จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนเรานี่แปลก! แต่จริง!

    รู้ทั้งรู้ว่าทุกข์เจียนตาย
    รู้ทั้งรู้ว่า ขันธ์นี้ ที่พวกเราเข้าใจว่า เป็นเรา เป็นของเรา
    แก่แน่ๆ เจ็บป่วยแน่ๆ ดับแน่ ตายแน่ๆ ตายแน่นอน
    ไม่มีผู้ใดหลีกหลีพ้นความตายของตนไปได้

    รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังอยู่เฉยๆ ไม่ยอมพากันรักษาศีล ทำภาวนา
    อีกไม่นานนัก ผู้ที่ประมาท และผลของกรรมมันเป็นเช่นไร
    ยังไม่หมดลมหายใจ ก็ยังไม่สำนึกกันใช่ไหม๊
    เอาละๆลูกหลาน จงจดจำกันไว้ให้ดีๆนะว่า
    ...ชาติหน้ามีจริง อดีตชาติเจ้าต้องรับกรรม ก้มหน้าแอ่นอกรับกันไป...

    มีสักกี่คนที่อยากกลับมาเกิดอีก และ มีสักกี่คนที่ไม่อยากกลับมาเกิดอีก
    แต่จำพวกแรก ตอบว่า ยังอีกไกล ยังอีกยาวนาน ชั่วกัปป์ ชั่วกัลป์
    แต่จำพวกหลังนี้ เอ่อ ยังพอใกล้ความจริง คือ ผู้ที่กำลังเห็นธรรม

    เมื่อพระพุทธองค์ท่านทรงทำเป็นตัวอย่างให้กับพวกเราดูไปแล้ว
    พวกเราจะช้าอยู่ใยเล่า!
    รีบทำความเข้าใจเรื่องศีล อริยสัจจ์ พระไตรลักษณ์
    รีบน้อมจิตมาปฎิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘ กันไวๆ
    อย่ารอช้า เพราะยิ่งช้า เท่ากับยอมรับไปตามยถากรรม
    แต่ถ้าผู้เจริญที่มีทั้งสติ ทั้งปัญญา ท่านจะไม่รีรอเป็นแน่
    เพราะผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นและความสำคัญของจิตตน
    นั่นก็คือ จุติจิตตนเอง หรือเลือกไปที่ชอบๆ คือ สุคติภูมิ
    หรือเราเองเท่านั้นที่จะกำหนดการไปของดวงจิตของตน หรือโลกหน้าภพหน้า
    แต่ถ้าไม่กำหนดการแน่นอน โอกาสจะตกในแดน อบายภูมิหรือนรกภูมิ

    แค่สติคนธรรมดาๆ ไม่น่าจะรอดถึงสวรรค์พรหมแน่ คือเสร็จนรก!
    จิตฝึกยาก แต่ก็ต้องฝึก
    ฝึกจิตกันก็เพื่อ ให้จิตหายหลงใหล ละเมอเพ้อพก คือให้รู้ความจริง
    ก็คือ นี่เองหรือ..ที่เขาเรียกว่า รูป-นามสมมุติทั้งหลาย ทั้งปวง
    ไม่ต้องเอาจิตเข้าไปยึดติด หรือแสดงเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
    รู้จักกันไหม๊ เรากำลังมี กำลังอยู่ กำลังเป็นกับสิ่งสมุติกัน

    ถามว่า...รู้ไหม๊ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ตอบว่า..รู้สิ! รู้ดีเสียด้วย ฮ่าๆ
    แต่ก็ยังยึดกันอยู่ ยึดไปโดยปริยาย เพราะอะไร ก็เพราะว่า ปัญญาต่างกัน
    ตัวปัญญานี้จะทำให้คนเราหูตาสว่างโล่ง แค่ตัวสติเฉยๆ ก็แค่รู้เฉยๆ
    แต่ไม่ขยับออกหนีห่างจากกิเลสหรือสิ่งที่เรียกว่าสมมุติกัน
    เพราะตราบใด ยังไม่มีตัวปัญญา(ทางธรรม)

    พอแร๊ะ ยิ่งพร่ำก็ยิ่งยาวฯ
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะที่ดีที่สุด
    ก็คือ กายและใจตนเอง

    ผู้เจริญทั้งหลาย ลองตามดูกายเคลื่อนไหว(ทุกอิริยาบถ)
    ลองตามไปดูใจเคลื่อนไหว(ความคิดหรืออารมณ์จิต=เจตสิก)

    ขอให้พวกเราจงเฝ้าติดตามดูธรรมทั้ง 2 ตัวนี้ของเรานี้
    อย่าให้คลาดเคลื่อนหรือหนีหายไปจากไหน
    นี่แหล่ะ! ธรรมตนเอง สมบัติภายในตนเอง อริยทรัพย์ตนเอง
    บุญบารมีหรือกุศลใหญ่หลวงตนเอง โสดาบัน สกิฯ อนาฯ อรหันต์ตนเอง
    หรือนรก สวรรค์ พรหม หรือพระนิพพานตนเอง

    อย่าไปดูธรรมไกลตน ทั้งสติ ทั้งปัญญาก็มีด้วยกันทุกคน
    กว่าเราจะได้ดวงจิตที่ใสสะอาด ต้องผ่านขบวนการชำระล้าง
    ตั้งแต่หยาบก็คือศีล กลางก็คือสมาธิหรือฌาน ละเอียดคือปัญญาหรือปัญญาญาณ
    ทางเดิน ทางปฎิบัติที่ถูก ก็คือ มรรคมีองค์๘ นี้เท่านั้น ทางอื่นไม่มี หลงหมด

    จิตคนเราจึงเปรียบเสมือนดั่งดอกบัว
    ซึ่งดอกบัวเกิดมาจากโคลนตม แต่จิตใจเราเกิดมาจากร่างกายอันแสนสกปรก

    เพราะฉะนั้น กว่าที่จะมาเป็นดอกบัว จึงต้องอาศัยต้นที่อยู่ที่โคลนตม
    จิตใจของคนเราก็เหมือน ต้องอาศัยร่างกายหรือธาตุทั้ง 4
    ร่างกายอยู่ได้ก็เพราะต้องทานอาหารจำพวก ซากพืช ซากสัตว์ที่ไร้วิญญาณ
    บางคนเมื่อทานอาหารมีเรี่ยวแรงกันไปแล้ว
    บ้างก็กระทำความดี บ้างก็กระทำแต่ความชั่ว
    แตกต่างไปตามสติปัญญาของตนเอง

    สรุปแล้ว ที่พร่ำมาตั้งนา ก็อยากแค่จะบอกกับพวกเราที่รักและเคารพทุกท่านว่า...
    สติ เราควรหมั่นทำความรู้สึกตัวให้มากๆ
    พยายามอยู่กับตนเองให้มาก สนใจจิตตนเองให้มากๆ
    หรือมีสติตามดูกายเคลื่อนไหวทุกอริยาบถ ลและตามดูจิตทุกขณะจิต
    แค่พวกเราทำแค่นี้ นี่แหล่ะ เรียกว่า เจริญสติให้เป็นสัมปชัญญะ
    หรือเจริญปัญญา
    เมื่อพวกเรามีปัญญาเป็นของตนเองเมื่อไหร่ ก็ถึงบางอ้อ! บางอ๊าว! กันเมื่อนั้น
     
  3. ตาลเดี่ยว

    ตาลเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +425
    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ท่านได้นำสิ่งดีๆมาให้อ่านและศึกษา นับว่าได้ข้อคิดดีๆมากครับ:cool:
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แด่..ผู้เดินหลงทาง

    หลงปฎิบัติดี หลงปฎิบัติชอบ ดีกว่าหลงตนเอง หลงผู้อื่น หรือหลงสมมุติอื่นๆ
    แต่ถ้าหลงทางปฎิบัติ(ปฎิบัติไม่ถูก) หลงเดินมรรค(ปฎิบัติไม่เป็นไปตามมรรค) หรือ
    หลงนิมิต หลงอภิญญา อันนี้ไม่ดีแน่ เพราะจะหลงจริงๆ กู่ไม่กลับ คือหลงไปไกล

    แต่หลงดีที่สุด ก็คือ หลงพระรัตนตรัย
    หลงพระพุทธ หลงพระธรรม หลงพระสงฆ์ อันนี้ดีที่สุด
    เพราะถือว่าหลงไปในทางที่ดี ที่ชอบ

    หลงหรือติดสุขในฌาน ยังดีกว่าหลงกิเลสตัณหาฯของตนเอง

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติถึงตรงไหน รู้อะไร เห็นอะไร เมื่อรู้สึกตัวมาก เมื่อไหร่
    หรือมีสติสัมปชัญญะ จิตเขาจะทำหน้าที่เป็นผู้ละ-ปล่อย-วางเอง มิใช่กาย
    มิใช่เพียงลมปาก ที่เราพูดว่าละๆ พูดว่าปล่อยๆ พูดว่าวางๆ
    เพราะไม่มีอะไรหรือใครไปสั่งจิตให้ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้
    (จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว แล้วสติหล่ะ! เป็นอะไร)

    กว่าจิตเราจะละปล่อยวางได้ ก็ต้องอาศัยตัวปัญญา หรือปัญญาญาณ
    เดี๋ยวจิตของผู้ปฎิบัติท่านนั้น จะรู้เอง ว่าจะละปล่อยวางตอนไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
    เดี๋ยวมันละ มันจะออกจากที่ที่ตรงนั้นเอง ส่วนเวลาไม่เท่ากัน
    เมื่อวาระกรรมใกล้จะหมด มีสติปัญญา มีกำลังใจหรือบุญบารมีเกือบจะเต็ม

    การปฎิบัติธรรมนั้น กระทำได้ทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่
    อย่ารอ! จะเสียโอกาส จะเสียมรรคผล ยิ่งพระนิพพานด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง
    เพราะการทำบุญใหญ่หรือบุญภายใน แค่ใช้สติตนเองตามดูกาย-ใจ หรือลมหายใจของเรา
    อย่าไปรอให้พร้อมก่อน รอรีไทร์หรือเกษียณอายุก่อน รอหมดลมหายใจก่อน
    อันนี้ถือว่าเสียหายมาก ประมาทมาก

    ผู้ที่ไม่สนใจศีล เผลอสติ ทิ้งสมาธิหรือฌาน เท่ากับทิ้งของดี ก็คือ ปัญญา
    เท่ากับทิ้งมรรค ผล นิพพาน หรือบุญบารมีของตนเอง
     
  5. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
     
  6. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุ ค่ะ เพราะ ศีล นั้นจําเป็นอย่างมาก...เพราะจะทําให้ผู้ปฏิบัติมีวินัยในตัวเองเพราะการปฏิบัติธรรมแล้วถ้าขาดวินัยแล้ว ก็ไม่สามารถทําให้ธรรมเจริญได้เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็เห็นความสําคัญอย่างมากจึงได้มีการตั้ง "กฏ" คือ มีศีลและวินัยของพระภิกษุสงฆ์ที่จะเป็นเครื่องบังคับก็มี ศีล ๒๒๗ ข้อนั้นเองเป็นบาตฐานให้ทุกรูปดําเนินตามหรือปฏิบัติตามนั้นเอง... และอย่างผู้ปฏิบัติก็จะต้องมีศีลก่อนถ้าไม่มีศีลก็จะปฏิบัติไปไม่ถึงไหนได้ เพราะ ศีล คือ กฏและระเบียบของผู้ปฏิบัติธรรมนั้นเอง...อย่างฆารวาสก็ต้องมีศีล ๕ เป็นต้น เพราะถ้าไม่มีศีลแล้วก็เหมือนการปลูกบ้านถ้าฐานไม่แข็งแรงก็จะทําให้บ้านพังลงมาได้คือ "ฐานมันอ่อนแอนั้นเอง" ก็ไม่ต่างจากผู้ไม่มีศีลก็จะทําให้ท้อแท้อ่อนแอไปได้นั้นเอง...
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ผู้ปฏิบัติธรรมที่จะได้รู้ได้เห็นอารมณ์ของตนนั้น...ต้องมีความเข้าใจก่อนว่าอารมณ์นั้นๆมันเกิดของมันอยู่ตามปกติอยู่แล้ว...แต่จิตไม่สงบพอจึงไม่ได้เห็นความเกิด-ดับของตัวปรุงนั้นๆ แต่พอผู้ปฏิบัติพอเริ่มมีความสงบและเริ่มจับจุดได้คือมีสตินั้นเอง...คือได้รู้ได้เห็นอารมณ์เกิด-ดับนั้นแหล่ะจึงจะรู้ว่าความเกิด-ดับนี้ก็เป็นของเขามาแต่ไหนๆอยู่แล้ว และเราผู้ปฏิบัติแค่รับรู้แล้วทําความเข้าใจในอารมณ์นั้นๆก่อนจนเคยชินกับมันแล้วก็จะเข้าใจได้แต่ผู้จะดับอารมณ์ที่ปรุงขึ้นโดยการทํางานของสังขารปรุงแต่งภายในจิตนั้นว่าเป็นเรื่องธรรมดาก่อนและเราแค่เป็นผู้ดู เราก็จะไม่เข้าไปร่วมปรุงกับเขา...ตัวอย่างก็เหมือนคนเล่นฟุตบอลในสนามเราก็เห็นว่าใครเป็นอย่างไร? ใครเล่นดีหรือไม่ดีแต่เราเป็นผู้ดูอยู่เฉยๆนั้นแหล่ะเราก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนเล่นนั้นก็คือ...ผู้ปรุงแต่งของความคิด-สังขาร เกิด-ดับ เหมือนมีมืดกับแจ้งนั้นเอง...ผู้ปฏิบัติจึงต้องทําความสงบให้เกิดขึ้นแล้วจึงจะรู้ว่าการทํางานของจิตนั้นเป็นอย่างไร?คือต้องเป็นผู้ดูจิต และจิตนี่แหล่ะเป็นผู้ทําหน้าที่ปล่อยวาง...เพราะจิตเขารู้แล้วว่าอะไรมีประโยนช์ และอะไรเป็นโทษเพราะการจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็ต้องอาศัยการรู้เห็นเป็นจริงคือมี"ปัญญาฌาณนั้นเอง"ปัญญาฌาณตัวนี่เกิดจากการได้รู้เห็นความเกิด-ดับและเป็นตัวรู้ในอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบจิตเพราะจิตเป็นตัวรับคลื่น คือกระแสของความคิด-ความปรุงต่างๆที่เราได้สัมผัสมาทาง"ตา หู จมูก สิ้น กาย ใจ"แล้วก็มาร่วมที่ใจเป็นผู้กรองหรือผู้ตรวจเหมือนโรงงานที่ผลิตสิ่งของเครื่องใช้นั้นแหล่ะ ก็ต้องมีแผนกต่างๆแล้วก็แผนกสุดท้ายก็เป็นผู้ตรวจหรือ "คิวชี"ผู้ทําหน้าตรวจว่าผ่านหรือไม่ผ่านนั้นเองก่อนจะปล่อยผลิตภัณฑ์ออกไปจําหน่ายในท้องตลาดก็เช่นเดียวกับจิตก็เป็นผู้ตรวจดูก่อนว่าอะไรดีหรืออะไรไม่ดีก็จะเอาแต่สิ่งดีเท่านั้นสิ่งไม่ดีก็จะปล่อยวางไปนั้นเอง...
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะกับสุภาษิตไทย
    "ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่"
    "ดูช้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อน"

    โดยปกติในทางโลก จะดูคนแค่ผิวเผิน หรือดูแค่รูปลักษณ์ภายนอก เท่านั้น
    แต่ในทางพุทธศาสนา จะดูคนต้องดูให้ถึงข้างใน นั่นก็คือ จิตใจหรือนิสัยใจคอ
    ปราศจาก หรือเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหาและอุปาทาน หรืออัตตา มานะ
    ศีลธรรมของคนเราไม่เสมอกัน เพราะความละเอียดแห่งจิต ต่างกัน
    บุญหรือบารมีก็เช่นเดียวกัน ถ้าต่างกันมาก ก็จะไปกันไม่รอด

    "แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนา แข่งกันไม่ได้จริงๆ"

    ดังสุภาษิตไทยนี้ ก็เช่นกัน เราต้องไม่แข่งบุญวาสนากับผู้ใด
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกัน เราไม่ต้องไปปฎิบัติแข่งหรือเปรียบเทียบกับผู้ใด
    แต่อยากให้เปรียบเทียบในผลการปฎิบัติตนเอง ก็คือ ก่อนและหลังการปฎิบัติ
    และให้พอใจในผลการปฎิบัติของตนเองด้วย
    เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น เดี๋ยวจะเกิดความท้อแท้ รู้สึกเนื้อน้อยต่ำใจหรือไม่มีกำลังใจ
    ในการปฎิบัติธรรมของตนเอง
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับคุณเพ็ญUKด้วยครับ
    ว๊าววว! ธรรมะQC ธรรมะคุณภาพ(คับแก้ว)
    มันไหลอย่างกับน้ำเซาะทรายเลยหรอนี่..สาธุๆๆ

    https://www.youtube.com/watch?v=A_m7WfvnMJc

    กว่าจะได้จิตคุณภาพ เราต้องมีสติคุณภาพก่อน
    ปัญญาคือน้ำใส สมาธิคือเครื่องกรอง ส่วนสติคือคนที่เปิดน้ำใส่เครื่องกรอง
    คือต้องตั้งใจที่จะได้น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์มาดื่มกินจริงๆ

    กว่าเราจะได้น้ำสะอาด น้ำบริสุทธิ์มาดื่มกินกัน มันมีขบวนการ
    เหมือนกับจิตคุณภาพนี้เช่นกัน ก็คือ กว่าจิตคนเราจะได้ปัญญา
    จึงต้องผ่านขบวนการที่ทำให้จิตคนเรานิ่งก่อน นั่นก็คือ การเจริญสติภาวนา
    จากกรรมฐานทั้ง 40 กอง เลือกมาปฎิบัติแค่กองเดียว ตามจริต ความถนัดของตนเอง

    กว่าจิตจะรู้จัก คำว่า "ปล่อยวาง" จิตต้องมีปัญญา หรือปัญญาญาณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว
    แต่ความเคลื่อนไหวมักสยบ จิตไม่นิ่ง ฮ่าๆ

    นี่แหล่ะ! จิตคนเรานิ่งกันได้เมื่อไหร่ ปัญญาก็ปรากฎเมื่อนั้น
    และปัญญานี้แหล่ะ! จะเป็นผู้ดู ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นรอบกายใจของเรา
    ผู้ใดมีปัญญาเป็นของตนแล้ว ต่อไปก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่วิ่งตามกับสิ่งที่มากระทบจิตหรือความนึกคิด
    เมื่อจิตเรารู้+เข้าใจ+เข้าถึง สภาวะธรรมต่างๆเหล่านั้นได้
    จิตเขาจะปล่อยวางสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้เอง

    เมื่อจิตของคนเรายังนิ่งไม่เป็น เท่ากับเรายังไม่มีสมาธิหรือมีปัญญา

    ตรงนี้ผมเน้นบ่อยมากๆ คำว่า
    จิตนิ่งได้เพราะ สติ
    ปัญญาเกิดได้เพราะ สมาธิ
    ผู้ที่จะเจริญในธรรมหรือภาวนาได้เพราะ ศีลครบ
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผลเสียของการปล่อยจิตให้เพลินกับอารมณ์

    ก่อให้เกิดอนุสัยทั้ง ๓

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เพราะอาศัย ตา ด้วย รูปทั้งหลาย ด้วย จึงเกิด จักขุวิญญาณ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...
    เพราะอาศัย หู ด้วย เสียงทั้งหลาย ด้วย จึงเกิดโสตวิญญาณ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...
    เพราะอาศัย จมูก ด้วย กลิ่นทั้งหลาย ด้วย จึงเกิดฆานวิญญาณ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...
    เพราะอาศัย ลิ้น ด้วย รสทั้งหลาย ด้วย จึงเกิดชิวหาวิญญาณ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...
    เพราะอาศัย กาย ด้วย โผฏฐัพพะทั้งหลาย ด้วย จึงเกิดกายวิญญาณ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย...
    เพราะอาศัย ใจ ด้วย ธรรมารมณ์ทั้งหลาย ด้วย จึงเกิดมโนวิญญาณ
    การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนั่น คือ ผัสสะ;
    เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย

    จึงเกิดเวทนา อันเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง.
    บุคคลนั้น เมื่อ สุขเวทนา ถูกต้องอยู่ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่;
    อนุสัยคือราคะ ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสติ)
    เมื่อทุกขเวทนา ถูกต้องอยู่ เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ ย่อมคร่ำครวญ ย่อมตีอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหลอยู่;
    อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมตามนอน (เพิ่มความเคยชินให้) แก่บุคคลนั้น.
    เมื่อ เวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ถูกต้องอยู่เขาย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
    ซึ่งสมุทยะ (เหตุเกิด) ของเวทนานั้นด้วย
    ซึ่งอัตถังคมะ (ความดับไม่เหลือ) แห่งเวทนานั้นด้วย
    ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย
    ซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
    ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้นไป) ของเวทนานั้นด้วย;
    อนุสัยคืออวิชชา ย่อมตามนอน (เพิ่มความเคยชินให้) แก่บุคคลนั้น.
    บุคคลนั้นหนอ

    (สุขาย เวทนาย ราคานุสยํ อปฺปหาย) ยังละราคานุสัย อันเกิดจากสุขเวทนาไม่ได้;
    (ทุกฺขาย เวทนาย ปฏิฆานุสยํ อปฺปฏิวิโนเทตฺวา) ยังบรรเทาปฏิฆานุสัย อันเกิดจากทุกขเวทนาไม่ได้;
    (อทุกฺขมสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสยํ อสมูหนิตฺวา) ยังถอนอวิชชานุสัย อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้;
    (อวิชฺชํ อปฺปหาย วิชฺชํ อนุปฺปาเทตฺวา) เมื่อยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว,
    (ทิฏฺเฐว ธมฺเม ทุกฺขสฺสนฺตกโร ภวิสฺสตีติ) เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรม (รู้เห็นได้เลย) นี้ได้ นั้น;
    (เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ฯ) ข้อนี้ ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้.

    อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    จาก fb ห้องเจริญสติ ของครูดัชค่ะ ขออนุญาตนำมาลงกระทู้เพื่อเป็นธรรมทานน่ะค่ะ:cool:


    .....อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา......
    คำกล่าวนี้เอาไว้ใช้กับทางโลกกัน แต่หากจะใช้กับทางธรรม ขอขยายความกันตรงนี้ก่อนนะคะ........
    การเจริญสติก็เหมือนการขุดหาเพชรกัน ก่อนที่เราจะขุดก็ต้องถากหน้าดินขุดจากหน้าดินกันก่อน แล้วค่อยๆขุดค่อยๆเจาะเข้าไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาเพชรเม็ดงาม ก่อนจะได้เพชรเม็ดมันต้องเจอก้อนเพชรที่มีหินเกาะอยู่เราต้องเอาก้อนหินเพชรนั้นมาเจียเอาหินออก แล้วถึงจะได้เพชรเม็ดงาม

    พวกเราอย่าได้ดูถูกการเจริญสติเป็นอันขาด พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมมาแล้วท่านก็เจริญสติอยู่เป็นนิจ การเจริญสติ ไม่ใช่แค่การรู้เฉยๆ บางคนอาจเข้าใจว่า การเจริญสติก็คือการรู้เฉยๆ ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ ......

    การ'..รู้..' นี้คือการรู้สึกล้วนๆ รู้ รู้ รู้ รู้เข้าไปจนถึงข้างในจิตในใจเรา ครูดัชฝึกเจริญสติคือรู้กาย พอได้รู้กาย อาจารย์แม่บอกให้รู้อีก พอได้รู้จิต อาจารย์แม่บอกให้นั่งทำตัวรู้มองให้เห็นรู้เวทนา เข้าไปเรื่อยๆ จนเห็นการรู้ธรรม เมื่อตัวรู้มันทำงานเป็นอัตโนมัติ คือรู้ได้อย่างต่อเนื่อง รู้สึกอยู่ตลอดเวลา อ่านให้ดีตรงนี้นะคะ ตัวรู้นี้จะไปกระตุ้นในจิตให้จิตได้ '..ตื่น..' ตื่นจากกิเลส เช่น ใครที่ฝึกสติได้ดีในระดับหนึ่ง ลองสังเกตุตัวเองให้ดี ว่า ทำไมเข้านอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วชอบตื่นมาดึกๆ เป็นการตื่นแบบสดชื่นเหมือนว่าเราหลับมาอย่างเต็มอิ่มทั้งๆที่เราหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง และการตื่นนี้ก็ตื่นได้ทุกคืน ในเวลาใกล้เคียงกับคืนก่อนๆ ใหม่ๆอาจตกใจว่า แล้วเราจะตื่นมาทำงานตอนเช้าทันเรอ จะหลับก็ไม่หลับ บางท่านก็ใช้วิธีสมาธิต่อเลย

    เรื่องของเรื่องก็คือ จิตที่ได้รับการฝึกสติตามนี้ เค้าตื่น ตื่นจากกิเลส ตื่นจากนิวรณ์ ฉะนั้น จิตระดับนี้จะตื่นได้ดีกว่า จิตที่ไม่ได้รับการฝึกสติมาเป็นอย่างดี หลวงพ่อจรัญฯ ท่านจะหลับวันละแค่สองชั่วโมง เพื่อรักษาธาตุขันธ์ ให้ทรงอยู่ได้ และพระนักปฎิบัติอีกหลายๆรูปก็เช่นกัน ทีนี้จิตที่ตื่นแบบนี้เกิดจากการฝึกตัวรู้ การฝึกเจริญสติ จิตแบบนี้จะไม่ค่อยมีฝันเพ้อเจ้อ จิตเช่นนี้ จะสามารถสั่งร่างกายได้ เช่น ขอหลับ 10 นาที ก็จะเป็นตามนั้น เมื่อจิตตื่นรู้อย่างนี้แล้ว ก็เริ่มจะเห็นแสงสว่างแห่งธรรม เห็นการเกิดดับของสิ่งต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นบ่อยๆ เนืองๆ เรื่อยๆ จิตจะเริ่มฉายแสงแห่งปัญญาได้เอง ไม่ต้องไปขุดไปพิจารณาอะไรให้เหนื่อย จิตจะสามารถเดินได้เองโดยมีสติเข้าไปช่วยเป็นอัตโนมัติ จิตจึงเกิดความ '..เบิกบาน..'

    มาถึงตรงนี้ใครมองเห็นอะไรหรือยัง ฉะนั้น ถ้าไม่เชื่อขอท้าให้ลอง อั่ยที่มานั่งวิปัสสนากันเป็นวันๆ ท่านจะไม่มีอีกเลย เพราะมันตัดฉับไม่เอาอีกทันที มันเข้าระบบตัดขาดอย่างไม่มีเยื่อใยใดๆ ทำมากๆเยอะๆ เยอะๆมากๆ แล้วจะเห็นผลยิ่งว่าใช้โอโม่

    หลวงพ่อเทียนฯท่านบอกว่า....ธรรมะทุกตัวอยู่ในการเจริญสติหมด หาเอาจากการเจริญสติได้เลย .... ครูดัชไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ให้พวกเราเข้าใจถึงระบบการทำงานของสติ มันเสิศ พิศดาร มโหราฬ สุดยอดจริงๆ มันเป็นปัจจัตตัง

    ฉะนั้น หาเพชรในจิตตนให้เจอ ของใครของมัน อยู่ที่ความเพียรเท่านั้นค่ะ

    โมทนาสาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2013
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนกล่าวถึงบทธรรมที่หลวงปู่มั่นเคยเทศน์ในท่ามกลางสานุศิษย์บ่อยครั้ง ดังนี้

    “ธรรมของพระพุทธเจ้าแม้จะเป็นของจริง แต่เมื่อสิงสถิตอยู่กับปุถุชน ธรรมนั้นก็กลายเป็นธรรมปลอม ครั้นสิงสถิตอยู่กับพระอริยเจ้าจึงเป็นของจริงตามส่วนแห่งธรรม
    และภูมิของผู้บรรลุ คนที่รู้จักธรรมพองูๆ ปลาๆ กับคนที่ไม่รู้จักธรรมเสียเลย คนเหล่านี้จะไม่สามารถรู้ธรรมว่าเป็นของจริงหรือของปลอมได้เลย แต่คนที่รู้จักธรรมแท้พร้อมทั้งที่เกิดขึ้นแห่งธรรมและที่ดับแห่งธรรม โดยความรอบคอบด้วยปัญญาและพร้อมทั้งความไม่ถือมั่นในธรรม ผู้นี้เองจะสามารถรู้จักธรรมที่แท้จริงหรือธรรมปลอม ในเมื่อธรรมสิงสถิตอยู่กับบุคคลนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน”

    จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๑๔๕
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า
     
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    มนุษย์ เป็นที่ประชุมใหญ่ มีทั้งดีและชั่ว
    ที่สุด ที่อเวจี เป็นฝ่ายอกุศล
    ดีที่สุด ที่พระนิพพาน

    มนุษย์ ใจสูงใจกล้าหาญ มีทั้งที่ดีและร้าย
    มรรคผล ก็อยู่ในชั้นมนุษย์ ครบทุกอย่าง!
    มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
    ภพอื่น ไม่มีครบ เหมือนชาติมนุษย์นี้


    (พระธรรมคำสอน…หลวงปู่หลุย จันทสาโร
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    ดี - ไม่ดี อยู่ที่การปฏิบัติ


    “สิ่งที่ดีของวันนี้ก็คือ การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งและมีศีลไปเป็นข้อปฏิบัติ
    อันนี้เป็นของที่ดีที่สุด แต่เป็นของดีที่ไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ โดยมากจะไปสนใจกับสิ่งไร้ค่า สิ่งมีคุณค่าอย่างศีลนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจเพราะศีลไม่มีรูปร่าง บางคนก็คิดว่า ทำแล้วก็อย่างนั้น ไม่ทำก็อย่างนั้น ศีลจึงไม่ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของคนเรา ความเป็นจริงแล้ว ศีลเป็นสิ่งจำเป็นมาก ศีลคือความซื่อสัตย์ สุจริต ทำให้เราไว้เนื้อเชื่อใจกันได้เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน ทำให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันทำงาน และอยู่ร่วมกันด้วยความเป็นปกติราบรื่น

    พวกเราเข้ามาวัดแล้วต้องปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ชีวิตมันจึงเจริญและดีขึ้น อาตมาอยู่ในวัดนี้ บางครั้งก็มีคนเอาลูกหลานมาฝาก เขานึกกันว่าเอามาขว้างไว้ในวัดแล้วมันจะดี ความคิดผิดเป็นอย่างนี้แหละ บางคนเข้ามาเที่ยววัดแล้วก็ผ่านไป ไปคิดว่าผ่านวัดนี้แล้วจะดีขึ้น นกก็บินผ่านวัดเหมือนกัน มันดีขึ้นมั้ย?”


    หลวงปู่ชา สุภัทโท​
     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    บวชก็ตาย ไม่บวชก็ตาย

    “ศีล ๕ ก็เข้าโลกุตระได้ ศีล ๘ ก็เข้าโลกุตระได้ ศีล ๑๐ เป็นเณรอรหันต์ได้ มันเข้าถึงได้ทั้งหมดแหละ บวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้ โกนผมก็ได้ ไม่โกนผมก็ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ผมนั่นหรอก มันอยู่ที่จิต ยารักษาโรคทางกาย ธรรมะรักษาโรคทางจิต พ้นเกิดพ้นตายได้ บวชก็ตาย ไม่บวชก็ตาย ให้มันตายแต่สังขารซิ จิตใจไม่ตาย ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ตาย ธรรมะไม่แพ้ กิเลสแพ้ ให้มีแต่ธรรมะพ้นเกิด พ้นตาย ให้ตามีศีล หูมีศีล จมูกมีศีล ใจมีศีล”

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยวิธีลัด
    ตามในพุทธวจน

    เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยวิธีลัด
    ภิกษุ ท. ! เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง ;
    เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง ;
    เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง ;
    เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง ;

    เมื่อรู้เมื่อเห็นอยู่ ซึ่ง เวทนา อันเกิดขึ้น เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกข์ขมสุขก็ตาม, ตามที่เป็นจริง; บุคคล ย่อมไม่กำหนัดยินดีในจักษุ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในรูปทั้งหลาย ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในจักขุสัมผัส ย่อมไม่กำหนัดยินดี ในเวทนา อันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม อทุกขมสุขก็ตาม.

    เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดยินดีแล้ว ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่หลงไหลแล้ว มีปกติเห็นโทษอยู่; ปัญจุปาทานขันธ์ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อขึ้นอีกต่อไป และ ตัณหา อันเครื่องนำมาซึ่งภพใหม่ ประกอบอยู่ด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ของบุคคลนั้น ๆ ย่อมละไป. ความกระวนกระวาย ทางกายและทางจิต ก็ละไป ; ความแผดเผา ทางกายและทางจิต ก็ละไป; ความเร่าร้อน ทางกายและทางจิตก็ละไป; บุคคลนั้นย่อมเสวยความสุขทั้งทางกายและทางจิต

    ทิฏฐิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาทิฏฐิ
    ความดำริของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสังกัปปะ,
    ความเพียรของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาวายามะ,
    สติของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสติ,

    สมาธิของผู้รู้ผู้เห็นอยู่เช่นนั้น เป็น สัมมาสมาธิ. ส่วน กายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของเขา บริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิม; (ดังนั้นเป็นอันว่า สัมมากัมมันตะ สัมมาวายจา สัมมาอาชีวะ มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ ในบุคคลผู้รู้ผู้อยู่ผู้เห็นเช่นนั้น).

    ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์ ๘) แห่งบุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่เช่นนั้น ย่อมถึงซึ่งความบริบูรณ์แห่งภาวนา ด้วยอาการอย่างนี้.

    เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรคให้เจริญอยู่อย่างนี้ สติปัฏฐานสี่...พละห้า...โพชฌงค์เจ็ด...ย่อมถึงความงอกงานบริบูรณ์ได้แท้.
    ธรรมสองอย่างของเขาคือสมถะและวิปัสนา ชื่อว่าเข้าคู่กันได้อย่างแน่นแฟ้น...


    (ในกรณีแห่ง โสตะ(หู) ฆานะ(จมูก) ชิวหา(ลิ้น) กายะ(กาย) และมนะ(ใจ) ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน)

    อุปริ.ม.๑๔/๕๒๓-๕๒๕/๘๒๘-๘๓๐.
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงถ้าอยู่กับคนจริง...เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นจะทําเล่นๆไม่ได้เพราะสิ่งไหนทําเล่นๆก็จะได้แบบเล่นๆนั้นแหล่ะ ผู้ปฏิบัติถ้าทําจริงต้องได้ของจริงว่าแต่จะเอาชนะตัวกิเลสที่มีอยู่ภายในหัวใจได้หรือไม่นั้นแหล่ะตัวปัญหาใหญ่ คือการเอาชนะใจตนเองนั้นเอง...เพราะถ้าเราเอาชนะใจตนเองได้แล้วก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะใจผู้อื่นเพราะใจทุกๆท่านทุกๆคนก็ทําหน้าที่คล้ายกัน คือชอบสุขและชอบสิ่งที่ดีและเกลียดสิ่งที่เลวคือเกลียดทุกข์นั้นเอง...พอเราเข้าใจถึงหัวอกของคนอื่นก็ง่ายที่จะทําจะพูดออกมาในทางที่ดีนั้นเอง...หลวงปู่หลวงตาท่านจึงใช้นํ้าธรรมที่ท่านได้เห็นตามรู้ตามพระพุทธเจ้ามาอบรมลูกศิษย์ลูกหาของท่านจนเป็นผู้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ประจักษ์จนเห็นธรรมรู็ธรรมตาม...ก็คือผู้ปฏิบัติจริงทําจริงนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2013
  19. บารมีธรรมะ

    บารมีธรรมะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +122
    อนุโมทนาครับ
     
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ลูกรักทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตาย จงคิดว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการตายต่อไป นั่นคือพระนิพพาน พ่อมั่นใจในกำลังใจและความดีของลูกว่าพระนิพพานสมบัติจะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต้องได้แน่นอน นี่เป็นความหวังของพ่อ...แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เสียเมื่อไร จิตใจพัวพันอยู่ในราคะก็ดี พัวพันอยู่ในโลภะ ความหลงก็ดี พัวพันอยู่ในความโกรธพยาบาทก็ดี เป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทางเดินกัน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่เวลาตายจริง ๆ เราตามกันไม่ไหว หวังว่าลูกรักทุกคนคงจะจำได้ คงจะละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ คือ พยายามละทีละน้อย ปลดเปลื้องมันไป ไม่ช้ามันก็หมด
     

แชร์หน้านี้

Loading...