ซูกระแท้ว....แซวกระทู้....

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 14 เมษายน 2014.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ระยะหลังมานี้ ผมสังเกตว่า มีการนำเอาธรรมะบ้าง คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์บ้าง มาใช้อ้างกันมาก มาอ้างเอาเข้ากับฑิฐิตัวเองบ้าง อ้างเพื่อผลประโยชน์ตัวเองบ้าง หรืออ้างเพื่อให้คนทั้งหลายโอนอ่อนโน้มเอียงมาเชื่อตนบ้าง...

    ผมเคยอ่านเจอที่หลวงพ่อชา ท่านกล่าวเอาไว้ว่า ควรน้อมตัวเข้าไปหาธรรม ไม่ใช่น้อมธรรมเข้ามาหาตัว เวลานั้นผมก็เห็นแย้งกับหลวงพ่อชานะครับ เพราะผมท่องมาว่า โอปนะยิโก พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว
    เวลาฝึกฝนผมก็จะน้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนเข้ามาพิจารณาที่กาย ที่ใจ เสมอๆ ให้เป็นไปอย่างที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ หรือครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนไว้ ดังนั้นผมจึงเห็นว่า ผมไม่น่าจะทำผิดนะครับ ที่น้อมเข้ามาพิจารณาเยี่ยงนี้

    แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมหลวงพ่อชา จึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ เมื่อมาเห็นแนวความคิดของหลายๆกระทู้ ก็ทำให้เริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อชาท่านสื่อสารเอาไว้ เนื่องเพราะมีคนบางจำพวกที่ประพฤติตัวแปลกๆ ได้จับเอาประเด็นบางประเด็นในหัวข้อธรรม มาเข้ากันกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ประพฤติอยู่ เพื่อให้ดูสอดคล้องกับพระธรรมคำสอน แต่ว่าตัดเอามาเพียงท่อนเดียว หรือเสี้ยวหนึ่ง เอาที่เข้ากับฑิฐิของตนได้ แล้วก็เที่ยวไปพูดคุยกับผู้อื่นบ้าง ถกเถียงเอากับผู้อื่นๆบ้าง เอาไปตำหนิผู้อื่นบ้าง อย่างนี้ระยะหลังเห็นมีมากด้วยกัน

    ทำให้มาย้อนคิดถึงคำสอนที่หลวงพ่อชาให้ไว้นั้น ก็คงเข้ากับกรณีเช่นนี้ ที่น้อมเอาธรรมะเข้ามาใส่ให้สอดคล้องกับฑิฐิของตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรจริงๆด้วยสิ
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ต่างคนแตกต่างกัน จึงขวนขวายมุ่งแสวงหาหนทางในการประพฤติปฏิบัติตนที่แตกต่างกันไป มีความสนอกสนใจที่แตกต่างกัน ย่อมประสบพบเห็นสิ่งต่างๆที่แตกต่างกัน

    ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านสนใจเรื่องเกี่ยวกับพลังงาน จากการที่ได้ฟังว่า หลวงปู่มั่นเมื่อบรรลุธรรมแล้ว ได้พบเห็นกับพระพุทธเจ้า ท่านจึงสนใจศึกษาเรื่อง ภูติพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านคำนึงว่า นี้น่าจะเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ท่านทิ้งไว้ที่โลกนี้ หลวงปู่ดู่ ท่านศึกษาจนรู้ลึกซึ้งในเรื่องนี้ และสามารถทำให้เกิดพุทธนิมิตขึ้นได้ที่วัดสะแก

    นอกจากนี้หลวงปู่ดู่ท่านยังศึกษาเรื่องของกรรม เรื่องกฎของกรรมนี้ ผู้ใดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้าแล้ว ต้องศึกษาอย่างลึกซึ้งแตกฉาน หาไม่แล้วย่อมรื้อขนสัตว์ทั้งปวงไม่ได้ จะแนะนำสั่งสอนผู้คนทั้งหลายให้พ้นจากกฎของกรรมไม่ได้

    จะพ้นไปจากวัฏฏะสงสารคือกฎของกรรมได้ ก็ต้องรู้และเข้าใจเรื่องกฎของกรรมอย่างถูกต้อง ลึกซึ้ง กว้างขวาง แม้จะยังไม่สามารถตัดขาดให้หลุดพ้นไปได้ด้วยยังไม่ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณก็ตามที แต่ก็สามารถทำความกระจ่างแจ้งแก่ใจจนสิ้นสงสัยได้

    เมื่อศึกษาค้นคว้าเรื่องกฎของกรรมอย่างแตกฉานแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านจึงสรุปเพียงสั้นๆไว้ว่า
    "ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม"
    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือ กรรม"

    คนที่รู้ไม่ครบ รู้ไม่จริง หรือจำเอาคำบาลีมาท่องใส่หน้ากัน คนพวกนี้ก็จะเอาเรื่องของกรรมมาพูดกันดังนี้ว่า

    กัมมะ คือ การกระทำ ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น

    บ้างก็อาศัยเรื่องกรรมนี้เอง เป็นเครื่องมือหากินไปว่า สามารถแก้กรรมได้ บ้างต้องทำพิธีขอให้เทพให้พรหม ให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ เสียเงินนับหมื่น นับแสนบาท เพื่อให้พ้นจากกรรมชั่วที่ตนเคยทำมาในอดีต

    บ้างเมื่อพบกับกฎของกรรมชั่วเข้ามาบีบบังคับเข้า ก็หันเข้าไปหาการเจริญกรรมฐานเพื่อแก้กรรมบ้าง เพื่อหนีกรรมบ้าง โดยเข้าใจว่าเข้ากรรมฐานแล้วกรรมจะแก้ได้ ต่อเมื่อออกจากกรรมฐานมาแล้วก็ยังคงได้รับทุกข์ ทนยาก นี้อยู่ ก็หันไปพึ่งการสร้างวัตถุต่างๆ จนกระทั่งบางครั้ง บางคน ต้องพึ่งร่างทรงองค์เทพ ทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้ชีวิตดีขึ้น อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน นี้คนไม่เข้าใจเขาทำกันแบบนี้กันทั้งนั้น ครั้งพอได้ดิบได้ดีบ้าง หรือความทุกข์ยากบรรเทาลงด้วยกาลเวลาและกฎของกรรมคลายตัวลงบ้าง ก็หลงคิดว่าวิธีการเหล่านี้ สามารถช่วยได้ ยึดถือเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัยได้ จึงพากันทิ้งเสียซึ่ง
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

    มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามขึ้นแล้ว ก็ถือเอาต้นไม้บ้าง ภูเขาบ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ...
    ใครสวดบทนี้แล้วสลดใจบ้าง...ผมเองผมสลดใจมาก สลดใจตัวเองในอดีตสมัยรุ่นๆ นึกไปถึงเตี่ย ถึงแม่ และอาเฮียอาแจ้ทั้งหลายของผม เราก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน หลายคนในเวปนี้ที่เห็นผ่านจากหลายๆกระทู้ก็ยังเป็นเช่นเดียวกันนี้แหละ

    บทสรุปของหลวงปู่ดู่ท่านกล่าวไว้ได้ถูกต้องครบถ้วนกระชับที่สุดแล้ว แต่ท่านไม่อธิบายต่อ คงเพราะเหลือวิสัยสำหรับหลายๆคนจะเข้าใจ อีกทั้งคนอีกจำนวนมากเมื่อฟังคำอธิบายไปแล้วจะจำไปใช้ในทางที่ผิดๆตามวิสัยของโลกๆเรานี้ ก็จะยิ่งทำให้ธัมมะต้องเศร้าหมองไปเสีย

    ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวคำอธิบาย เพราะสิ่งที่ควรจะทำคือ ปฏิบัติธรรมไป ค้นคว้ากันต่อไป ผู้รู้ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง พระตถาคตก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี เป็นแต่เพียงผู้ชี้แนะ คือแนะวิธีการปฏิบัติ คือแนะนำในการสร้างเหตุ ส่วนผลใดๆจะเกิดขึ้นนั้น ก็ย่อมเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยทั้งหลายสมบูรณ์พร้อมแล้วนั่นเอง

    ดังนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงบอกให้ "ทำไป... ทำไป..." เพราะนอกจากนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกล่าวถึงแล้วจริงๆ

    แต่ส่วนตัวผมนั้น ผมมั่นใจมากกว่า หากพระรัตนตรัยไม่สามารถช่วยได้แล้ว ก็เป็นเพราะกฎของกรรมนั้นมีเหตุให้เป็นไปอย่างนั้นแล้ว ผมก็ไม่เศร้าเสียใจ วิ่งหา เหล็กไหล มาช่วย หรือไม่วิ่งไปหาร่างทรงองค์เทพที่ไหนให้มาช่วย ผมมั่นใจว่าพระรัตนตรัยนี้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว หากว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ยังไม่สามารถช่วยเหลือได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรองๆลงมาจะช่วยผมได้อย่างไร

    สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เป็นสรณะอันสูงสุดของข้าพเจ้า
    ตายเป็นตายเหมือนกัน ผมจะไม่ยอมกลับไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธาตุกายสิทธิ์ใดๆให้ช่วยเหลืออีก ก็เพราะเมื่อครั้งที่ได้พบกฎของกรรมอันซับซ้อนลึกซึ้งนี้แล้ว จึงเข้าใจแล้วว่า ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม จริงๆ เมื่อนั้นแล้วเราจึงมีสรณะที่พึ่งอันหาได้ยากคือพระรัตนตรัยนี้เป็นสรณะอันสูงสุดเพียงสิ่งเดียว
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้นำธาตุกายสิทธิ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไปทำลายทิ้ง หรือเผาทิ้งหรอกนะครับ สิ่งที่มีไว้ก็มีเอาไว้ ใช้ทางโลกได้ก็ให้ใช้ไป วันใดใช้การไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด ให้เห็นว่าเป็นธรรมดาของโลก เป็นไปตามธรรมดาตามกฎของกรรม เป็นเช่นนี้เอง

    ส่วนในใจของทุกคนนั้นยังมีพระพุทโธ ซึ่งเป็นสรณะอันเกษมสูงสุด สถิตย์อยู่เสมอ แม้สุข แม้ทุกข์ ก็ยังมีพระพุทโธอยู่เสมอในใจของเราทุกคน ทางโลกก็มีไปได้ ทำไปได้ ไม่เป็นการกระทบกระเทือนต่อศีล ต่อธรรม ต่อสรณะอันสูงสุด ไม่ปรามาสพระรัตนตรัย ก็ทำไปได้ อย่างที่โลกเขาต้องการให้เป็นไป
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมได้พบกับพี่พยาบาลท่านหนึ่ง ซึ่งทำบุญและปฏิบัติธรรมกับวัดพระธรรมกาย มาตั้งแต่ปี 2540 พี่ท่านนี้พึ่งจะเกษียณอายุราชการและเป็นคนโสด

    การพบปะพูดคุยก็เป็นไปด้วยความบังเอิญ พี่ท่านนี้ปรารถเรื่องการฝึกสมาธิว่า ในกลุ่มของตนนั้นทุกคนนิ่งรวมศูนย์ได้ แต่ตัวเองเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ทำไม่ได้ เป็นที่หนักใจมาก
    หากว่าเรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ก็ต้องมีเหตุอันต้องได้พบเจอกัน ครั้งเมื่อเจอแล้วเวลาจะต้องแนะนำก็ต้องอาศัยบารมีพระและครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์

    ผมรู้สึกได้ว่าถ้าพระท่านสงเคราะห์หรือครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์แล้ว ผลของการเจริญกรรมฐานของคนผู้นั้นจะต้องพลิก จะเหมือนกับการเปิดของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น จนผู้ได้รับคำแนะนำเมื่อเอาไปทำตามนั้นแล้วจะเห็นผลในเวลาไม่เกิน 3 วัน แต่ส่วนมากจะเห็นผลกันภายในวันนั้นเลย

    พี่คนนี้เมื่อแนะนำไปในแนวทางหลวงปู่ดู่ก็เกิดผลขึ้นอย่างดี(อยากจะบอกว่าดีกว่าไอ้คนที่มันแนะนำนี่เสียอีก...จนแอบน้อยใจเล็กน้อยถึงปานกลาง) พี่ท่านนี้จึงสารภาพว่า ทำบุญไปกับวัดธรรมกายร่วมๆ 2 ล้านบาทแล้ว นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา จนมาวันนี้ได้เห็นผลจากการเจริญกรรมฐานแบบง่ายๆ ที่เหมาะกับตนแล้วนั้น ทุกวันนี้พี่ท่านนี้จะไปวัดสะแก สัปดาห์ละ ครั้ง เพื่อไปนั่งภาวนาที่หน้ากุฎิหลวงปู่

    ครั้งแรกที่พี่ท่านนี้พาเพื่อนๆในกลุ่มไปด้วยนั้น ก็ถูกกระตุกจากเพื่อนว่า จะเปลี่ยนสายเปลี่ยนแนว เปลี่ยนครูบาอาจารย์ อย่างนี้มันไม่ดีนะ
    พอครั้งที่สองที่พี่ท่านนี้ตัดสินใจเดินทางไปวัดลำพัง ผมจึงถือโอกาสแวะไปกราบพระที่วัดด้วย ไปถึงแล้วจึงได้เจอกับมัคทายกหญิง ที่คอยนำข้าวถวายหลวงปู่ เมื่อลาแล้วก็ได้ร่วมวงรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นอันว่า บุญก็ได้ ไส้ก็อิ่ม เสร็จแล้วก็พากันนั่งสมาธิกันไป

    ป้าท่านนี้เองก็นั่งเห็นแสงสว่างอยู่ตรงนั้นอย่างนั้นมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ไปไหน คือไม่ยอมไปไหนเสียที เมื่อถึงวาระที่จะต้องบอกตามที่หลวงปู่ท่านจะแนะนำมาก็ได้บอกกับป้าท่านนี้ไป ด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนอะไร เมื่อไปพบกับป้ามัคทายกอีกครั้ง ผมเอาต้นสมุนไพรไปฝาก ด้วยหวังว่าจะให้ คนเฒ่าคนแก่มีสุขภาพดี มีแรงทำบุญสร้างกุศลกันได้มากๆ ป้าท่านนี้ก็มาเล่าให้ฟังถึงการที่ได้ทำตามคำแนะนำ ซึ่งปรากฎว่ามีความก้าวหน้าไปมาก

    เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าในวาระแรกที่ผมไปถึง ในตอนถวายอาหารหลวงปู่ดู่นั้น บังเอิญผมไปเห็นเข้าว่าหลวงปู่ดู่ท่านมารับ และนำอาหารขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้า เวลาถวายแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้ารับไว้โดยการอนุโมทนา คือไม่ได้ฉันแต่อย่างใดนะครับ เมื่อรับแล้วก็ทรงให้พร เห็นหลวงปู่ดู่ท่านนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ใกล้ๆ อาหารทั้งหลายเหล่านั้นก็สว่างขึ้นมา คือสว่างจ้าเหมือนเรามองไปที่พระอาทิตย์เวลาเที่ยงวัน คือแต่ละจานแต่ละชามสว่างกันอย่างนั้น เมื่อเสร็จแล้วก็ปรากฎเป็นแสงสว่างพุ่งลงมาอีกทีที่ชามข้าวซึ่งตั้งถวายหลวงปู่ที่หน้ากุฎิท่าน การเห็นเช่นนี้ผมเข้าใจว่าเป็นด้วยบารมีหลวงปู่ท่านทำให้ดู คงจะไม่ใช่ความสามารถผมแต่อย่างใด และคิดไปเองว่าคนอื่นๆรวมทั้งป้ามัคทายกก็น่าจะเห็นเช่นเดียวกัน แต่เวลานั้นปรากฎว่าป้าไม่เห็น ป้าว่าเห็นแต่แสงสว่างเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ป้าท่านนี้จึงอยากจะขอให้แก้ไขข้อติดขัดนี้ ผมก็ได้แต่ถามหลวงปู่แล้วแนะนำไปตามที่หลวงปู่ดู่ท่านแนะนำมาอีกที

    แล้วยายคนหนึ่งก็อยากคุยด้วย เพราะเหมือนผมจะรู้เรื่องราวครูบาอาจารย์หลายรูปที่ยายท่านนี้ได้รู้จัก และรู้ตรงกันกับยาย สามียายที่เสียชีวิตไปแล้ว บวชอยู่กับหลวงปู่ดู่มากว่า 34 ปี ยายเล่าว่าพระอดีตสามีนี้ได้ฝึก มโนมยิทธิ กับพระมหาวีระ เมื่อสำเร็จวิชาแล้วก็มาสอนยาย เวลานั้นยายทำตามคำแนะนำก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า ประทับนั่งอยู่เบื้องหน้า ชัดเจนมาก มีความปลื้มปีติ จนน้ำตาไหลร้องไห้มากมาย จนเมื่อเสร็จจากการฝึก พระอดีตสามีจึงบอกว่า เธอนี่โง่มาก เห็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่รู้จักรักษาอารมณ์ไว้ เที่ยวเอาแต่ร้องไห้ น่าเสียดายนัก ยายเล่าว่าหลังจากนั้นก็ไม่เคยนั่งสมาธิแล้วเห็นอย่างนั้นอีกเลย
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ยายท่านนี้ทันได้เจอหลวงพ่อสด ทันเจอหลวงพ่อฤษี แต่เรียกว่าพระมหาวีระ ทันเจอหลวงปู่ดู่ รู้จักแม้กระทั่งหลวงปู่เล็ก วัดศักดิ์ ยายเป็นคนไปวัดมาทั่วทุกทิศเช่นกัน ไม่ธรรมดาจริงๆ
    ยายมีปัญหาข้อสงสัยเรื่องการฝึกสมาธิที่ผ่านๆมาชอบแต่จะ พุทโธ เมื่อพุทโธไปแล้วจิตก็รวมกัน จากนั้นก็แตกซ่านกระจัดกระจายไปหมด มันเป็นอย่างนี้มาตลอด เมื่อได้ขอบารมีหลวงปู่แล้วก็ให้คำแนะนำไปตามที่รับรู้มา ยายเองก็เห็นว่าง่ายดี อย่างนี้ทำไม่ยาก ที่เข้าใจผิดมาตลอดว่าการฝึกสมาธิมันต้องนิ่งดิ่งอย่างเดียว เวลานี้ความเห็นก็ได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว

    ยายเองกำลังวิ่งหาวัดที่จะให้อุโบสถศีลกับยาย แต่ยังหาไม่ได้ นี่ไปมาหลายวัดแล้ว และคิดว่าจะไปเข้าพรรษาวัดไหนดีที่เขาจะให้อุโบสถศีลกับยายได้ ถ้าไม่ได้จริงๆก็คงจะกลับไปเข้าพรรษาที่วัดมหาธาตุตามเดิม

    ผมจึงถามยายไปว่า ในอุโบสถศีลทั้ง 8 ข้อนั้น มีข้อไหนหรือที่บอกว่า ต้องอยู่วัด คือต้องอยู่วัดเท่านั้นจึงจะรักษาได้ นี่ผมเลยไล่ไปตั้งแต่ ข้อ 1 คือปาณาฯ อันนี้ไม่ต้องอยู่วัดก็รักษาได้ ไล่ไปจน 8 ข้อ ยายแกก็ยอมรับว่า อุโบสถศีลนี้ อยู่บ้านก็รักษาได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่วัด
    จากนั้นผมจึงสรุปให้ว่าศีลที่ยายจะขอนั้น ยายขอจากพระพุทธเจ้าได้โดยตรง ขอตรงต่อหน้าพระพุทธรูปนี่แหละ ได้เลย ยายฟังแล้วก็ไม่อยากจะเชื่ออีก

    ผมสรุปให้ฟังว่า ศีลทั้งหลายที่ยายปรารถนานั้น อยู่ที่กาย กับที่จิต ของยายนี่เอง ไม่ได้อยู่ที่วัด ที่หลวงพ่อรูปไหน การตั้งใจไว้ดีแล้วที่จะระงับยับยั้งยกเว้นไปไม่ละเมิด นั่นอยู่ที่กายกับจิต จึงไม่ต้องเที่ยววิ่งไปหาศีลที่ไหนอีกแล้ว

    เมื่อยายท่านนี้เข้าใจเรื่องศีลที่ตนเที่ยววิ่งหาอยู่นั้นดีแล้ว ได้รับคำแนะนำในการเจริญภาวนาอย่างง่ายๆแล้ว ก็เกิดสงสัยในเรื่องหลวงปู่โลกอุดรว่า มีตัวตนจริงๆหรือไม่ คือมีกายเนื้อเหมือนคนเป็นๆอย่างนี้อยู่หรือไม่ เมื่อผมยืนยันว่ายังมีกายเนื้อที่ปรากฎให้เห็นได้ด้วยตาเปล่าจริงๆ ยายจึงเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งนิมนต์พระอดีตสามีมาฉันเพลที่บ้าน

    ยายเล่าว่าเวลานั้นมีพระรูปร่างใหญ่เดินมาที่หน้าบ้าน แล้วถามยายว่า ที่บ้านกำลังเลี้ยงเพลพระอยู่ใช่ไหม อาตมาขอเข้ามาฉันเพลด้วยได้ไหม ยายก็รับว่ามีการเลี้ยงพระเพลอยู่จริงและนิมนต์พระคุณเจ้ามาร่วมฉันเพลด้วย เมื่อฉันเพลเสร็จให้พร พระรูปนั้นก็เดินออกมาหน้าบ้าน ยายก็เดินตามมาส่ง พอพ้นหน้าบ้านได้ 3 ก้าว ท่านก็หายไปเฉยๆ กลับมาในบ้านพระอดีตสามีก็บอกว่านั่นหลวงปู่โลกอุดร ยายเองยังสงสัยคาใจมาจนทุกวันนี้ว่าใช่จริงๆหรือ เพราะท่านมาปรากฎเป็นกายเนื้อให้เห็นเหมือนพระภิกษุรูปหนึ่ง

    เมื่อจบการสนทนา ยายก็บอกว่าสัปดาห์หน้าอยากจะแวะมาหาอีก อยากเจอ อยากคุยด้วย ซึ่งก็ได้บอกกันไปว่า คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ด้วยหมดหน้าที่

    เรื่องราวในโลกนี้ บางครั้งก็มีเหตุให้ต้องเจอ ต้องได้สนทนาในเวลาหนึ่ง เพื่อให้ผลเกื้อกูลต่อบุคคลกลุ่มหนึ่งแล้วก็จากกันไป มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นวัฎจักรอย่างนี้เอง จะห่วงหาอาลัยไปทำไมกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2014
  6. ยากูซ่าา

    ยากูซ่าา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +808
    มีประโยชน์ น่าสนใจ น่าติดตามมากๆ
    ขอเข้ามาอ่านทุกวันจะได้ไหมคะ
     
  7. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    สวัสดีครับท่าน..ป๋าระมิงค์ คิดถึงกันบ้างมั๊ยหน๊อ???

    toplus99 ยังอยู่...ยังมิตายจาก

    อันว่า...และคือว่า หลวงปู่ใหญ่..หลวงปู่เทพโลกอุดร...ฯลฯ
    ชะรอยจะมิใช่มีองค์เดียวซะแล้ว..สำหรับเรา

    แต่โดยรวมแล้วหมายถึงคือทั้งคณะธรรมฑูตแห่งพื้นดินสุวรณภูมิ เขตแดนนี้มาตั้งครั้งหลังพุทธกาลเริ่มต้นไม่นานเท่าไรนัก

    อันนี้นี้วัดจากจิตนาการห่วยๆของตัวเอง...เพราะเคยฝันพบเจอทั้งคณะมาแล้ว...
    และก็วัดแบบอุปมาอุปมัยในฝันว่า...ที่เรียกกันว่าหลวงปู่ใหญ่ๆ

    แท้จริงคือผลงานสร้างสรรค์ของคณะเผยแพร่พระธรรมคำสอน..ทั้งชุด..นั่นกะมัง
    ที่ล้วนทำหน้าที่เหมือนกัน
    และมีฤทธิ์อภิญญาความพิสดาร ยิ่งยวดต่างๆคล้ายกัน.
    .แต่มักไม่แสดงรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้ใครจับทิศทางได้
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998

    ฟังป๋า Toplus99 เล่ามานี่ก็ทำให้รู้แหละนะว่า ตัวจริงเสียงจริง เรื่องศิษย์สายในดง นอกดง ก็คือ ป๋า Toplus99 นี่แหละครับ ที่เดินเฉียดไปเฉียดมา เก๊กท่าหล่อไว้ แต่พอจะถามอะไรเข้าไส้เข้าพุงก็จะเดินหนีตลอด...

    ผมนึกถึงเรื่องที่หลวงพ่อเทพ ถาวโร ท่านเล่าให้ฟัง เรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรว่า แต่เดิมเรียกกันเพียงว่า หลวงปู่โลกอุดร อุดรก็แปลว่าเหนือ โลกอุดร ก็คือเหนือโลก ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นองค์ใดองค์หนึ่ง มีหลายองค์ตามที่ ป๋า toplus99 เล่ามา อันนี้หลวงพ่อเทพท่านว่าเช่นนั้นเหมือนกัน ส่วนพระภิกษุที่สอนท่าน คือ ภิกษุดำ ผู้ไปมาไร้ร่องรอย ถามชื่อท่านก็ไม่บอก ท่านบอกให้เรียกท่านว่า ภิกษุดำ เท่านั้นเอง อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงพ่อเทพเล่าให้ฟังอีกที

    ส่วนเรื่องความฝันของผมบ้างละกันนะ ผมเคยฝันไปว่า ได้เจอพระสงฆ์สัก 3-4 รูป ท่านอยู่ชายป่า แถบรอยต่อไทยลาว คงเป็นช่วงอีสานตอนบน ท่านชวนไว้ว่า หมดภาระหน้าที่แล้ว ให้มาฝึกอยู่ด้วยกันสัก 3-5 ปี แล้วค่อยพากันไป ยังที่แห่งหนึ่ง เพื่อทดสอบกำลังใจ จากนั้นจึงค่อยไปพบครูบาอาจารย์ใหญ่ ในที่อีกแห่งหนึ่ง แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกันที่นั่นไป ในฝันนี่ท่านทำภาพให้เห็นเล็กๆน้อยๆ พอให้ชวนสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม ตื่นจากฝันก็สิ้นสงสัย เพราะว่าฝันไปนี่นา ไม่ใช่เรื่องจริงสักกะหน่อย
     
  9. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ล๊อกเก็บเอาไว้ก่อน..

    ไอ้เรื่องโม้ๆมั่วๆ หากินกับฝันเนี่ย.. ผมล่ะถนัดนักเชียว

    เดี๋ยจะมากลับ..มาโยนลูกเก็บพินตัวสแปร์ที่เหลือต่อ..
     
  10. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ....เริ่มล่ะนะ

    กลางทุ่งกว้างในเขตดงลึก ยังมีกระทาชายนายหนึ่ง เดินเลาะๆเลียด มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

    ด้วยปลายทางแหงนหน้าขึ้นสุดคอคือ...ภูผาสูงชัน

    ...เพิกผาอันสูงชันตะหง่าน ในภูเขาสูงใหญ่เกือบ 200 เมตรสูงจากพื้นดิน ที่มีหลืบถ้ำเป็นปล่องกลางผาชันซุกซ่อนอยู่ ความกว้าง ลึกยาว คะเนด้วยสายตาปล่องผามีพื้นที่เพียง 4-5 ตารางเมตร

    ปรากฏร่างพระภิกษุเฒ่า...ห่มจีวรสีกรักเข้มแบบพระยุคโบราณ ผมขาวโพนดอกสีเลาทั้งศีรษะ ผู้อยู่ในอาการสำรวมสงบนิ่ง ทอดสายตายาว..สู่ท้องผืนป่าอย่างสงบนิ่ง...อย่างผู้มีเมตตาธรรมในสรรพสัตว์ผู้ทุกข์ยาก


    กระทาชายนายนี้...บ้างก็เดินอย่างขะมักเขม้น...บ้างก็เหาะยกร่างกายเหนือพื้นดิน เหนือแนวไม้ อย่างระมัดระวังเพียงเพื่องให้หวังหลุดพ้นจากการจับจ้อง สายตารู้เห็นจากคนอื่นๆ...


    แต่จิตสำผัสได้ว่ายังมีเหล่าผู้รักสันโดษ..อีกหลายคนนักที่มีลักษณะการกระทำมีความสามารถในการเหาะเหินได้เช่นกัน และมีความคิดเช่นเดียวกันกับชายผู่นี้...จากทั่วแดนสารทิศ ที่ไม่ยอมเปิดเผยตนต่อสาธาณชน อยู่อีกไม่น้อย

    ทุกคนที่ต่างรู้ว่าต้องระวังอย่างยิ่ง..เมื่อมีการถูกจ้องมาก็จะลงเดิน เช่นชนทั่วไป..
    เพราะล้วนได้รับคำสั่งเด็ดขาดเรื่องการปกปิดสภาวะของตน

    จุดหมายปลายทาง...ของทุกคนของเหล่าบุรุษทั้งหลายต่างไม่รู้จักกัน ต่างการแต่งกาย บ้างก็ดูคล้ายเช่นคนบ้า บอ บ้างก็แต่งกายเช่นนักพรต ดูน่าเกรงขามแห่งนักธรรม..บ้างก็เช่นขอทานงอกง่อย

    ที่มาล้วนด้วยจุดมุ่งหมายแห่งสายญาณคล้ายกันนั่นคือ..การเข้ามาหมายกราบคารวะน้อมรับคำสั่งและคำสอนการปประพฤติธรรมจากหลวงปู่ผู้เฒ่า ..ผู้หลีกเร้นในหลืบถ้ำกลางหน้าผา ต่างคนต่างวาระ ต่างจริต ต่างปฏิปทา..แต่จุดหมายหลักคือการบำรุงพระพุทธศานา ตามภูมิภาคของตนจากทั่วโลก

    =====

    กระทาชายนายนี้ เมื่อถึงจุดหมายแห่งภูเขา ของครูบาอาจาร์พระผู้เฒ่าแล้ว
    ที่ปากถ้ำตีนเขา ที่จะเป็นช่องหลืบให้ขึ้นไปยังสถานที่พำนักของพระผู้เฒ่า...พระผู้สูงธรรมขั้นยิ่งยวด

    ปารกฏยังมีนายนิรบาลผู้รักษา..ช่องทางขึ้นเขาสูงก่อนเข้าไปกราบคาราวะอยู่ 2 ตน

    รูปร่างสูงใหญ่กำยำ บึกบึน หน้าตาดุดัน คล้ายยักษ์..เปลือยท่อนบน ช่วงล่างนุ่งโสร่งโจงกระเบนสีแดงเข้ม

    ยืนคู่ดูโอ้...ถือหอกทรงใบพัดใบใหญ่มาก ปลายแหลมคมเปี๊ยบ ทั้งคู่ยกขึ้นประสานขัดกันเป็นรูปตัว X รักษาปากทางเข้าถ้ำไว้ ก็ดุเอาเรื่องอ่ะนะ

    ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะเดินเข้ามาถึงที่นายทวารร่างยักษ์ เฝ้ารักษาอยู่นั่นเอง

    ก็ปรากฏว่ามี ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ 4 คน เปลือยท่อนบน นุ่งผ้ากโจงกระเบนสีดำ ได้แบกแคร่ไม้ไผ่ที่มีโครงกระดูกยักษ์ทั้งกระโหลกศีรษะ ชายโครง ท่อน แขนขา สมบูรณ์ทั้งร่าง ขาวโพลนขนาดมหึมาของยักษ์ วางอยู่แคร่ไม้นี้เดินออกมาจากในถ้ำ

    "เฮ้ย..นี่มันโครงกระดูกยักษ์นี่หว่า"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2014
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ....ว่าแล้วกลุ่มชายทั้งสี่ ก็แบกโครงกระดูกยักษ์ขึ้นบ่าเดินหายลับไป

    " ท่านนายทวารทั้งสอง..เราจะขอผ่านขึ้นเข้าช่องถ้ำนี้ไป เพื่อขอลอดขึ้นไปกราบหลวงปู่ผู้เฒ่าหน่อยเถิด"
    กระทาชายนายนี้กล่าว


    " ไม่ได้...เราจะให้ผ่านไม่ได้ สำหรับท่านเราขอดูแผ่นฟิล์มเอกซเรย์โครงกระดูกของท่านเอง มาเป็นค่าผ่านทางขึ้นปากถ้ำ"

    ครุ่นคิดกลุ้มในหัวใจ..
    "ปะโธ่เว้ย!! แล้วในป่าในเขาลึกปานนี้ กูจะไปหาฟิล์มจากศูนย์ X-Ray หรือโรงพยายาบาลไหนมาให้ได้วะ"

    " ไม่มีมาใช่มั๊ย...งั้นกลับไปได้แล้วเราไม่ให้ผ่าน"
    น้ำเสียงโคตรดุเด็ดขาด..ประกาศชัดเจนจากนายทวารรักษาปากทางขึ้นถ้ำทั้งสอง...

    แหมตกใจตื่นตอนตีห้า...เมื่อสิบกว่าปีก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2014
  12. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    มาเจอกระทู้ป๋ามิงค์โดยบังเอิญหลังจากห่างหายไปนาน มาติดตามอ่านด้วยคนครับ
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อ่านเรื่อยมา พร้อมกับลุ้นระทึกไปด้วย เหมือนอย่างกับได้เดินเคียงคู่ไปกับ รพินทร์...
    มาฮา เอาหัวโขกโต๊ะ 3 ที ก็ตอนเรียกหาฟิล์ม X-Ray เนี่ยแหละครับ..หมดกัน...
    ....
    เอ้า..ขอฝันป๋า Toplus99 อีกสัก3-4เรื่องนะ สนุกดี...
     
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    อ๋ะงั้น..มาต่อยอดเรื่องความฝันเเรื่องเดิมกันอีกหน่อย..ดีกว่า

    ความฝันที่ว่านี้เกิดขึี้นในช่วงที่ออกเดินสาย..ออกแนะนำตัวพร้อมกับหัวหน้าหน่วยงานของภาค
    ไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนพนักงานอื่นๆในแต่ละจังหวัดต่าง ภายในพื้นที่ทั้งภาคอีสาน เนื่องจากตนเองต้องประจำหน่วยงานที่โคราชที่ถือเป็นศูนย์กลางภาคอีสานขององค์กร เพื่อให้ง่ายเวลาติดต่อประสานงานกันของแผนก เพราะตนจากเพิ่งย้ายมาจากภาคตะวันออก เลยมักถูกเจ้านายลากตัว..ออกไปโชว์ตัวตามต่างจังหวัดบ่อยมากเดินทางทีนานร่วมเป็นสัปดาห์ ยังกับนักร้องดังขวัญใจชาวบ้าน..ป่านนั้นเลย


    ฝันครั้งนั้นจำว่าได้พักอยูที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ..จังหวัดอุดรธานี (ก็เรื่อง ทางผ่านแลกด้วยฟิล์ม X-RAY นั่นล่ะ) ตื่นลืมตามาย่ำรุ่งแจ้ง..ตีห้า


    ก็อดงงงันสงสัยในเหตุกาณ์.."ว่าทำไม๊ ทำไมมันช่างเหมือนจริงเหมือนจัง..ยังกับเราเพิ่งจะกลับสถานที่นั้นมาเมื่อตะกี๊นี้เอง..ซะเหลือเกิน..."


    ครั้นเวลาผ่านไปได้ประมาณไม่ถึงปี..ก็มีโอกาสเดินทางไปทั่วทุกจัหวัดพร้อมเพื่อนร่วมงาน จนได้ไปกราบพระสงฆ์สายเหนือโลก สนทนาธรรมกับพระผู้มีประวัติอันน่าฉงน เลิศอภิญญาท่านนามว่า "ครูบาเที่ยงธรรม แห่งคณะเวฬุวัน" จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมักกล่าวขวัญว่าไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าไหรกันแน่..เพราะผู้เฒ่า ผู้แก่คนรุ่นปู่ย่า ตาทวด ก็เคยเล่าว่าก็เห็นท่านธุดงค์ระหว่างแถบชายแดนป่าเทือกเขาพนมดงรัก ข้ามไปๆมาๆ ระหว่างไทย-เขมร อยู่เนืองๆ เก็บว่ายามารักษาชาวบ้าน สองฝั่งชายแดนประเทศ ท่านครูบาเที่ยงธรรมก็ปารกฏมีรูปร่าง หน้าตาแบบนี้ อายุก็ดูประมาณคนแก่วัย 70ปียังงี้

    มาตั้งแต่รุ่นตา ยาย ทวดยังเป็นเด็กอยู่เลย จนบ้างก็แก่ตายไปหลายคน แต่หลวงปู่ท่านี้ก็มีสภาพสังขารร่างกายอายุขัยเท่าเดิม


    ใครที่ดันทะเร่อทะร่าไปถามอายุท่าน ท่านก็ด่ากลับเอาให้หน้าหงายไปเลยเชียว..สรุปว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านอายุเท่าไรกันแน่? เคยมีการลองเรียบเคียงถามท่านเรื่องอายุ ท่านกับหลวงปู่สรวงอายุห่างกันไม่มากนัก

    (ปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้ว ก่อนหลวงปู่สรวงประมาณ 2-3 ปี)

    มาเล่าต่อ..เมื่อพบเจอท่านครูบาเที่ยงธรรม ท่านเป็นพระใจดี มีเมตตาธรรมสูงมากทีเดียว ท่านมีอารมณ์แจ่มใส คุยสนุกยิ้มหัวเราะตลอด ถามท่านเรื่องอะไร ท่านคุยได้หมด ไม่ถือสาหาความอะไรใคร ใครขออะไร ขอท่านให้หมดไม่เคยติดหวงของญาติโยม..น่าเคารพกราบไหว้เป็นมงคลยิ่งนักเชียว

    มาถึงบางช่วงที่สนธนาธรรมกับหลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรม


    ที่สุดก็วนถามเล่าเรื่องความฝัน...ฟิล์มเอกซเรย์ ที่คาใจตัวเองมานานให้หลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรม..เฉลยซะเลย

    "ความฝันแบบนี้.....มีความหมายว่ายังไงครับหลวงปู่"

    "คนเรามันกินมาก..มันก็ฝันมากเป็นธรรมดาละว๊า...เหอะๆ" หัวเราะร่วนแบบกระหยิ่มๆซะด้วย

    "สรุปว่า..ไม่ได้มีความหมายอะไร...เชื่อถืออะไรไม่ได้ใช่มั๊ยครับ"

    "ไม่ใช่..!!!"

    " อ้าว..แล้วมันยังไงกันแน่ละครับ..งงนะครับ"

    " ก็กายทิพย์ มันหนีเอ็งก็ออกจากร่างไปทำงานของมัน..ไปตามสัญญาเดิมของมันน่ะสิ มันจะไปสนใจอะไรนักหนากับร่างกายหยาบห่วยๆของเอ็งทำไมล่ะ.. ก็ปล่อยเอ็งนอนกรนคร่อกๆหลับสบายไปสิ...
    เอ็งไม่ต้องไปอยากรู้ให้ปวดกระบาลหรอก. .ถึงเวลาของมัน เอ็งจะเข้าใจไปเองนั่นแหละ "

    ========

    ครุ่นคิดกลุ้มในหัวใจ...

    เราก็...เอหว่าแล้วไอ้กายทิพย์ที่ว่านี่ มันก็อยู่กับเรามาตลอด แล้วทำไมจู่ๆมันจะมาทิ้งกันไปไหนไม่บอก ไม่กล่าวอะไรกันมั่งเหรอ? ทำแบบนี้ใช้ได้เหรอ.. หึ!

    เล่นหนีไป.. ไม่ยอมมาบอกเล่าอะไรให้กันฟังมั่งเลย. ว่าตอนนั้นไอ้กายทิพย์เอ็งหนีข้าไปไหนมาเว้ย!!!!

    น่านะ บอกหน่อยนะ..ว่าเอ็งหนีไปที่ไหนมา?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2014
  15. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ว่าด้วยหลังจากนั้นก็มีที่ไป ที่มาสลับซับซ้อน..ให้มึนๆงงๆ ไปตามเรื่องของมันตามประสาไปเรื่อย

    เล่ามากก็กลายเป็นคนบ้ามันนั่งบ่น เพ้อเจ้อ...

    เอาง่ายๆว่าฝันที่ จ.อุดรธานี ไปค้นหาความหมายปริศนาอีกทีที่ จ.ศรีสะเกษ

    ปรากฏการณ์ที่ให้หวนรำลึกนึถึง"ปริศนาแผ่นฟิล์มโครงกระดูก"

    ร่วมสิบปี..ก็เกิดมิติมหัศจรรย์วัดถ้ำพระอาจารย์.. อีกครั้ง

    โดยพระรูปปั้นหลวปู่เทพโลกอุดร หน้าแท่นบูชาในคืนไฟฟ้าดับ กลางแสงเทียนเล่มใหญ่มาแสดงปาฏิหารย์

    เหมือนพลังงานเร้นลับที่สูงมาก มาสั่งบังคับทางจิต..ตรึงร่างให้ต้องหันบ่ายหน้า จ้องมองมาที่รูปปั้นบูชาท่าน
    ...แบบหูหนวก ดับสนิท

    เหลือแต่จิตพิจาณา เกิดเป็นปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงไป...จากรูปปั้นเค้าหน้าปกติ ของหลวงปู่เทพฯ
    ที่อยู่ตรงหน้า ห่างออกไปร่วม 5-6 เมตร
    แสดงสภาวะให้เห็นค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นไป.....
    จนเหลือแต่ซี่โครงกระดูก ขาวโพลน ทั้งร่างถึง 2ครั้ง 2 ครา จาก 2 สถานที่ภายในถ้ำ


    เล่ามากเดี๋ยวหมดเรื่องโม้..เก็บไว้ในกระทู้ตัวเองดีกว่า...



    ปะเดี๋ยว ป๋ามิงค์ก็มาเลือนกระทู้นี้ทิ้งไปอีก...เสียดายของ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2014
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    กระทู้นี้ไม่ลบไม่เลือนแต่อาจจะถูกเลื่อนตกไป จึงต้องให้ป๋า Toplus99 มาเรียก เรตติ้งให้หน่อยนิ...

    คำถามลอยๆต่อไปคือ...

    "ถ้าพวกเรา โดนปอบอาคม อายุหลายร้อยปี มีวิชาแก่กล้า เข้าเล่นงาน หมายเอาชีวิต ให้ตายอย่างทรมาน ตายแล้วยังจะจับเอาดวงวิญญาณไปเป็นบริวารต่ออีก"

    พวกเราจะทำอย่างไร?
     
  17. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448

    เคยไปกราบรูปปั้นหลวงปูเทพโลกอุดร ที่วัดถ้ำฯ
    ยังไม่เคยเจอประสบการณ์แบบท่าน อ.toplus99 เลยค่า
    เพราะช่วงที่ไป ไฟสว่างมาก
    เลยไม่มีอะไรมาโม้ ^_^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    "ถ้าพวกเรา โดนปอบอาคม อายุหลายร้อยปี มีวิชาแก่กล้า เข้าเล่นงาน หมายเอาชีวิต ให้ตายอย่างทรมาน ตายแล้วยังจะจับเอาดวงวิญญาณไปเป็นบริวารต่ออีก"

    พวกเราจะทำอย่างไร?


    แปลกใจว่าทำไม ต้องใช่คำว่า"พวกเรา" ครับ แฮ่ๆ

    บางทีหากหลบได้ กระผม...ก็ไม่ยอมเข้าพวกด้วยนะครับท่าน ไม่ใช่เห็นแก่ตัว

    แต่ดูแล้วศึกใหญ่มันจะยืดเยื้อ หาจุดจบได้ยาก...

    =======

    หนทางของโลกวิญญาณ มันสลับซับซ้อนนักหนา..

    ทำไมต้องมี... ยักษ์ อสูร พญามาร หลายขั้นตบะ
    ทำไมมี...เทพเทวดา..หลายภพชั้น
    ทำไมต้อง...มีฤาษี ฝ่ายขาว//ฝ่ายดำ
    ทำไมต้องมี...นรก /สวรรค์
    ทำไมต้องมี....หนาว/ร้อน, มืด /สว่าง

    ทำไมต้องมี....คนบาปสุดชั้ว ชั่วช้าสุดขีด/อริยะบุคคลชั้นเลิศ

    หรือทั้งสิ้นทั้งหลายนี้ที่เป็นอยู่นี้...จักมีไว้ให้จิตวิญญาณทั้งหลาย

    ได้เปรียบเทียบพิจาณา ..หรือให้เพื่อเลือกเดินทางของจิตทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้..ที่ไม่รู้วันจบสิ้น กะมัง

    หรือจะสงสัย....ไปเรื่อย จนกว่าหมดลมหายใจในภพชาตินี้

    แล้วก็เก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์ ทางจิตไว้...เพื่อการอนุเคราะห์แห่งเมตตาธรรมแก่สรรพสัตว์ต่อไปในเบื้องหน้า..

    ก็เดินทางต่อไป ขออนุโมทนากุศลจิต
     
  19. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    อ้าว..ว่าไงละครับป๋ามิงค์

    เงียบกริบเชียว..มาเกริ่นถามลอยๆ เรื่องปอบๆ ผีๆ

    กระผมก็ดำน้้ำ..มุดเลนโคลนตม ตอบว่ากันไปตามที่คิด


    รึยังไม่โดนใจ ?!!!
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมไปตลาด เจอปอบญี่ปุ่นเข้าครับ
    ตกกะใจพอสมควร ต้องถามย้ำกับแม่ค้า แม่ค้ายืนยันว่า ปอบญี่ปุ่น
    พ่อค้ายื่นหน้ามายืนยันว่า นี่คือ ปอบญี่ปุ่น ก้านจะขาว แต่ก่อนทำส่งโรงแรมอยู่
    งงหนักเข้าไปอีก...

    โปรดฟังซ้ำอีกครั้ง...ปอบญี่ปุ่น....
    ฟังซ้ำหลายครั้ง จึงได้ยินว่า มันคือ ป็อบญี่ปุ่น...ผักชนิดหนึ่ง...เอามาผัดน้ำมันหอยอร่อยดี
    ..................

    ไปอ่านกระทู้ปอบของแม่กาลีนะในหลุมดำมา...
    แล้วก็อดนึกไปถึงเรื่องหลวงพ่อเทพ ถาวโร ครูบาอาจารย์ที่ทรงอภิญญา สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ชนิดที่ท้าพิสูจน์ได้

    อยู่มาบ่ายวันหนึ่ง ท่านกลับจากไปงานพิธีของพระผู้ใหญ่ ก็ปรารภกันว่า ท่านเจ้าคุณ ถูกปอบอาคมสิงอยู่ ปอบพวกนี้อายุหลายร้อยปีถึงพันปีกว่าก็มี ตัวใสเป็นแก้ว(กายในของปอบอาคม) พวกนี้ฤทธิ์มาก เรื่องทำนายทายทักเป็นของง่ายมาก รักษาโรคก็ได้ แก้คุณไสยก็ได้

    ผมจึงถามว่าเจอปอบพวกนี้ หลวงพ่อไล่ออกได้ไหมครับ...
    หลวงพ่อเอามือลูบหัวทีนึง ร้อง โอย...หลวงพ่อว่า อยู่ห่างๆ ทางใครทางมันดีกว่าม๊าง...ง...
    ผมก็สงสัยว่าทำไมล่ะครับ หลวงพ่อก็ไม่ธรรมดานะครับ...
    ท่านเปรยๆว่า พวกนี้ไม่ธรรมดานะ ... ทางที่ดีอย่าไปยุ่งด้วยดีกว่า...

    ถ้าไปยุ่งด้วยแล้วมันจะยังไงหรือครับหลวงพ่อ....

    อืม...หลวงพ่อว่า..ท่าทางอาการน่าเป็นห่วง....
    ต่างคนต่างอยู่เหอะ...

    นี่ขนาดหลวงพ่อท่านเก่งขนาดนั้น ยังไม่อยากยุ่งด้วยเลยนะ อย่างผมก็คงเจริญรอยตามป๋าToplus99นี่แหละครับ...หลบได้หลบ เลี่ยงได้เลี่ยง ไม่เสี่ยงดีกว่า...
     

แชร์หน้านี้

Loading...