ดูจิต ดวงจิตจริงมันดวงเดียว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 10 พฤษภาคม 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจหลวงพ่อเทศน์เรื่องอะไร ทำไมอ่านแล้วตัวเองไม่รู้เรื่อง

    ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิอ่านไม่ได้ กดเบาๆ

    กดเบาๆ เรื่องเวทนา พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต เทศน์เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2552
     
  2. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    สำหรับผม การเห็นจิตสังขาร แปลว่า เห็นตัวรู้ กิริยาการออกไปรู้ การถอยกลับไม่ไปรู้....ตรงนี้คือ การที่ตัวรู้ มันไม่ออกไปร่วมปรุงกับความคิดที่ใจคิด...เมื่อแยก ตัวที่รู้ไม่ออกตามไปไปรู้ กับ ความคิดที่ใจปรุงได้...สำหรับผม ตัวที่รู้กับตัวที่คิดคือใจ ต้องแยกกันชัดเจน และ หมดความยึดมั่นถือมั่นต่อกันด้วย...ตัวรู้หรือตัวจิตสังขาร จะได้ เหลือ แต่ตัวรู้ตัวเดียว(หมายความว่า ฌาณความสงบที่ สติมีนั้น เวทนากายและความคิด จะเข้ามารบกวน มาดึงให้สติหลงไปกับเวทนาและความคิดไม่ได้อีก

    สภาวะนี้ เหมือนคนที่นั่งสมาธิแล้ว เข้าถึงความว่างมีแต่แสง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีกาย มีแต่รู้ นั่นเอง

    แต่สำหรับผม....ยังมีต่อคือ..ชำระอวิชชา ในตัวรู้นี ต่อไป
     
  3. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ไม่อ่านให้จบหรอก ถึงแค่คำว่า บุญหล่นทับ แสดงว่า มั่วนิ่ม รู้ไม่จริง

    สติปัฏฐาน ไม่มีคำว่า บุญหล่นทับ หรอก ซ่าเบ้อ
     
  4. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อยากถามลิงกังเอกวีร์ว่า....เมื่อเหลือแต่จิตสังขาร แล้ว คุณแกชำระอวิชชาในตน ได้อย่างไร ถึง จะเข้าถึงอนัตตาธรรม

    อ้อก่อนจะถามคำถามแรก ขอถามคำถามนี้ก่อนว่า....คุณแกลิงกัง ปล่อยวาง ตัวที่คิด(ตัวใจ) ได้อย่างไร มีสภาวะอารมณ์แบบไหน บรรลุธรรมข้อใด
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    น้าจะ อย่าไป มั่วนิ่มเลยฮับ


    การดูจิตนั้น ขั้นพื้นฐานเนี่ยะ เขาจะ เอาจิตที่โคจรจาก ปฐมฌาณ
    ไปทุตยฌาณ จากทุติยฌาณเคลื่อนส่งออกไป ตติยฌาณ
    เคลื่อนจาก ตติยฌาณ ไป จุตถฌาณ เป็นส่วนกำหนดรู้ ภวตัณหา
    หรือ กำหนดรู้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ

    หลังจากนี้ สำหรับบุคคลบางจำพวก จะเกิด วิภวตัณหาแล้วกำหนดรู้
    ไม่ทัน ทำให้จิตโคจรไป อรูปฌาณ4 แสดง อาการเกิดดับ ของอรูปฌาณ
    ไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งก็จะเอามากำหนดรู้ จิตมีโทษะ

    ทีนี้หากเป็นพวกมี อินทรีย์ภาวนา จะมีปัญญากำหนดรู้ รูป นาม
    คือ กำหนดรู้การโคจรเกิดดับของ รูปวจรจิต อรูปวจรจิต เป็น
    ส่วนกำหนดรู้ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ

    ดังนั้น การสอนจิตมีราคะ โทษะ โมหะ หากฝึกกันจริงๆ ฝึกตามพระท่าน
    สอน ก็จะ โคจรจิตในรูปฌาณ อรูปฌาณ เป็นพื้นฐาน เป็นบาตรฐานไป
    ตลอดในการฝึกดูจิต มันเคลื่อน จิตมันส่งออก จิตมันปักไปในกองอภิสังขาร
    ด้วยอำนาจเวทนา

    พอกำหนดรู้ราคะ โทษะ โมหะ ไปอบ่างนี้ จะเริ่มแยก จิตก็ส่วนหนึ่ง เวทนาก็
    ส่วนหนึ่ง สังขาร(อภิสังขาร)ทั้งหลายก็ส่วนหนึ่ง

    หัดรู้ หัดดู หัดภาวนา จนกว่าจะเกิด " สมาธิ " เป็นขณะ หากเสพรูปฌาณ
    อรูปฌาณเหล่านั้นด้วยนามกาย ก็จะมีส่วนเพิ่มคือ ฝึกเห็นจิตไหลเข้าไปใน
    สมาบัติ8

    ซึ่งก็ต้องกำนดรู้ การเข้า การออก การอยู่ ให้ทั่วถึงอีก จึงชื่อว่า ดูจิต เป็น

    แต่สำหรับบางคนทีมีปัญญาอินทรีย์กล้า ก็ไม่จำเป็นต้องเสพสมาบัติ อาศัย
    จิตมันเคลื่อน จิตมันส่งออก จิตมันไหลไปในกองสมถะ กองต่างๆ เป็น
    การตามเห็น ความเกิด ความดับ อยู่เป็นประจำ ในแบบ พระสารีบุตร
    ผู้ละอัสมิมานะ ก็จะดูจิตเป็น รวดเร็ว และ ไว

    ไม่ใช่ ธรรมะโง่ๆ ธรรมะกัดกัน ธรรมเอาของคนอื่นมาพูด ไร้ต้นทุนทางธรรม
    เป็นของตน
     
  6. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เอกวีร์อย่ามั่วนิ่ม..จตุญาณที่ไหน...รู้ทัน ราคะ โทสะ โมหะ...แค่แกไม่ถอยมาที่ญาณสอง..แล้วเอาที่ไหนมาพูดว่า จตุญาณ รู้ทัน มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ

    เฮ้อ..หมดรมณ์จะคุยต่อเลย
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อรูปญาณของผมคือ เมื่อจิตสังขาร (สติรู้) ปล่อยวาง ตัวใจ ตัวที่คิด ได้ก่อน...ผมถึงเรียก อรูปญาณ...คือถ้า ลิงกัง ปฏิบัติมาได้ถึงแค่นี้....เอง...อิอิ...ก็สารภาพมาสิว่า

    ปล่อยวางตัวใจไม่เป็น ยังทำไม่ได้....ก็พูดมา..อย่าด้น อย่าเดา...อรูปญาณเลย อิอิ
     
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    สติดูกาย จะเห็นทั่วกาย ว่ามี เวทนาใดเกิดตรงไหนของกาย เห็นความคิดที่เกิดหลังเวทนาเกิดอีกทีนึง....เมื่อสติฝึกจนแยกออก ว่านั่น เวทนากาย ว่านั่นคือความคิด สติก็สงบจนไปดูที่ความคิดอย่างเดียว....ตรงนี้แค่นี้ เท่านั้น ก็รู้ว่า ราคะเกิด ราคะตั่งอยู่ ราคะดีบไป ได้แล้ว...ถ้าดูกายเป็น

    ขอร้อง เอกวีร์ อย่ามั่ว ถ้าตนเองมีต้นทุนธรรมที่ปฏิบัติมาได้แค่นี้
     
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ซ่าเบ้อ..ผมไม่คุยต่อกับคุณละ...เพราะคุณ ก็เก่งแต่ยก ของคนอื่นมา..อิอิ
    ส่วนเอกวีร์ ก็ได้รู้ว่า มัน ปฏิบัติ มาถึงได้ แค่นี้..เอง

    อิอิ...เสียเวลา..เข็นควากขึ้นภูเขา
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ว่าแต่ที่พวกเรา เถียงๆกันมาเนี่ย ว่า ความคิดไม่ไช่จิต จิตไม่ไช่ความคิด

    อ้าวแล้ว....เจตสิก ล่ะ มันหายไปไหน ทำไม ไม่เอามาพูดถึง

    สติตัวรู้คืออะไร...คือจิตมั้ย
    ความคิดที่ใจเป็น จิตมั้ย

    ความคิดที่สติรู้ทัน...มันคือจิตมั้ย
    ความคิดที่สติ รู้ไม่ทัน(รู้ไม่ทันแปลว่าเข้าไปจับไปยึดไปร่วมปรุง)..เรียกจิตมั้ย หรือเรียกเจตสิก

    เนี่ย แล้ว เวทนา อารมณ์ ความรู้สึก...เป็น จิต เป็นเจตสิกมั้ย

    เนี่ย...ต้องรู้
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าไป มั่วตั๊ว เลยฮับ

    การภาวนาโดย เอาความแปรปรวนของ อรูปฌาณ มาภาวนา โดยสภาวะ
    ที่พอจะบัญญัติได้ มันจะเป็น แสงกระพริบ ยิ๊บๆ ยั๊บๆ หากเสพสมาบัตินาน
    สักสองสามขณะจิต มันจะเป็น แสงวาบเหมือน แสงส่องทั่วจักรวาล แสดงอาการ
    เกิดดับ เคลื่อนไป จิตส่งออก ให้เห็น เผลอแล้วรูู้ เผลอแล้วรู้ กรณีที่ นั่งภาวนา
    เต็มรูปแบบ

    แต่สำหรับคนชำนาญ ฌาณ ก็จะเดิน ยิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ใช้ชีวิต
    ในโลกไปตามปรกติ แสงยิ๊บๆ ยั๊บๆ จะผลิกเป็น อาการยิ๊บๆ ยับๆ จี๋ๆ กลาง
    หัวอก ไม่เกินกาย ไม่หายไปไหน จิตมันมีบริกรรม มีการงานในการภาวนา
    เดินอยู่ตลอดเวลา หากสำเร็จโสดาบันขึ้นไป อาการนี้จะไม่หายไปเลย แต่
    ถ้าเป็นโคตรภูบุคคล หรือ เด็กฝึกหัด ก็จะ มีค้างบ้าง หายไปบ้าง แต่ก็แสดง
    ไตรลักษณ์ของปฏิปทา เป็นการฝึกแบบปัจเจกพุทธ หรือ แบบโพธิสัตว์
    หรือ สาวกบางประเภท ก็ว่ากันไป เผลอแล้วรู้ เผลอแล้วรู้ ไปนี่แหละ

    ดังนั้น

    พ้นรูปไปแล้ว ไม่มีหรอกฮัป มันจะแปรเป็น ภาษาบัญญัติได้ ถ้ายัง
    พูดได้ นั่น กรัชกาย สักกายมันปรากฏ ยังมี มหาภตรูปปรากฏ
    มันก็ ร่ำเป็นเสียงภาษาสื่อสาร ถ้าล่วงรูปสัญญาไปแล้ว ไม่มีแล้ว
    เป็นภาษา เป็นความคิด เชยระเบิดระเบ้อ


    แต่เขาจะ อนุโลมใช้คำว่า " จิตรำพึง " นะฮับ มันยังมี อาการกำเริบ
    กลับมายัง ฐานของ นามรูป นิทาน [ สมัยใหม่ใช้แต่คำว่า พันธุกรรมของจิต
    หรือ แปรปรวนไปตามสาสวะ ภวสวะ อาสวะของจิตดวงนั้น ]

    เพราะเหตุนั้น คนภาวนาเป็นจึงทราบว่า จิตมันอาพาธ หวลกลับมายังโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2015
  12. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    เหรอ พ้นรูปไปแล้ว ไม่มีการบัญญัติเหรอ....แล้วอรูป ใครบัญญัติ มา

    แล้ว วิญญาณ สัญญา วิญญาณ ใครบัญญัติมา
    แล้วนิพพาน ใครบัญญัติมา...

    อิอิ ไอ้ลิงกัง6 เอ๊ย....
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้น...มีอยู่

    ดินน้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจาย-

    ตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์

    และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า

    เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ

    เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้มิได้เป็นไป

    หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.

    จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑พระสุตตันตปิฎก

    ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 723
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    พุทธดำรัสตอบ
    “ดูก่อนภิกษุ ก็ปฐวีธาตุเป็นไฉน คือ ปฐวีธาตุภายใน (กายเรา) ก็มี ภายนอกก็มี ก็ปฐวีธาตุทั้งภายในภายนอกนี้แล เป็นปฐวีธาตุทั้งนั้น พึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายปฐวีธาตุและจะให้จิตคลายกำหนัดปฐวีธาตุได้

    “ดูก่อนภิกษุ ก็อาโปธาตุเป็นไฉน คือ อาโปธาตุภายใน (กายของเรา) ก็มี ภายนอกก็มี เป็นอาโปธาตุทั้งนั้น พึงเห็นอาโปธาตุนั้นว่า..... นั่นไม่ใช่ของเรา ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายอาโปธาตุ..... 

    “ดูก่อนภิกษุ ก็วาโยธาตุเป็นไฉน คือ เตโชธาตุภายใน (กายของเรา) ก็มี ภายนอกก็มี..... เป็นวาโยธาตุทั้งนั้น พึงเห็นวาโยธาตุนั้นว่า..... นั่นไม่ใช่ของเรา..... ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายเตโชธาตุ.....

    “ดูก่อนภิกษุ ก็เตโชธาตุเป็นไฉน คือ เตโชธาตุภายใน (กายของเรา) ก็มี ภายนอกก็มี..... เป็นเตโชธาตุทั้งนั้น พึงเห็นเตโชธาตุนั้นว่า..... นั่นไม่ใช่ของเรา..... ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายวาโยธาตุ..... 

    “ดูก่อนภิกษุ ก็อากาศธาตุเป็นไฉน คือ อากาศธาตุภายใน (กายของเรา) ก็มี ภายนอกก็มี..... เป็นอากาศธาตุทั้งนั้น พึงเห็นอากาศธาตุนั้นว่า..... นั่นไม่ใช่ของเรา..... ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายอากาศธาตุ..... “

    ต่อจากนั้น สิ่งที่เหลืออยู่อีก ก็คือ วิญญาณอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง บุคคลย่อมรู้อะไรๆ ได้ด้วยวิญญาณนั้น คือ รู้ชัดว่า สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง ดูก่อนภิกษุ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมเกินสุขเวทนา บุคคลนั้นเมื่อเสวยสุขเวทนาย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยสุขเวทนาอยู่เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือ ตัวสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุข ย่อมเกิดทุกขเวทนา..... เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นแลดับไป ความเสวยอารมณ์.... คือตัวทุกขเวทนา... ย่อมดับย่อมเข้าไปสงบ“

    ดูก่อนภิกษุ เปรียบเหมือนเกิดความร้อน เกิดไฟได้ เพราะไม้สองท่อนประชุมสีกัน ความร้อนที่เกิดแต่ไม้สองท่อนนั้น ย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ เพราะไม้สองท่อนนั้นเอง แยกกันไปเสียคนละทาง....

    ”ธาตุวิภังคสูตร อุ. ม. (๖๘๔-๖๘๙)ตบ. ๑๔ : ๔๓๗-๔๔๐ ตท. ๑๔ : ๓๗๓-๓๗๕ตอ. MLS. III : ๒๘๗-๒๘๙
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    การแยก กัน แค่เปรียบเทียบ ว่า ไม่มีโทษ เกิดขึ้น

    เพราะการแยก

    แต่การรู้ สิ่งนั้นให้โทษ แล้วหดออก ถอยออก ละวางออก ด้วยเพราะเข้าใจ แบบไม่ต้องมีใครมาบอกมาเตือนอีก....ตรงนี้ต่างหาก จึงถาวร
     
  16. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แต่ของผมไม่ไช่การดูจิตนะ อย่าเข้าใจผิด ของผมแยกจิตดูกาย สติปัฏฐานสี่ ครับ.

    ส่วนกลุ่มดูจิตที่คุณ กล่าวถึง เขาดูอะไรก็ไม่รู้...อยู่เฉยๆ ก็มาพากัน ดูจิต...ผมก็งง เหมือนกัน...
     
  17. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ผมฝึก แยกจิตดูกายทั้งกาย ทั่วกาย ดูเวทนา ดูความคิดไปด้วย

    (เอาว่าคนส่วนมาก จะไม่เข้าใจ ตรง ที่ผมกล่าวว่า ดูความคิด ดูได้ไง)

    จะดูความคิดได้ ต้อง ดูกายเป็น ดูเวทนาเป็น ตั้งสติ ดูเป็น.....ถ้าดูไม่เป็น ทำไม่ได้ ก็จะไม่มีทาง ดูความคิด ได้เลย
     
  18. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ในการนั่งสมาธิเข้า ฌาณสี่ แล้วถอยออกมาที่ฌาณสอง เพื่อรับรู้ ดู ความคิดดูจิตเลย มันจึงยากกว่า ในแบบที่ผมฝึกมา...

    การดูจิต ดูความคิดทัน มันไม่ง่ายนักหรอกครับ เหมือนการถอยฌาณมารับรู้ ความคิดดูจิตในสมาธิในฌาณ...มันก็ง่ายซะเมื่อไหร่กัน
     
  19. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - ผมไม่ได้ว่า หลวงพ่อสอนผิดเรื่องเวทนา ผมว่า การที่จิตกระทบ ธรรมารมณ์ เรียกว่าผัสสะ ทำให้เกิดเวทนาทางใจ แล้วท่านกล่าวว่าเป็น สมุททัย เท่าน้้น ไม่ได้กล่าวว่าท่านสอนผิด

    - ผมจะถามท่านว่า ฝึกขึ้นวิปัสสนา คือ ในแนวดูจิต มีหลักการอย่างไร มีเหตุมีผลอย่างไรที่จะทำให้บรรลุธรรม
    - การที่ท่านแยก เวทนากับจิต แยกสังขารกับจิต ออกจากกัน แยกได้อย่างไร แยกทำไม
    - จิต ธรรมชาติต้องเกิดร่วมกับ ขันธ์ส่วนอื่นเสมอ แล้วท่านแยกทำไมละครับ

    - ท่านเอาจิต มาดูจิต ท่านคิดว่า จิตเที่ยงหรือไม่ แล้วถ้าจิตไม่เที่ยงแล้วท่านเอาสิ่งที่ไม่เที่ยงมาดูสิ่งที่ไม่เที่ยง จะถูกต้องหรือเปล่า อยากฟังครับ

    ขอบคุณล่วงหน้านะครับท่าน
     
  20. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ดังนั้น การแยกจิต(แยกสติ)ออกนอกกาย เอาสติมาดูกาย(ดูกายอย่างเดียว)
    ดูกายทั่วกายทั้งหมด ทีเดียว

    ผมเคยเห็นคน ที่ฝึกสติปัฏฐาน..นั่งสมาธิดูกาย..แล้วรู้มั้ย ว่า เขาเถียงกันมาจนถึงวันนี้ แล้วยังหาที่จบ ที่ลง กันไม่ได้..เรื่องที่เถียงกันก็คือ

    แล้วเราจะเอาสติ ที่เป็นตัวดู เอาไปวางเป็นฐานกัน ตรงไหนของร่างกาย

    หรือกรรมฐาน...แล้วฐานมันอยู่ตรงไหน ถึงจะถูก...อิอิ เถียงกันมาไม่มี ที่ลง
     

แชร์หน้านี้

Loading...