จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ♥ น้อมรับพรอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อ ♥ ท่านแม่ศรี ทั้งสาม ♥

    [​IMG]

    ❋ ❋ ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตร บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้ ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน
    เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวัง ที่ฉ้นตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว ❋ ❋

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ลูกขอน้อมเศียรเกล้าก้มกราบ ด้วยความสำนึกในพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอขอบพระคุณ.. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง...
    สำหรับ จิตบุญที่ ๑๓๘ คุณสำรวย โบเด้นท์




    **คำพรของท่านแม่ ที่ถ่ายทอดโดยท่านจิตโต มาให้ลูกท่าน **

    [​IMG]

    ณ บ้านสบายใจ...

    ให้เรานึกถึงพระคุณแม่ของเราทุกท่านตั้งแต่อดีตจนถึงชาตินี้....

    ท่านแม่ให้พร...

    ...มีเสียงนิดๆ บอกมาว่า... แม่อยากให้พรลูกเอง...


    “ แม่ว่า...ขอลูกที่รักทั้งหลาย จงพากันปฏิบัติตามคำสั่งสอน อย่าได้นิ่งนอนอยู่เดียวดาย ท่านว่า ให้พยายามตั้งอกตั้งใจ เพราะพระธรรมเท่านั้นแหละ เป็นที่แม่ปรารถนา ที่อยากให้ลูกได้เข้าถึง ก็วันนี้ลูกทุกคนเป็น...เป็นที่...เขาเรียกว่าเป็นผู้ที่มีความน่ารัก มีจิตใจหวัง ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้แม่ชื่นใจ ความดีใดๆที่แม่ถึงแล้วก็ขอให้ลูกได้ถึงสิ่งที่แม่ถึงเช่นกัน แม่ทั้งหลายก็กล่าวฝากมาว่า ขอให้ลูกจงมีความมั่นใจว่า สิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอน คือความจริง ท่านทำได้จริง ท่านปฏิบัติถึงจริง ท่านหลุดพ้นไปตามที่ท่านพูดจริง ไม่มีสิ่งใด ที่ ท่านใช้คำว่า.. พ่อของเจ้า สอนแล้วผิดแตกต่างไปจากความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสอน คำใดที่หลวงพ่อท่านสอนก็ประหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าได้สอนลูกๆ เช่นกัน แม่จึงอยากให้ลูกทุกคน ให้เชื่อมั่นว่า สิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่นี่ มันเป็นความดีที่แม่ชื่นใจ และก็ขอความชื่นใจที่แม่ได้รับ จงสะท้อนกลับมาสู่ลูกทุกคน ขอให้ลูกทุกคนจงได้มีความสุข สมความปรารถนาในสิ่งที่เพียรพยายามกระทำกันมาเนิ่นนาน
    ขอบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เหล่าพระอริยสาวกทุกองค์ ช่วยดลบันดาลให้ลูกของท่าน เป็นผู้พ้นภัยอันตรายทั้งปวง ทำให้ลูกของท่านเป็นที่รักแก่หมู่ชนคนดีทั้งหลาย เป็นที่พึงไม่ปรารถนาของหมู่คนพาล ที่ไม่อาจจะกล้ำกรายลูกแล้วปรารถนาจะประทุษร้ายได้ ขอให้คนพาลเหล่านั้น จงวิบัติห่างไกลลูกโดยสิ้นเชิง และขอให้ลูกจงมีกำลังวังชา สามารถทำกิริยาแห่งบุญได้ตามความปรารถนาเป็นนิจ
    ขอให้จิตมีความครุ่นคิดในกุศล เพื่อผลแห่งการเข้าถึงอริยมรรค อริยผลได้ง่าย ขอให้เจ้าตายไปด้วยความสงบ ขอให้เจ้าทุกคนจงมีความคิดอยู่เสมอว่า นิพพานเป็นดินแดนที่เราปรารถนา แล้วท่านก็ใช้คำว่า แม่ขอพรองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา ขอให้ลูกของข้าพเจ้าจงมีจิตเริงร่าในพระนิพพานเป็นที่ไปในชาตินี้ทุกคนเทอญ”

    ลูกขอน้อมเศียรเกล้าก้มกราบ แทบเท้า ท่านแม่...ผู้เป็นที่รักของลูก ลูกขอเดินตามปฏิทาของพ่อ ให้ถึงที่สุด...ขอน้อมรับพร ท่านแม่ ทุกประการ ...เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ



    เครดิต ข้อมูลคำพรจากคุณ Apichart Siripochanawan
     
  2. katoonuk

    katoonuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีพี่จิตบุญทุกๆท่าน ก่อนอื่นตูนต้องขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญท่านใหม่ด้วยนะคะ ตูนขอให้คุณพี่สำรวยมีจิตที่อิ่มในบุญนี้ตลอดไปนะคะ และตูนต้องขออนุโมทนาบุญกับพี่แนท และคุณเพ็ญด้วยนะคะที่ช่วยให้คุณพี่สำรวยได้ถึงฝั่งอีกท่านหนึ่ง และที่ขาดไม่ได้ ก็ต้องขอขอบคุณท่านพี่ภูอย่างสูงที่ดูเหมือนจะอิ่มบุญไปด้วยนะคะ
     
  3. katoonuk

    katoonuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีคะพี่ๆ ชาวจิตบุญทุกๆท่านหรือเพื่อนๆที่ได้แวะมาอ่านกระทู้ หลังจากที่ตูนจิตยกแล้วนั้น ทุกๆวันนี้ตูนก็ยังคงปฏิบัติอยู่ต่อเนื่องเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว เมื่ออาทิตย์ก่อนตูนได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ช่ือว่า คนตายกลับบ้านได้ ซึ่งเล่มนี้ตูนได้อ่านไปแล้วรอบหนึ่ง ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากจิตยกแล้วได้กลับไปอ่านนั้นความรู้สึกมันต่างจากรอบแรกนะคะ และตูนได้มีข้อความบางตอนมาให้เพื่อนๆและพี่ได้อ่านกันนะคะ(ซึ่งบางท่านก็อาจรู้แล้วนะคะ) ในท่อนนี้ได้กล่าวว่า
    ผลของกรรมดีกรรมชั่ว หมายถึง ผลที่เกิดจากการทำความดีและจากการทำความชั่ว ซึ่งมี2ระดับ คือ ผลชั้นในกับผลชั้นนอก
    ผลชั้นใน คือผลทางใจ อันได้แก่ คุณธรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำความดีหรือความชั่ว ซึ่งเกิดขึ้นทันทีหลังการกระทำสิ้นสุดลงไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเวลาใด เป็นผลที่ทำทำให้ตัวเองได้ ไม่ต้องรอคนอื่นให้
    ผลชั้นนอก คือ ผลที่เป็นรูปธรรมอันได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุข กับเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และความทุกข์ เป็นผลที่ไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อใด เพราะขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ บุคลิกภาพของผู้ทำ และผู้ทำทำยาวนานแค่ไหน ต่อเนื่องเพียงใด เหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญ
    ในฐานะเป็นคำสำคัญ คำทั้งสามนี้ย่อมมีความสัมพันธ์กัน นั่นคือ ปรโลกเป็นที่รองรับการเกิดของสัตว์ประเภทโอปปาติกะ ซึ่งไปเกิดตามผลของกรรมดีกรรมชั่วมนุษย์ทำกรรมและสั่งสมผลกรรมไว้มากทั้งดีและไม่ดี ผลกรรมย่อมมีอำนาจกำหนดทิศทางของชีวิตหลังความตายได้ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ในภพภูมิชั้นไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร แต่ต้องดูตอนขณะจะดับจิตว่ามีกรรมชนิดใดปรากฏขึ้นในจิต หรือหากจะพูดให้ง่ายๆก็ต้องพูดว่า ต้องดูขณะจะดับจิตนั้นว่าคิดถึงอะไร หากคิดถึงการทำดีหรือทำชั่วที่เคยทำมา ภาพของการทำดีทำชั่วที่เคยทำมานั้นก็ย่อมปรากฏขึ้นในจิตหรือบางที่การทำอาจไม่ปรากฏ แต่เครื่องมือที่ใช้ทำดีทำชั่วก็ปรากฏ เช่น เห็นขันข้าวที่ใช้ใส่บาตร หรือเห็นไม้ที่ใช้ตีทำร้ายผู้อื่น หรือบางทีก็อาจเห็นสถานที่ต่างๆ เช่นเห็นป่าเขาที่สวยงาม หรือเห็นสถานที่ที่มีเปลวเพลิง ความสุขและความทุกข์ที่เกิดจากการเห็นนั้นเป็นตัวบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเกิดมาจากกรรมดีหรือกรรมชั่ว
    จิตขณะที่เห็นสำคัญมาก เท่ากับว่าได้เตรียมภพภูมิใหม่ไว้รอรับ เมื่อขณะจิตนั้นดับลง ขณะจิตที่จะเกิดใหม่ทันทีต่อจากนั้นซึ่งมีอิทธิพลจากขณะจิตเก่านั้น ก็เกิดในสภาพและภพภูมิที่ขณะจิตใกล้ตายกำหนดไว้แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นสวรรค์หรือนรกก็ได้ดังนั้น ขณะจิตจะดับหรือใกล้ตายนั้นสำคัญมาก เท่ากับเป็นท่าส่งสุดท้ายซึ่งไม่มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงได้อีก แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือผลกรรมที่สะสมไว้ในจิต
    สุดท้ายนี้ตูนอย่างให้เพื่อนๆ ทีได้เข้ามาอ่านนั้น ได้คิดเหมือนกับตูนในขณะนี้ สุดท้ายเราทุกๆท่านก็ตาย แล้วฉะไหนไม่ยอมสะสมความดีไว้เยอะ และที่สำคัญที่สุดที่คุณครูเกษ คุณครูลูกพลัง รวมถึงท่านพี่ภูพยายามย้ำนักย้ำหน้าว่าให้รู้จิตกับสติให้พร้อมตลอดเวลา ก็คือนึกถึงรูปพระตลอด ตอนนี้ตูนยิ่งเข้าใจมากๆขึ้นเลยคะ
    ปล. หนังสือที่ตูนอ่านนั้นชื่อ คนตายกลับบ้านได้ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บรรจบ บรรณรุจิ คะ
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุครับ
    จิตยก แค่จบกิจเฉพาะห้องเรียน เหมือนเราเรียนเพิ่งจบใหม่แต่ยังไม่ได้ทำงาน
    เพราะฉะนั้น ตราบใดยังมีขันธ์๕ เพื่อความไม่ประมาท
    เราจะต้องเจริญสติจนกว่าจะสิ้นอายุขัยของตน
    จิตยกมิใช่หมายถึงวิมุตติ มิใช่อรหันต์ มิใช่นิพพาน
    แต่จิตยกก็แค่เราได้นำพาจิตคุณไปรับรู้คำว่านิพพานเบื้องต้นเท่านั้น
    หรือครูผู้สอนได้แนะนำหรือนำพาดวงจิตไปจ่อประตูพระนิพพานแล้ว
    ส่วนที่เหลือผู้ที่ยกจิตไปแล้วจะต้องเป็นผู้ที่เดินเข้าไปเอง
    ครูผู้สอนก็เป็นแค่ผู้แนะนำให้พวกเธอเดินให้ถูกให้ตรงมรรคเท่านั้นเอง
    และรับรองดวงจิตให้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีหน้าที่รับรองดวงจิตของผู้ปฏิบัติก็คือ
    พระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์สายบุญของตนเอง แต่จะมาในนิมิตต่างๆ
    หรือในสมาธิหรือฌานเป็นต้น
    เมื่อผู้ปฏิบัติมาถึงความละเอียดแห่งจิตตนแล้วย่อมรู้วาระจิตของตนเป็นอย่างดี
    ว่าจิตของเรานี้ เป็นอย่างไร อยู่ระดับไหน หยาบกลางละเอียดขนาดไหน
    เมื่อจบไปแล้วใครจะลืมโรงเรียนหรือว่าครูก็ไม่ว่า ก็เหมือนเราเรียนจบแล้ว
    บางคนก็จบเลยคือไม่เคยไปเยี่ยมเยือนโรงเรียนหรือครูอาจารย์ที่สอนเรามา
    แต่ไม่เป็นไร ที่นี่จิตเกาะพระสอนให้ละปล่อยวาง มิใช่ให้พวกเราไปยึดติด
    คือให้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนหรือเดินตามมรรคมีองค์๘ให้ถูกต้อง

    จิตที่ยกไปแล้วนั้นย่อมเป็นจิตค่อนข้างละเอียด แต่ละเอียดต่างกันไปตามกรรม
    ตามบุญบารมีของตนได้สร้างกันมาไม่รู้เท่าไหร่
    มิต้องสงสัยเลยว่าทำไมเดี๋ยวนี้เราอ่านธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรมครูบาจารย์รู้เข้าใจมากขึ้น
    ตรงนี้ชวนหวนระลึกนึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ว่าท่านทรงให้กรรมฐาน
    กับพวกเราได้ฝึกสติ ฝึกจิตกัน ก็เพราะด้วยเหตุผลนี้เป็นแน่
    เพราะถ้าจิตไม่ผ่านเจริญสติย่อมไม่เข้าใจธรรมละเอียดของพระพุทธองค์เป็นแน่แท้
    พระองค์มิได้สอนให้พวกเราจะต้องเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่อยากให้เราใช้ปัญญาของตนเสียก่อน
    ปกติจิตไม่ได้รับการอบรมหรือฝึกฝนจิตนั้นย่อมหยาบเป็นธรรมดา
    จิตหยาบในที่นี้หมายถึงจิตไม่นิ่ง มิใช่แปลว่าเลวร้ายหรือไม่ดีแต่อย่างใด
    ผู้ไม่รู้ไม่มีเจตนาที่จะทำผิดทำไม่ดีย่อมไม่ผิด เมื่อไหร่เข้าถึงละเอียดแห่งตนแล้วย่อมเข้าใจเอง
    ธรรมะดูเหมือนง่ายๆ แต่ทำไมเวลาปฏิบัติยากจัง
    หลวงปู่บอกว่าปฏิบัติไม่ยากหรอก แต่จะยากสำหรับผู้ที่ไม่เอาจริงจัง
    คนที่บอกว่ายากนั้นแสดงว่าเขาไม่เข้าใจในธรรมหรือความจริงนั้นๆ
    คนที่บอกว่ายากแสดงว่าจิตยังไม่สามารถละปล่อยวางได้ทันทีทันใด
    อย่าลืมว่าจิตปล่อยวางด้วยอะไรถ้าไม่ใช่ปัญญา อยู่ๆจะมาพูดว่าปล่อยวางๆแล้ว ไม่ได้
    แต่ถ้าบอกว่าง่ายนั่นก็แสดงว่าจิตเกิดปัญญาแล้ว เมื่อไหร่จิตมีปัญญาย่อมปล่อยวางง่าย
    ง่ายจนใจหาย
    แต่อย่าลืม ผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆนั้นย่อมไม่ล่วงเกินกฎแห่งกรรม หรือกรรมผู้อื่น
    เฉพาะตามลำพังกรรมของตนก็ยังชดใช้กันไม่หมด แต่ถ้าคนเราจำอดีตได้
    แต่ถ้าเราเอากระดูกมากองรวมกันแล้วจะใหญ่โตเท่าภูเขาเหล่ากาเลยทีเดียว
    เพราะเหล่าเวไนยสัตว์นั้นตายเกิด ตายเกิดไม่รู้ต่อกี่รอบแล้ว

    ขอโมทนาดวงจิตของน้องตูนUKด้วย เมื่อก่อนเคยให้ความสำคัญกับกายหยาบมาก
    แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ น้องตูนเปี๋ยนไป๋ เพราะเธอได้จิตประภัสสรกลับคืนมาใหม่
    จึงลยเลิกสนใจกายหยาบว่ามันจะดับขันธ์ตอนไหน แต่กลับไปสนใจจิตดับ
    ผมเข้าใจว่าวิญญาณขันธ์ดับก็คือคนตายนั่นเอง
    แต่จิตมิได้ดับสูญสลายหายไปไหนเหมือนร่างกาย เพราะจิตเป็นพลังงานไฟฟ้าชนิดหนึ่ง
    แต่จะต่างกันตรงที่เป็นพลังงานบวกหรือลบเท่านั้นเอง
    สรุปแล้ว ที่เธอไม่เป็นทุกข์ ไม่เืดือดร้อนใจอีกแล้วก็เพราะจิตปัญญาของเธอนี่เอง
    เห็นไหม เดินเหินไปทางไหนก็จะเหมือนรู้สึกว่าตัวเองเบาๆลอยๆไร้น้ำหนักไร้แรงดึงดูด
    เพราะเราพบความอิสระแห่งจิตของตนเอง นั่นไง!
    ขอขอบใจน้องตูนUKอีกครั้งสำหรับธรรมาทานในครั้งนี้ด้วย
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ

    ใครจะมารู้ดีกว่าจิตของเราเองนั้น ไม่มีแล้ว
    จงทำจิตผ่องใส ธาตุทั้งสี่ก็จะได้อิสระตามจิตไปด้วย คือกลับบ้านใครบ้านมัน
    (ไม่คิดว่าเธอจะพูดได้มากขนาดนี้)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มิถุนายน 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    มีอยู่ทางเดียวจริงๆ​

    ตอนนี้มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ผู้คนทั้งหลายหลุดพ้น
    แต่ตอนนี้จะขอกล่าวถึงธรรม โดยเฉพาะหลุดพ้นทุกข์
    ส่วนธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากการว่ายตายเกิดนั้นเราค่อยว่ากันทีหลัง
    แต่จะต้องทำด้วยตนเองหรือจะต้องเป็นฝ่ายออกจากทุกข์ของเราเองเท่านั้น
    ไม่มีผู้ใดทำแทนให้กันได้หรือออกจากทุกข์แทนกันได้หรือบรรลุธรรมแทนกันได้

    คนเราจะเปลี่ยนนิสัยหรือว่าสันดานของตนเองได้นั้น เห็นมีแต่กรรมฐานเท่านั้น
    ให้พวกเราเลือกตามจริตมาปฏิบัติเพียงหนึ่งกองเท่านั้น
    อย่าไปทำหลายกองในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้ผู้ปฏิบัติไม่เกิดผล
    เพราะจิตจะทำได้ผลดีเพียงทีละหนึ่งอย่างเท่านั้น
    ไม่ใช่ใครแนะนำอะไรว่าดี แล้วเราเอาหมด อันนี้ไม่ถูกต้องนัก
    ก่อนที่จะปฏิบัติธรรมนี่ไม่มีใครทราบมาก่อนว่าตัวของเรานี้เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน
    สำหรับผู้ที่จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ดังที่กล่าวมานั้นมันเป็นโทษ มันเป็นมหันตภัยทีเดียว
    ยิ่งกว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติเสียอีก ดูตัวอย่างภัยธรรมชาติ
    เช่น ภัยทางน้ำ มันก็ไม่ได้ท่วมทุกวัน หรือทุกฤดูกาลเสมอไป
    ภัยทางไฟ มันก็ไม่ได้ไหม้บ้านหรือไหม้ป่าทุกวัน หรือทุกฤดูกาล
    ภัยทางลม มันก็ไม่ได้พัดบ้านพังหรือพัดต้นไม้หักโค่นทุกวัน หรือทุกกาลเวลา
    ภัยธรรมชาตินานๆจะเกิดขึ้นสักทีนึง แต่จะเกิดกับใครนั้นก็รับเคราะห์กรรมกันไปเอง
    และผู้ที่ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆนั้นก็เห็นมีแต่จิตอริยบุคคลเท่านั้น
    อาจมีทั้งพระสงฆ์หรือฆราวาสก็ได้ แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น
    ที่จะทำใจยอมรับกับสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่จิตใจของผู้นั้นต่างหาก
    แต่ถ้ายอมรับกับสิ่งเหล่านี้กันไม่ได้ ก็ต้องตอบว่าเป็นทุกข์กันต่อไปเท่านั้นเอง
    พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้นสำคัญมาก มากกว่าคำว่ามนุษย์ของพวกเราเสียอีก
    สำหรับผู้ที่ตายแทนพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนานั้น เห็นมีแต่พระอรหันต์หรือจิตพระโพธิสัตว์เท่านั้น
    ตราบใดที่พวกเรายังออกจากคราบมนุษยืกันไม่ได้ จิตใจของเราก็เป็นมนุษย์อยู่มันยันค่ำ
    นั่นก็คือ หนีทุกข์ไม่พ้นหรือหนีกิเลสตัณหาอุปาทานไม่พ้น เมื่อจิตออกจากสามตัวนี้ไม่ได้
    แล้วถ้าเราหมดลมหายใจกันแล้วมันจะไปไหนไกลได้หล่ะคราวนี้ เพราะเวลายังมีลมหายใจ
    นั่นก็แสดงว่าเขายังให้โอกาสทำความดีหรือความชั่วนั่นเอง แต่ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นจะเลือกทำอะไร
    เพราะฉะนั้นเวลานั้นมีความหมาย มีความสำคัญสำหรับผู้จะเอาดีทางมรรคผลนิพพานมาก
    แต่ถ้าไม่ปรารถนากับสิ่งที่กล่าวมานั้นย่อมไร้ค่า แต่จะเห็นค่าก็อีตอนที่จะหมดลมหายใจ
    เพราะใครก็ช่วยเหลือเราไม่ได้ พ่อแม่/พี่น้อง/ลูกๆ/คนที่เราหรือคนที่รักเรา/ญาติก็ช่วยไม่ได้
    คือไม่ช่วยให้พ้นจากความตายของเราไม่ได้
    เพราะทุกคนก็ทราบกันเป็นอย่างดีว่าทุกคนเกิดมาแล้วย่อมต้องตายแน่ๆ

    วันนี้ให้รีบพากันรักษาศีล ยิ่งผู้ใดกำลังอยู่บันไดบุญสูงสุดนั่นก็คือการทำภาวนา
    ผมก็ขอโมทนาบุญด้วย ผู้ปฏิบัติอย่ามีเพียงแค่คำว่าศรัทธาเท่านั้น แต่ต้องมีความขยันหมั่นเพียรด้วย
    หรือทรงอิทธิบาท๔ด้วย เพราะทุกสิ่งสำเร็จที่ใจเราเท่านั้น แต่ครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะหรือบอกทางเดินให้เท่านั้น
    คิดว่า โดยเฉพาะครูที่สอนธรรมะหรือกรรมฐานนั้น ท่านไม่ได้ไปหวังสิ่งใดกับใครๆอยู่แล้ว
    แต่ถ้าครูยังหวังนั่นก็แสดงว่าครูยังหลงยึดหลงเดินทางผิด นั่นยังอีกยาวไกล เผื่อจะถึงมรรคผลนิพพาน
    เพียงเท่านี้ก่อนเดี๋ยวจะยาวอีก ยิ่งพร่ำก็ยิ่งยาว
    ผมก็ขออวยพรให้ทุกคนพ้นทุกข์ไวๆ สำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ขอให้พบขุมทรัพย์หรืออริยทรัพย์ไวๆ
    นั่นก็คือปัญญาหรือว่าญาณของตนเอง
    สำหรับผู้ที่ทำจิตตกบ่อย ก็ขอให้พกยาหอมยาลมยี่ห้อสติติดตัวให้ตลอดเวลา
    ไม่งั้นเป็นทุกข์ ไม่งั้นเราเองก็ไม่มีปัญญา สุดท้ายเราเองก็ไม่พ้นทุกข์ตนเองสักที
    อย่าลืมนะครับ...

    "ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป"
    นอกนั้นไม่มี มีแต่ทุกข์เพราะเราไปวิ่งตามมันเองหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    นรก-สวรรค์ พรหมหรือนิพพาน เราก็เลือกกันเองทั้งนั้น ดูจิตตนแล้วก็จะรู้เอง
    ภูทยานฌาน2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มิถุนายน 2013
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มีอยู่ทางเดียวจริงๆ
    อย่าไปเดินตามใคร แม้นกระทั่งตนเอง เพราะยังเป็นผู้หลงอยู่ นอกจากพระพุทธเจ้าหรืออรหันตเจ้าหรือผู้ที่ทำสำเร็จแล้วเท่านั้น ดูคนต้องดูนานๆ ดูตอนตายไปแล้วก็ยิ่งดีใหญ่ อย่าประมาทตราบใดยังมีขันธ์๕

    เห็นอะไรไม่สบายใจเท่าเห็นพระพุทธเจ้าในจิตของเราเอง ที่ไหนก็ไม่สงบเท่าจิตภายในสงบของเราเอง ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็ให้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็จะสบายใจอย่างพระพุทธเจ้า คือผู้หลุดพ้นที่แท้จริง ทำอะไรไปวันๆก็อย่าลืมดูแลธาตุขันธ์ตนเอง โดยเฉพาะจิตใจของเรานี้สำคัญยิ่งนัก โปรดอย่ามองข้ามเลยไปเอาสมมุติ เพราะในขณะที่เรากำลังมีลมหายใจอยู่นั้น แต่จะรู้ค่าของจิตของธรรมแล้วมันก็สายเสียแล้ว ไม่มีโอกาสแล้ว พอเรามีโอกาสสร้างบุญบารมีแต่กลับไม่ทำกัน มัวหลงระเริงกับสิ่งรอบข้างรอบกายที่มิใช่เรื่องจิตตนเอง พอตายไปจะเอากำลังหรือพลังจิตไปสวรรค์หรือนิพพานกันที่ไหน แต่พอรู้ว่าตนจะไปนรกแล้วต้องมาเสียอกเสียใจหรือว่าเป็นทุกข์กันทำไม ขอเตือนใจกันเท่านี้เอง สาธุ
    ด้วยความปรารถนาดี
    จาก...สมาคมจิตเกาะพระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มิถุนายน 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ศาสดาของโลกเป็นผู้เหนือโลก เป็นผู้ประเสริฐสุด พระสาวกอรหันต์ท่านประ

    เสริฐสุด...เพราะจิตดวงที่บริสุทธิ์ซึ่งพ้นจากเครื่องหุ้มห่อที่มีความสว่างไสว หรือความผ่อง

    ใสนี้เป็นตัวการสำคัญ ...เมื่ออันนี้สลายไปแล้ว ธรรมชาติที่อัศจรรย์เหนือโลกสมมุติก็

    แสดงตัวขึ้นมาอย่างเต็มดวง...นั่นแลความประเสริฐของท่าน...ท่านประเสริฐที่ตรงนั้น.

    ...นั่นจึงเป็นความประเสริฐแท้...โดยไม่ต้องระวังรักษา ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ต้องปิด...

    ...ไม่ต้องสงวน ไม่ต้องรักษา ไม่เหมือนความสว่างไสวซึ่งเปรียบเหมือนมูตรคูถนี้ ซึ่ง

    ต้องรักษา...เป็นความกังวล...เป็นความกังวลอยู่ตลอดเวลา คือกังวลตามชั้นของจิต...

    ...แม้ไม่มากก็มีให้ปรากฏ...ธรรมโอวาทธรรมของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน...

    ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙ น้อมกราบองค์หลวงตามหาบัวด้วยเศียรเก้าเจ้าค่ะ
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    -สาธุขออนุโมทนา ในธรรมทานค่ะ ท่านกล่าวมานั้นทั้งหมด เป็นความจริง

    ตนเท่านั้นแหละที่จะเป็นที่พึ่งของตน...ไม่มีใครทำแทนใครได้ แล้วแต่ว่า เรา

    จะเลือกทางเดินของเราเอง ผู้ปฏิบัติทุกท่าน ต่างก็มุ่งหวังที่จะเดินทางไปสู่

    นิพพานกันทุกท่านทุกคน ...ก็ขอให้ทุกท่านได้เจอนิพพานที่ตนเอง ไม่ต้อง

    ไปวิ่งตามที่ใหน เราต้องฝึกจิตฝึกใจของเราแล้วเราจพบนิพพานที่แท้จริง

    คือพบที่ตัวเราค่ะ ขออนุโมทนา สำหรับธรรมทานของน้องตูน และคุณภูทยาน

    ที่ท่านได้นำธรรมะธรรมทานมามอบให้ด้วยความเป็นห่วงขอน้อมรับเพื่อนำมา

    ปฏิบัติตามค่ะ สาธุอนูโมทนาค่ะ...
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    บทสนทนาที่ดีมาก มาก อยาก ให้ ทุกท่านอ่าน สำหรับกรณีพระอาจารย์มิตซูโอะลาสิกขาค่ะ

    Credit :หลวงปู่ไดโนเสาร์


    หลวงปู่. :- ครูบา อาจารย์มิตซูโอะเป็นใคร

    ครูบาอุปฐาก :- .เป็นหยังครับผม องค์พ่อแม่ถามทำไมครับผม

    หลวงปู่.:- ก็เมื่อเช้าเห็นโยมในศาลามาเล่าให้ฟัง ผมก็อือๆนอไปกับเขา แต่ผมไม่รู้เรื่องนี้

    ครูบาอุปฐาก :-โอ๋ ขอโอกาสกราบเรียนองค์พ่อแม่ ท่านอาจารย์มิตซูโอะท่านเป็นคนญี่ปุ่นที่มาเรียกกรรมฐานในสายพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง บวชมา๓๐กว่าปีแล้วท่านก็สึกกลับบ้านท่านที่ญี่ปุ่น เมื่อเช้าแม่ออกมาบอกว่าท่านสึกไปมีเมีย ที่ญี่ปุ่นครับผม

    หลวงปู่ :- โอ๋ มันก็ดีแล้วนี่แล้วเอามาเล่ากันทำไม

    ครูบาอุปฐาก :- ขอโอกาสองค์พ่อแม่ ดียังไงครับผมพระกรรมฐานบวชมา ๓๐ กว่าปีแล้วมาสึกไปมีเมีย

    หลวงปู่ :- โอ้ย ญาท่านสีทนศาลาพันห้องนั้น สึกตอนอายุ ๙๒ ไปเอาเมียอายุ ๑๖ นี่ผมก็ยังไม่ถึง ๙๒ เด้อ(พูดแล้วท่านก็หัวเราะ)

    คนบวชคนสึกมันเป็นธรรมดาโลก บางคนบวชมานานกว่าท่านอาจารย์มิตซูโอะก็ยังสึก ท่านอาจารย์หนูใหญ่ศิษย์หลวงปู่มั่น นั่งภาวนาได้ฌาณได้ญาณเห็นนู้นเห็นนี่ท่านก็ยังสึก พระอริยคุณาธาร ขอนแก่นท่านก็สึก ในวงพระกรรมฐานเราก็มีให้เห็นอยู่ ไม่แปลกดอก ถ้าเรายังไม่แน่นอนในพระสัทธรรมมันก็มีโอกาสสึกกันทุกคน เพิ่นสึกออกไปหน่ะดีแล้ว ถ้าวิบากกรรมที่เป็นพระแก้ไม่ได้มันต้องสึกออกไปแก้ก็ต้องตามไปแก้มัน คุณเอ้ย คนสึกก็ใช่ว่าจะเสียหาย ใช่ว่าจะเลวไปซะหมด คนอยู่ก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ ใช่ว่าจะดีไปเสียหมด หยังกำลังว่าสู้ไม่ไหวก็สึกออกไปนั้นถึงจะเป็นการที่น่ายกย่อง มาสู้ทนหลอกชาวบ้านเป็นมหาโจรอยู่มันก็ตกนรกนั้นแหล่ว คนที่ทำกรรมฐานมาตั้ง ๓๐ ปีเพิ่นบ่ได้ปึก บ่ได้โง่เด้อ เพิ่นคิดเพิ่นตัดสินใจแสดงว่ากำลังของกรรมฐานที่สั่งสมมาประคับประคองอยู่ การที่เพิ่นตัดสินใจถือว่าคิดดีแล้วในแนวของเพิ่น ที่เอามาว่ามานินทากันนั้นเพราะมันขัดใจเรามันเข้ากิเลสเรา ว่ากันคะนองปาก คุณเอ้ย เล่นกันพระเหมือนเล่นกับไฟ ว่าเพิ่นซั่ว ถ้าเพิ่นชั่ว เราไม่ได้บุญนะ เราเท่าตัว ว่าเพิ่นชั่ว เพิ่นบ่ได้ชั่ว เราเป็นบาปเราขาดทุน ว่าเพิ่นแล้วมีแต่เท่าทุนกับขาดทุนหากำไรไม่ได้ ลงทุนแบบนี้ไม่งอกไม่เงยนะ เอาใจไปคิดเรื่องคนอื่นมันก็ทุกข์เรื่องคนอื่น แต่เอาใจมาไว้กับสติมาไว้กับเรานี้มันบ่ทุกข์มันมีแต่กำไร เพิ่นไปดีแล้วก็แล้วกันไปคุณเอ้ย ทุกคนหันหน้าเดินไปหาพระนิพพานกันหมดนั้นหล่ะ ถึงช้าถึงเร็วขึ้นอยู่กับเราเดินกับเราลงทุนดอก มาพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรมคำสั่งสอน พบครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์แล้วอย่าให้ขาดทุนเด้อ ให้เอากำไรจากเพิ่นเด้อ..

    โมทนาสาธุ

    ที่มา fb
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มิถุนายน 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การสำรวมกาย วาจา ใจ
    สิ่งไหนหรืออะไรดีที่สุด
    คำตอบก็น่าจะเป็นการสำรวมที่ใจจะดีที่สุด
    เพราะใจเป็นเสมือนศูนย์กลาง เป็นสื่อของวาจาและการกระทำ
    ตราบใดผู้ที่มีจิตยังไม่นิ่งเป็นสมาธิหรือฌาน หรือภายในยังไม่นิ่งสงบ
    สิ่งภายนอกนั่นก็คือ วาจาและการกระทำก็จะดีไม่ได้
    หรือถ้าจิตไม่ดีอย่างเดียว วาจาและการกระทำก็ดีไม่ได้เช่นกัน

    สิ่งที่อยากจะสื่อให้อีกเรื่องนึงก็คือ จงสนใจแต่จิตตนเอง(เท่านั้น)
    อย่าสนใจในสิ่งภายนอกหรือสิ่งที่มิใช่จิตตนเอง
    ถึงจะสนใจไปก็เท่านั้น คือเสียเวลามรรคผลนิพพานของตนเท่านั้นเอง
    เพราะไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงใครได้ นั่นก็คือไม่มีผู้ใดจะไปเปลี่ยนจิตข้างในให้กันได้
    ยกเว้น ผู้นั้นเจริญกรรมฐาน คือนำจิตไปเดินมรรคมีองค์๘ให้สุดซอยเสียก่อน
    หรือเดินจิตให้ถึงมรรคผลหรือนิพพานก่อน ผู้นั้นถึงจะเปลี่ยนจิตใจของตนเองได้

    ส่วนภูมิธรรม ภูมิปัญญาใครจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความละเอียดของจิตผู้นั้น
    เสมือนภูมิธรรม ภูมิปัญญาของพระอรหันต์ย่อมมีมากกว่าพระโสดาบันเป็นธรรมดา
    แต่ผู้ที่เข้าถึงแก่นธรรมเขาไม่ให้ความสำคัญกันทางนี้ เพราะมิได้ปฏิบัติเพื่อแข่งขันเอาชนะใคร
    ผู้ปฏิบัติถึงวิมุตติ จิตย่อมเต็มเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาหรือมหาเมตตาว่ากันไปตามละเอียดแห่งจิต
    ผู้ที่บรรลุธรรมจริงๆเขาไม่มานั่งถกเถียงกันหรอก หากิจกรรมอย่างอื่นทำจรรโลงใจกว่าเยอะ
    ผู้ที่มีภูมิธรรม ภูมิปัญญาสูงกว่าก็ต้องมีความเมตตาอบรมสั่งสอนธรรมกันบ้าง มิใช่มีไว้เพื่ออวด
    โดยเฉพาะผู้ที่มีปฏิปทาดีย่อมมีความเข้าใจมากเพราะมีปัญญามาก จิตก็ย่อมปราศจากกิเลสทั้งปวง
    เมื่อภายในจิตสะอาดบริสุทธิ์ ภายนอกคือวาจาและการกระทำย่อมสอาดบริสุทธิ์ตามจิตไปด้วย
    เสมือนต้นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ปลายน้ำย่อมสะอาดและบริสุทธิ์ตามไปด้วย

    ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด ประเทศใดก็ตาม ถ้าสังคมประเทศนั้นมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความเดือดร้อน
    นั่นแสดงว่าภายในจิตปชช.ส่วนใหญ่ของสังคมหรือประเทศน์นั้น มีจิตใจไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่มีสมาธิ
    ไม่มีปัญญา ผลสุดท้ายก็คือนอกจากตนเองเป็นทุกข์ยังไม่พอ ยังทำให้คนรอบข้างทุกข์ตามไปด้วย
    ยกเว้นแต่ผู้ปฏิบัติธรรมได้มรรคผลแล้ว ย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะคนอื่นทำ
    เพราะคนเราจะดีหรือเลว มิได้อยู่ที่คนอื่นหรือสิ่งอื่น แต่อยู่ที่พฤติกรรมของตนเองทั้งนั้น
    แต่ใครจะดีหรือว่าเลวก็ไม่เกี่ยวกับตนเองอยู่ดี ว่าแต่ว่า เราดีหรือเลวก็ย่อมรู้แก่ใจ

    สอบให้ผ่านทั้งรูป๑นาม๔ของตน ขันธ์๕ใครขันธ์๕มัน แยกจิตออกมาจากขันธ์๕ของตนให้ได้
    นรก สวรรค์ พรหมหรือนิพพาน ก็อยู่ที่จิตตนเองว่าแยกจิตออกมาจากขันธ์๕ของตนได้หรือเปล่า
    ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อแยกแยะว่าใครดีหรือเลว วัตถุประสงค์สูงสุดของพระพุทธศาสนาเพื่อการหลุดพ้น
    ปฏิบัติธรรมก็เพื่อละปล่อยวางกับกิเลสตัณหาอุปาทานของตนล้วนๆ มิใช่กิเลสตัณหาฯผู้อื่น
    ดูจิตตนเองมากๆ ดูว่าจิตของเรามันมีเลวตรงไหนก็แก้ตรงนั้น เอามันออกเสีย
    คนส่วนใหญ่ทำแต่สิ่งตรงข้ามกับพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเข้าไปทุกวันๆมันถึงดูยุ่งเหยิงแบบทุกวันนี้
    น่าจะเป็นจริงตามพระอริยเจ้าทำนายไว้ เดี๋ยวสงครามพระจะเกิด คนเริ่มปรามาสพระกันว่าเล่น
    แล้วฆราวาสจะทำอย่างไร เป็นกรรมการให้พระมั้ง เห่อๆ อยู่เฉยๆดีที่สุดท่านเลวก็เป็นเรื่องของท่าน
    เราไม่มีหน้าที่ตรงนั้น แต่จะเป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรม คนที่ดีเบตกันมันจะเกิดปัญญาตรงไหน
    ปัญญาทางโลกนั่นดิ แต่ไม่ใช่ปัญญาทางธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ นั่นก็คือ
    ปัญญาจะเกิดขึ้นได้นั้นจิตจะต้องสงบเป็นสมาธิหรือฌาน
    แยกให้ออกกันนะว่าอันไหนคือปัญญาทางโลก อันไหนคือปัญญาในทางธรรม
    การเรียนรู้ทางโลกกับการเรียนรู้ทางธรรมมันต่างกัน เราจะต้องแยกให้ออกและแยกให้เด็ดขาดด้วย
    การเรียนรู้ทางโลกเขาใช้สมองเรียน แต่การเรียนธรรมะนั้นไม่ใช้สมอง แต่ใช้จิตไปเรียนแทนสมอง
    นี่ไงที่มา นี่ไงผู้จะเอาดีทางมรรคผลนิพพาน นั่นก็คือนำจิตมาเดินมรรคมีองค์๘นี้เท่านั้น
    หรือศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นศัพท์ฮิตหรือพูดกันติดปากไปแล้ว แต่ไม่ยักติดใจหรือไม่ปฏิบัติตาม
    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลายหรือผู้ที่กำลังปฏิบัติก็ดี ขอให้ท่านพบขุมอริยทรัพย์ของท่านไวๆ
    พบปัญญาหรือปัญญาญาณของตนไวๆ สาธุ

    ***พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสกับพระอานนท์เลยว่า พระอานนท์อย่าไปยึดในตัวของพระพุทธเจ้าเลย
    แต่ให้ยึดพระธรรมของท่าน แต่ผู้ปฏิบัติต้องใช้ปัญญาให้มาก ไม่ใช่เอาแต่พระธรรม
    แต่ข้ามหรือไม่ระลึกนึกถึงพระพุทธคุณนั้นไม่ได้
    คนเราเกิดมาก็ต้องตายด้วยกันทุกคน แต่ถ้าไม่ตายแล้วคนที่เรากำลังยึด หรือไปหวังอยู่นั้น
    คิดว่าเขาคนนั้นเป็นคนดี เป็นที่พึ่งของตน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบฝากความสุขไว้กับผู้อื่นด้วยแล้ว
    ย่อมมีคำว่าผิดหวังอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
    เพราะฉะนั้น ตราบใดจิตเรายังไม่เข้าถึงวิมุตติก็ให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นดีที่สุด
    แล้วน้อมจิตปฏิบัติตามพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้หลุดพ้นเราถึงจะรอด
    หากผู้ใดไม่สามารถแยกจิตออกมาจากขันธ์๕ของตนได้ย่อมจะแยกสิ่งต่างๆไม่ชัดเจนเป็นธรรมดา
    เพราะมักพูดตามสิ่งที่ตนเองรู้เท่านั้น แต่จะรู้แบบไหน รู้ลึก รู้กว้าง รู้ละเอียดแค่ไหน
    ก็ตามแต่...ภูมิธรรม ภูมิปัญญาแห่งจิตของผู้นั้นเอง

    พวกเรายังคงจำกันได้ว่า...
    พระโสดาบันมิอาจล่วงรู้วาระจิตพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์รู้วาระจิตพระโสดาบันได้
    แค่นี้พวกเราก็คงจะเข้าใจดีแล้วว่ามันหมายถึงอะไร ถ้าไม่ใช่ความหยาบหรือละเอียดแห่งจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มิถุนายน 2013
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เรารู้แล้วล่ะว่า "ไก่ตัวที่ติดเชื้อ" นั้นคือตัวไหน ซึ่งเป็นเชื้อที่ร้ายแรงซะด้วย ยากที่จะเยียวยารักษาให้หายขาดได้ แต่ถึงกระนั้น เราก็ขออาสาเป็นหมอรักษา(จิต)ของไก่ที่ติดเชื้อตัวนั้นน่ะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่เก่งกาจอะไร แต่เราก็พอจะมียาขนานเอกพอที่จะรักษาให้เชื้อร้ายแรงตัวนั้น บรรเทาเบาบางลงได้บ้าง ถึงจะรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ไก่ที่ติดเชื้อตัวนั้น จะสงบลงได้บ้าง จะได้ไม่ต้องวิ่งไปไล่จิกแพร่เชื้อให้ไก่ตัวอื่นๆ เดี๋ยวจะได้บาปกรรมเพิ่มเข้าไปอีก.

    โมทนาสาธุ

    เมตตาธรรมค้ำจุนทั้งสามแดนโลกธาตุ..
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ ไม่ขอคืนสู่ชีวิตที่สละแล้ว

    [​IMG]

    หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ คือพระสุปฏิปัณโณผู้สร้างวัดเจติยาคีรีวิหาร
    ตั้งอยู่ที่ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
    ซึ่งเป็นศาสนสถานที่เหมาะสมยิ่งแก่การเจริญภาวนา

    ในปี ๒๕๑๒ ท่านริเริ่มการสร้างบันไดวน ๗ ชั้น ขึ้นไปยังยอดภูทอก
    ผู้ที่ได้ไปเยือนย่อมรู้สึกอัศจรรย์และซาบซึ้งในภูมิปัญญา ศรัทธา และวิริยะ
    ของทั้งพระสงฆ์และผู้ที่มีส่วนร่วมในการรังสรรค์สิ่งก่อสร้างดังกล่าวนี้

    หลวงปู่จวนอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในฝ่ายมหานิกาย
    ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๖ ได้บวชในฝ่ายธรรมยุต
    พระอุปัชฌาย์คือพระครูทัศนวิสุทธิ (พระมหาดุสิต เทวิโร)
    ซึ่งเป็นหลานของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
    หลวงปู่จวนเล่าถึงเหตุที่พระอุปัชฌาย์ตั้งฉายาให้ว่า “กุลเชฏฺโฐ” ไว้ดังนี้

    “พอได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ได้เพียง ๕ วัน
    ก็มาอุปสมบทข้าพเจ้าเป็นนาคแรก
    นับว่าข้าพเจ้าเป็นนาคแรกที่สุดของท่าน

    ท่านจึงได้ตั้งฉายาให้ข้าพเจ้าว่า “กุลเชฏฺโฐ”
    แปลว่า พี่ชายคนใหญ่ที่สุดของหมู่ของพวกในวงศ์ตระกูลนี้”

    หลังจากญัตติเป็นธรรมยุตแล้ว ในพรรษาที่ ๔
    หลวงปู่จวนได้มีโอกาสร่วมจำพรรษากับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ที่วัดป่าบ้านหนองผือ จึงได้รับโอวาทและคำชี้แนะในการปฏิบัติที่มีประโยชน์ยิ่ง
    เมื่อออกพรรษา ท่านได้กราบลาท่านอาจารย์เพื่อออกธุดงค์
    โดยเดินทางไปจนถึงจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งในพื้นที่นี้เอง

    ท่านต้องเผชิญภัยจากมาตุคาม (ผู้หญิง) อยู่หลายครา
    จนถึงครั้งที่หนักหนาสุดเพราะฝ่ายหญิงเป็นผู้มีกิริยาดี
    ตลอดจนผู้ปกครองของเธอก็สนับสนุน
    ให้ท่านลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยกันทำมาหากิน

    หลวงปู่จวนซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่ม
    ได้พยายามเจริญอสุภกรรมฐาน แต่ก็ไม่เป็นผล
    ในคืนที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะลาสิกขาหรือไม่นั้น ท่านได้อธิษฐานว่า

    “...หากข้าพเจ้าจะได้มีวาสนาได้เห็นธรรมเจริญต่อไปในทางพระพุทธศาสนา
    ก็ขอให้มีเหตุใดเหตุหนึ่งมาช่วยคลี่คลายเรื่องที่กำลังประสบนี้ด้วยเถิด...”



    ในยามเช้าที่ออกบิณฑบาตตามปกติ
    ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น สมดังคำอธิษฐานในคืนที่ล่วงมา

    “เช้าวันต่อมาเมื่ออกบิณฑบาต หญิงสาวผู้นั้นก็มายืนรอใส่บาตรตามเคย
    ข้าพเจ้าพยายามไม่มองหน้าหญิงนั้นเลย พอเปิดฝาบาตรจะรับบาตร
    ก็ให้บังเอิญว่าผ้าประจำเดือนของหญิงนั้นได้หลุดลงที่พื้นดิน

    แม้หญิงนั้นจะตกใจ พยายามใช้เท้าเหยียบให้จมโคลน ปกปิดภาพของจริงไว้
    แต่ข้าพเจ้าก็ทันเห็นเลือดสีแดงเต็มตา
    ในใจเกิดความรู้สึกสลดสังเวชขึ้นมาทันที
    ด้วยเห็นถนัดเป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจ

    ระลึกขึ้นมาได้ว่า เราได้อุตส่าห์สละชีวิตจากเพศฆราวาส มาสู่เพศบรรพชิต
    หนีจากของต่ำ มาหาของสูงแล้ว เรายังจะย้อนกลับไปหาชีวิตที่เราสละแล้วอีกหรือ”


    เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วท่านจึงปิดฝาบาตรทันที กลับไปยังที่พัก
    เก็บบริขารและหนีออกไปจากที่แห่งนั้น โดยที่ยังไม่ได้ฉันภัตตาหารใดๆ
    ต่อมาภายหลังท่านได้เล่าเรื่องนี้ถวายท่านพระอาจารย์มั่น
    เมื่อท่านอาจารย์ได้ฟังแล้ว ก็กล่าวว่า

    “เป็นธรรมดาของพระหนุ่มที่จะต้องพบเหตุการณ์เช่นนี้
    ความสำคัญอยู่ที่ว่าจะต้องเจริญกรรมฐานต่อสู้
    เอาชนะกิเลสมารตัวร้ายนั้นอย่างไรต่างหาก”

    หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ได้ต่อสู้กับกิเลสมารอย่างสง่างาม
    ครองสมณสารูปอันเป็นที่เคารพเลื่อมใสตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

    --------------------------------

    เอกสารประกอบการเขียน

    “กุลเชฏฐาภิวาท” ที่ระลึกเนื่องในวโรกาสทรงเป็นประธานในพิธีพระราชทาน
    และเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พิมพ์เมื่อปี ๒๕๓๒

    “พระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์” ธรรมบรรณาการเนื่องในงานฉลองพระธุตังคเจดีย์
    เจดีย์แห่งพระอรหันต์ และในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๔๗
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) ๒๒-๓๐ เมษายน ๒๕๕๑

    โดย เทียบธุลี Dharma@Hand Lite ธรรมะใสใส...ใกล้ตัวคุณ
    __________________
    ขอเชิญทำบุญช่วยพระภิกษุอาพาธ
    ขอเชิญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "นักปฏิบัติพึงยึดเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้ง ยึดเอาความหลุดพ้นเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติให้ดี ปฏิบัติให้ต่อเนื่องไม่ให้เผลอ ไม่ให้หลงลืม ไม่ให้ด่างพร้อยไปตามอารมณ์ พึงหลีกเว้นอารมณ์อันเป็นอกุศลทั้งปวง การปฏิบัตินั้นต้องกำหนดรู้ทุกอากัปกิริยา บุคคลใดยึดเอาเรื่องทุกเรื่องเข้ามาฝังอยู่ในจิตบุคคลนั้นย่อมเป็นทุกข์"

    "จิตที่เข้าถึงความเป็นจริง จะมีสติปัญญา เมื่อจิตที่มีสติปัญญาเข้าถึงความเป็นจริงของกายแล้ว จิตที่มีสติปัญญานั้นจะแยกสิ่งที่เคยเป็นอารมณ์อกุศลให้หลุดออก ไม่มีความยึดถืออยู่ด้วยกันอีก ใช้สติปัญญา ทบทวนดูผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาให้ละเอียดลึกลงไปเรื่อยๆว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่ฝั่งแน่นอยู่ในจิตนั้นมันหมดไปแล้วแค่ไหน"

    "บุคคลใดมี ทาน ศีล ภาวนา ให้ครบสมบูรณ์ทั้งสามอย่างเป็นองค์สามัคคีกันแล้วกำลังบารมีจะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ แยกจิต แยกกายออกจาก กันเข้าถึงความจริงของจิต และกาย ไม่ให้จิตยึดกายต้องปฏิบัติจิตของตน ฝึกจิตของตนเองให้อยู่เหนืออารมณ์ทั้งปวง ถ้าจิตอยู่เหนืออารมณ์ได้ ก็ข้ามพ้นทะเลเพลิงและจะหลุดพ้นในที่สุด"

    "กรรม คือผลของเหตุทั้งปวง มีร่างกายนี้ก็ถือว่าเป็นผลของกรรมเช่นกัน เพราะมีเหตุให้ได้เกิดมีร่างกายขึ้นมาเป็นผลของกรรมที่เรียกว่า กรรมเก่า ส่วนการกระทำเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ เรียกว่า สร้างเหตุใหม่ จะส่งผลให้ไปพบกรรมเก่า เหตุของมันก็มาจากการที่ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี"



    Cr.. FB ลูกพระพุทธ บุตรพระธรรม
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางไปแล้ว หมดปัญหาไปแล้ว

    -จะก้าวเข้าไปสู่นามธรรมต่อไป ไปพิจารณากิเลสที่ยังมีอยู่ในจิต คือสังโยชน์เบื้องบน

    ...ที่มีอยู่ ๕ ประการ คือ ๑. ติดในรูปญาณ ๒. ติดในอรูปฌาน ๓. อุทธัจจะ ๔. มานะ...

    ... ๕. อวิชชา เป็นธรรมขั้นละเอียดที่ต้องละให้ได้ พิจารณาควบคู่ไปกับการเกิดดับของ

    ...นามขันต์ทั้ง ๔. คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะเป็นเวทนาเกิดจากการปรุง

    -แต่งของสังขาร...จากการจำได้หมายรู้ของสัญญา ทำให้เกิดทุกขเวทนา สุขเวทนา ไม่

    ...สุขไม่ทุกขเวทนาขึ้นมา ...มีวิญญาณเป็นผู้รับรู้ ถ้าหลงก็จะยึดติด เวลาจิคมีความสงบ

    -ของรูปฌาน ก็จะติดอยู่ในรูปฌานถ้ามีความสุขที่เกิดจากความสงบของอรูปฌาน ก็จะติด

    ...อยู่กับอรูปฌาน...จะไม่สนใจออกมาเจริญพิ๗ารณา เพื่อกำจัดมานะและอวิชชา จึงยัง

    -มีการถือตนอยู่ ถือว่าตนสูงกว่าเขาบ้าง เท่าเขาบ้างต่ำกว่าเขาบ้าง ยังมีอยู่ในจิตยังมีการ

    ...เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา...สลับกันไประหว่างความสุขกับทุกข์อันระเอียด เวลาทุกข์ก็

    -พยายามกำจัดเพื่อให้สุข แสดงว่ายังติดในสุขอยู่จะหลุดพ้นได้ก็ต้องปล่อยวางทั้งสุขและ

    ...ทุกข์ที่มีอยู่ในจิตต้องพิจารณาด้วยปัญญาให้เห็นว่าสุขที่มีสุขอยู่ เช่นสุขที่เกิดจากรูป...

    -ฌาณหรืออรูปฌาณ...ก็ยังเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เพราะยังมีความทุกข์สลับขึ้นมา แต่ถ้าไม่

    -สังเกตจะไม่เห็น...จะคิดว่าไม่มีความทุกข์เหลืออยู่แล้ว คิดว่าสิ้นสุดแล้วแห่งการปฏิบัติ

    ...ก็ไม่ปฏิบัติต่อไปก็จะติดอยู่ในสุขแบบนั้น...พอมีความทุกข์ขึ้นมาก็ใช้สติปัญญาไปดับ

    -มัน ไปกดมันไว้ ไปหยุดมันไว้...แต่ไม่ได้พิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นเพียงสภาวธรรม เป็น

    .ของคู่กัน ความสุขกับความทุกข์ เป็นเหมือนเหรียญที่มี ๒ ด้าน มีหัวมีก้อย จิตตอนนั้นจะ

    ...ละเอียอมาก มีความสุขมาก แต่ในความสุขนั้นก็ยังมีความทุกข์ช่อนเร้นอยู่ จิตมีความ...

    ...ผ่องใสมาก แต่ก็มีจุดมีต่อม ดังที่ปรากฏในจิตของหลวงตาว่า ตรงไหนมีจุดมีต่อมตรง

    -นั้นจะเป็นภพชาติ เพราะจิตยังไปยึดติดอยู่ ยังมีความอยากให้สงบสุขอยู่อย่างนั้น เป็น

    ...การยึดติด มีตัณหาความอยาก ก็เกิดความทุกข์ในจิต ต้องพิจารณาว่าเป็นของคู่กัน ถ้า

    .ปล่อยก็ต้องปล่อยทั้งคู่...จะเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะเอาสุขก็ต้องมีทุกข์ เพราะไม่

    ...ได้เป็นสุขที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังอยู่ภายใต้กฏของอนิจจัง ยังเป็นกฏไตรลักษณ์อยู่ เมื่อ

    ...รู้ว่าเป็นไตรลักษณ์ ก็จะปล่อยวาง จะสุขจะทุกข์ก็ไม่ไปกังวลกัยมัน ปล่อยให้เป็นไปตาม

    -ธรรมชาติ เมื่อปล่อยไปแล้งก็จะหลุดพ้น...พระธรรมคำสอนของหลวงตามหาบัว กราบ

    -น้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์ท่านและน้อมกราบองค์ท่านด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ...
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การเร่งทางด้าน"จิตตภาวนา"นั้นแลจะได้เห็นภัยของโลกทั้งมวล สังขารเราแก่เข้าทุกๆวัน เปลี่ยนไปทุกขณะลมหายใจ ความหมายของจิตที่ปรุงไปก่อน เป็นอุปสรรคแก่ปัญญา ซึ่งจะเกิดเฉพาะหน้า ปัญญาที่เกิดขึ้นจากปัจจุบันจิต เป็นปัญญาที่เปลื้องความสงสัยได้โดยลําดับดังนั้น เราควรรักษาจิตให้เป็น"ปัจจุบัน"ตั้งอยู่กับกายกับอารมณ์ที่เกิดจากจิตโดยเฉพาะ เรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และอสุภธรรมทั้งหลายจะปรากฏขึ้นเองโดยปัญญาอันละเอียดอ่อน ซึ่งอาศัยปัจจุบันจิตเป็นภาคพื้น ความคาดคะเนนั้นทําได้ทุกคน เพราะไม่ใช่ของจริง ทําไปๆเลยเกิดด้านหรือชินไปเสียอย่างดื้อๆ ยกตัวอย่างคนเรียนปริยัติมากๆ จํามากๆ ซึ่งไม่ได้ใช่ ปัญญาแล้วจะรู้สึกว่ามี ทิฐิมานะมาก เพราะสําคัญตนว่าเรียนรู้มาก ใครจะสอนคนเช่นนั้นเขาจะไม่ฟังเสียง เพราะเขาสําคัญว่าความรู้ที่เขาเรียนมาสูง ดังนั้น ความทําจริงมุ่งต่อความหลุดพ้นจริงๆ แม้จะเรียนกรรมฐาน๕ เท่านั้นสาวกของพระพุทธเจ้าก็หลุดพ้นมีอยู่หลายองค์ ปรากฏอยู่ในตํารา การเรียนมากน้อยอาจเป็นอุปนิสัย ซึ่งเคยสะสมปริยัติมาในชาติปางก่อนก็ได้ สรุปแล้วเรียนมากเรียนน้อยก็ต้องไหลลงรวมในข้อปฏิบัติคือ"หลักจิตตภาวนาทั้งนั้น"ซึ่งเป็นหลักมุ่งประสงค์ของพระองค์อย่างแท้จริง อนึ่งความรู้ทั้งหมดจะเป็น"สุตะมะยะปัญญา"หรือปัญญาเกิดจากการศึกษามากน้อยทั้งหลายเหล่านี้จะต้องกลับมาพักตัวอยู่ที่"ภาวนามะยะปัญญา"อันเป็นส่วนรวมของปัญญาทั้งหลายเหมือนแม่นํ้าทั้งหลายไหลมารวมกันก็เป็นมหาสมุทรฉะนั้น
    ที่มา ธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    แสงสว่างย่อมไปกำราบตัวมืดให้หายไปฉันใด

    -เมื่อมีการกำหนดรู้อารมณ์ปัจจุบันแล้ว...
    ...ตัวกิเลสก็หายไปฉันนั้น เมื่อมีสติอยู่ ตัวโมหะย่อมหมดไป...

    ...เมื่อประคองตัวสติสัมปชัญญะให้ตั้งมั่นอยู่แล้ว...

    ...มันก็จะหมดสิ้นไปซึ่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย...และจะถึงที่สุดแห่งทุกข์...

    ...เพราะฉนั้น ก็ขอให้พวกเราได้รู้ซึ่งจุดจบของชีวิต...

    ...และความพ้นทุกข์...ความปลอดภัยของสัตว์ทั้งหลาย...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่.

    ...น้อมกราบหวงปู่ทองด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  17. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    สวัสดีจ้า...ท่านพี่
    วันนี้อากาศเมืองไทยร้อน
    น้องขอเสิร์ฟน้ำเย็นๆ ให้ท่านพี่ดื่มคลายร้อนก่อนนะคะ
    ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลสุขภาพ
    จะได้มีแรงปฏิบัติธรรม สร้างบุญบารมี ให้จิตใจผ่องใสยิ่งๆ ขึ้นไปนะจ้ะ
    ขอให้มากด้วยปัญญาและบารมีนะคะ ท่านพี่ปลายธาตุ




    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    "ให้เราพยายามสร้างความดีไว้ภายในใจของเรา
    เกิดมาชาตินี้เราไม่ได้เสียชาติเป็นมนุษย์
    ได้พบพระพุทธศาสนา
    นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐของเราแล้ว
    เราอย่าปล่อยอย่าวางชีวิตนี้
    ให้กิเลสเอาไปถลุงเสียเปล่าๆ
    ไม่เกิดประโยชน์อะไร" ​


    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน​
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ~ ปณิธานของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ~

    [​IMG]x​

    ~~หลวงพ่อชา สุภัทโท~~

    " เมื่อบวชมาก็ไม่ได้ปรารถณาว่าจะอยู่อย่างนี้ ไม่คิดว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ใคร
    ไม่ได้นึกว่าจะหนีวัฏฏสงสารนี้ ก็บวชธรรมดาไปอย่างนั้นแหละ แต่พอบวชเข้ามาแล้ว
    ได้เรียนได้ปฏิบัติเกิดศรัทธาขึ้น ครั้งแรกก็วิตกถึงความเป็นอยู่ของสัตว์โลกทั้งหลาย
    น่าสลดสังเวช คนเราเกิดมาแล้วประเดี๋ยวเดียวก็ตายไปทั้งนั้น ทิ้งบ้านทิ้งข้าวของให้ลูกหลานแย่งกัน ทะเลาะกัน
    เมื่อเราเห็นแล้วก็เข้าใจถึงจิตใจเรา เกิดสลดสังเวชในความเป็นอยู่ของคนจน คนรวย ทั้งคนโง่ คนฉลาดอยู่ในโลกนี้
    ธรรมะหรือความรู้นี้เต็มอยู่ในใจของเรา ไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง เมื่อจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว อะไรก็ตื่นตาม พบสิ่งต่างๆ ที่ตื่นอยู่เสมอ
    เรานึกอยู่เสมอว่าเราได้รู้จักธรรมะ เรียกว่ามันสว่างขึ้นแล้ว ทำให้มองเห็นอะไรหลายๆอย่าง เวลานี้ก็มีธรรมะ มีปีติอิ่มใจ ยิ่งสงบและมีปัญญามากขึ้นทุกที

    พอออกพรรษา พระเณรที่บวชพร้อมกันก็พากันสึก เรามองเห็นว่า เอ ไอ้พวกนี้มันยังไงหนอ แต่ก็ไม่ได้พูดกับเขา เพราะเรายังไม่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเอง
    พวกที่จะสึกพากันตื่นเต้น บางทีเอาเครื่องแต่งตัวมาใส่ เราเห็นว่าพวกนี้มันบ้าบอกันไปหมดแล้ว แต่เขาก็ว่า มันก็ดี มันสวย สึกแล้วก็ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้
    ตอนนั้นภายในใจเราคิดว่า นี่มันโง่มาก บวชมันบวชยากสึกมันสึกง่าย พวกนี้บุญน้อย เห็นทางโลกมีประโยชน์มากกว่าทางธรรมะ เราก็เห็นไปแต่ไม่พูด ได้แต่มองจิตของตัวเอง ไม่กล้าพูดให้เขาฟังว่าคิดอย่างนั้นมันผิด ไม่กล้าพูด เพราะตัวเราก็ยังเป็นของไม่แน่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าศรัทธาของเราจะยั่งยืนยาวนานไปถึงขนาดไหน"



    ~ ปณิธานของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ~

    เมื่อพระอาจารย์ชา สุภัทโท ได้ศึกษาธรรมะและวิถีธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งแล้ว
    จิตของท่านเริ่มตั้งคำถามขึ้นในใจว่า แม้แต่พระพุทธองค์ท่านยังคิดหาทางดับทุกข์ในฐานะกษัตริย์
    ปุถุชนอย่างเราจะไม่คิดเจริญรอยตามพระอรหันต์บ้างหรือ
    ท่านแลเห็นความจริงในเนื้อตัวของตนเช่นนี้แล้ว
    จึงตั้งปณิธานในใจอย่างแน่วแน่ว่า

    " ชีวิตนี้จะมอบให้แก่วิถีธรรมแห่งสมณเพศ
    เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นตลอดไป "
    ความตั้งใจเช่นนี้พระอาจารย์ชา กล่าวไว้ว่า

    " ก่อนที่ผมจะปฏิบัติ ผมมีความคิดว่า
    ทำไมบางคนทำตาม ทำไมบางคนไม่ทำ
    บางคนทำแบบนิดๆ หน่อยๆ แล้วเลิก
    หรือผู้ไม่เลิกก็ไม่ประพฤติเต็มที่
    เป็นเพราะอะไร ก็ความไม่รู้นี่เอง
    ผมจึงต้องอธิษฐานในใจว่า
    เอาละชาตินี้ เราจะมอบกายใจอันนี้ให้มันตายไปชาติหนึ่ง
    แล้วจะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเลย
    จะทำให้มันรู้แจ้งในชาตินี้ แม้แต่ว่าจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ต้องทำ
    ไม่เช่นนั้นก็จะสงสัยอยู่เรื่อยไป ทำไมมันยุ่งยากนักวัฏสงสารนี้"
    "




    ที่มา... FB Tuangporn Luengchaiya
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...สาธุ อนุโมทนาค่ะ คุณภูทยาน นี่คือสิ่งที่เรารู้ตัวแล้วก็ต้องรีบแก้

    ...ก่อนที่อะไรๆ มันจะแก้ไม่ได้ คนเราถ้ารู้จักแก้แล้ว. แล้วการปฏิบัติ ของเราก็จะพบแต่ความสว่าง

    ...พบกับตัวตนของตนเอง การปฏิบัติที่จะถึงมรรคผล แล้วต้องมีความศรัทธา

    ...และเชื่อมั่นในสิ่งนั้นๆที่เรากำลังตั้งใจทำด้วยความศรัทธา ด้วยความขยัน หมั่นเพียร ฝึกฝนตนตัว

    ...แล้วผลของการกระทำของเรา เราก็จะได้พบกับความสำเร็จตามที่เราได้ตั้งใจทำมาสิ่งที่เราทำมา...

    ...เราก็จะได้รู้ถึงการที่เราตั้งใจกระทำมา จนได้รู้ธรรม เห็นธรรม เห็นสิ่งที่เรากระทำมา...

    ...ขอน้อมรับคำสอนและขออนุโมทนาในธรรมทานค่ะสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...