จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    การปฏิบัติตนเป็นผู้สอนธรรมะที่ดี​
    มนุษย์คนเราเกิดมาทั้งที มีความตั้งใจที่จะสร้างความดี เมื่อเกิดมาบนโลกมนุษย์แล้ว ความคิดมักจะเปลี่ยนแปลงไป คนดีมีเมตตามีไม่มาก เมื่อตนเองได้ดีมีวาสนา มักจะลืมคุณค่าของตัวตน ดิ้นรนเพื่อให้ตนเองอยู่ได้โดยไม่มองและนึกถึงเหตุผล นำพาชีวิตสร้างความเป็นใหญ่ ลืมตัวตนว่า คนเราเกิดมาเพื่อสร้างความดีและมีเมตตา เป็นความเมตตาแบบมีประสิทธิภาพ เมตตาด้วย จิตที่บริสุทธิ์ จึงเป็นตัวอย่างของผู้คิดจะทำความดี และ มีความดีได้ชัดเจน โดยควรจะรู้ตนเองว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเรียกว่า ดีด้วยจิต หมายถึงความดีที่เป็นนิสัยพฤติกรรมที่แท้จริง(ธาตุแท้)
    มนุษย์ทุกคนพระพุทธเจ้าให้ธาตุ ฟ้าดินให้สังขาร ลงมาเกิดเพื่อดำเนินจิต ด้วยการใช้ชีวิตที่เหมาะสมในการเป็นคนดี และ มีความเมตตาในการสั่งสอน บุคคลที่กำลังสร้างความดีในเมื่อเลือกที่จะ “ปฏิบัติตนเป็นผู้นำทางในการสั่งสอนเรื่อง ความดี” ก็จงมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มนุษย์และบุคคลทั้งหลายได้แสดงเจตนาถึงความรู้สึกนั้น สิ่งใดที่ถูกต้อง ถูกทำนองคลองธรรม ก็ควรจะชื่นชมด้วยความยินดี สิ่งใดที่ขัดต่อการปฏิบัติในการเป็นคนดีมีความเมตตา ก็จงสั่งสอนชี้ทางในการสร้างความดี ให้ชัดเจนและเข้าใจว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร
    มนุษย์ผู้ใดปฏิบัติและมองเห็นสิ่งใดๆได้อย่างชัดเจน โดยสามารถมองย้อนไปในอดีตจนไปถึงอนาคต ล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างได้ล่วงหน้า น่าจะเป็นบุคคลที่ชี้ทางแก่มนุษย์ทั้งหลายให้มีความเจริญเกิดขึ้น มนุษย์ลักษณะอย่างนี้น่าจะเป็นผู้สร้างความดีได้ในแบบถาวร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เกิดมาแล้วสร้างความยิ่งใหญ่แก่ตนเองในทางลบ ความยิ่งใหญ่ในทางที่ถูกต้องคือ การให้ความเมตตาในการชี้ทาง ในการสั่งสอน แก่มนุษย์ทั้งหลายที่ไม่รู้หรือไม่เคยรู้ธรรม โดยผู้ที่จะสร้างความดีในการเป็นผู้สอนนั้น จะต้องไม่ยึดติดกับคำว่า ความยิ่งใหญ่ เหนือกว่าใคร หรือ ดีกว่าใคร
    ผู้ที่จะสร้างความดีด้วยบุญกุศลดังกล่าวนี้ ต้องสามารถยอมรับและให้โอกาสบุคคลทั้งหลายได้โดยไม่มีการแบ่งแยกระดับชั้นวรรณะ ตลอดไปจนถึงแม้กระทั่งสรรพสิ่งวิญญาณทั้งหลายในทุกระดับจิต โดยเป็นผู้สอนหรือผู้ชี้ทางที่ดี ที่ไม่มีคำว่าปฏิเสธ เลย สามารถให้โอกาสผู้ที่ต้องการจะได้รับการสั่งสอนเสมอ ผู้สอนธรรมะที่ดีที่แท้จริงแล้ว ก็ต้องการให้คำสอนของตนแก่ผู้อื่นได้นำไปปฏิบัติในทางที่ดีและสร้างกุศลด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และในขณะเดียวกันผู้สอนก็ต้องมีจิตที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ผู้สอนควรมีการตรวจสอบตัวตนอยู่เสมอว่า ได้สร้างความดีด้วยจิตที่บริสุทธิ์และเพียบพร้อมแล้วหรือยัง หรือเป็นแค่การสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดี แต่ในความเป็นจริงยังขาดคุณธรรมในจิต ยังขาดความเมตตาหรือการให้โอกาส ฉะนั้นฟ้าดินก็ไม่ถือว่าเป็นการสร้างความดี (การสร้างความดีในแบบผู้สอนธรรมะที่ดีคือการมีเมตตา การให้โอกาส และการให้อภัย)
    มนุษย์ผู้ใดที่จะสร้างความดี แต่ขาดความมีเมตตา ขาดพรหมวิหาร มนุษย์ผู้นั้นก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บรรลุในความดี อันเป็นการเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นพระอรหันต์ ผู้ที่มีภูมิธรรมขั้นพระอรหันต์หรือนิพพานขั้นต้นนั้น ต้องฝึกจิตและเป็นจิตที่ดีด้วยนิสัยพื้นฐาน หรือความดีที่แท้จริง ความดีที่มีพรหมวิหาร มีการให้ด้วยความเมตตาปราศจากสิ่งแอบแฝง ยึดมั่นในความถูกต้อง มีการให้อภัย มองมนุษย์ทั้งหลายที่ใฝ่หาความดีด้วยความเวทนาและเมตตาเป็นที่ตั้งเสมอ

    -------------------------------------------

    .....................................................
    http://www.jitphontook.com
    --------------------------
     
  2. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sL-oZRTy1nE&feature=player_detailpage#t=262s]เดือนเพ็ญ ไม้เมือง///Byวัช - YouTube[/ame]
    ขอให้ธาตุขันต์ของคุณครูท่านนี้...!!อาบน้ำได้เร็วๆนะค่ะ
    ปล.น้ำจืดอาบไม่ได้ เด่วหนูจะพาลงทะเลดีกว่า....สาธุค่า:cool:
     
  3. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    [​IMG]

    เครดิต : ดาบเหาะ
     
  4. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=IqhZqargjTI&feature=player_detailpage#t=213s]ติ๊ก ชีโร่ ชัดเจน - YouTube[/ame]
    "ชัดเจน"
     
  5. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เมตตา นี่เอาไว้ปราบพยาบาท ปฏิฆะ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ หรือธรรมคู่ปรับต่อกันต่างหาก

    แต่แน่นอนอยู่แล้ว หาก"เมตตา"เป็นปฏิปักษ์ต่อ"ปฏิฆะ"
    ก็ย่อมเป็นข้าศึกต่อ "ราคะ" ด้วยเช่นกัน
    เพราะว่า ความไม่พอใจ ย่อมมาจาก ความพอใจ ยืนพื้น
    เมื่อระงับ ความพอใจเสียได้ ความไม่พอใจ จะมาแต่ไหน

    เหมือนอย่าง คนทำสมาธิ เจริญแล้วเสื่อมๆ ตอนขาขึ้นนี่นะ สุขจริงหนอๆ
    พอเสื่อมเท่านั้นแหละ ทุรนทุราย อยากให้กลับมาดังเดิม เพราะการยึดไว้นั้นเอง

    ครูบาอาจารย์ท่านจึงบอกว่า "ผู้ใดทำใจให้ถึงความเป็นกลางได้ ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง"

    แต่เป็นกลางอย่างไรนั้น คนๆนั้นต้องพุ่งเข้าหา ไม่ใช่นิ่งเฉยแบบทองไม่รู้ร้อน แต่ควรจะนิ่ง บวกกับตำลึง

    ดังนั้น หากจะ "ชัดเจน" เพราะเมตตาจะพาให้ตกบ่อ ก็บ่เป็นหยังดอก หากรู้จักเหาะ ดังยอดมนุษย์

    งง..!!+3 [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  6. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    เราเรียนธรรมมา... ก็เลือกที่จะปฎิบัติให้มากๆก่อน(เพราะเหตุผลส่วนตัว ปริยัติ ง่วงมั๊กๆๆเด็กอนุบาลไง๊)....แต่ยังไงเสีย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามสิ่งนี้มันก็ต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว สำคัญเหมือนกัน ....เหมือนกับผู้ใฝ่ธรรม ถ้าใครรู้และเข้าใจด้านไหนมาก ก็มาแชร์กัน เพื่อเติมเต็มให้กับเพื่อนร่วมทาง...จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ พระนิพพาน...ดั่งเช่นท่าน...ผู้มากด้วยปริยัติ ก็มาแบ่งปันความรู้ให้กับผู้ปฏิบัติอย่างเรา
    ปล.เราอุลตร้าแมน ก็แค่เหาะได้เท่านั้น .....(คุยกับเราดูจะเวียนหัวเปล่าๆนั้น)
    โมทนาสาธุ สำหรับธรรมทานค่ะ
     
  7. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=M6jKvx3II_o"]คู่มือมนุษย์[/ame]
     
  8. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    โมทนาสาธุค่ะ พี่ภู
    การหันกลับเข้ามาดูจิตตัวเราเองเป็นสิ่งที่เราพึงปฎิบัติกันอยู่เสมอ
    แต่บางครั้งหากมีการย้ำเตือนซึ่งกันและกัน ก็เป็นสิ่งที่ดี
    เป็นความเมตตาอย่างหนึ่ง เมตตาอย่างผู้มีปัญญา
    เพราะมิสามารถจะไปจับเอากะโหลกของใครลงไปชะโงก
    ดูเงาของเขาได้ หากจะทำเช่นนั้น ถือว่า เมตตาโดยขาดปัญญา
    จิตใครจิตมัน กะโหลกใครกะโหลกมัน สิ่งที่ทำได้คือ
    การตักเตือน ซึ่งกันและกัน สนทนาธรรมกันอย่างผู้มีปัญญา
    แทนการจับจ้องจับผิด จิตน้อมรับซึ่งกันและกัน สมกับเป็นผู้ปฎิบัติ
    เดินมรรคตามทางแห่งพระศาสดาได้ปูไว้ให้
    โมทนาสาธุกับธรรมทานทุกท่านเจ้าค่ะ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า "ปล่อยวาง"
    พูดง่าย แต่ทำยาก


    พวกเราจงนำสติ ที่ได้สร้างกันขึ้นมานั้น
    แล้วจงนำำสติไปรวมกับจิตด้วยเถิด
    แล้วสมาธิหรือฌานจะเกิด
    แล้วปัญญาจะตามมาในภายหลัง

    และปัญญาที่กล่าวมานี้ จะช่วยวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรมตามความเป็นจริง
    ขอให้พวกเราคอยสังเกตว่า ในขณะที่ทรงฌานอย่างต่อเนื่องนั้น
    ผลทำให้จิตเขาทำวิปัสสนาโดยอัตโนมัติ
    ผลที่จิตกำลังวิปัสสนาเป็นไปอย่างอัตโนมัตินั้น
    สามารถยกระดับจิตตนเองให้สูงขึ้น โดยที่เรา(สติ)ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
    แต่มารู้อาการหรืออารมณ์ของเรา(จิต)เปลี่ยนไปแล้ว เช่น โล่ง โปร่ง ใส เยือกเย็น
    ดูไม่ร้อนรนหรือไม่รู้สึกทุกข์ เหมือนเมื่อก่อนที่เรา(จิต) เคยวิ่งตามกิเลสต่างๆ

    เมื่อจิตได้เปลี่ยนจากฌาน(สมาธิล้วนๆ)เป็นญาณ(หยั่งรู้) หรือเรา(จิต)สอบผ่านวิปัสสนาญาณ
    ความน่าอัศจรรย์แห่งจิตตนเอง ก็จะเกิดขึ้น ณ ตอนนี้
    เพราะจิตไม่เหมือนสมองของคนเรา คือจิตเขาจะเรียนรู้แค่ครั้งเดียว
    จิตไม่มีวันสูญสิ้น เห็นมีแต่สมองคนเท่านั้นจะเสื่อมสภาพไปตามกาย ตามกาลเวลา
    เมื่อจิตเขาเรียนรู้+เข้าใจ=ปล่อยวาง และการปล่อยวางนี้จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
    เพราะจิตเขาจะเป็นผู้ทำหน้าที่ปล่อยวางกับสิ่งสมมุติทั้งหลาย ทั้งปวงเอง มิใช่เรา(สติ)

    คำว่า "ปล่อยวาง"
    พูดง่าย แต่ทำยาก

    ผู้ที่บอกว่า พูดง่าย แต่ทำยาก ก็เพราะว่า ไม่ยอมเจริญสติภาวนา
    ไม่ยอมลงมือปฎิบัติด้วยตนเอง มันจึงยากสำหรับคนขี้เกียจปฎิบัติ เท่านั้น
    แต่สำหรับผู้ที่พูดง่าย ทำง่าย เพราะเขามีความเพียรสูง คือ ปฎิบัติลูกเดียว
    ทำไปๆ อย่าสงสัยมากนัก ให้ปฎิบัตินำความสงสัย สงสัยหรือชักถามได้ แต่ต้องทำก่อน
    ด้วยเหตุนี้ เพราะกำลังใจ(บุญหรือบารมี)ต่างกัน

    กำลังใจได้จากบันไดบุญ ได้แก่
    ๑.บุญเล็กน้อย เช่น ทำบุญ ทำทานต่างๆ
    ๒.บุญขนาดกลาง เช่น สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรม
    ๓.บุญใหญ่ เช่น การเจริญสติภาวนา จากกรรมฐาน ๔๐ กอง

    การรู้เท่าทัน หรือ การมองเห็นกิเลสต่างๆได้อย่างชัดเจน
    การมองเห็นสิ่งที่จะมากระทบจิต ที่เข้ามาจากอายตนะภายนอก(ผู้เขียนขออนุญาตเรียกว่า ธรรมภายนอก)
    แม้นกระทั่ง การมองเห็นนามธรรมอันละเอียด(ผู้เขียนขออนุญาต เรียกว่า ธรรมภายในจิต)
    เช่น เจตสิก(อารมณ์ของจิต)
    เราต้องใช้ปัญญาเท่านั้น เป็นตัวเข้าไปรับรู้แทบทั้งสิ้น
    (นามดูนาม)

    สำหรับผู้ปฎิบัติบางท่าน ตามทันบ้าง ไม่ทันบ้างก็ไม่เปฌนไร เพราะเหตุมาจากสติปัญญาของผู้นั้น
    สำหรับผู้ปฎิบัติที่ต้องการมองเห็นการเกิด-ดับของจิต หรือเจตสิกต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
    เมื่อเห็นความเกิด-ดับของจิต จนชิน ถึงจะเห็นความเป็นธรรมดา
    หรือจิตถึงจะเข้าวิมุตติ(อนัตตาหรือความว่าง)ได้
    จำเป็นต้องใช้ปัญญาญาณ

    เพราะฉะนั้น สติจึงมีความสำคัญและจำเป็น ไม่เฉพาะแต่ผู้ปฎิบัติเก่าหรือใหม่
    ถึงแม้นกระทั่งพระอรหันต์เอง ท่านก็ไม่ทิ้งสติ หรือ ไม่ลืมเจริญสติภาวนา

    สรุปแล้ว
    ไม่ว่าผู้ปฎิบัติทั้งใหม่ ทั้งเก่า ต้องคอยหมั่นเจริญสติภาวนา อยู่ตลอดเวลา
    ตราบสิ้นอายุขัย หรือ ดับขันธ์(ตาย)

    ปล.ผู้เขียนจะไม่มุ่งเน้นอย่างอื่น แต่จะเน้นเฉพาะ สติกับจิต
    เพราะแก่นธรรมก็คือ สติกับจิต (แหล่งกำเนิดธรรมะ)
    พยายามอย่าให้ห่างกัน พยายามจับมาอยู่รวมกันให้ได้
    โลกมันยุ่งทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่า สติมันห่างจิต?

    และอีกอย่างประการหนึ่งก็คือ ธรรมะมีอยู่มากมาย ครูบาอาจารย์ก็สอนสั่งมาดีอยู่แล้ว
    พูดเรื่องสติกับจิตนี่ พูดได้ทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ไม่มีวันหมด
    ขอเจริญในธรรมทุกๆท่าน
    (จิตเป็นพระหรือจิตมีพระพุทธเจ้ากันไหม?)


    ปล.ครูฝ่ายปกครองมาแย๊วววว..ตัวใครตัวมันเด้อๆๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2013
  10. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ดีแล้วๆ ดีแล้วครับ :cool:

    มีคำต่างของสุภาษิตไทย ระหว่าง "ทองไม่รู้ร้อน กับ นิ่งเสียตำลึงทอง"

    ก็เหมือนกับการ ที่เรามีอุเบกขา

    แต่จะอุเบกขาอย่างไรนั้น การที่เรามี พรหมวิหาร
    อุเบกขา เป็นยอดของพรหมวิหาร คือ ยาดำ
    ยาดียาแรง ซึ่งจะต้องมียาดำ แทรกอยู่ในเนื้อยานั้น
    ในฐาน คือ เมตตา กรุณา และมุทิตา รวมอยู่ด้วย ด้วยอุเบกขา

    ดังนั้น ความหมายของ "ทองไม่รู้ร้อน"
    คือ การเฉยเมย ไม่มีความรู้สึก ไม่มีปฏิกิริยา รับรู้ใดๆ
    จ่าเฉยไง หากจะเปรียบ ก็ในสภาวะ "อสัญญีพรหม" นิ่งเป็นหุ่น ก็ย่อมใช่

    พอมาช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2013 ทางตำรวจท่านใจดี
    ก็เลยเปลี่ยนลุคใหม่ จากจ่าเฉย มาเป็น จ่าโบก

    นั่นไง "นิ่งเสียตำลึงทอง" มีการไตร่ตรองพิจารณา ประกอบด้วยเหตุ และผล ไปมาอย่างไร
    ดังนั้น "สังขารุเบกขาญาณ" ย่อมเป็นของ "กัลยา ณมิตร" ผู้มีพลังงาน คือ พละทั้ง5 ครับ

    จะเหาะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นล่ะทีนี้ เพราะเข้าเนื้อของเมตตา โดยแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    กิเลสที่อยู่ในจิต ก็คือ "ตัวเชื้อ"ที่ทําให้เรามาเวียนวายตายเกิดอยู่ชํ้าๆ ซากๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไป เป็นสัตว เป็นบุคคล ก็เหมือนกับการเพาะปลูกเมล็ดพันธ์พืชนั้นแหล่ะ พอเราจะปลูกเราก็เอาพันธ์มันมาว่าน คือ "เมล็ดมัน" และก็ว่านลงบนพื้นดินที่มีความชื่นที่เหมาะกับการเจริญงอกงามของเมล็ดก็จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว... และกิเลสก็คล้ายๆกันถ้ามีตัวเชื้อที่เหมาะมันก็จะเกิดง่าย เชื้อตัวนี้ก็คือ เชื้อของ"อวิชา"คือ "ความโลภ ความโกรธ ความหลง" ที่มีอยู่ในกายในใจของเรา ก็จะปุ๋ยอย่างดีของอวิชาที่ทําให้มาเกิดอีก เราจึงควรกําจัดอวิชาออกด้วยการปฏิบัติ คือเข้าไปรู้รอบในกองสังขาร ว่ามีอะไรที่ทําให้เกิดให้ตายอยู่ชํ้าๆซากๆก็ใช้สติปัญญา ตรวจส่องดูที่กายที่ใจของเรา และเราก็ทําจนมันเห็นตามความเป็นจริง ก็จะเบื่อหน่ายคลายกําหนัด และไม่อยากมาเกิดอีก หรือเปรียบเทียบกับการปลูกพืช ก็คือการว่านเมล็ดพืชลงบนหิน หรือดินที่ไม่มีนํ้าฉันใดเมล็ดพืชก็ไม่งอกฉันนั้น ถ้าเราไม่มีความกําหนัดยินดีในการเกิดแล้วเราก็จะไม่มามัวเมาในกายในใจนี่้ฉันใด ก็จะมีแต่การภาวนาเพื่อความหลุดพ้นเป็นถ่ายเดียวและก็จะเข้าใจว่าการเกิดเป็นทุกข์ที่สุดในโลกของผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การที่เราได้ไปวัดหรือไปทําบุญนี้ ก็เป็นการให้ทาน เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ยก "ทานบารมี" ขึ้นมาก่อนเพราะเป็นการทําได้ง่ายกว่าอย่างอื่น และคนไทยที่อยู่ต่างแดนก็ได้ไปทําบุญที่วัด ก็จะได้รับความสุขเป็นการได้ทําบุญให้ทาน และได้เจอคนที่มีจิตใจดี คือชอบทางเดียวกันก็ว่าได้ และการให้ทานนั้นทางพระศาสนาเราก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลอยู่แล้วก็เลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะทําเพราะเรามีศรัทธาต่อพระศาสนาอยู่แล้ว และอาหารสําหรับทําบุญนี้จะล้นเหลือมากจนชาวต่างชาติเขาก็คงจะงงๆๆอยู่เพราะอาจจะไม่เคยเห็นว่าทําไหม?เยอะอย่างนี้ เพราะมันไม่ใช่ประเพณีของเขา เราก็เข้าใจอยู่ แต่ส่วนมากก็จะเป็นคนไทยที่ทําและทําปราณีตจริงๆเพราะที่ทําได้อย่างนี้ก็คือมีใจเป็นใหญ่และมีศรัทธาต่อพระศาสนานั้นเอง จนทุกวันนี้ชาวต่างชาติเขาก็เข้าใจและพากันเริ่มมีการให้ทานตามคนไทยแล้ว. จึงขอนํามาเล่าสู้กันฟังตามความเหมาะสมค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  14. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    มีลิ้งมาแนะนำคน youK ครับ

    อันนี้หนังสือ ภาษาอังกฤษ มีของหลวงพ่อชา ท่านพ่อลี หลวงพ่อปสันโน ภิกขุ
    Abhayagiri Buddhist Monastery > Books > On Meditation

    ส่วนลิ้งนี้เป็น audioh!
    ไม่เก่งภาษา แต่ดูแล้วน่าจะกล่าวถึงพุทธศาสนา
    มีรูปพระภิกษุชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นเครือศิษย์หลวงพ่อชา
    West Wight Sangha Audio

    แนะนำต่อให้เพื่อนต่างชาติได้ครับ

    <IMG src='http://image.free.in.th/z/il/718765.jpg' width=550>​
     
  15. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โอ้โฮ่....มิทราบว่าท่านนำวิทยา-วุฒิ เหล่านี้มาได้อย่างไร? ...เราอ่านถ่อยคำทุกตัวอักษร วรรค เว้นอย่างมีความหมาย จังหวะคำยากก็ด้วย!!! ....จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสลัดหัวแรงๆๆ "แล้วเอาสติมาแปะไว้ที่ตัวหนังสือ" ไม่งั้นคนน้อยปริยัติอย่างเรา คงไม่รู้เรื่องแน่ๆ.....ขอตัวกลับวัง...!!ก่อนนะ ....พูดมากเด่วกลับวัง...ไม่ได้ จริงแล้วอยากเทียบเชิญท่านมาที่ "จิตเกาะพระ" ดีไหม๊ค่ะ???[/COLORhttp://palungjit.org/images/smilies/rose.gif
     
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สรณะอื่นไม่มี จึงไม่จำเป็นต้องเกาะครับ

    ขอบคุณครับ สาธุ
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    จิตเป็นพระหรือจิตมีพระพุทธเจ้ากันไหม?

    มืดไปสว่างมา
    กิเลสไปจิตพุทธะมา
    พุทธะสว่างใจ
    สาธุ
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ก่อนอื่นต้อง กล่าวคํา"อนุโมทนา สาธุ" กับท่าน "ผู้ว่าง" ด้วยนะค่ะที่แนะนําสิ่งดีๆให้กับเราชาว uk หนังสือที่ท่านแนะนํานั้นมีแต่ดีๆทั้งนั้น เพราะผู้เขียนได้เห็นแล้วเพราะที่วัดที่นี้เป็นวัดสายหลวงปู่ชาที่อยู่ใกล้บ้านผู้เขียน และท่านก็มีหนังสือแจกเป็นธรรมทานที่ดีมากสําหรับชาวต่างชาติผู้สนใจ และผู้เขียนก็ได้แนะนําให้เพื่อนๆที่เป็นชาวต่างชาติให้ได้อ่านด้วยจึงขอขอบคุณที่ท่านมีความปรารถนาดีต่อเราชาว ukมานะที่นี่ด้วยค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การเจริญสติภาวนาหรือการทำสมาธิ
    ที่ถูกต้องนั้น มันเป็นยังไง?


    ตามดูจิต ตามรู้จิต ด้วยใจเป็นกลาง
    หมายความว่า ให้นำสติตามดูจิต ตามรู้จิต และทำใจให้เป็นกลาง
    ด้วยใจเป็นกลาง แปลว่า เฉยๆ อย่าไปยุ่ง อย่าไปบงการ อะไรทั้งสิ้น

    ไม่ใช่ ให้นำสติเราไปวิ่งตามดูเจตสิก ไปวิ่งตามรู้เจตสิก
    และพยายามนำสติเข้าไปเปลียนแปลงสภาวะธรรมใดๆ
    เช่น ตอนนี้เรากำลังรู้สึกว่าเป็นทุกข์ใจ แต่เราจะทำยังไง๊ จะไม่ให้เราเป็นทุกข์ใจ เป็นต้น
    อย่าไปคิด ผู้เข้าใจทุกข์ได้ต้องมีสติปัญญา
    การออกจากทุกข์ของตนเองนั้น จะต้องใช้ปัญญา
    หมายความว่า การอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
    วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนาพุทธ ก็คือ
    การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและการเวียนว่ายตายเกิด
    การหลุดพ้นได้ด้วย กำลังสติปัญญาและความเพียรของตนเอง

    ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
    แล้วจะเป็นจะตายกันไปทำไม๊ เมื่อมีปัญญาตามดู ตามรู้เท่าทันจิตตนเท่านั้นเอง

    สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจทุกข์ นั่นก็แสดงว่า ไม่เข้าใจตนเอง ยังหาจิตตนเองไม่เจอ
    เมื่อเราหาจิตตนเองไม่เจอ เราก็หาทุกข์ไม่เจอเช่นกัน เพราะทุกข์เกิดจิตใจเรา
    นั่นก็หมายความว่า เราไม่เข้าใจธรรมะ หรือเข้าไปไม่ถึงแก่นของธรรม
    แก่นของธรรมะ ก็คือ จิต

    เพราะฉะนั้น การดูจิต ก็หมายถึง ให้เรา(สติ)ดูตัวเจตสิก+รู้ตัวเจตสิก+เฉยๆ
    และเรา(สติ)ไม่ต้องไปยุ่ง+วุ่นวายกับตัวเจตสิก คือให้เราดูเฉยๆ รู้เฉยๆ

    ไม่ใช่ เอาแต่ท่องๆจำๆ จากตำรามากๆ ถึงจะบรรลุธรรม ไม่ใช่ๆๆๆ
    การบรรลุธรรมหรือการหลุดพ้นจากทุกข์ ทำได้โดยการฝึกจิตหรือการเจริญสติ
    หรือปฎิบัติธรรมเท่านั้น โดยนำจิตมาเดินมรรคมีองค์ ๘ หรือศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น
    จนสามารถรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง

    นี่แปลไทยเป็นไทยให้แล้วนะ
    เพราะเห็นผู้ปฎิบัติหลายท่าน ยังไม่ค่อยเข้าใจ
    ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราต้องรู้จริงๆเสียก่อน
    เช่น การเจริญสติภาวนาหรือการทำสมาธินั้น เขาให้ทำแค่ 3 อย่างนี้เอง

    ปัญหาไม่มีอยู่จริง เห็นมีแต่จิตคนเท่านั้น..ที่มีปัญหา
    เมื่อมีปัญหาจักต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ มิใช่ปลายเหตุ
    ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง นั่นก็คือ จิตใจของมนุษย์

    ว่าโลกนี้สงบแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่ากับจิตใจของเราสงบเองเลย

    เพราะฉะนั้น จิตใครจิตมัน ดูแลกันเองเด้อๆๆๆๆ
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติทีเรียกว่าสัทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ย่อมรู้เอง

    เห็นเอง ผู้ปฏิบัติเมื่อรู้เองเห็นเองแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้นำไป

    พิิจารณาไปตามที่เรารู้เอง เห็นเอง ในตัวเอง และมันเป็นขึ้นมาในตัวเอง เราก็จะพิจารณา

    ไปตามนั้น อย่างมีสติพิจารณา ว่าต้นมันมาจากไหน สิ่งที่มันเป็นมานี้ สิ่งที่มันทำให้

    เรารู้ขึ้นมานี้ ต้นเหตุมันมาจากไหนและอะไรเป็นผู้ที่ทำให้เราได้รู้ได้เห็นขึ้นมาต้นเหตุมัน

    เกิดอยู่ตรงไหน เราก็จะได้เข้าไปหาต้นเหตุ ด้วยสติและพิจารณาด้วยปัญญาญาณ แล้วเรา

    ก็จะได้ประสบเห็นด้วยตัวเราเอง เมื่อประสบพบเห็นด้วยตนเอง เราจะรู้ว่ามันมาจากกิเลส

    มาจากอวิชชา อวิชชาเป็นต้นเหตุ เมื่อเราเข้าไปกำจัดอวิชชาได้แล้ว ตัณหาทั้งหลายที่มัน

    พาให้ก่อภพก่อชาติ ก็มันได้เห็นแล้ว ก็มันได้รู้แล้ว เมื่อรู้แล้วกำจัดมันด้วยปัญญาญาณที่

    มันเกิดขึ้น เราก็พิจราณาไม่ให้หลงตาม และก็ไม่ทำตามมัน แล้วก็กำจัดออกจากจิตตนเอง

    กิเลสมันก็หลุดไป มันก็เหลือแต่ใจ ซึ่งเป็นตัวสมมติที่มันจะเข้ามาปรุงแต่งอีก ที่จะนำจิต

    ของเราให้เป็นไปตามอำนาจของกิเลสอีกก็เป็นไปไม่ได้ ก็เพราะเรากำจัดมันแล้ว.

    เมื่อเรากำจัดมันไปด้วยองค์มรรค ก็เกิดนิโรธขึ้นมา นิโรธะก็คือความดับ หรือ

    ความแจ้ง ก็จะดับอวิชชา ดับตัณหาเรียกว่านิโรธ จิตมันก็เป็นในทางละกิเลสสามรถเอา

    ชนะกิเลสของตนเองได้เช่นเดียวกัน. พระพุทธเจ้าท่า่นจึงได้สอน และวางหลักเอาไว้ ก็

    เพื่อว่าจะให้พวกเราได้ละกิเลสได้เช่นเดียวกัน นี่แหละการชำระกิเลสด้วยปัญญาญาณ.

    จึงขอฝากไว้สำหรับผู้ปฏิบัติจะได้ทำความเข้าใจกับคำว่า มรรค นิโรธ นิโรธะ อวิชชา.

    ขออนุโมทนากับท่านผู้อ่านทุกท่านหวังว่าคงมีประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย.สาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...