จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตฝึกยาก แต่ก็ต้องฝึก
    ถ้าใครคิดว่ายังปล่อยวางไม่ได้ หรือปล่อยวางได้ แต่ไม่หมด ไม่สนิท
    นั่นก็แสดงว่า จิตเรายังหลงอยู่ ยังไปยึดอยู่ ยังละความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆไม่ได้
    คือยังไปวิ่งตาม ยังลงไปเล่นหรือลงไปร่วมอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของตนอยู่ นั่นเอง
    ถามว่า ผิดไหม ตอบว่า ไม่ผิดหรอก ถูกต้องโดยธรรมชาติของมนุษย์เราทุกอย่าง
    แต่การหลง การยึดหรือลงไปร่วมกับสิ่งที่กล่าวไปแล้วนั้น มันทำให้เราเป็นทุกข์
    หรือออกจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงของเราไม่ได้ นั่นเอง เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว
    เราก็อย่าหลง ไปยึดหรือไปลงร่วมเล่นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ต่างๆของตนเอง

    ถามว่าจะทำอย่างไรเล่า! ก็ต้องตอบว่า เราต้องฝึกจิตเราให้นิ่งให้ได้เสียก่อน
    สำหรับผู้ที่ฝึกได้แล้ว แค่คอยหมั่นเจริญสติภาวนาบ่อยๆ ให้สติกลายเป็นสัมปชัญญะ
    การเจริญสติภาวนา คือการฝึกสติโดยตรง แต่เพื่อฝึกจิตในทางอ้อม นั่นเอง
    อย่าถ้อแท้ ถึงจิตจะฝึกยาก แต่ก็ต้องฝึก มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ร่ำไป
    ทุกข์จนวันตาย ถ้าเราไม่ฝึก ไม่แยกจิตออกจากกาย หรือแยกจิตออกมาจากสิ่งที่กล่าวไปแล้ว
    เจริญสติกันไปตราบจนกว่าชั่วฟ้าดินสลาย เพราะยิ่งฝึกสติ จิตเราก็จะยิ่งนิ่ง
    เป็นสมาธิ และเกิดปัญญาหรือเราก็จะมีตัวรู้มาก เท่านั้น
    แต่ถ้าเราไม่มีตัวรู้ จิตเราก็ออกจากความหลง จากการยึดติด หรือเข้าไปร่วมกับความรู้สึกนึกคิด
    หรืออารมณ์ต่างๆของเรากันไม่ได้สักทีนึง และเราจะพ้นหรือออกจากทุกข์ของเราไปได้อย่างไร

    การปฎิบัติธรรมก็เพื่อตนเองก่อน เข้าใจตนเองก่อน ช่วยตนเองก่อน เราถึงจะไปช่วยคนอื่นๆได้
    เมื่อเรายังปฎิบัติไม่ได้ ยังไม่เข้าใจคนอื่น ยังช่วยตนไม่ได้ แล้วเราจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
    การปฎิบัติธรรม มิใช่ไปสอนคนอื่น แต่เป็นได้แค่ผู้แนะนำ หรือตนเองดีกว่าคนอื่น
    เพราะการปฎิบัติธรรม ถ้าได้ผลเป็นธรรม(จิตเป็นธรรม) ธรรมในจิตเราจะกลับมาสอนเราเอง
    จะกลับเมตตากับคนอื่นๆ มิใช่มีเมตตาแต่ญาติมิตรหรือพ่อแม่พี่น้องเรา เมตตากับสัตว์
    หรือมีเมตตา แม้นกระทั่งกับผู้ที่เห็นต่างกับเราได้ด้วย ธรรมก็มีหลายระดับ เพราะฉะนั้น
    จิตของคนเราก็มีหลายระดับ เช่นกัน แต่ศีลหรือธรรมของผู้ใด จะหยาบหรือละเอียด
    ก็ต้องอยู่ที่จิตผู้ปฎิบัติท่านนั้น ได้แก่ จิตปุถุชน จิตอริยบุคคล เป็นต้น
    การปฎิบัติธรรมก็เพื่อเอาความเลวออกจากจิตตน มิใช่ไปดูหรือเอาความเลวของคนอื่นออก
    การปฎิบัติธรรมจึงต้องแข่งกับตนเอง มิใช่ไปแข่งขันกับผู้อื่น ผู้ใด
    การปฎิบัติธรรมต้องมองเห็นความเลวตนเองมากๆ มิใช่เห็นแต่ความดีตนหรือความเลวคนอื่น

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติที่เข้าถึงจิตในจิต ธรรมในธรรมแล้ว ย่อมตอบตนเองได้ชัดเจน เช่นกัน
    เน้นตอบตนเองก่อน มิใช่ให้ไปตอบกับผู้อื่น ว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว ถึงวิมุตติแล้ว
    แต่ถ้ายังตอบตนเองยังไม่ชัด นั่นก็แสดงว่า ปัญญาตนยังไม่พอ เราจะต้องเจริญปัญญา
    ให้กลายเป็นปัญญาญาณให้ได้ก่อน แล้วเราถึงจะตอบตนเองได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2013
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ท่านพระอาจารย์ ป สัน โน...ท่านสอนไว้ว่า...

    ...เราอาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้า...ที่ว่าเราควรจะมีเมตตาเอื้ออารีต่อเพื่อน...

    ...มนุษย์ เราก็ต้องรู้จักเสียสละเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์...เมื่อไรเราเป็นคนมีและคคอื่น...

    ...ไม่มี เราก็รู้จักเสียสละของเราเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น...อย่างนี้เป็นคุณงามความดี

    เมื่อเราตั้งอยู่ในคุณงามความดีก็ย่อมเกิดความสุข...ก็เป็นหลักธรรมชาติ เมื่อเรเกิดความ

    ที่มีความพอใจในการเสียสละเพื่อช่วยผู้อื่น...มันก็ออกจากจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว...

    ...มีความพร้อมที่จะเสียสละ...ที่จะให้เป็นทานบารมี มันก็เป็นเนกขัมมบารมี มันก็เป็น...

    ...วิริยะบรู้สึการมี...ผู้ที่ได้ทุ่มเทเวลา ทุ่มเทกำลังเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น อย่างนี้...

    ...ก็เป็นการใช้กำลังชีวิตเพื่อประโยชน์...อย่างนี้เป็นกุศล กุศลย่อมเกิดความสุขใจ...

    ...ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ...ทั้งน่าอนุโมทนา และเป็นสิ่งที่เราก็มีพยาน

    ในตัวเรา ถ้าหากว่าเราได้ทำเราได้ลงทุนกำลังของเราเพื่อเสียสละและช่วยผู้อื่น...

    ...เราก็มีความพยายามอยู่ในตัวเรา...ก็เป็นความสุข ความสุขเกิดขึ้นจากการเสียสละ...

    ...ความสุขเกิดขึ้นจากความเอื้อเฟื้อ...อย่างนี้ไม่ได้เป็นทฤษฏี ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์

    ของพระพุทธเจ้า...มันอยู่ในการกระทำ เราก็เห็นชัด เป็นส่วนที่น่าเอาเป็นตัวอย่าง...

    ...น่าเป็นสิ่งที่ยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า...และยืยยันความดีที่เราเองก็ปรารถนาที่...

    ...จะได้ เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญการได้อาศัยหลักธรรมคือได้เรียนรู้ความเสียสละ ความเป็น

    คุณธรรมรู้ว่าการให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง...ย่อมนำมาซึ่งความสุข ก็เป็นสิ่งที่น่าทำเราทำเป็น...

    ...คล้ายๆ ว่าเป็นนิสัย...ทำให้เป็นนิสัยของเรา มีโอกาสเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าต้องรอให้น้ำท้วม

    จึงจะได้ช่วยกัน เราก็รู้จักช่วยกัน รู้จักเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นี่แหละคือ...

    ...ความดีในความทุกข์. ท่านพระอาจารย์ปสันโนท่านได้สอนไว้...

    ขอกรามน้อมรับพระธรรมคำสอนของท่านกราบขอบพระคุณค่ะสาธุ สาธุๆ.
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กรรมกำหนดใคร
    ใครกำหนดกรรม

    อย่าปล่อยให้กรรมมากำหนดเรา เราจะต้องกำหนดกรรมของเราเอง
    แต่ถ้าเราไม่คอยกำหนดกรรมของเรา ในที่สุดกรรมที่เราเคยทำไว้อดีต
    ก็จะกลับคืนสนองหรือกำหนดชะตาชีวิตของเราปัจจุบันอย่างแน่นอน
    คำว่า "กรรม" เป็นคำกลางๆ แปลว่าการกระทำ แต่จะกล่าวถึงเฉพาะกรรมไม่ดี
    เพราะกรรมไม่ดีอาจจะส่งผลกับเราอีกไม่ช้า ส่งผลเมื่อไหร่เราก็ทุกข์เมื่อนั้น
    เพราะฉะนั้น พวกเราก็อย่าได้ประมาทกัน
    ถามว่าจะจัดการกับกรรมนี้อย่างไร ง่ายนิดเดียวก็คือละบาป ละอกุศลในปัจจุบัน
    แล้วมุ่งหน้าทำแต่กรรมดี ทำแต่บุญกุศลปัจจุบันเพียงอย่างเดียว เท่านั้น
    เพราะกรรมในปัจจุบันทั้งดีหรือไม่ดีนั้น กำลังจะส่งผลในอนาคตอันใกล้นี้
    แต่กรรมในปัจจุบันนี้เป็นเพราะกรรมในครั้งอดีตที่เราเคยทำมาก่อนแล้ว
    แก้ไขไม่ได้ แต่ขอให้สนใจแต่กรรมปัจจุบัน คือทำแต่กรรมดี ทำแต่บุญกุศล

    แท้ที่จริงแล้ว ตัวเราทั้งนั้นที่คอยไปกำหนดกรรมของตนแทบทั้งสิ้น
    มิใช่ตามยถากรรม ตามที่พวกเราเข้าใจกัน ลองเอาสติปัญญาของตนส่องกันดูซิแล้วก็จะรู้เอง

    บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำนี้มากันบ้าง ว่า "เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน"
    แต่การเปลี่ยนที่ว่านี้ คือจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เลย
    เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออะไรประมาณนั้น เช่น นิสัยคนเปลี่ยนได้เพราะกรรมฐาน
    สรุปเราจะไปเปลี่ยนร่างกายของคนเรากันใหม่นั้นคงไม่ได้ นอกจากตายแล้วเกิดใหม่
    หรือจะเปลี่ยนจากหญิงเป็นชายหรือชายกลายเป็นหญิงก็ไม่ได้ นอกจากเกย์ตุ๊ดกระเทยดี้ทอม
    ถึงเปลี่ยนแบบนั้นก็ไม่เหมือนธรรมชาติที่เขาสร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว
    แต่เปลี่ยนครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนไปทิในทิศทางที่ดีกว่า ก็เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
    เหมือนคนที่ปฎิบัติธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรม คือเปลี่ยนแต่จิตเท่านั้น แต่ร่างกายเดิม

    ลองตามอ่านดูบุคคลตัวอย่างที่เปลี่ยนไปในทางที่ดี
    เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    สมาธิที่ถูกต้องเป็นอย่างไร
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    เขตของการบุญน่ะ
    มันอยู่ที่จิตเป็นสมาธิ
    ที่มีอารมณ์ตั้งมั่น

    ไม่ใช่ตัวบุญอยู่ที่องค์ภาวนาอย่างเดียว
    หากว่าเราภาวนาแบบชนิดนกแก้วนกขุนทอง
    ว่าไป พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    ว่าไปโดยจิตไม่ตั้งอารมณ์ไม่ทรงอยู่
    พอว่าไปบ้าง พุทโธ ๆ
    หรือว่า ธัมโมสังโฆ ก็ตาม
    หรืออย่างอื่นก็ตาม
    แต่จิตอีกส่วนหนึ่ง
    มันแลบไปสู่อารมณ์อย่างอื่น
    อย่างนี้ว่าเท่าไรก็ไม่เป็นบุญ

    การที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
    ให้มีการภาวนาด้วย
    ก็เพื่อจะใช้อารมณ์ยึดคือสติ
    ให้รู้อยู่ว่านี่เรากำหนดลมหายใจเข้าออก
    หรือว่าเราภาวนาว่าอย่างไร
    แล้วก็ควบคุมอารมณ์
    อยู่เฉพาะอย่างนั้นอย่างเดียว
    ให้เป็น เอกัคตารมณ์
    อารมณ์ของเราเป็นหนึ่งไม่มีสอง
    อย่างนี้จัดว่าเป็น สมาธิ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
    เป็นคุณธรรมที่ใกล้บรรลุพระโสดาบัน

    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด
    เป็น นิพพิทาญาณ ในวิปัสสนาญาณ
    ถ้าท่านคิด ใคร่ครวญในรูปสมถะ
    ให้เห็นซากศพอยู่เสมอ
    และใคร่ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป
    คือเมื่อเกิด ความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้
    หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ หรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน
    ท่านก็วางใจ เฉยเสีย ไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน
    โดยคิดว่า นี่เป็นเรื่องของธรรมดา
    เกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย
    มีลาภแล้ว ลาภมันก็เสื่อมได้
    มียศแล้ว ยศมันก็สิ้นได้
    มีสุขแล้ว ทุกข์มันก็มีได้
    มีคนสรรเสริญแล้ว คนนินทาก็มีได้
    เกิดแล้วก็ต้องตายได้
    ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ ๆ
    จนจิตชินต่ออารมณ์
    มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น
    ก็รู้สึกว่าเป็นปกติ
    ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้
    ท่านเรียกว่า ได้ สังขารุเปกขาญาณ
    ใน วิปัสสนาญาณ
    เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    หลักปฏิบัติที่ได้ผลจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    มหาสติปัฏฐานสูตร ที่ยากจริง ๆ ก็คือ
    อานาปานุสสติกรรมฐาน เท่านั้น
    ที่ต้องทำกัน ช้าหน่อยแล้วก็ทำถึงฌาน
    ที่เหลือทั้งหมดเป็นอารมณ์คิด
    ฉะนั้นก่อนจะใช้อารมณ์คิดทุกครั้ง
    ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
    โปรดทำสมาธิจิตจนถึงฌานให้เต็มที่ก่อน
    ได้ระดับไหนทำให้ถึงระดับนั้น
    ทำแล้วปล่อยให้จิตสบาย
    จึงค่อยใช้อารมณ์คิดปัญญาจะเกิด
    นี่เป็นหลักการในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ถ้าใช้อารมณ์คิดแล้วจิตใจมักฟุ้ง
    ออกนอกลู่นอกทาง
    ก็ทิ้งอารมณ์คิดนั้นเสียกลับมาจับ
    อานาปานุสสติ ใหม่ จนกระทั่งจิตสบาย
    แล้วก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป
    นี่เป็นหลักการที่ปฏิบัติ
    นักปฏิบัติที่ได้ผลจริง ๆ เขาทำกันแบบนี้

    แม้แต่ในสมัยพระจอมไตรบรมศาสดา
    สัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน
    เขาปฏิบัติกันอย่างนี้จึงได้ผลตามกำหนด
    ที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาตรัสไว้
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กระทู้นี้ว่าด้วยเรื่อง "ภัยพิบัติภายใน"
    ก็คือ
    เน้นแต่เรื่องภัยวิบัติที่มาจากข้างใน เช่น สงครามอารมณ์ต่างของคนเรา
    ก็เลยมีแต่ธรรมะล้วนๆ อัดใส่เข้าจิตคนเราทุกวันเลย
    เพราะทุกวันนี้ ไหนเราจะมีเรื่องขัดแย้งภายนอก คือสิ่งกระทบจิตทุกวี่ทุกวัน
    แล้วยังมีสงครามภายในจิตเราอีก นั่นก็คือกิเลสตัณหาฯของเราเอง
    แต่ธรรมภายนอกเราอย่าไปเสียเวลาแก้ไข เพราะไม่พ้นไม่เที่ยงและบังคับไม่ได้
    แต่เราพอจะบังคับธรรมภายในของเราได้ นั่นก็คือ อารมณ์จิตของเราเอง
    แค่สู้ภัยภายในของเราเองก็จะแย่กันอยู่แล้ว ไหนจะภัยมาจากข้างนอกกันอีก
    พวกเราทุกข์ไหม เข็ดไหม และอยากจะเกิดมีกายหยาบกันอีกไหม
    วันนี้มาเพื่อพร่ำโดยเฉพาะเลย ฮ่าๆ รับได้ก็อ่านไป รับไม่ได้ก็ผ่านไป
    ลมข้างบนมันเย็น+ ไม่ใช่เป็นริดสีดวงนะ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    พระพุทธเจ้าก็ทรงยึดสมถภาวนาเป็นอารมณ์
    โอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ถ้าใครเขาว่าสมถภาวนาไม่มีความสำคัญ
    ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการบรรลุ
    มรรคผลก็อย่าไปเชื่อเขา
    เพราะสมถภาวนาถ้าไม่ดีจริง ๆ
    พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสอนให้เราปฏิบัติ
    และพระพุทธเจ้าก็ยึดสมถภาวนาไว้เป็นอารมณ์
    ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    นี่จงอย่าลืมว่า พระอรหันต์ทุกท่าน
    แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี
    ใช้กรรมฐาน ๔๐ กอง ควบกับวิปัสสนาญาณ
    เพื่อความอยู่เป็นสุขไม่ใช่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว
    เลิกกัน อย่างนั้นเข้าใจผิด

    พระอรหันต์นี่ท่านกลับขยันกว่าเราทั้งหมด
    เพราะท่านเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
    หมายถึงว่าการเห็นสภาวะตามความเป็นจริง
    ของขันธ์ ๕ ท่านเห็นเป็นปกติ
    ท่านไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมละ
     
  9. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "จงอย่าเมตตาแบบโง่ ๆ"

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    พระพุทธเจ้า แบ่งคนไว้เป็น 4 พวก คือ

    1. อุคฆฏิตัญญู คนมีปัญญาดี

    2. วิปจิตัญญ ปัญญาต่ำมานิดหนึ่ง

    3. เนยยะ พอแนะนำได้ เมื่ออธิบายหลาย ๆ ครั้ง อันนี้คน 3 จำพวกนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ

    4. ปทปรมะ เอาดีไม่ได้นี้ องค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงเสด็จหลีก ไม่ทรงสั่งสอน จะถือว่า พระองค์ขาดเมตตาไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะสอนเขา เขาไม่รับฟัง

    สำหรับพวกเราก็เหมือนกัน ถ้าจะแสดงเมตตาจิต ก็ดูเสียก่อนว่า คนประเภทนั้นเราควรจะเมตตาไหม แต่เห็นว่าแนะนำแล้ว ไม่ได้ผล ก็จงอย่าสงเคราะห์ คนประเภทนั้น หลีกไปเสีย อย่างพระพุทธเจ้าทรงหลีก

    แต่ทว่าเขาไม่เลื่อมใส ในองค์สมเด็จ พระบรมสุคต ไม่เชื่อพระสัพพัญญู สมเด็จพระบรมครูก็ไม่ทรงสั่งสอน นี่ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ใครไปใครมาก็เมตตาเสียดะ เมตตาโ ง่ๆ แบบนั้นจะสร้างความเดือดร้อน เหมือนกับ เราจะให้ของเขา เขาไม่รับ ไปให้เขาทำไม ไม่ต้องไปอ้อนวอน ไม่ ต้องไปแค่นเขาให้รับ

    และ อีกประการหนึ่ง วันเวลา กำหนดระเบียบวินัย เป็นของสำคัญ จงอย่าเมตตาคน เกินกว่าระเบียบวินัย ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา มีพระมหากรุณา ไม่มีขอบเขต แต่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐทรงวางวินัย ไว้ลงโทษพระ ลงโทษเณร

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าไม่มีระเบียบวินัย คนนั้น เราเมตตาไม่ได้ เพราะเป็นคนเลว พระพุทธเจ้าทรงวางวินัย ไว้กี่พันข้อ 227 นี่มัน ยังไม่หมด ยังมี ส่วนอภิสมาจารบ้าง ยังส่วนธรรมะ บ้างที่พระองค์ทรงห้าม นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ ก็จริงแหล่

    แต่ทว่า ทรงเลือกเอาแต่เฉพาะคนดีเท่านั้น

    Cr: Motanaboon.Com
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    “รักษากำลังใจให้ดีที่สุดเท่าที่จักทำได้ ให้พิจารณาอยู่เสมอว่า รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้นไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ถ้าพิจารณาไปอย่างนี้ได้ ก็จักสู้กับเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ คราวใดถ้าหากรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ก็ให้จับสมถภาวนาแทน ที่สำคัญที่สุดคือพยายามรักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุข-เยือกเย็น สบาย ๆ อย่าเร่งรีบ ทำไปให้จิตมีกำลัง มีความสบายไม่เร่าร้อน-ไม่กระสับกระส่าย ความผ่องใสของจิตจักต้องไม่มีอารมณ์กังวล-ไม่มีความหนักใจไปด้วยกรณีทั้งปวง และจำไว้ว่าอย่าฝืนกำลังใจ กล่าวคือหมั่นดูความผ่องใสของจิตใจให้สบายจริง ๆ ไม่มีการแสแสร้งแกล้งทำ จักต้องทำให้ได้จริง ๆ ไม่ต้องเอานาน ทำได้ทีละหนึ่งนาทีก็พอ ค่อย ๆ ทำไปสะสมกำลังใจไปได้ในชั่วขณะจิตเดียว พยายามทำไปเรื่อย ๆ ปลดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจให้ได้ในขณะจิตนั้น ๆ”

    “ชำระจิตให้วางกังวลห่วงใยในสิ่งใดทั้งปวง แม้กระทั่งห่วงชีวิตก็ไม่ควรมี ถ้าวางได้ให้สังเกตอารมณ์ของจิตจักเบาลงไปมาก ความหนักใจก็จักน้อยลงไปตามลำดับ และอย่าคิดอะไรไปล่วงหน้า วางจิตให้อยู่แต่ให้รู้จักปัจจุบันธรรม แล้วชำระจิตให้หมดจดจากกิเลสในปัจจุบันนั่นเอง ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าละความเพียรก็แล้วกัน”


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    Frameset-15
     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เมื่อมีสติกํากับติดแนบอยู่ที่ใจ... จิตก็จะมีผู้รักษาเพราะสติคอยดูแลรักษาความคิดปรุง เพราะมีการหักห้ามต้านทานของกิเลส รวมลงมาที่สติจึงมีการต่อสู้กับความคิดที่กิเลสผลิตขึ้นมาต้านทานเราจึงต้องใช้สติอย่างมาก เวลาเราพิจารณาก็จะต้องพิจารณาว่า กิเลสนั้นออกไปทําทุกข์ให้เราอย่างไร?คืออยากปรุงคิดเรื่องใดนั้นเอง... เพราะจิตอยากรู้ อยากเห็นขั้นแรกๆของการปฏิบัติก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของกิเลสออกทํางานแทบทั้งนั้น...ผู้จะสังหารกิเลสต้องอาศัยความเพียรเท่านั้นต้องรวมกําลังเข้าสู้ก็มีแต่มรรคเท่านั้นเพื่อให้เกิดปัญญาให้จิตเราสว่างไสวขึ้นมาได้ก็มีแต่การ"ภาวนา"คือใช้มรรคให้เต็มที่ ถ้ามรรคอ่อนก็สู้กิเลสไม่ได้ เราต้องรอบคอบกับตนเอง...เพราะกิเลสก็มาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะส่วนมากก็เป็นความอยากของกิเลสแทบทั้งนั้น...เมื่อขั้นแรกๆ แต่พอเราเริ่มมีปัญญาแล้วนั้นแหละเราจึงจะเห็นโทษของความปรุงแต่งของกิเลสที่มาคอยทําลายความเพียรของเราๆท่านๆจึงมีแต่การต่อสู้เท่านั้นแหละที่เป็นทางหลุดพ้นก็จะมีแต่สายทางเดียวเท่านั้นคือ "ทางเดินที่พระพุทธเจ้าท่านได้ชี้บอกเอาไว้นั้นเอง...
    ที่มาจากเทปธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    รวมเพลงสากล..จัดเต็ม
    วันหยุด...ก่อนวันสงกรานต์
    พี่ภู..พาเที่ยวทั่วไทยพร้อมดูวัฒนธรรมไทยและฟังเพลงฝาหรั่งไปด้วย
    ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขมากๆเด้อ ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับ
    ทั้งไปเหนือล่องใต้ท่องอิสานยันตะวันตก
    สงกรานต์ปีนี้ฯ ขอให้ทุกท่านเล่นน้ำให้สนุกสนาน สุภาพ ให้เกียรติ ค่อยทีค่อยอาศัย แบ่งปัน
    เมาไม่ขับ หลับอย่าไปปลุก เช้าลุกขึ้นทำบุญใส่บาตร และอย่าลืมเล่นน้ำเผื่อพี่ภูด้วย..อิอิ

    อย่าลืม! ทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจ ทุกอิริยบถอย่างมีสติปัญญา
    เพราะความตายมันอยู่ไม่ไกลจากผู้ประมาททุกท่านเลย
    สำหรับผู้ที่อยู่หรือยังมีลมหายใจ ขอให้สุขกายสบายใจ อย่าทุกข์กายทุกข์ใจ
    หมั่นระลึกถึงมรณานุสสติบ่อยๆ เพื่อจะได้เตือนสติตนเอง
    สำหรับผู้ที่(จะ)ไปหรือไม่รู้วันตายของตน แต่ถ้าเมื่อรู้ว่าตนตายไปแล้ว
    ขอให้นึกถึงพระหรือบุญกุศลที่ทำไว้ อย่าเป็นห่วงคนหรือสิ่งใดๆที่อยู่ข้างหลัง
    แล้วทางไปของท่าน ก็คือ สุคติภูมิอย่างแน่นอน

    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติทุกท่าน โปรดรักษาศีล ทำภาวนา ตราบสิ้นอายุขัยแห่งตน
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กัลยาณมิตรที่คิดถึงทุกๆ ท่านเช่นกันค่ะ
    กระทู้ครบ 1 ขวบปีแล้วหรือนี้ เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหกอะไรเช่นนี้
    และก็เช่นกันกับพี่จุ๋ม เยอรมันค่ะ ถือโอกาสนี้ได้เข้ามาทักทายเพื่อนกัลยาณมมิตรทุกๆ ท่าน ถึงจะห่างหายไปจากหน้ากระทู้ แต่ก็เกาะขอบกระทู้อยู่ไม่ขาด พร้อมยังคิดถึงและระลึกถึงทุกท่านเสมอค่ะ

    รักน่ะ จุ๊บๆ :cool:({):cool:
    ครูเกษ จบ.52
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สวัสดีค่ะ คุณอุษาวดี ขออนุโมทนาค่ะที่นำพระธรรมของพระองค์ท่าน

    มาให้เป็นธรรมทาน...ใช่เลยกำลังใจนี่สำคัญมาก...ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง

    อะไร ไม่ว่าจะเป็นทุกข์เรื่องธรรมชาติในตัวเอา การเจ็บใข้ได้ป่วยนั้นมันก็เป็น

    ทุกข์ เป็นห่วงกังวลไปสารพัด...เชื่อว่าทุกคนเป็นเหมือนกัน แต่ที่เกิดกับผู้

    ปฏิบัตินั้นมันก็ไม่หนักหนาสาหัส...เพราะได้เตรียมถึงเหตุการที่จะเกิดขึ้นไว้บ้าง

    แล้ว และสิ่งที่เราปฏิบัติมานี่แหละคือกำลังใจที่ อยู่ในใจเรา ซึ่งอยู่ที่เราจะใช้

    และนึกถึงมันหรือไม่เมื่อมีเหตุการนั้นๆเกิดขึ้น...บางคนไปหวังกำลังจากคนที่

    เรารัก แต่บางคนเขาก็ไม่รู้ว่าเรากำลังต้องการกำลังใจ...แต่ตัวเรานี่ซิที่เป็นผู้รู้

    ผู้ที่ต้องการตอนไหนเวลาไหน...เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปรอใคร เรานี่แหละที่จะ

    เป็นผู้ให้กำลังใจตนเองในเวลานั้นๆที่เราต้องการมัน...มันไม่ยากเลยที่จะเป็นผู้

    ให้กำลังใจตนเอง...เพราะมันเกิดขึ้นกับผู้เขียน...เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนกลับ

    เมืองไทยอากาศร้อนมาก ความดันสูงตอนบ่ายปวดหัวทุกวัน หน้ามืด ตาลาย

    เป็นทุกวันแต่ก็ไม่พูดไม่บอกใคร...พึงบอกกับตัวเอง และเอากำลังใจจาก

    ตนเอง และบอกกับตนเองว่าถ้าอะไรมันจะเกิดก็คิดว่ากรรมมันมาถึงแล้ว

    วันที่จะเดินทางกลับ...วันนั้นรู้สึกได้เลยว่าวันนี้หนัก แต่ก็ไม่บอกใคร ถ้าเราไป

    บอกเขาๆก็จะเป็นห่วง...เครื่องออกตีหนึ่งกว่า แต่ผู้เขียนให้หลานไปส่งที่สนาม

    บินสองทุ่มเพราะจะได้มีเวลาสบายๆไม่ต้องรีบ...ก็เพียงแต่ให้หลานส่งแล้วก็ให้

    เขากลับไปไม่ต้องรอ...พอเดินเข้าประตูที่ ๙ เพื่อรอเช็คอินก็มีอาการปวดหัว

    อีกทีนี้ไม่ได้ปวดแต่หัวตามันลายเบอรไปหมด...แต่เล่าให้ฟังนี้เพราะตัวเองคิด

    ว่าไม่รอดแล้ว...แต่สติตอนนั้นพร้อมมากคิดว่าถ้าหัวใจจะวาย หรือเส้นเลือด

    แตกก็พร้อมเสมอถึงจะต้องตายตอนนั้นก็พร้อม...เพราะที่เราได้ฝึกปฏิบัติมานั้น

    เป็นกำลังใจไม่ให้เราไม่คิดออกข้างนอก ช่วงนั้นมันพร้อมมากเพราะว่าตนเองมี

    สติและจำคำสอนของหลวงปู่หลวงตาท่านให้ธรรมะเสมอว่า.ก่อนจะตายเรามีสติ

    สติระลึกถึงคุณงามความดีที่เราได้สระสมมา...คิดถึงแต่สิ่งดีๆที่ทำมาเมื่อถึง

    เวลาจิตจะละจากสังขารเรา...เราคิดย้อนถึงความดีนั้นๆ เมื่อจิตเราจะดับจิตเรา

    ก็จะเกาะที่สิ่งดีๆที่เราทำ (นี่แหละทานสอนอยู่เสมอ) การนั่งรอเวลาวันนั้นมันก็

    เกิดความเปลี่ยนแปลง คือ หัวที่ปวดเหมือนจะแตก ตาลายก็กลับหายไปนี่คือ

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนที่ต้อง นำมาเล่าสู่กันฟังกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองค่ะ...

    ขออนุโมทนากับคุณอุษาวดีค่ะ ที่นำพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน

    มาให้ได้ศึกษา ขอบพระคุณค่ะ สิ่งที่ลืมไม่ได้คือขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่าน

    ที่อ่านหวังว่าผู้อ่านทุกๆท่านคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะสาธุ สาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    Eagles - Hotel California
    https://www.youtube.com/watch?v=kYf4kqnAWos

    ใครอยู่แคลิฟอร์เนียยกมือหน่อย! (ใจอยู่แคลิฟอร์เนียไม่ต้องยกมือนะ..อิอิ)
    เอาใจคนที่อยู่แคลิฟอร์เนียหน่อย (ตามเพลง)
    คนไทยแต่ใจแคลิฟอร์เนียก็ฟังได้นะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ให้ฟังอีก

    หูฟังเพลง สติดูจิตไป กายกับจิตไม่เกี่ยวกัน แยกกันให้ออกนะ
    จิตใครมีสติสัมปชัญญะเป็นปกติอาจจะได้เปรียบหน่อย
    แต่ถ้าใครเผลอสติก็วิ่งตามเพลงแน่ๆ หัดเข้าไว้
    เหมือนทำสมถะควบวิปัสสนา อย่าไปเอาแต่สมถะหรือวิปัสสนาอย่างเดียว
    ถ้าเอาสมถะอย่างเดียว ไม่ยอมทำวิปัสสนา เดี๋ยวจะติดสุขจากฌาน
    แต่ถ้าเอาวิปัสสนาอย่างเดียว ไม่เอาสมถะ เดี๋ยวก็จะกลายเป็นวิปัสสนึกไปอีก


    คนเกิดในสมัยนี้ค่อนข้างย่ำแย่ เพราะคนส่วนใหญ่นิยมวัตถุเหนือจิตใจ
    แค่นึกก็เป็นห่วงเยาวชนไทยแล้ว มีทางเดียวที่จะเปลี่ยนพวกเขาได้
    นั่นก็คือกรรมฐานเท่านั้น แต่ถ้าวันนี้ผู้ใหญ่ก็ยังไม่ทำตัวอย่างให้เด็กดูเลย
    เป็นชาวพุทธแค่ทะเบียนบ้าน ไม่ค่อยรักษาศีล ไม่ทำภาวนา
    แต่ก็ไม่ว่ากัน พอจะเข้าใจ ทำไปตามกำลังใจ ขอให้ทำแต่บุญเยอะๆก็แล้วกัน
    ใครสวดมนต์ไหว้พระหรือฟังเทศน์ ฟังธรรม ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะกำลังใจจะมากตามไปด้วย
    ผู้ปฎิบัติแท้ๆ ต้องอยู่ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม เราแค่แยกกายแยกจิตให้เป็นก็พอ
    คอยมีสติควบคุมกายทุกอิริยาบถ มีปัญญาควบคุมจิตเราเข้าไว้

    ขออนุญาตจัดเพลงเห็นว่าเป็นวันหยุด ขอโทษผู้ทรงศีลทรงธรรมด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2013
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825

    โมทนาสาธุในธรรมทาน พร้อมด้วยประสบการณ์เฉียดความตาย + มหาสติที่เกิดขึ้นกับคุณแม่มาลินีด้วยนะค่ะ...
    สาธุค่ะ _/\_
     
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอขอบพระคุณค่ะ...ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดหรือวันไหนๆ...ท่านก็มี

    ความเมตตากับเรามาก...ไม่ว่าจะเป็นธรรมะธรรมทาน หรือเสียงเพลง ท่านก็

    ได้จัดมาให้ แล้วความถูกจริตของแต่ละท่านที่จะศึกษาพิจารณาเอา...มันอยู่ที่

    สติและปัญญาของแต่ละท่าน...อันว่ากรรมนั้นได้ยินแต่ชื่อมันก็โบ่งบอกถึงกรรม

    ต่างๆ มี่ทั้งกรรมดี...และกรรมไม่ดี มันอยู่ผู้ที่ปฏิบัติ จะเอากรรมอันไหน?

    ...ถ้าเอากรรมดีท่านก็จะได้รับกรรมดี...แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

    แต่กรรมชั่วนั้นซิ มันคอยหรอกล่อเรา...ให้หลงไปทำ เมื่อเรารู้ตัวว่ามันไม่ดี มัน

    จะเป็นกรรม...กรรมไม่ดีนี้มันทำง่ายทำโดยความหลงไม่รู้ตัว ทำไปแล้วถึงมาคิด

    ว่ามันผิดทำแล้วไม่ดีจะเป็นกรรม...ถ้าเรายังรู้ว่าทำแล้วไม่ดีเป็นกรรมก็อย่าทำ

    ผู้ใดที่ยังมีสติคิดอยู่ว่ามันไม่ดี...นั่นคือผู้มีสติปัญญาดี เมื่อเราทำไปแล้วก็อย่า

    ไปกัมมันไว้ปล่อยกรรมนั้นไป...แล้วมาทำความดีกรรมนั้นก็จะเบาบางลงไป

    เพราะความตั้งใจดีของเรา...เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เสมอว่าทำดี

    ได้ดีทำชั่วได้ชั่ว...ตัวของเจ้าของนั่นแหละเป็นผู้สั่งให้เจ้าทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว

    ผู้เขียนขอให้ตนเองเป็นผู้ไม่ประมาท.และขอฝากไว้กับผู้อ่านทุกๆท่านด้วยค่ะ.

    อย่าลืมเตือนตัวเองว่า...กรรมมีทั้งกรรมด และกรรมชั่ว อย่ากัมไว้

    เหมือนเรากัมมือ ให้กัมแต่กรรมดี ...ส่วนกรรมชั่วนั้นก็อย่าไปทำปล่อยกัมมือไป

    เหมือนมือเราถ้าเรากัมมันไว้ทั้งวันมันก็ทำงานไม่ได้จึงขอฝากไว้ค่ะ สาธุ สาธุๆ.


     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713


    สาธุค่ะ คุณภู ธรรรมะธรรมทานนี้ ขอให้ชื่อใหม่เป็นธรรรมะถูกใจ

    และโดนใจจริงๆ...จริงๆแล้วภัยพิบัตินั้นมันเกิดอยู่ทุกเวลา...ในตัวเราแต่เรา

    ไม่รู้ตัว ไม่สนใจ หารู้ไม่มันอยู่ในตัวเราอย่างที่ท่านได้กล่าวมานั้นถูกทุกถ้อยคำ

    ไม่ใช่พร่ำ แต่เป็นคำเตือนให้ผู้ที่ทำเพื่อป้องกันภัยพิบัติเช่นภัยธรรมชาติต่างๆ

    จริงๆแล้วเป็นการป้องกันภัยในตัวของเราต่างหาก...เพราะภัยนั้นๆเราเป็นผู้ก่อ

    และเป็นผู้ทำมันเอง...เราก็ต้องมาทำความดีเพื่อป้องกันภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้นกับ

    ตัวเรานั่นเอง...ขอขอบพระคุณที่ท่านเมตตาและเป็นห่วง...ยอมเสียสละเวลา

    ของท่านเอาความเป็นห่วงนั้นมา...ขยายเพื่ออยากให้ทุกท่านผู้ที่ได้อ่านนำไป

    ศึกษาและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของญาติธรรมทุกท่าน...ผู้เขียนขอน้อมรับ

    พระธรรมที่ท่านนำมาเป็นธรรมทานทั้งหมด...กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะสาธุ.
    [/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2013
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับ คุณพี่มาลีนีด้วย ช่างเป็นธรรมทานที่อ่านแล้วเกิดปิติแทนพี่ที่ได้ปฏิบัติจนไม่กลัวกับความตายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง...เพราะผู้ปฏิบัติที่ทําได้อย่างนี้ก็คือผู้ปฏิบัติและยึดหลักธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติแล้วได้เห็นประจักษ์แก่ตนเอง...เพราะธรรมจะรู้ได้เห็นได้เฉพาะตัว และธรรมก็เกิดได้ในทุกสถานการณ์ไม่เรียกเวลาและสถานที่ เหมือนความตายก็เกิดได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกับธรรม จึงขอกล่าวคําอนุโมทนาสาธุในธรรมทานครั้งนี้ของคุณพี่มาลีนีผู้ปฏิบัติดีและปฏิบัติชอบแล้ว ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมของท่านยิ่งๆขึ้นได้ด้วยเทอญ นิพพานัง ปรมัง สุขัง สาธุ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อดโมทนากับคุณพี่มาลินี กับคุณGolden Skyไม่ได้เลย

    ธรรมะ แปลว่าความจริง ของจริงหรือของแท้ๆเสมอ
    เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ของจริง ก็คือ ผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริงๆ ถึงจะได้ของจริงๆของแท้ๆ
    อย่างเช่นคุณพี่มาลินี หรือผู้ปฎิบัติทั้งหลายที่ตั้งอกตั้งใจปฎิบัติกันอยู่ในขณะนี้

    ส่วนผู้ที่ได้ของจริงหรือของแท้นั้น คือผู้ที่รู้พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    แล้วน้อมจิตมาปฎิบัติตาม จนได้ปฎิเวธ นั่นก็คือผลนั่นเอง
    เพราะพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นอกาลิโก
    คือให้ผลกับผู้ปฎิบัติไม่จำกัดกาล ให้ผลทุกเมื่อ และปัจจัตตัง ก็คือรู้ได้เฉพาะตน

    คำว่า "กลัวตาย" จะไม่มี ไม่บังเกิดกับผู้ที่ปฎิบัติถึงแล้ว คือถึงจิตในจิต ธรรมในธรรม
    ก็ย่อมรู้ดีกแก่ใจ เพราะเราจะตอบตนเองได้ทันที ตอบตนให้ได้ก่อน ค่อยไปตอบคนอื่น

    คำว่า "เฉียดตาย" เสมือนเราได้ฝึกตายก่อนตายจริง อันนี้ดีมาก เพราะทำให้เรารู้ซึ้งถึงใจ
    เฉียดตายหรือเกือบตายนี่แหล่ะ คือธรรมแท้ๆของตนเอง หรือเป็นเครื่องเตือนสติของเราอย่างดี
    เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา อะไรประมาณนั้นฯ

    เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้เจริญทั้งหลาย จงเตรียมจิตพร้อม..รับทุกสถานการณ์
    เมื่อเรารู้ เข้าใจและเข้าถึงธรรมะแล้ว ถ้าตายไป เราไม่เป็นห่วงคนข้างหลังหรือสิ่งใดๆ
    ไม่ต้องหันกลับมาหลงเกิดมีกายหยาบกันอีกต่อไปฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...