ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo





    พายุลูกเห็บรุนแรงใกล้ทะเลทรายซาอุดิอาระเบีย ว้าววว

    12.11.2018
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    La nueva era de la tierra - respaldo





    พายุลูกเห็บที่รุนแรงในซาอุดิอาระเบีย

    12.11.2018
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ครม.ฉลุยมาตรการช่วยปาล์ม สั่ง ก.เกษตรลุยต่อ เร่งออกแพ็คเกจยางพาราใน7วัน
    IMG_0013.jpg

    Publisher : 13 November 2018


    ครม.ฉลุยมาตรการช่วยปาล์ม สั่ง ก.เกษตรลุยต่อ เร่งออกแพ็คเกจยางพาราใน7วัน

    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 13 พ.ย. เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ เพื่อทำให้ราคาปาล์มขึ้นมาอยู่ที่ 3.10 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2.60 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธานอนุกรรมการบริหารติดตามเรื่องการแก้ปัญหาปาล์มฯ

    IMG_0013-503x283.jpg

    โดยมาตรการประกอบด้วย 4 มาตรการ เพื่อปรับสต็อกของปาล์ม 3 แสนตัน ภายในเวลา 5 เดือน ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2561 โดยจะมีการมาตรการประกอบด้วย 1.ประสานงานกับกระทรวงพลังงานให้นำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพจำนวน 1.6 แสนตัน 2. ขยายระยะเวลาการส่งออกปาล์มที่จะสิ้นสุดปลายเดือนพ.ย. นี้ออกไป 6 เดือน เป็นสิ้นเดือน พ.ค. 2562 3.เพิ่มการใช้การผลิตเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของปาล์ม 6.5% เป็น 6.8 - 7% ในส่วนของน้ำมันดีเซล B20 ที่ใช้กับรถบรรทุก โดยตั้งเป้าในการใช้ปาล์ม 10 ล้านลิตร แต่มีการจริง 4 ลิตร ยังไม่ได้ใช้อีก 6 ล้านลิตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงครม.สั่งการให้กระทรวงพลังงานเพิ่มและผลักดันให้รถบรรทุกใช้น้ำมันดีเซล B7 และ B20 มากขึ้น ซึ่งสัดส่วนในการนำมาใช้ในการผลิตน้ำมันดีเซลจะใช้ปาล์มอีก 8 หมื่นตัน และ4. เร่งเจรจาการส่งออกปาล์มไปยังประเทศสเปนซึ่งมีความสนใจซื้อปาล์มจากไทยอีก 1 แสนตัน โดยให้ดำเนินการเจรจาให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน

    นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หามาตรการแก้ปัญหายางพาราที่ราคายังไม่น่าพอใจด้วย โดยให้หาแนวทางหรือมาตรการเร่งด่วน แล้วเสนอกลับเข้ามาที่ครม.ภายใน 7 วัน พร้อมกับขอให้เร่งสื่อสารให้เกษตรกรชาวสวนยางรับทราบแนวทางและความห่วงใยของรัฐบาลเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาเพื่อมีมาตรการชัดเจน

    “ยืนยันว่ามาตรการที่ออกมาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือการเลือกตั้งเลย แต่ภาคใต้และภาคอีสานมียางพาราในสต็อกจำนวนมาก ปาล์มก็เร่งมาตรการแก้ปัญหา แต่ช่วงนี้มีเสียงสะท้อนมามากว่าราคาปาล์มและยางพารามีแนวโน้มตกลงเรื่อยๆ”นายพุทธิพงษ์ กล่าว

    http://m.thansettakij.com/content/346925
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เก็บตกตะวันออกกลาง


    ทัพกริช สังหารสมุนรับจ้างซาอุฯ 40 กว่าคน...


    กองกำลังเยเมนได้บุกทำลายแผนการร้ายของพันธมิตรซาอุฯ และสามารถสังหารสมุนรับจ้างซาอุฯอย่างน้อย 40 คนรวมทั้งผู้บัญชาการหลายคนในภาคใต้ของเยเมน


    ยาห์ยา ซาริอ์ โฆษกกองกำลังของเยเมนกล่าวในวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่า กองกำลังเยเมนได้สกัดกั้นการเคลื่อนตัวของข้าศึกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเยเมน ในเขตพื้นที่ กม. 16 และทางตะวันตกของ al-Hadidah ทางตะวันตกของเยเมน ซึ่งในการนี้ทำให้สมุนรับจ้างซาอุดีอาระเบียกว่า 60 คนได้รับบาดเจ็บ


    "Yahya " กล่าวเพิ่มเติมว่าในการปะทะกันครั้งนี้อุปกรณ์ทางทหารของข้าศึกถูกทำลายจำนวนหนึ่ง


    ในขณะเดียวกันหน่วยทหารและปืนใหญ่แห่งกองทัพและอาสาสมัครเยเมนยังได้กำหนดเป้าหมายโจมตีสถานที่ชุมนุมของทหารรับจ้างซาอุดีอาระเบียในเขตพื้นที่ฮัยรานทางตะวันตกของเยเมนอีกด้วย


    #เก็บตกตะวันออกกลาง!

    #เยเมน!


     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เก็บตกตะวันออกกลาง


    นายกรัฐมนตรีอิรัก ย้ำ : ISISเป็นเหมือนมะเร็งร้าย ต้องถูกทำลายให้สิ้นซาก!!!


    นายกรัฐมนตรีอิรักเน้นย้ำว่าต้องมีความพยายามเพิ่มมากขึ้นในการต่อสู้กับความคิดของ Takfiri


    Adil Abdul Mahdi นายกรัฐมนตรีอิรัก ได้พบกับผู้บัญชาการหน่วยรักษาความปลอดภัยและหน่วยข่าวกรอง โดยชี้ให้เห็นว่าแนวคิด Takfiri ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง และตอกย้ำถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของกองกำลังรักษาความปลอดภัยในการกำจัดเซลล์ผู้ก่อการร้าย


    ตามแถลงการณ์ที่ออกโดยสำนักงาน AbdulMahdi โดยในที่ประชุมได้จัดขึ้นเพื่อทบทวนสถานการณ์ความปลอดภัยในอิรักและผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายงานสถานการณ์ของประเทศโดยเฉพาะพรมแดนกับซีเรีย


    นายกรัฐมนตรีอิรักคนใหม่ ในการประชุมครั้งนี้ได้ชื่นชมและยกย่องขวัญกำลังใจของกองกำลังรักษาความปลอดภัยอิรักและย้ำว่า การปฏิบัติการต่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เหลือยังคงดำเนินต่อไป


    เขาถือว่า ISISเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่ต้องถูกทำลายให้หมดสิ้น และความคิดของ "takfir" ยังคงอยู่และมีความจำเป็นต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการกำจัดมัน


    #เก็บตกตะวันออกกลาง!

    #Takfiri.


     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี


    ทางหลวงชนบท เร่งสร้างสะพานเบลี่ย์ข้ามคลองบางสะพาน ทั้งคืน ให้ประชาชนได้สัญจร

    เมื่อวันที่ 12 พ.ย.61 นายไกวัลย์ โรจนานุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 4(ผส.ทช.ที่ 4) กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย จตุรงค์ อมรรัตน์ วิศวกรโยธาชำนาญการ สทช.ที่ 4 นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทางหลวงชนบท เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4 ได้เข้าช่วยเหลือติดตั้งสะพานเบลี่ย์ บนสะพานชุมชน รหัส 025 ข้ามคลองบางสะพาน บริเวณวัดขุนมะพร้าว คอสะพานถูกตัดขาด ยาว 50.00 เมตร โดยเร่งดำเนินการและเพื่อจะเปิดการจราจรให้เร็วที่สุด

    นายไกวัลย์ กล่าวว่า สะพานแห่งนี้ ได้ สร้างขึ้นเมื่อ ปี 2559ที่ผ่านมา จากสะพานเก่าที่ถูกภาวะน้ำท่วมเมื่อปีปลายปี 2559 และปี 2560 จากนั้นได้ทำการสร้างสะพานใหม่เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา แต่มาเจอภาวะน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้คอสะพานพัง แต่ตัวสะพานยังคงใช้การได้เหมือนเดิม โดยน้ำได้พัดเซาะตลิ่งพังกว่า 50 เมตร จึงต้องเร่งสร้างสะพานเบลี่ย์ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน เพื่อให้ประชาชน ที่อยู่หมู่ 7 ตำบลพงศ์ประศาสน์ ที่มีครัวเรือน 125 ครัวเรือน ได้สัญจรไปมาได้ โดยได้รับการสนับสนุนรถไฟฟ้าส่องสว่างในการปฏิบัติงานจากศูนย์ป้องกันบรรเทาสาธารณะภัยเขต 4 ประจวบคีรีขันธ์ในการปฏิบัติงาน ทั้งกลางวันและกลางคืนจนกว่าจะแล้วเสร็จ

    นอกจากนี้จากการตรวจสอบโครงข่ายในความรับผิดชอบ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย ปข.1013 แยกทล.4 - บ้านต้นทองหลาง อ.บางสะพาน ปข.1059 แยกทล.4 - บ้านเนินกรวด อ.บางสะพาน ปข.1046 แยกทล.4 - น้ำตกไทรคู่ อ.บางสะพาน.ปข.5044 แยกทช.ปข.1032 - บ้านเนินกรวด อ.บางสะพานน้อย และ ปข.1032 แยกทล.4 - บ้านคลองลอย อ.บางสะพาน

    โดยได้สั่งการให้ทางหลวงชนบททับสะแกและทางหลวงประจวบฯ เข้าดำเนินการซ่อมฉุกเฉินคืนผิวทางโดยทันที สำหรับการซ่อมแซมโครงสร้างที่เสียหายหนัก ชุดสำรวจออกแบบได้เร่งจัดทำเพื่อเสนอของบประมาณดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนต่อไป

    ////////////////

    พิสิษฐ์รื่นเกษมข่าวประจวบคีรีขันธ์โทร0993396444ข่าว


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thairath


    อายุ 20 ปี มีเงินหมุนเวียนในบัญชีนับ 10 ล้าน!! กองปราบแกะรอย ที่แท้นศ.หนุ่ม รับจ๊อบเสริม...


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Matichon Online - มติชนออนไลน์


    ป.ป.ช.จัดให้ มีมติยืดเวลายื่นบัญชีทรัพย์สินให้ นายกฯ-กก.สภามิวิทยาลัย อีก 60 วัน ใน 5 ตำแหน่ง

    https://www.matichon.co.th/politics/news_1225237


     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โพสต์ทูเดย์


    เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น! โรงเรียนแจงเหตุสั่งเด็กใส่เสื้อหนาวสถาบันเท่านั้น


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Nov 13) เงินเฟ้อเวเนซุเอลา พุ่งทะลุ 830,000%: เผยเงินเฟ้อเวเนฯ พุ่งสูงเป็นประวัติกาลในรอบ 1 ปี คาดจะยิ่งสูงทะลุ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ก่อนสิ้นปีนี้ รอยเตอร์รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของเวเานซุเอล เพิ่มสูงขึ้นถึง 830,000% ในช่วงเวลาเพียง 1 ปี นับตั้งเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาตามรายงานของสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณล่าสุดนับตั้งแต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของรัฐบาลเวเนฯ


    รายงานระบุว่าอัตราเงินเฟ้อของเวเนซุเอลาลดลงต่ำสุดราว 148% จาก 233% ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา และคาดว่าอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ก่อนสิ้นปี 2018 นี้ ตามการคาดการณ์ของIMF


    "การล่มสลายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อสูง และความเสื่อมโทรมที่เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศเพื่อนบ้าน" ผู้อำนวยการฝ่าย Western Hemisphere ของ IMF กล่าว


    อัตราเงินเฟ้อของเวเนฯอาจพุ่งสูงยิ่งขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากภาคแรงงานได้รับโบนัสก่อนช่วงวันหยุดสิ้นปี ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น และผลักดันให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน


    ที่ผ่านมารัฐบาลนายนิโคลัส มาดูโร ล้มเหลวในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิง โดยนโยบายล่าสุดของเขาคือการลดค่าเงินโบลิวาร์ลงราว 95% ด้วยการตัด 0 ออกห้าตัวจากเงินโบลิวาร์ รวมถึงเปิดการซื้อขายเงินสกุลเงินดิจิทัล และเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำถึงสามเท่า เพื่อพยายามรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อไว้ แต่ทว่าชาวเวเนฯก็ยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจเช่นเดิม โดยพบว่านับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา มีชาวเวเนฯอพยพลี้ภัยเศรษฐกิจออกจากประเทศไปแล้วกว่า


    Source: Posttoday


    ความคืบหน้าล่าสุด

    - Venezuelan inflation approaches 150,000% as Maduro's efforts to curb huge price increases fail : https://www.cnbc.com/2018/11/12/venezuelan-inflation-approaches-150000percent.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_4831.JPG
    (Nov 13) ทรัมป์ เตรียมหารือทีมงานด้านการค้าวันนี้ เล็งเก็บภาษีรถ : สื่อสหรัฐรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะประชุมร่วมกับทีมงานด้านการค้าในวันนี้ เพื่อหารือถึงการเก็บภาษคีรถนำเข้า
    สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่ได้มีการสอบสวนโดยกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับประเด็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศจากการนำเข้ารถเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดรายงานผลการสอบสวนดังกล่าวต่อประธานาธิบดีในเดือนก.พ. 2562

    หากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า รถและชิ้นส่วนนำเข้าทำให้ความมั่นคงของสหรัฐตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ก็จะมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าตามมาตรา 232 ของกฎหมาย 1962 Trade Expansion Act ซึ่งเป็นกฎหมายเดียวกันกับที่ทรัมป์ได้อ้างอิง เพื่อการจัดเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐ

    แม้ว่า ทรัมป์จะขู่ว่าจะเก็บภาษีรถนำเข้า 25% จนส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกรถไปยังตลาดสหรัฐ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเม็กซิโก อย่างไรก็ดี ยังไม่มีความชัดเจนว่า ทรัมป์จะตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อใด

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา

    - Trump to meet with trade officials to mull car tariffs
    http://www.xinhuanet.com/english/2018-11/13/c_137603554.htm
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_4832.JPG
    (Nov 13) เศรษฐกิจไทยเริ่ม 'แผ่ว' โจทย์ยาก...นโยบายการเงิน: แม้ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องการ "ปรับขึ้น"ดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเริ่มเป็นห่วงเสถียรภาพระบบการเงินที่ความน่ากังวล เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันยังต้องการ "รีโหลด" กระสุนทางการเงิน ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการทำนโยบาย (policy space) ไว้รองรับในยาม ที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง

    แต่ข้อมูลเศรษฐกิจหลายๆ ตัว ในเวลานี้ ดูเหมือนไม่เป็นใจให้ ธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ยมากนัก เพราะนอกจาก "เงินเฟ้อ" ที่ทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องแล้ว

    ตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวออกอาการ "แผ่วลง" อย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ย. ตอกย้ำความเป็นห่วงที่มีต่อการขยายตัวทาง เศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการส่งออก ที่พลิกกลับมาหดตัวครั้งแรกรอบ 19 เดือน ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มชะลอลง ส่วน การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน ยังขยายตัวในระดับค่อนข้างต่ำ

    ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ "นักเศรษฐศาสตร์"ค่อนข้างมั่นใจว่า การประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) ของ ธปท. ในวันที่ 14 พ.ย.นี้ ที่ประชุมจะมีมติให้ "คง" ดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 1.5% เช่นเดิมก่อน

    "พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร ระบุว่า ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ณ เวลานี้ บ่งชี้ไปในเชิงว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเริ่มยากลำบากขึ้น เพราะตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวเริ่มชะลอลงชัดเจน

    "เศรษฐกิจไทยที่เป็นภาวะ "แข็งนอก" ตอนนี้ดูเริ่มอ่อนลง ทั้งการท่องเที่ยวและ ส่งออก ที่ต้องจับตา คือ ตัวเลขการท่องเที่ยว ที่เริ่มชะลอลง จะเป็นการชะลอแค่ชั่วคราวหรือจะลากยาว ซึ่งตรงนี้มีผลต่อการขยายตัว ของเศรษฐกิจไทยพอสมควร"

    พิพัฒน์ ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยมีสัดส่วนต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 10% ที่ผ่านมา มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ราว 1% ดังนั้นถ้าการท่องเที่ยวทรงตัว กล่าวคือ ไม่เติบโตเลย เท่ากับว่า ผลต่อการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะหายไปเลยถึง 1% ดังนั้นเศรษฐกิจที่เคยโตระดับ 4% กว่าๆ ก็จะลงมาเหลือ 3% กว่าๆ

    ส่วนภาคการส่งออกก็เริ่มชะลอตัวลงชัดเจน และถ้าดูข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จะเห็นว่าหลายประเทศชะลอลงถ้วนหน้า โดยเฉพาะประเทศ ในแถบเอเชีย แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบ ไปยังภาคการส่งออกของไทยด้วย

    "โจทย์ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเริ่มยากขึ้น เพราะตัวเลข เศรษฐกิจหลายๆ ตัวไม่เอื้อเหมือนแต่ก่อน เชื่อว่าการประชุมรอบนี้ กนง. จะยังคงดอกเบี้ยเช่นเดิม แต่รอบหน้าคาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก เพราะดูเหมือน กนง. อยากขยับดอกเบี้ยขึ้น แต่ข้อมูลเศรษฐกิจ หลายๆ ตัวไม่เอื้อนัก"

    อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจเดือนต.ค.พลิกกลับมาขยายตัวดีขึ้น ทั้งการ ท่องเที่ยวและส่งออก ก็อาจเปิดช่องให้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยได้เช่นกัน เพราะ กนง. เอง ก็อยากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากกังวลเรื่องเสถียรภาพระบบการเงิน รวมไปถึง ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space)

    "นริศ สถาผลเดชา" หัวหน้า เจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย ประเมินว่า ดอกเบี้ย นโยบายน่าจะมีโอกาสปรับขึ้น 1 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าจะเป็นการปรับขึ้นในการประชุม กนง. ครั้งถัดไปซึ่งตรงกับวันที่ 19 ธ.ค.2561 ส่วนการประชุมรอบนี้ คาดว่า กนง. จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 1.5% เช่นเดิมก่อนเพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวของเดือนต.ค.

    "คิดว่าถ้าปีนี้ กนง. ไม่ขึ้นดอกเบี้ย ก็คงไม่มีโอกาสปรับขึ้นเลย แต่ยังเชื่อว่า การประชุมครั้งนี้ (14 พ.ย.) จะยังไม่มีการปรับดอกเบี้ยเพราะเชื่อว่า กนง. น่าจะอยากรอดูตัวเลขเศรษฐกิจของเดือนต.ค.ให้แน่ใจก่อน เพราะตัวเลขเดือนก.ย.ที่ออกมา ต้องบอกว่าหลายตัวส่งสัญญาณชะลอ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการส่งออก"

    นริศ กล่าวว่า หากการประชุม นัดสุดท้ายของปีซึ่งตรงกับวันที่ 19 ธ.ค. ทาง กนง. ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ก็คิดว่าดอกเบี้ยคงไม่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นแล้ว เพราะเศรษฐกิจในปีหน้ามีสัญญาณ ชะลอตัวค่อนข้างชัดเจน โดยต้องบอกว่า วัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นในรอบนี้มา ค่อนข้างสั้น

    อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจมีแนวโน้ม ชะลอตัวลง แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายซัก 1 ครั้งในอัตรา 0.25% ไม่น่าจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามจะทำให้เสถียรภาพระบบ การเงินมีความเข้มแข็งขึ้น อย่างน้อย ช่วยลดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูง และยังทำให้ กนง. มีขีดความสามารถในการทำนโยบายการเงิน (policy space) เพื่อรองรับโอกาสที่จะเกิดวิกฤติใน ระยะข้างหน้าได้ด้วย

    "กำพล อดิเรกสมบัติ" ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย ประเมินว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ตลอดทั้งปีนี้ และปีหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง เพราะภาพเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ไม่ได้ดูดีมากนัก โดยยังมีลักษณะของเศรษฐกิจ 2 ความเร็วอยู่

    าเหตุที่มองว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยจาก 3 เหตุผล คือ 1.การขยายตัวเศรษฐกิจเริ่มชะลอลง
    2.เงินเฟ้อไม่ได้มีสัญญาณที่ทำให้ กนง. ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย และ
    3.เสถียรภาพระบบการเงิน แม้ ธปท. จะมีความเป็นห่วง แต่ก็เลือกที่จะใช้นโยบายเฉพาะเจาะจง ในการดูแล เช่น มาตรการคุมสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ จึงมองว่า มีโอกาสสูงที่ กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ตลอดปีนี้

    อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอลง ทำให้ "นักเศรษฐศาสตร์" มองความเป็นไปได้ของการขึ้นดอกเบี้ย มีน้อยลงตามไปด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่า เศรษฐกิจที่ขยายตัวร้อนแรง ในช่วงก่อนหน้านี้ เป็นการเติบโตที่สูงเกินกว่า "ศักยภาพ" และแม้เศรษฐกิจจะเริ่มชะลอลง ก็ยังอยู่ในระดับที่เรียกว่าเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจไทย

    ด้วยเหตุนี้ประตู "ดอกเบี้ยนโยบาย" จึงยังไม่ได้ปิดลง การประชุม กนง. วันที่ 14 พ.ย.นี้ ที่ประชุม อาจยังมีมติให้ "คงดอกเบี้ย" ไว้ที่ 1.5% เช่นเดิม แต่การประชุม ครั้งถัดไปวันที่ 19 ธ.ค. ซึ่งเป็นรอบส่งท้ายปี หากข้อมูลเศรษฐกิจเริ่ม ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็มีความเป็นไปได้ ที่ กนง. จะมีมติให้ "ปรับขึ้น" ดอกเบี้ยนโยบายซึ่งจะถือเป็นการปรับขึ้น ครั้งแรกในรอบ 7 ปี

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    IMG_4833.JPG
    (Nov 13) น้ำมันเข้าตลาดหมี โอเปกจี้ลดผลิตปีหน้า : ราคาน้ำมันโลกได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือภาวะที่ราคาร่วงลงไป 20% จากราคาสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    สัญญาราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส ร่วงลงไปราว 21% จากระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี หรือ 76.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เมื่อวันที่ 3 ต.ค. โดยเมื่อ วันศุกร์ที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ราคายังหลุดระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐ ไปแตะ 59.28 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา

    ส่วนสัญญาราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ทะเลเหนือก็ร่วงไปราว 19% จากจุดพีกรอบ 4 ปีเมื่อต้นเดือน ต.ค.และเมื่อวันศุกร์ที่แล้วยังหยุด 70 ดอลลาร์ ลงไปแตะ 69.13 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย

    ราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังเป็นการปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 ติดต่อกัน และทำให้น้ำมันปิดลบต่อเนื่องยาวนานที่สุดอีกครั้งนับตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียว ราคาน้ำมันดิบ เบรนต์ดิ่งลงรวม 4% และเวสต์เทกซัสลดลง 5%

    ขณะนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้แล้วว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกได้เปลี่ยนไป จากที่เคยกังวลเรื่องซัพพลายขาดเพราะการคว่ำบาตรอิหร่าน จนกลัวว่าราคาน้ำมันจะกลับไปแตะ 100 ดอลลาร์อีกครั้ง กลายเป็นกังวลว่าราคาน้ำมันโลกจะถูกลงมากเกินไป เพราะซัพพลายที่ล้นตลาดแทน จนเสี่ยงที่จะกลับมาซ้ำรอยช่วงน้ำมันโลกตกต่ำในปี 2014 แทน

    หากดูจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นมามากของ 3 ประเทศใหญ่ ได้แก่ สหรัฐ รัสเซีย และซาอุดิอาระเบีย คงค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าราคาน้ำมันโลกจนถึงสิ้นปีนี้ ไม่น่าจะสวิงกลับมาแพงอย่างหวือหวาได้แต่ที่ต้องจับตาต่อไป ก็คือ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) จะเดินเกมลดกำลังการผลิตน้ำมันลงในปีหน้า 2019 เพื่อดันราคาน้ำมันให้กลับมาแพงขึ้นอีกครั้งหรือไม่

    ปัจจุบันกลุ่มโอเปกรวมถึงพันธมิตรนอกโอเปกที่นำโดยรัสเซียกำลังอยู่ระหว่างการประชุมร่วมกันที่กรุงอาบูดาบีประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เพื่อตกลงกันเรื่องความเป็นไปได้

    ในการลดกำลังการผลิตปีหน้า แต่ก็มีรายงานจากหลายสื่อระบุว่า มติลดการผลิตยังไม่เป็นเอกฉันท์ เพราะฝ่ายรัสเซียนั้นไม่เห็นด้วย และแม้แต่ภายในกลุ่มโอเปกเองก็ยังไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะเห็นคล้อยตามไปกับหัวเรือใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย

    ก่อนการประชุมโอเปกจะเริ่มขึ้น ที่อาบูดาบี จึงมีรายงานว่า คาห์ลิด อัล ฟาห์ลี รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ต้องบินไปกรุงแบกแดดก่อน เพื่อตกลงกับ "อิรัก" ที่ไม่ต้องการลดเพดานการผลิต อิรักนั้นนับเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ในกลุ่มโอเปก เป็นรองเพียงแค่ซาอุฯ เท่านั้น และมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    หลังจากที่อุตสาหกรรมเสียหายไปอย่างหนักจากปัญหาการเมือง สงคราม และการก่อการร้ายตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเมื่อไม่นานมานี้ อิรักเพิ่งประกาศเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตในปีหน้าให้แตะ 5 ล้านบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ 4.6 ล้านบาร์เรล/วัน

    การบินไปหารือทวิภาคีระหว่าง ซาอุฯ-อิรัก จึงจบลงด้วยการตกลงกันได้ว่า เบอร์ 1 และเบอร์ 2 จะทำงานร่วมกันเพื่อพยุงเสถียรภาพตลาดราคาน้ำมัน ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีการระบุรายละเอียดแบบชัดเจนว่า อิรักจะยอมลดด้วยที่เพดานเท่าไรภายในกลุ่มโอเปก แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า โอเปกจะเดินหน้าลดการผลิตน้ำมันแน่นอนในปีหน้านี้

    ที่เหลือจึงยังต้องเจรจากับประเทศพันธมิตรนอกโอเปกอย่าง "รัสเซีย" ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน ให้หันมาร่วมแผนการเดียวกันให้ได้ เพื่อดันราคา ในตลาดโลกปีหน้าให้กลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง

    วอลสตรีทเจอร์นัล รายงานว่า รัสเซียเป็นอุปสรรคสำคัญของโอเปก ที่ยังไม่ยอมตกลงตามไปด้วย โดย อเล็กซานเดอร์ โนวัก รัฐมนตรีน้ำมันของรัสเซีย ก็เพิ่งให้ความเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อส่งสัญญาณก่อน เริ่มประชุมโอเปกกับพันธมิตรว่า ตลาดน้ำมันโลกในขณะนี้อยู่ในภาวะ ที่สมดุลดีอยู่แล้ว

    คริส วีเฟอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาพลังงาน มาโคร แอดไวซอรี กล่าวว่า สถานการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ร่วมมือกันเมื่อปี 2016 รัสเซียนั้นไม่ได้รู้สึกกดดันเท่าโอเปกว่าจะต้องลดการผลิตลง เพราะรัสเซียไม่ได้ต้องการราคาน้ำมันแพง อีกต่อไป เพราะระดับงบประมาณที่สมดุลของรัสเซียนั้นอยู่ที่ราคน้ำมัน 53 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 2018 อีกทั้งรัสเซียยังได้เปรียบในแง่ปริมาณการ ส่งออกในฐานะเบอร์ 2

    ล่าสุด รัฐมนตรีน้ำมันของโอมาน โมฮัมเหม็ด อัล-รัมฮี ได้ส่งสัญญาณกดดันในที่ประชุมโอเปกว่า ประเทศ "ส่วนใหญ่" ล้วนสนับสนุนการลดกำลังการผลิตในปี 2019 ลง ซึ่งปริมาณความเป็นไปได้ที่จะลดลงนั้นอาจลดลงสูงสุดวันละ 1 ล้านบาร์เรล

    หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าสถานการณ์ในปีหน้าอาจเสี่ยงที่ราคาจะกลับมาแพงขึ้นมากอีกครั้ง เพราะตัวเลข 1 ล้านบาร์เรล/วันนั้น นับว่าใกล้เคียงกับส่วนของอิหร่านที่ลดลงจากมาตรการคว่ำบาตร และยังมีความเสี่ยงที่การผลิตของเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นอีกชาติผู้ผลิตในกลุ่มโอเปก อาจประสบปัญหาการเมืองและการเงินจนฉุดกำลังการผลิตในปีหน้าให้ลดลงอีกด้วย และยังไม่รวมความเสี่ยงหากสงครามการค้าโลกยังไม่จบ ก็อาจยิ่งกระทบเศรษฐกิจโลกจนฉุดดีมานด์น้ำมันในปีหน้าตามไปด้วย

    อย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่สำคัญ อีกรายหนึ่ง ก็คือ สหรัฐ ซึ่งก้าว ขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เบอร์ 1 ของโลกแซงรัสเซียไปแล้วด้วยกำลังการผลิต 11.6 ล้านบาร์เรล/วัน พร้อมสต๊อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นมาก และยังมีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรม น้ำมันจากชั้นหินดินดาน (เชลออยล์) อาจฟื้นตัวมากขึ้นซึ่งอาจช่วยเรื่องซัพพลายในปีหน้าได้

    แต่ไม่ว่าสถานการณ์น้ำมัน ในปีหน้าจะเสี่ยงไปด้วยซัพพลาย ล้นตลาด หรือขาดแคลนเพราะการ ลดกำลังการผลิตอีกครั้ง ที่แน่ๆ ตลาดราคาน้ำมันโลกในปีหน้าจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น ด้วยปัจจัยที่คาดเดา ไม่ได้เหล่านี้

    Source: Posttoday
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    BBank of Thailand Scholarship Students
    IMG_4834.JPG
    (Nov 13) เปิดโปรไฟล์พันธมิตร'ซีพี-บีทีเอส' : ซีพีเปิดรายชื่อพันธมิตร ชิงไฮสปีดเทรน ระดม 3 บิ๊กก่อสร้าง "ซีอาร์ซีซี -ไอทีดี-ช.การช่าง" ร่วมงาน เผยใช้เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงจากอิตาลี ใช้แหล่งทุนญี่ปุ่น ด้าน "บีทีเอส" ยังมั่นใจเดินหน้าทีมไทยแลนด์ แย้มระบบรถยังไม่ปิดดีล เจรจาร่วมมือเพิ่ม 4 ชาติ ยุโรป-เอเชีย

    นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะ ผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า ที่ผ่านมาซีพีได้เจรจากับพันธมิตรเพื่อมาร่วมดำเนินงานมาต่อเนื่อง โดยพันธมิตรหลักของกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้งส์และพันธมิตร เบื้องต้นแบ่งหน้าที่ออกเป็น บริษัท China Railway Construction Corporation Limited (จีน) รับงานก่อสร้างรถไฟและวางระบบ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการรถไฟในจีนอยู่แล้ว ส่วนงานก่อสร้างขณะนี้ยังไม่ได้แบ่งเนื้องานชัดเจน

    ขณะที่พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ยังมีบริษัท Ferrovie dello Stato Italiane (อิตาลี) เป็นผู้รับหน้าที่จัดการการเดินรถและบำรุงรักษา ส่วนตัวรถที่จะนำมาใช้ในโครงการก็จะมีทั้งของบริษัท Siemen (เยอรมัน) และ Hyundai (เกาหลีใต้)

    นอกจากนี้ พันธมิตรจากญี่ปุ่นและจีนยังได้แสดงความประสงค์ที่จะร่วมลงทุนกับซีพี อาทิ CITIC Group Corporation (จีน) China Resources (Holdings) Company Limited (จีน) โดยกลุ่มที่จะเป็น พันธมิตรด้านการเงิน คือ Japan Overseas Infrastructure Investment Corporation for Transport & Urban Development (ญี่ปุ่น) และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของญี่ปุ่นและได้มีการหารือไปพอสมควร

    "ระบบอาณัติสัญญาณ ตัวเทคโนโลยี คุยอยู่มีทั้งเยอรมัน จีน เกาหลี พันธมิตรอื่นๆ เราก็เปิดกว้างเข้ามาร่วมลงทุนได้ แต่ก็คงต้องถามทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้พิจารณาด้วย ต้องรอดูก่อนว่าเราจะชนะการประมูลหรือไม่ คงจะมีคนเข้ามาร่วมลงทุนเพิ่ม ซึ่งการเพิ่มพันธมิตรใหม่นี้ จะต้องเข้ามาเสริมกัน หนุนโครงการ"

    ซีพีศึกษาลงทุนไฮสปีด 2 ปี

    รายงานข่าวระบุว่า ซีพีเริ่มศึกษาการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา และได้ใช้เวลาเกือบ 6 เดือน ในการศึกษางานรถไฟความเร็วสูงของประเทศฝรั่งเศส อิตาลี จีน และญี่ปุ่น ด้วยแนวคิดไปดูเพื่อนำจุดเด่นของแต่ละที่มาผสมผสานและปรับปรุงให้เข้ากับสภาพพื้นที่ เศรษฐกิจและสังคมของให้ไทยมากที่สุด

    ส่วนการก่อสร้างที่มีงบลงทุนมากที่สุดของงบลงทุนรวมนั้น ซีพีจะเลือกใช้บริการของ CRCC กิจการรถไฟความเร็วสูงของจีน เพราะประสบการณ์โดยตรงกับงานวางระบบ การออกแบบโครงสร้าง มีบริษัทก่อสร้าง และมีพันธมิตรในไทยที่ทำงานร่วมกันในโครงการใหญ่คือบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเม้นท์ ซึ่งรองประธานของซีอาร์ซีซี บอกว่าพร้อมจะร่วมงานกับไทย ถ้ารัฐบาลต้องการ และเวลา 5 ปีถือว่าไม่มากแต่เชื่อว่าจะสร้างได้ตามกำหนด

    ทั้งนี้ บริษัทก่อสร้างรถไฟจีน หรือ CRCC ผู้บริหารรถไฟความเร็วสูงของจีน ที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับซีพีในการประมูลรถไฟความเร็วสูงเริ่มต้นพัฒนารถไฟความเร็วสูง ด้วยการศึกษาดูงานของฝรั่งเศส อิตาลี แคนาดา และ ของญี่ปุ่น ก่อนจะนำเข้าเทคโนโลยีมาศึกษาพัฒนาอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จ

    บีทีเอส4เดือนทำงานหนัก

    นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า กลุ่มบีเอสอาร์ ยังคงแบ่งหน้าที่เหมือนเดิมตามความถนัด คือ บีทีเอส มีความเชี่ยวชาญด้านบริหารเดินรถไฟฟ้าอยู่แล้ว ก็จะทำหน้าที่บริหารการเดินรถ ขณะที่ซิโนไทย จะเข้ามาดูแลในส่วนของงานก่อสร้าง และราชบุรีโฮลดิ้ง ช่วยดูเรื่องของระบบไฟฟ้า ส่วนผู้ดูแลระบบตัวรถ ขณะที่ได้เสนอไป 4 ราย ซึ่งเป็นบริษัททั้งจากเอเชีย และยุโรป ส่วนระบบอาณัติสัญญาณเบื้องต้นเป็นของยุโรป

    "เรามีความมั่นใจ ไม่งั้นคงไม่มาประมูล 4-5 เดือนที่ผ่านมา เราทำงานอย่างหนัก เตรียมความพร้อมสำหรับการประมูลครั้งนี้ มีการเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาร่วม ซึ่งเป็นพันธมิตรมืออาชีพระดับโลก ถ้าเราชนะการประมูล ได้โครงการนี้ก็จะเปิดตัวพันธมิตรเพิ่มเติมแน่นอน" นายสุรพงษ์ กล่าว

    รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ระบุว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นโครงการที่ใช้โครงสร้างและแนวเส้นทางการเดินรถเดิมของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแอร์พอร์ตลิงค์ ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะก่อสร้างทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร ส่วนต่อขยาย 2 ช่วงจากสถานีพญาไท ไปยังสนามบินดอนเมือง และจากสถานีลาดกระบัง ไปยังสนามบินอู่ตะเภา พร้อมเชื่อมเข้าออกสนามบิน โดยใช้เขตทางเดิมของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมระยะทาง 220 กิโลเมตร

    ทั้งนี้ รถไฟความเร็วสูงมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (สำหรับช่วงการเดินทางระหว่างเมือง คือ สถานีสุวรรณภูมิ ถึง สถานีอู่ตะเภา) และความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (สำหรับช่วงการเดินทางในเมือง คือ สถานีดอนเมือง ถึง สถานีสุวรรณภูมิ) ประกอบด้วย 9 สถานี ได้แก่ ดอนเมือง บางซื่อ มักกะสัน สุวรรณภูมิ ฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี ศรีราชา พัทยา และอู่ตะเภา

    สำหรับ การพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟในพื้นที่มักกะสันของ รฟท. 150 ไร่ ต้องเป็นการพัฒนาร่วมไปกับการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพื้นที่โดยรอบสถานีศรีราชา 25 ไร่ ซึ่งสามารถนำมาพัฒนา เชิงพาณิชย์ร่วมกับโครงการได้ทันที

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    SyriaOnline-News in English


    ผู้แทนรัสเซีย, จอร์แดน และอียิปต์ตำหนิ #อิสราเอลสำหรับ #ความรุนแรงของกาซา https://aml.ink/hIO5b #hamas


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Public Post


    ฮามาสเผยคลิปขณะใช้ขีปนาวุธต่อต้านรถถังโจมตีรถบัสทหารของอิสราเอล

    https://www.publicpostonline.net/19104


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Surviving Earth Changes 2013 and Beyond

    55349170-C7D4-4E4D-9FB3-25D9D6DE36E3.jpeg A2C049B0-09E8-46D3-B033-58EFE96C0DC4.jpeg 92B891CA-6BAA-4E0C-9168-EE3DCB6C4441.jpeg

    ชายแดนทิเบต / เสฉวนมีแผ่นดินถล่มขนาดใหญ่มาก ได้ปิดกั้นแม่น้ำ jinsha ทำให้เกิดทะเลสาบขนาดใหญ่มาก ด้วยปริมาณน้ำ 469 ล้านลูกบาศก์เมตร Overtopping คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันนี้ ได้อพยพประชาชน จำนวน 25,000 คนแล้ว


    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวของวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลดาวเทียมเพื่อช่วยชีวิต


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sayan Rujiramora


    Sovereign Man

    Trouble brewing in Hong Kong

    Simon Black. Nov. 12, 2018

    เรื่องยุ่งยากในฮ่องกงกำลังบ่มเพาะ


    ฮ่องกงถือเป็นที่ๆมีเสถียรภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


    เมื่อตอนที่อังกฤษ take over ฮ่องกงตอนปลายยุค 1800s มันเป็นเพียงแค่เกาะที่มีแต่หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยชาวประมงที่ไร้การศึกษา


    แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่สิบปี มันกลับกลายเป็นแหล่งที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


    นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ฮ่องกงปล่อยอิสระให้กับระบบทุนนิยมเข้าครอบครอง และมันก็ทำออกมาอย่างได้ผลดีซะด้วยซี


    มันทำให้เกิดมหาเศรษฐีขึ้นมาได้จำนวนหนึ่งที่ไม่มากนักก็จริง ...แต่มันก็สร้างความรุ่งเรืองโดยรวมไปทั่วทั้งเกาะ


    ความรุ่งเรืองที่เป็นไปเพราะระบบทุนนิยมนี้ ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง และในชั่วหลายสิบปีมานี้ มันมีระบบแบ้งกิ้งที่มีทุนที่แข็งแกร่งที่สุด


    หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ สกุลเงินฮ่องกงดอลล่าร์ (HKD) ได้มีการผูกติดค่า (peg) กับยูเอสดอลล่าร์ (USD) มาตั้งแต่ 1980s


    แต่การ peg ค่าแบบนี้มันก็เหมือนดาบสองคม


    ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ เสถียรภาพของเงิน HKD ในตลาดการเงินของโลก..ตราบใดที่ USD ยังคงเป็นสกุลเงินทุนสำรองของโลกอยู่ อัตราแลกเปลี่ยนของ HKD ในตลาดก็มั่นคง


    แต่ข้อเสียคือ การผูกติดค่าทำให้ฮ่องกงไม่มีอิสระ ต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยตามสหรัฐไม่ว่าจะดีหรือไม่ต่อเศรษฐกิจของตน


    และมันก็ทำให้เป็นปัญหา ที่ดูเหมือนจะหนักหนาไม่น้อยเลยโดยเฉพาะในปีนี้


    สหรัฐกำลังจะยุตินโยบายดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ที่ใช้มานับสิบปีโดยอ้างว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ..แต่กับฮ่องกง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน แต่ฮ่องกงก็อยู่กับอัตราดอกเบี้ยต่ำมานานนับสิบปีเช่นเดียวกัน


    ผลกระทบต่อฮ่องกงเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ยต่ำคือ ฮ่องกงกลายเป็นตลาดบ้านที่มีราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มันทำให้บ้านในลอนดอนถูกไปเลย


    ตลาดบ้านในฮ่องกงเป็นตลาดสินเชื่อขนาดใหญ่ ผู้คนสามารถขอสินเชื่อผ่อนบ้านจากธนาคารได้ง่ายๆโดยใช้เงินดาวน์ต่ำมาก


    สินเชื่อจำนวนมากก็เหมือนกับที่เราเคยเห็นในสหรัฐเมื่อปี 2008 ..ไม่ต้องดาวน์ ..ดอกเบี้ยต่ำสามปีแรก ..ดอกเบี้ยลอยตัว ฯลฯ ....การพิจารณาสินเชื่อที่หละหลวมสั่นคลอนระบบการเงินทั้งระบบ


    เราก็คงจะได้เห็นวิกฤติแบบเดียวกันในฮ่องกงที่เป็นผลของการให้สินเชื่อง่ายๆกับภาคอสังหาฯ


    มาวันนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นในสหรัฐก็กำลังจะต้องปรับขึ้นเหมือนกันในฮ่องกง


    สัญญาจำนองต่างๆจะต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยกันจนลูกหนี้น่าจะจ่ายไม่ไหว ..เราคงจะได้เห็นการชักดาบหรือชักกระบี่จากลูกหนี้ จนธนาคารต้องกระเทือนไปตามๆกัน


    ถ้านี่เป็นแค่ปัญหาเดียวของฮ่องกง ก็คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะพวกแบ้งค์ที่นั่นทุนหนาปึ้ก


    แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนตอนนี้สิ..ที่จะเพิ่มความหวาดเสียวมาให้


    เรื่องที่สหรัฐแซงค์ชั่นจีนนี่แหละจะเป็นปัญหา มันจะทำให้จีนต้องเร่งหาเงินดอลล่าร์มาใช้ในการค้าระหว่างประเทศ ..จีนยังคงต้องใช้ดอลล่าร์ในการซื้อน้ำมัน ทองแดง สินค้าโภคภัณท์และอื่นๆจากตลาดโลกอยู่ ...และนั่นหมายถึงต้องมีดอลล่าร์เอาไว้อย่างสม่ำเสมอ


    ที่ผ่านๆมา จีนได้ดอลล่าร์จากสหรัฐโดยตรงจากการค้าที่ได้ดุลอยู่มาก ซึ่งเอาไว้ใช้ทดแทนต่อประเทศคู่ค้าที่จีนขาดดุลอยู่


    ถ้าแหล่งเงินดอลล่าร์ขาดหายไปเพราะสงครามการค้า จีนก็ต้องการเงินยูเอสดอลล่าร์ซัพพลายจากแหล่งอื่น


    แล้วจะไปเอาดอลล่าร์จำนวนมหาศาลจากไหนล่ะ


    ฮ่องกงนั่งทับเงินยูเอสดอลล่าร์อยู่ประมาณครึ่งล้านล้าน


    ถ้ามันเกิดวิกฤติ จีนก็จะเอาดอลล่าร์พวกนั้นมา และ peg เงิน HKD กับเงินหยวนซะเลย


    ผมไม่แน่ใจว่าจะออกมาแนวนี้ แต่ก็เป็นทางที่เป็นไปได้มากที่สุด


    ในอดีตผมเคยแนะนำให้ถือ HKD เพราะมันเสี่ยงน้อยที่สุด มันมีความมั่นคงถ้า USD ยังดีอยู่ แต่ถ้า USD มีปัญหา ...HKD ก็ยังสามารถยกเลิกการ peg และลอยตัวได้อย่างมั่นคง


    แต่ตอนนี้มีความเสี่ยงอย่างใหม่มาเปลี่ยนสถานการณ์แล้ว


    ตอนนี้ผมกำลังแนะให้กองทุนของผมย้ายออกจาก HKD และเข้าถือ 28-day Treasury Bills ที่ยังคงมียีลด์ 2%+


    มันยังคงเมคเซนส์ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดกับฮ่องกงดอลล่าร์หรือเปล่า


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เก็บตกตะวันออกกลาง


    ซาอุดิอาระเบียบุกเมืองฮูดัยดะฮ์ สังหารหมู่เข่นฆ่าพลเรือนเยเมนกว่า 100 คนใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา


    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


    มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 110 คนในระหว่างการปะทะกันของกองกำลังเยเมนกับทหารรับจ้างที่ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดิอาระเบียในเมืองทางตะวันตกของเมืองฮูดัยดะฮ์เมื่อ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา


    เมืองท่าเรือที่สำคัญนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการช่วยเหลือด้านอาหารและมนุษยธรรมเข้าสู่ประเทศเยเมน แต่กองกำลังซาอุดิอาระเบียและยูเออีกำลังปิดกั้นการขนส่งต่างเอาไว้


    ในวันที่ 1 พฤศจิกายนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 600 รายเนื่องจากการรุกรานของซาอุดิอาระเบียต่อประเทศเยเมน ซึ่งเกิดการปะทะกันขึ้นกับกองกำลังป้องกันตนเองของเยเมนที่เมือง ฮูดัยดะฮ์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของเยเมน


    ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เปิดฉากการรุกรานเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนเพื่อจะยึดเมืองฮูดัยดะฮ์ให้ได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นหลักของการขาดแคลนอาหารในประเทศเยเมน ทำให้ประชากรเยเมนเดือดร้อนอยู่ในความอดอยากและหิวโหย

    แต่อย่างไรก็ตามการรุกรานดังกล่าวได้หยุดชะงักทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังป้องกันตนเอง ฮูตีอัลซอลุลลอฮ์ ที่เข้าปะทะขัดขวางการรุนรานเยเมนของซาอุดิอาระเบีย เป็นเหตุทำให้การรุกรานของซาอุดิอาระเบียต้องหยุดชะงักทันที


    #เก็บตกตะวันออกกลาง!

    #ซาอุดีอาราเบีย!

    #เยเมน!


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,518
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Gossipสาสุข


    มหากาพย์ว่าด้วย รพ.เอกชน ทำไมแพง และทำไมปฏิเสธผู้ป่วย





    - ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ถือเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายใหญ่ ที่กุมอำนาจตลาดธุรกิจบริการสุขภาพ หรือ Health Care ในไทย ด้วยบริการที่สูงกว่ามาตรฐาน ราคาที่ไม่แพงนัก และ “ลูกค้า” รู้สึกว่าได้รับการบริการที่ดีกว่าโรงพยาบาลรัฐระดับ “ฟ้ากับเหว”



    - ประกอบกับไทย กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มรูปแบบ หรือมีประชากรอายุ 60 ปี มากถึง 1 ใน 5 ในปี 2564 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ



    - ยังไม่นับรวมการโปรโมตโรงพยาบาลเอกชน ในฐานะ “เมดิคัลฮับ” ซึ่งมีบริการที่มีคุณภาพดี ในราคาที่ไม่สูงมากนัก ดึงทั้งเศรษฐีจากตะวันออกกลาง- จีน - ยุโรป เข้ามารักษา จนสร้างชื่อเสียง และสร้างความมั่งคั่งให้กับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หรือกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ มาแล้วนักต่อนัก



    - ปี 2560 ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ เผยแพร่รายงานระบุว่า โรงพยาบาลเอกชน จัดเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่องในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยคงอัตรากำไรสุทธิ เติบโตเฉลี่ย 13-16% ต่อปี จาก “การเพิ่มขึ้นของกลุ่มชนชั้นกลางที่มีอำนาจซื้อสูง, การขยายตัวของชุมชนเมือง, การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ อัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อร้ายแรง เช่น หลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวานเพิ่มขึ้น



    - อย่างไรก็ตาม ด้านที่ Gossipสาสุข เห็นว่า “ย้อนแย้ง” ก็คือ แม้การเติบโตของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ราคาค่าบริการ ราคาห้องพัก และการบริการขั้นพื้นฐาน ของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ก็เพิ่มสูงขึ้น ชนิดที่ไม่มีใครควบคุมได้



    - ไม่เพียงเท่านั้น โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ก็ไม่ได้มาตรฐาน รักษาแบบ “ขอไปที” ด้วยค่ารักษาที่สูงเกินจริง



    - เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และผู้บริหารโรงพยาบาลมหาชัย–โรงพยาบาลเจ้าพระยา ให้สัมภาษณ์กับ เดลินิวส์ (https://www.dailynews.co.th/politics/676671) ระบุว่า เหตุที่ค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแพง มาจาก ค่ายาและเวชภัณฑ์ เงินเดือนแพทย์-บุคลากร เครื่องมือ ที่มีคุณภาพสูง รวมถึง ต้นทุน เงินปันผล และการต้อง “พึ่งตัวเอง” ไม่มีรัฐมาให้การสนับสนุน ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ 2-3 เท่า



    - อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องให้โรงพยาบาลเอกชนลดราคา ถือเป็นหนึ่งใน “มหากาพย์” เพราะเป็นข้อเรียกร้องที่มีมานาน ไม่ต่ำกว่า 20 ปี แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไข หรือหากจะแก้ไข ก็เป็นเพียงนโยบาย “ลูบหน้า ปะจมูก” เท่านั้น



    - ปี 2558 สมัย ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน เป็น รมว.สาธารณสุข ซึ่งอยู่ภายใต้ คสช.เช่นเดียวกัน เคยออกมาตรการแก้ไข 3 ข้อ ได้แก่ 1.เปิดเผยข้อมูลค่ายา ค่าบริการทางการแพทย์ จากโรงพยาบาลเอกชน มาประกาศในเว็บไซต์กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้ประชาชนตรวจสอบ 2.เปิดสายด่วนรับเรื่องร้องเรียนค่ารักษาพยาบาลแพง 3 หมายเลข ได้แก่ สายด่วนคุ้มครองผู้บริโภค สายด่วนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสายด่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ 3.สนับสนุนโครงการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกที่ ทุกสิทธิ์ ต่อไป



    - แต่ผ่านมาไม่ถึง 3 ปี คำตอบก็ชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ค่ารักษาพยาบาล “สมเหตุสมผล” โรงพยาบาลเอกชน ยังมีค่ารักษาในอัตราที่สูงลิบลิ่ว โดยเฉพาะหากผู้ป่วย “วอล์คอิน” เข้าไป โดยไม่ได้ทำประกันสุขภาพเอกชน



    - ส่วนนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ 72 ชม.” หรือ UCEP ที่รัฐบาล คสช. โปรโมตเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก ก็ยังคงมีปัญหาในหลักปฏิบัติ เนื่องจาก ผู้กุมนิยาม “ป่วยฉุกเฉิน” นั้น ยังคงเป็นแพทย์ และตัวโรงพยาบาลเอกชน ที่รัฐไม่สามารถเข้าไปควบคุม



    - ขณะเดียวกันอัตราที่รัฐจ่ายให้โรงพยาบาลเอกชนนั้น โรงพยาบาลเอกชน ก็ยังรู้สึกว่าถูกรัฐเอาเปรียบ แม้ค่าตอบแทนในการรักษาผู้ป่วยที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน จะสูงเกินหน้า “ราคากลาง” ไปไกล ก็ตาม



    - ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมว่า หากโรงพยาบาลเอกชน รับรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน แล้วเกิดมีอาการแทรกซ้อน จนผู้ป่วยทุพพลภาพ หรือ เสียชีวิต อีก ด้วยเหตุนี้ หลายโรงพยาบาล จึงเลือกไม่รับผู้ป่วย และส่งต่อไปให้โรงพยาบาลรัฐ ดูแลแทน ด้วยข้ออ้างว่า “ผู้ป่วยปฏิเสธ” หรือผู้ป่วย มาด้วยอาการ “ไม่ฉุกเฉิน” แทน



    - ปัญหาอีกอย่างคือ รัฐบาล ไม่สามารถทำหน้าที่เป็น “ผู้คุมกฎ” ได้ดีพอ ทั้ง 1.กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่ถือ พ.ร.บ.สถานพยาบาล ก็ปรากฏว่ามี โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ไม่ได้มาตรฐาน คิดค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริง ปฏิเสธผู้ป่วย



    - 2.กระทรวงสาธารณสุข ที่ทำหน้าที่ ดูแลนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ฯ” อันเป็นนโยบายที่รัฐบาลเอามาขายตลอดเวลานั้น เมื่อนำมาใช้จริง ก็เกิดปัญหาตามมา ทั้งปัญหาภายใน เรื่องเกี่ยวกับการเบิกจ่ายตามสิทธิ หรือปัญหาภายนอก ที่โรงพยาบาลปฏิเสธผู้ป่วย



    - และ 3.กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องเข้ามาจัดการราคาสินค้า และบริการ ให้มีมาตรฐาน มีการเปิดเผยที่ชัดเจน ไม่ใช่งุบงิบแสดงกันเองเฉพาะแพทย์-พยาบาล-บุคลากร แล้วส่งบิลเรียกเก็บมาให้ผู้ป่วย-ญาติ ตกใจ หลังรับการรักษา



    - สรุปแล้ว หากมองสถานะของการเป็น “ผู้คุมกฎ” ของกระทรวงสาธารณสุข เราจะพบว่า “ใช้ไม่ได้” เพราะทั้ง ปล่อยปละละเลย อะลุ้มอล่วย รวมถึงการปัดสวะ บอกว่าไม่มีกฎหมาย ไม่มีหน้าที่ และไม่สามารถจัดการได้



    - Gossipสาสุข หวังว่ากระทรวงสาธารณสุข ยุคที่ “ภรรยารัฐมนตรี” เคยเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ และมี ปลัดกระทรวง ที่เคยเป็นรองอธิบดี “กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ” มาก่อน จะเข้าใจหน้าที่การเป็นผู้คุมกฎได้ดีขึ้น และเปลี่ยนกระทรวง ไปในทิศทางที่คนไทย สามารถ “พึ่งพิง” ได้ ในยามเจ็บป่วยไม่ว่าจะ “ฉุกเฉิน” หรือ “เรื้อรัง”



    - หากทำไม่ได้ อีก 10 ปีข้างหน้า เราก็ยังต้องพูดถึง “มหากาพย์” เรื่องนี้ ต่อไปอีกเรื่อยๆ....


    #โรงพยาบาลเอกชน #ค่ารักษาพยาบาล #เมดิคัลฮับ


     

แชร์หน้านี้

Loading...