จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    หากก้าวข้ามสมมุติบัญญัติละมานะอัตตาไปแล้ว
    จริง พุทธภูมิ ก็ปราถนาพระนิพพานเช่นกัน

    คำถามที่ 2 อาจเป็น 4in1 ก็ได้นะครับแล้วแต่สถานการณ์

    แล้วพี่ภูจะสนไปใย กับมุกอัตตาตัวตน ภายนอกเนาะ [​IMG]

    ขอบพระคุณเช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  2. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อ้าว เป็นงั้นไป เข้าใจว่าคนGermany จะรู้เสียอีก
     
  3. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    คน German รู้ แต่คนไทยในเยอรมัน ม่ายรู้อ่ะค่ะ:'(
     
  4. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ถ้างั้นก็ดีแล้ว รู้ภายในดีกว่ารู้ภายนอก แต่สิ่งเหล่านี้ต่างอาศัยต่อกัน
    ที่จะรู้ได้ทั้งภายนอกและภายใน คือ รู้รอบตัว และในตัว


    โว๊ะ...นึกว่ารู้จักประวัติ พระสมเด็จไกเซอร์ ^^

    สู้ Pugsley ก็ไม่ได้ ซ่อนไว้อยู่หลังม่านโดยไม่รู้ตัว แต่กลับบอกว่ารู้อยู่อย่างเดียว

    มี "สติตั้งมั่น...ให้มีจิตยินดีซึ่งพระนิพพาน" :cool:
     
  5. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ข้าน้อยคนซื่อน่ะ.. รู้ก็บอกว่ารู้.. ไม่รู้ก็บอกไม่รู้..
    แต่ที่รู้ๆ.. คือ.. รู้ "ว่าไม่รู้"... คิกๆๆ
     
  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    รู้สึกได้ว่าคนไทยในต่างแด๊นนี่ จะอารมณ์ดีกันเกือบทุกคน เนาะ

    รึว่า จิตใจ กลมกลืนไปกลับสภาพอากาศ ที่เย็นกว่า ดีๆ

    แต่อย่ามาฮอทที่เมืองไทยล่ะกัน ^^
     
  7. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ง่ะ!! คนอารมณ์ดี อยู่ที่ไหนก็เย็นค่ะ
    ที่บอกว่ารู้..ว่า.."ยังไม่รู้น่ะ" มีสองข้อ
    ๑ ไม่รู้ว่ามาจากไหน
    ๒ ไม่รู้ว่าจะไปไหน
    รู้แต่ข้อสามอย่างเดียว.. ว่ายังไงก็ต้องไป...
    (ไปนอน).....ดีก่า.. เอิ๊กๆๆ
     
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อืม...ดี มรณานุสสติ

    แต่อย่าลืมตื่น
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ประวัติของพระสมเด็จไกเซอร์

    สร้างเมื่อ พ.ศ.2413 สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง ถวายแด่พระพุทธเจ้าหลวง ร.5
    เป็นกรณีพิเศษก่อนที่พระองค์จะทรงเสร็จประพาสยุโรปต่างประเทศครั้งแรก
    ประวัติมีดังนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 เสด็จประพาส ณ ประเทศเยอรมันนี
    ขณะนั่งสนทนาอยู่กับพระเจ้าไกเซอร์วิลเลี่ยม ที่ 2 พระเจ้าไกเซอร์ทรงทอดพระเนตรเห็นที่กระเป๋าเสื้อของพระพุทธเจ้าหลวง ร.5
    มีรัศมีเปล่งออกมาเป็นสีแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน ชมพู รอบ ๆ กระเป๋าเสื้อ ท่านสงสัยจึงได้ทรงตรัสถามว่า
    พระองค์มีสิ่งใดอยู่ในกระเป๋า พระพุทธเจ้าหลวง ร.5 จึงทรงหยิบพระสมเด็จในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ทอดพระเนตร
    และตรัสบอกว่าเป็นพระเครื่องซึ่งคนไทยนับถือ และนำติดตัวไว้เพื่อป้องกันภยันตรายต่าง ๆ
    และเป็นพุทธานุสติระลึกถึงพระพุทธคุณทำให้จิตใจสบาย และมีความสุข
    พระเจ้าไกเซอร์ทรงทราบเช่นนั้น ท่านสนพระทัยและเกิดความเลื่อมใสศรัทธามาก พระพุทธเจ้าหลวง ร.5
    จึงทรงถวายให้ไว้เป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสครั้งนี้ด้วย พระเจ้าไกเซอร์ทรงรับไว้และยกมือไหว้พนมมือแบบคนไทย
    แล้วนำมาใส่กระเป๋าเสื้อของพระองค์ สักพักได้เกิดรัศมีออกมาจากกระเป๋าเสื้อทำให้พระเจ้าไกเซอร์
    และข้าราชบริพารต่างแปลกใจไปตาม ๆ กัน พระเจ้าไกเซอร์ทรงเลื่อมใสพระสมเด็จที่ได้รับมา
    และเกิดความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าหลวง ร.5 ของประเทศไทยเราว่าทรงมีพระบารมีและพระปรีชาสามารถยิ่ง
    พระพุทธเจ้าหลวง ร.5 จึงได้ทรงตั้งชื่อพระสมเด็จองค์นั้นว่า สมเด็จไกเซอร์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ธันวาคม 2012
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พระแก้วมรกต
    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งท่านพระอาจารย์มั่นพักที่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น (พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร) ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์ แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพ

    ... หลังจากท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ-ภิเนษกรมณ์) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่ ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า

    "อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้"

    ผู้เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง

    เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต ท่านว่า

    "พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม"

    การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก

    และท่านยังบอกอีกว่า วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว

    ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทย คือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น

    พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ...ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด

    แม้แต่ชาวต่างชาติ มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้


    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  11. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้ดังนี้

    ๑. เห็นฤทธิ์ของร่างกายหรือยัง บังคับมันได้ไหม (ตอบว่าไม่ได้) จงมีความสุขเมื่อรู้ว่าร่างกายนี้บังคับมันไม่ได้ ร่างกายของตนเองก็ตาม ร่างกายของบุคคลอื่นก็ตาม ย่อมเป็นไปตามกฎของธรรมดา ทุกชีวิตย่อมมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นของตน กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปตามกฎของกรรม ซึ่งเป็นการกระทำของตนเอง พิจารณาจุดนี้ให้มากๆ จิตจักสงบไม่ดิ้นรน ฝืนกฎของธรรมดา ให้บังเกิดทุกข์ทั้งๆ ที่แก้ไขได้ยาก

    ๒. ให้ทำใจให้สบาย จึงจักมีปัญญาพิจารณาธรรมะต่างๆ ได้ดี รวมทั้งมีปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาได้ ถ้าหากใจร้อน กิเลสนำหน้าจักบดบังปัญญาให้มืดมิด พิจารณาธรรมต่างๆ ก็ไม่ทะลุปรุโปร่ง มีปัญหาขึ้นมาก็กลัดกลุ้มแก้ไขไม่ได้ ให้รักษาอารมณ์ใจเอาไว้ให้ดีด้วย การเตรียมใจให้ยอมรับปัญหา อย่าให้ความวิตกกังวลนำหน้า ให้พิจารณากฎของธรรมดา แล้วยอมรับนับถือกฎของธรรมดานั้น และจงรักษาอารมณ์ใจให้อยู่กับปัจจุบันธรรมให้มากที่สุด จิตจักมีสติ - สัมปชัญญะอยู่เสมอ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับอดีตที่ผ่านมา กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง วางใจให้สงบ ไม่ว่ามีกรณีใดๆ เกิดขึ้นให้สงบอกสงบใจเอาไว้ก่อน ค่อยๆ ดู ค่อยๆ คิด พิจารณาแล้วจักมีหนทางแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เอง

    ๓. ให้เห็นธรรมดาของร่างกายว่า มีความไม่เที่ยงอยู่เป็นปกติ แล้วให้เห็นกิเลส-ตัณหาของจิตที่คิดอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้จักมีความทรงตัว จิตยึดมั่นอยู่ว่าร่างกายนี้ใช่เรา ไม่ยอมรับสภาพความแก่ - เจ็บ - ตายของร่างกาย เวลานี้ทุกคนมุ่งหวังปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน การละขันธ์ ๕ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติ อย่าเห็นงานอื่นใดสำคัญยิ่งไปกว่างานของจิตใจที่จักละให้ได้ซึ่งกิเลส - ตัณหา - อุปาทานและอกุศลกรรม

    ๔. กฎของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย เมื่อประสบกับตนเองแล้ว อย่าพึงเอาไปเล่าให้ใครฟัง สักเพียงแต่ว่ารู้ สักเพียงแต่ว่าเห็นเป็นที่เข้าใจเฉพาะตนก็เป็นพอ เพราะศึกษามาถึงระดับนี้ย่อมจักเข้าใจว่าที่แท้สัตว์ก็คือคน จิตของคนเข้าไปอาศัยอยู่ พรหม - เทวดา - นางฟ้าก็คือคน หรือดวงจิตที่ไปจุติตามกรรมดี หรือแม้สัตว์ในอบายภูมิ ๔ ก็คือดวงจิตที่ไปจุติตามกรรมชั่ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ความเข้าใจในกฎของกรรมก็จักกระจ่างชัดขึ้น และจักทำจิตใจของตนเองให้เข้าสู่สภาวธรรมนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น เราเห็นเขาได้เสมือนอยู่ภพเดียวกัน พูดได้คุยได้ถึงกฎของกรรมที่ได้ประสบมา แต่กรณีนี้เป็นเรื่องอจินไตย อย่าเอาไปพูดต่อๆ กัน ให้รู้แต่แค่บุคคลที่ควรจักรู้และรับรู้ได้เท่านั้นเป็นพอ

    ๕. ดูร่างกายเข้าไว้ ยิ่งเห็นความไม่เที่ยงเท่าไหร่ ก็พึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาให้มากเท่านั้น จงรู้ว่า การเข้าสู่มรรคผลนิพพาน คือการเคารพในกฎของธรรมดา จิตเป็นสุขไม่ฝืนโลก ไม่ฝืนธรรม เห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ จิตใจจงอย่าไปทุกข์กับความไม่เที่ยงนั้นด้วย

    ๖. จงอย่าไปรับไฟของคนอื่นมาใส่ใจตน การทำงานในพระพุทธศาสนานี้ ขอให้มั่นใจในพุทโธอัปมาโณ ธัมโมอัปมาโณ สังโฆอัปมาโณ แต่ในขณะเดียวกันก็จงเห็นเป็นปกติธรรม ไม่มีใครสามารถทำให้คนทั้งโลกรักได้ ทุกคนย่อมมีทั้งคนรักและคนชัง โลกเป็นปกติธรรมอยู่อย่างนี้ พระตถาคตเจ้าทุกพระองค์ก็ถูกโลกธรรมเล่นงานมาแล้วทุกพระองค์เหมือนกันหมด ห้ามโลกไม่ให้เป็นไปอย่างนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ พระตถาคตเจ้าจึงห้ามใจตนเองไม่ให้ไปหมกมุ่นอยู่กับโลก ด้วยจิตใจที่ปราศจากกิเลส ใครเขาอยากด่าให้เขาด่าไป ใครเขาอยากชมให้เขาชมไป จิตใจที่เห็นโลกตามความเป็นจริง ย่อมไม่มีการปรุงแต่งธรรม ดีก็แค่นี้ เลวก็แค่นี้ โลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ มีอันต้องฉิบหายเหมือนกันหมด เอาจิตใจของตนไปให้พ้นเสียจากโลก รักษากำลังใจให้ตั้งมั่น ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น อดทนกับกิเลสในใจของตนเองดีกว่า อย่าไปตำหนิจริยาของใคร อย่าไปสร้างความพอใจ หรือไม่พอใจให้เกิดขึ้นกับจิตใจของตนเอง ปล่อยวางพฤติการณ์รอบด้านให้เป็นไปตามความเป็นจริง จิตใจอย่าไปฝืนกรรมของใคร ใจก็จักเป็นสุข ไม่เดือดร้อนกับความทุกข์หรือความสุขของใคร เท่านั้นแหละได้ชื่อว่าจิตใจเริ่มจักเข้าสู่ทิศทางที่จักเพียรตัดกิเลสในจิตใจของตนเอง มิใช่ไปเพียรติดกิเลสของชาวบ้าน จำคำหนึ่งที่พระอรหันต์ท่านให้กันอยู่เป็นปกติ เป็นคติประจำใจ ทุก ๆ ยุค ทุก ๆ สมัยว่า ช่างมัน ๆ ๆ แล้วพวกเจ้าจักสบายใจ

    ๗. ให้ระวังกาย - วาจา - ใจของตนเองเอาไว้ให้ดี พึงพิจารณาสำรวมศีล-สมาธิ-ปัญญาให้เกิดขึ้นในกาย - วาจา - ใจนี้ จิตจักเป็นสุข - สงบ - เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา กรรมฐานที่ได้จักตั้งมั่น แน่วแน่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง - ไม่เสื่อมถอย แต่ในขณะเดียวกันอย่าได้เป็นผู้หลงตนเอง เนื่องจากคนดีในพระพุทธศาสนา จักกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอว่า ยังไม่มีดี ยิ่งฆราวาสด้วยแล้ว ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่นี้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน คำว่าดีจงอย่าได้มีขึ้นมาในกาย - วาจา - ใจนี้หมั่นสำรวมอยู่ให้ตั้งมั่นเข้าไว้ และจดจำเอาไว้เสมอว่า ดีเมื่อไหร่ เลวเมื่อนั้น คำว่าทะนงตนว่าเป็นคนดีแล้ว ฉลาดเป็นเลิศแล้วนั้นคือ อาภัพบุคคล หรือเป็นบุคคลจำพวกปทปรมะอย่างแท้จริง จดจำอารมณ์นี้เอาไว้ให้ดี

    ๘. เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายแล้ว จงอย่าลืมทำความเบื่อหน่ายในร่างกาย แม้แต่เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณก็เช่นกัน เป็นเรื่องของความไม่เที่ยงทั้งหลาย เกิดขึ้น - ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่าเอาจิตไปเกาะยึดกับมัน ให้เห็นเป็นปกติธรรมดาของขันธ์ ๕ จิตพึงรับรู้ตามธรรมดา แล้วเพียรปล่อยวางเท่านั้น จึงจักสุขได้ตามความเป็นจริง ขันธ์ ๕ จักทุกข์ ให้ทุกข์ไป แต่จิตใจไม่ทุกข์ด้วย ให้พยายามรักษาอารมณ์นี้ไว้ให้ดี เรื่องคนอื่นภายนอกไม่สำคัญ สำคัญเรื่องของตนเอง จิตใจภายในนี้ ในเมื่อพยายามตัดเรื่องของคนอื่น เรื่องภายนอกต่างๆ ออกไปจากจิตใจ การปฏิบัติธรรมก็เป็นของไม่ยาก อันเนื่องด้วยเหลือแต่เรื่องของตนเอง เหลือเฉพาะพิจารณาขันธ์ ๕ และจิตใจของตนเองเท่านั้น วงของการปฏิบัติก็แคบเข้ามา ทำให้เห็นกิเลสในจิตใจของตนเองได้ง่าย เฝ้ามองขันธ์ ๕ กับจิตใจอยู่อย่างนี้ หนทางไปพระนิพพานก็ใกล้เข้ามา ขอให้เอาจริงก็แล้วกัน ให้ตั้งใจทำให้จริง เรียกว่ารักษากำลังใจเต็ม หรือรักษาบารมี ๑๐ ให้เต็ม ทุกอย่างก็เป็นของไม่ยาก บารมี ๑๐ ที่จักเต็ม มิใช่จำได้ ท่องได้ หรือพยายามทำตามตัวหนังสือ ให้เข้าใจในบารมี ๑๐ เป็นความเต็มอยู่ในใจตลอดเวลา อาทิอารมณ์เบื่อหน่าย เกียจคร้านเกิดขึ้นมาในใจ ก็เอาขันติบารมีเข้ามาปะทะเข้าไว้ หรือความตระหนี่เกิดขึ้น ก็เอาทานบารมีเข้าปะทังเข้าไว้ จักต้องแก้ไขความบกพร่องของบารมี ๑๐ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ชินแล้วจักเห็นผลของการรักษาบารมี ๑๐

    ๙. เรื่องสุขภาพของร่างกายต้องระวัง ร่างกายไม่ดีให้ระมัดระวังการเจ็บป่วยด้วย แล้วจงอย่าได้มีความประมาทในชีวิต ยิ่งป่วยไข้ไม่สบายมากเท่าไหร่ ให้เห็นความตายมากขึ้นเท่านั้น แล้วจงอย่าทำจิตให้เศร้าหมอง เห็นเป็นปกติธรรมของร่างกาย มีเกิดแล้วก็มีแก่ มีเจ็บแล้วก็มีตาย พึงยอมรับในอริยสัจเหล่านี้ว่าเป็นของจริง จิตใจจักสงบเยือกเย็น มีความเตรียมพร้อมที่จักไปพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา ร่างกายมันเป็นอย่างนี้อยู่เป็นปกติธรรมของมัน จิตใจรับรู้ก็เพียงแต่สักแต่ว่ารู้ เวทนาที่เกิดขึ้นก็ยอมรับเป็นปกติธรรมของมัน สัญญา สังขาร วิญญาณเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เป็นเรื่องธรรมดาของมัน พิจารณาแล้วระลึกเข้าไว้ ตั้งใจปล่อยวาง ต่อไปขันธ์ ๕ อย่างนี้จักไม่มีกับเราอีก ให้พยายามเลิกคบกับขันธ์ ๕ นี้อย่างจริงจัง ละปล่อยวางเสียให้ได้ก่อนที่ร่างกายนี้จักสลายตัวไป พิจารณาธาตุ ๔ เข้าไว้ พิจารณาอาการ ๓๒ เข้าไว้ พิจารณาอสุภเข้าไว้ อย่าทิ้งไปจากจิต แล้วโอกาสหลุดพ้นจักมีได้มาก


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ... อย่าให้จิตเศร้าหมอง ...

    "... สติเหมือนกับทัพหน้า ปัญญานี้เหมือนกับทัพหลวง คอยกำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อจิตต่อใจของเรา ดังนั้นเวลายามเช้าเป็นความสำคัญมาก ต้องดำรงสติ ต้องรักษาจิตของตัวเองตลอด อย่าให้จิตเศร้าหมอง อย่าให้จิตต่ำ เพราะถ้าจิตเศร้าหมองไม่ปรากฏว่าเป็นบุญเลยจิตดวงนั้นทั้งดวง หามุมใดมุมหนึ่งของจิตว่าเป็นบุญไม่มี ต่อให้ทำบุญสร้างวัดสร้างวา สร้างสิ่งต่างๆ ใหญ่โตโอฬาร สร้างวัดซัก ๘๔๐๐๐ วัด สร้างพระเจดีย์ ๘๔๐๐๐ หลัง โบสถ์ซัก ๘๔๐๐๐ ครั้ง ก็ไม่สามารถปรากฏว่าเป็นบุญเป็นกุศลได้ในขณะจิตที่เศร้าหมองเลย ไม่มีบุญเหลืออยู่เลย มีแต่ความต่ำไปทางด้านกิเลสนานา ด้านบาปอธรรม นี่เรียกว่าจิตที่ขุ่นข้องไม่มีความดีเลยแม้แต่นิดเดียว อย่าให้มันมีในจิตในใจ ที่เขาเปรียบว่าเวลาเราทำบุญ ทำบุญใหญ่ทำบุญน้อยก็ตาม มีเรื่องวุ่นวายในงานอย่าทำใจเศร้าหมอง ชามจะแตก ของมาไม่ทัน คนมาไม่พร้อม งานจัดไม่เรียบร้อย ถูกตำหนิติเตียนก็ตามในงานนั้นอย่าทำจิตเศร้าหมองเด็ดขาด พึงทำจิตให้ผ่องใสไว้ อย่างน้อยเราก็ได้ทำและดีที่สุดที่เราทำมา เพื่อไม่ให้บุญกุศลของเราหายไป แล้วบุญเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำมาในอดีตที่เกิดตายไม่ถ้วน จนมาถึงบุญที่เราทำอยู่นี้จะมารวมตัวกันเป็นพลปัจจัย เป็นพลกำลังให้เราพ้นจากความทุกข์ได้จริง ... นับประสาอะไรกับเวลาตื่นเช้าขึ้นมาและจิตของเราขุ่นข้องหมองใจ มันก็จะไม่เกิดบุญกุศลอะไรเลยในวันนั้นต่อให้ภาวนายังไงก็ตาม สร้างบุญสร้างกุศลยังไงก็ตาม จะภาวนายังไงก็ตาม ถ้าเราไม่ขับความขุ่นข้องหมองใจ ความขุ่นใจไปเสีย ย่อมไม่เป็นประโยชน์อะไรในวันนั้นทั้งวัน นักภาวนาจึงต้องเข่นความขุ่นข้องหมองใจให้สลายออกไปจากจิตใจ..."

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ยามเช้าดำรงสติ รักษาจิตของตน
    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

    ที่มา https://www.facebook.com/kubajaophet#!/kubajaophet
     
  13. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ของขวัญแด่พี่ภูและพี่น้องจิตบุญ จิตบำเพ็ญและจิตเกาะพระทุกท่าน วันนี้ส่งท้ายปีเก่าและขอต้อนรับสิริมงคลซึ่งมาพร้อมกับปีใหม่ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขสมหวังสดชื่นเบิกบาน มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ โรคภัยไข้เจ็บอย่าได้มาเบียดเบียน หากแม้นเจ็บป่วยไม่สบายก็ขอให้หายโดยเร็วพลัน ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์โปรดรักษาทุกท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยทั้งปวง ขอให้ทุกท่านจงพบแต่ความสุขสวัสดีเทอญ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  14. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับท่านสุญญด้วยครับในธรรมทานคำตอบ
    แม้นจะกล่าวโดยกว้าง แต่ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก ตรงมรรค ตรงทาง ตรงประเด็น..

    555.. "อริยะตราตั้ง"หรอ.. ศัพท์ใหม่พึ่งจะเคยได้ยินครับ..555 ท่านสุญญนี่อารมณ์+ปัญญาดีเจงๆ..555
    "อาจจะ"ก็คือ"อาจจะ"..เน้ออ..555

    แหม่.. ตั้งแต่ท่านสุญญเข้ามาเมตตาแบ่งปันธรรมทานนี่ หลายๆท่านก็ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นและเห็นอะไรหลายๆอย่างเพิ่มมากขึ้นไปด้วยนะ ดีเจงๆเลย.. สาธุด้วยครับ (ส่วนเรื่องจิตนี่.. จิตใครจิตมันก็ต้องดูแลกันเอาเองเด้ออ..)
    อย่าหนีไปไหนนะ ความรู้ดี+ปัญญาดี มีเมตตาให้ธรรมทานแก่ท่านผู้อื่นๆถือเป็นการเสริมสร้างบารมีของตนเองไป
    (รู้สึกว่าเราจะเป็นสาวกที่จะเริ่มปันใจ ให้ท่านบ้างแล้วแหล่ะ..555)

    เออ..ว่าแต่ว่าเราเห็นรูปในโลโก้ของท่านน่ะ ว่าคืออะไรหรือ?(ดูไม่ค่อยออกเลยครับ)
    วันนี้วันดีเราจึงจะขอให้ท่านสุญญช่วยโปรดช่วยแสดงธรรมจากจิตท่านเอง(โดยไม่ต้องไปอ้างอิงตำราคัมภีร์แต่อย่างใด-เรื่องอะไรก็ได้แล้วแต่ท่านน่ะ) เพื่อโปรดเป็นธรรมทานแด่ทุกๆท่านเนื่องในวันสิ้นปีด้วยครับ จักเป็นพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ


    ปีใหม่นี้ก็ขอพรพระรัตนตรัยช่วยดลบันดาลให้ทุกๆท่าน(รวมทั้งท่านสุญญด้วย) จงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีสติที่เป็นมหาสติ มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีปัญญาและความเพียรเป็นเลิศ ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุครับ
     
  15. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  16. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  17. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    หมูไม่รู้นะว่าใครจะคิดอะไรยังไง
    แต่สำหรับเรื่องนี้ ตัวหมูเองก็ไม่ได้ใส่ใจมาก
    เพราะเข้าใจว่า ...
    ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ หรือพระรูปใด บุคคลใดก็ตามที่ได้เข้าถึงธรรมแต่ละอย่างนั้น ทุกอย่างล้วนเป็น "ธรรม" ทั้งสิ้น
    คือ ธรรมตัวเดียวกัน ทางเดียวกันที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และบอกทางแก่เรา
    ซึ่งเราทุกคนก็มีสิทธิ์เข้าถึงได้ ถ้าเราเอาแต่แก่น

    แต่ถ้าจะเอาแต่เปลือกจิตมันก็ไปไม่ถึงไหน
    มัวแต่มานั่งถกเถียงธรรม หาเหตุ หาที่มา ฯลฯ
    นั่งท่องตำราเป๊ะๆ คิดว่าตนรู้ถูกแล้ว อะไรประมาณนั้นก็คงได้แค่เปลือกจริงๆ


    เราทั้งหลายรู้ดีว่าเรื่องของจิต มันใช้สมองคิดแทน วางแทนไม่ได้
    แต่คนส่วนใหญ่ที่มานั่งเถียงธรรม หรือถกธรรมกันเนี่ย
    คงสมองดี แต่จิตก็คงไปอีกทาง


    แต่ก็ไม่รู้ล่ะ หมูเป็นเด็กปัญญาน้อย จะพูดอะไรมากก็ไม่ดี
    นั่งดู นั่งจับผิดแต่ความเลวตัวเองไปวันๆ
    ไม่ได้ไปนั่งจับผิด มุ่งจะถกธรรมอะไรกับใคร
    แล้วเพราะแค่หมูออกมาพูดเล็กน้อยแค่นี้ คนที่มีสมองดีทั้งหลายก็คงนำไปเป็นประเด็นได้อีกเช่นกันล่ะมั้ง... เฮ้อ...



    บ่นไปก็เซงตามประสาเด็ก... ออกไปวิ่งเล่นดีกว่า
    ขอเสิร์ฟน้ำมะนาวเย็นให้ท่านพี่สุญญตาวิหาร และทุกท่านจ้า
    สงสัยอากาศเมืองไทยจะร้อนมากกระมัง หมูถึงได้พูดอะไรแบบนี้



    [​IMG]
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154

    เราเกิดเป็นมนุษย์พุทธศาสนา ภายใต้ร่มเงาพระบารมี
    ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง และเป็นผู้เผยแผ่ธรรม เพื่อให้รู้ตาม

    ฉะนั้น ความรู้ที่ออกจากจิต มีปัญญาเป็นของตนเอง เป็นไปไม่ได้เลย
    หากไม่มีผู้ชี้ทาง ให้ประพฤติปฏิบัติ เพราะธรรมชาติของจิต ย่อมไหลลงต่ำ
    ต้องการผัสสะสิ่งแปลกใหม่ พอได้รับผัสสะแปลกใหม่
    ก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ใช่ ก็จะพึงพอใจ ลอยไปตามกระแส

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนจะตรัสรู้ธรรม ได้อธิษฐานลอยถาด ให้ทวนกระแสแม่น้ำนะ

    ดังนั้น เราเห็นร่องรอยแบบอย่าง ในการดำเนินอะไรบ้าง
    นั่นเป็นการทวนกระแสโลกไง ทวนกระแสตัณหา ความทะยานอยาก ทวนกระแสสมุทัย

    ดังนั้นจะปีเก่า ปีใหม่ มันก็กิเลสตัวเก่าๆ คือ ราคะ โทสะ โมหะ
    ที่พาเวียนตาย เวียนเกิด แน่นอนทวนกระแส มันต้องย้อนมาแก้ที่จิต กับจิตอวิชชานี้
    ความไม่รู้เท่าทันในกิเลสตัณหา จิตจึงถูกมารครอบไว้ จะชนะมารก็ต้องชนะที่จิต

    จะฝึกจิตต้องรู้จักฝืนกิเลส ใช้ความเพียรพยายาม มีขันติบ่มเพาะตนเอง

    โลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จะหาตัวศาสนา จุดกำเนิดพุทธศาสนา
    ดูโลกเขาแสวงหากันนะ ว่าจุดนั้นจุดนี้ ประเทศนั้นประเทศนี้ เป็นแดนพุทธภูมิ
    ก็แย้งกันตามคติประวัติศาสตร์ คติโลกวิสัย เสร็จแล้วมันได้อะไรขึ้นมา หากไม่ค้นมาที่จิต
    หากจะเปรียบโดยเนื้อแท้แล้ว สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ก็คือ กาย เวทนา จิต ธรรม นี้เอง คือ สติปัฏฐาน4

    ศรัทธา คือความเชื่อ เชื่อในกรรม ผลของกรรม ในความดีความชั่ว
    หมุนไปในวัฏฏะ นั่นเพราะ เป็นไปตามสถานะของในเวรกรรม

    ศาสนาพุทธ ตัวศาสนาแท้ไม่ใช่ การอำนวยอวยพร หรือการขอ บนบานศาลกล่าวใดๆทั้งสิ้น
    นี่มันเป็นเรื่องของมายาคติสังคม โลกนิยมว่ากันไปตามประเพณี ดีไม่ดีพลิกไปเป็นศาสนาอื่นเลย

    พรต่างๆ จะเกิดขึ้นได้นั่นเพราะตน ตนของตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    เราเกิดมา แล้วได้พบพุทธศาสนา หากเห็นคุณค่าของศาสนา
    ฉะนั้น เราจะกอบประโยชน์ จากศาสนานี้ได้อย่างไร
    ศรัทธา นั่นเพราะเชื่อ ในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผู้ชี้ทาง
    และเห็นร่องรอย ของผู้เดินทางตามรอยบาทพระศาสดา
    ธรรมนี้เป็นของเก่า แต่เป็นเพราะพระพุทธเจ้า ผู้เคยได้สั่งสมบารมี
    แล้วได้รู้ธรรม เห็นธรรมนั้น ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระสัมมาสัมโพธิญาณ
    แล้วบอกกล่าวให้ได้ปฏิบัติตาม ให้ได้เข้าไปรู้ในธรรมนั้น

    ธรรมอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิต นั่นเพราะ ต้องเข้าไปแก้ภพ แก้ชาติ แก้กรรม ที่จิต
    จะแก้ภพ แก้ชาติ แก้กรรม แต่กลับไปแก้บน ด้วยศาสนพิธีกรรมต่าง ๆ
    นี้มันไม่ใช่แล้ว ยึดในรูปแบบพิธีการ ขอขมากรรมต่างๆ

    จิตนี้ไปได้หมดในขณะปัจจุบัน ทั้ง กามภพ รูปภพ อรูปภพ
    ศาสนาอันเป็นกุศโลบาย เป็นอุบายทั้งนั้น คือ ให้รู้จักธรรม เพื่อดำเนินการแก้กิเลส

    เบื้องต้นให้รู้จักฝืนในการกระทำสิ่งไม่ดี รู้จักสละการให้
    ทั้งสิ่งนอกตัว เพื่อต่อไปจะสละสิ่งภายในนั้นได้

    ศีล คือ เป็นรั้วขอบเขตป้องกันระวังภัย
    แท้จริงแล้ว ที่พากันรักษาศีล เพื่อจะให้รู้จักสติของการสำรวม
    การสำรวมในอินทรีย์ทวาร มีสติในการกายกรรม วจีกรรม จนพิจารณาได้ว่า
    ศีลนี้ มีเพียงใจเท่านั้น ที่เป็นผู้รักษา คือมโนกรรม อันเป็นเจตนา ให้มี อินทรียสังวรศีล

    สมาธิ คือ ความตั้งมั่น การทำความสงบของใจ
    มีสติสัมปชัญญะแทรกซึมรู้พร้อมในทุกขณะ
    ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ ความว่างคือความว่าง แต่ทำไมจึงทุกข์น่าดูเลย กับผัสสะต่างๆ
    ว่างแบบขี้ลอยน้ำไง สักว่าๆ แต่ลอยไปตามกระแส
    รอยไปตามนิมิตไง รอยไปตามผัสสะแปลกใหม่ไง
    หากจะไม่ย้อนลงมา จะนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาเหตุปัจจัยอะไรไม่ได้เลย
    ก็จะหลงโลกหลงสงสารสืบไป

    ดังนั้น ปัญญา ในทางพุทธศาสนา คือการรอบรู้ในกองสังขาร
    คือกายสังขาร จิตสังขาร เวลาเราได้ยินได้ฟังความไม่ประมาท
    ความไม่ประมาทในทางโลก เขาจะหาวิธีทำอย่างไร
    เพื่อจะให้ชีวิตนี้ได้ดำรงค์อยู่ในโลกนี้ได้ต่อไป เพื่อแบกรับภาระ ทั้งขันธ์ภายนอกภายใน

    แต่ความไม่ประมาทในทางธรรม คือเราได้เกิดมาพบพุทธศาสนา
    และได้เรียนรู้อุบายแก้จิต ที่พาเวียนในวัฏฏะ

    กงล้อธรรมจักรนี้ เป็นตัวทำลายล้างกระแสอวิชชาตัณหา อุปาทาน ภพชาติ
    ก็ด้วยมรรคมีองค์8 เท่านั้น ทำลายล้างอุปทานขันธ์ภายในตน

    เช่น การมีสติอยู่กับพุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธคุณอันยิ่งใหญ่ของพระศาสดา
    หยุดแสวงหาในสิ่งภายนอก มีความสงบเกิดขึ้นรู้อยู่ภายใน
    หรือรู้ลมหายใจเข้าออกในอานาปานสติ ทั้งอากัปกิริยาในการเคลื่อนไหว
    กายเคลื่อน มีสติกำหนดรู้ พิจารณาว่าเห็นว่าจิตนี้เคลื่อนเป็นไปอย่างไร
    มีราคะ โทสะ อย่างไร จนเห็นว่าสิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้น และดับไปเป็นธรรมดา

    คนเรานี้ ทุกข์เพราะความคิด จึงต้องรู้จักใช้สติ ทวนกระแสความหลวง เพื่อมาดำเนิน คือ มรรค
    ให้เข้าไปรู้ทันความคิด คือการมีสัมปชัญญะ เพื่อกำจัดความมืด คือ โมหะ อันใหญ่หลวง
    ความคิด เกิดจากจิตที่บงการให้ยึดมั่นถือมั่น ให้ลอยไปตามกระแสของวัฏฏะ
    สัมมาทิฏฐิ คือ การเห็นทุกข์รู้ทุกข์ เห็นโทษภัย เพื่อจะออกจากทุกข์ คือวัฏฏะนี้
    เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ อันเป็นสัทธินทรีย์โดยแท้ ของคนๆนั้น

    เพียงเท่านี้ ก็พอจะเป็นการดำเนินไปเพื่อให้ถึง ความไม่ประมาท
    ในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ก่อนปรินิพพาน ต่อไป....


    ดังนั้น...หากเราจะให้พร ก็ให้ทุกท่าน มีความเพียรเป็นของตนเอง
    เพื่อจะไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด ในเร็ววัน แม้ในขณะนี้ก็ตาม

    อันเป็นวันสิ้นปี เพื่อจะได้สิ้นโลก ซะ!!



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ขอบคุณ ในน้ำมะนาว ที่ส่งมาให้

    ท่าจะให้ดี น่าเอาไปทำหมูมะนาวเนาะ

    ส่งอะไรไม่ส่งมาดันส่งน้ำมะนาว ก็เอาไปทำหมูมะนาวน่ะเซ่

    เอ้อ..ลงตัวเป๊ะ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุค่ะ... คุณครูภู ขออนุโมทนากับคุณครูภู ในธรรมทานทั้งหมด.

    ขอน้อมรับด้วยสติและ ปัญญาค่ะ ถูกต้องเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าคนเรา

    เกิดมามี ๔ พวก ๔ เหล่า แล้วนับประสาอะไรมือของเราเองยังไม่เท่ากันคนเรา

    เกิดมาพ่อแม่เดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย แม้กระทั่งฝาแฝดตามกันออกมาก็

    ยังต้องมีที่สังเกตุอยู่ในตัวซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ให้จำได้ว่าใครคือใคร.แต่ก็ต่าง

    จิตต่างใจต่างความคิดนะ แม่มะลิก็เป็นผู้น้อยด้อยการศึกษา ความรู้ก็เท่ากับห่าง

    อึ่งถ้ามีอะไรที่จะต้องสั่งสอนก็ขอน้อมรับค่ะ คุณภูเป็นบุคคลที่เหมาะสมเหลือ

    เกินที่เป็นคุณครูของพวกเราชาวจิตเกาะพระ. ขอบคุณค่ะสำหรับชื่อใหม่ที่ตั้ง

    ให้เพราะเป็นชื่อดอกไม้หอมสำหรับนำไปไหว้พระบูชาและนำไปขอขะมาครู

    อาจารย์ พ่อ แม่ และผู้ใหญ่ เป็นดอกไม้หอมขาวสะอาดสัญญาลักษณ์ของวัน

    แม่ด้วย.ขอมอบธรรมทานของคุณครูภูให้เป็นของขวัญปีใหม่ ๒๕๕๖ และส่ง

    ท้ายปีเก่า ๒๕๕๕ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขและมีดวงตาเห็นธรรมยิ่งๆ

    ขึ้นไปเทอญขออนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...