จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนากับท่านทุกๆท่าน และท่าน Pugsley ด้วยนะครับ

    >> ผมเองก็ได้ไปร่วมน้อมนำผ้าป่าไปถวายกับญาติธรรม พ่อแม่ ครูอาจารย์เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 มาเช่นกัน <<
    ก็เลยขออนุญาติและเชิญชวนทุกๆท่าน "มาร่วมอนุโมทนาบุญ"เช่นเดียวกันนะครับ ตามสบายครับ
    เป็นผ้าป่าเพื่อทำทางเดินถวายวัด ณ วัดใหม่ดงกระทงยาม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีครับ
    ก็ในงานนี้ได้รายรับปัจจัยรวมโดยประมาณ 122,259 บาทครับ ... เชิญมาร่วมอนุโมทนาด้วยกันนะครับ ...

    ... สาธุ สาธุ สาธุ ... อนุโมทามิ ... ^_^ ...
    ... ขอให้ทุกๆท่านทำใจให้ชุ่มเย็น และใด้รับอานิสงส์เสมอกัน โดยฉับพลันทันทีครับ ...

    เชิญชมภาพที่เอกสารแนบครับ
    (ใช้กล้องมือถือเก่าๆถ่ายเอา จะไม่ค่อยชัด ขออภัยนะครับ ถือเอาแต่เนื้อหาสาระก็แล้วกันนะครับ)


    ด้วยความเคารพยิ่ง
    ประทีป

    ^__^
    _/|\_

    .......... .......... ..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2014
  2. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    สวัสดีค่ะท่าน iamprateep
    หายหน้าหายตาไปนานเชียวค่ะ แอบไปสร้างบุญ สร้างกุศล มานี่เอง
    ขอบพระคุณที่น้อมนำบุญมาฝากพวกเรานะค่ะ
    ขออนุโมทนาสาธุการกับท่านด้วย ในบุญทุกๆประการค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
    _/\_ _/\_ _/\_
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม"

    ...บางทีคนเราอาจจะแยกแยะไม่ออกว่า ๓ ตัวนี้ต่างกันอย่างไร ศีลธรรม

    เป็นตัวเริ่มต้น "ศีล" คือข้อห้าม "ธรรม" คือข้อควรปฏิบัติ ในเมื่อพยายามที่

    จะละเว้นในสิ่งที่ไม่ดี ทำในสิ่งที่ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อทำไป ๆ กลายเป็นความ

    ดีเฉพาะตัว กาย วาจา ใจ ของเขาที่แสดงออก ก็อยู่ในกรอบของศีลของธรรม

    จึงกลายเป็น "จริยธรรม" คือความดีที่เป็นแบบอย่างให้คนอื่นเขาเลียนแบบ หรือ

    ปฏิบัติตามได้ ...ดังนั้น.. ทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยศีลธรรม เมื่อศีลธรรมทรงตัวเป็น

    คุณธรรมประจำใจการปฏิบัติของตนเองก็กลายเป็นจริยธรรม คือแบบอย่างให้คนอื่น

    อื่นทำ.........โอวาทธรรม หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน

    ...กราบนมัสการหลวงพ่อเล็ก และกราบน้อมรับพระธรรมเจ้าค่ะกราบๆๆๆ.
     
  4. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    กรรมบถ ๑๐ เตรียมทางเข้าสู่พระนิพพาน

    สำหรับกรรมบถ ๑๐ ดูแล้วธรรมะข้อนี้ เป็นการเตรียมทางเข้าสู่พระนิพพานจริง ๆ
    หากว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ทรงกำลังนี้ได้ อาตมาก็คิดว่า
    ความเป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีน่ะ อยู่ในกำลังใจเราแน่ จะเห็นว่ากรรมบถ ๑๐ เขาแยกไว้ดังนี้

    ทางกาย

    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์
    ๒. ไม่ลักทรัพย์
    ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ทางกายมี ๓ ถ้าเราบวกมีศีล ๕ ก็เพิ่มเว้นสุราอีกข้อหนึ่ง แต่ความจริงถ้าจิตดี มันก็ไม่ต้องเว้น
    ที่ท่านไม่ติดสุราไว้ เพราะว่ากำลังใจดี ก็ไม่ต้องเว้น ไม่ต้องบอกไว้มันก็เว้นเอง

    สำหรับทางด้านวาจา วาจาท่านแยกไว้เป็น ๔ คือ
    ๑. ไม่พูดปด
    ๒. ไม่พูดคำหยาบ
    ๓. ไม่พูดวาจาทำให้แตกร้าวกัน
    ๔. ไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์
    นี่ด้านวาจา

    สำหรับด้านจิตใจ ท่านแยกไว้ ๓ คือ
    ๑. ไม่คิดอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใด ที่เขาไม่ให้โดยชอบธรรม
    ๒. ไม่คิดประทุษร้ายคนอื่น
    ๓. ทำความเห็นให้ถูก

    ทั้งหมดนี้เป็นภาคพื้นของพระนิพพานโดยตรง

    ธรรมโอวาท
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ

    *****************************************

    ขอเจริญในธรรม ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    "ตำหนิคนนั้นตำหนิคนนี้ ตัวเองไม่ยอมตำหนิ ตัวเองไม่เห็นโทษตัวเอง คนนี้ไปที่ไหนก่อไฟไปที่นั้นแหละ ไม่ว่านักบวชไม่ว่าฆราวาส ให้ดูหัวใจตัวมันเป็นอยู่นี้ แล้วจะมีความสงบร่มเย็น การปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันนี้ต้องได้เก็บความรู้สึก ต้องเป็นผู้อดทน คือกิเลสมันดันออกมา อยากพูดอยากจาอยากดุอยากด่าเขา นั่นกิเลสมันดันออกมา ให้เก็บความรู้สึกไว้ อย่าพูด สงบปากปิดปาก สิ่งไม่ควรพูดอย่าพูด สิ่งที่เป็นภัยออกจากปากเป็นภัยทันที สิ่งที่เป็นคุณออกจากปากเป็นคุณเป็นธรรมทันที รักษาตัวเองรักษาอย่างนี้ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ทุกคนๆ หัวใจมีด้วยกันหวังพึ่งตัวเอง หวังพึ่งเราผู้บำเพ็ญด้วยกันนั้นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ"

    ธรรมโอวาท
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  6. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]


    พลังจิตของคนเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นสิ่งสำคัญมาก
    คนที่มีพลังเมตตาสูง จะเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูด
    ให้ผู้อื่นรักใคร่ นิยมนับถือ ใครเข้าใกล้ก็อดรักไม่ได้

    ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า
    เราปลูกฝังเมตตาให้เกิดขึ้นในใจ
    ไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อให้ผู้อื่นรักเรา
    แต่เพื่อให้เรามีจิตซึ่งเปี่ยมด้วยความหวังดีต่อผู้อื่น
    เพื่อให้จิตมีธรรมอันประเสริฐเป็นที่อาศัยอยู่

    ส่วนความรักที่ผู้อื่นจะพึงมีต่อเรานั้น
    ถือเป็นผลพลอยได้หรือเป็นผลอันเกิดขึ้นเองโดยธรรมดา
    เปรียบเหมือนดอกมะลิบานแล้วหอมเอง
    ซึ่งเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น
    ใครได้เข้าใกล้ก็ชื่นใจชุ่มเย็น เขาจึงรักดอกมะลิ
    ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกัน

    อ.วศิน อินทสระ
     
  7. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ( คำสั่งสอนของสมเด็จองค์ปฐม)

    จงอย่าไปรับไฟของคนอื่นมาใส่ใจตน การทำงานในพระพุทธศาสนานี้

    - ขอให้มั่นใจในพุทโธ อัปมาโณ ธัมโม อัปมาโณ สังโฆ อัปมาโณ แต่ในขณะเดียวกัน

    - จงเห็นเป็นปกติธรรมไม่มีใครสามารถให้คนทั้งโลกรักได้ ทุกคนย่อมมีทั้งคนรักและคนชัง

    - โลกเป็นปกติธรรมอยู่อย่างนี้ พระตถาคตเจ้าทุกพระองค์ก็ถูกโลกธรรมเล่นงานมาแล้ว

    - ทุกพระองค์เหมือนกันหมด ห้ามโลกไม่ให้เป็นไปอย่างนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้

    - พระตถาคตเจ้าจึงห้ามใจตนเองไม่ให้ไปหมกมุ่นอยู่กับโลก ด้วยจิตใจที่ปราศจากกิเลส.

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จองค์ปฐม น้อมกราบพระองค์ด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ...
     
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    ...ท่านให้ตัดความหลง...

    ...เพื่อหาความจริงของขันธ์ ๕ ตามที่กล่าวมาแล้วว่า...

    ...ร่างกายก็ดี ทรัพย์สินก็ดี มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา...

    ...ตายแล้วก็แบกไปไม่ได้ แต่ว่าจะต้องมี...

    ...เมื่อมีอยู่ก็ไม่มีจิตเยื่อใยจนเกินไป รักษาไว้เพื่อให้ประคองกายเท่านั้น...

    ...ถือว่าเราเกิดมาต้องมีทรัพย์เมื่อตายแล้วทรัพย์จะไปไหนก็ช่างมัน...

    ...เราไม่มีความห่วงใยเพราะถือว่าไม่ใช่หน้าที่ที่เราจะปกครองรักษา เมื่อเรา

    ตายไปแล้วถ้าใคร่ครวญแบบนี้แล้ว จิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทผ่องแผ้ว

    ...จะกลายความโกรธเสียได้ ดีไม่ดีไม่เกินเลย ไปพระนิพพานเเลย...

    ...น้อมกราบพระธรรมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ด้วยเศียรเก้ลา และน้อมกราบท่านพ่อฤาษีลิงดำเจ้าค่ะกราบๆๆๆ

    ...คัดจากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๐๒ ขออนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2014
  10. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]


    ภาวนามยปัญญา จะเกิดผลออกมาเป็นปฏิเวธ จะเป็นจุดที่สิ้นสุดของผู้ปฏิบัติธรรมในวาระสุดท้าย ถึงจุดนั้นจะมีอะไรเป็นพิเศษเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติอย่างสนิทใจ อุบายการปฏิบัติจะมีความเผ็ดร้อนเข้มข้นอย่างสุดตัวทีเดียว จึงเรียกว่า วิปัสสนาญาณ เป็นวิธีตัดสินชี้ขาดในระหว่างโลกกับวิสุทธิธรรมจะแยกทางกัน ผลที่ออกมาเป็นปฏิเวธนี้จะไม่มีสามภพปะปนกันอยู่เลย จะเป็นความบริสุทธิ์ในธรรมล้วน ๆ คำว่า ภาวนามยปัญญา ก็หมายถึงการเจริญในวิปัสสนาญาณนั้นเอง วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ได้เกิดขึ้นจากสมาธิความสงบที่หลายคนมีความเข้าใจกัน ฐานของวิปัสสนาญาณจะต้องเริ่มจาก สุตมยปัญญา เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ ปัญญาความเห็นชอบในภาคการศึกษา จะต้องศึกษาให้รู้หมวดธรรมที่เป็นปริยัติให้เข้าใจ ธรรมหมวดไหนอยู่ในขั้นกามาวจร ธรรมหมวดไหนอยู่ในขั้นโยคาวจร ศึกษาในวิธีการปฏิบัติให้ถูกกับหมวดธรรมนั้น ๆ ให้ถูกต้อง แล้วนำมาปฏิบัติระดับขึ้น จินตามยปัญญา เพื่อเป็นอุบายในการเจริญวิปัสสนาต่อไป เมื่อปฏิบัติให้เป็นไปในวิปัสสนา เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ ปัญญาความเห็นชอบ เกิดความรู้เห็นในสัจธรรมความเป็นจริง มีความละเอียดมากขึ้น จะมีความสมบูรณ์ในการเจริญในวิปัสสนาอย่างเต็มที่ จากนั้น ก็จะเชื่อมโยงขึ้นสู่ใน ภาวนามยปัญญา หรือเรียกอีกคำหนึ่งว่า วิปัสสนาญาณ ผลก็จะออกมาเป็นปฏิเวธ เรียกว่า มรรคผลนิพพานนั่นเอง นี้เพียงเรียบเรียงการเกิดขึ้นของปัญญา มิใช่ว่าปัญญาเกิดขึ้นจากสมาธิแต่อย่างใด สมาธิเป็นเพียงอุบายเสริมให้แก่ปัญญา ได้พิจารณาในสัจธรรมนั้น ๆ ให้เกิดความรู้เห็นชัดเจนมากขึ้น จนถึงในระดับขั้นวิปัสสนาญาณ การทำสมาธิก็ทำเพื่อให้เป็นพลังหนุนให้แก่วิปัสสนาญาณ จึงเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงอย่างทั่วถึง ไม่มีสิ่งใดในสามภพจะปิดบังในวิปัสสนาญาณนี้ได้เลย นตถิโลเก รโหนาม ความลับที่ซ่อนเร้นปิดบังให้เกิดความหลงอีกต่อไปไม่มี กิเลสตัณหาน้อยใหญ่ในขั้นละเอียดขนาดไหน วิปัสสนาญาณก็ได้ชำระล้างให้หมดไปจากใจให้หมดสิ้น

    วิปัสสนาญาณ ที่จะเกิดขึ้นนั้น ไม่มีกาลเวลารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร จะมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น บารมีที่พร้อมแล้ว และอินทรีย์ที่แก้กล้า สติปัญญามีความสมบูรณ์ ภพชาติจะสิ้นสุดลงเป็นครั้งสุดท้าย วิมุติก็จะได้หลุดพ้นจากภพทั้งสาม มรรคผลนิพพานก็จะเริ่มปรากฏ ความบริสุทธิ์ในธรรมได้รวมเป็น มัคคสมังคี ไม่มีความย่อหย่อนบกพร่องแต่อย่างใด ความพร้อมทุกอย่างนี้เองจึงเป็นกำลังใหญ่ จะทำให้เกิดความสิ้นสุดแห่งทุกข์นี้ไปในขณะนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้เดินทางไปธุดงควิเวกอยู่ในที่ไหนก็ดี เมื่ออารมณ์ของวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นในช่วงนั้น ให้หยุดพักเพื่อการเจริญในวิปัสสนาญาณ เมื่อทำกิจเสร็จแล้วจึงเดินทางต่อไป วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้น จะมีเหตุให้เกิดขึ้นต่างกัน บางท่านก็เห็นฟองน้ำ บางท่านก็เห็นพยับแดด บางท่านก็เห็นดอกบัว บางท่านก็เห็นคนแก่ คนเจ็บป่วย หรือคนตาย อุบายที่จะให้เกิดวิปัสสนาญาณนั้นมีมาก เหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้าง ขึ้นอยู่กับบารมีที่บำเพ็ญมาไม่เหมือนกัน เมื่อนิสัยใครตรงกับอารมณ์ของวิปัสสนาญาณใด ก็จะเกิดความรู้สึกได้ว่า ปัญญาญาณเราเกิดขึ้นแล้ว จะรู้ชัดว่า ปัญญาเราได้เกิดขึ้นแล้ว จากนี้ไปปัญญาก็จะหมุนตัวเป็นอัตโนมัติ น้อมใจไปพิจารณาในเรื่องขันธ์ห้า ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า รูปไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่รูป รูปไม่มีในตน ตนไม่มีในรูป เวทนาไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่มีในตน ตนไม่มีในเวทนา สัญญาไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่สัญญา สัญญาไม่มีในตน ตนไม่มีในสัญญา สังขารไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่สังขาร สังขารไม่มีในตน ตนไม่มีในสังขาร วิญญาณไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณไม่มีในตน ตนไม่มีในวิญญาณ

    ขันธ์ห้าเป็นเพียงสภาวธรรมที่เป็นกลาง ไม่อยู่ในอำนาจกับสิ่งใด ๆ กิเลสที่มีความเห็นผิดคิดว่าขันธ์ห้าเป็นตนต่างหาก จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่นอย่างจริงจังตลอดมา กิเลสจึงพาให้ใจเกิดความเห็นผิดจึงได้เกิดความทุกข์ จึงใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้นทั้งหมด เรื่องความเป็นมาในขันธ์ห้าในชาติอดีต ความเป็นอยู่ในขันธ์ห้าชาติปัจจุบัน และความเป็นไปในขันธ์ห้าชาติอนาคต ให้รู้จักเหตุและปัจจัยที่ขันธ์ห้าตัวหมุนเวียนไปมาในภพทั้งสาม นั้นคือ ตัณหา เป็นต้นเหตุ ทำให้กิเลสน้อยใหญ่ได้เป็นไปในความรักความชอบ คำว่าตัณหา ทุกคนได้อ่านรู้ในตำรามาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ทำให้ใจมีความรู้สึกอะไร เมื่อวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ตัณหา ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะเป็นกำลังใหญ่ที่พาให้ใจหมุนตามวัฏสงสาร หมุนไปในอบายภูมิ หมุนมาเป็นมนุษย์ หมุนไปสวรรค์ หมุนไปพรหมโลก หมุนเวียนไปมาตามตัณหาไม่มีที่จบสิ้น ตัวตัณหานี้เอง จึงเป็นเหตุให้ได้ทำกรรมต่าง ๆ กรรมดีบ้างไม่ดีบ้าง บาปบ้างบุญบ้าง เหตุเกิดจากตัณหาทั้งนั้น

    แม้พระบรมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในบุญบารมี ก็ยังตกอยู่ในอำนาจของตัณหานี้เช่นกัน จะมีบุญมากบุญน้อยบาปมากบาปน้อยไม่สำคัญ ตัณหาจะเป็นกงจักรใหญ่พาให้หมุนไปในภพทั้งสามนี้ทั้งนั้น หรือผู้ทำสมาธิความสงบบำเพ็ญอยู่ในฌาน เมื่อตายก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก หากฌานเสื่อมก็ได้ลงมาเกิดในภพอื่นต่อไป เว้นเสียแต่พรหมของพระอนาคามีเท่านั้น การเจริญในวิปัสสนา เหมือนกับตัดกิ่งก้านสาขาและลำต้นทิ้งไป หรือเหมือนตัดเล่าเครือตูดหมู (ต้นกระพังโหม) ทิ้งไปเท่านั้น การเจริญในวิปัสสนาญาณ เหมือนกับขุดรากถอนโคนเง่าหัวทิ้งไปให้สิ้นซาก เป็นวิธีทำลายเหตุในการเกิดของภพทั้งสามให้หมดสภาพไป วิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อไร ผู้นั้นจะได้บรรลุมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่งในไม่ช้านี้ จะได้บรรลุธรรมขั้นไหนจะขึ้นอยู่กับบารมีของท่านผู้นั้นในช่วงวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นนี้ ความรู้เห็นในสัจธรรมใดในสามภพที่จะเกิดความแยบคาย และหายสงสัยไปเสียทั้งหมด ความยึดมั่นถือมั่นเป็นความหลงผิดในสิ่งใด จะหลุดถอนออกจากใจทั้งสิ้น เชื้อของภพชาติใด ๆ ที่จะทำให้เกิดอีกต่อไป วิปัสสนาญาณจะประหารให้หมดไปในขณะนี้ แม้แต่บุญกุศลบารมีที่เป็นกำลังที่สำคัญ เป็นตัวสนับสนุนให้การปฏิบัติมาถึงจุดนี้เพียงเป็นกำลังส่งให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เท่านั้น จะติดตามต่อไปไม่ได้เลย การเป็นไปในลักษณะนี้จึงเรียกว่า นิโรธ ความรู้แจ้งในสามภพไม่มีอะไรปิดบังนั้นเอง

    นิโรธ ความดับทุกข์ ก็คือดับตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ภายในใจ ถ้าดับได้จริงก็ไม่จำเป็นจะไปเล่าให้ใคร ๆ ได้รับรู้ และไม่จำเป็นที่จะไปรับคำพยากรณ์จากใคร ๆ จะเป็นในสมัยครั้งพุทธกาลหรือยุคปัจจุบัน ความเป็นพระอรหันต์ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสมัย เหมือนกับน้ำตาลจะมีรสหวานอยู่ในตัวมันเอง ในสมัยครั้งพุทธกาลและยุคปัจจุบัน รสชาติของน้ำตาลก็มีรสหวานเหมือนกันไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี้ฉันใด พระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลกับพระอรหันต์ในยุคปัจจุบัน ก็ละกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้เท่ากัน นิพพานความดับอันสนิทของเชื้อของกิเลสตัณหาก็ดับได้เหมือนกัน ส่วนพระอรหันต์ในยุคนี้ ไม่มีเปอร์เซ็นต์ที่จะนับได้ เพราะมีน้อยไป อีกประการหนึ่ง สังคมส่วนใหญ่ได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ในยุคนี้หมดยุคสมัยของพระอรหันต์ไปแล้ว ในเมื่อสังคมลงมติกันอย่างนี้ ถึงจะมีพระอรหันต์อยู่ สังคมส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อว่ามีอยู่นั่นเอง ฉะนั้น นิโรธความดับทุกข์ เป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาจะรู้ตามได้ ถึงจะวิจัยวิเคราะห์วิจารณ์อย่างไรก็ไม่รู้จริงอยู่นั่นเอง หรือผู้มีนิโรธดับทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน ท่านเหล่านั้นก็จะไม่ถามกันในเรื่องนี้ เพราะเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตัว จะนำมาบรรยายให้ผู้อื่นรู้ตามไม่ได้เลย ในทางที่ดีให้ปฏิบัติเข้าถึงจุดที่ดับทุกข์ได้ก่อน จึงจะให้คำตอบแก่ตัวเองได้ ไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับสลับซับซ้อนอะไร ธรรมใดที่เหลือวิสัยแก่กุลบุตรปฏิบัติตามและรู้เห็นไม่ได้ ธรรมนั้นพระพุทธเจ้าไม่ทรงเอามาตรัสไว้ ธรรมใดที่กุลบุตรปฏิบัติแล้วรู้เห็นตามได้ ธรรมนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้นำมาตรัสสอนให้ผู้ปฏิบัติได้รู้จริงเห็นจริงต่อไป นิโรธความดับทุกข์ จะเริ่มการดับจากวิญญาณการรับรู้เป็นจุดแรก วิญญาณดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รูปขันธ์นามขันธ์ก็ดับไปด้วยกัน ไม่มีขันธ์ใดสัมผัสรับรู้ในสิ่งใดได้เลย วิญญาณดับจากการรู้ในเวทนา วิญญาณดับจากการรับรู้ในอารมณ์แห่งความสุข วิญญาณดับจากการรับรู้อารมณ์แห่งความทุกข์ วิญญาณดับจากการรับรู้อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่า ดับในเวทนา วิญญาณดับจากสัญญาไม่มีการรับรู้ในความจำ ในรูปขันธ์นามขันธ์แต่อย่างใด แม้แต่อายตนะภายนอก มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่มาสัมผัส ก็ไม่มีวิญญาณการรับรู้ในความจำแต่อย่างใด วิญญาณดับจากสังขาร ไม่มีการรับรู้ในความคิดปรุงแต่งในเรื่องอะไร เพราะวิญญาณได้ดับจากสังขารไปแล้ว จะคิดปรุงแต่งในสมมติอะไรไม่ได้เลย เรียกว่าดับในสังขาร วิญญาณดับจากการรับรู้ในรูปขันธ์ ก็เป็นในลักษณะอย่างเดียวกัน วิญญาณการรับรู้ได้ดับไปในทางตา ถึงจะมีตาก็ไม่รับรู้ในรูปอะไรได้ วิญญาณการรับรู้ได้ดับไปในทางหู ถึงจะมีหูก็ไม่รับรู้ในเสียงอะไรได้ วิญญาณการรับรู้ได้ดับไปในทางจมูก ถึงจะมีจมูกก็ไม่รับรู้ในกลิ่นที่หอมเหม็นอะไรได้ วิญญาณการรับรู้ได้ดับไปในทางลิ้น ถึงมีลิ้นก็ไม่รับรู้ในรสชาติของอาหารอะไรได้ จะไม่รู้จักรสคาวหวาน ไม่รู้จักรสเผ็ด เปรี้ยว เค็ม แต่อย่างใด วิญญาณการรับรู้ได้ดับไปในทางกาย ถึงจะมีรูปกายก็ไม่รับรู้ในการสัมผัสในสิ่งที่อ่อนแข็ง ไม่รับรู้ในการสัมผัสร้อนหนาวแต่อย่างไร ร่างกายอยู่ในอิริยาบถใดก็จะอยู่ในอิริยาบถนั้น แม้แต่เปลือกตาก็ไม่รับรู้ที่จะกะพริบอยู่นั่นเอง วิญญาณการรับรู้ได้ดับไปในทางใจ ถึงจะมีใจก็ไม่มีความรับรู้ในสิ่งใด ๆ รู้ก็สักว่ารู้เท่านั้น รู้ไม่มีความหมายในสิ่งใด ๆ และไม่มีความหมายว่ารู้อะไร จึงเรียกว่าขันธ์ห้าไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่ขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่มีในตน ตนไม่มีในขันธ์ห้า ก็เป็นลักษณะอย่างนี้ กายก็สักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จิตก็สักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ก็เป็นในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

    เมื่อเกิดในอาการที่ดับไปในลักษณะนี้อยู่ได้ไม่นานนัก ก็จะคอยคลายจากการดับออกมา วิญญาณการรับรู้ก็จะเริ่มรู้ขึ้นมาได้ จากนั้น ก็จะอยู่ในความสงบที่แนบแน่นแน่วแน่อีกต่อไป จะอยู่ในความสงบนี้ไม่นาน ก็จะถอนตัวออกจากความสงบนี้นิดหนึ่ง จากนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างไม่เคยรู้มาก่อน เป็นความรู้ขึ้นมาว่าจะเกิดในโลกนี้ครั้งสุดท้าย นั้นเรียกว่า อาสวักขยญาณ มีญาณรู้ว่า อาสวะจะสิ้นไปในขณะนี้นี่เอง จากนั้น ก็จะเกิดความกล้าหาญขึ้นมา ในความรู้สึกเหมือนจะกระทืบภูเขาให้เรียบราบไปในชั่วพริบตา เหมือนจะทำลายอะไรได้ทุกอย่างในโลกนี้ ในความรู้สึกเหมือนจะนั่งสมาธิในอิริยาบถเดียวนานเป็นชั่วโมงเหมือนจะได้นั่งหนึ่งนาที จะนั่งสมาธินานเป็นปีก็เหมือนจะได้นั่งหนึ่งชั่วโมง ความกล้าหาญนี้จะเกิดขึ้นที่ใจอย่างเต็มที่ ในชั่วจริมกจิตเดียวก็รู้ในลักษณะหลุดพ้น ตั๊บเดียวในชั่วพริบตา ก็รู้ว่า วิมุตตสมํ วิมุตตมิติ ญาณํ โหติ มีความหลุดพ้นแล้วในขณะใด ญาณก็รู้ว่าได้หลุดพ้นแล้วก็มีในขณะนั้น ขีณา ชาติ เป็นพระขีณาสพที่สมบูรณ์อย่างเต็มภูมิ รู้ว่าชาติแห่งความเกิดอีกต่อไปได้สิ้นสุดลงแล้ว วุสิตํ พรหมจริยํ พรหมจรรย์อันความบริสุทธิ์ในวิมุตินิพพานได้อยู่จบแล้ว กตํ กรณียํ กิจอื่นที่จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีกไม่มี หมายความว่า กิจที่จะหาอุบายธรรมมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดความหลุดพ้นอีกไม่มีนั่นเอง ในช่วงอาสวักขยญาณเกิดขึ้น รู้ว่าอาสวะจะสิ้นไป จะไม่มีวิธีในการภาวนาปฏิบัติอะไร ในขณะนั้นจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็จะหลุดพ้นในอิริยาบถนั้น หรือผู้อยู่ในครึ่งนั่งครึ่งนอนเหมือนพระอานนท์ก็หลุดพ้นได้เลย ผู้ได้บรรลุธรรมในระดับนี้ จะรู้วันเดือนปีและเวลาได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าใครจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ถึงจะมีตำราบอกว่าหมดยุคหมดสมัยของพระอรหันต์แล้วก็ตาม ตำราก็คือตำรา พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ ความจริงก็คือความจริง ดังคำว่า อรหันต อสุญโลโก ตราบใดยังมีผู้ตั้งใจปฏิบัติให้เป็นไปในพระธรรมวินัยอยู่ ในตราบนั้นพระอรหันต์จะไม่ขาดจากโลกดังนี้

    อาสวักขยญาณ จะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้บรรลุเป็นพรอรหัตผลเท่านั้น อาสวักขยญาณที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้กิเลสตัณหาได้หมดไปแต่อย่างใด เพียงเป็นญาณที่รู้ว่าอาสวะจะสิ้นไปเท่านั้น ในตำราบอกว่า อาสวักขยญาณเป็นญาณที่ทำให้อาสวกิเลสได้สิ้นไป ข้าพเจ้าก็จะยืนคำเดิมว่า อาสวักขยญาณ เพียงเป็นญาณรู้ว่าอาสวะจะสิ้นไปเท่านั้น ไม่มีวิธีการทำอะไรและปฏิบัติอะไร เพราะวิธีการปฏิบัตินั้นได้ผ่านขั้นตอนมาจากการเจริญในวิปัสสนาและปฏิบัติในวิปัสสนาญาณมาแล้ว จึงได้เกิดในลักษณะอาการดับดังที่ได้อธิบายมา ก็ยังไม่ใช่เป็นวิธีปฏิบัติแต่อย่างใด เพียงเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติเท่านั้น แต่เป็นผลที่ยังไม่เปิดเผยอยู่ในขั้นอริยมรรคที่สมบูรณ์ เหมือนกับแกงอาหารที่สุกแล้ว ในหม้อนั้นมีเครื่องปรุงให้เกิดรสชาติที่อร่อยเป็นที่สุด ไม่มีความบกพร่องขาดเกินในรสชาติอะไร ไม่ต้องเพิ่มไม่ต้องลดในเครื่องปรุงอะไรอีกต่อไป ในขณะนี้อาหารอยู่ในหม้อพร้อมแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดฝาหม้อเอาอาหารออกมารับประทานเท่านั้น นี้ฉันใด การรวมศูนย์ใหญ่ในการสรุปผลงานได้ข้อยุติในอริยมรรคนี้แล้ว พร้อมที่จะประกาศผลออกมาเป็นทางการเท่านั้น การเปิดฝาหม้อออกมารู้ว่าอาหารสุกดีแล้ว และพร้อมที่จะรับประทานให้อิ่มได้ในขณะนี้ นี้ฉันใด อาสวักขยญาณเกิดขึ้นมีความรู้ว่า อาสวะจะสิ้นไปในขณะนี้ การรับประทานอิ่มจะรู้ในการอิ่มเพียงแป๊บเดียว เหมือนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะที่หลุดพ้นเพียงตั๊บเดียวเท่านั้น ฉะนั้น อาสวักขยญาณเกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องทำอะไรและปฏิบัติอะไรให้อาสวะสิ้นไปแต่อย่างใด ไม่ต้องไปจัดหาทำอาหารใหม่มาเพิ่มเติมอีก เพียงคอยความอิ่มที่จะเกิดขึ้นในขณะนี้ นี้ฉันใด อาสวักขยญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ก็จะได้บรรลุอรหัตผลก็เป็นในลักษณะฉันนั้น

    ผู้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว จะประกาศให้คนอื่นได้รับรู้ หรือไม่ประกาศ ก็ไม่ทำให้ภูมิธรรมนั้นเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงแต่อย่างใด จะพูดให้คนอื่นรู้ หรือไม่พูดก็มีความบริสุทธิ์เท่าเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภูมิธรรมนั้น ๆ ในสมัยครั้งพุทธกาลก็มีพระปิณโฑลภารทวาชชอบพูดให้พระองค์อื่นได้รู้ในการบรรลุธรรมของตัวเองอยู่เสมอ แม้พระพุทธเจ้าจะประทับในที่แห่งนั้นอยู่ก็ตาม ชอบพูดว่าท่านผู้ใดมีความสงสัยในหมวดธรรมอะไรให้ถามข้าพเจ้าได้ แต่ไม่ได้ประกาศให้ฆราวาสได้รู้ จนได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศในการบรรลือสีหนาทนั้นเอง ถ้าผู้เกิดความเข้าใจผิดว่าตัวเองได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็ไม่ถือว่าพูดอวดอุตริแต่อย่างใด ถ้าพูดไปด้วยความเจตนา ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่มีคุณธรรมอะไร นั้นเป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเห็นพระในขณะนั้นทันที การดูพระผู้เป็นพระอรหันต์ และการดูพระผู้ยังเป็นปุถุชนนั้นดูได้ยาก มีการเปรียบเทียบดังนี้ น้ำลึกเงาลึก และน้ำลึกเงาตื้น น้ำตื้นเงาลึก และน้ำตื้นเงาตื้น ดังที่จะอธิบายต่อไป

    ๑. น้ำลึก หมายถึง ใจที่มีคุณธรรม เงาลึก หมายถึงกิริยามรรยาทดี มีความสำรวมกายวาจาที่เรียบร้อยเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ได้พบเห็น เกิดความเคารพ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา
    ๒. น้ำลึก หมายถึง ใจที่มีคุณธรรม เงาตื้น หมายถึงกิริยามรรยาทการแสดงออกไม่ดี ไม่มีการสำรวมกายวาจา จะทำ จะพูดอะไร ก็ทำก็พูดตามใจตัวเอง จึงทำให้ผู้อื่นขาดความเคารพเชื่อถือ
    ๓. น้ำตื้น หมายถึง ใจยังไม่เกิดคุณธรรม เงาลึก หมายถึงผู้มีความสำรวมดี มีกิริยามรรยาทที่น่าเคารพเลื่อมใส ทำให้ผู้ได้พบเห็นเกิดความศรัทธา ความเชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม
    ๔. น้ำตื้น หมายถึง ใจไม่มีคุณธรรม เงาตื้น หมายถึง กิริยามรรยาทการแสดงออกไม่มีความสำรวม พูดทำในสิ่งใดไม่มีความระวัง แสดงความคะนองทางกายทางวาจาเป็นนิสัย

    ถ้าเห็นพระน้ำลึกเงาลึก และเห็นพระน้ำตื้นเงาลึกอยู่ในแห่งเดียวกัน ความประพฤติ กิริยามรรยาท การสำรวมกายวาจาเรียบร้อยดีด้วยกัน ก็ยากที่จะรู้ว่าองค์ใดเป็นปุถุชน และเป็นพระอรหันต์ จึงยากที่จะเดาถูก ถ้าเห็นพระองค์ที่น้ำลึกเงาตื้น และพระน้ำตื้นเงาตื้นอยู่ด้วยกัน การสำรวมกายวาจาไม่เรียบร้อย ก็ไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระอริยเจ้าและพระปุถุชนเช่นกัน แม้แต่พระอรหันต์ด้วยกัน ก็ยากที่จะรู้กันได้ พระอรหันต์จะรู้กันได้มี ๒ อย่าง
    ๑. มีญาณหยั่งรู้ได้
    ๒. สนทนาธรรมกันจะมีจุดสำคัญที่จะรู้

    ถ้าปุถุชนสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ จะเอาจุดสำคัญอะไรมาเป็นตัววัดไม่ได้เลย เป็นเพียงคาดการณ์สุ่มเดาเอาตามความเข้าใจไปเท่านั้น ในยุคนี้จึงมีพระอรหันต์ที่เกิดจากลูกศิษย์พยากรณ์ให้มากมาย


    Cr FB : Phu Bodin
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "คำสั่งสองของหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป"

    ...เราทำงานคนเดียวไม่ได้ แต่ละคน มีดี คนละอย่าง

    - ควรหันหน้าเข้าหากัน ทำงานด้วยกัน

    ...เอาส่วนรวม "เป็นหลัก"

    ...มิใช่เอาตน "เป็นใหญ่"

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป...

    - น้อมกราบหลวงปู่และน้อมกราบพระธรรมเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ...
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ธรรมประจำวัน หลวงพ่อชา)

    "หว่านข้าว"

    - นั่งดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกให้สบายอยู่อย่างนั้น อย่าให้มันหลง ถ้าหลงก็ให้หยุด

    - ดูว่ามันไปไหน มันจึงไม่ตามลม ให้หามันกลับมา ให้มันเล่นตามลมอยู่อย่างนั้นแหละ

    ...แล้วก็จะพบของดีอยู่สักวันหนึ่งหรอก ให้ทำอยู่อย่างนั้น...

    - ทำเหมือนกับว่าจะไม่ได้อะไร ไม่เกิดอะไร ไม่รู้ว่าว่าใครทำมา แต่ก็ทำอยู่เช่นนั้น

    ...เหมือนข้างอยู่ในฉาง แล้วเอาไปหว่านลงดินทำเหมือนจะทิ้งหว่านลงในดิน

    - ทั่วไปโดยไม่สนใจ มันกลับเกิดหน่อ เกิดกล้า เอาไปดำกลับได้กินข้าวเม่าขึ้นมา

    ...นั่นแหละเรื่องของมัน...คำสั่งสอนของหลวงพ่อชาน้อมรับพระธรรมเจ้าค่ะ...

    ...ที่ไปที่มาจากท่านพระอาจารย์jarin young กราบนมัสการและขอบพระคุณเจ้าค่ะ
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]
    ที่มา fb
     
  14. Maneetree

    Maneetree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +122
    จำโรย ระโหยร่าง
    สูญทาง แห่งอินทรีย์
    กายหยาบ ทลายหนี
    เกิด-มี ชีวีวาย
    ป่นปลง ลงตะกอน
    ดับก่อน นิวรณ์เฉย
    กอปร เหมือนดั่งเคย
    เริ่มเผย ภาวนา
    มรณา กา-ลากทึ้ง
    ฉุดดึง แตกสลาย
    โบยบิน ดุจพระพาย
    ลอยหาย มลายดวง
    นิ่งงัน บั่นกิเลส
    สุดเขต อหิงสา
    ร้อยเรียน เพียรธรรมา
    สติทา ทาบอารมณ์
    เบานิ่ม ทุกหย่อมย่าน
    ปราการ นิพพานชม
    ชูไว้ ใต้โคดม
    ทบสม บารมี
    .....

    "ค ว า ม ต า ย ใ น ผู้ ที่ เ กิ ด ม า แ ล้ ว ย่ อ ม มี แ น่ น อ น"

    มณต.อุลตร้า (แม่พลอย)
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "โทษของความโกรธ"

    "ปัญหา" ความโกรธมีโทษอย่างไรบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ระงับ

    กำจัดเสีย ? พุทธดำรัสตอบ.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะอาบน้ำ

    ไล้ทา ตัดผม โกนนวด นุ่งผ้าขาวสะอาดแล้วก็ตาม...ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม....

    .....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะนอนบนบันลังก์อันลาด้วย

    ฝ้าขนสัตว์ ลาด้วยฝ้าขาวเนื้ออ่อน ลาดด้วยเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีผ้าคาด

    เพดาน มีหมอนหนุ่นศรีษะและหนุ่นเท้าแดงทั้งสองข้างก็ตาม ย่อมนอนเป็นทุกข์.....

    ...คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้วแม้จะถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็

    สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งเป็นประโยชน์ แม้จะถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์สำคัญว่าเราถือเอา

    สิ่งที่ไม่เป็นประโยชนฺ...ธรรมเหล่านี้อันคนผู้โกรธ...ถือเอาแล้ว ย่อมเป็นไปด้วยความ

    ฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกลื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาล.....

    .....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะมีโภคะที่ตนหามาได้โดยความ

    ขยันขันแข็ง สั่งสมด้วยกำลังแขนอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม

    พระราชาย่อมริบโภคะของคนขี้โกรธเข้าพระคลังหลวง...

    .....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้เขาจะมีมิตร อามาตย์ ญาติสาย

    โลหิต เหล่านั้นก็เว้นเสียห่างไกล...ประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นแล้ว

    เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรก....."

    ...พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านทรงสั่งสอนไว้ กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของพระ

    องค์ท่านเพื่อนำมาปฏิบัติตามน้อมกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยเศียรเก้ลากราบๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2014
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    ความทุกข์จากความรัก​


    หลวงตาม้าท่านสอนว่า ความทุกข์จากความรักนั้นมันเป็นพลังงานที่เสียเวลายาวนาน บางคนยึดมั่นในรัก ติดอยู่ในภพภูมิ เสียเวลายาวนาน กว่าจะได้เจอกัน และมารอกันอีก หากอีกคนแยกไปก็เกิดการฆ่ากันอีก เกิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีก หรือเรียกว่าทั้งรักทั้งแค้น ผูกกันไปอีก ยาวนาน นี่คือทุกข์ของความรักที่เจือปน ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง การอธิษฐานแก้ไขในกรรมประเภทนี้ หลวงตา ให้ใช้ กรรมฐาน การฝึกจิต สมาธิ ฝึกให้ขึ้นพรหม (อันมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะแก้ไขในเรื่องทุกข์ของความรักนี้ได้ เพราะว่าพรหมไม่มีเพศ จึงหมดเรื่องพวกนี้โดยปริยาย

    หลวงตากล่าวเน้นว่า "ความรักคือความปรารถนาดีกับทุกๆคน ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร นี่แหละความรักที่แท้จริง"

    หลวงตาม้า อธิบายว่า เจ้ากรรมนายเวรโดยตรงต่อเราในชาติปัจจุบัน ก็คือ คนที่รักเราหรือคนที่เรารักมากที่สุดนั่นแหละ ที่งี้เราไม่รู้หรอกว่าเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ที่ไหน หากอยู่เทวดาหรือพรหม เขาก็ไม่เอาเรื่องเราหรอก ถ้าติดอยู่ข้างล่างก็เหมือนติดคุก เขาก็เอาเรื่องเราไม่ได้ ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ที่โลกมนุษย์เรานั้นแหละ หากเราทำกรรมฐานอยู่ แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรเราเสมอ หากเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ในภูมิที่ลำบาก ถามว่าจะทำอันตรายเราใหม หลวงตาตอบว่าไม่ทำหรอก เพราะว่าเราเป็นตัวบุญอย่างดี ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่อันตรายที่สุดคืออยู่ในมนุษย์เรานั้นแหละ (ญาติ ลูก เมีย เรา รวมถึงเพื่อนรักเรา พี่น้อง เจ้านาย หรือคนที่เราไม่ชอบ นี่คือ เจ้ากรรมนายเวรเราในโลกมนุษย์ทั้งนั้น)

    การเวียนว่ายตายเกิด ในช่วงที่เกิดเป็นมนุษย์ จะมารับเศษกรรมในอดีต และมาทำเพิ่มใหม่ต่อไปทั้งดีและไม่ดี พอตายไปก็จะไปรับกรรมตอนที่ทำอยู่ในมนุษย์ ทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าเราฝึกจิต โดยการทำกรรมฐานไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้แล้วว่าเราจะเกิดหรือไม่เกิด หรือสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หลวงตาท่านสอนว่า “พวกเราตายแน่ๆ และเกิดแน่ๆ”


    จะเดิน.. นั่ง.. กิน.. แม้แต่ตอนนอน ภาวนาไว้ อย่าได้ขาด..
    ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก ทรงอารมณ์ดีดี
    อย่าให้กระแสไม่ดี เข้ามากระทบ...

    หากเรานึกในสิ่งดีๆ จิตจะเพิ่มแต่ในสิ่งที่ดีๆ
    อย่าจุดประกายในสิ่งที่ไม่ดี เพราะจิตจะเพิ่มในสิ่งที่ไม่ดี
    อย่ามัวนึกแต่กรรมเก่าในอดีต มันทำให้เราเศร้าหมอง

    การคิดถึงในสิ่งที่ไม่ดี นอกจากกรรมจะเข้าเราเร็ว
    ตามสิ่งที่เราคิดแล้ว ยังทำให้เราตายผ่อนส่ง
    คือตายเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย

    ทุกวันนี้เราฝึกไว้เพื่อเตรียมตัวตาย
    ถ้าไม่ฝึกไว้ เวลาตาย มันจะเคว้งไม่รู้จะไปไหน
    การฝึกสมาธิ ไม่เกี่ยวกับการนั่งนานหรือไม่นาน
    แต่เกี่ยวกับว่า ทำแล้วอารมณ์สบายๆใหม

    อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...
    ไม่มีใครไม่มีทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์
    เพียงแต่ว่าจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย

    ผู้ปฎิบัติธรรม ให้ดูที่จิต อารมณ์ดี จิตสบาย
    ไปไหนก็มีแต่คนรัก ทำอะไรก็มีแต่คนช่วยเหลือ
    ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เกินกำลัง

    การบันทึกบุญอยู่ที่อารมณ์ หากอารมณ์ดี
    ก็จะบันทึกบุญได้ตลอด หากอารมณ์ไม่ดี
    จะบันทึกบุญไม่ได้เลย...

    อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...

    ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    . . .​
    เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
    พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
    วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
    ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


    Cr..facebook.com/watputtaprompanyo
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
    กลอนธรรม ...ตามดูจิต...

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*


    พอคิดปุ๊ป ให้รู้ปั๊บ ในทันที
    ทั้งคิดดี คิดไม่ดี รู้ทันไว้
    คิดจะลวง คิดจะหลอก บอกอย่างไร
    คิดยินร้าย คิดยินดี รู้ให้ทัน

    รู้ทันคิด คิดก็จบ สงบนิ่ง
    เห็นความจริง คิดทั้งมวล ล้วนสังขาร
    หลงเชื่อนาย ช่างตัณหา มาช้านาน
    หลอกสร้างบ้าน หลอกสร้างภพ ทั้งเช้าเย็น

    ปล่อยวางคิด ไม่ติดใจ ไม่เชื่อถือ
    เพียรฝึกปรือ ภาวนา ว่างหลีกเร้น
    รู้เคลือนไหว ใจค้นพบ สงบเย็น
    ลืมตาเห็น เย็นนิพพาน ทุกกาลเวลา

    เมื่อไม่ถือ ความคิด ที่จิตเห็น
    จิตก็เย็น ว่างสงบ ภพดับหาย
    เมื่อถือคิด คิดก็พา จิตเที่ยวไป
    ทั้งภพน้อย ภพใหญ่ ไม่สร่างซา

    เมื่อไม่ถือ ความคิด ที่จิตรู้
    จิตก็อยู่ อย่างผู้รู้ ไม่ถือสา
    เมื่อถือคิด จิตก็ท่อง เที่ยวไปมา
    ทั้งโลกนี้ ทั้งโลกหน้า คิดพาวน

    เมื่อไม่ถือ ความคิด ที่จิตดู
    จิตก็อยู่ อย่างผู้รู้ ผู้หลุดพ้น
    ครั้นถือคิด จิตเห็นผิด คิดคือตน
    ทุกข์สับสน ต้องทนรอ แบกต่อไป

    ถืออดีต อดีตพาให้รันทด
    ถืออนาคต ไม่หยุดปรุง ยุ่งไม่หาย
    รู้อยู่กับ ปัจจุบัน พลันผ่อนคลาย
    ตายก่อนตาย หายสับสน กังวลใด

    ประพันธ์ โดย ...

    ปล่อยรู้

    Fb..Nat Natcha
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2014
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    พบพระพุทธศาสนาควรจะไปนิพพาน

    ถ้าหากเราเป็นมนุษย์มาพบพระพุทธศาสนา ยังมีความประมาทอยู่ว่าเราควรจะเกิดต่อไป ก็ชื่อว่าเราอยู่ในภาวะของอวิชชา คำว่า อวิชชา แปลว่า ความโง่ มีอารมณ์ไม่เข้าถึงความเป็นจริง ฉะนั้น ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงจงมีความภูมิใจว่า เวลานี้เราเกิดมาทันพระศาสนาขององค์พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่อริยมรรคอริยผลยังบริบูรณ์และสมบูรณ์ ฉะนั้น การทำตนให้เข้าถึงพระอริยมรรคอริยผล ความจริงเป็นของไม่ยาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวว่า บุคคลใดเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีจิตน้อมไปในกุศล แสดงว่าบุคคลนั้นมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมี
    คำว่า บารมีนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททราบชัดว่า แปลว่า กำ ลั ง ใ จ

    หนังสือคำสอน "ทางสายเอก"
    โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะ ขออนุโมทนาในธรรมทาน ที่ท่านได้นํามาลงด้วยค่ะ ท่านกล่าวถูกต้องเลย การสร้างบารมี นั้นไม่ใช่ใครๆจะทําได้ง่ายๆ เพราะถ้ากําลังใจไม่พอ ก็ทําไม่ได้ เพราะจิตที่คิด เป็นอกุศล คือ ความไม่รู้จริง คืออวิชชา เข้าแทรก ก็มาตัดทอน กําลังใจ ทําให้ก้าวไปไม่ได้ ไม่สําเร็จ

    เพราะฉะนั้น คนที่ทําตามพระพุทธเจ้า คือ พบพระศาสนา คือ พบแบบแก่นธรรม กําลังใจจะอยู่เหนือสิ่งใดๆ จะไม่ไหวหวั่นในการสร้างคุณงาม
    ความดี จะไม่ยึดติด ว่าพวกไหน หรือ กลุ่มไหน มาเป็นใหญ่ จะยึดถือ เอาความถูกต้องเป็นธรรม นําหน้าเสมอ ผู้ทําได้อย่างนี้ ขึ้นชื่อ"ว่าพบพระศาสนา พบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคําสั่งสอน เพราะการจะสร้างบารมีนั้นต้องข้าม โลกธรรม๘ ไปให้ได้ก่อน"

    ถ้ายังมีการเห็นแก่ หน้าตาหรือยังมีตัวตนอยู่นั้น จะทําการใดๆก็สําเร็จได้ยาก เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่มีคําว่า "ตัวตน" เพราะท่านเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว.. และลูกศิษย์ของท่าน ผู้ก้าวเดินติดตาม ถ้ายังมีคําว่า"ตัวตน"อยู่นั้น ก็ยาก เพราะคําตัวตนก็ต้องมีการยึดติด..อยู่นั้นเอง...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    การปฎิบัติธรรม

    บางท่านพูดกันไปใหญ่โตเลย คือต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้
    สำนักนั้นดี สำนักนี้ดีกว่า พูดไปตามจริตตนเอง
    แต่หารู้ไม่ การปฎิบัติมีตั้ง ๔๐ กองกรรมฐาน
    เผื่อผู้ปฎิบัติจะตามหาให้ถูกจริตตนนั้น มิใช่เรื่องง่าย

    แท้ที่จริงแล้ว หากรรมฐาน หาเพื่ออะไร ก็หาจุดคือหาสติตนให้พบเจอก่อน
    เพราะวัตถุประสงค์ของทุกกองกรรมฐานนั้น ก็คือ
    เพื่อเป็นอุบาย วิธีทำให้จิตใจพบกับความสงบภายในของตนเท่านั้นเอง

    บางท่านยังคงตามหาสถานที่ ตามหาสถานที่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถูกจริตของตนเอง
    นั่นก็แสดงว่า ยังหาที่ยึดไม่ได้ ใครพูดที่ไหนดีก็จะไปหมด บางท่านชอบเปลี่ยนสถานที่ก็มี
    ไม่อยากยึดในสถานที่หรือตัวบุคคลก็มี ก็มิได้ผิดแต่อย่างใด

    แต่สำหรับผู้ที่หาจุดของตนพบแล้ว ไปหรือไม่ไปสถานที่ปฎิบัติธรรม ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรแล้ว
    แต่ผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องพบสมถะหรือสมาธิจิตตนเองก่อน เป็นอย่างน้อยหรืออย่างต่ำ

    สรุปแล้ว ผู้ปฎิบัติธรรมใหม่ๆ จำเป็นจะต้องมีครูหรือผู้รู้ เรื่องการปฎิบัติเบื้องต้นเสียก่อน
    ครูจะได้วางกำลังใจเบื้องต้นให้ แต่ทั้งครู ทั้งศิษย์จะต้องไม่มีใครยึดใคร
    แต่ศิษย์ก็ต้องรู้บุญคุณ แต่ถ้าไม่รู้บุญคุณ การปฎิบัติของเราก็ไปไม่ถึงไหน เพราะจิตไปติดตรงนั่นเอง
    แต่ครูจริงๆแล้ว ท่านมิได้ไปคาดหวังอะไรกับศิษย์ของตนเองหรอก แค่อยากช่วยให้พวกเราพ้นทุกข์เท่านั้นเอง
    เพราะการปฎิบัติธรรม หรือเดินมรรคนั้น จิตจะต้องไม่ไปติดค้างอยู่กับสิ่งใดๆ
    ครูหรือผู้รู้ ท่านจะรู้ว่าศิษย์ของตนนั้น ติดอะไร เดี๋ยวท่านจะช่วยตามแก้ ตามแกะให้เอง
    ถ้าวาระกรรมของผู้นั้นมาถึงด้วยนะ ครูมิใช่เทวดา จะช่วยได้ทุกเรื่องไป
    แต่หลักใหญ่ใจความมันก็อยู่ที่ตัวของผู้ปฎิบัติเองด้วย
    โดยเฉพาะให้ผู้ปฎิบัติวางความสงสัยของตนไว้ชั่วคราวก่อน ถามได้ แต่ต้องเป็นหลังปฎิบัติไปแล้ว
    กล่าวคือ ปฎิบัตินำความสงสัย ผู้ปฎิบัติใหม่ย่อมจะมีความสงสัยเป็นธรรมดา
    จิตที่มิได้ฝึกฝน จึงเปรียบเสมือนเด็กน้อย ย่อมจะมีคำถามตามมามากมาย เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่เมื่อไหร่ เรามีสติปัญญาเป็นของตนเองแล้ว ความลังเล ความสงสัยย่อมหดหายจางคลายลงไปทีละน้อยๆเอง

    โชคดีมากเลย สำหรับผู้มาปฎิบัติ เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นผู้ที่มีสติ มีปัญญาแล้ว
    แต่ส่วนใหญ่มักขาดความต่อเนื่องเท่านั้นเอง เพราะจิตยิ่งสูงเราก็ยิ่งต้องเร่งตัวปัญญาอย่างต่อเนื่อง
    จนกว่าเราจะเกิดปัญญาญาณเข้าสักวัน แต่ถ้าใครไม่เร่ง จิตก็ขึ้นสูงกว่านี้ไม่ได้
    เราก็รู้แค่นั้น ปล่อยวางได้แค่นั้นเอง ยังปล่อยวางไม่หมดซะทีเดียว
    พูดถึงทุกข์ก็น้อยเหลือเกิน แต่ก็ยังรู้สึกนะว่า เรายังไม่พ้นทุกข์ซะทีเดียว
    เพราะเรายังละนามหรือกิเลสอันละเอียดของตนยังไม่ได้หมด นั่นเอง
    โดยเฉพาะ สังขารขันธ์คือคิดปรุงแต่งจิตตนเองนั้น และวิญญาณขันธ์คือจิตคือตัวรับรู้(สุขหรือทุกข์) เป็นต้น
    เราจะไปอาศัยแค่สติปัญญาของตนนั้น มันไม่เพียงพอ อาจพอแต่ต้องใช้เวลานาน เกรงว่าเราจะหมดอายุขัยกันเสียก่อน
    รีบทำสมาธิจิตให้เข้ม เช่น ทรงเอกัคคตารมณ์เป็นต้น แล้วน้อมจิตรับพลังพระพุทธคุณเข้ามา
    ในขณะที่จิตกำลังทรงเอกัคคตารมณ์นี้

    ถ้าบุคคลใดสามารถรับพลังที่กล่าวมานี้ การปล่อยวางเมื่อก่อนที่ว่ายากๆ ก็จะง่ายขึ้นไปตามลำดับเอง
    จริงๆแล้วผู้ปฎิบัติทำแค่คอยสร้างสติ สร้างปัญญาให้กับจิตเราเท่านั้น
    เพราะนอกนั้น เช่น การปล่อยวาง เป็นหน้าที่ของจิตปัญญาหรือปัญญาญาณ โดยตรง
    ในขณะที่จิตเราทรงเอกัคคตารมณ์ พึงคอยระวังสติเราจะไปชี้นำจิต อย่ากระทำเด็ดขาด
    เพราะถึงตอนนั้น ไม่มีครูหรือพระในจิตมาคอยสอนหรือเตือนเราเลย จะเสียหายมาก
    เพราะปัญญาที่จะมาช่วยจิตปล่อยวางนั้น ปัญญาต้องมาจากภาวนา คืออาศัยความนิ่งของจิตเป็นหลัก
    เราหรือสติ อย่าไปชี้นำเด็ดขาด ถ้าจิตไม่ทำวิปัสสนา ก็ปล่อยเขา เราหรือสติเราก็แค่ตามดูเฉยๆด้วยใจเป็นกลาง
    ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด ขอจบเรื่องเกล็ดธรรมเล็กๆน้อยๆแต่เพียงเท่านี้ก่อน

    โมทนาสาธุ ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม อย่าให้จิตต้องไปติดค้างกับสิ่งใดๆเลย สาธุ


    ภูทยานฌาน

    Cr..Fb Phu bodin
     

แชร์หน้านี้

Loading...