จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ความดี ความเลว

    ต้องแก้ที่ตน
    มิใช่ ไปแก้คนอื่น

    อย่าไปคิดแก้ไขคนอื่น หรือ พยายามแก้ไขคนอื่น
    เพราะมันเป็นไปไม่ได้
    แม้นกระทั่ง จิตอยู่ที่เราแท้ๆ ก็ยังแก้ยากเลย
    นับประสาอะไรกับจิตของผู้อื่นเขา

    เพราะฉะนั้น คำว่า ไม่สนใจในจริยาผู้อื่น
    ตามคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯนั้น จึงถูกต้องที่สุดแล้ว
    เราควรน้อมจิตรับมาปฎิบัติตามให้ได้ผลกัน ต่อไปฯ

    โดยเฉพาะ ถ้าใครคิดว่าเป็นลูกศิษย์ หรือลูกหลานของหลวงพ่อฯ
    ยิ่งต้องน้อมจิตรับมาปฎิบัติทันทีทันใด มิต้องรอ
    มิมี คำว่า วิจิกิจฉา ใดๆทั้งสิ้น

    คนเราจะดี หรือจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีได้นั้น ต้องเจริญกรรมฐานเท่านั้น
    เพราะกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองที่พระพุทธเจ้าให้พวกเรานำมาปฎิบัติกันนั้น
    จุดมุ่งหมายของการเจริญกรรมฐาน ก็คือ เพื่อทำจิตใจของตนนิ่งและสงบ
    อานิสงฆ์แรกสุดของกรรมฐาน ก็คือ พบความสงบสุขภายในตนเอง

    ทำไม กรรมฐาน หรือ ทำไม การเจริญสติภาวนา ทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี
    ก็เพราะเหตุที่ว่า คำว่าเจริญสติภาวนา แปลตรงตัวว่า ทำหรือสร้างสติให้มากยิ่งๆขึ้นกว่านี้
    เพราะถ้าเรายิ่งสร้างสติของเรามากยิ่งๆขึ้นไปนี้ ก็ยิ่งทำให้เรามีความระลึกรู้ตัวมากขึ้น
    มีวามรู้สึกตัวมากยิ่งขึ้นไปอีก
    เพราะคุณสมบัติเด่นของสตินั้น ก็คือ เป็นตัวแยกแยะผิดถูก ดีชั่วของคนเรา
    สติเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ถือว่าเป็นฝ่ายดี ส่วนกิเลสก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกับสติ
    แต่กิเลสจะเป็นฝ่ายมาร หรือไม่ดี คือจะเป็นภัยมหันต์มากกว่าดีนั่นเอง
    เมื่อคำว่า เจริญสติภาวนา จึงแปลว่า เราจะมีทั้งสติและก็จิตรวมกัน
    เกือบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่การรวมกับจิตระดับนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน
    อาจจะเป็น แต่ก็ไม่นาน เพราะไม่แนบสนิทเท่ากับ คำว่า เอกัคคตารมณ์
    ที่เหล่าพระอริยเจ้าหรืออริยบุคคล พึงสำรวมกันอยู่ในทุกขณะจิต
    นั่นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา จนเป็นปรกตินิสสนัยไปแล้ว
    อารมณ์จิตหรือสมาธิอันเข้มข้นหรือเอกัคคตารมณ์เกิดขึ้นจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น จงอย่าไปสนใจในจริยาของผู้อื่นเขา ถ้าคิดว่าจะเอาดีในทาง มรรคผล
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า นิพพานด้วยแล้ว จักต้องไม่มี ไม่เกิดภายในจิตสักนิดเดียวเลย
    นอกจากเราจะเป็นผู้ที่ทั้งสติทั้งปัญญาแล้ว รู้จักคำว่าผิดถูกหมดแล้ว
    ยิ่งคำว่า ศีล แทบไม่ต้องพูดถึงระดับจิตละเอียดนี้แล้ว ถ้าศีลใครหย่อนคนนั้นต้องแก้ไขเอง
    เพราะคำว่าภาวนาหรือมรรคผลก็จะตกทันตาเห้น เพราะจิตไม่บริสุทธิ์ของตนนั่นเอง
    การภาวนา จิตตนก้ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร เพราะเหตุใด
    จิตบุญหรือผู้เจริญทั้งหลาย จงแลจิตตน จงทบทวนมรรคผลตนให้ดี
    ดูกำลังใจแห่งเป็นสำคัญ กำลังใจตนตกเพราะเหตุใดหน๋อ จิตตกเพราะเหตุใดหน๋อ
    เผลอสติหรือเผลอกายเผลอใจ เพราะเหตุใดหน๋อ ให้ผู้ปฎิบัติตามแก้ไขภายในจิตตนเอง
    อย่าไปแก้ไขนอกจิตตน เพราะมันผิดวิธีของนักภาวนา หรือนักปฎิบัติธรรมที่ดี

    ส่วนข้าฯเองก็จะค้นหาความเลวภายในกาย ภายในจิตใจของตนเช่นเดียวกัน
    ตราบใดข้าฯยังครองขันธ์๕ ถือว่ายังสกปรก ยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่อรหันต์

    ปล. คริสต์มาส หรือปีใหม่นี้ ข้าฯไม่มีสิ่งใดตอบแทนพวกเรา
    นอกจากธรรมทาน หรือบุญกุศล ที่ข้าฯพึงกระทำมาทุกภพ ทุกชาติ
    ขอยกแต่สิ่งที่ดีๆให้แก่กันและกัน
    ขอทุกคนพบเจอแต่คนดี หรือกัลยาณมิตร คือมิตรแท้ เพื่อนแท้ เพื่อนตาย
    เพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างจริงใจ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใดๆ
    เป็นมิตรที่หวังดี มีแต่สิ่งดีๆให้กันด้วยความจริงใจ เป็นต้น
    ขอให้ทุกคนจงพบแต่ความสุขกายสบายใจ
    โดยเฉพาะ ทางธรรม ทุกๆท่านด้วยเทอญ สาธุ

    [​IMG]

    FB;ภูทยานฌาน...จิตเกาะพระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ธันวาคม 2013
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    หลวงปู่มั่นระลึกชาติ


    [​IMG]

    การปฏิบัติภาวนาในช่วงที่อยู่วัดเลียบแม้จะก้าวหน้าไปโดยลำดับแต่หลวงปู่มั่นตระหนักว่า “ยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่” ท่านจึงได้ออกธุดงค์เข้าป่าเพียงลำพังองค์เดียวไปทางนครราชสีมาเข้าดงพญาเย็น แสวงวิเวกไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณน้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายกเป็นป่าทึบเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ เป็นสถานที่น่าประหลาดสำหรับพระธุดงค์ หลวงปู่มุ่งหน้าสู่ถ้ำไผ่ขวาง ชาวบ้านได้ทัดทานไว้เนื่องจากมีพระธุดงค์ไปมรณภาพที่ถ้ำแห่งนั้นถึง 6 องค์แล้ว แต่หลวงปู่ตอบชาวบ้านว่า...
    “ขอให้อาตมาเป็นองค์ที่ 7 ก็แล้วกัน”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมีความเด็ดเดี่ยวปฏิบัติธรรมมุ่งมั่นไม่กลัวตาย หากแต่กลัวกิเลสที่ย่ำยีจิตใจให้รุ่มร้อนมากกว่า ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่โตนัก มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่น บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว ยิ่งตอนพลบค่ำยิ่งวังเวง แต่หลวงปู่ท่านเคยชินกับสภาพเช่นนั้นมากแล้ว จึงไม่มีอะไรทำให้จิตใจของท่านหวั่นไหวได้หลังจากจัดแจงสถานที่และเดินดูรอบๆบริเวณแล้ว พอค่ำลงสนิทท่านก็เริ่มบำเพ็ญภาวนาโดยนั่งสมาธิตลอดคืน ปรากฏว่าสว่างไสวไปหมดนับเป็นนิมิตที่ดียิ่ง

    รุ่งขึ้นเช้าหลวงปู่ก็ออกบิณฑบาตที่หมู่บ้านไร่นั้น หลังจากฉันแล้ว ท่านก็พักกลางวันไปสักหนึ่งชั่วโมง พอลุกขึ้นรู้สึกตัวหนักไปหมด หนำซ้ำเกิดท้องร่วงอย่างแรง เมื่อสังเกตดูอุจจาระพบว่าอาหารที่ฉันเข้าไปไม่ย่อยเลย ข้าวสุกยังเป็นเม็ด อาหารที่ทานเข้าไปยังอยู่ในสภาพเดิม ท่านจึงเข้าใจว่าพระองค์ก่อนๆ ที่มรณภาพไปก็คงเป็นเพราะเหตุนี้เองได้รำพึงกับตัวเองว่า “เราก็เห็นจะตายแน่เหมือนพระเหล่านั้น”

    หลวงปู่ได้หาที่น่าหวาดเสียวที่สุด เห็นว่าริมปากเหวเหมาะที่สุดที่จะนั่งบำเพ็ญเพียร ท่านตั้งใจแน่วแน่ว่า “หากจะตายขอตายตรงนี้ ขอให้ร่างกายหล่นลงไปในเหวนี้จะได้ไม่ต้องเป็นที่วุ่นวายเดือดร้อนแก่ใครๆ”

    ตั้งแต่บัดนั้นหลวงปู่ได้ตั้งปฏิธานแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่รู้แจ้ง เห็นจริงก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด” หลวงปู่ได้นั่งสมาธิ ณ จุดนั้นติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนโดยไม่ลืมตาเลย ท่านเริ่มกำหนดจิตต่อจากที่เคยดำเนินมาครั้งหลังสุด ได้เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ความผ่องใสของจิตสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แม้จะกำหนดดูเม็ดทรายก็เห็นอย่างชัดเจนทุกเม็ด แม้จะพิจารณาทุกอย่างที่ผ่านมาก็แจ้งประจักษ์ขึ้นมาในปัจจุบันหมด

    ในขณะที่จิตของท่านดำเนินไปอย่างได้ผล ก็ปรากฏเห็นเป็นลูกสุนัขกำลังกินนมแม่ ท่านได้พิจารณาไคร่ครวญดูว่าทำไมจึงมีนิมิตมาปน ทั้งๆ ที่จิตของท่านเลยขั้นนิมิตแล้ว เมื่อกำหนดจิตพิจารณาก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่า “ลูกสุนัขนั้นก็คือตัวเราเอง เราเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับอัตภาพไม่ถ้วน เวียนเกิดเวียนตายเป็นสุนัขหลายชาติ”

    เมื่อพิจารณาโดยละเอียดได้ความว่า ภพ คือความยินดีในอัตภาพของตน สุนัขก็ยินดีในอัตภาพของมัน จึงต้องวนเวียนอยู่ในภพของมันตลอดไป

    เมื่อหลวงปู่ทราบความเป็นไปในอดีตชาติของท่านก็เกิดความสลดจิตเป็นอย่างมาก ความสว่างไสวในจิตของท่านยังคงเจิดจ้าอยู่ แต่ทำไมยังมีการห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ ไม่สามารถพิจารณาธรรมให้ยิ่งขึ้นไปได้เมื่อตรวจสอบดูก็พบความจริงที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ “การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” ของท่าน ซึ่งมีในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เอง แล้วเมื่อไรจะได้ถึงคิวเป็นพระพุทธเจ้าตามความปรารถนา”

    หลวงปู่ได้พิจารณาถึงภพชาติในอดีต ปรากฏว่า ท่านเคยมีตำแหน่งเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ (กรุงเดลฮีในปัจจุบัน) พระพุทธเจ้าได้ไปแสดงธรรมโปรดชาวกุรุรัฐ พระองค์ทรงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตร หลวงปู่ซึ่งเป็นเสนาบดีในชาตินั้นก็ได้เจริญสติปัฏฐาน แล้วยกจิตขึ้นอธิษฐานว่า...
    “ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นพระองค์เถิด”
    ได้ความว่าหลวงปู่ได้ปรารภโพธิญาณมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านต้องชะงักในการพิจารณาอริยสัจเพื่อทำจิตให้หลุดพ้นได้ ต้องสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ ถ้าไม่ปล่อยวางความปรารถนานั้น

    หลวงปู่ยังเห็นต่อไปอีกว่า หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี เป็นหลานของเสนาบดีแห่งกุรุรัฐในครั้งนั้น ภายหลังเมื่อหลวงปู่เทศก์ตามท่านไปอยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่ได้บอกหลวงปู่เทศก์ว่า...
    “เธอเคยเกิดเป็นหลานของเราที่กรุงกุรุรัฐ ฉะนั้น เธอจึงดื้อดึงไม่ค่อยจะฟังเรา และสนิทสนมกับเรายิ่งกว่าใคร”

    ต่อจากนั้น หลวงปู่ได้ระลึกชาติถึง หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ของท่าน ก็ปรากฏว่า หลวงปู่เสาร์ก็ได้เคยปรารถนาเป็นพระปัจเจกโพธิญาณ (พระปัจเจกพุทธเจ้า) จึงไม่สามารถที่จะกระตือรือร้นที่จะทำจิตให้ถึงที่วิมุตติได้

    หลังจากได้ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ แล้ว หลวงปู่รู้สึกสลดใจที่เคยเกิดเป็นสุนัขนับอัตภาพไม่ถ้วน และยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีไปอีกนานแสนนาน ท่านจึงได้หยุดการปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วตั้งใจเพื่อการบรรลุธรรมในชาติปัจจุบัน

    ชีวประวัติ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ธันวาคม 2013
  3. Saranya16

    Saranya16 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +12
    จิตเกาะพระ

    ขอฝากตัวกับท่านผู้รู้ช่วยแนะนำเรื่องจิตเกาะพระบ้าง (เป็นครั้งแรกที่โพสท์ผิดพลาดขออภัย)
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    เมื่อจิตสงบลง...
    ความเพียรก็เร่งขื้นตามส่วน
    เป็นเครื่องบำรุงส่งเสริม สมาธิ ปัญญา ไปในขณะเดียวกัน​
    เมื่อ...ศรัทธากำลัง
    วิริยะ มีกำลัง
    สติ มีกำลัง
    สมาธิ มีกำลัง
    ปัญญา มีกำลัง
    ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
    ตั้งแต่สมาธิขั้นต่ำ ไปถึงปัญญาขั้นสูง
    ความสุขทางด้านจิตใจเริ่มปรากฏเป็นผลให้ชื่นชม
    ไม่เสียแรงที่ได้พยายามตั้งใจปฏิบัติมา

    หลวงปู่แแหวน สุจิณโณ

    FB...อมตะธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2013
  5. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209

    สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ รอสักปะเดี๋ยวเดี๋ยวครูมารับครับ

    jaideejang_55@hotmail.com หรือส่งเมลล์ไปขอแจ้งความจำนงค์ได้ครับ

    เมลล์ครูเกษครับ
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์หลวงตามหาบัว เพื่อนำมา

    ปฏิบัติตามเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กำลังใจ....

    ...จะเสียอะไร ก็เสียไป...

    ...แต่อย่าเสียกำลังใจ...

    ...เส้นทางแห่งความสำเร็จ...ย่อมเกิดขึ้นด้วยตัวเราเอง...

    ...เราจะมีกำลังใจที่สูงส่ง...และผู้ที่จะให้กำลังใจเราได้ดีที่สุดนั้น...

    ...คือ ตัวของเราเอง...ไม่ต้องไปขอกำลังใจจากใคร เพราะ

    -ไม่มีใครให้ใครได้...เพราะมันเป็นคำสมมุติเอาทั้งนั้น เราต้องเป็นกำให้ตนเอง

    ...ฝากไว้ให้กับท่านผู้ติดตามอ่านค่ะ ตนเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของตนได้ค่ะ...

    ...ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านค่ะ สวัสดีค่ะ....
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงพ่อปัญญาท่านให้โอวาท ธรรม ว่า

    ...หาอะไร ก็ไม่เท่า หาตัวตน เห็นอะไร ก็ไม่เท่า เห็นตัวตน ของตนเอง...

    ...แก้อะไร ก็ไม่เท่า การปรับปรุงแก้ใขที่ตนเอง...

    ...กราบน้อมรับพระธรรม ของหลวงพ่อปัญญา เพื่อนำมาปฏิบัติเจ้าค่ะกราบๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2013
  9. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    บิดาแห่งพระกรรมฐาน

    ตามรอยหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=5avdawvh4SA&list=WL66B6A90BF3FA83AA]ตามรอยหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากสถานที่จริงเป็นVDOที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัญ หาดูได้ยากม�[/ame]
     
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีค่ะ คุณSaranya16 เอาง่ายๆ สั้นๆ ไปก่อนน่ะ

    กรรมฐานจิตเกาะพระ เป็นพุทธานุสสติ+กสิน เป็นการฝึกจิตเพื่อเข้าสู่สมถะ และวิปัสสนาได้ง่าย และเร็วที่สุดในยุค 3G นี้ค่ะ โดยตลอดเส้นทางการฝึกจิตจะอยู่บนมรรคมีองค์8 (ศีล สมาธิ ปัญญา) ค่ะ

    ถ้าสนใจก็ติดต่อเข้ามาได้ค่ะ...แต่คืนนี้ขอ "ราตรีสวัสดิ์" ก่อนน่ะค่ะ
    sleeping_rb
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มารู้จักตัวสังขารฯตนกันสักนิด

    ผู้ปฎิบัติท่านใด ที่ยังตามไม่รู้เท่าทันตัวสังขารฯตน
    เท่ากับเราวิ่งตาม ไหลตาม ยึดตัวสังขารฯเป็นตน เป็นของตนเรียบร้อยแล้ว
    ส่วนผลจะเป็นยังไง ทุกท่านก็ทราบกันดีแล้ว ใช่ไหม
    พอเรามีสติ มีปัญญา ก็จะรู้เท่าทันตัวสังขารฯตนสักทีนึง
    หรือมองเห็นการเกิด ตั้งอยู่ และดับไปของตัวสังขารฯตน สักทีนึง

    จิตปัญญาเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์รู้เท่าทันการเกิด-ดับอารมณ์ของจิต
    ในขณะจิตเกิดปัญญา จิตก็จะรู้เท่าทันอารมณ์ของจิตตนเองทีนึง
    และเราก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่า ตนเป็นทุกข์
    แต่ถ้าเราเผลอสติหรือจิตขาดปัญญา เมื่อใด ก็จะรู้สึกทุกข์ขึ้นมาทันที

    ตราบใด ปัญญาญาณยังไม่เกิดกับจิตตน ผู้นั้นจักต้องพึ่งสติตนตลอดไป
    เพราะเหตุใด ก็เพราะว่า ผู้ปฎิบัติละรูปนามยังไม่เด็ดขาด นั่นเอง

    ธรรมตรงนี้ ผู้ปฎิบัติที่เข้าถึงความละเอียดแห่งจิตของตนเองแล้ว
    จงพิจารณาธรรมตรงนี้ให้ถี่ถ้วน เพราะนามธรรมอันละเอียดของตน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ปรารถนานิพพาน จะต้องผ่านพ้นไปให้ได้

    สำหรับผู้ปฎิบัติที่สามารถเข้าถึงสมถะหรือความสงบแห่งจิตตนแล้ว
    จงอย่าหยุด อย่าติดสุขจากสมาธิหรือฌาน เพราะตรงนี้ มิใช่ เขตโลกุตระ
    คือผู้ที่ยังไม่พ้นโลกจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ขอให้ปฎิบัติต่อไป
    คือเจริญปัญญาให้ต่อเนื่อง จิตจึงวิปัสสนาญาณหรือวิปัสสนาให้ขาด
    จริงอยู่ จิตพระโสดาบันนั้น สามารถเข้าเขตคำว่า โลกกุตระไปแล้วก็ตาม
    แต่จิตจะต้องเดินมรรคต่อไป จนกว่าจะถึงคำว่า วิมุตติ
    ซึ่งเป็นเขตทุกท่านเข้าใจกันว่า ไม่ต้องกลับมาเกิดกันอีก ต่อไป

    ถ้าวันนี้ ท่านใดยังไม่เก็ต ยังไม่เข้าใจธรรมที่กล่าวมานี้ ก็ไม่เป็นไร
    เพราะสักวันนึง ท่านจักต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเป็นแน่
    ถ้าท่านยังไม่ละหรือหยุดความเพียรหรือบำเพ็ญเพียรบารมีของตนก่อนนะ
    ท่านต้องซึ้งในรสธรรมเป็นแน่ ข้าฯมั่นใจ

    ปล.พากันบวชจิตกันเยอะๆ เหตุผลก็เพราะว่า จิตไม่สูญคือจิตต้องเดินทางต่อ
    ส่วนกายหยาบนั้น พอหมดลมก็หมดความหมาย
    สำหรับผู้ที่แยกกาย แยกจิตชัด หรือ แยกจิตออกจากกายได้แล้ว
    เพียรต่อไป อย่าหยุด แล้วท่านจะเข้าใจว่า จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป
    เราท่องจำ เอาสมองเรียนธรรมแทนจิตกันมามากแล้ว
    ต่อไป ถึงเวลาจิตที่จะเป็นฝ่ายพูด เป็นฝ่ายละ ปล่อย วางได้ จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2013
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยกับ วิชาจิตเกาะพระ


    เมื่อ 30-40 ปีก่อน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(รับสื่อคนแรก) และ ปัจจุบัน(2555)ท่านพี่ภู(รับสื่อคนที่สอง) ต่างก็รับสื่อวิชาจิตเกาะพระนี้มาจากท่านพ่อสมเด็จองค์ปฐม และจุดหมายปลายทางในการฝึกจิตเหมือนกัน คือ พระนิพพาน

    แต่วิธีการต่างกัน เพราะในสมัยหลวงพ่อลูกศิษย์ลูกหาท่านเยอะ และชอบเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์กันซะส่วนใหญ่ หลวงพ่อท่านก็เลยใช้การฝึกมโนมยิทธิ(ฤทธิ์ทางใจ+อภิญญาเล็ก)เป็นเครื่องล่อเป็นอุบายให้คนเกิดศรัทธาในฤทธิ์เป็นเบื้องต้น แล้วสอนธรรมมะควบคุ๋กันไป แต่คนส่วนใหญ่กลับไปหลงไหลได้ปลื้มกับฤทธิ์ เดช เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อทำอาสวะกิเลสให้สิ้นโดยเร็วพลัน

    แต่จิตเกาะพระในยุค 3G ในกระทู้จิตพร้อมฯ นี้ เราจะไม่เน้นเรื่องอภิญญา ฤทธิ์ เดช ใดๆ เราจะเน้นการนำจิตมาเดินมรรคมีองค์แปด คือเน้นการฝึก "สติ" โดยนำจิตมาเกาะพระ เพื่อให้ได้สมถะ เข้าสู่การวิปัสสนาเพื่อทำอาสวะกิเลสให้สิ้นโดยเร็วไวค่ะ

    โมทนาสาธุ
    ธรรมมณี จบ.52(deejai):VO(deejai)​

    ปล. ท่านพี่ภู หรือ ครูท่านใดมีอะไรจะเสริมเพิ่มเติมเชิญได้เลยน่ะค่ะ เพื่อให้ท่านผู้เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ใหม่ๆ จะได้ความกระจ่างและเข้าใจมากขึ้น ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2013
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวอื่นๆ ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ในลมเท่านั้น มันจะไม่ดี จะโง่ จะมืด จะหนาอย่างไรก็ช่างมัน มุ่งดูลมอย่างเดียวจนจิตเป็นเอกัคคตารมณ์

    ต่อไปความรู้ก็จะผุดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่ต้องไปนั่งคิดถึงว่าอะไรมันจะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความรู้เขาจะบอกเรื่องราวเหล่านี้ แก่เราเองอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ไม่ใช่ความรู้ตามสัญญาที่ได้ยินเขาบอกเล่า แต่เป็นความรู้ซึ่งเกิดจากวิปัสสนาปัญญา..

    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร..

    ที่มา; FB Apichai Dhamma​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2013
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธเจ้าแท้ ธรรมแท้ อยู่ที่ใจตัวเอง คือ...

    การอุปฐากพระพุทธเจ้า...การเฝ้าดูใจตัวเองและสติปัญญา คือ...

    การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง...

    ...ธรรมะ ท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะได้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

    แล้วแก้ไขตัวเองเรื่อย ๆ จนสมบูรณ์ได้ ถ้าความระมัดระวัง ความบกพร่องแม้มีก็ไม่มาก

    .....ฉนั้น สติจึงสำคัญ และมาอันดับหนึ่ง ปัญญามาอันดับที่สอง...กิเลสนี้มีประจำอยู่

    ตลอดเวลา...และกล่อมสัตว์โลกได้อย่างสนิท ปิดหู ปิดตา...ไม่สามารถที่จะทราบว่า

    ...มันเป็นภัยได้เลยความสุข ความทุกข์อันแท้จริงอยู่ที่ใจ...อย่าพากันไปตะครุบ

    เงาของกิเลส...ศิลนั้นเป็นรั้วกั้นความคนองทางกายวาจา มีใจเป็นผู้รับผิดชอบ.....

    ...ในงานและผลงานที่ กาย วาจา นั้นทำขึ้น...

    ...น้อมกราบพระธรรมคำสั่งสอน และน้อมกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยเศียรเก้ลา
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะขออนุโมทนาในธรรมทานของทุกๆท่านด้วยค่ะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็คือ ท่านได้รู้เห็นความเป็นจริง ของสังขารร่างกาย และจิตใจ คือท่านค้นพบความเป็นจริง คือ "สัจธรรม" นั้นเอง...เพราะจิตที่ไม่มีธรรม หรือ ไม่มีสติก็มีแต่ส่ายแส่หาเรื่องราว เข้ามาใส่ตัว เพราะความปรุงคิดมันพาไป ผู้ปฏิบัติต้องมีตัวสติ คือรู้อยู่กับกาย หรือ ดูกาย ดูจิต และความคิดปรุงแต่ง และก็ตัดลงที่ไตรลักษณ์ เพราะคิดชั่ว หรือ ดี ก็ดับด้วยกันทั้งนั้น...ผู้ปฏิบัติธรรมรู้ธรรมจะไม่เป็นทุกข์ไปกับความคิดปรุงแต่ง แต่ทุกข์ทางธาตุขันธ์นั้นทุกๆคนมีแน่ แต่ทุกข์ทางใจจะเข้าไม่ถึงจิต เพราะอารมณ์ดี หรือไม่ดี เราแค่รู้ แล้ววางเท่านั้น..ส่วนการปฏิบัติแนวจิตเกาะพระนั้นคือ ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความศรัทธานําหน้า และมีจิตที่ต้องการจะหลุดพ้นจากทุกข์จริงๆ คือเห็นความเกิดเป็นทุกข์ แล้วการที่เราจะฝึกจิตเกาะพระนั้นไม่ยาก เพราะเราจะต้องฝึกให้จิตมีความเห็นชอบว่า ถ้าเรามีความเชื่ออะไรจริงๆแล้วนั้นท่านก็จะเป็นผู้ทําสําเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง...ท่านจึงจําเป็นที่จะต้องมีศีล ภาวนา เพราะจิตที่จะเกิดความเพียรได้ต้องมีกําลังใจพร้อม เพราะกําลังนี้สําคัญมากๆ ถ้ากําลังใจไม่พร้อมก็ทําอะไรๆสําเร็จได้ยาก จึงขอกล่าวอนุโมทนากับผู้ต้องการเข้ามาฝึก"จิตเกาะพระ" เพื่อความหลุดพ้นไปจากทุกข์สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2013
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    ที่มา: FB Natthaphat Chandrasuta
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ธันวาคม 2013
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "พรปีใหม่ คือจิตที่สดใหม่"

    ปีใหม่ใคร ๆ ก็อยากได้สิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต แต่ไม่มีอะไรดีกว่าการมีจิตที่ใหม่กว่าเดิม ใหม่เพราะได้ปลดเปลื้องอารมณ์เก่า ๆ ที่สั่งสมในจิตใจ ไม่ว่าความเศร้า ความท้อแท้ ความวิตกกังวล ตลอดจนความโกรธ ความเกลียด พร้อมมองไปข้างหน้าด้วยจิตที่สดใส เป็นจิตที่ไม่ถูกครอบงำด้วยอดีตจนหม่นหมองมืดมน แต่เปิดใจรับปัจจุบันด้วยความรู้สึกสด...ใหม่สว่างไสว และไม่ยึดติดอารมณ์ใด ๆ ให้หมกหมมจนเป็นพิษแก่จิตใจ

    จิตที่สดใหม่นี้แหละที่จะทำให้ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้เป็นปีใหม่ที่มาพร้อมกับชีวิตใหม่อย่างแท้จริง อีกทั้งยังทำให้ทุกวันเป็นวันใหม่ของชีวิต แม้กิจวัตรประจำวันยังเหมือนเดิม แต่ทุกชั่วโมง ทุกนาที และทุกวินาทีจะใหม่เสมอ สามารถนำประสบการณ์ใหม่ ๆ มาสู่ใจเรา อีกทั้งยังสามารถเปิดใจเราให้เข้าถึงธรรมอันลุ่มลึกได้ทุกขณะ แม้จะยังอยู่บ้านหลังเดิม ขับรถคันเดิม ใช้ของเดิม ๆ แต่ก็มีความสุขทุกขณะ

    จิตที่สดใหม่นี้แหละคือพรอันประเสริฐที่พึงหวัง แต่พรชนิดนี้ไม่มีใครให้เราได้ เราต้องสร้างเอง ด้วยความเพียร ด้วยศรัทธาในธรรมและศักยภาพที่มีในตน ขอให้ทุกท่านมีฉันทะในธรรม เปี่ยมด้วยความเพียร ฝึกฝนตนให้มีความตื่นรู้อยู่เสมอ เพื่อเปิดศักราชใหม่ให้แก่ชีวิต ขอให้ทุกท่านเป็นกัลยาณมิตรแก่กัน เพื่อเข้าถึงกัลยาณธรรมอันเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตนี้

    พระไพศาล วิสาโล
     
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
  20. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    ผู้ปฏิบัติมาแล้ว ฝึกมามากแล้วก็ต้องดูจิตใจให้เป็น


    ดูตั้งแต่ว่ามันนึกคิด จิตมันคิดนึกคิดไปในเรื่องต่าง ๆ
    ก็ระลึกรู้ที่ความนึกคิดให้เป็น เมื่อจิตมันมีอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวแล้ว
    ก็ระลึกรู้ไป หัดสังเกตในจิตในใจ

    แล้วยิ่งไปกว่านั้น จิตที่มีสภาพไม่ได้คิดไม่ได้นึก
    เป็นสภาพที่ทรงตัวอยู่รู้อยู่ ก็ต้องสังเกตสิ่งเหล่านี้ให้ออก
    จิตประเภทนี้ให้ออก จิตที่ทรงตัวด้วยสติสัมปชัญญะอยู่นี่
    มันไม่ได้คิดไปไหน มันกำลังรับรู้อยู่ภายใน เป็นผู้ดูอยู่เป็นผู้รู้อยู่
    สติจะต้องระลึกถึงจิตประเภทนี้ให้ออกด้วย

    มิฉะนั้นแล้วมันก็จะมีปัญหาตรงที่ว่า
    กายก็ละเอียด ลมหายใจก็ละเอียด ไม่ปรากฏกาย รู้สึกไม่ปรากฏ
    จิตใจก็สงบ คิดก็ไม่ได้คิด นึกก็ไม่มี มันนิ่งมันเฉย แต่มันมีตัวรู้ตัวผู้รู้อยู่

    เมื่อกำหนดตัวรู้ตัวผู้รู้ไม่ออกมันก็หาอะไรไม่เจอ
    ไม่มีอะไรจะดู เมื่อไม่มีอะไรจะดูมันก็เคว้งคว้างก็ล่องลอย
    มันก็ลอย ๆ หรือนิ่งสงบแต่ไม่รู้อะไร นี่ก็คือมันเป็นปัญหาอย่างนี้
    ถ้าหากบุคคลใดกำหนดตัวผู้รู้เป็น มันจะมีให้รู้ให้ดูได้ตลอดเวลา

    ตัวผู้รู้คืออะไร ก็คือจิตที่ผสมอยู่กับสติ
    จิตที่มันมีสติอยู่นั่นแน่ะ มันมีสติระลึกมีสัมปชัญญะ
    มันเกิดร่วมกับจิต ทำงานร่วมกันอยู่ เป็นผู้รู้สภาวะอยู่


    ยกตัวอย่างเช่นว่า
    กายเคลื่อนไหวแล้วก็มีผู้รู้ไปดูการเคลื่อนไหว
    มีผู้รู้กำลังไปดูความรู้สึกเคลื่อนไหว
    นี่เท่ากับว่าความไหวก็อันหนึ่ง ผู้รู้ก็อันหนึ่ง
    จะต้องระลึกรู้ทั้งสองอันนี้ คือ รู้ความไหวด้วย รู้ตัวผู้รู้ด้วย
    ในขณะนั้น ๆ ต้องฝึกหัดรู้ความไหวด้วยรู้ตัวผู้รู้ด้วย


    ผู้ รู้ นั้ น กำ ลัง รู้ อะ ไ ร
    กำลังรู้ความไหวเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
    สติที่เกิดขึ้นมาที่หลังมันก็เป็นผู้รู้เหมือนกัน
    แต่มันไปรู้ผู้รู้ ขณะหนึ่งมันไปรู้ความไหว ขณะหนึ่งมารู้ผู้รู้
    ก็เหมือนกับมันรู้ตัวมันเอง
    แต่มันคนละขณะกัน
    ผู้ รู้ อั น ใ ห ม่ ม า รู้ ผู้ รู้ อั น เ มื่ อ กี้ นี้ นี่คือตัวอย่างอันหนึ่ง

    คำสอน : พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี
     

แชร์หน้านี้

Loading...