จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุในความตั้งใจในการปฎิบัติจ๊ะ อั่ยเรื่องกลัวผีเนี่ยเมื่อก่อน พี่ดชน กลัวจนไม่รู้จะอธิบายยังไง เข้าห้องน้ำ ความมืดก็กลัวเพราะเหตุจากกลัวผี แถมตุ๊กแกนี่ยิ่งร้ายแต่ตอนนี้ไม่เห็นกลัวอะไรเลยอ่ะ มีพระอยู่ด้วยตลอด หุหุ
     
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    นั่นสิพี่ภู ชาวจิตบุญทั้งหลายหายไปไหนโหมดดดดดด
    แม่นางแห่งขุนเขาฯ ลูกหว้า คุณวิทย์
    จงมา ออกมา เดี๋ยวนี้ นี้ นี้ นี้
     
  3. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ช่วยตอบ
    มาช่วยกันตอบคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  4. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    เอ๋..? เหมือนมีใครเรียกหญิงเล็ก.?
    อ้อ! ท่านพี่นั่นเอง น้องพากายหยาบไปนอนมาจ้า พอดีไม่สบายนิดหน่อย
    ตอนนี้ตื่นแล้วๆ...
    เอ้า! มายิ้มรับวันใหม่กันเร้ววว!!
    ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของทุกท่านนะคะ
    ^^



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  5. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    มาสวัสดี พี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชน คุณวิทย์ คุณหว้า และทุกท่าน

    สอง-สามวันมานี้ กายหยาบไม่ค่อยสบาย เป็นวันละอย่าง สุดท้าย ปลงและเบื่อกายสังขารมากค่ะ เกิด แก่ เจ็บ สุดท้ายก็ตาย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...........
     
  6. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เป็นไรม๊าง ไม่บาย แต่ใจยังแกร่งเหมือนเดิมนะ โหเอาภาพเด็กนอนแบบนั้น ตาแก่ๆมองแล้วบอก โหลูกหว้าเอาไก่อบมาให้ทั้งตัว กำลังจะบอกว่า ฉ๊านม๊ะกินไก่ 5555555555 มองอีกทีเป็นเด็ก
    ตาหน๊อตา ตาเป็นสาฯของยาย
     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    555เป็นวันละอย่างดีกว่า เป็นวันละหลายอย่างนะคุณแสงจันทร เอาจิตไปเกาะพระเข้าไว้ จะเป็นหลายอย่างจิตเค้าก็ไม่แคร์ เอ๊า..จะไปปลงทำไม๊ อย่าเพิ่งปลง เสียดายเปลี่ยนจากปลงเป็นวางนะ วางลงตรงกฎไตรลักษณ์ จบไปเป็นฉากๆ จบไปทุกขณะจิต ....
    เอออออออออออ.....สระอี หายไปไหนอ่ะ 555555555
    แซววันละนิดจิตแจ่มใส5555555
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้องหญิงรอง(ดชน.)
    ตกลงลูกหลานเหลนของพระพุทธเจ้า เนี๊ย!
    พวกเราช่วยยกจิตกันหมดแล้วใช่ไหม๊???

    หมดรึยัง?

    แต่ถ้าหมดแล้ว งั้นพี่ภูก็จะปิดกระทู้หนี
    ปิดรับสมัครกันดีป่ะ

    ให้ไวๆ

    โดยเฉพาะจิตที่เฉื่อยๆ แฉะๆ
    ระวังนะ
    ไปเอาไม้เรียวมาด้วย
    ครูดชน.จะเฆียนละคราวนี้
     
  9. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โอ๊ะ โอ๊ะ อย่าเพิ่งนะเจ้าคะท่านพี่ ดชน เห็นเกาะขอบจอกันเยอะอยู่นา ว่าแต่ ตอบ จม บ๊ทันเรยอ่ะ โดยเฉพาะครูเพ็ญ หุหุ
     
  10. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ยังปิดไม่ได้นะพี่ภู ชาวจิตเกาะพระยังมีคนมาให้สอนอยู่ ส่วนชาวจิตเกาะขอบจอก้อปล่อยเค้าไปก่อน บารมีพร้อมเดี๋ยวมาเอง หุหุ
     
  11. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ได้ซักจานก้อดีนะ ยำยำไวไวมาม๊ะ
     
  12. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    กินด้วยคน พรุ่งนี้เราทำมั่งดีก่า เพราะว่ามันใกล้เวลาเงินเดือนจะออกน่ะ แต่ก่อนที่เงินเดือนอันไม่เที่ยงมันจะออก มันก็ต้องพึ่งสูตรครูดัชประทังชีวิตไปพลาง ๆ
    ยำยำไวไวมาม๊ะ
    :boo::boo::boo:
     
  13. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ถึงจะปิดกระทู็้หนีก็จะตามหา โฮ้ะๆ มีอีแมวของครูเพ็ญแล้ว เดี๋ยวต้องเจอคนอื่นด้วยแหละ นอกเสี้ยะจากว่า ท่านไม่รับหรือการติดต่อทางอิเลคโทรนิคล่มสลาย อันนั้นก็ยอมไปตามทาง นะจ๊ะๆ แต่ว่าอย่าพึ่งปิดเลย แม้บางท่าน(หมายถึงตัวเองด้วย) ยังยกไม่ได้ แต่ก็ยังได้ธรรมมะของชาวจิตบุญ เป็นโอสถนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. กรรมบท 10

    กรรมบท 10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +237

    :cool: เห็นด้วยค่ะ ชาวเกาะขอบจอ ใจหายหมด จิตก็ยังยกไม่ขึ้น ได้อ่านธรรมะในนี้ ก็ยังชื่นใจหน่อย
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อารมณ์ฌานโลกุตตระ ​

    อารมณ์ฌานโลกุตตระ
    อารมณ์ฌานโลกุตตระ
    วันนี้ก็จะพูดถึง ฌานโลกุตตระ
    โลกุตตระ หมายความว่า ความเป็นพระอริยเจ้า
    สำหรับพระอริยเจ้า 2 ขั้น คือ พระโสดาบันกับพระสกิทาคา ทั้ง 2 ท่านนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย แล้วก็มีสมาธิเล็กน้อย แต่เป็นผู้มั่นอยู่ในศีล เป็นผู้ทรงอธิศีล
    คำว่า อธิ นี่แปลว่า ยิ่ง หรือว่า ใหญ่ หรือว่าทับทรงอธิศีล ก็หมายความว่า ทรงศีลอย่างยิ่ง ที่ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด หรือ สำหรับพระโสดาบัน มีอะไรบ้าง
    ถ้าว่ากันตาม สังโยชน์ ก็คือ
    1. สักกายทิฏฐิ
    2. วิจิกิจฉา
    3. สีลัพพตปรามาส
    พระสกิทาคามี ก็มีเท่ากัน
    สำหรับปัญญาในด้านสักกายทิฏฐิ เห็นไม่ลึก ยังเห็นตื้น ๆ นั่นก็คือว่ามีความรู้สึกอยู่อย่างเดียวว่า การเกิดเป็นทุกข์ การทรงชีวิตอยู่นี่มันเป็นทุกข์ และในที่สุดชีวิตของเราก็จะต้องตาย ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านไม่ลืมความตาย แต่ไม่ใช่ว่านึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถาม พระอานนท์ว่า
    อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง
    พระอานนท์ก็ตอบว่า
    วันละประมาณ 7 ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
    ใน ขณะนั้นพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่า อารมณ์ของพระโสดาบันนี่ มีความคิดในด้านปัญญาแค่ว่าชีวิตนี่มันต้องตาย ยังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เต็มที่ ท่านจึงกล่าวว่า มีปัญญาเล็กน้อย และก็มีสมาธิไม่สูง ก็ได้แค่ปฐมฌาน
    และข้อที่ 2 วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาตัวนี้ พระโสดาบันไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่า มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง มีความเคารพในพระธรรมจริง มีความเคารพในพระอริยสงฆ์จริง มีความมั่นคงในพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ
    และข้อที่ 3 สีลัพพตปรามาส พระ โสดาบันกับพระสกิทาคามี สามารถทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ หมายความว่าไม่มีเจตนาเพื่อจะละเมิดศีล 5 แค่ศีล 5 เท่านั้นนะ ตามแบบสังโยชน์ท่านกล่าวไว้ว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่ก็เป็นแค่ตัดสังโยชน์เบา ๆ ได้ 3 และใช้ปัญญาเบา ๆ คือ มีความรู้สึกว่าร่างกายมันจะต้องตาย
    ถ้าร่างกายของเราจะต้องตาย อบายภูมิมันมี สวรรค์มันมี พรหมมันมี ท่านก็คิดว่า ถ้าเราจะตายชาตินี้ เราก็ไม่ขอไปอบายภูมิ ถ้า จะไม่ไปอบายภูมิสิ่งที่เราจะเกาะนั่น ก็คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณพระอริยสงฆ์ ก็มั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ เพราะว่า ถ้ามั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีล 5 บริสุทธิ์ อันนี้ไม่ใช่ไปอบายภูมิ นี่ว่ากันตามลักษณะของสังโยชน์
    แต่ ว่าในอารมณ์ของการปฏิบัติ นั่นตามหนังสือนะ อารมณ์ของการปฏิบัติก็มีความรู้สึกตามนั้นจริง แค่ว่าพอจิตของเราจะก้าวออกจากโลกียฌาน เข้าสู่โลกุตตระ เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตอนนี้จิตจะต้องเข้าสู่ โคตรภูญาณ ก่อน​
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า โคตรภูญาณ
    ก็หมายถึงว่า
    มีอารมณ์อยู่ในระหว่างท่ามกลางโลกียะกับโลกุตตระ
    ตอนนี้ก็เห็นจะไม่ต้องอธิบายมาก เพราะมันจะเผือ
    เครื่อง สังเกตง่าย ๆ สำหรับโคตรภูญาณ ใจของเรามีความรู้สึกว่า เราจะต้องตาย ตายเมื่อไหร่ก็เชิญ ในเมื่อเรามีที่พึ่ง คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เรามีศีล 5 บริสุทธิ์ เราก็ไม่หนักใจในด้านที่มันจะต้องตาย เพราะ ตายอย่างน้อยเราก็ไปสวรรค์ แต่ว่าถ้าจะถึงสวรรค์อย่างเดียวแล้วกลัวลงอบายภูมิ นี่เราไม่ต้องการ
    ฉะนั้น อารมณ์ของท่านที่ปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าถึงพระโสดาบัน พอจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ตอนนี้จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ใครจะมาพูดถึงพรหมก็ดี พูดถึงสวรรค์ก็ดี และความเป็นใหญ่ในเมืองมนุษย์ มีความใหญ่โต มีความร่ำรวยก็ดี จิตไม่พอใจ ไม่ใช่โกรธแต่ก็ไม่เต็มใจ จิตตั้งใจอย่างเดียว คือ ต้องการพระนิพพาน นี่พูดในแนวของสุขวิปัสสโก
    ถ้าพูดในแนวของวิชชาสาม วิชชาสามมี ทิพจักขุญาณเป็น เบื้องต้น พอจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ตอนนี้กำลังของวิชชาสามจะเห็นพระนิพพานแจ่มใสชัดเจนมาก ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงโคตรภูญาณ มองพระนิพพานเท่าไหร่ก็ไม่เห็น จะเห็นได้ก็แค่พรหม นี่เป็นเครื่องวัด
    สำหรับท่านที่ได้ อภิญญา ถ้ากำลังจิตยังไม่เข้าถึงโคตรภูญาณ ไปถึงพระนิพพานก็ไม่ได้ ถ้ากำลังจิตนั้นเข้าถึงโคตรภูญาณ ไปถึงพระนิพพานก็ไม่ได้ ถ้ากำลังจิตนั้นเข้าถึงโคตรภูญาณขึ้นไป สามารถ ไปถึงพระนิพพานได้ นี่เป็นเครื่องวัด ต่างกันนะ
    ที่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นแนวของสุขวิปัสสโกว่า ถ้าจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ จิตจะมีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตเข้าถึงพระโสดาบันปัตติผล จิตรักพระนิพพานด้วย อารมณ์ธรรมดาก็มีขึ้นมาอีกจุดหนึ่ง ถูก ด่า ถูกว่า ถูกนินทา มันสะเทือนน้อย สะเทือนเหมือนกัน ยังมีความโกรธเหมือนกัน แต่มันโกรธช้าหรือไม่มันโกรธเบากว่าปกติ อันนี้ท่านเรียกว่า พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี
    ขอ เล่าแบบหยาบ ๆ นะ เพราะเวลามันจำกัด และถ้าเราจะหมุนกันไปอีกทีหนึ่ง พระโสดาบัน แต่ถ้าถึงพระโสดาบันแล้วประพฤติตัวอย่างไร อย่าลืมนะว่าพระโสดาบันมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน
    คัวอย่าง นางวิสาขา ท่าน เป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ 7 ปี ในที่สุดอายุ 16 ปี ท่านก็แต่งงาน พระโสดาบันก็ยังอยากรวย การแต่งงานของพระโสดาบัน ก็ยังอยู่ในขอบเขต ไม่ละเมิดศีล 5 คือ มีมีกาเม และก็สำหรับความอยากรวยของพระโสดาบันก็รวยด้วย สัมมาอาชีวะ ไม่คดไม่โกงใคร พระโสดาบันยังมีความโกรธอยู่ ไม่ใช่ว่าจะหมดความโกรธ แต่มันเบาไปหน่อยหนึ่ง แต่ว่าโกรธก็จริงแหล่ แต่ไม่ฆ่าใครตาย ขึ้นชื่อว่าพระโสดาบันยังมีความหลงก็เพราะว่า ยังมีความรัก ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ แต่ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของศีล จะเห็นว่าประเดี๋ยว เอ๊ะ เห็นเขาเป็นพระโสดาบันทำไมแต่งงาน
    และ มาอีกท่านที่น่าคิดมาก คือ ลูกท่านมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง แค่เห็นพรานกุกกุฏมิตรมาขายเนื้อ อาศัยที่อดีตเคยเป็นสามีภรรยากันมาในกาลก่อน เห็นก็เกิดความรัก ผลที่สุดก็หนีพ่อแม่ไป ติดตามพรานออกไปอยู่ในป่าเป็นสามีภรรยากัน คนนี้ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ 7 ปีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาไปถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่าความรักมันเกิด ด้วยเหตุ 2 ประการคือ
    1. บุพเพสันนิวาส ถ้าบุพเพสันนิวาสนี้ เห็นเข้าแล้วมันทนไม่ไหว จะต้องแต่งงานกันแน่
    2. ความรักจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อัน นี้เบาหน่อย ถ้าเป็นพระโสดาบันก็ไม่ต้องโดตามเขา ข้อแรกต้องโดแน่ ถ้าเขาไม่ตกลง ถ้าผู้ใหญ่ไม่เห็นชอบ เป็นอันว่าพระโสดาบันที่ประพฤติตัวจริง ๆ คือ
    (1) ยังมีการครองเรือนแต่งงานกัน มีลูกมีเต้าเหมือนกัน
    (2) พระโสดาบันก็ยังอยากรวย ทุก ๆ อย่างอยู่ในขอบเขตของศีล
    (3) พระโสดาบันก็ยังมีความโกรธ แต่โกรธช้า กำลังเบา
    พระ โสดาบันยังมีความหลง ถ้าพูดให้ย่อลงมาอีกนิดเพื่อความเข้าใจง่าย ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วอารมณ์อย่างนี้ เมื่อถึงพระโสดาบันแล้ว อารมณ์อย่างนี้ เมื่อถึงพระโสดาบันแล้วอารมณ์อย่างนี้จะทรงตัว คือ
    1.ไม่ เคยประมาทในชีวิต มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย แต่ก็ไม่ได้คิดทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ลืมคิดว่าถ้าจะตายเราไม่ยอมไปอบายภูมิ จุดที่เราจะไปมีจุดเดียว คือ พระนิพพาน
    2. พระโสดาบันเคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระสงฆ์จริง
    3.พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์
    4.พระโสดาบันมีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์
    จำไว้นะเท่านี้นะ และจำไว้ว่าพระโสดาบันยังครองเรือน สำหรับกำลังของ พระสกิทาคามี ก็ มีอารมณ์เบาไปกว่าพระโสดาบันลงไปอีกนิดหนึ่ง คือว่า เรื่องของความรัก ก็ยังมีความรักอยู่ รู้สึกว่า มันเนือยลงไปมาก มันเบาไปมาก ความโกรธหรือความอยากรวยก็บรรเทาลงไปเยอะ ถ้าพูดถึงความหลง ก็เบาลงไปด้วย มีสภาพเหมือนกันกับพระโสดาบัน แต่มันเบากว่า
    ต่อมาก็จุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง ก็คือ พระอนาคามี สำหรับพระอนาคามี มีจุดสังเกตที่ง่าย ๆ อยู่จุดหนึ่ง จุดที่เราจะสังเกตง่ายที่สุดคือว่า จิตใจของบุคคลใดถ้าก้าวเข้าไปสู่ในเขตของพระอนาคามี จิตของพวกนั้นมีความต้องการศีล 8 และมีการรักษาศีล 8 เป็นปกติ
    นี่ เป็นก้าวแรกของพระอนาคามี และเราจะรู้ตัวได้เลยว่า จิตมันจะพอใจในศีล 8 เป็นปกติ ใครเขาจะมาแนะนำว่า ใครรักษาศีล 8 อดข้าวหนึ่งเวลา ทำให้สุขภาพไม่สมบูรณ์ พวกนี้ไม่ยอมรับฟัง มีความพอใจในศีล 8 และทรงศีล 8 ได้เป็นปกติ นี่ถือว่าก้าวเข้าเขตของพระอนาคามี ​
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ต่อมาก็จุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง ก็คือ
    พระอนาคามี
    สำหรับพระอนาคามี มีจุดสังเกตที่ง่าย ๆ อยู่จุดหนึ่ง จุดที่เราจะสังเกตง่ายที่สุดคือว่า จิตใจของบุคคลใดถ้าก้าวเข้าไปสู่ในเขตของพระอนาคามี จิตของพวกนั้นมีความต้องการศีล 8 และมีการรักษาศีล 8 เป็นปกติ
    นี่ เป็นก้าวแรกของพระอนาคามี และเราจะรู้ตัวได้เลยว่า จิตมันจะพอใจในศีล 8 เป็นปกติ ใครเขาจะมาแนะนำว่า ใครรักษาศีล 8 อดข้าวหนึ่งเวลา ทำให้สุขภาพไม่สมบูรณ์ พวกนี้ไม่ยอมรับฟัง มีความพอใจในศีล 8 และทรงศีล 8 ได้เป็นปกติ นี่ถือว่าก้าวเข้าเขตของพระอนาคามี
    สำหรับพระ อนาคามี พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะต้องทรงอธิจิต คือ หมายความว่า จะต้องทรงจิตถึงฌาน 4 การเดินมาจากพระโสดาบัน สกิทาคา จะเป็นพระอนาคามีนี่เป็นของไม่หนัก เพราะว่าจิตมันทรงตัวแล้ว เรื่องฌาน 4 เป็นของไม่ยาก สำหรับท่านที่ฝึกมโนมยิทธิ ได้แล้ว นั่นแหละฌาน 4 ที่ไปโน่นไปนี่ได้น่ะ ไปด้วยกำลังของฌาน 4 ซึ่งเป็นของไม่หนัก เมื่อจิตทรงถึงฌาน 4 แล้ว พระอนาคามีต้องตัดกิเลส อีก 2 ตัว ตัดกิเลสตัวสำคัญ คือ
    1. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ความสัมผัสระหว่างเพศ และรวมความว่าการครองคู่อยู่ด้วยกันในฐานะสามี ภรรยา
    2. ความโกรธ ความพยาบาท ถ้า หากการก้าวเข้ามาจากพระโสดาบัน สกิทาคา ก็เป็นของไม่ยาก เพราะตอนเป็นพระสกิทาคามี ความโกรธมันเบาบางมาก ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จิตมันให้อภัยเร็ว ที่ เรียกว่า อภัยทาน
    นี่เครื่องสังเกตของพระอนาคามี
    ถ้า จิตเข้าถึงพระสกิทาคามี ใครเขาทำอะไรให้ไม่ชอบใจ มันไม่ชอบใจเหมือนกัน แต่เกิดช้า โกรธช้า แล้วหายเร็ว ถ้าหายแล้วไม่ผูกพันในด้านของความโกรธ ให้อภัยแก่บุคคลผู้ผิด จิตมันเบาบางมาถึงขนาดนี้แล้ว การก้าวเข้าหาพระอนาคามีก็เป็นของไม่ยาก พระอนาคามีนี่ต้องใช้สมถะและวิปัสสนาควบถึง 2 จุด คือ
    1.ตอนตัดกามฉันทะ ต้องใช้อสุภกรรมฐานและกายคตานุสสติกรรมฐาน พิจารณา ว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มันแสนจะสกปรกภายในร่างกายหาอะไรดีไม่ได้เลย ดูก็แล้วกันว่ามันมีอุจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ดูตัวเราไม่ต้องดูชาวบ้าน ถ้าไม่เห็นตัวเราชัดก็น้อมจับวิปัสสนาญาณตัวสำคัญเข้ามาคือ สักกายทิฏฐิ
    สักกายทิฏฐิ ก็มามองดูร่างกายนี้ นอกจากมันจะสกปรกแล้ว จับร่างกายเป็นอาการ 32 เป็น กายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นร่างกายสกปรกเป็นอสุภะกรรมฐาน
    ต่อ นั้นไปก็จับวิปัสสนาญาณ คือ สักกายทิฏฐิ ได้ตัวร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกแบบนี้ มันมีสภาพไม่เที่ยง มีอาการไม่ทรงตัว ความจริงนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ ถ้ามันเป็นของเราจริง เป็นเราจริง มันก็ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย
    แต่ ว่ามันสกปรกก็ไม่พอ เลี้ยงดูมันเท่าไรมันก็ไม่เที่ยง กินเท่าไหร่มันก็ไม่อิ่ม ในที่สุดมันก็พัง เป็นอันว่าร่างกายสกปรกด้วย เสื่อมโทรมลงทุกวัน แล้วมันก็พังด้วย ร่างกายของเรามีสภาพน่าเกลียดอย่างนี้ ร่างกายของบุคคลอื่นก็มีสภาพน่าเกลียดเหมือนร่างกายเรา นี่ความปรารถนาในร่างกายซึ่งกันและกัน จะหามาเพื่อประโยชน์อะไร
    ตอนนี้ใจมันก็เบื่อ อารมณ์มันก็ตัด ตัดไปเลย คือ ไม่พอใจในกามารมณ์ใด ๆ ทั้งหมด อันนี้ต้องควบกันนะ
    2. พระอนาคามีไม่มีความโกรธ ตัวนี้มันก็เบามาจากพระสกิทาคามีแล้ว แต่ว่าเพื่อความไม่ประมาทก็ใช้อารมณ์ควบคือ อารมณ์จิตทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ จิตคิดให้อภัยแก่บุคคลผู้มีความผิด จิต อีกดวงหนึ่งก็มาคิดว่า ชีวิตนี้ของเราก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี มันไม่ทรงตัว ไม่ช้ามันก็ตาย ความโกรธเป็นไฟเผาผลาญความดีของจิต ถ้าเราคิดว่าจะโกรธ ประโยชน์ของความโกรธนี่มันไม่มีเลย มันมีแต่โทษ จะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
    การโกรธเขาทำอย่างไร เขาต้องแก้กัน เขาก็ต้องประหัตประหารกัน เพื่อให้คนอื่นมีความทุกข์ หรือว่าคนอื่นตาย แต่ว่าความจริงความทุกข์ของคนทั้งหลายมันมีอยู่แล้ว เราจะทำเพื่ออะไร
    อีกประการหนึ่ง ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ที่เราไม่ชอบใจจะทำร้าย มันก็มีการสลายตัวเป็นปกติ เป็นอันว่าขึ้นชื่อว่า ความโกรธประเภทนี้ไม่มีความดี มันต้องไม่มีในกำลังจิตของเรา จิตใจของท่านผู้นั้นจะค่อย ๆ คลาย เพราะว่ามีความรู้สึกว่าร่างกายมันไม่ดี มีสภาพไม่เที่ยง เกิดขึ้นเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และปัญญามันก็เกิดมาก มีความรู้สึกว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายของเขาก็ไม่มีเหมือนกัน
    เพราะร่างกายมันเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม เมื่อ สภาวะมันมีอย่างนี้ จะนั่งโกรธเพื่อประโยชน์อะไร โกรธทำให้ใจเร่าร้อน แต่ความเป็นมิตรกัน คือ รักกัน มันทำให้จิตเป็นสุข มีความสงสารซึ่งกันและกัน มีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความเป็นมิตร ทำให้ใจเป็นสุข
    ประการที่สาม การไม่อิจฉาริษยาบุคคลอื่น เห็นคนอื่นเขาได้ดีพลอยยินดีด้วย และปฏิบัติตามเขาเพื่อความดีของเรา อันนี้ทำให้จิตเป็นสุข
    ประการที่สี่ ถ้าบุคคลเพลี่ยงพล้ำลงไปเราก็ไม่ซ้ำเติม ถ้าหากโอกาสจะพึงมี เราจะเข้าประคับประคองให้เขามีความสุข สร้างความเป็นมิตร นี่เพื่อปัจจัยของความสุข เราทำอย่างนี้ดีกว่า
    เมื่อจิตมัน ทรงอารมณ์จริง ๆ ความโกรธมันก็สลาย มีตัวเมตตาเข้ามาแทน ในเมื่อกำลังใจตัดความรักในระหว่างเพศได้ พระอนาคามีเป็นเครื่องสังเกตไม่ยาก ก้าวแรกที่จะเข้ามาถึง นั่นคือ ศีล 8
    และ ก้าวที่สองที่เข้ามาถึง ก้าวนี้ต้องดูก่อน ไม่แน่ว่าใครจะถนัดขนาดไหน บางคนก็หันมาตัดโทสะก่อน บางคนก็หันไปตัดราคะก่อน ในด้านราคะให้สังเกตดูว่าความรู้สึกระหว่างเพศไม่มีเลยสำหรับพระอนาคามี และต่อมาเรื่องของความโกรธ จริง ๆ มันก็ไม่มีอีกนั่นแหละ แต่การแสดงว่าจะโกรธมันมีอยู่ อย่างคนผู้ใต้บังคับบัญชา คือ ที่เราปกครองคน ถ้าบุคคลประเภทนั้น ถ้าเขาทำความผิดนอกคำสั่ง เห็นว่าจะเสียถ้าเตือนดี ๆ ไม่รับฟัง ก็แสดงท่าเหมือนโกรธ ถ้าขืนทำอย่างนี้จะลงโทษให้สาหัส ถ้าขืนทำจริง ๆ ก็จะต้องลงโทษตามระเบียบวินัยตามกฎข้อบังคับที่วางไว้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นอารมณ์โกรธ
    อย่างที่พระพุทธเจ้าลงโทษ พระ พระพุทธเจ้าอย่าลืมว่าท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่มีสิกขาบทลงโทษพระไว้ตั้ง 300 กว่าสิกขาบท นี่จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าโกรธพระหรือ ความจริงไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นมันเลว ท่านยับยั้งไม่ให้ทำความเลวต่อไป ก่อนจบ ก็ขอให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายพยายามสังเกตกำลังใจของบรรดาท่านพุทธ บริษัทว่า เวลานี้กำลังใจของท่านถึงไหน และถ้ามันยังไม่ถึง จุดไหนบ้างที่เราควรจะทำ
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ เวลาจะก้าวเข้าสู่พระนิพพาน พยายามตัดขันธ์ 5 ให้เด็ดขาด ไม่สนใจกับความรัก ไม่สนใจกับความโกรธ ไม่สนใจกับความโลภ ไม่สนใจกับวัตถุธาตุใด ๆ ทำอารมณ์ใจให้ผ่องใส แล้วพยายามขึ้นไปบนพระนิพพาน อารมณ์ตอนนั้นเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ แต่เราอาจจะไม่เป็นอรหันต์ แต่ว่าเป็นอรหันต์เฉพาะจุดในเวลานั้น
    แต่ก็ยังดี ถ้ามันเป็นทุก ๆ วัน ไม่ช้ามันจะชิน ถ้ามันชินมันก็เกาะติด ถ้าหากจะถามว่า อารมณ์ใจเมื่อเข้าถึงอนาคามี อารมณ์ยังกระสับกระส่ายอยู่ไหม ขอบอกว่ายังมีอยู่ การเจริญสมาธิจิต ตัวแทรกก็ยังมีอยู่ อารมณ์ที่แทรกเข้ามามันเป็นอารมณ์ของกุศลอย่างเดียว อกุศลไม่มี
    เอา ละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เที่ยวนี้ก็พูดถึงอารมณ์ของการปฏิบัติแต่โดยย่อ ขอให้ทุกท่านจงจำไว้ จะได้เป็นกำลังใจหรือเป็นบันไดแห่งการปฏิบัติ หากท่านสงสัยก็ทบทวนดูใหม่ให้เข้าใจ
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธบริษัททุกท่าน
    สวัสดี ​


    รวมคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=194
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    (เล่าต่อ)

    เรื่อง ถอดจิต
    ขอบอกกล่าวกันก่อนนะว่า ที่ผู้เขียนเล่ามา เล่าไปทั้งหมดนั้น จริงเท็จอย่างไร ไม่ต้องมาถามกันนะ เพราะ ถือว่าเป็นเรื่องปัจจัตตัง เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ปฎิบัติทุกท่านก็อาจจะเคยสัมผัสมา แต่อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ถือซะว่า คุณได้อ่านนวนิยายก็แล้วกันนะ อย่าถือเอาจริง เอาจังกัน ถึงใครถอดแล้ว แต่มิได้หมายถึง จิตหลุดพ้น
    แต่ขอให้พวกท่าน ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ และปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่าเคร่งครัดจะดีกว่า สนใจจิตของตนก่อนอื่น แล้วน้อมนำพระธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านมาปฎิบัติ เพื่อเข้าสู่ทางสายตรง สายกลาง หรือเจริญรอยตามรรคมีองค์8 หรือ ที่ทุกท่านกันดี ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา กันนั่นเอง
    คือ การหลุดพ้น แห่งทุกข์ และแห่งวัฎฎสงสารกัน
    ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้ปฎิบัติ ของพระพุทธศาสนาของพวกเราทุกคน)

    และเรื่องราวนี้ ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้ประสบพบมากับตนเอง แต่ถ้าผู้ใดมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแต่แท้ของใจของท่านเทอญ ผู้เขียนมิได้คิดตอบโต้
    เพราะผู้เขียนเล่ามานี้เพื่อเป็นธรรมาทาน มิได้อวดอ้าง หรืออวดตริมนุษยธรรมแต่อย่างใด เพราะรู้อย่างเดียวว่า รู้อะไรมาก็วาง ไม่นำมาเก็บไปคิดต่อ ปรุงแต่งต่อ และไปฟุ็งซ่าน หรืองมงายกันต่อไป
    ถอดได้ก็ดี ถอดไม่ได้ก็ดี เดี๋ยวสักวันทุกท่านก็จะได้ถอดกันจริงๆกันอีกที ก็ตอนตายกันจริงๆ โน้นแหล่ะ!
    แต่พวกเราเตรียมตัวตาย ก่อนตายจริงๆกันหรือยัง???

    ขอเล่าต่อเลยนะ...

    ในขณะที่นอนหลับอยู่ดีๆนั้น แต่มักมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ถึงในขณะหลับอยู่ก็ตามที
    แต่มารู้สึกตัวอีกทีนึง ก็คือ สติมองเห็นกายทิพย์(กายละเอียด)กำลังจะออกจากร่าง โดยมองเห็นเท้าทั้งสองข้างลอยออกมาก่อน แต่ยังคงติดอยู่ที่ตามแผ่นหลังอยู่ และอีกไม่นาน
    สติก็มองเห็นด้านบนของกายทิพย์ คือด้านตั้งแต่อกไปจนถึงศีรษะนั้น ได้ออกตามมาทีหลัง
    และในขณะเดียวกันนี้
    (สติถามจิตว่า) นี่ถ้าเราออกไป แล้วเราจะกลับเข้าสู่ร่างเดิมกันได้หรือ?
    (จิตตอบว่า) ได้ หรือไม่ได้ข้าไม่สน
    (สติถามต่อว่า) ทำไมตอบอย่างนั้นเล่า! เดี๋ยวกลับเข้ามาไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร
    (จิตตอบว่า) ข้าไม่สนใจ ไม่เสียดายกายหยาบมันแล้ว แต่ถ้าเข้าไม่ได้จริงๆก็จะดีมากเลย เพราะข้าจะได้ไปจากที่นี่เสียที เบื่อมันแล้ว ที่โน้นน่าอยู่กว่านี้อีก

    สักพักเดียวเอง สติก็มองเห็นกายทิพย์ทำท่าตั้งหลัก รวบรวมกำลังใจ แล้วรีบดึงออกจากกายหยาบออกมาทันที และกายทิพย์เมื่ออกจากร่างได้ ก็มิได้รีรอ ไม่ได้กลับมาดู หรือมาสนใจกายหยาบกำลังนอนหงายอยู่เลย
    และในที่สุดกำลังใจที่จิตมีอยู่นั้น มันก็พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ดั่งกลับจรวดอย่างนั้นแหล่ะ และสติก็ได้เหลี่ยวไปดูกายหยาบในขณะที่กายทิพย์ออกมานั้น เห็นกายหยาบเหมือนมันูกแรงกระตุฏ กระชากอย่างแรง เหมือนกายจะไหวนิดๆ และรู้สึกว่าใจหาย เพราะหัวใจมันเต้นแรงมาก ในขณะที่กายทิพย์มันทะยานพุ่งขึ้นไปข้างบนท้องฟ้านั้น
    และทำท่าจะไม่ไหยุดเสียด้วย แต่มันไวมาก ไวกว่าจรวด และไวกว่าแสงเป็นหลายล้านเท่าตัวนะ เห็นระหว่างในขณะที่กายทิพย์พุ่งทะยานขึ้นสู่บนท้องฟ้านั้น มันเลยเมฆไปมากๆ และสุดลูกหู ลูกตาเลย จนมองลงมาไม่เห็นโลกที่เราเคยอยู่เลย
    สติก็พร่ำบ่นว่า เอ๊า! เป็นไงเป็นกัน ตายก็ตาย รอดก็รอด ช่างมันแล้ว

    ในที่สุดกายทิพย์ก็มาหยุดตรงไหนก็ไม่ทราบ เหมือนรถวิ่งๆอยู่แล้วก็น้ำมันหมดซะงั้น!
    สติก็ถามจิตว่า แล้วจะทำอย่างไร ถ้ามันหมดแรงแบบนี้
    จิตตอบว่า ไม่เห็นเป็นไร อยากหยุดก็หยุด อยากไปก็ไป ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด
    และที่นี่ ไม่มีมีดวงอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีดาว แต่ทำไมมันไม่มืดเลย สว่างกำลังดี
    แรงโน้มถ่วงก็ไม่มี กายทิพย์ก็ลอยอยู่อย่างนั้น

    สติก็ถามว่า ไหนว่าข้างบนมีเทวดา พรหมไง
    จิตตอบว่า ที่นี่ไม่ใช่ ก็เราเลยมาไกลแ้ล้ว และก็ขึ้นมาเร็วเกินไปจนมองไม่ทัน
    สติก็ถามไปใหม่ว่า ไหนว่าข้างบนมีวิมาน
    จิตตอบว่า วิมานเราไม่สนใจ แต่ถ้าอยากมี มันก็ปรากฎเอง อยากไปไหนก็ได้ไป อยากมีรูปร่าง(ละเอียด)ก็ปรากฎให้เห็นเป็นรูปร่าง แต่ปกติจะไม่เป็นกายทิพย์ ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ดวงที่มีแสงในตัว คล้ายๆกับแสงหิ่งห้อย แต่ไม่เหมือนสักทีเดียว เพราะแสงที่ออกมาจากภายในดวงจิตนั้น จะแผ่ขยายออกมาเรื่อยๆ ไม่มีดับเหมือนแสงหิ่งห้อย
    คือแสงกระจายออกนอกดวงจิต แล้วแสงภายในดวงจิตก็จะออกมาใหม่ทดแทนกันไปตลอดอย่างนี้ ไม่มีดับ
    แสงที่อยู่ในดวงจิตนี้ ก็จะหมายถึงบุญ บารมี (ข้างบนโลกทิพย์เขาวัดกันที่ตรงนี้พวกเรา) ยิ่งผู้ใดที่มีแสงเปล่งออกมามาก หรือยิ่งหลายๆสี เหมือนสีรุ้งก็ยิ่งดีใหญ่
    หรือสีประกายพรึกก็ยิ่งดีใหญ่
    แต่สติเหลือบไปดูดวงจิตของตน ส่วนใหญ่จะเป็นแสงสีขาวปนสีเหลืองอ่อนอยู่รอบนอกเล็กๆ แต่เราจะเห็นแสงอื่นเป็นสีรุ้ง(เจ็ดสี)

    เอ่อ! แต่ถ้าผู้ใดเคยไปวัดท่าซุงฯกันนะ ก็จะเห็นสีรุ้งหรือ แสงฉัพพรรณรังสีเยอะๆ
    อันนั้นจะเป็นแสงของสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน หรือปางทรงเครื่องจักพรรดิ์
    หรือเช่น พระวิสุทธิเทพ ผู้เป็นใหญ่บนพระนิพพาน

    (ผู้เขียนบรรยายซะ!)
    พอมีสติรู้ตัวมากอีกที
    สติจึงถามจิตว่า เมื่อไหร่เราจะกลับสักที
    จิตตอบว่า ไม่ค่อยอยากกลับ และไม่รู้จะกลับไปทำไม
    สตินึกเองว่า ทำไมมันถึงได้คิดแบบนั้ว่ะเนี๊ย!

    อีกสักพักนึงตั้งสตินิ่งๆ พอได้ที่แล้ว สติก็จึงขัดใจจิตพสกลับทันที
    สักพักนึงจิตก้ไม่ว่าไร กายทิพย์ก็พาลงดิ่งกลับมาทันที
    อีตอนขึ้นก็ไม่เห็น อีตอนกลับลงมาก็ไม่เห็นอีก
    แหม๊! ก็มันไวยิ่งกว่าจรวด ไวกว่าแสงพระอาทิตย์เสียอีก
    อีกไม่กี่สักอึดใจเดียว เหมือนโดนดูดเข้ากายหยาบที่กำลังหลับอยู่อย่างแรง
    จนกายหยาบสะดุ้งตื่น และลืมตาขึ้นมาเลย ตอนนั้นจะตีสาม ตีสี่เห็นจะได้
    และตั้งแต่นั้นมาก็นอนไม่หลับเลย ทั้งๆที่ก็นอนดึกเหมือนกันคืนนั้น
    นอนดิ้นไป ดิ้นมาก็คิดขึ้นมาได้ว่า แล้วเราจะรีบลงมาทำไม๊
    น่าจะอยู่สังเกตการณ์ไปเรื่อยๆก่อน
    (เราก็กลัวจะไปเข้าร่างผิดจะยุ่งกันไปใหญ่ ดันไปเข้าร่างหญิงใหญ่ หรือหญิงเล็กแล้วจะทำยังไงดี ...คิคิ)

    สติเรานี่ตัวดีเลยนะ ชอบไปขัดใจจิต
    นี่พวกจิตเกาะพระก็เหมือนกัน พวกเราที่ชอบไปกำหนด บังคับ กะเกณฑ์ ขู่เข็นจิตตนเองนั้น มันไม่ดีนะ โดยเฉพาะในขณะที่ดูจิตตนเอง
    ให้พวกเรามีสติเยอะๆ และก็ดูจิตห่างๆ ดูเฉยๆ อย่าไปขัดขวางการทำงานองธรรมชาติของจิตเขานะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราก็จะเข้าไปไม่ถึงกระแสจิต จิตเดิมแท้ของตน

    คิดอยู่ตั้งนานเหมือนกันว่า จะนำมาเล่าให้พวกเราฟังกันดีไหม๊
    ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยฝันเหาะอยู่บ่อยมาก หลายครั้ง ลอยเหมือนไร้แรงดึงดูดเลย
    หนุกหนานดี

    ปล. ส่วนอาการ และความรู้สึกขณะถอดจิต
    ในขณะที่กายทิพย์จะออก หรือจะกลับมาเข้าร่างเดิมนั้น
    ขอให้พวกเรานึกถึง แม่เหล็กกำลังดูดโลหะชนิดเหล็ก พอนำเข้ามาใกล้ๆแม่เหล็ก
    อาการก็จะถูกดูดแบบนั้นเลย
    แต่เวลาจะออกจากกายหยาบก็เหมือนเราดึงแม่เหล็กออกจากกันเลยอ่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2012
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ขอให้ทุกๆดวงจิตเกาะพระติดแนบแน่น
    ขอให้ทุกๆดวงจิตพบธรรมเป็นผู้นำทางชีวิต หรือ มีดวงตาเห็นธรรมกันไวๆ
    ขอให้ทุกๆดวงจิต เดินตรง เดินสายกลาง คือ มรรคมีองค*8
    (มรรค ผล นิพพาน หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา)
    ขอให้ทุกๆดวงจิต มีกำลังใจถึง ซึ่งพระนิพพานกันชาตินี้
    ตามดั่งใจที่ท่านปรารถนากันด้วยเทอญ​
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    Have a good day!

    เอามาฝากคนชื่อ เหมือนดอกไม้นี้
    เห็นว่าเธอมีความพยายามเหลือเกิน ขออีกหน่อยน่ะ

    มาให้กำลังใจกันและกัน กับคนอื่นๆด้วยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...