขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ทั่วอังกฤษและเวลส์ ในเวลาหนึ่งปี ตามที่จำนวนการกระทำผิดทางอาญาได้ถูกบันทึกไว้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

สถิติใหม่ ออกโดยกระทรวงมหาดไทยอังกฤษ เปิดเผยว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของการโจมตีที่มีแรงจูงใจมาจากความเกลียดชัง หรือ อคติที่มีต่อศาสนา ในระหว่างปี ค.ศ. 2017-2018 มุ่งเป้าไปยังชาวมุสลิมโดยตรง ขณะที่กลุ่มเป้าหมายรองลงมาคือ กลุ่มชาวยิว

ตำรวจได้ลงบันทึกการกระทำความผิดในอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime) ทั้งสิ้น 94,098 ครั้ง – ซึ่งมากกว่าเท่าตัวของตัวเลขที่เคยเกิดขึ้นในห้าปีก่อนหน้ารวม และขณะที่ทุกประเภทของอาชญากรรมดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ด้านศาสนา เชื้อชาติ เพศ และฯลฯ

เอกสารจากกระทรวงมหาดไทยอังกฤษระบุว่า: “การเพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการปรับปรุงการบันทึกของตำรวจ ถึงแม้ว่าการปะทุขึ้นของอาชญากรรมจากความเกลียดชังจะมีขึ้น ภายหลังจากเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงบางอย่าง เช่น การลงประชามติของสหภาพยุโรป และการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในปี ค.ศ. 2017”

“การที่อาชญากรรมจากความเกลียดชัง ที่มีต่อศาสนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก คิดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของความผิดทางอาญาเหล่านี้ ภายหลังจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในปี ค.ศ. 2017”

ช่วงเวลาที่รายงานระบุถึงคลอบคลุมระเวลาตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ถึงมีนาคม ค.ศ. 2018 ซึ่งประกอบด้วยเหตุการณ์สังหารโหดของชาวมุสลิมในแมนเชสเตอร์ ลอนดอนบริดจ์ และพาร์สันส์กรีน ตลอดจนการโจมตีโดยฝ่ายขวา ณ สวนสาธารณะ Finsbury

Darren Osborne ผู้ที่ขับรถตู้โดยสาร เพื่อพุ่งชนชาวมุสลิม ซึ่งกำลังเดินทางออกจากพิธีนมัสการในเดือนรอมฎอน อ้างว่า การโจมตีของไอซิส เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เขากระทำการโจมตีชาวมุสลิม ภายหลังจากที่เขาเริ่มมีพฤติกรรมส่อความรุนแรงในโลกออนไลน์ เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า

สามในสี่ของอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ที่ถูกบันทึกไว้ มีแรงจูงใจเกิดจากอคติต่อเชื้อชาติ ด้วยกับจำนวนความผิดเพิ่มขึ้นร้อยละ 40

ทั้งนี้ เจ้าหน้าทีตำรวจในปัจจุบันได้ทำการรวม การโจมตีชาวต่างประเทศ ผู้ลี้ภัย และนักท่องเที่ยวในความผิดประเภทนี้ด้วยเช่นเดียวกัน



อัตราการลงโทษ สำหรับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังโดยรวม เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 84.7 แต่มีเพียงร้อยละ 12 จากจำนวนเหตุการณ์ที่ได้รับการบันทึกไว้ สิ้นสุดลงด้วยกับการคำตัดสินลงโทษ หรือ การถูกเรียกตัวไปขึ้นศาล

ประมาณสองในสามของเหยื่อรู้สึกว่าตำรวจได้ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างเป็นธรรม ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และพวกเขามีแนวโน้มที่จะกล่าวว่า พวกเขาได้รับผลกระทบทางอารมณ์หรือถูกละเลยให้รู้สึกอ่อนแอ

Alex Mayes ที่ปรึกษาด้านนโยบาย ณ Victim Support (หน่วยงานเพื่อสนับสนุนเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย) กล่าวว่าความตระหนักรู้ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังมีเพิ่มมากขึ้น และการตอบสนองของตำรวจก็ได้รับการปรับปรุงเพิ่มขึ้น

“สถิติเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ของเราเอง ดังเช่นในปีที่ผ่านมา เราได้ให้ข้อมูลและการสนับสนุนแก่ประชาชนราว 25,000 คน ซึ่งมันเพิ่มขึ้น 23 เปอร์เซ็นต์จากในปีก่อนหน้านั้น” เขากล่าวเสริม

“แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของสิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่ไม่ได้ถูกบันทึกในรายงานอีก เราต้องการให้ผู้คนรู้ว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชังจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง และมีการสนับสนุนสำหรับทุกคนที่ต้องการ”

Diane Abbott รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า “ความจริงที่ชี้ว่าอาชญากรรมจากความเกลียดชัง ได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จะต้องทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างเร่งด่วน เราต้องลุกขึ้นจัดการกับความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่ามันจะพบได้ที่ใดก็ตาม”

Source: whatsupic

เอบีนิวส์ทูเดย์
http://www.abnewstoday.com
เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

http://www.abnewstoday.com/13358?fb...oL3itbqjtJukEvT48WXi3V695DPTD_WuitIFqEfVfQtss

 

มาเลเซีย: ผู้ต้องสงสัย “สลาฟี” ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตบนทางหลวง!
โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ -16 ตุลาคม 2018



FMT News: ชายชาวฝรั่งเศส ผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวคิดนิยมสลาฟี ญิฮาดี ในประเทศมาเลเซียเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่ KM 428.3 บนทางหลวง PLUS (ทางใต้) ใกล้กับ Bukit Beruntung เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

แหล่งข่าวได้ยืนยันเรื่องนี้ เมื่อได้รับการติดต่อจาก Bernama พวกเขากล่าวว่าผู้ต้องสงสัย นายMickael Alain Louvier เสียชีวิตเมื่อวานนี้ ขณะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล Sungai Buloh

Louvier ประสบอุบัติเหตุ ขณะกำลังโดยสารบนรถตู้ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากรัฐเปอร์ลิส ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่รถตู้เกิดเสียหลักและลื่นไถล เชื่อว่าเป็นเหตุมาจากถนนที่ลื่น

“พวกเขากำลังถูกนำตัวไปยังเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง เพื่อให้ตำรวจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายได้” แหล่งข่าวกล่าว

ผู้ต้องสงสัยที่เสียชีวิต เป็นหนึ่งในสมาชิกแปดคนที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการก่อการร้าย ซึ่งถูกกักกันตัวในหลายรัฐ เมื่อเดือนที่แล้ว

ผู้ต้องสงสัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ ในรถตู้ได้รับบาดเจ็บ และถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาล Kuala Kubu Baru, Sungai Buloh และ Selayang เพื่อรับการรักษา

ผู้ตรวจการตำรวจแห่งชาติ Mohamad Fuzi Harun กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับศูนย์ศึกษาอิสลามในเมืองเปอร์ลิส พวกเขาเป็นนักเรียน นักเรียนเก่า หรืออดีตอาจารย์ผู้สอน

เอบีนิวส์ทูเดย์
http://www.abnewstoday.com
เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

http://www.abnewstoday.com/13346?fb...RTqIA3fHNm4umdrkfzz8aLPRoX79Mk8lL2NR1T6tMOHzU

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง


#คลิปทหารซาอุกว่า20ติดกับดักแตะหนีบเต็มเปา!!!

สื่อของฮูซีเผยแพร่คลิปทหารซาอุและทหารรับจ้างหลงเข้ามาติดกับดักของกลุ่มฮูซี (นักรบแตะหนีบ) ขณะทำภารกิจยึดเมืองท่า อัลฮุดัยดาห์

เมืองท่าอัลฮุดัยดาห์ เป็นช่องทางเดียวที่เหลืออยู่สำหรับลำเลียงการช่วยเหลือมนุษยธรรมจากภายนอกสู่เยเมน ซึ่ง ณ เวลานี้ฝ่ายพันธมิตรซาอุฯ ยังไม่สามารถยึดเมืองท่านี้ได้ แต่เยเมนก็ประสบภาวะอดอยากอย่างหนัก ประชาชนกว่า 5 ล้านคนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร

หากเมืองท่าแห่งนี้ถูกฝ่ายพันธมิตรซาอุยึดครองสำเร็จ นั่นหมายถึง #หายนะของเยเมนอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะนี้นักรบแตะหนีบพยายามต้านทานไว้สุดกำลัง และพยายามโจมตีเส้นทางลำเลียงกำลังพลในจุดต่างๆ ทำให้ ณ เวลานี้ พันธมิตรซาอุฯทำได้เพียงแค่ตรึงกำลังในพื้นที่ที่ยึดครองได้แล้วเท่านั้น แต่พื้นที่หนาแน่นในเมืองยังเต็มไปด้วยสไนเปอร์แตะหนีบ

 

เจาะลึกตะวันออกกลาง


นสพ.นิวยอร์กไทมส์พาดหัวร้อน:
"ราคาค่างวดของปฏิบัติการลับที่ล่มไม่เป็นท่า...#อิสราเอลกลับสู่ขอบเหวสงคราม!!!"

 

ABC News กำลังถ่ายทอดสด — ใน รีอัลโต

เราอาศัยอยู่เหนือแคลิฟอร์เนียใต้ที่นักดับเพลิงกำลังต่อสู้กับไฟแปรงใหม่ที่ปะทุขึ้น ในเขตซานเบอร์นาร์ เบอร์รี่ ประมาณ 55 ไมล์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลอสแอนเจลิส Https://abcn.ws/2DCUlvX

 

Tasty Presents



ก๋วยเตี๋ยวทำจากมือยังไง...