จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    คุณ Pugsley ช่วยแก้ไข ลบลิ้งที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    วลา...เป็นสิ่งเดียวในโลก

    ที่ทุกคนได้รับเสมอกัน

    ไม่มีใครได้เปรียบ

    หรือเสียเปรียบกันเลยแม้แต่คนเดียว

    แต่ใครจะใช้เวลาในแต่ละวินาทีอย่างมีค่า

    และคุ้มค่ากว่ากัน นี่แหล่ะ เป็นเรื่องน่าคิด

    พระธรรมสิงห
    [/SIZE]บุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมุโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  3. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6SfRXYxTVAM]ใกล้รุ่ง - YouTube[/ame]​
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    วันนี้จะกล่าวถึง "ปัญญา" ซึ้งต่างจาก "สัญญา" คือ ตัวปัญญานั้น คือ ความเฉลียวฉลาด รู้รอบ และที่ทํางานก็คือ กายสติปัฏฐาน๔ หรือ อริยะสัจ๔ พิจารณาลงในเบญจขันธ์ เราต้องพิจารณาให้เห็นความเป็นจริง นั้นเรียกว่า "ปัญญา"แต่ถ้าคิดเอาหรือ เดาเอาก็จะกลายเป็น"สัญญา" เข้าไปแทนที่ เพราะสัญญา คือความหมายมั่น หรือ ได้มาจากการจําก็ว่าได้หรือได้มาจากการเรียนมานั้นเอง แต่"ปัญญา" คือ เหตุทําให้รู้แจ้ง ผลก็คือ ความสุขตามมา ปัญญานี้เราต้องผลิตผลขึ้นมาเองจะเป็นเหตุให้รู้เอง เห็นเอง ซึ้งผู้ปฏิบัติก็จะเห็นเหตุผลเอง แต่สัญญา นั้นก็ คือ รู้ จด จํา ทํา คิด ก็เป็นสัญญาขึ้นมา แต่สัญญา ก็สามารถนํามาใช้ประโยนช์ได้ในขั้นแรกของการปฏิบัติเพราะเรายังไม่เข้าถึงตัวปัญญาจริงๆก็จะใช้สัญญาก่อน ก็คือจํา นํามาคิดเพื่อจะให้เกิดตัวปัญญาจริงๆก็ต้องอาศัยสัญญาไปด้วย เพราะสิ่งไหนที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นเราก็จะใช้ "สัญญา" นําหน้าไปก่อน ก็เหมือนตอนเรายังไม่ได้เคยเดินทางมาเมืองนอก (ยกตัวอย่าง)เราก็จะคิดเอาเองว่ามันเป็นอย่างไร?ก็อาจจะเอาเดาว่ามันเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น ตามแต่ใครจะคิดเอาเอง แต่พอมาแล้วเราก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นอย่างนี้?นั้นตอนนี้เห็นจริงก็คล้ายตัว"ปัญญา" นั้นเอง คือเห็นของจริงแต่ทั้งสองตัวนี้ก็สามารถทําประโยนช์ได้ในสถานการณ์แตกต่างกันจึงขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้นําทั้งสองตัวนี้ไปพิจารณาเพื่อความเหมาะสมกับการใช้งานทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ.
     
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=otZLefqdX2Y"]???????????????? "???????" - YouTube[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    จริงๆ จะบอกว่า พวกท่าน "จุดใต้ตำตอ" กันเอง

    คำว่า "จิตเกาะพระ" หรือแม้แต่การฝึกกสิณต่างๆ

    หยั่งไปถึงในรูปาวจรกุศล ก็ยังต้องอาศัยสัญญา ทั้งนั้นล่ะครับ คือ รูปสัญญา ในการกำหนดนิมิต

    เป็นการทำความสงบของใจ ให้มีความตั้งมั่นเพื่อต่อยอด

    ทั้งใน กายคตาสติ ก็เช่นกัน ทุกอย่างไม่มีการตายตัว ว่าสิ่งนี้อยู่ในหมวดสมถะ นะ

    สิ่งนี้อยู่ในหมวดสติปัฏฐาน นะ หากมีความเห็นแต่เริ่มแรก หรือติดในนิมิตปิติสุข อย่างนี้ก็จบกันเลย

    เพราะเป็นความเห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

    จะเป็นปัญญาได้คือ ต้องมีญาณทัสสนะหยั่งรู้ นำมาต่อยอดจากการทำความสงบของใจ จนจิตตั้งมั่น คือ มรรคญาณ ได้บังเกิดในคนๆนั้น อันเป็นสันทิฏฐิโก

    มีนมสิการ น้อมไปเห็นการแปรปรวน ไม่คงอยู่ ด้วยจักษุญาณ

    เกิดความสลดสังเวช เห็นทุกขสัจ นั่นแหละตัวปัญญา ที่หมุนอยู่ภายในของคนๆนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  7. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อย่างเช่น เซียนพระ นี่จะชอบมากกับ พระปิดตา ปิดทวาร เด่นทางมหาอุตม์

    แท้จริงแล้ว ก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกุศโลบาย ในการอุดอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

    เปิดช่องไว้หนึ่งเดียว คือ ใจ ต่อการรับสิ่งมากระทบ มีสติสัมปชัญญะต่อกำหนดรู้ในอาการเวทนา เพื่อจับเหี้ย

    ทั้งความเพลินยินดีในกามสัญญา ความเพลินไม่ยินดีแค้นเคืองในปฏิฆสัญญา

    นั่นแหละคือ เหี้ย เป็นอาการของใจ ของคนๆนั้น ที่เข้าไปอาศัยอยู่ในจอมปลวก คือ กายนี้

    <IMG src='http://www.taradpra.com/UserProfile/chunsaiha/picture/Pic_923743_1.jpg' width=250>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  8. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
     
  9. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    จริง โพสนั้นที่
     
  10. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    กรรม
    คนเรา เกิด เพราะกรรม เจ็บเพราะกรรม ตาย ก้อเพราะกรรม
    ถ้าทุกคน คิดได้แบบนี้ เราจะไม่มีความทุกข์เลย
    และจะไม่มีคำถามว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน " "ทำไมต้องเป็นแบบนี้"
    เพราะคำตอบคือ "กรรม"หยุดผูกกรรม หยุดการสร้างชาติภพ
    ยอมรับกรรม และ วางลงซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดชาติภพ
    ความสุขง่ายๆก็เกิดได้ในใจเรา ​
     
  11. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    คงจะมีผู้สะดุดงุดหงิดกับคำว่า "เหี้ย" จึงเป็นที่มา

     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ชีวิตมีค่าถ้าเดินถูกทาง ถ้ามีคำถามว่าเราทุกคนเกิดมาทำไม?

    หลายๆคนไม่ปฏิเสธว่าเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข แต่การแสวงหาความสุขของคน

    เรานั้นก็ไม่เหมือนกันหลายคนแสวงหาความสุขไม่ถูกทาง ทางเดินชีิวิตนั้นมีหลายเส้นทาง

    แต่กว่าที่ใครจะเลือกเดินทางที่ถูกต้องนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร ช่วงชีวิตหนึ่งบางครั้งพบ

    แต่ความทุกข์ บางครั้งก็มีทั้งทุกข์และสุข บางชีวิตต้องพบความทุกข์ความเดือดร้อนใจ

    อย่างอับจนหนทางที่จะปลดเปลื้องทุกข์ได้เลยจนถึงกับท้อแท้ทอดอาลัยและทำลายตัวเอง

    ก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่บางคนที่เห็นค่าของชีวิตและแสวงหาทางเดินที่ถูกทางเขาก็จะ

    ได้พบเพราะเขามีจิตใจที่มีความศรัทธาและใฝ่หาหนทางที่ถูกทาง การฟังธรรมะของ

    หลวงปู่ หลวงตา ครู อาจารย์ ทุกๆธรรมะมีค่ามีประโยชน์ บางครั้งอาจจะทำให้เราสับสน

    แต่ถ้าเรามีความศรัทธาที่จะศึกษาฟังบ่อยๆธรรมะนั้นก็จะซึมซับเข้าไปให้เรามีสติมีปัญญา

    ที่จะหาทางเดิิินที่ถูกทางให้เรา ธรรมะของแต่องค์แต่ละท่านแตกต่างกัน แต่ความหมายนั้น

    ท่านสอนเพื่อจะย้ำให้เราได้เข้าถึงและเข้าใจ เพื่อให้การปฏิบัติของท่านจะได้เดินถูกทาง บุคคล

    ที่มีปัญญาย่อมเดินถูกทาง เมื่อเราเดินถูกแล้วก็จะพบหนทางเดินที่มีแต่ความสุขความสงบ

    อย่างที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน นั่นก็อยู่ที่ท่านว่าพร้อมหรือยังที่จะเลือกทางใหน ธรรมะคำ

    สั่งสอนที่แต่ละองค์แต่ละท่านสอนมาท่านไม่ได้บังคับนะว่าต้องเชื่อและต้องทำ อยู่ที่เจ้าตัว

    ว่าได้เลือกทางเดินหรือยัง แต่ท่านได้เมตตาฝากธรรมะไว้เพราะรู้ว่ามีลูกหลานของท่านที่

    ยังเดินหลงทางอยู่อีกมากมายซึ่งหาประมาณไม่ได้ ที่ผู้เขียนๆขึ้นมาเพราะว่าผู้เขียนได้รับ

    ความรู้และได้ศึกษานำมาปฏิบัติแล้วก็ได้รับผลแล้วอย่างไม่สงสัยจึงนำมาเป็นธรรมทาน.

    หวังอย่างยิ่งว่าคงจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกๆ

    ท่านและขออนุโมทนาค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความรู้นั้นมีประโยนช์ และบางที่ก็มีโทษถ้าเป็นความรู้ที่ผิดหรือใช้ไปในทางที่ผิด อย่างเช่นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ผลิตอาวุธ และผลิตนิวเคลียร์แล้วก็เอาไปใช้ในทางที่ผิดก็จะเป็นโทษต่อสังคมได้อย่างมาก และอย่างในทางธรรมก็มีการรู้ผิดได้เช่นกันอย่างเช่นรู้ คิดว่าตัวเองได้"ญาณ"หรือ"ณาน"อาจจะได้จริงอยู่ตอนแรกๆแต่พอเราหลงไปยึดเข้าก็อาจจะเป็นโทษแก่ผู้ได้ก็มีเยอะแต่จะกล่าวถึงเฉพาะคนที่ได้แล้วติดยึดเท่านั้น ไม่กล่าวถึงท่านที่ได้เข้าถึงมรรคผลนิพพานเพราะความรู้นั้นท่านได้เป็นผู้ได้บรรลุธรรมขั้นสูง ก็คือท่านผู้หลุดพ้นแล้วและความรู้ก็ไม่เป็นพิษภัยต่อใครแล้ว...แต่ทีรู้แล้วเป็นโทษก็คือยังไม่รู้จริง พอดีได้อ่านเจอในหนังสือของหลวงปู่ ทองใบ ปภัสฺสโร.ท่านได้กล่าวถึงการรู้ไว้ดังนี้
    รู้ไว้ไม่เป็นภัย วางไปไม่เป็นทุกข์ ละสนุกไม่เป็นบาป ทิ้งของหยาบไม่เป็นกรรม เว้นทางตํ่าไม่เป็นเคราะห์ ยิ้มพอเหมาะไม่เป็นโทษ ชอบสันโดษไม่เป็นเวร จิตรู้เห็นไม่เป็นมาร ทําชํานาญไม่เป็นหมัน สู้ขยันไม่เป็นทุกข์ รู้ทันเห็นทัน เป็นรางวัลของญาณ ละทันดับทันเป็นรางวัลของปัญญา รู้อยู่เห็นอยู่เป็นครูของกาย ละอยู่ดับอยู่เป็นครูของใจ
    รู้ทัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลงของสภาคารมณ์ทั้งปวง
    เห็นทัน เกิดแก่ เจ็บ ตาย ของสภาพร่างกายทั่วไป
    ละทัน กาม กิน เกียรติ กิเลสของวาระจิตทั่วไป
    ดับทัน โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิของวาระจิตทั่วไป
    รู้อยู่ รับ จํา คิด รู้ ชัง เฉยของวาระจิตทั่วไป
    เห็นอยู่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภะของสังขารธรรม
    รู้แล้ว ลาภ สักการะ ทิฏฐิมานะ ของโลกธรรมทั่วไป
    เห็นแล้ว ลาภ ยศ สุข ยกย่อง ของโลกธรรมทั่วไป
    รู้จริง กําหนดรู้ ละ ดับ ออกของโลกุตตรธรรม
    เห็นจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคของโลกุตตรธรรม
    สุดท้ายสุดโต่ง ก็คือรู้แล้ว ปล่อยวาง ว่าง ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายจงเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตลอดไป และขออวยพรเนื่องในโอกาสใกล้วันปีใหม่ขอให้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตของทุกๆท่านด้วยสิริมหามงคล มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกๆท่านด้วยเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เมื่อหยุดคิดจิตสงบ

    เมื่อจิตสงบมันก็หยุดคิด

    นั่นแหล่ะคือ

    ธรรมที่แท้จริง. โดยพระราชวุฒาจารย์...
     
  15. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  16. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ไม่ทราบว่าคุณ "สุญญตวิหาร" จะบอกอะไรคะ?
    :VO
     
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ผิดแล้ว แม่หญิง มะลิ ยูไนเต็ด

    การจะยกธรรมแท้หลวงปู่ดูลย์ ที่ครูบาอาจารย์กล่าวไว้
    ควรจะยกมาเฉพาะโศลกธรรมที่ว่า

    "คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละจึงรู้"

    แล้วจึงลงท้าย ลายเซ็นต์ โดยพระราชวุฒาจารย์. จึงจะเป็นการถูกต้อง

    ส่วน ที่โพสไว้...ซึ่งเป็นขยายความในธรรมหลวงปู่ดูลย์
    ตามความเข้าใจของบุคคล ซึ่งไม่ควรที่จะลงท้ายลายเซ็นต์กำกับ

    การนำธรรมครูบาอาจารย์มาเผยแผ่ ลงท้ายกำกับลายเซ็นต์
    มันต่างกันนะ ไม่เหมือนกับการแอบอ้างคำสั่งเจ้านาย

    แท้จริงแล้ว อรรถและพยัญชนะ ในธรรมหลวงปู่ดูลย์ ไม่ได้เป็นเช่นนี้
    แม้มีความหมายคลึงกันก็ตาม นั่นเป็นการเข้าใจตามเฉพาะบุคคล ดังกล่าว

    นี่ถ้าหากเป็นคุณGolden Sky บินลัดฟ้า
    ความเป็นมิตรต่อกัน ควรหรือที่จะนิ่งดูดาย ที่จะไม่ตักเตือนกัน ในแม่หญิง มะลิ ยูไนเต็ด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2012
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154

    เราจะบอกว่า พระสมเด็จไกเซอร์ มีคุณค่าทางจิตใจ

    ต่างจากช็อคโกแลต ณ เมืองโคโลญน์ ที่มีคุณค่าแต่เพียงเรือนกาย น่ะสิ ^^
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คุณสุญญตวิหารครับ
    ผมจะบอกอะไรให้นะครับ
    นี่คุณกำลังจะไปคิดแทนคนอื่นซะหมด

    ที่นี่ ไม่มีใครไปสนใจคำ "บัญญัติ" เหล่านั้นแล้ว
    เพราะ คำบัญญัตินั้น ก็คือ คำสมมุติคำๆ นึงเท่านั้นเอง
    แต่ถ้าผู้ใดให้ความสนใจ หรือ หลงไปตำหนิหรือด่าว่าผู้อื่นนั้น
    นั่นก็แสดงว่า ผู้นั้นยังมีความเลวอยู่มาก
    หรือ ผู้ใดยังมีความโกรธหรือไม่พอใจกับผู้อื่น
    นั่นก็แสดงว่า ผู้นั้นยังมีอัตตาหรือมานะอยู่
    แต่ถ้าไม่มีอัตตาหรือมานะ แล้วเราจะเอาอะไรมาโกรธ หรือไม่ได้รู้สึกอะไร

    ที่นี่ เขาข้ามคำบัญญัติหรือสิ่งสมมุติไปไหนถึงไหนกันหมดแล้ว

    ที่นี่ ก็ไม่มีคำว่า พวกท่าน พวกเขา แม้นกระทั่ง คำว่า พวกเรา ก็ไม่มี
    เพราะที่สุดของที่สุด ก็คือ อนัตตา
    ที่นี่ไม่มีพรรค ไม่มีพวก เพราะเขาข้ามคำบัญญัติและคำสมมุติไปกันหมดแล้ว

    และผมไม่เคยคิดว่า คุณเป็นคนอื่นหรือคนนอกเลย เห็นมีแต่คนหลงมาเกิดกัน เห็นมีกายหยาบกันอยู่นี่ไง
    รวมทั้งตัวผมด้วย
    ไม่มีใครดีไปกว่ากัน ไม่มีใครเลวไปกว่ากัน เห็นมีจิตผู้นั้นๆ คิดไปเอง พูดไปเอง
    เช่น จิตดีก็คิดบวก จิตเลวก็คิดลบ เป็นต้น

    แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้นั้น ว่าจะดูแต่จิตตนเองหรือจะไปดูแต่จิตผู้อื่นเขา

    ที่นี่ จึงเน้นแก่นเป็นหลัก ก็คือ จิต
    เพราะถ้าภายในดี(จิต) ภายนอกย่อมออกมาดีด้วย
    ผมเชื่อเหลือเกินว่า จิตภายในของทุกท่านนั้น คือ จิตประภัสสร
    นอกเสียจาก ผู้ใดสามารถเจริญสติภาวนาเป็นเนื่องนิจ
    หรือผู้ใดสามารถจะชำระล้างกิเลสออกมาจากจิตตนให้ได้มากที่สุด

    ที่นี่ สอนผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน ให้มีระเบียบ มีวินัยในตนเอง
    นั่นก็คือ หมั่นดูจิตของตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ไม่ต้องดูจิตหรือจริยาของผู้อื่น ในขณะปฎิบัติ
    แต่ถ้าผู้ใดผ่านการปฎิบัติจากที่นี่ไปแล้ว ก็หมดหน้าที่ของพวกเรา และที่เหลือก็เป็นเรื่องของผู้นั้น

    ที่นี่ สอนให้ละหยาบก่อน เมื่อละหยาบได้แล้ว ค่อยมาละละเอียดต่อไป
    ก่อนที่จิตจะเข้าสู่ความว่างได้จริงๆนั้น ก็คือ จิต
    แต่จิตจะเข้าสู่ความว่างได้จริงๆ ก็ต้องอยู่ที่สติปัจจุบันของผู้นั้นด้วย
    เพราะฉะนั้น สติกับจิต สองตัวนี้ต้องกอดคอกันเข้าเส้นชัย นั่นก็คือ ความว่างจริงๆ

    และธรรมที่ผมได้แสดงไปแล้วนั้น
    ก็มิได้หมายถึง มิได้ให้ผู้ใดนำธรรมะ หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    หรือธรรมะของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ นำมาเพื่อเป็นธรรมทาน แต่อย่างใด
    ผมหมายถึง ผู้ปฎิบัติควรใช้ปัญญาของตนให้เป็น
    เพราะที่นี่ สอนเดินมรรค สอนให้มีสติปัญญาเป็นของตนเองกันหมดแล้ว
    เพียงแต่บางท่านไม่ถนัดใช้ ภาษาสมมุติเท่านั้นเอง

    ปล.แต่ก็ต้องขอขอบพระคุณ คุณสุญญตวิหาร ที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่
    ขอขอบพระคุณที่ให้ธรรมะเป็นธรรมาทาน
    และจะขอบพระคุณมาก ถ้าคุณตอบ 2 คำถามนี้
    ๑.ปรารถนาพระนิพพานหรือพุทธภูมิ?
    ๒.ปรารถนาจะมาเรียนจิตเกาะพระ หรือ จะมาสอนสั่งหรือมาคอยจับผิด
    หรือให้ธรรมะเป็นธรรมาทาน หรือ สนทนาธรรมตามปกติ
    คุณจะตอบแบบไหนก็ตามใจของคุณ

    มุกเยอะนะเรานี่! ว่างๆ ขอเชิญตัวเป็นๆหน่อยนะ

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    ภูทยานฌาน2
     
  20. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    อ่ะ!! แหม ข้าน้อยกะโหลกหนาอ่ะ ขอความกรุณาอธิบายหน่อยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
    :d
     

แชร์หน้านี้

Loading...