ตามรอย "พระมหาชนก"

หมา ๗ ตัว คือ ความซื่อสัตย์ที่เคยมีให้กัน เสื่อมถอยลง หรือ ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ดังนั้น สงครามกลางเมืองขั้นแตกหัก หรือสงครามครั้งสุดท้ายจะอยู่ที่กรุงเทพฯนั้น มันจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี ๒๕๕๕ ถึง ต้นปี ๒๕๕๖ (หรือ+- ปีใหม่ประมาณ ๓ เดือน) ดังนั้นถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงตามที่ผมพิจารณา ถ้าไม่ผิด มันจะเกิดในช่วงนั้น เป็นผลให้บ้านเมืองหรือประเทศชาติไทยของเราๆท่านๆ เกิดวิกฤติ เกิดกลียุค บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลัง คือ หมา ๗ ตัว + ปี ๒๕๕๕ จะเท่ากับ ปี ๒๕๖๒ ดังนั้นหมาที่เคยยืนอยู่จะค่อยๆมอมลงไปถึง ๗ ปี ดังนั้น เรื่องราวร้ายๆทั้งหลายทั้งปวง(เช่น ภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ภัยสงครามและอื่นๆ)จะไปสิ้นสุดที่ปี ๒๕๖๒ ส่วนปี ๒๕๖๓ จะตั้งหลักได้ บ้านเมืองจะมั่นคง สถาพร ประชาชนจะกินดีอยู่ดี มีแต่คนบุญที่เหลือรอด ส่วนปี ๒๕๖๔ นั้นตามที่ผมได้พิจารณาแจ้งไปแล้ว ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

บทความเดิม…<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
ธรรมะกำลังจัดสรรให้คนบุญได้มีโอกาสที่ดีหลายๆอย่างในการช่วยฟื้นฟูต้นมะม่วง ๙ วิธี แต่มีข้อแม้ ท่านต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งจิตและใจเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคศิวิไล คือ จตุรบาท แต่กว่าจะถึงปี ๒๕๖๔ ปีที่ดีที่สุด มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา<o></o>

 

กำหนดพิธีสรงน้ำองค์หลวงพ่อโอภาสี(หลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่ ๕)
ณ วัดหลวงพ่อโอภาสี 127/3 ถนนพุทธบูชา 31 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กทม. โทร.0-2426-3797

วันพุธที่ 4 เมษายน 2555 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2555 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 5

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2555 ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5
เวลา 10.00 น. พระสงฆ์ เจริญพุทธมนต์
เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์
เวลา 13.05 น. พิธีทักษิณาวรรตขบวนแห่เวียนรอบองค์ประสาทจุฬามณี 3 รอบ แล้วเริ่มสรงน้ำองค์หลวงพ่อและพระบรมรูปสมเด็จพระมหาราชทั้ง 5 พระองค์ ซึ่งได้กระทำทุกๆปี ตลอดมาดังเช่นเดิม

ขอเรียนเชิญ บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ และท่านที่เคารพนับถือองค์หลวงพ่อโอภาสี ทุกๆท่านนะครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
ส่วนตัวผมจะไปในวันศุกร์ ที่ 6 เมษายน 2555 เพื่อไปร่วมขบวนแห่องค์หลวงพ่อโอภาสี เพื่อแสดงความกตัญญู ที่ท่านช่วยเหลือครอบครัวผมมาโดยตลอด แม้ในยามที่มีภัย ท่านก็ยังดลจิตดลใจให้เตี่ย ผมไปซื้อที่ดินที่อยู่ไม่ไกล จากวัดพระพุทธบาทชนแดน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ไว้เป็นสถานที่หลบภัย ซึ่งซื้อไว้นานแล้ว ซื้อพร้อมคนอื่นๆแต่คนอื่นๆขายไปหมดแล้วเขาบอกว่าไกลจากกรุงเทพฯมากดูแลไม่ไหว เหลือเตี่ยผมอยู่คนเดียว ไม่ยอมขาย ไกลก็ไกลน่าจะขายแต่ไม่ขาย ไม่เข้าใจ ...สุดท้ายผมได้พิจารณาเมื่อ3ปีที่ผ่านมาเห็นแล้วว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นในอนาคตทำให้ผมมีความเชื่อและศรัทธามากขึ้นไปอีกหลายเท่า ว่าที่นี่จะเป็นที่ๆปลอดภัยอีกแห่งหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นที่ดินของตัวเอง ยังพอมีที่ให้ซุกหัวนอนในยามหลบภัย สึนามิในอ่าวไทย นี่คือโชคดี ประการหนึ่ง ท่านทั้งหลายถ้าพอมีเวลาว่างไปกราบท่าน จะวันไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวก ขอให้ท่านไปเชื่อมบุญกับหลวงพ่อโอภาสี ก็จะดีกับตัวเองและครอบครัวนะครับ<o></o>

 

แล้วตามที่ผม พิจารณามาว่า ไอ้ที่จะเกิดสงครามถึงขั้นแตกหัก บ้านเมืองเกิดวิกฤติ ในช่วงสิ้นปี ๒๕๕๕ ถึง ต้นปี ๒๕๕๖ (หรือ+- ปีใหม่ประมาณ ๓ เดือน) นั้นมันจริงไหมหรือพิจารณาผิดหรือเปล่า ถามว่ามีอะไรยืนยัน ตอบขอตอบว่า มีครับ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

เสียงตะโกนบอกว่า ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน...
วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ถูกลอบปลงพระชนม์ เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน โดยต้องพระแสงปืนที่พระกระหม่อม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ตัดสินพระทัยรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงทรงอำลาประชาชนชาวไทย เสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับตำแหน่งประมุขของประเทศ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
ตัดสินพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยและคนไทยคลายความโศกเศร้าจากการที่ต้องเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศไทยได้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ที่ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยเพื่อ ประโยชน์สุขของประชาชน ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เดิมทีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยว่า จะทรงครองราชสมบัติเฉพาะในช่วงการจัดงานพระบรมศพของพระบรมเชษฐาเท่านั้น เพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถพระที่ นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า " ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน " ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า " ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจว่าต่อมาอีกประมาณ ๒๐ ปี ขณะทรงเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด ทรงได้พบชายผู้ร้องตะโกนคนนั้น ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลว่า ที่เขาร้องตะโกนออกไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกว้าเหว่และใจหาย เขาเห็นพระพักตร์เศร้ามาก จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า "นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา"<o></o>

 

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศฯ จับมือภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เปิดเวที “อะไร คือ เศรษฐกิจพอเพียง” มุ่งขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในมิติต่างๆ

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (มพพ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จัดปาฐกถาพิเศษพร้อมแลกเปลี่ยนความเห็น ภายใต้หัวข้อ “อะไร คือ เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อเผยแพร่ความรู้ และความก้าวหน้าการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในมิติต่างๆ ในวันพุธที่ 28 มีนาคม 2555 เวลา 8.00 — 16.30 น. ณ ห้องแกรนด์ไดมอน บอลรูม ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

ภาคเช้า ชมวีดิทัศน์ “อะไร คือ เศรษฐกิจพอเพียง” พร้อมรับฟังปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ภาคบ่าย การแบ่งกลุ่มเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ความสำเร็จจากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ของภาคส่วนต่างๆ 5 กลุ่มย่อย ให้ผู้ร่วมประชุมสามารถเลือกเข้าฟัง ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 อะไรคือเศรษฐกิจพอเพียงของภาคการศึกษา
กลุ่มที่ 2 อะไรคือเศรษฐกิจพอเพียงของภาคธุรกิจเอกชน
กลุ่มที่ 3 อะไรคือเศรษฐกิจพอเพียงของภาคประชาชนและชุมชน
กลุ่มที่ 4 อะไรคือเศรษฐกิจพอเพียงของภาครัฐ
กลุ่มที่ 5 อะไรคือเศรษฐกิจพอเพียงในกลุ่มเด็กและเยาวชน
สำรองที่นั่ง และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานมูลนิธิสถาบันวิจัยฯ โทร. 0-2280-4085 ต่อ 2311, 6114, 6158

ที่มา มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศฯ จับมือภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เปิดเวที &ldquo;อะไร ค

 

รัฐบาลปัจจุบันยังอยู่ในอำนาจต่อไปเป็นไปได้ว่าจะอยู่ครบเทอม ช่วงนั้นไม่มีใครสามารถล้มเขาได้ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
ทุกอย่างมีมาแต่เหตุ ผลจึงเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างมีเงื่อนเวลาที่เหมาะสม ต้องเกิดสิ่งนี้ก่อน สิ่งนั้นถึงจะเกิดได้ <o></o>

 

ภาพหน้า ๑๖ ๑๗ ๑๘ ๑๙ นั้นจะถูกแบ่งออกเป็น ๒ ช่วง ๒ เหตุการณ์ คือ ช่วงแรกเหตุการณ์แรกจะเป็นหน้า ๑๖ ๑๗ ช่วง ๒ เหตุการณ์ ๒ จะเป็นภาพหน้า ๑๘ ๑๙ ดังนั้น ถ้าเราพิจารณาจากการวาง organization chat เราจะมองเห็น การเปลี่ยนแปลง แต่ในที่นี้ผมจะไม่แจ้ง แต่จะแจ้งบอกว่าเป็นศึกชิงเจ้ายุทธ์จักร ระหว่างอวิชชา กับคุณธรรม หรือพูดง่ายๆก็คือ เป็นการรบที่จะเอาสถาบัน กับไม่เอาสถาบัน หลักใหญ่ๆมีแค่นี้เอง ส่วนใครจะอยู่ฝ่ายไหนตามผมมา เราจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นการศึกจะแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่เอา กับ ฝ่ายที่ไม่เอา ดังนั้นผมจะเริ่มพิจารณา ภาพหน้า ๑๖ ๑๗ ทั้ง ๒ ภาพนี้จะแบ่งออกเป็น ๓ ก๊ก <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

ก๊กแรกคือก๊กที่เอาสถาบัน คือภาพหน้า ๑๖ ทั้งหมด จะมีสีมะม่วงสุก มีผ้าโพกหัวสีมะม่วงสุก เป็นสีที่ทูลไว้เหนือหัวเหนือชีวิตของทุกคน เสื้อที่แต่ละคนใส่คือหน้าที่ของแต่ละบุคคล บางคนก็ใส่เสื้อสีมะม่วงสุก ใส่สีใบเตยบ้าง สีสตอเบอรี่บ้าง สีเปลือกมะพร้าวแก่บ้าง สีชมพู่บ้าง สีดอกอัญชันบ้าง ล้วนแล้วเอาสถาบันทั้งสิ้น ทุกคนชักธงรบ…<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

ก๊กที่สองคือก๊กที่ไม่เอาสถาบัน คือภาพหน้า ๑๗ คือคนที่อยู่ข้างบนกำแพงเมือง ที่มีอำนาจได้ครองเมือง บ้างก็ใส่เสื้อสีสตอเบอรรี่ บ้างก็ใส่สีดอกอัญชัน บ้างก็ใส่สีใบเตย บ้างก็ใส่สีเปลือกมะพร้าวแก่ ซึ่งไม่มีสีมะม่วงสุก และสีชมพู่เลย บางคนก็ไม่มีผ้าโพกหัว บางคนก็มีผ้าโพกหัวสีกระดาษ...<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

ก๊กที่สามคือ ก๊กที่เอาสถาบัน คือภาพหน้า ๑๗ แต่เป็นก๊กที่อกหัก อกหักจากก๊กที่ ๒ เป็นก๊กที่มากับพวกคอมมิวนิสต์เดิม เหตุใดเขาเหล่านั้นจึงทะเลาะกัน ผมขอไม่ตอบนะครับ เพราะผมเชื่อมั่นว่ามีผู้รู้มากมายเข้าใจปัญหาดีแล้ว เงื่อนไขการรบกันครั้งนี้เหตุอยู่ที่ ก๊กที่ ๒ ท่านเห็นบานพับหรือกำแพงสีแดงๆไหมครับ... <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

ก๊กที่ ๒ ท่านเห็นบานพับหรือกำแพงสีแดงๆไหมครับ

ข้อความเดิม <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
From Khun CopperOxide ส่วนสัญลักษณ์ที่ผมยังไม่ได้ตีความหรือหาความหมายคือ หลายภาพใน พระราชนิพนธ์นั้น มักมีรูปบานพับปรากฏอยู่หลายหน้า ครับจุดนี้ผมมองอย่างนี้ครับว่า ที่ว่าเป็นบานพับนั้นผมก็เห็นเป็นเช่นนั้น “กำแพงหรือผนังบานพับ” คือ กรอบ กฏระเบียบ กติกาสังคม เหตุการณ์ต่างๆที่บังคับให้ทุกคนต้องทำ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีหน้าที่อยู่แล้ว ในทางปฏิบัติสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม ไม่ให้ตึงเกินไปและไม่ให้หย่อนเกินควร ต้องรู้จักยืดหยุ่น แต่ทั้งหมดต้องไม่ผิดหลักการ บางรูปบางภาพที่เห็นก็เป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตก คือคนชั่วเป็นใหญ่มีอำนาจ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองอวิชชาใช่หรือไม่ บาง<o></o>
รูปบางภาพก็เป็นเมืองเทพเมืองสวรรค์หรืออาจจะเรียกได้ว่าเมืองอภิญญาธิปไตยคือจิตที่มีปัญญาธรรมเป็นใหญ่ก็พอจะเรียกได้ใช่หรือไม่ บางรูปบางภาพก็เป็นเมืองแห่งคุณธรรมหรืออาจจะเรียกได้ว่าธรรมาธิปไตยแบบประเทศไทย คือคนดีเป็นใหญ่มีอำนาจใช่หรือไม่<o></o>

 

ทหารของพระราชา ก็ยังยืนหยัดแน่นและมั่นคงในการทำหน้าที่รักษาบ้านรักษาเมืองต่อไป อย่างเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ เชื่อได้ว่าทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่ๆดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>

 

เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เสียหายใหญ่หลวง กับบ้านเมือง ความร้อนของใจคนนั้นร้อนดังเปลวไฟ ในขณะที่กำลังรบราฆ่าฟันกันอยู่นั้น ดาวเคราะห์ก็เข้ามาเยื่อนคนบนโลก เข้ามาซ้ำเติมเหตุการณ์ร้ายๆให้มันแย่ลงไปอีก หมายถึง ภาพดาวตกที่อยู่ในทีวี นั่นเองครับ ที่เป็นตัวกำหนดระยะเวลาข้างต้น ที่ผมได้แจ้งไป ทั้งพุทธศาสตร์ ทั้งวิทยาศาสตร์ ทุกๆท่านก็คงจะมองเห็นภาพแล้วนะครับว่าอะไรจะมา และมันจะมาเมื่อไหร่ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
<o> </o>

จากสี่เก้า เข้าถึง ปีหกสอง ฟ้าจะร้อง คำราม สุดหวั่นไหว​

ธรณี จะโกรธ เป็นพื้นไฟ พระพรายไซร้ จะถามโถม โจมตีเรา​

พระคงคา จะไหลบ่า หุ้มเปลือกโลก ดาวนอกโลกพุ่งชน คนอับเฉา​

ให้รีบลุก และตื่น เถิดพวกเรา รีบเดินหน้า ถึงธรรม ค้ำชีวา...<o></o>​

 

ขุมทรัพย์
​

การได้มาซึ่งปัญญา ชื่อว่า เป็นการได้มาซึ่งทรัพย์อันประเสริฐ
ก็ที่ใดแลเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา
ที่นั้นๆ บัณฑิตย่อมกล่าวเรียกว่า เป็นขุมทรัพย์
เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา คือ ทรัพย์อันประเสริฐ
ขุมทรัพย์ย่อมมีได้แก่บุคคลผู้แสวงหาดีแล้ว
และเป็นผู้มีบุญวาสนาพร้อมแล้ว
ก็แลเมื่อบุคคลใดพบขุมทรัพย์แล้ว
ไม่รีบนำทรัพย์ ที่มีอยู่ในขุมทรัพย์นั้น
ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ทั้งแก่ตนเอง และบุคคลอื่นแล้ว
ไม่นานบุคคลนั้นก็จะละจากขุมทรัพย์ที่มีอยู่นั้นไป
โดยไม่ได้รับประโยชน์อะไร
จากทรัพย์ที่มีอยู่ในขุมทรัพย์นั้นเลยแม้แต่น้อย​

 

ขุมทรัพย์ :: จากคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์

พ่อแม่ครูอาจารย์ คือ ชีวิตทั้งชีวิต
เพราะชีวิตที่จะดีได้ สำเร็จได้ จะพบความสว่าง ความสุขได้ จำเป็นจะต้องมี
ผู้คอยแนะนำพร่ำสอน คอยตักคอยเตือน
มนุษย์จะดีได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
จะต้องผ่านการฝึก การหัดเท่านั้น ถึงจะดีได้ ประเสริฐได้
ชีวิตของคนที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์
ชีวิตของคนนั้นถือได้ว่าเป็นชีวิตที่ปลอดภัย
ตรงกันข้ามชีวิตที่ไม่มีพ่อแม่ครูอาจารย์
ชีวิตของคนๆนั้นเป็นชีวิตที่น่ากลัว
เป็นชีวิตที่ขาดที่พึ่ง เป็นชีวิตที่ขาดสติปัญญา
ระดับวาสนาของผู้ที่่จะมีพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ดี
ที่เพรียบพร้อมไปด้วยวิชชาสมบัติ จรณสมบัตินั้น
ก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป
แล้วแต่ระดับบุญ แล้วแต่ระดับกรรมของแต่ละคนไป
ผู้มีบุญ มีวาสนาดีก็ได้พบได้เจอพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ดีไป
หากยังมีกรรม มีเวรอยู่ก็เจอแต่ของเก๋ ของปลอมกันไป​

 

ข้อความเดิม(ดูภาพ)
“กำแพงหรือผนังบานพับ”คือ กรอบ กฏระเบียบ กติกาสังคม เหตุการณ์ต่างๆที่บังคับให้ทุกคนต้องทำ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีหน้าที่อยู่แล้ว ในทางปฏิบัติสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม ไม่ให้ตึงเกินไปและไม่ให้หย่อนเกินควร ต้องรู้จักยืดหยุ่น แต่ทั้งหมดต้องไม่ผิดหลักการ บางรูปบางภาพที่เห็นก็เป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตก คือคนชั่วเป็นใหญ่มีอำนาจ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองอวิชชาใช่หรือไม่

 

ข้อความเดิม(ดูภาพ)
“กำแพงหรือผนังบานพับ”คือ กรอบ กฏระเบียบ กติกาสังคม เหตุการณ์ต่างๆที่บังคับให้ทุกคนต้องทำ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีหน้าที่อยู่แล้ว ในทางปฏิบัติสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม ไม่ให้ตึงเกินไปและไม่ให้หย่อนเกินควร ต้องรู้จักยืดหยุ่น แต่ทั้งหมดต้องไม่ผิดหลักการบางรูปบางภาพก็เป็นเมืองเทพเมืองสวรรค์หรืออาจจะเรียกได้ว่าเมืองอภิญญาธิปไตยคือจิตที่มีปัญญาธรรมเป็นใหญ่ก็พอจะเรียกได้ใช่หรือไม่

 

ข้อความเดิม(ดูภาพ)
“กำแพงหรือผนังบานพับ”คือ กรอบ กฏระเบียบ กติกาสังคม เหตุการณ์ต่างๆที่บังคับให้ทุกคนต้องทำ ซึ่งแต่ละคนล้วนมีหน้าที่อยู่แล้ว ในทางปฏิบัติสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม ไม่ให้ตึงเกินไปและไม่ให้หย่อนเกินควร ต้องรู้จักยืดหยุ่น แต่ทั้งหมดต้องไม่ผิดหลักการ บางรูปบางภาพก็เป็นเมืองแห่งคุณธรรมหรืออาจจะเรียกได้ว่าธรรมาธิปไตยแบบประเทศไทย คือคนดีเป็นใหญ่มีอำนาจใช่หรือไม่<O</O
<!-- google_ad_section_end -->

 

ให้ทุกท่านพิจารณาตามผมให้ทันนะครับ บางเรื่องบางอย่างผมไม่สามารถพูดหรือแจ้งตรงๆได้เพราะมันสุ่มเสี่ยง ขอให้ทราบไว้ว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควรแก่เหตุ คนบุญคนที่รอดชีวิตนั้นมีหน้าที่ๆจะต้องทำรออยู่ เมื่อถึงเวลาจะทราบเอง...

ครั้นอยู่ลำพังพระราชาตรัสกะพราหมณ์ว่า: "เราสงวนเรื่องนี้มานานแล้ว นับแต่เราลงเรือมุ่งสู่สุวรรณภูมินั้น ก่อนคลื่นยักษ์มากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกัน เป็นภาษาสุวรรณภูมิว่า: 'โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า' และว่าผู้ใดเหยียบปูนั้นได้ จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หากมีความเพียรแท้"
พราหมณ์ทูลว่า : "ข้าพระองค์ก็เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่า มีปูทะเลยักษ์ดังนี้หรือไม่"
พระราชาตรัสตอบว่า: "มีแน่แท้ หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่าก็ว่ายข้ามมหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราวๆ บางครั้ง ก็รู้สึกเหมือนเหยียบพื้นทะเลได้คล้ายๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่หกในจำพวกเจ็ดบุคคล(ในอุทกูปมสูตรที่ ๕) แต่ที่แท้ เป็นปูทะเลยักษ์นั่นเอง"
พรามณ์ทูลว่า: "ที่จริงแท้คือ พระบุญญาธิการ"

ครับที่ได้แจ้งและพิจารณาไปอย่าได้ตื่นกับสึนามิในอ่าวไทยนะครับ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ตรงกันนะครับ ทุกอย่างมีขั้นมีตอนมีเหตุมีผลในตัวของมันอยู่แล้ว ครับส่วนใครจะเป็นปูทะเลยักษ์ เป็นปลา เป็นเต่านั้น ผมเชื่อมั่นว่ามีรู้หลายท่านก็รู้เท่าทันเช่นเดียวกันครับ โดยไม่ต้องแจ้งเรื่องราวให้มากหลายครับ