จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    "เสียเวลาอ่านสักนิดแล้วจะรู้ว่า ชีวิตควรหาความสุข ณ ปัจจุบันไม่ใช่รอและหวังว่าจะมีความสุขในอนาคต และควรจะมีปัญญาพิจารณาว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริงและยั้งยืน"
    .......ปัญญาธโร......


    นิทานหมากสีแดง

    ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตชื่อว่า ชาญชัย ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อว่า โชติช่วง

    ชาญชัยเป็นพี่ที่มีนิสัยรักสงบและชอบนั่งสมาธิสวดมนต์อยู่เป็นนิจ ส่วนโชติช่วงคนน้องนั้นรักความสนุกสนาน ชอบพบปะผู้คน และนิยมความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

    เมื่อชาญชัยและโชติช่วงเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม พ่อกับแม่ก็ให้ทั้งสองแยกเรือนออกไปลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง ชาญชัยจึงเปิดร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน ขายของกินของใช้ทั่วๆ ไป พอที่จะเลี้ยงตนเองได้ไม่ขัดสน ส่วนโชติช่วงคิดการใหญ่กว่าพี่ชาย เขามองเห็นลู่ทางทำเงินมากมายรออยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงลงทุนทำการค้าหลายๆ แบบ และทุ่มเทตนเองในการทำงานอย่างหนัก โดยแทบไม่ยอมพักผ่อน ซึ่งกิจการของเขาก็โตวันโตคืนและทำกำไรให้เขาอย่างงดงาม

    ชาญชัยแม้จะเห็นน้องชายเจริญก้าวหน้าก็หาได้มีใจริษยาไม่ เขายังคงดำเนินชีวิตของตนเองไปเหมือนดังเช่นทุกวัน คือ ตื่นนอนตอนตีสี่มานั่งสวดมนต์ทำสมาธิ จากนั้นกินข้าวเช้าแล้วออกไปเปิดร้าน เมื่อถึงเวลาเย็นก็ปิดร้านมานั่งอ่านหนังสือธรรมะและคำสอนในศาสนา ก่อนจะเข้านอนก็สวดมนต์ทำสมาธิอีกครั้ง และตื่นอีกครั้งตอนตีสี่ เป็นเช่นนี้ทุกวันไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนชาวบ้านพากันซุบซิบนินทาไปทั่ว ดังนั้นในวันหนึ่ง พ่อกับแม่จึงเรียกให้ชาญชัยไปหาที่บ้าน

    “พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยกับฉันอย่างนั้นหรือ” ชาญชัยเอ่ยถาม

    “พ่อกับแม่ไม่สบายใจเรื่องที่ชาวบ้านพูดคุยและว่าร้ายกันเกี่ยวกับลูกน่ะสิ” พ่อบอกด้วยสีหน้าวิตกกังวล

    “ชาวบ้านว่าอะไรฉันล่ะ” ชาญชัยถามอีก
    “เขาว่าลูกขี้เกียจสันหลังยาวนัก เปิดร้านออกมานั่งเฝ้าอยู่เดี๋ยวเดียวก็ปิดไปนั่งอ่านหนังสือสบายใจอยู่ในบ้านเสียแล้ว” แม่ของชาญชัยบอกลูกชาย

    “แล้วเขาก็ยังว่าลูกเป็นคนโง่ที่ขี้อวดอีกด้วย เขาว่าลูกมีเงินอยู่นิดหน่อย แต่ชอบให้เงินแก่ขอทานและคนยากจน เขาว่าลูกอยากให้ใครๆ มองว่าตนเองเป็นคนมั่งมีจึงทำเช่นนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วการค้าของลูกได้กำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” พ่อของชาญชัยว่า

    “ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะลูก ไยเจ้าไม่เอาอย่างน้อง ลองไปดูสิ ตอนนี้กิจการของน้องขยายใหญ่โตไปถึงต่างเมืองแล้ว น้องเอาแต่ทำงานไม่ได้หลับได้นอนเพื่อหาเงินหาทองให้ได้มากๆ...แต่ดูเจ้าสิ หลายปีผ่านไปแล้วยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แล้วอย่างนี้เมื่อไรเจ้าจะรวยเหมือนน้องสักทีเล่า” แม่ของชาญชัยกล่าวอย่างเป็นห่วง

    “พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แม้ฉันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่มีความสุขมาก ฉันชอบนั่งสมาธิและสวดมนต์เพราะนั่นทำใจฉันสงบ และมีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ไข้ ฉันชอบอ่านหนังสือธรรมะเพราะมีประโยชน์ ทำให้ได้ขบคิดถึงความจริงของชีวิต และนำมาปรับใช้กับตนเองได้ ถึงแม้จะไม่มีเงินมากมาย แต่ฉันก็ชอบช่วยเหลือคนยาก เพราะทำแล้วสบายใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ชีวิตฉันไม่ต้องการอะไรมาก เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็ทำให้ฉันเกิดความสุขมากพอแล้ว ฉันไม่ขวนขวายในสิ่งที่ใหญ่โตแต่ทำลายความสุขอันแท้จริงของชีวิตหรอกจ้ะ”

    หลายปีผ่านไป โชติช่วงซึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วได้รับเลือกให้เป็นกำนันดูแลหมู่บ้าน กำนันโชติช่วงนั้นเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพี่ชายแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นกำลัง ด้วยความรู้สึกว่าไยมหาเศรษฐีอย่างเขาจึงมีพี่ชายที่แลดูกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ ดังนั้นวันหนึ่ง โชติช่วงจึงให้คนไปตามชาญชัยมาพบ

    เมื่อชาญชัยมาถึง โชติช่วงก็พาพี่ชายเดินชมบ้านไม้สักอันใหญ่โตโอ่อ่าของเขาอย่างภาคภูมิใจในฐานะของตน เมื่อได้ชมบ้านจนทั่วแล้ว ชาญชัยกับโชติช่วงจึงได้นั่งคุยกัน

    “บ้านของฉันใหญ่โตหรูหราดีไหมเล่า ดูสิพี่ นี่คือน้ำพักน้ำแรงของน้องชายพี่ทั้งนั้นล่ะ”

    “บ้านจะใหญ่โตหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าอยู่แล้วมีความสุขหรือเปล่า” ชาญชัยพูด

    “ต้องมีอยู่แล้ว! ฉันมีเงินทองมากมายไว้ใช้จ่าย มีบริวารรายล้อมคอยรับใช้อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่แหละคือความสุขล่ะ แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่ได้เรียกพี่มาพบเพราะเรื่องนี้หรอกนะ ฉันอยากพูดให้พี่สำนึกได้เสียที ว่าพี่ก็อายุมากขึ้นทุกๆ วัน น่าจะคิดทำอะไรอย่างฉันบ้าง จะได้มีความเป็นอยู่ที่น่าดูกว่านี้ อยู่ให้สมกับที่เป็นพี่ชายกำนันอย่างไรล่ะ”

    “ไม่ล่ะ พี่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้แล้ว เจ้าก็เช่นกันขวนขวายมากเกินไปสุดท้ายอาจก่อให้เกิดผลร้ายต่อตนเองได้นะ” ชาญชัยเตือนสติน้อง แต่นั่นทำให้โชติช่วงโกรธมาก เขาตบโต๊ะอย่างแรง แล้วหยิบหมากสีแดงที่วางอยู่ในถาดข้างๆ ขว้างใส่หน้าพี่ชาย

    “พี่เป็นคนโง่ ดังนั้นอย่าได้บังอาจเอาความโง่ของตนเองมาสั่งสอนคนอื่นเลย หมากสีแดงนั่นฉันมอบให้พี่ ในฐานะที่เป็นคนโง่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา ถ้าวันใดพี่เจอคนโง่กว่าตนเอง ก็จงมอบหมากสีแดงนี้ให้เขาไปแทนเถอะ” โชติช่วงตะโกนใส่พี่ชายด้วยอารมณ์มุทะลุดุดัน แต่ชาญชัยไม่ได้กล่าวว่าอะไรน้องชาย เขาเก็บหมากสีแดงใส่กระเป๋าเสื้อแล้วจึงกลับบ้าน

    สามปีผ่านไป ชาญชัยได้รับข่าวว่ากำนันโชติช่วงกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งขั้นรุนแรง มีความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และกำลังจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันนี้ ชาญชัยจึงรีบเดินทางไปเยี่ยมน้องชายที่บ้านไม้สักอันใหญ่โตหรูหราของเขา และเมื่อได้พบกับน้องชาย ชาญชัยก็พบว่าโชติช่วงผอมซีดเซียวเป็นอย่างมาก

    “เป็นอย่างไรบ้างโชติช่วง” ชาญชัยถามน้องชาย

    “เจ็บปวดทรมานมาก คิดว่าคงใกล้จะไปเต็มทีแล้ว” โชติช่วงตอบอย่างคนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

    “แล้วเจ้าเตรียมการไว้พร้อมหรือยัง ว่าจะเอาเงินทองติดตัวไปด้วยมากเท่าไร” ชาญชัยถาม โชติช่วงฟังคำถามพี่ชายก็งวยงง แต่ก็ตอบกลับไปว่า

    “เมื่อตายแล้วจะเอาไปอย่างไรล่ะพี่ แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่มีทางเอาไปได้หรอก”

    “แล้วสั่งบริวารให้ไปคอยต้อนรับเจ้าที่นั่นหรือไม่ ลูกเมียเจ้าล่ะ ให้ตามไปด้วยหรือเปล่า” ชาญชัยยังคงป้อนคำถามต่อ

    “ที่พี่พูดมานั่น...ฉันเอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลยสักอย่าง” โชติช่วงตอบ

    เมื่อได้ยินดังนั้น ชาญชัยก็หยิบหมากสีแดงที่โชติช่วงเคยให้ ส่งคืนแก่เขา โชติช่วงมองหมากสีแดงอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกออก

    “อะไรกัน พี่เอาหมากสีแดงมาให้ฉันทำไม” โชติช่วงร้องอุทานด้วยความตกใจ ชาญชัยจึงกล่าวแก่น้องชายว่า

    “เพราะเจ้าคือผู้ที่โง่เขลากว่าพี่น่ะสิ...ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดีว่า คนเราเมื่อถึงคราวต้องจากโลกนี้ไป จะไม่มีทางเอาอะไรไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่เจ้าก็ยังขวนขวายทำงานหนัก จนสุขภาพทรุดโทรมและส่งผลถึงชีวิตในวัยนี้ เหล่านี้คือการกระทำที่โง่จริงๆ พี่จึงต้องมอบหมากนี้คืนกลับเจ้าไป

    เมื่อโชติช่วงได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ทันที เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของชีวิตว่า แทนที่จะมุ่งมั่นศึกษาธรรมะเพื่อความสุขอันแท้จริง เขากลับสูญเสียเวลาไปมากมายกับสิ่งที่หาได้เป็นความสุขอันแท้จริงไม่ และเมื่อตายไปก็เอาสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลยสักอย่าง เสมือนว่า ที่เหนื่อยมาทั้งชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่สูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง

    อย่างไรก็ตาม สำหรับโชติช่วง กว่าที่เขาจะได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในชีวิตบทนี้ ก็เป็นเวลาที่สายเกินไปเสียแล้ว

    ......เธอทั้งหลาย.....

    อย่าให้ชีวิตของเธอต้องเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของการใช้ชีวิตเมื่อสายไปแล้วดังเช่นโชติช่วงเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้น จะยืนยาวสักเท่าไร วันนี้เธออาจจะยังยิ้ม เดิน เล่น หรือหัวเราะกับคนรอบข้างอย่างขบขัน แต่พรุ่งนี้อาจจะต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีใครคาดคิด ...ความไม่แน่นอนนี้แหละ คือความจริงของชีวิตที่เธอต้องระลึกไว้เสมอ

    ดังนั้น จงอย่าเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตของเธอไปกับสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้ แต่จงใช้ชีวิตของเธอให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าอยู่เสมอ การสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เธอควรหมั่นฝึกฝนเอาไว้ เพราะสิ่งนี้จะติดไปกับวิญญาณของเธอ และเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่เธอจะนำไปใช้ในชีวิตหลังความตายได้

    ......จบเรื่องหมากสีแดง.....
    แหล่งที่มา : จาก 'แนวทางสู่ความสุข' โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__2113900.jpg
      S__2113900.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      115
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    หลวงปู่ทอง อายานะ วัดราชโยธา
    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/nPUXDW5jFZ0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    บิ๊กแอ๊ด พาไปชม
    Published on Jun 14, 2015

    เมตตาบารมี ศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ทอง อายานะ วัดราชโยธา กรุงเทพฯ อาจารย์สมปอง หนูทอง เล่าให้ฟัง เป็นคนดี หลวงปู่ทอง ท่านจะคุ้มครอง เจริญรุ่งเรืองร่ำรวย โชคดี ตลอดไป
    หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากๆในสมัยก่อน
    โดยท่านเป็นศิษย์รุ่นน้องของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)

    ซึ่งมีอาจารย์ร่วมสำนักเดียวกันคือ หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์ จ.ลพบุรี

    (ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอีกท่าน คือ หลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์)

    นอกจากนี้ สหายของหลวงปู่ทองที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้และวิชาอาคมต่างๆก็มี
    หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร,
    หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท,
    หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก ,
    หลวงปู่ภู วัดอินทร์,
    หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง,
    หลวงปู่แช่ม วัดท่าฉลอง จ.ภูเก็ต,
    ท่านเจ้ามา วัดสามปลื้ม,...
    หลวงปู่ปั้นวัดเงิน ตลิ่งชัน

    ส่วนลูกศิษย์ของหลวงปู่ทองก็มี หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน
    เพราะท่านเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้เอง

    และตอนที่หลวงปู่เผือกสร้างพระ หลวงปู่ทองก็ยังมอบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
    ซึ่งท่านแบ่งมาจากสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ศิษย์พี่ของท่าน ให้หลวงปู่เผือกไปสร้างพระด้วย

    นอกจากนี้ ยังมีพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่านที่มาขอเรียนวิชาเพิ่มเติมจากหลวงปู่ทอง เช่น

    หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา,
    หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา,
    หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม สมุทรสงคราม,
    หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี,
    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ,
    หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์ นครศรีธรรมราช,
    หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ สมุทรสาคร,
    หลวงพ่ออี๋ สัตหบ,

    ในสมัยก่อนหลวงปู่ทอง ท่านเป็นพระที่มีอาวุโสสูง และทรงไว้ซึ่งวิทยาคมแก่กล้า

    ดังนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนมาขอเรียนวิชาต่างๆจากท่าน
    สำหรับพระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆ หลวงปู่ทองก็สร้างไว้พอสมควร แต่ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เห็นกัน

    เพราะหายากมาก คนรุ่นนั้นต่างเก็บไว้ใช้กันหมด ที่เราพอจะได้เห็นกันบ้างก็คือ สมเด็จเขียวเหนียวจริงหรือพระสมเด็จกรุบึงพระยาสุเรนทร์

    ซึ่งท่านสร้างและปลุกเสกให้

    แม้แต่ตอนสงครามอินโดจีน พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังได้นิมนต์ท่านขึ้นเครื่องบินไปโปรยทรายเสก รอบวัดพระแก้ว และสนามหลวง รวมทั้งบริเวณใกล้เคียงเพื่อให้คุ้มครอง มิให้เป็นอันตรายจากระเบิดของข้าศึก
    และยังได้ขอร้องให้ท่านสร้างเสื้อยันต์เพื่อแจกทหารไปใช้ในสงคราม

    ซึ่งเสื้อยันต์นี้มีกิตติศัพท์เลื่องลือกันมาก ว่าแคล้วคลาดยิงไม่ถูกหรือโดนยิงแล้วไม่เป็นอะไร บางคนโดนยิงล้มลง ก็ยังลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ จนได้รับฉายาว่า ทหารไทยเป็นทหารผี

    ซึ่งตอนนั้น เสื้อยันต์ที่ท่านสร้าง จะจารเขียนด้วยดินสอดำ

    ท่านเองทำให้ไม่ทัน จึงได้ขอให้พระอาจารย์อีก 5 ท่านมาร่วมสร้างด้วย คือ

    1.หลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง นครปฐม,
    2.หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม,
    3.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา,
    4.หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี,
    5.หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว สมุทรปราการ

    หลวงปู่ทองท่านเป็นพระที่ความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีอภิญญาปาฏิหาริย์มากมาย

    แม้แต่คนจะถ่ายรูปท่าน ก็ยังถ่ายไม่ติดเลยครับ ทำให้ปัจจุบัน จึงไม่ค่อยมีรูปท่านให้เห็นกัน จะมีที่เห็นก็เพียงรูปเดียว ก็คือ รูปที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายร่วมกันไปอ้อนวอนขอถ่ายรูปท่านซึ่งเป็นรูปที่ท่านกำลังลงจากกุฏิไปฉันเพลเท่านั้น

    หลวงปู่ทองท่านมรณภาพ ปีพ.ศ. 2480 อายุรวม 117 ปี นับเป็นยอดพระเกจิอาจารย์
    ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบันครับ



    ขอขอบคุณ
    (ข้อมูลจาก หนังสือชีวประวัติและเกียรติคุณ ของหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา พิมพ์เมื่อปี2524)
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ลมหายใจ พุทโธ
    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/El7ZP8sFgXg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    6 กายคตานุสติ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/oksnjb4OCIA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    DrSeripiput Srimuang
    Published on Feb 18, 2013
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2016
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    สนิมในใจ
    พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัล)

    วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

    วันนี้เป็นวันพระ แรม 14 ค่ำ จาตุททสี เรามาแสวงหาพระให้จิตใจสะอาด จิตใจได้สว่าง จิตใจได้สงบ จะได้ปรารภธรรม ถ้าจิตใจเราไม่สะอาด มันก็ไม่มีอะไรสว่างประการใด มีแต่มืดมัว มืดบอด ถ้าเราสะอาดได้ สว่างได้ มันก็สงบได้ ถ้าเราทำได้ 3 ประการนี้ ได้มาจากการเจริญพระกรรมฐาน หาความสงบกับจิต เพื่อชำระจิต ชำระใจ ทำสนิมในใจให้มันออกไป ให้จิตไม่มีสนิมหรือสนิมขุม ถ้าเป็นสนิมมันก็กะเทาะออกได้ง่าย เผาไฟมันแล้วก็กะเทาะออกได้ แต่สนิมในใจ สนิมขุมมันกินเหล็กเข้าไปข้างใน เหมือน จิตใจที่ไร้สาระมืดบอด ที่เราเรียกว่า สนิมในใจ ไม่มีทางแก้ไขได้แล้ว เพราะสนิมขุมมันกินเหล็ก เหมือนต้นไม้มีกาฝากฉันนั้น ต้นมะม่วงใดมีกาฝากมาก ต้นมะม่วงนั้นจะไม่งอกไม่งาม ลูกจะไม่เจริญ เหมือนจิตใจมันมีกาฝาก มันฝากไปด้วยกิเลสในใจ ฝากไปด้วยความโลภ โกรธ หลง สนิมในใจก็เกิดขึ้น



    แต่สนิมภายนอกนี่กะเทาะมันก็ออก เหมือนเราไปชุบเหล็ก ชุบเคียวจะไปเกี่ยวข้าว ก็ต้องเผาไฟให้มันร้อน และสนิมจะออกไปได้ฉันนั้น แล้วก็ตีให้มันดี เหมือนเราทำจิตใจให้สะอาดปราศจากมลทินแล้วจิตก็ใส ใจก็สะอาด ปราศจากมลทินแล้ว จิตท่านก็จะสว่างขึ้น คือ ปัญญา คนที่จะมีปัญญานั้นต้องอยู่ด้วยความสงบ อยู่ด้วยความเรียบร้อย อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ นี่แหละคือตัวธรรมะ คือ ทาน ศีล ภาวนา ของเราก็จะได้ครบตามองค์กรและองค์การ ถ้า 3 อย่าง ไม่มีทาน ขาดเมตตา จิตท่านจะเหลวแหลกแตกลาญไร้สาระ จิตท่านจะดำจะขุ่นมัว จะมืดมนอนาทรร้อนจิต หาที่พึ่งไม่ได้แล้วนี่ประการหนึ่ง



    ประการที่สอง รองลงไปนั้น ท่านจะมีอะไรสว่างในใจท่าน มีแต่มืดเหมือนยืนอยู่กลางป่า ไม่ทราบว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดเล่า ถ้าท่านมีความสว่าง ก็มีปัญญา ก็จะได้แก้ไขปัญหาด้วยจิตสงบ ถ้าจิตยังวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ฝากฝังไว้ในสนิมในใจเมื่อใดแล้ว จิตท่านจะไม่สงบ ในเมื่อจิตท่านไม่สงบแล้ว ท่านจะได้ผล จะแก้ปัญหาท่านจะเอาปัญญามาจากไหน พระพุทธเจ้าท่านหาปัญญาในตัวของท่าน ท่านเสด็จบรรพชาถึง 6 ปี กว่าจะได้ของดีกลับมาสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ เพราะปัญญาตัวนี้ การเจริญกรรมฐานต้องการหาปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวเอง ผู้ที่มีปัญญาในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า เรียบร้อยหมด ปฏิบัติกิจวัตรอย่างเคร่งครัด จะถือสัจจะ เหมือนอย่างท่านรับกรรมฐาน รับศีล ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนต่อพระคุณพระศรี รัตนตรัย เจริญกรรมฐานด้วยความจริงใจของข้าพเจ้า แล้วท่านอย่าเลือนราง เสียสัจจะที่ขอ ท่านจะเสียหาย จะทำอะไรไม่ได้ผล จะไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด ออกมาอย่างนี้ชัดแจ้งแล้ว นี่แหละ เราหาที่พึ่งกันไม่ได้แล้ว นอกเหนือจากพระรัตนตรัย ที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้ บิดามารดาท่านเลี้ยงเรามา ส่งเราเรียนหนังสือมีวิชาความรู้ เราก็ต้องพึ่งครูอาจารย์ เราเจริญได้ตำแหน่งแห่งที่ ก็ต้องพึ่งผู้บังคับบัญชาที่สูงได้อุ้มชูเราขึ้นมา ถ้าเราไร้บุญขาดวาสนาแล้วใครจะมาอุ้มเรา ก็เห็นจะไม่มีใครช่วยแน่นอนแล้ว ตัวใครตัวมัน ก็ต้องช่วยตัวเอง ปัญญาในตัวนี่ไม่มีใครมาสร้าง ไปสร้างปัญญานอกตัวหมด พระพุทธเจ้าที่ท่านมีปัญญาในตัว เอามาช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ เพราะปัญญาเกิดมาจากในตัว มีแสงสว่างในตัวเอง มีความดีในตัวเอง แต่ท่านมีกันแล้วหรือยังปัญญาในตัว มีแต่ปัญญานอกตัวทั้งนั้นเลย



    ปัญญาทางโลกที่เรียนหนังสือ แก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็ไม่มีปัญญาในตัวที่ได้จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติเจริญสมาธิ เจริญกุศลภาวนา ให้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ผลุบเข้าผลุบออก เหมือนทำบุญเอาหน้าศรัทธาหัวเต่า ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ต่อหน้าละทำดีนัก ลับหลังทำปู้ยี่ปู้ยำตลอดรายการ ไหนเลยเล่าสนิมในใจท่านจะออกไปได้อย่างไร เป็นสนิมมันก็เอาออกง่าย แต่สนิมขุม สันดอน สันดาน นิสัยไม่ดีนี้ทำยาก มันจะกินเหล็กผุไปเลยทีเดียวฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนต้นมะม่วงถ้ามีกาฝากมาก ไม่ช้าต้นนั้นก็ตาย เหมือนเรามีโรคภัยไข้เจ็บ จะเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นโรคเบาหวาน หรือจะเป็นโรคอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ถ้าโรคไม่แทรกซ้อน ท่านยังตายช้า ถ้ามีโรคนั้นมาแทรกโรคนี้มาซ้อน ท่านจะไม่อาวรณ์หลงไหล ท่านจะต้องตายแน่ๆ เหมือนต้นไม่มีกาฝากฉันนั้น ขอเจริญพรอย่างนี้ ท่านอย่าให้กาฝากมาไว้ ท่านอย่าสร้างสนิมขุมในใจ เหล็กนี่มีสนิมขุม มันจะกินทะลุเลยนะ ขอฝากไว้ นี่คืออนุสัย สันดานที่มีอยู่ในบุคคลใด จะเป็นพระเถรเณรชีเหมือนกันหมด คนประเภทนี้ขาดสัจจะ ไม่มีความจริงใจ



    ความจริงใจได้จากการเจริญพระกรรมฐานเท่านั้น ถึงจะมีความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นแจ้ง เห็นใจ เห็นของแท้ เห็นของแน่ เห็นของนอน ไม่อาวรณ์หลงไหล นิวรณ์ 5 ก็ไม่เข้ามาแทรกแซง มันจะสกัดกั้นให้เราไม่ให้ทำความดี ข้อนี้เป็นข้อคิด ว่าความดีที่จะทำก็ไม่ยาก และก็ไม่ง่าย แต่มันมีของมาสกัดกั้น กรรมมาซัด ไม่ให้เรามองเห็นของดี เหมือนนิวรณ์ 5 ประการเข้ามาแทรกอยู่ในจิตใจและสันดาน รับรองท่านจะทำอะไรไม่ได้ผลไปหมด ค้าขายก็ขาดทุน ธุรกิจก็ขาดทุน ชีวิตก็ขาดทุนไปตามวันเวลาด้วย ท่านจะเสียกาลเวลาของท่านเอง ขอฝากไว้ในวันธรรมสวนะ สิ้นเดือนแล้วเดือนขาดด้วย ขอให้มันขาดออกไปด้วยความชั่วร้ายในจิต ขอให้เพิ่มบารมีจิต เพิ่มขันติบารมี เป็นต้น ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี สร้างกุศลบุญราศีด้วยขันติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านจะได้ผลอย่างสมคาดปรารถนาทุกประการ คนที่ไม่มีสนิมในใจ จะมีสัจจะ จะมีแต่เมตตา มีแต่ความเอื้อเฟื้อ ความสามัคคีปรองดอง ญาติพี่น้องไม่ทะเลาะกัน จะมีแต่ระบบ มีแต่ระเบียบ เพียบด้วยวินัย จะต้องตั้งใจศึกษานำมาพ้นทุกข์ เป็นสุขอนันต์ เป็นหลักสำคัญ จำใส่ใจไว้เป็นกำหนดจิต ชีวิตจะได้ไม่เป็นขี้สนิมในใจ นี่แหละอย่าให้มีกาฝากเข้ามานะ ที่วัดเรามันก็มีกาฝาก ต้นไม้มันก็จะแย่ลงไป กาฝากนี่มันกินนะ ขอฝากเข้าไว้ มันทำลายต้นไม้นั้น ต้องเอากาฝากออกซะ ต้นไม้นั้นถึงจะงอกงาม เหมือนจิตใจของเราเป็นสนิม เอาสนิมมันออกไปเสีย จิตใจท่านจะได้สว่าง จิตใจท่านจะได้สงบ ท่านได้ปรารภธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นแน่นอนที่สุด ขอฝากไว้อย่างนี้



    คนที่ไร้บุญวาสนามักจะมีแต่สนิมขุม ไม่มีบุญกุศลกับเขาเลย ถ้าท่านตั้งใจดี เอาสนิมออกไป รักษาเหล็กเข้าไว้ เหมือนรักษาจิตให้มั่นคงดำรงศาสตร์ มีศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ในจิตใจของท่านทั้งหลาย ท่านจะมีความหมายที่ดีขึ้น ชีวิตท่านจะเป็นแก่นสาร ชีวิตท่านจะมีค่า เวลาของท่านจะมีประโยชน์ต่อไป นี่แหละท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรมกันนี้นั้น มีแต่สนิมขุม ไม่เข้าใจ 3 วันไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอก แล้วก็กลับไปบอกกันว่า ไม่ได้ผล ไม่ได้ผล อย่าไปเลยวัดอัมพวัน ไม่รู้เรื่อง ถูกต้องของท่านผู้นั้น เพราะไม่เอาเรื่องไม่เอาราว แล้วไม่ตั้งใจปฏิบัติ ไม่สนใจ ไม่ได้ตั้งใจจริงเลย แล้วชีวิตท่านก็เป็นหมัน ทรัพยากรก็ไร้สาระ ไหนเลยท่านจะเอาดีได้ประการใด พูดมานานแล้ว ทำดีแค่ 3 วัน ทำชั่วกี่วัน ทำชั่วตั้ง 4 วัน เดือนหนึ่งมี 4 วันพระ เราเอาเฉพาะแต่วันพระ เราก็ขาดทุน เดือนหนึ่งมีอยู่ 30 วัน มีวันพระอยู่ 4 วัน สัปดาห์ละวันพระ มันก็ยังขาดทุนอยู่นั่นแหละ ปีหนึ่งมี 365 วัน มันก็ขาดทุนอยู่นั่นแหละ ทำดีแค่ชั่วโมงเดียว วันหนึ่งคืนหนึ่งในเวลาวันนี้ วันอุโบสถ กำหนด 8 ประการ กรรมบถ 10 ครบ กายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 ก็ครบ แต่ทำกันไม่ค่อยจะได้ แค่ชั่วโมงเดียวก็จะแย่แล้ว แล้วท่านจะไปเอาดีได้ตรงไหนเล่า



    อย่าสร้างสนิม อย่างสนิมนี่ มันก็เอาไปกะเทาะได้ หมั่นเจริญกรรมฐาน มันก็ออกได้ แต่สนิมขุมกินเหล็ก จะผุแล้ว กินมีดโกนที่จะปลงผมตรา 3 ตาของเยอรมันก็ยังใช้ไม่ได้ เหล็กดียังไงก็ยังอยู่ไม่ได้ เพราะคนรักษาเหล็กไม่ดี เหล็กจึงเป็นสนิมขุม ถ้าเป็นสนิมขุมแล้วสันดานร้ายมาก คนนั้นจะนั่งเจริญกรรมฐานไม่ได้เลย จะเห็นกรรมฐานเป็นเรื่องร้อนอกร้อนใจ กลุ้มอกกลุ้มใจแล้วก็เลิกทำ แต่กลุ้มอกกลุ้มใจ ร้อนอกร้อนใจ จะเสียใจจนจิตใจไม่มีมากหลาย ก็ควรจะขัดสนิมด้วยการเจริญพระกรรมฐาน บำเพ็ญจิตภาวนาให้มากที่สุด ท่านจึงจะรู้ตัวว่าท่านมีสนิมในใจ



    ชีวิตของท่านมีกาฝากไว้ในจิต มันฝากให้จิตท่านคิดแต่เรื่องเลวๆ เห็นตัวดีคนเดียว คนอื่นชั่วหมด ประเภทนี้เจริญกรรมฐานไม่ได้หรอก เป็นคนมีเวรมีกรรม ท่านไม่ต้องมาเจริญกรรมฐานหรอก จะไปอีก 100 วัด ท่านก็แค่นั้น เสียเงินค่ายานพาหนะ ไปเสียเวลาตามวัดต่างๆ ขอฝากให้ท่านคิดให้มากที่สุดว่า ท่านมีสนิมในใจไหม ท่านมีสนิมขุมไหม ถ้ามีสนิมขุมกัดกินเหล็กทะลุแล้ว ก็ไม่ต้องเจริญกรรมฐาน ชาตินี้ท่านก็ไม่ได้อะไร เป็นคนไร้สาระ เป็นคนเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่ประเสริฐอะไรกับเขา แค่ดีทำไม่ได้ ดีแค่ 3 วัน ทำได้อย่างไร ว่าไม่ว่าง พูดแก้ตัวว่าไม่ว่างทั้งนั้น งานมากมายจริงๆ สร้างความดีไม่ว่าง แต่สร้างความชั่วน่ะว่างกันนัก สร้างโดยไม่รู้ตัว ความชั่วในจิตใจ สนิมในใจมีมาก คิดไม่ออก บอกไม่ได้ ใช้ไม่เป็น ชีวิตจะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย ชีวิตท่านจะไร้ความหมาย



    ถ้าชีวิตนี้ ตั้งแต่หนุ่มสาวขาดทุน ออกแขกบอกเรื่องไม่ดีแล้ว มีสนิมในใจ ท่านจะเล่นละครชีวิตต่อไปแสนจะยากลำเค็ญใจ ทำมาหากินก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราว ไม่ได้ผล เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองแน่นอน คนก็เช่นเดียวกับต้นไม้ มีกาฝากนี่ มันจะไม่งอกไม่งาม มันจะไม่ออกพืชออกพันธุ์ ออกผล แน่นอน ท่านอย่าเอากาฝากมาไว้ในจิตใจนะ อย่างสร้างสนิมขุมให้มันลุ่มลึก จิตใจของท่านจะไม่สามารถสร้างความดีกับเขาได้เลย จะเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ตามก็แค่นี้แหละ แก่ไปมันก็จะแย่ลงไป มันก็จะแย่ลงไปทุกวัน มีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่น ขมก็จะกลืนหรือ จะกลืนอย่างไร ขื่นก็จะอม ขมก็ต้องกลืน กลางคืนก็ฝันหวานไปตามสนิมขุม ชีวิตจะไร้ค่า ชีวิตจะไม่มีเวลาที่มีประโยชน์เลย ผู้ที่มาเจริญกรรมฐาน เท่าที่อาตมาสอบสวนทวนถามแล้ว ไม่ได้ผล พองหนอ... ยุบหนอ... ก็ไม่ได้ ยืนหนอ... ก็ไม่ได้อีก กำหนดก็ไม่ได้อีก แล้วก็ไม่กำหนด นั่นแหละพวกกาฝาก ต้นไม้มีกาฝากเยอะ มันจึงไม่กำหนด ทำให้ขี้เกียจ ทำให้ของนั้นมาสกัดกั้นไม่ให้สร้างความดีได้ แน่นอนที่สุด อย่างนี้มีมาก ขอฝากท่านทั้งหลาย ไม่ใช่ง่ายและไม่ใช่ยากนัก ถ้าท่านตั้งใจจริงแล้วได้ผล ทำด้วยความตั้งใจ อย่าท้อแท้ใจ ต้องขันติ ความอดทน ต้องสู้ตาย ถ้าท่านสู้ตายเมื่อใดท่านได้ผลเมื่อนั้น ถ้าท่านไม่สู้ความรู้ก็เป็นหมัน ถ้าเป็นหมัน ความดีก็ไม่มีทรัพยากร ชีวิตท่านจะไม่มีทรัพย์ ชีวิตท่านไม่มีโภคะ ชีวิตท่านจะไร้สาระ ไม่มีประโยชน์เกิดผลแต่ประการใด ขอฝากไว้ในวันนี้
    -------------------

    http://www.jarun.org]พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2016
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    กำแพงบุญ

    เราต่างมีชีวิต เราต่างมีหัวใจ
    เราต่างก็อยากได้สิ่งอันมากมาย
    อยากได้ความรัก อยากให้คนสนใจ
    เสาะหาไม่เคยเว้นวาย เพราะเราต่างไม่เคยพอ

    *เราต่างก็ร้องขอ ขอเป็นคนสมหวัง
    เราต่างก็ชิงชังที่จะเสียใจ
    คิดเห็นแก่ตัว ทำเพื่อตนเป็นใหญ่
    กอบโกยเก็บไว้จนตาย เอาไปไม่ได้สักอย่าง

    สร้างกำแพงบุญ ทำบุญเถิดหนา
    ด้วยศรัทธา ปัญญาจะเกิดแก่เรา
    หมั่นทำความดี ความดีจะอยู่คู่เรา
    หลุดพ้นจากความหมองเศร้า ที่พาให้เรามืดมน

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    คำสอนสายลม ดีที่สุด [ตอนที่ 2/2] พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRuesriChair.jpg
      LpRuesriChair.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.6 KB
      เปิดดู:
      487
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      63
  12. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame="https://www.youtube.com/watch?v=Pf8MR4Yydhg"]https://www.youtube.com/watch?v=Pf8MR4Yydhg[/ame]

    บารมี 10 ทัศ
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ปริวาสกรรม
    พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    ปริวาส :

    การอยู่ชดใช้ เรียกสามัญว่าอยู่กรรม, เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติสำหรับออกจากครุกาบัติ) อย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติ ก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป, ระหว่างอยู่ปริวาส ต้องประพฤติวัตรต่างๆ เช่น งดใช้สิทธิบางอย่าง ลดฐานะของตนและประจานตัวเป็นต้น ;
    ปริวาส มี ๓ อย่าง คือ
    ปฏิจฉันนปริวาส
    สโมธานปริวาส
    และ
    สุทธันตปริวาส
    ;
    มีปริวาสอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักบวชนอกศาสนา จะต้องประพฤติก่อนที่จะบวชในพระธรรมวินัย เรียกว่า ติตถิยปริวาส ซึ่งท่านจัดเป็น อปฏิจฉันนปริวาส

    ������ : ��ԷԹ���� : Dhammathai.org
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    "ปฏิบัติเอาเอง ละเอาเอง"

    " .. พระพุทธองค์ท่านสอนว่า "ความดีของเราก็คือ กาย วาจา ใจ
    รักษามัน แต่งปรับปรุงมัน ปฏิบัติให้มันดีงามขึ้น" มันก็ดีอยู่ในที่นั้น
    ไม่ใช่ของดีจะไปขอเอากับพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าก็ให้ของดีเราไม่ได้ "นอกจากท่านสอนให้ทำเอา
    ให้ละอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนี้"แล้วก็ไปปฏิบัติเอา มันก็ได้ มันก็ดีขึ้นมา
    ไม่ใช่ว่าของดีอยู่กับพระพุทธเจ้า ของดีที่อยู่กับพระพุทธเจ้า
    ก็เป็นของดีที่อยู่กับพระองค์ จะไปขอเอากับท่านไม่ได้ "เราจะต้องปฏิบัติเอา"

    ผลที่สุดแล้วความดีก็จะอยู่กับเรา "แต่ถ้าเราไม่สร้างความดีที่ถูกต้องขึ้น
    มันก็ดีขึ้นไม่ได้ ไม่ปรากฏขึ้นได้ ความดีมีอยู่ทั่วไปในสกลกายของเรา สร้างขึ้นปฏิบัติขึ้น"
    พวกเราจึงได้มาปฏิบัติเป็นกลุ่มขึ้นเพื่อฟังธรรม เพื่อจะได้รู้จักว่าของดีเป็นอย่างไร
    ของดีอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรถึงจะได้ เพื่อเราจะได้รู้จักอย่างแน่นอน
    ถ้ารู้จักแน่นอนแล้วของดีก็อยู่กับตัวเรา

    พระพุทธองค์ท่านสอนว่า "อัคขาตาโร ตถาคตาพระตถาคตเป็นผู้บอก"
    ท่านเอาของดีให้เราไม่ได้ "ท่านบอกว่าอันนั้นควรละ อันนั้นควรประพฤติปฏิบัติ
    อันนั้นผิดอันนั้นถูก ท่านบอกให้เท่านี้" ไม่ใช่ว่าท่านจะเอาของดีให้เรา
    เอาความชั่วหนีออกจากเราได้ "เราต้องทำเอาเองความดี
    สร้างเอาเอง ความชั่วถ้ามีขึ้นก็ละเอาเอง" .. "

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    พระภาสกร ภูริวฑฒโน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย คุณจะห่วงอะไร Full

    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/ss-4xw4Fl3U" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
    DMG Books
    Published on Nov 26, 2014
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]:z15. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • MaryOrCar.jpg
      MaryOrCar.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.9 KB
      เปิดดู:
      660
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    บัว ๔ เหล่า ได้แก่
    ๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

    ๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)

    ๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

    ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2016
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    พระมหากัสสปกับพระอริยสงฆ์ยกปฐมสังคายนา สืบอายุพระศาสนามาถึงบัดนี้


    ตอนถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธเจ้าที่เมืองกุสินารา เป็นเวลาที่พระสงฆ์สาวกซึ่งเดินทางมาชุมนุมกันที่เมืองนี้มีจำนวนมากกว่าครั้งใดๆ จึงเมื่อถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว พระมหากัสสปซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ได้จัดให้มีการประชุมพระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรกขึ้นที่เมืองกุสินารา

    เรื่องที่ประชุมคือ เรื่องจะสังคายนาพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้ ท่านได้ปรารภเรื่องเสี้ยนหนามพระศาสนาที่ท่านได้ประสบเมื่อระหว่างเดินทางมา ที่พระภิกษุแก่กล่าวแสดงความยินดีที่พระพุทธเจ้านิพพานให้ที่ประชุมทราบด้วย

    ที่ประชุมมีมติเลือกพระสงฆ์เถระ ๓ รูปเป็นประธานทำหน้าที่สังคายนา คือ พระมหากัสสป พระอุบาลี และพระอานนท์ ในการนี้ให้พระมหากัสสปเป็นประธานใหญ่ ให้มีหน้าที่คัดเลือกจำนวนสมาชิกสงฆ์ผู้จะเข้าประชุมทำสังคายนา พระมหากัสสปคัดเลือกพระสงฆ์ได้ทั้งหมด ๕๐๐ รูปแล้วตกลงเลือกเอานครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธเป็นสถานที่สถานที่ประชุม ส่วนเวลาประชุมคือตั้งแต่วันเข้าพรรษาเป็นต้นไป หรืออีก ๓ เดือนนับแต่นี้

    หลังจากนั้น พระสงฆ์ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมประชุมทำสังคายนา ต่างเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองราชคฤห์ เมื่อไปถึงทางคณะสงฆ์ได้ขอความอุปถัมภ์จากบ้านเมืองแห่งนี้ ในด้านการซ่อมวิหารที่พักสงฆ์ ตกแต่งสถานที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นในถ้ำปาสาณคูหาในภูเขาเวภารบรรพตซึ่งอยู่นอกเมือง

    ทางคณะสงฆ์ได้ขอให้ทางบ้านเมืองประกาศห้ามนักบวชและพระสงฆ์อื่นๆ ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการประชุมทำสังคายนาเข้ามาอยู่ในเมืองราชคฤห์ ตลอดเวลาที่สงฆ์ทั้งหมดทำสังคายนาอยู่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันอุปสรรคขัดขวาง อันอาจจะเกิดมีเป็นเหตุให้การประชุมทำสังคายนาเป็นไปโดยความไม่เรียบร้อยนั่นเอง


    http://84000.org/tipitaka/picture/f80.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...