จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    ประวัติ อาจารย์วศิน อินทสระ
    วศิน อินทสระ เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2477 ที่หมู่บ้านท่าศาลา อำเภอรัตตภูมิ จังหวัดสงขลา ได้บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ 13 ปี ที่วัดบุปผาราม เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เมื่อพ.ศ. 2490 และได้อุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อ พ.ศ.2497 จนกระทั่งลาสิกขา เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2507 รวมเวลา 10 ปี



    วศิน อินทสระ (17 กันยายน พ.ศ. 2477 —) เป็นนักเขียนนวนิยายอิงธรรมะ คอลัมนิสต์และนักปาฐกถาธรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในวงการพระพุทธศาสนา เป็นศิษย์อาจารย์ สุชีพ ปุญญานุภาพ อีกคนที่โด่งดังมาจากการเขียนนวนิยายอิงธรรมะ นวนิยายอิงธรรมะของท่านหลายเล่มได้รับการจัดทำเป็นภาพยนตร์วิดีโอเพื่อจัดจำหน่าย อาทิ พ่อผมเป็นมหา

    อาจารย์วศิน อินทสระผลิตหนังสือธรรมะ ออกวางขายตามท้องตลาดเป็<wbr>นจำนวนมาก อาทิ

    • พระอานนท์ พุทธอนุชา
    • พระพุทธศาสนาเถรวาท (สองเล่ม)
    • ทางแห่งความดี
    • พระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน https://www.youtube.com/watch?v=DlIZRwq1mHA
    • ความทุกข์และการดับทุกข์
    • สาระสำคัญแห่งวิสุทธิมรรค
    • อริยสัจ ๔ (ความจริงของชีวิตที่ทุกคนควรรู<wbr>้และเข้าใจ)
    • พุทธวิธีในการสอน (ตีพิมพ์ในปี ๒๕๒๔)
    • พ.ศ. 2525 ได้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ในฐานะที่เป็นฆราวาสผู้ทำคุ<wbr>ณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา สาขาวรรณกรรม
    https://th.wikipedia.org/wiki/<wbr>%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%B4%<wbr>E0%B8%99_%E0%B8%AD%E0%B8%B4%<wbr>E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%<wbr>B8%A3%E0%B8%B0#.E0.B8.AB.E0.<wbr>B8.99.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B8.<wbr>97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.81.<wbr>E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.87.E0.<wbr>B8.B2.E0.B8.99.E0.B9.83.E0.B8.<wbr>99.E0.B8.9B.E0.B8.B1.E0.B8.88.<wbr>E0.B8.88.E0.B8.B8.E0.B8.9A.E0.<wbr>B8.B1.E0.B8.99

    ควรทำบุญบ่อยๆ โดย (อ.วศิน อินทสระ)

    https://www.youtube.com/watch?v=XsE_T5V9Zfg
    เรื่อง คุณสมบัติผู้มีโชคลาภ - อาจารย์ วศิน อินทสระ

    https://www.youtube.com/watch?v=12ehUD8VmTU
    ความสำคัญของใจ -อาจารย์ วศิน อินทสระ

    https://www.youtube.com/watch?v=4VDBfeo6id8



    เรื่อง กำจัดมลทินทีละน้อย โดย อาจารย์วศิน อินทสระ

    https://www.youtube.com/watch?v=qjoDqm3DzJc
    เรื่อง จิตอันราคะไม่ซึบซาบ - โดย อาจารย์วศิน อินทสระ

    https://www.youtube.com/watch?v=G0TSaEH2Bss
    เรื่อง อันตรายแห่งชีวิต - โดย อาจารย์วศิน อินทสระ

    https://www.youtube.com/watch?v=-NnBbvSEdmw


    เรื่อง เมื่อตัณหานุสัยยังมีอยู่ โดย อาจารย์วศิน อินทสระ
    https://www.youtube.com/watch?v=OTHcQVXtrHQ

    พระรัตนตรัย - อาจารย์วศิน อินทสระ

    https://www.youtube.com/watch?v=q2pFb4p4FnU
    Published on Sep 16, 2012
    เรื่องพระรัตนตรัย - เสียงธรรมบรรยายทางวิทยุ โดย อาจารย์วศิน อินทสระ

    ผู้สละโลก ผลงานของ ท่านอาจารย์ วศินอินทสระ
    https://www.youtube.com/watch?v=ipQr0WYVZYw
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2016
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    การชำระหนี้สงฆ์

    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)



    ---หลวง พ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า


    ---ของ ทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทนให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้น จะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย


    ---อย่าง วัดร้าง ที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด แต่อยู่ในป่าในดง หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอัน เขาก็ถือว่า ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ถือว่าซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด


    ---หรือ ว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี


    ---หลวง พ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือว่า วัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย เห็นสมควร ก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก


    ---ใน เมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้น เป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้น ไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลายอาจสงสัย ว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน จะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก
    --ของ ในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ


    ---ก็ มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมาก ระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี ได้มาก็จ่ายไป ทีนี้แกป่วย สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคาหกสิบบาท ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน


    ---พอ ปี 2508 ดันตายเสียได้ “ไอ้เงินหกสิบบาทดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋องที่สำนักพระยายม” เวลาทุ่มเศษ ๆ กำลังนอนสบาย ๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ ถามว่า “มาทำไม” เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ” เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า ฉันตามไป” ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยวผมไปตามอีกสององค์” แกไปตามอีกสององค์ เราก็ตรงไป พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพระยายม จึงถามว่า “ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า” แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท” ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ” แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วนนี้เอาไปซื้อยา”


    ---จึง เข้าไปตามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า “ยังไงนี่.....” ลุงบอกว่า “ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน” ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย


    ---พอ อีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้หกสิบบาทใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” “ไปใช้เพื่ออะไร” บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา” “จิตคิดอย่างไร” “จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์” แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม” แกตอบว่า “ใช่” แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร” ท่านบอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”


    ---ลุง พุฒท่านก็หันมาถามพวกเราว่า “ท่านสามองค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่” “ว่ายังไงล่ะ” “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมาบัติ ควรจะไปเป็นพรหม” ท่านก็เลยบอกว่า “เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌาน ฌานยังตั้งไม่ได้” เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม” ท่านก็เลยบอกว่า “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์” ก็บอกว่า “ตกลง ฉันช่วยชำระหกสิบบาท เรื่องเล็ก” ท่านบอกว่า “ไม่ได้ ชำระด้วยเงินไม่ได้” ถามว่า “แล้วจะเอาอะไร” ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ หน้าตักสิบสองนิ้ว” เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก เอาสักสิบองค์ก็ยังได้” ท่านบอกว่า “องค์เดียวพอ”


    ---แล้ว พระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็นสามองค์ เราบอกว่า “อย่างนี้ ฮ้อ...ตกลง” ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”


    ---ตอน นั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า “อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน” ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม” ท่านบอกว่า “ได้” เราก็เลยบอกท่านทิมว่า “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม” เขาถามว่า “อะไรล่ะ” ก็เลยบอกว่า “เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ” บอกว่า “จำได้” “จำได้ก็ขอไปตามนั้น” นั่นมันฌานสี่ ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่สิบเอ็ด ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่สององค์ อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา หนุ่มเลยละองค์นั้น ตอนนั้นฉันก็อายุสักสี่สิบกว่า ๆ องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์สามสิบเศษ ๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน รูปร่างสูง ๆ ดำ ๆ อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไปตามก็มีสามองค์เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูปสิบสองนิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระสิบสองนิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ


    ---คราว นี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ทำไมท่านจึงมาเจาะจงเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน เดินทางแนวเดียวกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ ๆ ส่วนอีกสององค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั่นบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดี ๆ บอกว่าอยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทาเขาก็บอกว่า ผมกับท่านบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นนิดเดียว ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหน เอกัคคตากับอุเบกขา


    ---บอก จำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌานสี่ จิตก็ตั้งอยู่พอดี พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌานสี่ พอตั้งอยู่ฌานสี่ สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหม แจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย


    ---ที่ เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย เรี่ยไรมาสิบบาท เอาของเขาใช้ไปเก้าบาทเก้าสิบสตางค์ อีกสิบสตางค์ก็เอาเข้ากระเป๋า อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก


    ---ของ สงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้ว เห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวัง ตกดังตูม.......อเวจี และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง


    ---ใน สมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพล สมัยพระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่สี่องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไปมันไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มีก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่ เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระสี่องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฎว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ตกนรกบริวาร ผ่านมาสี่ขุม แล้วก็ยมโลกียนรกอีกสิบขุม มาเป็นเปรต


    ---เปรต นี้จัดเป็นสิบสองระดับ ระดับที่หนึ่ง ถึงระดับที่ สิบเอ็ด ไม่มีโอกาสจะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่สิบสองที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาส ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่หนึ่งถึงที่สิบเอ็ด ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่า เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าวกินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไปก็ปรากฎว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละ ญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนาก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้


    ---ตอน นั้นมันเป็นการทำบุญ ครั้งแรกยังไม่รู้ว่าทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบ มาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าด ๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์


    ---ตอน นี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทังโนญาตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ การกรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้ว ร่างกายเป็นทิพย์หมดมีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย ไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฎ แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยนะ ว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน


    ---พระ เจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงาม ผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่าทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา จะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น แต่พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฎ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษขนาดไหน
    -และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็นกา แย่งข้าวในขัน ที่เขาจะนำไปถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายแล้วไปลงอเวจี แล้วแถมเกิดมาเป็นเปรต


    ---ผู้ถาม “หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ”


    ---หลวง พ่อ “ถ้าอาหารที่พระให้ ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้น พระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์ เช่น อาหารวันพระที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมาก ๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง


    ---บาง ทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อ ๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจจะมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระ มีโทษ 100 เปอร์เซนต์


    ---และ อาหารถวายพระพุทธรูปก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ทายกมักจะเอาอาหารดี ๆ และมาก ๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป


    ---เมื่อ พระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น “ลูกศิษย์พระพุทธรูป” แต่ประการใด


    ---รวม ความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประเภทที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ผลไม้ในวัด เศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่บาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์


    ---ผู้ถาม “แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ”


    ---หลวง พ่อ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลาย ๆ ชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง ถามว่าจะทำอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ ก็เห็นพระท่านลอยมา ท่านบอก “ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก”


    ---พระ หน้าตัก 4 ศอก ถือ่วาเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า “พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ มาถือเป็นการหมดไป”


    ---ฉัน พูดแล้วก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้นก็ถามใหม่ว่า “สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน” ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านก็บอกว่า


    ---“ถ้า ไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ” คำว่า “คณะ” หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ สร้างนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ


    ---ผู้ถาม “ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อย แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ”


    ---หลวง พ่อ “ถ้าเรามีสตางค์น้อย ๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า “ชำระหนี้สงฆ์” คือว่า ไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ บาทสองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ เพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อย ใจสบาย


    ---มี สตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระ บอกขอชำระหนี้สงฆ์ ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเองไม่ต้องห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้ เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม”
    --ผู้ ถาม “ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ”


    ---หลวงพ่อ “เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนในวัดเอาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซนต์เลยนะ คนอื่นเอาไปใช่ไหม อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ อานิสงส์ได้ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปีติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่”


    ---คัด มาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ (ฉบับพิเศษ) และหนังสือสมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี /รวมคำสอบพระสุปฏิปันโน เล่ม 2.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRuesrismile.jpg
      LpRuesrismile.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.8 KB
      เปิดดู:
      1,149
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      61
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    มนุษย์จริงๆ แล้วมาจากไหน
    และอะไรเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติ


    โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


    ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก
    ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่น ปาณาติบาต เป็นต้น
    อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย

    ตอนนี้เกิด “มิคสัญญี” ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน
    จะรบราฆ่าฟันกันมาก พระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่
    โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด
    ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด
    ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน
    อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่
    ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง

    เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้
    ในที่สุด คืนวันหนึ่งฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่
    ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต
    จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

    หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลก
    ล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา
    ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้ว
    จากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี
    เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

    โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มี
    ไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลก
    แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น
    ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

    หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น
    ทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด
    สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด
    มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น

    จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง
    มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล
    คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ

    เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ
    เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น
    ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน
    โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้
    นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร

    เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง
    เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใครจน
    มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป
    เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์
    ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี

    คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย
    ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า

    พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ
    แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที


    = รวมคำสอน “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)”
    แสดงกระทู้ - รวมคำสอน “พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)” • ลานธรรมจักร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    คติธรรมคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    คัดจากหนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ

    * ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ความฉลาดเพื่อคุณงามความดีทั้งหลาย ที่โลกเขาปรารถนากันเพราะคนเราจะอยู่และไปโดยไม่มีเครื่องป้องกันตัวย่อมไม่ปลอดภัย ต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัวคือหลักธรรมมีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ จะเป็นเครื่องมั่นคงไม่สะทกสะท้านมีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบท
    จะคิด-พูด-ทำอะไรไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญาสอดแทรกอยู่ด้วยทั้งภายในและภายนอก มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดี คนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่นวุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย

    * การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
    ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
    การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง

    * ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

    * เมื่อเกิดมาอาภัพชาติ แล้วอย่าให้ใจอาภัพอีก
    ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพ คิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตนให้ได้ทุกข์ เป็นบาปกรรมอีกเลย

    * คนชั่ว ทำชั่วได้ง่าย และติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขให้ดี
    คนดี ทำดีได้ง่าย และติดใจกลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป


    * เราต้องการของดี คนดี ก็จำต้องฝึก ฝึกจนดี จะพ้นการฝึกไปไม่ได้ งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ นอกจากตายแล้วจึงหมดการฝึก คำว่า ดี จะเป็นสมบัติของผู้ฝึกดีแล้วแน่นอน

    * ศีล นั้นอยู่ที่ไหนมีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหา หลงขอ คนที่หา คนที่ขอต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ
    กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์ จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เราแล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
    ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ไม่อด ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลให้สมบูรณ์ จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
    ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวรหมดภัย


    * คุณธรรม ยังมีผู้เข้าถึงให้เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลื่องระบือ มีความฉลาด กว้างขวางในอุบายวิธี ไม่มีคับแค้นจนมุม

    * การปฏิบัติธรรม เป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนเรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง
    การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน
    ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน
    ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู
    ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น


    * วาสนา นั้นเป็นไปตามอัธยาศัย
    คนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้ว แต่คบคนพาล วาสนาก็อาจเป็นคนพาลได้ บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิต วาสนาก็เลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิต
    ฉะนั้น บุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิต เพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น

    ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    ผู้มีปัญญา ได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย
    ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน


    * จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต
    นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม
    พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน

    * ทาน-ศีล- ภาวนา ธรรมทั้ง 3 นี้ เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์ และเป็นรากเหง้าของพระศาสนา ผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องเป็นผู้เคยสั่งสมธรรมเหล่านี้มาอยู่ในนิสัย ของผู้จะมาสวมร่างเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษย์อย่างแท้จริง.

    ...............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LPMun1.jpg
      LPMun1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.2 KB
      เปิดดู:
      949
    • LpMunGetmindGotdham.jpg
      LpMunGetmindGotdham.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      124
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      57
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    หลวงปู่ฝากไว้

    ปฏิปุจฉา

    ด้วยความคุ้นเคยและอยู่ใกล้ชิดหลวงปู่มาเป็นเวลานาน เมื่ออาตมาถามปัญหาอะไรท่าน หลวงปู่ท่านมักจะตอบด้วยการย้อนกลับคืน ทำนองให้คิดหาคำตอบเอาเอง ฯ

    เช่นถามว่า พระอรหันต์ท่านมีใจสะอาด สว่างแล้ว ท่านอาจรู้เลขหวยได้อย่างแม่นยำหรือครับ ฯ

    ท่านตอบว่า "พระอรหันต์ ท่านใส่ใจเพื่อจะรู้สิ่งเหล่านี้หรือ"

    ถามว่า พระอรหันต์ท่านเคยนอนหลับฝันเหมือนคนธรรมดาด้วยหรือเปล่าครับ ฯ

    ท่านตอบว่า "การหลับแล้วเกิดฝัน เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ไม่ใช่หรือ."

    ถามว่าพระปุถุชนธรรมดายังหนาด้วยกิเลส แต่มีความสามารถสอนคนอื่นให้เขาบรรลุถึงอรหันต์ เคยมีบ้างไหมครับหลวงปู่ ฯ

    ท่านตอบว่า "หมอบางคน ทั้งที่ตัวเองยังมีโรคอยู่ แต่ก็เคยรักษาคนอื่นให้หายจากโรคได้ มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ."

    [หมายเหตุ Webmaster - การหลับแล้วฝันเป็นเรื่องของสังขารขันธ์ จึงหมายถึงย่อมเกิดขึ้นแก่ทุกคนที่ยังดำรงขันธ์อยู่ จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา]
    ................
    หวังผลไกล

    เมื่อมีแขกหรืออุบาสกอุบาสิกาไปกราบนมัสการหลวงปู่ แต่หลวงปู่มีปรกติไม่เคยถามถึงเรื่องอื่นไกล มักถามว่า ญาติโยมเคยภาวนาบ้างไหม? บางคนก็ตอบว่าเคย บางคนก็ตอบว่าไม่เคย ในจำนวนนั้นมีคนหนึ่งฉะฉานกว่าใคร เขากล่าวว่า ดิฉันเห็นว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องมาวิปัสสนาอะไรให้มันลำบากลำบนนัก เพราะปีหนึ่งๆ ดิฉันก็ฟังเทศน์มหาชาติจบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตั้งหลายวัด ท่านว่าอานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาตินี้จะได้ถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็จะพบแต่ความสุขความสบายอยู่แล้ว(สีลัพพตปรามาส-Webmaster) ต้องมาทรมานให้ลำบากทำไม ฯ

    "สิ่งประเสริฐอันมีอยู่เฉพาะหน้าแล้วไม่สนใจ กลับไปหวังไกลถึงสิ่งที่เป็นเพียงการกล่าวถึง เป็นลักษณะของคนที่ไม่เอาไหนเลย ก็ในเมื่อมรรคผลนิพพานในศาสนาสมณโคดมในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ กลับเหลวไหลไม่สนใจ เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่านี้อีก."

    [หมายเหตุ Webmaster - แสดงให้เห็นสีลัพพตปรามาสในการปฏิบัติหรือยึดถือ]


    http://www.nkgen.com/pudule3.htm]��ǧ���ҡ���3
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Dul Atulo.jpg
      LP Dul Atulo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.6 KB
      เปิดดู:
      873
    • sadhu2.jpg
      sadhu2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 KB
      เปิดดู:
      677
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG] . .[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ตัดกิเลสแบบง่ายๆ
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    "....การเจริญกรรมฐานขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้ถืออารมณ์ธรรมดาเป็นสำคัญ ยามปกตินะ อย่าถือว่าเวลาสงัดที่เรานั่งสมาธิเป็นเวลาสำคัญ เวลานั้นก็สำคัญถือว่าเวลานั้นเป็นการฝึกเพื่อการทรงตัวของจิตที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นกุศลนี่ต้องการให้มีความรู้สึกเป็นประจำตอนกลางวัน หรือยามปกติทำงานอยู่ก็ตาม เลิกงานแล้วก็ตาม เวลาไหนก็ตาม มันว่างนิดจิตก็คิดขึ้นมาเองไม่ต้องบังคับ

    คิดว่าความทุกข์อย่างนี้เกิดขึ้นมาเพราะเราเกิด เราเกิดเพราะอะไร เพราะกิเลส คือความเศร้าหมองหรืออารมณ์ชั่วของจิต
    ตัณหา คือความทะเยอทะยานอยากได้ตามกำลังที่กิเลสสั่ง
    อุปาทาน มีความยึดมั่นถือในว่า ไอ้สิ่งที่กิเลสสั่งสอนเป็นของดี ยึดมั่นไม่ปล่อย
    อกุศลกรรม ทำด้วยความไม่ฉลาด ตามกิเลสสั่ง

    ก็รวมความว่า อาการทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นปัจจัยให้เราเกิด เวลานี้เราจะตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม เราจะตัดแบบไหนก็ตัดแบบง่ายๆ คือ

    ๑. ไม่ลืมความตายของชึวิต
    ๒. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓. มีศีลหรือกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน เป็นการทรงความสงบของจิต
    ๔. ตัดกิเลสตัวสุดท้าย ตัดฉันทะ คือความพอใจในการเกิด เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม ตัดราคะ เห็นว่าการเกิดในเมืองมนุษย์มันสวยสดงดงาม เทวดาหรือพรหมสวยสดงดงาม อย่างนี้เราไม่ต้องการ ต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน

    ถ้าคิดอย่างนี้เพียงแค่ ๒ นาทีนะ วันละวาระ สองวาระก็ดี คิดให้เป็นประจำ ถ้าเป็นประจำได้ก็ดี เฉพาะเวลาจำกัด เวลาที่บังคับ อย่างตั้งใจว่า ถ้าตื่นเช้าเราจะคิดอย่างนี้ ก่อนหลับเราจะคิดอย่างนี้ แล้วต่อมาใหม่ๆ มันเผลอบ้าง อะไรบ้าง ระยะหลังๆ ต่อไปพอตื่นปั๊บ อารมณ์คิดทันที แล้วพอใกล้จะหลับหัวถึงหมอนก็คิดทันที อย่างนี้ถือว่าเป็นฌาน อารมณ์เป็นฌานแล้ว ในวิปัสสนาญาณขั้นสูงสุด

    คือการไม่ติดในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ถือว่าตัดอวิชชา อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงตัว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำว่าทรงตัวไม่ได้หมายความถึงทั้งวันนะ อย่าเผลอ ฆราวาสจะทั้งวันไม่ได้ พระก็ทั้งวันไม่ได้ เอายามว่างที่โอกาสมีขึ้น จิตมันนึกอย่างนี้จริงๆ ทุกคน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง ชาตินี้หวังนิพพานได้แน่นอน...."กราบบูชาสาธุเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      75.2 KB
      เปิดดู:
      61
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    พระภาวนาพิศาลเถร (พุธ ฐานิโย)
    *ฐานิโยวาท*


    อยากจะเป็นนักภาวนา ให้ตั้งใจลงไปว่า ฉันจะนั่งสมาธิให้ได้วันละ ๔ ครั้ง ครั้งละ ๑ ชั่วโมงขึ้นไป จิตมันจะสงบหรือไม่สงบให้เป็นเรื่องของจิต ไม่ต้องไปกดไปข่ม มันจะไม่สงบตลอดปีตลอดชาติหรือจนตาย ก็ให้มันรู้ไป เราเป็นแต่เพียงผู้ภาวนา เมื่อตั้งใจทำจริงผลมันย่อมมี

    สมาธิ มีสติ เป็นหลัก ความสำคัญอยู่ที่ สัมปชัญญะ (ผู้รู้) เมื่อสติควบคุมผู้รู้ได้อย่างแน่นอนแล้ว อย่างอื่นก็หมดปัญหา เริ่มจากขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

    สติดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ... สติอ่อน สมาธิก็อ่อน ปัญญาก็ซบเซา

    ไม่มีความเพียรก็ไม่มีสติ ไม่มีสติก็ไม่มีปัญญา ในเมื่อไม่มีปัญญา จะเอาแต่ความสำเร็จเหลวไหล

    ไม่มีฌาน ก็ไม่มีญาณ ไม่มีญาณ ก็ไม่มีปัญญาคือการหยั่งรู้

    ว่าง ให้ดูที่ความว่าง คิด ให้ดูที่ความคิด (จิต) นิ่ง ให้ดูที่ความนิ่ง

    อยู่ว่าง ๆ ให้นึก พุทโธ เล่น ๆ (ขอใช้คำว่าเล่น ๆ )

    ตาเห็นรูป ทำสติพิจารณาอสุภกรรมฐาน

    อย่าละการทำสติ


    เรื่องของการปฏิบัติแล้ว แทบจะไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันให้มาก นอกจากทำให้มาก ๆ ทำให้บ่อย ๆ ทำให้ชำนาญ ทำให้คล่อง คล่องขนาดสตินึกพุทโธเอง จิตเป็นผู้ภาวนาเอง

    สติระลึกรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นการฝึกจิตให้มีสมาธิ สัมพันธ์กับเรื่องชีวิตประจำวัน
    ................

    ฐานิยปูชา 2535 - ลานธรรมเสวนา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    สามเณรอรหันต์

    โสปากสามเณร ผู้เกิดในป่าช้า บรรลุอรหันต์ในป่าช้า

    สามเณรน้อยชื่อ โสปากะ แปลว่า "ผู้เกิดในป่าช้า" เพราะ ท่านเกิดในป่าช้า เรื่องมีอยู่ว่า...สามเณรรอดตายราวปาฏิหาริย์ขณะอยู่ในครรภ์มารดาซึ่งกำลัง ถูกเผาบนเชิงตะกอนในป่าช้าแห่งหนึ่งเพราะชาวบ้านเข้าใจผิดว่ามารดาตายแล้ว แต่บุญบารมีที่ท่านจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์จึงมีฝนตกลงมาดับไฟที่กำลังเผาร่างนั้น สามเณรได้หลุดออกจากครรภ์มารดาและถูกนำไปเลี้ยงดูในป่าช้าแห่งนั้น เด็กชายโสปากะเติบโตในป่าช้าจนอายุได้ ๗ ขวบ จึงได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมาโปรดในป่าช้า ทำให้เด็กน้อยเกิดความเลื่อมใสในทันที จึงขอออกบวชและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเอง

    ต่อมา...สามเณรโสปากะได้รับอนุญาตให้บวชเป็นพระจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะอายุเพียง ๗ ขวบการบวชกระทำโดยตอบปัญหา ๑๐ ข้อ สามเณรสามารถตอบปัญหาเหล่านั้นได้อย่างฉาดฉานและถูกต้อง จนได้รับคำสรรเสริญจากพระพุทธองค์

    โสปากสามเณร ผู้เกิดในป่าช้า บรรลุอรหันต์ในป่าช้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG] . .;aa47
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    คนใจอ่อนห้ามดูค่ะ

    บทพิจารณาสังขารรวม - อสุภะ

    https://youtu.be/X2wmjg7AKIs
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • boneboygirl.jpg
      boneboygirl.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.4 KB
      เปิดดู:
      78
    • BodyRent.jpg
      BodyRent.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.4 KB
      เปิดดู:
      96
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    <iframe src="https://www.youtube.com/embed/2itF0GKuX2U" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" width="560"></iframe>

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - อุทุมพริกสูตร [ตอนเดียวจบ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRusriPanom.jpg
      LpRusriPanom.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.6 KB
      เปิดดู:
      55
    • sadhu2.jpg
      sadhu2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 KB
      เปิดดู:
      356
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    โอวาทธรรม
    ของ พระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) จ.อุทัยธานี

    เรื่องเผาตามประเพณีจีน (กงเต็ก) มีหมอที่จังหวัดพิจิตร หมอผู้หญิงนะ
    แกเคยไปเจริญพระกรรมฐานที่วัด พ่อเป็นจีน
    เวลาพ่อแกตาย แกทำบุญเต็มที่ทั้งประเพณีไทยและประเพณีจีน
    ปรากฏว่า วันหนึ่งแกนั่งเจริญพระกรรมฐานอยู่ เตี่ยก็มาบอกว่า

    "อีหนู ตึกขี้เถ้า รถยนต์หรือแบงค์ขี้เถ้าที่มึงเผาไป
    กูไม่ได้รับเลย ผีเขาไม่ใช้ขี้เถ้า"
    แกก็ถามว่า "จะให้ทำยังไงล่ะ?"
    เตี่ยบอกว่า "ถวายสังฆทานให้กูก็แล้วกัน
    ที่เอ็งทำบุญไปครั้งนั้น เตี่ยไม่ได้รับเลย และเอ็งก็ไม่ได้บุญด้วย
    แต่ที่เตี่ยไม่ตกนรก เพราะเตี่ยนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่"

    ลูกสาวถามว่า "จะเอาอะไรบ้าง?"
    เตี่ยบอกว่า "ถ้ามีพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๕ นิ้วขึ้นไป
    เตี่ยจะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือพรหมเขาถือความสว่างของร่างกาย
    ไม่ได้ดูที่เครื่องแต่งตัว ถ้ามีผ้าจีวรด้วย เครื่องประดับของเตี่ยจะสวยขึ้นกว่าเดิม
    และถ้ามีอาหารด้วย ความเป็นทิพย์ของร่างกายจะดีกว่าเก่า"

    แล้วแกขึ้นรถมาที่นี่มาขอถวายสังฆทาน
    ก็บอกแกว่า จะถวายสังฆทานที่ไหนก็ได้ แกก็ไม่ยอม
    ถามว่าทำไมไม่ถวายวัดใกล้ๆ แกตอบว่า ไม่ไว้ใจ
    กลัวเขาจะเอาพระพุทธรูปไปขายก็เลยมาถวายที่นี่
    แกถามว่า เตี่ยดีขึ้นหรือไม่ ก็ตอบว่า เป็นเรื่องของคุณ ต้องสัมผัสกันเอง
    เวลาทำสมาธิให้ทำใจปกติ อย่าไปนึกถึงเตี่ย จิตฟุ้งซ่านมันจะไม่เห็น
    แกก็พยายามทำใจแบบนั้น

    ตอนเช้าแกก็มาบอกว่า แกดีใจนอนไม่หลับ
    เตี่ยแกมาแพรวพราวสวยระยับกว่าเก่า
    และเห็นตัวเองว่า ออกไปคุยกับเตี่ยก็สวยคล้ายเตี่ย
    เพราะว่าการถวายสังฆทานให้คนตายนั้นเราเองก็ต้องได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
    และผีต้องโมทนาจึงจะได้ บุญก็ยังอยู่ที่เราเต็มที่

    ในเมื่อแกทำเองอานิสงส์สูง เพราะ
    กังวลน้อย บุญมาก กังวลมาก บุญน้อย
    ถ้าจัดงานเป็นพิเศษจะไม่ได้บุญเลย
    งานยิ่งใหญ่เท่าไร บุญยิ่งหดมากเท่านั้น
    พอเริ่มงามก็ฆ่าปลา ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ บาปเข้ามาก่อน
    บุญมันเข้าไม่ได้ มันไม่ถูกกัน

    บุญเหมือนแสงสว่าง บาปเหมือนกับความมืด
    ที่ไหนมืดที่นั้นต้องไม่มีสว่าง ถ้ามีสว่างมันจะมืดหรือ
    ถ้าเขาฆ่าไว้เยอะแยะแล้วเราไม่ได้สั่ง มันไม่มีอะไร

    มันจำเป็นนักหรือว่า เวลาทำบุญต้องเลี้ยงเหล้ากันด้วย
    จะต้องฆ่าสัตว์ พระองค์ไหนเขาสั่ง
    ลงทุนทำบุญทำศพหมดไป ๕-๖ หมื่น พระได้ไปกี่สตางค์
    ค่าอาหารพระกินไปสักกี่ช้อน มันเป็นหมื่นหรือเปล่า
    ไอ้เงินหมื่นจ่ายอะไรกันแน่ บางทีหมดค่าเหล้าไปกี่พันก็ไม่รู้
    หมดค่าเชือดไก่เชือดปลาเท่าไร อันนี้ตัวบาปทั้งนั้น
    ไม่ใช่เรื่องบุญแล้วอ้างว่าทำบุญ ใช่ไหม

    การถวายสังฆทานนี่ดีที่สุด
    สังฆทานนี่บุญใหญ่ด้วย กังวลน้อยด้วย
    ไปซื้อพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง ซื้อไม่ต้องโมโห
    อย่าไปต่อขอลดเขามากนักก็แล้วกันและก็ไม่มีอะไร
    เขาไม่จำกัดข้าวถ้วย แกงถ้วย ขนมถ้วย น้ำสักแก้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร

    เราคนเดียวทำได้เลยเรียบร้อย ไอ้นี่บาปนิดเดียวก็ไม่มี
    ตัวกังวลก็ไม่มี บุญก็บริสุทธิ์และบุญสังฆทานเป็นบุญใหญ่มาก
    ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทำบุญกับท่าน ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง แล้วก็ลงทุนไม่มาก กังวลก็ไม่มี

    ส่วนการอุทิศส่วนกุศล เคยถามพระยายม
    ท่านว่า..แม้แต่พระที่อยู่นิพพานยังทราบการทำบุญของคน
    คนทำความดีนี่พระนิพพานก็ทราบ แล้วท่านก็โมทนา
    นิพพานอยู่อันดับสูงสุดมาก
    ก็ไอ้นรกนี่แค่ตูดหมาจะโมทนาไม่ได้หรือ

    พระยายมบอกว่า จะเปรียบเทียบให้ฟัง
    สมมติว่าตัวท่านนี่นะ ผมเอาไฟด้วย
    เอาหอกเอาดาบขวานมาฟันมาแทงด้วย กินไม่ได้ ร้อน

    ท่านก็บอกว่า ทุกขเวทนามันมาก
    ไม่มีโอกาสโมทนานรกมี ๒ อันดับ
    ขุมใหญ่กับบริวาร กับยมโลกียนรก
    ถ้ายมโลกียนรกต้องแบ่งขั้น ถ้าหนักเกินไปก็ไม่มีสิทธิ์โมทนา
    ถ้าปานกลางไม่หนักมาก อาจจะโมทนาได้เลย
    โดยเฉพาะถ้าเป็นบุญสังฆทานเห็นจะสู้ไม่ไหว
    ถ้าถามว่า สังฆทานดึงคนตกนรกได้ไหม
    ควรจะตอบว่า ยังดึงไม่ได้ดีกว่า




    คัดลอกเนื้อหาจาก
    หนังสือเรื่อง การอุทิศส่วนกุศล หน้าที่ ๒๑-๒๔
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    สิ่งที่ควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ “กรรม”

    ภิกษุ ท. ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม

    เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกายด้วยวาจา ด้วยใจ ...

    ภิกษุ ท. ! เหตุเกิด (นิทานสัมภวะ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุ ท. ! เหตุเกิดแห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ.

    ภิกษุ ท. ! ความมีประมาณต่าง ๆ (เวมัตตตา)แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุ ท. !

    กรรมที่ทำให้สัตว์เสวยเวทนาในนรก มีอยู่,

    กรรมที่ทำให้สัตว์เสวยเวทนาในกำเนิดเดรัจฉาน มีอยู่,

    กรรมที่ทำสัตว์ให้เสวยเวทนาในเปรตวิสัย มีอยู่,

    กรรมที่ทำสัตว์เสวยเวทนาในมนุษยโลก มีอยู่,

    กรรมที่ทำสัตว์เสวยเวทนาในเทวโลก มีอยู่...

    ภิกษุ ท. ! วิบากแห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุ ท. ! เรากล่าววิบากแห่งกรรมทั้งหลายว่ามีอยู่ ๓ อย่าง คือ วิบากในทิฏฐธรรม (คือทันควัน) หรือว่า

    วิบากในอุปะปัชชะ (คือในเวลาต่อมา) หรือว่า วิบากในอปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก) ...

    ภิกษุ ท. ! ความดับแห่งกรรม เป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุ ท. ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ.

    อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม (กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา);

    ได้แก่ สิ่งเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ

    สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.

    ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓ - ๔๖๔/๓๓๔.

    กายนี้ เป็น “กรรมเก่า”

    ภิกษุ ท. ! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้งไม่ใช่ของบุคคล เหล่าอื่น. ภิกษุ ท. ! กรรมเก่า (คือกาย)นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น(อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น (อภิสญฺเจตยิต),เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย).

    ภิกษุ ท. ! ในกรณีของกายนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี

    ซึ่งปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว ดังนี้ว่า

    “ด้วยอาการอย่างนี้ :

    เพราะสิ่งนี้มี, สิ่งนี้จึงมี;เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;

    เพราะสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้จึงไม่มี;เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงดับไป :

    ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ

    เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;

    เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;

    เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;

    เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;

    เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;

    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;

    เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;

    เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;

    เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;

    เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ;

    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.

    เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้น นั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร, เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; ....ฯลฯ....ฯลฯ.....ฯลฯ....เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้”ดังนี้ แล.


    นิทาน. สํ. ๑๖/๗๗/๑๔๓.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BuddhaPali.jpg
      BuddhaPali.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35 KB
      เปิดดู:
      359
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2016
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG] . พระพยอม มีวันนี้เพราะใคร?
    [​IMG]
    Published on May 18, 2013

    ชีวิต ที่มีสำหรับทำประโยขน์ เพื่อยังพุทธบริษัทไม่เป็นโมฆะบุรุษ และโมฆะสตรี บรรยายวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ กับ ธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม

    พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กลฺยาโณ)..
    kanlayano.org ��ŹԸ��ǹ��� - Suankaew Foundation - �� ��о��� ������ �ú�ͺ 60 �� �طԵ�
    kanlayano@gmail.com
    เลขที่ 55/1 หมู่ 1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140 โทรศัพท์ : 0-2921-6262, 0-2921-5023 โทรสาร : 0-2921-5022
    55/1 M.1 Bang lane Subdistrict, BangYai District Nonthaburi 11140, Thailand Tel : (66)0-2921-6262, (66)0-2921-5023 Fax. (66)0-2921-5022 .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PraPayomBook.jpg
      PraPayomBook.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.8 KB
      เปิดดู:
      480
    • LpPayom.jpg
      LpPayom.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.1 KB
      เปิดดู:
      50
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]
    วิธีทำสมาธิ เดินจงกรม - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    0:31 วิธีการเดินจงกรม
    1,ทิศตะวันออก-ตะวันตก
    2.ทิศตะวันตกเฉียงใต้
    3.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 10-20-25-30 ก้าว
    11:00 เริ่มเดินจงกรม พนมมือ ระลึกถึงคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอาจารย์
    40:00 นั่งสมาธิ

    DrSeripiputSrimuang

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...