จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154

    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/WulJJjXpvdM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เห็นคุณUncleGee ลงพระสูตรจบแล้ว

    ประเดี๋ยวผม ต้องขอไปจำวัตร สักระยะ แล้วล่ะ

    ปล่อยให้คนๆนั้น ที่อาจจะชอบซื้อหวย หมายเพื่อจะถูกรางวัลใหญ่ๆ ก็ขอให้โชคดีในก้าวต่อๆไป

    ต้องขอขอบพระคุณ ชาวจิตบุญ จิตเกาะพระ ทุกๆท่าน ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ อ.ภู เจ้าของสภานี้

    หากมีสิ่งใดรบกวน ก็ต้องขอกราบอโหสิกรรมทุกๆท่าน ด้วยนะครับ

    ไว้มีโอกาส จะเข้ามารบกวนใหม่ แน่นอน!! [​IMG]

    อืม..พี่ UncleGee ทำไมไม่เอา "ปุณณสูตร" มาลงด้วยล่ะครับ

    พระสูตรที่ยาวๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเอามาลงทั้งหมดหรอก เพียงแต่เอาลิ้งมาลงไว้ ก็พอ

    โชคดีทุกๆท่าน สาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame]www.youtube.com/watch?v=p4eJfvkqKRU[/ame]​
    พักฟังเพลงก่อนครับ
    บอกแล้วกระทู้สีสัน+ธรรมะ+ภัยพิบัติ(คนกันเอง)
    ภัยพิบัติธรรมชาตินานๆมาทีนึง แต่ภัยพิบัติในจิตของตน มันมาเกือบจะแทบทุกลมหายใจ
    เพราะฉะนั้น จิตพร้อม? รับทุกภัยพิบัติรึยัง?
    ไม่ต้องไปรู้มาก ไม่ต้องไปเตรียมอะไรมากนักหรอก เตรียมจิตลูกเดียวพอแร๊ะ
    เพราะกายไม่ต้องเตรียม เพราะมันเสื่อมทุกวัน
    แต่จิตต้องไม่เสื่อมตามสิ่งต่างๆนะ
     
  3. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    น้องฝ้ายจิตเกาะพระ
    โดยครั้งแรก คุณพ่อ คุณแม่ ได้พาน้องฝ้ายไปทำบุญที่ วัดดอยเปา ไปเจอเจ้าอาวาส ท่านแนะนำครูแม่เพ็ญ ก็โทรศํพท์ไปหาครูแม่เพ็ญตามที่ท่านได้ให้เบอร์มา หลังจากนั้นก็ไปหาที่บ้านครูแม่เพ็ญค่ะ ไปหาแม่เพ็ญ คุณพ่อบอกให้น้องฝ้ายทำสมาธิ ที่บ้านแม่เพ็ญ แม่เพ็ญแนะนำให้น้องฝ้าย น้อมเอาองค์พระวิสุทธิเทพ มาใว้ในดวงแก้ว ดวงจิตได้มั้ย น้องฝ้ายก็บอกได้ค่ะ (น้องฝ้ายเห็นรูปพระที่หน้าจอคอมของครูแม่เพ็ญ ก็เกิดชอบในองค์พระ สมเด็จพ่อปางพระนิพพาน ตั้งแต่นั้นมาก็ฝึก ให้น้องฝ้าย ทำสมาธิ ก่อนนอน นึกถึงภาพพระตอนตี่นนอน ตอนแรกก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง คุณแม่ก็จะคอยถามว่า วันนี้องค์พระสีเป็นยังไงบ้าง น้องฝ้ายก็บอก สีแดง สีชมพู สีทอง บ้าง จนวันหนึ่งน้องก็บอกว่า พระบอกว่าไม่ต้องสนใจในร่างกาย ของเรานะ ถ้าน้องมากวน ก็ไม่ต้องสนใจน้อง(ชื่อน้องภูค่ะ ) ให้ทำสมาธิไปเรื่อยๆ จนออกจากสมาธิ น้องภูก็มากวนจริงๆ คุณพ่อถามน้องฝ้ายรู้ได้ยังงัยว่า น้องจะมากวน น้องฝ้ายก็บอก ก็เมื่อกี้พระบอกมาอย่างงั้น หลังจากนั้นน้องฝ้ายก็ทำสมาธิเรือยๆ ประมาณ 5 นาทีบ้าง 10 นาทีบ้าง บางครั้งร่างกาย ไม่สบายคุณแม่ก็คอยบอก คนเราเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ทุกคน อย่างนี้แหละเป็นของธรรมดาของร่างกาย ก็เราอยากเกิดมาก็เป็นทุกข์อย่างงี้ พอดีคุณแม่จะเปิดธรรม เกี่ยวกับเรื่อง อสุภะกรรมฐาน ของหลวงปู่สมชาย บ้าง กับเวปตามรอยพระพุทธบาท ของวัดท่าซุง เรื่อง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แรกๆ คุณแม่ก็ดูอยู่คนเดียวค่ะ พอน้องฝ้ายเห็น คุณแม่เปิดบ่อยๆเข้า น้องก็มานั่งแรกๆดูไปด้วย น้องก็กลัวไปด้วย เป็นภาพ อุบัติเหตุ บ้าง คนตายบ้าง ทีนี้มาถึงคลิปการคลอดลูก น้องฝ้ายดูแล้วก็ถามแม่ว่า น้องฝ้ายก็เกิดอย่างงี้ใช่ไหม คุณแม่ก็บอกใช่ น้องฝ้ายก็บอกเหรอ ทำไมน่าเกลียด น่ากลัว น่าหดหู่ อย่างนี้ สกปรกด้วย คนเป็นแม่คงจะเจ็บมาก และน้องที่คลอดออกมา ก็ร้องให้เสียงดัง น้องฝ้ายถามว่า ทำไมต้องเอาสายยางมาใส่ จมูก ปากด้วย แม่ก็บอก มันต้องเอาน้ำคลำออกจากปาก จมูก ไม่งั้นจะหายใจไม่ได้ น้องฝ้ายบอกน้องคนตัวเล็ก คงเจ็บมาก น้ำตาใหลเลย (น้องฝ้ายทำหน้าเหยๆ ) คุณแม่ก็ถาม น้องฝ้ายอีกว่า อยากเกิดเป็นคน ก็เจ็บ ป่วย ไม่สบายอย่างนี้แหละ แล้วแม่ก็เอาภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ภาพคนแก่ ที่นอนตระแคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เปรียบเทียบกับ น้องที่คลอดใหม่ให้น้องฝ้ายดู คุณแม่ก็บอกตายไปก็เอา อะไรไปไม่ได้ ซักอย่าง แม้แต่ร่างกายเรา แล้วแม่ก็ถามน้องว่าอยากเกิดอีกมั้ย น้องฝ้ายบอกว่า กลัวเจ็บ บอกรู้ได้งัยว่าเจ็บ น้องบอก ก็ตอนคลอดลูก มีเลื่อดเยอะ หลังจากนั้น คุณแม่ก็บอกว่า อย่าลืมภาพพระนะ ไป โรงเรียนครูให้นอนก็ นึกถึงพระนะ **มีเรื่องเล่าอีกเรื่องนึงค่ะ น้องฝ้ายไป รร เล่นกับเพื่อนที่ รร เล่นซ่อนของในมือ เพื่อนน้องฝ้าย ให้ทาย ครั้งแรกก็ตอบถูก ครั้งที่สอง สาม เพื่อนน้องฝ้ายบอกน้องฝ้ายขี้โกงนี่ ทั้งๆที่เพื่อนของน้องฝ้ายเป็นคนแอบซ่อนไว้ในมือ สลับซ้าย -ขวา จนเพื่อนน้องฝ้ายบอกงอน แล้วนะ ไม่เล่นด้วยแล้ว กลับจากโรงเรียนน้องฝ้ายมาบอกว่า วันนี้เพื่อนฝ้าย หาว่าฝ้ายเล่นแอบดูในมือ คุณแม่ก็ถามว่าน้องฝ้ายทำยังงัย น้องบอกก็ถามพระสิ ว่าของอยู่ในมือข้างใหนของเพื่อนค่ะ) คุณแม่ก็บอกว่าให้ทำสมาธิ นึกถึงพระบ่อยๆอย่างนี้ถูกต้อง ก่อนน้องฝ้ายจะยกจิต แม่ก็กะจะโทรไปสวัสดีปีใหม่ครูแม่เพ็ญ ตอน 2 ทุ่ม คุณพ่อก็พา น้องฝ้ายทำสมาธิก่อน พอทำสมาธิเสร็จ น้องฝ้ายก็วิ่งมาบอก คุณแม่ว่า วันนี้ฝ้ายเห็นพระ สว่าง ใส มากๆเลยค่ะ ก็เลยขอแม่เพ็ญเช็กอารมณ์น้องฝ้ายหน่อยค่ะ ครูแม่เพ็ญก็ให้น้องฝ้าย ทำสมาธิกำหนดถามพระ ว่าน้องฝ้ายอยู่ชั้นไหน ซักพักน้องฝ้ายบอก ชั้นที่ ๑๗ ค่ะ คุณพ่อ คุณแม่มองหน้ากัน เอ้ะ ลูกเราโกหกหรือเปล่า ก็เลยบอกน้องฝ้าย ลองทำตามที่เเม่เพ็ญบอกให้ทำสมาธิใหม่ กำหนดถามพระใหม่ว่า ชื่อชั้นอะไร ก็เห็นน้องฝ้ายทำสมาธิอีก ชักประมาณ 5 นาที ก็บอกว่า นิพพะ ชั้นนิพพะ ทีนี้ครูแม่เพ็ญก็ สอบอารมณ์น้องฝ้าย อีกครั้ง ครูแม่เพ็ญก็บอก โมทนาบุญกับน้องฝ้ายด้วยค่ะ น้องฝ้ายยกจิตขั้นนิพพานแล้วค่ะ ขอเอาตัวอย่างของน้องฝ้ายมาเป็นธรรมทาน ให้แก่จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระค่ะ ขอกราบขอบพระคุณครูแม่เพ็ญ ครูพ่อภู ที่ให้โอกาส ให้มีกระทู้นี้ ที่จ่าติ็กได้เข้ามาอ่าน จนเจอครูบาอาจารย์ที่นี่ค่ะ สาธุ สาธุ จบ ๑๐๗
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เมื่อรู้แจ้งในอริยสัจ4 เพียงอย่างเดียว
    กลับทำให้รู้แจ้งเกี่ยวกับวิบากกรรม วัฏฏะสงสาร และปฏิจจสมุปบาท ไปโดยปริยาย
    เมื่อทราบอริยมรรค ก็ไปพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
    เริ่มตั้งแต่อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร(ความคิด จิตปรุงแต่ง)
    และสังขารนี่แหละ ทำให้เกิดวิญญาณและไล่ลงมาเรื่อยๆ
    แค่ไม่มี "ตัวเรา" เพียงอย่างเดียวทุกอย่าง ก็อันตรธานหายไป โดยสิ้นเชิง
    เพราะมีตัวเรา อวิชชาจึงมี
    ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน อาจจะศึกษาได้แค่ความเข้าใจ แต่เข้าไม่ถึง
    ในขณะที่ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และแม้กระทั้งใจ
    ที่อยู่ภายในได้เกิดธรรมารมณ์ขึ้นเมื่อไหร่ ปฏิจจสมุปบาท ก็วนรอบเรียบร้อยไปแล้ว ในชั่วพริบตาเดียว

    สติของปุถุชนหรือคนธรรมดา ไม่สามารถมองเห็นได้
    การปรุงของธรรมารมณ์ นั่นแหละ
    คือผลของการวนรอบของปฏิจจสมุปบาท ที่แท้จริง

    สรุปแล้ว
    ปฎิบัติมากๆ แทบไม่ต้องรู้มากก็ได้ มันปวดหัว
    เมื่อปฎิบัติมาก ปัญญาเกิด เมื่อรู้ เห็นหรือรู้สึกอะไร เดี๋ยวก็วางได้ทันที
    สตินะ..สติ ลืมนางเอกไม่ได้เลย
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุ กับลูกฝ้ายด้วย
    ดีใจแทนคุณพ่อ คุณแม่ด้วยนะครับ
    พี่ภูขอโมทนาสาธุกับครูเพ็ญและผู้ที่เกี่ยวทุกท่านด้วย
    เด็กอายุแค่นี้ยังปฎิบัติได้เลย แต่ถ้าหากยิ่งโตก็ยิ่งกิเลสหนาขึ้นๆ
    กิเลสนะ ไม่ใช่กะทิ ยิ่งมันก็ยิ่งกินกันเข้าไป

    อยู่เหนือขันธ์๕ และความรู้สึกนึกคิดของตนให้ได้ แล้วเจ้าจะอยู่เหนือโลกนี้ได้อย่างสบายๆ
    แต่ความจริงยังมีขันธ์๕และความรู้สึกนึกคิดเหมือนเดิม แต่สติกับจิตต้องไม่ยึด
    พูดง่าย แต่ทำยาก อัันนี้ถูก ไม่เถียง
    แต่จิตเกาะพระ มีคำตอบให้กับทุกท่าน เฉพาะผู้ปฎิบัติเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    รู้แทงตลอดอย่างชัดเจน. สัมปชัญญะ แปลว่า รู้แทงตลอดอย่างชัดเจน.

    หมายความว่า รู้รูปนามตามทวารทั้ง ๕ และรู้รูปนามตามอริยาบถต่างๆ ซึ่มีคำอธิบายดัง

    ต่อไปนี้...รู้รูปนามตามทวารทั้ง ๕ นั้น คือ รู้อย่างนี้ เวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้

    กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องเย็นร้อนอ่อนแข็ง ใจนึกคิดธรรมมรมณ์ ขันธ์ ๕ เกิดแล้ว

    ตัวอย่างเช่นเห็นเสื้อผ้าเห็นสบงจีวร สีของเสื้อผ้า สีสบงจีวร เป็นรูป ประสาทตา คือจักขุ

    ประสาท ก็เป็นรูป จัดเป็นรูปขันธ์ ในเวลาที่เป็นรูปนั้นถ้ารู้สึกสบาย ไม่สบาย เฉยๆ

    จัดเป็นเวทนาขันธ์ ความจำได้หมายรู้ว่า นี้เป็นสีเขียว สีเหลือง แดงเป็นต้น เป็นสัญญา

    ขันธ์ที่ปรุงแต่งใจให้รู้ว่าดีหรือไม่ดี เป็ฯสังขารขันธ์ เห็นเป็นวิญญาณขันธ์ ครบ ๕ ขันธ์

    พอดี ย่อให้สั้น ได้แก่ รูป นามเจตสิกนามจิต คือรูปคงเป็นรูปไว้ เวทนาขันธ์ สัญญา

    ขันธ์ สังขารขันธ์ ๓ ขันธ์นี้ ย่อลงเป็น ๒ คือ รูปกับนาม.

    เื่มื่อรูปกับนามเกิดแล้ว อะไรเกิดตามมา? กิเลสเกิดตามมากิเลสตัวใหน?

    กิเลสทั้ง ๓ คือ โลภ โกรธ หลง เกิดได้อย่างไร? เกิดได้อย่างนี้ คือ เวลาเห็นรูปดี

    ชอบใจ โลภะเกิด เห็นรูปไม่ดีไม่ชอบใจ โทสะคือความโกรธเกิด เห็นรูปกลางๆไม่ดีและ

    ไม่ชั่ว แต่ไม่มีสติกำหนดรู้ โมหะคือความหลงเกิด หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นเป็นต้น

    กิเลสก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน. ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุปัจจัย

    คือ อิฏฐานรมณ์ อารมณ์ดีงาม ให้เกิดสุขเวทนา สุขเวทนาให้เกิดโลภะ.

    อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ไม่ดีงาม ให้เกิดทุกขเวทนา ทุกขเวทนาให้เกิดโทสะ มัชฌัตตรา

    รมณ์ อารมณ์กลางๆ ให้เกิดอุเบกขาเวทนา คือ ความรู้สึกเฉยๆ อุเบกขา ให้เกิดโมหะ

    นี่คือรู้แทงตลอดอย่างชัดเจน.พระธรรมธีรราชมหามุนี. โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ ๙.


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    "ธรรม" คือ ความถูกต้องดีงาม หรือ ความพอดี และธรรมก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ในอคีด หรือ ขึ้นอยู่ในอนาคต แต่ธรรมเกิดขึ้นอยู่กับปัจจุบัน คือ รู้ เห็น อยู่ และธรรมะของพระพุทธเจ้าผู้จะรู้จะเห็นได้ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติ คือลงมือปฏิบัติตามคําสั่งสอนของท่านนั้นก็คือ "การกระทําตาม" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครเราต้องทําเอง "อกาลิโก"ไม่ได้จํากัดกาลเวลาไม่ขึ้นอยู่ว่าสมัยนั้น สมัยนี้ ต้องอยู่ในวงปัจจุบันเท่านั้น และธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของจริง กับผู้ปฏิบัติจริงเท่านั้น แต่ถ้าตกไปอยู่กับคนไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติไม่จริงก็กลายเป็นของปลอม เพราะปลอมที่คนปฏิบัติปลอมนั้นเอง จึงขอให้ท่านได้นําธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติเพื่อเป็นของๆจริง และท่านก็จะเป็นผู้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเทอญ.
    ที่มา ได้ยินได้ฟังจากเทป ขององค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน. ขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  8. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    แดนทองของชีวิต ๑o
    ๑.เมาให้ทิ้ง คือ ความเมา๑๑ อย่างที่ปราชญ์วางปล่อยแล้ว
    ๒.ยิ่งฉลาด คือ ฟังสนิท คิดไปตาม ถามทุกบท จดทุกคํา
    ๓.สามารถพอ คือ ทําดีทั่ว เว้นชั่วหมด ทําจิตให้ขาวรอบ
    ๔.ก่อวิชา คือ เห็นจริง ทิ้งกาม ตามสติ ดําริชอบ ปลูกวิริยะ
    ๕.ปัญญาดี คือ รู้ทันกิเลส เห็นเหตุตัณหา ทําลายอกุศล
    ๖.มีใจสู้ คือ หนักเบา เอาสู้ อยู่ดี มีอด ลดมานะ ละมิจฉา
    ๗.ทําอยู่ดี คือ ไม่ด่า ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ปด ไม่พยศ ไม่กฏหมู่
    ๘.ราคีละ คือ กําหนัดละ โทสะตัด สลัดโมหะ อวิชชาทําลาย
    ๙.ชนะตน คือ เลิกกังวน เลิกพ้นบาป เลิกหาบทางเลว
    ๑o.ทนศึกษา คือ อบรมกายา รักษาดวงใจ พิทักษ์ไว้วาจา
    ครองชีวิต คือ เบิกบาน รื่น ตื่นเป็นอยู่ รู้ทั่วถึง
    ธารชีวิต คือ สะอาดกาย สงบใจ สว่างวาจา สง่าธรรม
    แดนชีวิต คือ ระลึกอยู่ รอบรู้ธรรม ทรงจําวินัย นี่ก็เป็นแดนทองของคนดี ที่มา หนังสือ สาระของชีวิต (หลวงปู่ทองใบ ปภัสฺสโร)
     
  9. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    จะรีบไปไหนล่ะคะท่านสุญญ
    ธรรมะใดๆที่ไม่ห่างไกลจากธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นช่างหอมหวน
    ชวนผู้ปฎิบัติธรรมได้ศึกษา จะรีบร่ำลาเพียงเพราะลมพัดเชียวหรือ
    โมทนาสาธุ
     
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ในมหานิพพานสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องเวทนาไว้อย่างนี้ คือ.
    ๑.เวทนา ให้เกิดตัณหา ๒. ตัณหา ให้เกิดปริเยสนา คือการแสวงหา ๓. ปริเยสนา

    ให้เกิดลาภ คือการคือการได้มาซึ่งตนแสวงหานั้น ๔. ลาภ ให้เกิดวินิจฉัย คือการ

    ตกลงใจตัดสินใจว่า สิ่งที่ได้มานี้ดี ๕. วินิจฉัย ให้เกิดฉันทราคะ คือความกำหนดด้วย

    อำนาจความชอบใจ ๖. ฉันทราคะ ให้เกิด อัชโฌสานะ คือความพะวงใจ ๗.อัชโฌสานะ

    ให้เกิดปริคคหะ คือความยึดมั่น ๘. ปริคคหะ ให้เกิด มัจฉริยะ คือความตระหนี่

    ๙. มัจฉริยะ ให้เกิด อารักขะ คือการรักษา ๑๐. อารักขะ ให้เกิด อารักขาธิกรณะ

    คือ เกิดเรื่องในการรักษา ๑๑. อารักขาธิกรณะ จึงเป็นเหตุให้เกิดบาป เกิดอกุศล นับไม่

    ถ้วน ดังมีหลักฐานรับรองไว้ว่า. ธรรมที่เป็นบาป เป็นอกุศลทั้งหลาย เป็นอเนกประการ

    ย่อมเกิดขึ้นตามมา คือ. ๑. ทัณฑทานะ ถือท่อนไม้ ๒. สตถทานะ คือศาสตราวุธ

    ๓. กลหะ ทะเลาะกัน ๔. วิคคหะ แก่งแย่งกัน ๕. วิวาทะ วิวาทกัน ๖.ผรูสวาทะ

    พูดคำหยาบด่าว่ากัน ๗. เปสุญญวาทะ พูดส่อเสียดยุยงกัน ๘. มุสาวาทะ พูดปด เพื่อ

    ทำลายประโยชน์ของกันและกันเป็นต้น. ราคานุสัย โลภะ ตัณหา อภิชฌา อุปาทานต่าง

    กันแต่ตัวหนังสือ ส่วนความหมายนั้น เมื่อจะว่าโดยองค์ธรรมเดียวกัน ได้แก่ โลภเจตสิก

    ซึ่งอุปมาดังนี้. งูตัวหนึ่ง นอนนิ่งๆ อยู่ในโพรงไม้ ต่อมางูตัวนั้นนึกอยากกินอาหาร แล้ว

    เลื้อยไปแสวงหาอาหาร ไปพบเขียดตัวหนึ่ง จึงจ้องจะคาบมากินเป็นอาหาร ครั้นคาบเขียด

    ได้แล้วก็ไม่วาง ถึงเขียดจะร้องสักเท่าไรๆก็ไม่ปล่อย ไม่วาง คาบไว้อย่างแน่นทีเดียวเพราะ

    มุ่งจะกินอาหารให้ได้ข้อนี้ฉันใด กิเลสคือโลภะก็ฉันนั้น เปรียบเทียบให้เห็นดังนี้. ราคะนุสัย

    เท่ากัยงูนอนนิ่ง อยู่ในโพรงไม้ โลภะ เท่ากับงูที่นึกอยากท่านอาหาร หรือเท่ากับการนึก

    อยากอาหารของงูตัวนั้น. ตัณหา เท่ากับการแสวงหาอาหารของงู อภิชฌา เท่ากับการ

    เพ่งจ้องจะคาบเขียดของงู อุปาทาน เท่ากับการคาบไว้แน่นไม่ยอมปล่อยวาง ซึ่งเขียด

    ฉันนั้น. คัดมาจากหนังสือวิปัสสนาญาณโสภน.ขอฝากไว้กับท่านผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ.

     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG] กุหลาบพันปี

    ดงดอกกุหลาบพันปีนั้นผลิบานบนดอยสูงที่สุดของเมืองไทยอย่างอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
    โดยจะมีมากที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาหลวง
    นอกจากนี้ ความงามอันแสนสมบูรณ์ทั้งพืชพรรณ สัตว์ นก ผีเสื้อและแมลงต่าง ๆ ยังคุ้มค่ากับการไปเที่ยวชม
    ในโลกนี้มีกุหลาบพันปีประมาณ 800 ชนิด พบในประเทศไทยแล้ว 9 ชนิด โดย 3 ชนิดนั้น พบที่ดอยอินทนนท์ คือ
    - กุหลาบแดง (คำแดง) เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลิดอกในเดือนธันวาคม-พฤษภาคม
    - กุหลาบขาว (กุหลาบป่า หรือคำขาว) เป็นไม้พุ่ม ออกดอกในเดือนตุลาคม-พฤษภาคม
    - กุหลาบขาวอีกชนิดหนึ่ง ที่คนพื้นเมืองเรียกว่า ‘กายอม’ เกาะอยู่ตามคบไม้และโขดหินออกดอกในเดือนธันวาคม-เมษายน


    [​IMG]
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ดอกไพรีทรัม

    บานครั้งแรกที่ภูเรือ
    ดอกไม้สวยสังหาร มหัศจรรย์จากธรรมชาติ

    มีต้นกำเนิดมาจากภูเขา ADRIATIC COASTAL MOUNTAINS
    ของประเทศโครเอเชีย บอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา
    ถูกขนานนามโดยเหล่านักพฤกษศาสตร์ว่าเป็น “ดอกไม้ของพระเจ้า” (Flower of God)
    นั่นหมายถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ได้สร้างดอกไพรีทรัมขึ้นมา
    เพื่อปกป้องมนุษย์จากเหล่าแมลงร้าย​


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2013
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ต้นเหตุที่ทําให้กลับมาเกิด คือ "อวิชา"ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านได้ค้นคว้าหาการโดยปฏิบัติเอง รู้เห็นเองท่านใช้เวลาถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้ แต่พวกเราๆท่านๆนี้มีครูบาอาจารย์ ที่ค่อยชี้แนะ แต่ก็ไม่ได้รู้ได้เห็นเพราะ"อวิชา"ได้ปิดบังเอาไว้ และท่านก็ได้กล่าวถึงบุคคล ๔ ประเภท ๑.อุคฆฏิตัญญ ๒.วิปจิตัญญ ๓.เนยะ ๔.ปทปรมะ คือ ประเภทที่๑ ประเภทที่รู้ธรรมเห็นธรรมเร็ว และประเภทที่๒ ก็เห็นได้รู้ตามกันลงมาแต่ประเภท ๓ นี้ก็ฉุดลากไปพอได้ แต่ประเภท๔ นี้คือ มืดบอด ไม่รู้ไม่เห็น คือ ถ้าเป็นคนไข้ ก็ประเภท ไอ ซี ยู คือหมอ ก็ไม่รับ พวกนี้ คือจะพวก หัวเราะคนทําบุญให้ทาน หรือ พวกเยาะเย้ยธรรม ก็ปล่อยเสียไม่สามารถจะเห็นธรรมได้ "ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทําให้คนเป็นคนดี" ธรรมไม่เคยทําให้ใครเสื่อมเสีย มันเสื่อมอยู่ที่ใจของคน และไม่เชื่อ ว่ามีนรก สวรรค์ ไม่มีบาป ไม่มีบุญ คือ เครื่องมือที่จะรับธรรมมันพิการเสียแล้วมันก็รับธรรมไม่ได้ นี่คือ พวก"ปทปรมะ"แต่ถ้าเนยะ ก็พอฉุดลากตัวเองขึ้นมาได้บ้าง เพราะการปฏิบัติไม่มีงานใด ที่จะยากไปกว่างานฆ่ากิเลส ผู้ปฏิบัติจะต้องเอาจริงเอาจังจึงจะเห็นได้ แต่สมัยพุทธกาลท่านก็จะมีประเภทที่ ๑ และที่ ๒ อยู่มากก็เพราะกิเลสยังไม่มากเท่ากับยุคนี้ก็ว่าได้เพราะยุคเทคโนโลยี่มันหลอกล่วงคนให้ติดได้ง่าย ก็เลยมีประเภท ๓-๔ อยู่อย่างหนาแน่น ก็ว่าได้จึงต้องนําธรรมที่จะกําจัดกิเลส หรือ "อวิชชา" ด้วยการมีสติ สติตัวนี้ที่ผู้ปฏิบัติจะขาดเสียมิได้ พอมีสติก็จะมีสมาธิ เกิดขึ้นแล้วก็จะพิจารณาภูเราภูเขา ก็ที่กายจนเห็นความเป็นจริงแล้วจึงจะปล่อยวาง
    ก็จะทําให้เข้าใจในธรรมและก็จะกําจัด "กิเลส"ออกจากใจได้ ผู้เขียนได้น้อมรับธรรมนี้มาจาก การได้ยินได้ฟังจากเทป ของ "องค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมโน"ลูกขอน้อมกราบนมัสการองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า.
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ในโลกนี้ล้วนฯ
    เต็มไปด้วยธรรมชาติ แลดอกไม้ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ทรายและทะเล
    เต็มไปด้วยธรรมะ แลจิตใจของผู้คน หรือคนมีธรรมะในใจ
    ถ้าหากเราเลือกมองแต่ในแง่ดี ล้วนแต่เห็นสิ่งที่ดีเสมอ

    เมื่อคนเราเกิดและร่างกายกันมาแล้ว ต่างก็วิ่งหาแต่ความสุข โดยมิรู้ว่าความทุกข์นั้นยืนรออยู่เบื้องหน้า
    เพราะความไร้เดียงสาของจิต
    ผู้ใดนำจิตมาเรียนรู้ธรรมชาติแห่งจิตตน ก็รู้และไม่หลง
    คนเราจะมีอะไรมากนัก แค่มีร่างกายเหมือนกันหมด ต่างกันเฉพาะจิตใจ
    ถึงบางคนสมองไม่ดี หมายถึงเรียนไม่เก่ง ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าฉลาดแกมโกงหรือเจ้าเล่ห์มีกลอุบายเยอะ

    สรุปแล้ว..คบคนพอใช้ได้ดีกว่าคบคนดีเกินไป แต่ใช้ไม่ได้
    สบายใจดีกว่ากันเยอะเลย
    ดูคนที่เก่งกว่าเราเพื่อเป็นบทเรียน แต่ดูคนที่แย่กว่าเราก็มีเยอะแยะมากมายก่ายกองถมไป
    เพราะฉะนั้น
    เราอย่าได้หลงไปดูคนอื่น หรือ หลงไปเปรียบเทียบคนอื่นๆ
    ขอเน้น..ให้ดูที่ตัวเราเอง
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พ่อสอนลูก
    ถ้าเราไปเพ่งเล็งคนอื่นว่า คนนั้นชั่วคนนี้ดี แสดงว่าเราเลวมาก
    เราควรจะดูใจของเราต่างหากว่า เรามันดี หรือ เรามันเลว
    ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ใครเขาจะเลวร้อยแปดพันเก้า ก็เรื่องของเขา
    ถ้าเราดีแล้ว ก็หาคนเลวไม่ได้


    นอกจากอ่านธรรมะจากพ่อแล้ว ลูกคนนี้(พี่ภู)จะประพฤติ จะปฎิบัติตามทันทีทันใด

    รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    "จิตบุญ"
    ถือว่าเป็นผู้สำเร็จการปฎิบัติธรรม(จิตเกาะพระ) ในระดับหนึ่ง
    แต่ยังมีธรรมอยู่สองอย่างและถือว่าสำคัญมาก
    นั่นก็คือ...

    ๑.สิ่งที่กำลังมากระทบจิต ในทุกขณะจิตหรือในปัจจุบัน ถือเป็นธรรมภายนอกจิตตน
    เมื่อมีสิ่งมากระทบจิต ให้นำสติตามไปดู+ไปอยู่กับจิตและดูผลของจิตตน
    แต่ถ้านิ่ง=ดีมาก แต่ถ้าไม่นิ่ง แก้ไขง่ายที่สุด ก็คือ หมั่นทรงฌานเป็นนิจ

    ๒.เจตสิกหรืออารมณ์ของจิต ในทุกขณะจิตหรือในปัจจุบัน ถือเป็นธรรมภายในจิตตน
    เจตสิกเป็นธรรมค่อนข้างละเอียด แต่ถ้ามีปัญญามาย่อมจะมองเห็นได้ง่าย
    นอกเสียจากเจริญมหาสติเป็นนิจ หรือหมั่นทรงฌานเป็นปกตินิสัย อันนี้ดีมาก
    เพราะการจะมองเห็นความเกิด-ดับของกิเลสต่างๆ หรืออารมณ์ของจิตตนเองได้นั้น
    ต้องเป็นจิตระดับปัญญา จิตถึงจะเป็นผู้ดู หรือ จิตปัญญาญาณ ตัวนี้ถึงจะมองเห็นได้ชัดเจนมาก

    ถึงเป็นจิตบุญแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่คอยหมั่นดูจิตหรือทรงฌานเป็นนิจ
    หรือนำสติห่างจิตละก็ ผู้นั้นถือว่าประมาทแน่นอน
    เพราะขนาดพระอรหันต์ ท่านยังต้องเจริญสติภาวนาเป็นเนืองนิจเลย แล้วเราเป็นใคร
    พยายามอยู่กับจิตตนเองให้มากที่สุด อย่าส่งจิตออกนอกหรือในมากเกินไป
    เพราะจิตต้องการพักผ่อนเหมือนกัน ที่พักชั่วคราวของจิต ก็คือ สมาธิหรือฌาน

    เพราะฉะนั้น
    สติมีความจำเป็นและสำคัญมากสำหรับจิต แต่เราเองจะต้องทำสติให้เกิดบ่อยๆเสมอๆ

    ปล.พวกเราต้องขอขอบพระคุณสำหรับคุณวงกลมทับซ้อน(ซีโร่) ที่มาช่วยสอบจิตหรือเป็นตัวทดสอบจิตบุญทั้งหลาย
    และพวกเราจะรีบกลับไปซ่อมและซ้อมจิตกันใหม่ สำหรับผู้ที่ยังสอบไม่ผ่าน

    ราตรีสวัสดิ์

     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Natcha@uk

    ...สมาชิกหายไปไหน กันหมดเนี่ย... สงสัย หนีกลับไป ดูจิตตัวเอง แน่เลย...
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลูกพลัง

    เส้นทางสายตรงสู่นิพพานคือ การเจริญอริยมรรควิธี
    มรรคมีองค์ 8 (ย่อได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา) มีอะไรบ้าง คือ
    หมวดศีล
    1. สัมมาอาชีวะ - การเลี้ยงชีพชอบ
    2. สัมมากัมมันตะ - การทำการงานชอบ
    3. สัมมาวาจา - การเจรจาชอบ
    หมวดสมาธิ
    4. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ
    5. สัมมาสมาธิ - การตั้งจิตมั่นชอบ
    6. สัมมาสติ - การระลึกชอบ
    หมวดปัญญา
    7. สัมมาทิฏฐิ - การเห็นชอบ
    8. สัมมาสังกัปปะ - การดำริชอบ

    มรรคเป็นหนึ่งในอริยสัจสี่ เป็นสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และนำมาสั่งสอนแก่พวกเราพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เป็นหนทางเดินสายตรงสู่นิพพาน (ดับอาสวะกิเลส ดับภพชาติ ดับทุกข์สุข ดับวัฏฏะ ดับทุกอย่างไม่มีเหลือ..)

    การทำจิตเกาะพระ ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์เป็นบาตรฐาน ระลึกถึงพระ(หรือที่เราเรียกว่าเกาะพระ) ได้ตลอดเวลาทำให้เป็นสมาธิมีกำลังฌานสมาบัติที่มั่นคงเป็นบาตรฐาน เพื่อที่จะนำไปพิจารณาสภาวะธรรมต่างๆว่าเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติหรือพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จนถึงที่สุดเกิดวิปัสสนาญานทั้ง9 ปัญญาเกิด จนมีดวงตาเห็นธรรม..

    จะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรม"จิตเกาะพระ"นี้ เดินตามรอยอริยมรรค ซึ่งเป็นทางสายตรงมุ่งสู่นิพพาน มุ่งเน้นๆกันที่แก่นแห่งพุทธศาสนากันเลย..
    การทำจิตเกาะพระนอกจากจะฝึกสมถกรรมฐานแล้วยังควบรวมการฝึกวิปัสสนากรรมฐานไปในตัว (คือสติตามระลึกรู้ถึงภาพพระ ถ้าเผลอขาดสติก็จะลืมภาพพระ เมื่อทรงภาพพระได้ก็ทรงฌานสมาบัติได้) บวกกับสามารถทำได้ทั้งวันทั้งคืน (เปรียบเหมือนเร่งความเพียรเป็นสิบถึงยี่สิบเท่าของผู้ปฎิบัติธรรมปกติโดยทั่วๆไป) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติธรรมสามารถที่จะก้าวหน้า บรรลุธรรมตามลำดับชั้น จนถึงที่สุดคือมีดวงตาเห็นธรรมได้โดยใช้เวลาไม่นานจนเกินไป.. เมื่อเทียบกับการปฎิบัติแบบอื่นๆ

    ก็ต้องของโมทนาบุญกับท่านพี่ภูของเรา (ผู้ถูกเลือกจาก...) เป็นผู้ปฎิบัติจนสำเร็จท่านแรกและนำมาแผ่แพร่แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย.. และอีกไม่นานในภายภาคหน้านี้ก็จะเป็นที่แพร่หลายโดยทั่วถึงกัน.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ..

    +++++++++++++++++++++++++++++++++
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    การปฎิบัติจิตเกาะพระ
    พวกเรามอง/จับ/จ้อง/เพ่ง/เกาะ/นึก/ระลึกถึงพระกัน อย่างไร?

    ตรงนี้ผู้เขียนคิดว่า มีอีกหลายคนที่นึกไม่นึก และไม่รู้จะถามว่าอย่างไรดี
    เพราะความไม่ค่อยจะเข้าใจ
    สำหรับผู้ที่ยกจิตไปแล้ว หรือคนที่กำลังปฎิบัติกันอยู่ในเวลาอยู่นี้
    เขาทำกันอย่าไงไม่รู้

    แต่สำหรับผู้เขียนจะปฎิบัติแบบนี้ และขอแนะนำผู้มาใหม่/ปฎิบัติใหม่พร้อมกันไปด้วย คือ
    1.เมื่อเราเลือกภาพพระที่เรารัก ที่เราชอบได้แล้ว
    2.สำหรับผู้มาใหม่/ทำใหม่ๆ ให้มองภาพพระด้วยตาเปล่า มองแบบสบายๆ อย่าไปเพ่งมาก
    แล้วก็หันหน้าไปทางอื่น แล้วลองหลับตาดู และกำหนดจิตดูว่า เป็นอย่างไร
    พอจะจำภาะพระกันได้ไหม๊
    แต่ถ้ายังก็ทำแบบเดิมไปเรื่อยๆ จนกว่าภาพพระนั้นจะเปลี่ยนไป คือเมื่อจิตเป็นสมาธิ
    หรือจิตทรงฌานสูงไปตามลำดับ ภาพพระก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
    ตามความละเอียดจิตของผู้ปฎิบัติ เช่น
    ถ้าจิตทรงฌาน1-2 ภาพพระจะเปลี่ยนไป หรือจิตเขาอาจจะเปลี่ยนภาพพระใหม่ไปเลยก็มี
    แต่ขอให้เราตามใจจิตตนเองนะ เราก็ไปตามหาภาพพระ ที่จิตเขาจับมาได้นั้น
    แล้วให้เรากำหนดจิตดูภาพนั้น ที่จิตเขาเลือก ส่วนจิตจะเลือกดูส่วนไหนของภาพพระก็ต้องตามใจจิตตนเองอีก เราแค่มีสติตามดูเฉยๆ อย่านำสติไปขัดขวางจิตเขา ตามดู ตามรู้จิตเท่านั้น
    อย่างอื่นไม่ต้องทำอะไร
    จิตทรงฌาน3 ภาพพระจะเปลี่ยนสีใสเหมือนแก้ว อันนี้จิตคุณเป็นคนเห็น
    ไม่ใช่ตาเปล่าของคุณแล้ว ตอนนี้ภาพพระจะปรากฎขึ้นเองบ้างแล้ว เป็นระยะๆ
    เรามีแค่สติเท่านั้น
    ใครถึงช่วงนี้ให้เร่งสร้างสติให้มาก โดยให้เราระลึกถึงภาพพระบ่อยๆ
    พอสติมากขึ้นภาพพระก็จะเป็นเป็นสีรุ้ง หรือประกายพรึก
    นี่จิตทรงฌาน4 แล้ว และขอให้เราประคองอารมณ์จิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    กระทำทั้งหลับตาและก็ลืมตานะ ทำจิตเกาะพระไม่ทำเฉพาะตอนนอน หรือหลับตา
    3.สำหรับลักษณะการมอง หรือระลึกถึงพระนั้น เป็นอย่างไร ข้อนี้สำคัญมากที่สุด
    ขอให้พวกเรามองพระด้วยปัญญา(วิปัสสนา) มิใช่มองแบบเฉยๆ(สมถะ)
    คือในขณะที่เราจ้องมองภาพพระอยู่นั้น ให้ตาเนื้อมองไปที่ภาพพระ แล้วให้จิตของเรา
    ระลึกไปถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ และก็ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่านด้วย
    แต่ถ้าใครจ้องมองพระแถมน้ำตาไหลนองหน้า อันนี้คุณทำถูกต้องมากที่สุด
    เพราะการจ้องมองภาพพระนี้ เราจะต้องให้เกิดปิติให้ได้ พอเลยปิติไปเล็กน้อย
    จิตจะเข้าสมาธิมากไปจนถึงจิตทรงฌาน
    แต่จะต้องระวังสำหรับผู้ที่เกิดปิติมาก คือน้ำตาจะไหลออกมามากเกินไป
    ขอให้เรามีสติมาก หรือให้นึกถึงลมหายใจ เดี๋ยวน้ำตาค่อยๆหายไปเอง
    มองพระต้องมองให้ลึกซึ้งแบบนี้ ไม่ใช่ให้มองก็มองไปแบบเม่อลอย อันนี้ไม่ถูก
    อันนผู้เขียนจะเจาะลึก ลงรายละเอียดให้มากกว่านี้ เผื่อคนหลังไม่ค่อยเข้าใจ
    คือมองดูภาพพระตั้งนานแล้ว ทำไมจิตไม่รวม ไม่เป็นสมาธิ ไม่เข้าถึงฌานสักที
    4.ผู้เขียนขอผ่านเข้ามาข้อสุดท้ายเลย ก็คือ หลังจากจิตทรงฌานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
    ตามที่สติเราเกิดมาก และต่อเนื่อง จิตก็จะยิ่งนิ่งมาก จิตก็จะละเอียดมากไปตามลำดับ
    พอจิตฟักตัว(จิตทรงฌานสูงต่อเนื่อง)ได้สักระยะนึง จิตเขาจะเข้าสู่วิปัสสนาเอง
    อันนี้สำคัญระยะตอนปลาย หรือก่อนที่จิตจะยก แต่ถ้าจิตติดสุขจากฌาน
    แต่ถ้าสติผู้ปฎิบัติมีน้อยเกินไป จิตก็จะติดฌานอยู่นานมาก คือทำไมจิตเราถึงไม่ยกสักที
    อย่ากังวล แก้ง่ายนิดเดียว ก็คือ เร่งสติให้เกิดมากๆ จิตจะได้นิ่งนาน
    พอจิตนิ่งนาน จิตก็จะทรงฌานนานตามไปด้วย
    ในขณะที่จิตทรงฌานสูงขึ้นไปเรื่อยนี้ จิตเขาจะทำวิปัสสนา โดยที่ตนเองก็ยังไม่ทราบ
    อย่าลืมนะว่า เราเคยอยู่กับร่างกาย(กายหยาบ)มานาน เรานึกว่าเรามีเราคนเดียวในร่างกาย
    คุณเคยสงสัยกันบ้างไหม๊ว่า เหมือนเรามีสองคนในร่างเดียวกัน
    บางคนยิ่งมากมากกว่าสองคนในร่างเดียวกัน อันนี้ไม่ต้องไปสงสัย
    ผู้เขียนจะเฉลยให้ฟังว่า
    คนนึงก็คือ ตัวคุณ(สติ) คนที่สองที่ว่านี้ก็คือ จิตของคุณเอง
    ส่วนคนที่สามนั้นก็คือ จิตที่แยกตัวออกมา(จิตเกิด-ดับ) ก็คือ เจตสิก
    หรือตัวจิตไปคิดฟุ้งซ่าน
    แต่สำหรับจิตที่ฝึกมาดี หรือจิตพระอรหันต์ ท่านจะเหลือดวงเดียว คือ
    สติรวมกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน(จิตพุทธะ หรือจิตเข้าถึงสภาวะแห่งธรรมชาติ)
    และตัวจิตจะไม่เกิด-ดับ เพราะจิตปราศจากอาสวะกิเลส
    และข้อสุดท้ายนี้เอง ที่ผมก็ไม่เคยเฉลยให้กับใครฟังมาก่อนเลย
    นอกจากครูเพ็ญ แต่นานมากแล้ว แต่ไม่ทราบว่าท่านจะจำได้ไหม
    สำหรับผู้ที่ยกจิตใหม่ๆจะงงมาก เหตุที่งงก็คือ จิตตนเองยกแบบไม่รู้ตัว
    และตรงนี้นี่ไง ขนาดคนที่จิตยกไปแล้ว ก็ยังรู้สึกงงๆ
    เพราะจิตยกเหนือขันธ์5ตนเอง ก็ยังไม่รู้ตัว
    เพราะเราคือสติ สติก็คือเรา ต่อมาเมื่อสติรวมกับจิต เราถึงจะเห็นจิตตนเองได้
    ต่อไปเมื่อสติ+จิต= ก็จะรู้สึกตัวมากขึ้น นี่คือตัวเราหรือนี่
    สำหรับจิตที่ยกแล้ว อาการ อารมณ์ของสติ+จิต=ตัวเรา จะเปลี่ยนไป
    คือจะยอมทำใจยอมรับสภาพ ยอมรับทุกข์ เข้าใจทุกข์ ไปจนถึง
    ละ ปล่อย วาง กับคำว่า สิ่งสมมุติมากขึ้น โดยที่ตนเองก็ยังงงๆต่อไป
    อีกสักพักหนึ่งเมื่อเรา หรือร่างกายเราปรับตัวได้ง่ายขึ้น
    จิตยกนี่ เรามานั่งนึกยกจิตเองไม่ได้นะ เหมือนคนที่อยากมีดวงตาเห็นธรรมกันน่ะ
    เขาก็ทำไม่ได้กันนะ เพราะเรื่องที่จะเข้าไปเรียนรู้เรื่องทุกข์นั้น เป็นเรื่องของจิตตนเอง
    เวลาเราปฎิบัติธรรม เราจะต้องเอาสติเข้าไปให้ถึงจิตตนเอง
    ตอนนี้สำหรับผู้ที่จิตยังไม่ยกนั้น คุณก็ลองถามตนเองดูกันสิว่า จิตของคุณนั้น
    อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่?
    ผู้เขียนท้าเลยว่า ตอบไม่ได้กันสักคนเดียว เพราะอะไร
    ก็เพราะว่าคนที่จะเห็นจิตตนเองได้นั้น จะต้องผ่านการฝึกดูจิตมาอย่างช่ำชอง
    แต่ถ้าฝึกดูจิตแล้ว ฝึกแบบสติน้อยกันนะ ชาตินี้ก็ไม่ได้เห็นจิตของตนเอง
    ทำจนตายก็ไม่เห็นจิต เพราะขาดความเพียร+ความต่อเนื่อง นั่นเอง
    แต่ถ้าคุณไม่สามารถมองเห็นจิตประภัสสรของคุณได้นะ ชาตินี้ก็จะไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม

    บางคนถามว่า แล้วดวงจิตเดิมแท้ของตนเองอยู่ที่ไหน อันนี้คนถามหนักเข้าไปอีก
    แค่จิตธรรมดาๆ ก็ยังมองไม่เห็นกัน
    นี่จะมาดู มารู้จิตดวงเดิม หรือจิตประภัสสรกัน ไม่มีทาง

    ฟังให้ดีๆนะ ถ้าพวกเราอยากรู้ว่าจิตตนเองนั้นอยู่ที่ไหน ทำอะไร
    พวกเราจะต้องมีสติมากๆ คือสร้างสติให้มากที่สุดกันก่อน
    เพราะสติเกิดมาก จิตก็เริ่มนิ่ง สติก็จะเริ่มมองเห็นจิต
    ที่แท้ตัวสตินี่เอง คอยไปรับอาสา รับหน้าที่เป็นผู้รายงานเรื่องจิตให้กับเราี่
    เพราะจิตเป็นนาม เราจะเอาตาเปล่าไปมอง ก็มองไม่เห็น
    เพราะฉะนั้น เราจะต้องเอานามไปดูนาม เราจึงจะมองเห็น
    นั่นก็คือ สติตนเอง
    ใครอยากได้บุญใหญ่กัน ก็หัดสร้างสติกันมากเข้าสิ!

    ***ผู้เขียนคิดว่า ได้อ่านบทความอันนี้แล้ว อาจจะหายโง่ หายงงไปหลายคน
    ไม่เข้าใจ ถามมาใหม่ ผู้เขียนจะได้ตอบให้ตรงประเด็น


    ***ผู้เขียนอธิบายไม่เก่ง แต่รักหมดใจ เอ๊ยพูดได้ทุกเรื่อง
    ขอให้ครูเพ็ญมาขยายความหน่อย เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้นกันอีกที
    เพราะครูคือ ครูละเอียด

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ภูทยานฌาน2 : 25-07-2012 เมื่อ 06:24 PM
    =======================================
    สําหรับท่านที่มาใหม่และตามอ่านไม่ทันค่ะ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    555+ หายไปกับพายุธรรมะ ของท่านวงกลมทับซ้อนนั้น
    ท่านน่าจะไปเปิดกระทู้ปริยัติ ผมจะเป็นลูกค้าคนแรกให้ ลองดูไหม๊
    เห็นคุณดัช คุณลูกพลัง คุณวัฒโจโจสนใจด้วย แถมลูกหาบคุณเกษตามแซว...อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...