จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    คติธรรม ของ หลวงปู่ ทองใบ ปภัสฺสโร.วัดนาหลวง จ.อุดรธานี.
    ได้ดี เพราะคนชัง ได้ดังเพราะคนเหม็น ได้เด่นเพราะคนเกลียด ได้ละเอียดเพราะคนด่า
    ได้มีปัญญาเพราะคนนินทา ได้หมดตัณหาเพราะคนเบื่อ ได้ช่วยเหลือเพราะคนศรัทธา
    ได้มีวิชาเพราะคนขยัน ได้สุขสันต์เพราะคนอภัย ได้สบายใจเพราะคนอโหสิ ในอีกแง่หนึ่ง ก็คือ มีดีคนชัง มีดังคนเหม็น มีเด่นคนเกลียด มีละเอียดคนด่า มีปัญญาคนนินทา มีตัณหาคนเบื่อ มีช่วยเหลือคนศรัทธา มีวิชาคนขยัน มีสุขสันต์คนอภัย มีสบายใจคนอโหสิ ก็แสดงให้เห็นว่า คนในโลกนี้ก็ไม่มีใครหนี้พ้น โลกธรรม๘ ก็มีทางเดียวก็คือ ใช้อุเบกขา และอยู่กับโลกให้ได้ ดังนั้นจึงขอให้ทุกๆท่านจงเป็นผู้มีความสุข สมหวัง ทั้งในทางโลก และทางธรรม ยิ่งๆขื้น ด้วยเทอญ.
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอร่วมอนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๒๕ ค่ะ และอนุโมทนากับครูฝึกสอน

    และผู้ทีเกี่ยวข้องทุกท่านค่ะสาธุ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมาทานของน้องฟ้าด้วยครับ
    ธรรมะนอกเข้าใน(เข้าจิต) และ ธรรมะในออกนอก(ออกจิต)
    นี่แหล่ะ ธรรมะของผู้ปฎิบัติ มีแค่ 2 หลักธรรม เท่านั้นเอง
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ประกาศ!
    จิตบุญดีเด่น 2555

    นั่นก็คือ คุณครูวิทย์
    เป็นยังไงบ้างหล่ะคุณวิทย์ เมื่อมาถึงวันนี้ ไม่ถึงปีเลย
    คุณไม่เคยทำให้พี่ภู+พี่เพ็ญผิดหวังเลย
    คุณคือ
    จิตบุญตัวอย่าง ตัวจริง เสียงจริง


    จิตคุณพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ช่วยบอกพี่ภูหน่อย
    ถึงแล้ว+มาถูกทางแล้ว ใช่ไหม๊?

    ปล.เดี๋ยวบบ.ค่อยๆประกาศ คุณงามความดีสำหรับจิตบุญท่านอื่นๆต่อไป

     
  5. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,106
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๒๕
    และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  6. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    จิตพุทธะ จิตประภัสสร

    คัดลอกจากคำสอนของ หลวงปู่ดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต บ. ลูกกลอน ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ. เชียงราย

    นิโรธสัญญา คือการเพียรพยายามทำจิตให้ว่างจากสิ่งที่เป็นของสมมุติทั้งปวงในโลก รวมถึงชีวิตคนและสัตว์ ทรัพย์สิ่งของเป็นของสมมุติเป็นของชั่วคราวทั้งสิ้นเป็นของปลอม พระนิพพานธาตุ พุทธิธาตุ ภูตะธาตุ อสังขธาตุ ทั้งหมดนี้เป็นของจริง เป็นธาตุอะตอมไม่ตายไม่สูญสลายเหมือนธาตุของโลก ถึงตาจะมองไม่เห็นแต่มีอยู่จริง เป็นธาตุบริสุทธิ์มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ไม่มีใครสร้าง เปรียบธาตุนิพพานอมตะนี้ก็เหมือนเมืองหรือฝั่งข้างโน้นที่เราจะข้ามไป จิตเป็นนามธรรม อาศัยอยู่ในกายในขันธ์ 5 ที่เป็นของสมมุติชั่วคราว จิตเป็นธาตุบริสุทธิ์ โดยธรรมจากในจิตนั้น มีธรรมกายหรือพุทธิกาย หรือนามกายทิพย์นิพพานกายอยู่ มีตา หู จมูก ลิ้น กายทิพย์ จิตทิพย์ ไม่ต้องทำขึ้น มีอยู่แล้วไม่ตายเป็นอมตะ ในกายทิพย์นิพพานไม่มีประสาท ไมีมีอวัยะภายใน โปร่งใสเบา เย็นสบายเป็นจิตรู้ฉลาดสะอาดบริสุทธิ์ อิสระจากกฏทั้งปวงอยู่เหนือกฏของกรรมหรือกฏของธรรมชาติ หรือเรียกอีกอย่างว่า จิตของพระอรหันต์ จิตของพระขีณาสพ ผู้หมดกิเลสวิชชาตัณหา อุปาทานบาปทั้งปวง
    ทำจิตให้ว่างไม่มีอารมณ์ใด ๆ ทั้งปวงคือเฉย ๆ
    จิตจะสะอาดปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
    จิตจะเข้าสู่ภาวะที่เป็น จิตพุทธะดั้งเดิม จิตประภัสสร



    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  7. kwansuwee

    kwansuwee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +99
    ขออนุโมทนาบุญจิตบุญดวงที่ 124 น้องผึ้ง และจิตบุญดวงที่ 125 (อาเตี๋ย) และครูผู้ฝึกสอนทุกท่านค่ะ ขอบคุณเฮียเซ้ง(พี่ชายที่แสนดีของน้องสาวคนนี้) ที่แนะนำกระทู้นี้ และให้แหม่มได้บอกกล่าวกับคนที่เกี่ยวข้องให้เค้าพ้นจากทุกข์ จนได้จิตบุญตามกันมาถึง 5 คน บุญกุศลที่เฮียเซ้งแนะนำนี้ ขอผลบุญนี้ส่งกลับไปหาเฮียเซ้งให้พ้นจากความทุกข์ เหมือนกับพวกแหม่ม ได้พบธรรม ได้พาดวงจิตกลับสู่บ้านเดิม ได้พบท่านพ่อ

    แหม่มขอฝากคุณพ่อ พี่ชายอีก 2 คน น้องชายอีก 1 คน ที่จะนำพาให้เข้ามาพบจิตเดิมที่นี่นะคะ ตอนนี้คุณพ่อเริ่มฝึกโดยการแนะนำของ จิตบุญ120(คุณอา)

    และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ขอบพระคุณคุณครูทุกท่านที่ได้พร่ำสอน และมอบธรรมให้กับศิษย์ทุกคน อย่างที่ครูเคยกล่าว คุณครูไม่เคยทิ้งลูกศิษย์ มีแต่ลูกศิษย์ทิ้งครู แต่เมื่อลูกศิษย์กลับมาหาครูอีก คุณครูก็รับลูกศิษย์ทุกครั้ง

    ขอบพระคุณค่ะ
    จิตบุญ 123 แหม่มค่ะ
     
  8. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อาหารพิษ


    โมทนาสาธุกับครูวิทย์ด้วยครับในธรรมทานจากจิต(อันบริสุทธิ์).. สาธุ สาธุ

    หากว่าเราให้อาหารพิษแก่จิตของตนเพียงผู้เดียว ก็คงไม่มีใครจะไปว่าอะไร..
    หากแต่ว่าเราเอาอาหารพิษไปป้อนให้ผู้อื่นๆด้วย ย่อมเป็นการผิดศีลละเอียด ก้าวล่วงวาระกรรมผู้อื่นๆ
    เช่นนี้.. จึงควรระมัดระวังให้มาก อย่าประมาท อย่าประมาท..
    "อวิชชาสังโยชน์"นี่แหล่ะร้ายกาจที่สุดเลย!
    ครั้นอวิชชาเข้าครอบงำแล้ว จึงทำให้"หลง"
    พอหลงไปแล้ว จึงทำให้ไม่รู้ตัว(หลงคิดว่าสิ่งที่ตนเองกระทำไปแล้วนั้นถูกต้อง ชอบธรรม)
    มีเพียงท่านผู้อื่นเท่านั้นที่มองเห็นและจะตักเตือน(ถ้าท่านเมตตาจะทำนะ) หรือ
    ตนเองจะต้องมีมหาสติ+ปัญญา.. อันยิ่งยวด!
    จึงจะนำพาจิตตนเองให้หลุดพ้นออกมาจาก"ความหลง"นั้นได้..
    และเดินให้ตรงทาง นั้นก็คือ "อริยมรรค"เท่านั้น..
    (อยู่กับสติ อยู่กับจิตแห่งตนเอง..)

    ดังนั้น..ทุกๆท่านจึงพึงจะตระหนักและน้อมนำมาปฎิบัติ ในคำกล่าวที่ว่า (แม้นตัวเราผู้เขียนเองด้วย)
    "จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อม" ปัจฉิมโอวาทแห่งพระศาสดา


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  9. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ขออนุญาตนำคำถามตอบเรื่องฌานของพี่ภูและครูลูกพลัง มีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกใหม่
    และผู้ที่จดๆจ้องๆ จะเข้ามาเรียนจิตเกาะพระ..

    .................................................................................

    ขออนุญาตอ้างอิงถึงกระทู้ของคุณลูกพลัง ที่พูดถึงเรื่องฌานนะครับ...

    ข้าพเจ้ามีคำถามจะเรียนถาม(หรือท่านผู้รู้ท่านอื่นก็ได้นะครับ)

    - ถ้าจิตทรงฌานลึกไปถึงฌาน4ในขณะทำงาน แล้วตัวเราหรือสภาพของเราจะเป็นยังไง?
    เบลอหรือหยุดนิ่งหรือเป็นยังไง เพราะว่าถ้าเรานั่งสมาธิปกติพอถึงฌาน4 ตัวหายเหลือแต่จิต
    แต่ถ้าเราเคลื่อนไหวทำงานอยู่มันจะเป็นยังไง?

    - แต่ถ้าเราเอาสติไปประคองจิต แท้จริงคือเราถอนฌานออกมาอยู่ที่ฌานขั้นต้นใช่ไหมครับ?

    - มีเทคนิคในการถอนฌานออกจากฌานลึกๆมาที่ฌานขั้นต้นอย่างไร

    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ


    __________________


    พี่ ดชน ได้ตอบไปแล้วนะครับ แต่ผมขอแชร์ความรู้จากตำราล่ะกันครับ

    ขออนุญาตนำบทความที่พี่ภูได้อธิบายเรื่องฌาน มาลงอีกครั้ง

    ตามตำราท่านว่าฌานมีสองประเภท คือ อารัมมณูปนิชฌาน ๑ และลักขณูปนิชฌาน ๑

    อารัมมณูปนิชฌาน เป็นฌานที่เกิดจากการเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เช่นคำภาวนา หรือภาพกสินเป็นต้น จนกระทั่งเป็นเอกัคคตารมณ์ (ฌาน๔) จิตจะนิ่งสงบระงับจากกิเลสทั้งหลาย ไม่สนใจไม่รับรู้ไม่ได้ยินไม่รู้สึกอะไรใดๆ นั่งนิ่งเฉยดื่มด่ำอยู่อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้หลายท่านคงรู้ว่าเป็นยังไงนะครับ มันก็ดีอยู่เหมือนกันตรงที่ว่ามันทำให้จิตได้พักผ่อนและสะสมพลังงาน แต่ว่ามันไม่ทำให้เกิดความรู้ใดๆ เลย บางท่านอาจจะเรียกว่า "ฌานฤาษี"

    ลักขณูปนิชฌาณ เป็นฌานที่เกิดจากการเพ่งลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่มันเกิด-ดับ และยอบรับไม่ความไม่เที่ยงของสิ่งนั้นๆ ตามความเป็นจริง เป็นฌาณที่ก่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ แท้จริงแล้วก็คือสติตามรู้ ตามดู แล้ววางความคิดต่างๆ เกิดก็รู้ดับก็รู้ รู้อยู่ตลอด เกิดอีกก็รู้อีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น เวลาที่ไม่มีความคิดเกิดขึ้นสติกับจิตก็จะกลับมาอยู่กับเครื่องรู้ ไม่ไปรู้ดูสิ่งอื่นอันนี้ก็เรียกว่าการเพ่งเหมือนกัน เป็นสมาธิเป็นฌานได้

    แต่ข้อสังเกตที่สำคัญคืออารมณ์ของจิตนั้นต้องเบาสบายแจ่มใส ไม่หงุดหงิดรำคาญกับความคิดที่เกิดดับ รู้ว่ามันเกิดแล้วดับแต่ไม่สนใจอันนี้ล่ะฌาน แต่ถ้ารู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับความคิดเหล่านั้น นี่แสดงว่าจิตปรุงแต่ง ไม่ใช่ฌาน บางคนนั่งสมาธิแล้วจิตไม่นิ่งคอยจะคิดฟุ้งๆๆ ไปเรื่อยก็เข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน ฌานเสื่อม จริงๆแล้วไม่ใช่ ถ้าสติตามรู้ดูความคิดนั้นๆได้ทัน เกิด-ดับ รู้อยู่ตลอด จิตไม่ปรุงแต่งใดๆ ความคิดนั้นถือเป็นปัญญา ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน หลวงพ่อพุธท่านเรียกว่า "ปัญญาในสมาธิ"

    ลักขณูปนิชฌานนี้เป็นฌานที่มีสติเป็นพระเอก หลักก็คือความคิดหรืออารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นสติก็ตามรู้ ดู แล้ววาง แล้วก็กลับมานิ่งสงบแนบแน่นกับอารมณ์เดียวต่อไป ความคิดเกิดอีกก็รู้อีก ทวนกระบวนการเดิมอยู่อย่างนี้ ฌานตัวนี้จึงทรงไว้ได้ในทุกอิริยาบทไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เท่านั้น

    ตัวนี้แหล่ะเป็นฌานที่ชาวจิตเกาะพระใช้มากเลยนะครับ ที่บอกว่าให้ทรงฌานไว้ให้ได้ตลอดทั้งวันมันก็คือ ลักขณูปนิชฌาน นั่นเอง ความคิดเกิดก็รู้ ดับไปก็รู้ ยอมรับในความไม่เที่ยงของความคิดนั้นแล้วก็จบไป ถ้าว่างๆ ไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไร จิตจะวิ่งเข้าไปหาพระเกาะติดอยู่กับพระ นั่นคือสติกับจิตกลับเข้าไปนิ่งสงบอยู่ภายใน ก็อยู่ของเขาอย่างนั้นแหล่ะนะ พอความคิดเกิดขึ้น ก็งานเข้า สติออกมาทำงานอีกแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้ จิตใจสบายครับไม่ทุกข์ไม่อึดอัดเพราะไม่ได้ไปปรุงแต่งกับความคิดเหล่านั้น

    ฉะนั้นก็ไม่ต้องไปกังวลแต่ประการใดว่า เวลาทำงานเอาจิตทรงฌานแล้วสภาพเราจะเป็นอย่างไร ถ้าเอาสติตามรู้อารมณ์อย่างนั้นฌานมันก็ถอนน่ะซิ ก็เพราะว่าเราไม่ได้ทรงอารัมมณูปนิชฌาน แต่เรากำลังทรงลักขณูปนิชฌานอยู่นั่นเอง..

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2012
  10. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ขออนุญาตนำบทความของครูลูกพลัง มาลง เพื่อประโยชน์สำหรับผู้มาใหม่และผู้ที่สนใจ..

    .....................................................................

    การเจริญอริยมรรควิธี (แก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา)

    ขั้นที่ 1: ประถม - ศีล

    วัตถุประสงค์: การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แบ่งเป็นศีลหยาบ กลาง ละเอียด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)
    อานิสงค์: เมื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้แล้วก็ยังผลให้เกิดบารมีหรือกำลังใจที่สูงขึ้นเป็นบาตรฐานแห่งสมาธิในขั้นต่อไป

    อรรถาบรรยาย: การทรงศีลให้บริสุทธิ์เป็นการชำระกิเลสเบื้องต้น(ปิดประตูอบายภูมิ) ทำให้จิตมีความสงบและนิ่งมากยิ่งขึ้น เหมาะสมควรแก่งานด้านการเจริญสมาธิภาวนาให้ได้ผลมากยิ่งๆขึ้นไป

    วิธีการปฎิบัติ: หมั่นมีสติระลึกรู้ที่จะไม่ทำผิดศีล รักษาศีลยิ่งชีวิต จนกระทั่งจิตจะทำการรักษาศีลให้เราเองโดยอัตโนมัติ (นี่..ต้องทำให้ได้ถึงขั้นนี้ จนศีลเป็นฝ่ายรักษาเรา)

    เพิ่มเติม: กรรมเก่า คือการกระทำในครั้งอดีตของตนเองทั้งในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติโดยเฉพาะในทางอกุศล ก็จะมีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยขัดขวางการเจริญปฎิบัติธรรมของเราทำให้ไม่ก้าวหน้า (คือเหนี่ยวรั้ง ขัดขวางหรือมีเหตุให้ไม่สามารถปฎิบัติได้ต่อเนื่อง) แล้วจะทำอย่างไร? เพราะว่าไม่มีใครย้อนอดีตไปแก้ไขกรรมนั้นได้

    วิธีแก้ไขคือ ให้อุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและขออโหสิกรรม ทุกๆครั้งที่เราได้กุศลผลบุญมา เช่น ทำบุญทำทานมา(กุศลยังน้อยนัก..บุญภายนอก) รักษาศีลบริสุทธิ์ เจริญสมาธิ (กุศลมากโข) แล้วหมั่นอุทิศบุญ(อย่าลืม ขอบารมีพระรัตนตรัยช่วยแปรเปลี่ยนบุญกุศลนี้ให้เป็นบุญกุศลที่เขาสามารถรับได้ และเมื่อได้รับแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุกา อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ..) ทำอยู่เนืองๆทำบ่อยๆภายหลังจากได้บุญกุศลมาทุกครั้ง นานวันไปเจ้ากรรมก็จะอโหสิกรรมและละวางกรรมเก่าของเราเอง (แต่ว่าไม่ใช่เขาจะละวางทั้งหมดนา อย่าเข้าใจผิดคือมันจะมีกรรมบางประเภทที่ จะอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีได้..อีอันนี้ก็วิบากใครวิบากมัน..รับกันไป)

    อีกกรรมหนึ่งที่สำคัญมากๆคือ อกุศลกรรมกับบุพการี ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอช้าให้รีบไปขอขมาแล้วให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่ตัวเรา เพื่อเป็นการตัดเวรตัดกรรม ไม่เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการเจริญธรรม

    อย่าลืม.. แล้วก็ตัวโตๆเอาไว้ด้วยว่า "จะไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ใดๆขึ้นมาอีก" มิฉะนั้นตามโหสิกรรมจนตายก็ไม่หมดซักที..

    สรุปว่า เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์และจัดการเรื่องอโหสิกรรมแล้ว บารมีหรือกำลังใจก็จะทะยานพุ่งขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อันเป็นบาตรฐานแห่งการเจริญสมาธิสืบต่อไป (เริ่มเข้าสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว มองเห็นโลกุตระอยู่ไม่ไกลแล้ว)

    ขั้นที่ 2: มัธยม - สมาธิ

    วัตถุประสงค์: การทำจิตเกาะพระเพื่อเจริญสมถกรรมฐาน(แถมวิปัสสนากรรมฐานบางส่วน) เพื่อเสริมสร้างกำลังแห่งสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ฌานทั้ง 5 ได้แก่ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัตคตา ให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนหรือตลอดเวลานั่นเอง

    อานิสงค์: การทำสมาธิจิตเกาะพระยังผลให้เกิดกำลังฌานสมบัติ(แถมสติตามรู้)คือทรงฌานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นบาตรฐานในการเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานในขั้นปัญญาต่อไป

    อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนาโดยขาดกำลังฌานสมาบัติเป็นบาทฐาน พระท่านเรียกว่า "วิปัสสนึก" คือไม่อาจทำให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริงในการตัดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสได้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ปัญญาทางธรรมหรือเรียกว่า ปัญญาวิมุติจะต้องมีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานเท่านั้นจึงจะเกิดได้ (มิฉะนั้นมันก็เป็นปัญญาทางโลกเท่านั้นเอง) ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าการเจริญสมถกรรมฐานนี้เป็นบาตรฐานที่สำคัญยิ่งทางพุทธศาสนา และก็เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดกันอยู่ตรงนี้มากๆเลย คือว่า บางท่านก็ปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่ไปถึงไหน ติดเวทนาปวดขาปวดหลังฟุ้งซ่านไปเรื่อย หรือเข้าได้แค่ฌาน1(ก็บุญแล้ว..) หรือเข้าได้แค่ฌาน2-3 ติดสุขอีก หรือเข้าฌาน4ได้ ติดฤทธิ์ติดอภิญญาอีก เพิ่มทิฏฐิมานะ ทรงคุณวิเศษเหนือบุคคลธรรมดา หลงตัวหลงตนหนักข้อเข้าไปใหญ่ โน้นออกทะเลไปเลย (เห็นแก่อามิส วันหนึ่งกิเลสเข้าครอบงำอภิญญาเสื่อมถอย ก็ต้องโป้ปดมดเท็จไปเรื่อย ผิดศีลข้อ4มุสาอีก ดันสร้างอกุศลกรรมขึ้นมาใหม่อีก ยิ่งแย่เข้าไปอีก) หรือปฎิบัติได้ทุกวันวันละ1-2ชม. ขาดความต่อเนื่องในการปฎิบัติ ติดๆดับๆ เป็นเวรเป็นกรรมเสียช่างกระไรนี่ จนท้อแท้กำลังใจหดลงก็พาลโทษว่าบุญเก่าเรามีน้อย..

    การทำจิตเกาะพระถือเป็นสมถกรรมฐานที่เป็น พุทธานุสติ+กสิน สามารถเจริญกรรมฐานกองนี้ไปได้ถึงฌาน 4 เพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการปฎิบัติให้ได้ผลเป็นอย่างดี(สำหรับผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริง) และสามารถเข้าออกฌานได้อย่างคล่องแคล่ว คือทรงฌานได้ตลอดเวลานาที จนกระทั่งจิตทำหน้าที่ทรงฌานเองเป็นอัตโนมัติ
    (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่ได้เขียนข้อเปรียบเทียบที่เด่นๆเอาไว้แล้ว)
    วิธีการปฎิบัติ: เนื่องจากมีรายละเอียดยาวมากๆจึงละไว้ว่าให้ไปหาอ่านในกระทู้ว่ามีวิธีการปฎิบัติอย่างไร

    บางครั้งการปฎิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ให้หมั่นกลับไปสำรวจตรวจสอบขั้นอนุบาลและขั้นประถม(ทาน ศีล กรรมเก่า) อยู่เป็นนิจว่าได้ชำระสะสางไปมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้นะเป็นเส้นผมบังภูเขาเลย จะบอกให้..
    การระลึกนึกถึงพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืนนั้นได้อานิสงค์ 2 ประการคือ

    1) สามารถทรงฌานได้ตลอด

    2) มีสติที่ไวไม่เผลอ

    ในความเป็นจริงแล้วเจ้าสองสิ่งนี้คือ ฌานกับสติ (คล้ายๆไก่กับไข่หรืองูกินหาง) ถ้ามาก็จะมาคู่กัน ถ้าหายก็หายไปพร้อมกัน คือมันเป็นสิ่งที่หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน แล้วจะต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง จิตของเราจนจำได้ นี่ข้อนี้คือข้อสำคัญ "ความต่อเนื่องแห่งการปฎิบัติ" บางท่านปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีแต่ไปไม่ถึงไหนก็เพราะว่าขาดความต่อเนื่องคือทำเฉพาะก่อนนอน 1 - 2 ชม. จิตยังไม่ทันได้จำ เอ้าพอรุ่งขึ้นก็ไปวิ่งตามกระแสแห่งกิเลสต่อ จิตมันก็เพลินกับกิเลส จิตมันก็ลืมต่อ พอตกค่ำก็มาบอกกับมันใหม่ ทำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆปี มันก็ไม่ไปถึงไหนนะซีครับ.. เพราะว่าเวลางานก็ไม่ทรงฌาน(สติก็หาย)

    จึงสรุปว่ามีแต่พระชีเณรเท่านั้นที่จะทำได้เพราะว่าท่านๆเหล่านั้นมีเวลา แต่อันตัวเราไม่มีเวลาแถมต่อว่าบุญเก่ามันน้อยไปอีก.. ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือข้อเท็จจริงและเป็น"อวิชชา" คือความไม่รู้(บางท่านเรียกว่าความโง่) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติหลายๆท่านยังติดอยู่ในวังวนอันนี้ ไม่ไปไหน..

    การทำจิตเกาะพระสามารถแก้ปัญหาการทรงฌานและทรงสติระหว่างวันหรือตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องได้ อย่างน่าอัศจรรย์
    ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการให้ท่านผู้อ่านเชื่อ แต่ต้องการให้ท่านผู้อ่านลองไปปฎิบัติแล้วค่อยมาตัดสินกันว่าจะเชื่อหรือไม่..
    เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้แล้วถึงขั้น "เมาฌาน" คือจิตมันจะดิ่งอย่างเดียว ครูฝึกก็จะเริ่มสอนการวิปัสสนาขั้นต่อไป

    ผู้สำเร็จขั้นอุปจาระสมาธิหรืออัปปนาสมาธิขั้นต้นคือฌาน1-2ก็สามารถตัดสังโยชน์ขั้นต้นบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้คือขั้นโสดาบัน สกิทาคามี
    กำลังฌาน 4 มีความสำคัญมากในการวิปัสสนาตัดสังโยชน์ในขั้นอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป มิให้กิเลสกลับมากำเริบอีก ตัดขาดจริงๆ

    ดังนั้นสมถะเป็นบาทฐานของวิปัสสนา เป็นเนื้อเดียวกันมิอาจจะแยกออกจากกันได้ การเขียนตำราทางโลกเราสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ออกจากกันได้ แต่ว่าเวลาปฎิบัติทั้งสองนี้หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่สามารถแยกจากกันได้จริงๆ..

    ขั้นที่ 3: มหาลัย - ปัญญา

    วัตถุประสงค์: ภายหลังจากที่ผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้เป็นวสี(ชำนาญ)แล้ว ก็จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปเพื่อที่จะบังเกิด"ปัญญาวิมุติ" คือรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรมต่างๆแห่งธรรมชาติ มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอันจบกิจ
    อานิสงค์: ผลแห่งการปฎิบัติจะนำมาซึ่งการละ เลิก วาง หลุดพ้นจากอาสาวะกิเลสต่างๆ ตามลำดับๆ จนจิตยกเข้าสู่โลกุตระ สำเร็จเป็น อริยบุคคลในขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับชั้นในการละสังโยชน์10ได้

    อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ก็ได้อาศัยตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าคือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน 4 หนทางสายเอกแห่งปัญญาวิมุติ

    วิธีการปฎิบัติ: การมีสติอยู่ตลอด(จะทำได้เมื่อทรงฌานได้ตลอด) และนำสติตามรู้ปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วก็ปลงลงพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมั่นปฎิบัติอยู่เนืองๆทั้ง กาย(ขันธ์5) เวทนา จิต ธรรม จนบังเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ (จิตจะทำงานเองเป็นอัตโนมัติ) จนอินทรีย์แก่กล้าบารมีเต็มเปี่ยม สำเร็จมรรคผล เป็นลำดับขั้นขึ้นไปจนถึงอรหันต์ปฎิผล.. ก็เป็นอันเสร็จกิจแห่งการปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา

    เมื่อยังมีอายุขัยอยู่ก็หมั่นบำรุงและสืบสานพุทธศาสนา ประกอบกิจทางโลกบ้าง ช่วยยกจิตผู้คนเป็นธรรมทานเสริมสร้างบารมีต่อไปบ้าง จวบจนละสังขารขันธ์..

    ประโยชน์ของครูฝึก:-

    - เราจะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรมจนถึงขั้นสมถะและวิปัสสนาแล้วจะเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งๆขึ้น ถ้าเราคิดเองคือใชัสัญญา(ความจำ) ทางโลกเข้านำการปฎิบัติเอง บางครั้งมันจะเป็นเรื่องเสียเวลาหรือว่าอาจจะหลงทางไปเลย เพราะครูฝึกท่านผ่านมาหมดแล้ว ท่านจะช่วยตอบแล้วให้ผู้ปฎิบัติได้วางกำลังใจได้อย่างถูกต้องและปฎิบัติได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

    - ครูฝึกจะทำการสอบอารมณ์ในการปฎิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วแนะนำต่อยอด

    - และอื่นๆอีกมากมาย

    ถามว่า:ไม่จำเป็นต้องมีครูฝึกสามารถปฎิบัติได้หรือไม่? คำตอบ: ได้ถ้ามีผู้รู้ช่วยชี้แนะตามขั้นๆไป

    แต่เหนือสิ่งอื่นใดดังคำพูดที่กล่าวไว้ว่า "จิตสำนึกไม่สามารถจับยัดใส่หัวกันได้ มันจะต้องเกิดจากตัวเราเองขึ้นมา" ฉันใด "อันผู้ใดปฎิบัติ ผู้นั้นพึงได้" หรือ "ผู้ใดกินผู้นั้นก็อิ่ม ไม่สามารถกินแทนกันได้จริงๆ" ก็ฉันนั้น..

    แต่เราก็พอจะเข้าใจผู้ที่ยังถนัดการปฎิบัติเอง ว่าก็มีเหตุปัจจัยในเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจตนเอง (เราก็เคยเป็นมาก่อนจึงพอที่จะเข้าใจ หลายๆท่านที่ขอซุ่มแอบฝึก เกาะขอบกระทู้ฝึก ความจริงแล้วดีกว่าหลายๆท่านมากๆที่ยัง"หลง"ตามกระแสโลกอยู่)

    จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เราเขียนภาพรวมของการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อให้ผู้ปฎิบัติได้เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร ทำแล้วไปที่ไหน เป็นแผนที่นำทางฉบับย่อๆ โดยเฉพาะกับบุคคลจำพวกพุทธจริต(ปัญญาจริต) ได้เข้าใจแล้วก็จะได้ลงมือปฎิบัติ รวมถึงท่านพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปด้วย ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวเนื่องกันด้วย.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้..

    สุดท้ายนี้ก็ขออวยชัยอวยพรให้ทุกๆท่านจงถึง บารมี10ทัศ ศีลบริสุทธิ์ ฌานสมาบัติ ปัญญาวิมุติและมรรคผลนิพพานโดยเร็ววันด้วยเทอญ..
     
  11. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    555..คุณอภิชัย ทำให้เรานึกถึงความหลังครั้งยังเป็นเด็กน้อยอยู่..555
    (อวิชชา ทิฏฐิ มานะและอื่นๆอีกเพียบเลย ยังเต็มหัวอยู่เลย..555)
    รู้ เลี้ยวก็วางลง..555

    ทั้งนี้เรามีวันนี้ได้ก็ด้วย ความเมตตาของท่านพี่ภูที่รับเราเข้ามาเรียนจิตเกาะพระ
    และได้ครูเพ็ญกับครูดัชเป็นครูผู้สั่งสอน พาให้เดินทางตรงมาถึงวันนี้ได้
    และต่อไปเราก็มี "สติของตนเอง"ที่จะเป็นครู พาจิตดวงนี้เดินทางต่อไป จนถึงที่สุดแห่งที่สุด..

    ขอน้อมกราบท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายด้วยครับ.. สาธุ สาธุ
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาสอน เรื่องคุณ เรื่องโทษของอาหาร
    ๑) " เรื่องคุณ เรื่องโทษของอาหาร ก็ต้องพิจารณา สุสานคนตาย หรือป่าช้ามนุษย์ คนยังพากันรังเกียจ แต่สุสานฝันศพสรรพสัตว์ซึ่งอยู่ในกายตน คนกลับยินดีมีความชมชอบ ไม่นึกถึงบุญถึงคุณของสัตว์ที่อุทิศกายสังขารให้เป็นทาน แล้วมิหนำใจจิตของปุถุชนคนหนา ยังปรารถนาให้ชีวิตสัตว์ย่อยยับลงมาเป็นอาหารของตนๆ เสียอีก อนาถหนอโลกทั้งโลกจึงได้ชื่อว่ามีการเบียดเบียนกันอยู่เป็นนิจ เบียดเบียนทั้งกาย วาจา ใจ ไม่หยุดหย่อน "

    ๒) " พวกเจ้าปรารถนาจักไปนิพพาน จงอย่ายินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เห็นทุกอย่างอยู่ในธรรม เห็นเป็นสภาวะเกิด ดับ เสื่อมสลายไปในที่สุด หมั่นสร้างความเบียดเบียนมิให้เกิดแก่ กาย วาจา ใจ ของตนๆ เป็นสำคัญเบื้องต้นก่อน " " ศีล สมาธิ ปัญญา ของตถาคตมีไว้เพื่อป้องกันความเบียดเบียนซึ่งตนเอง ไม่ให้มีเกิดขึ้นได้ ในกาย วาจา ใจ ของตนเองก่อน ธรรมปฏิบัติเมื่อประสบผลสำเร็จของมรรคผล ธรรมอันเกิดขึ้นแก่ตนเองแล้วจึงจักเป็นของแท้ จิตจักรู้ได้ด้วยตนเองว่าตนนั้นหมดสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว ตั้งแต่พระโสดาบันก็มีศีลบริสุทธิ์ตามกำลังของตน สกิทาคามีก็เช่นกันหมดความเบียดเบียนกายของตนเอง และกายของบุคคลผู้อื่นไปได้ส่วนหนึ่งตามกำลังของศีลรักษา เมื่อถึงอนาคามีความเบียดเบียนในระดับจิตจักน้อยลงตามกำลังของสมาธิที่ตนเพียรรักษาไว้ จุดนี้ตถาคตขอเน้นให้เห็นถึงการปล่อยวางสมาธิของพวกเจ้า ความเผลอเรอที่ปล่อยพระกรรมฐานให้หลุดออกไปจากจิต แม้เพียงแต่ชั่วคราวขณะจิตหนึ่ง ซึ่งทำให้นิวรณ์เข้าแทรกได้ คือ ความสงสัยในพระธรรม คือการตำหนิกรรมเข้าแทรกเข้ามาในจิตแทน นี่แหละคือการเบียดเบียนจิตของตนเองอย่างแม้จริง มิหนำซ้ำยังมีการกล่าวออกไปเป็นวาจา ส่งผลให้ไปเบียดเบียนจิตของผู้อื่นให้เกิดนิวรณ์แทรกได้เช่นกัน "

    ๓) " เพราะฉะนั้น การทำสมาธิจิตของพระอนาคามี จักต้องมุ่งหมั่นตัดอารมณ์สงสัยในธรรมและตำหนิธรรม ปรามาสพระรัตนตรัย ให้หมดสิ้นไปจากจิตอย่างสิ้นเชิง และถ้าหากวันใดสมาธิจิตรักษาเต็มกำลังแล้ว วันนั้นพระอนาคามีผล จักเกิดแก่พวกเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็น แล้วจักรู้ได้ทันทีว่า จิตนั้นเลิกเบียดเบียนตนเองแล้ว หมดทั้งอารมณ์พอใจและไม่พอใจในสาระธรรมของโลก ยังเหลืออยู่แต่ความพอใจในทางธรรม คือ รูปฌาณ อรูปฌาณ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์ ๕ ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ตถาคตจักยังไม่กล่าวมาในขณะนี้ เพราะระดับจิตของพวกเจ้าจักเจริญ พูดเท่าไหร่ก็สงสัยไปเท่านั้น มิมีประโยชน์อันใดที่จักกล่าวแล้วชวนให้สงสัยในธรรมเกิด "

    จากหนังสือธรรมะ ธรรมะหลวงพ่อ ธรรมะบางตอนของหลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน)และพระอริยเจ้าบางองค์ รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะสอนอะไรเราบ้าง?
    (ตอบกันเอง..อิอิ)


    อย่านำธรรมะไปสอนผู้อื่น แต่ถ้าหากนำไปเพื่อธรรมาทาน ถือว่าเยี่ยม
    เพราะธรรมะผู้อื่นเหมาะสำหรับธรรมะผู้อื่น ธรรมะตนเองเหมาะสำหรับตนเอง
    เพราะฉะนั้น
    ธรรมะของผู้อื่นจึงนำมาสอนเราไม่ได้ หรือ ธรรมะของเราจึงนำไปสอนผู้อื่นไม่ได้

    ส่วนธรรมะที่จะสอนตนเองได้
    นั่นก็คือ ธรรมะที่ผุดออกมาจากจิตตนเอง เท่านั้น
    บางครั้งเราเรียกว่า จิตในจิต ธรรมในธรรม
    แต่มีข้อแม้นว่า..ผู้ปฎิบัติจะต้องพบ จิตในจิตตนเองก่อน(กระแสจิต)
    ต่อไปถึงจะพบ ธรรมในธรรม
    แต่ต้องทำให้จิตนิ่งก่อน แล้วจิตจะเกิดปัญญา
    แล้วจิตปัญญานี้เอง จะนำพาจิตไปพบธรรมอีกทีนึง
    พบธรรมไม่ยาก
    แต่มันยากตรงที่จะทำให้จิตตนเองนิ่ง นี่แหล่ะ..ย๊ากส์์

    พอแร๊ะเดี๋ยวยาว คนดีจะเบื่อเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ธันวาคม 2012
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนผิดไม่มี คนถูกก็ไม่มี
    เพราะว่ามันคือ สมมุติกันขึ้นมาทั้งนั้น

    เห็นมีแต่คนดีไม่จริง เที่ยวไปบอกคนโน้น คนนี้ว่า เอ็งผิด เอ็งไม่ดี
    ข้าถูก ข้าดี คนเดียวในโลก ใครจะทำไม..เอิ๊กๆ

    เพราะถ้าคนเขาดีจริงๆ เขาจะไม่หลงไปว่า ไปด่า ไปตำหนิ ใครเขาหรอก
    พวกเราเคยเห็นพระอรหันต์ทะเลาะกันบ้างไหม?
    เห็นมีแต่พระหันซ้าย หันขวา นี่แหล่ะ! ที่ทะเลาะกันเอง

    ศีลละอียดเนี๊ย แค่คิดก็ผิดแล้วจริงๆ
    แค่พูดถึงพระแค่เนี๊ย ล่วงเกินพระแล้วนะ พวกเรารู้กันบ้างหรือเปล่า
    อะไรจิตคนที่ละเอียดนั้น มักจะไม่ส่งออกนอก
    ส่วนใหญ่อริยบุุคลบุคคล เขาจะทรงฌานเป็นนิจ จิตจึงตั้งอยู่แต่ฝ่ายบุญ-กุศลเพียงอย่างเดียว
    อันนี้จะพูดเพื่อธรรมาทานเฉยๆ

    เพราะฉะนั้น
    จงมั่นใจว่า พระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม เห็นมีแต่จิตใจคนเสื่อม!
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันสิ้นโลกยังไม่จบ!

    แต่ถ้าสิ้นใจนี่ จบแน่ๆ
    จบแต่กายนะ แต่จิตไม่จบ เพราะจิตต้องเดินทางต่อไป
    คนตายก็แค่ เปลี่ยนภพชาติหนึ่งๆ เท่านั้นเอง
    พวกเราก็อย่าไปวิตก กังวล ตกใจ หรือ ใจตกกันเลย

    เพราะฉะนั้น
    ถึงโลกจะสั่นไหวแค่ไหน
    ขอให้สั่นแต่กาย แต่จิตใจเราอย่าไปสั่นตาม

    แต่ถ้าจิตใจใครยังไม่นิ่ง เพราะแผ่นดินมันจะไหว
    ก็มาฝึกจิตเกาะพระกันสิ!
    หรือว่ารอให้แผ่นดินไหวกันก่อนฝึก
    แค่แผ่นดินยังไม่ทันจะไหวเลย พวกเรายังทำกันยากขนาดนี้
    ไปคิดเอากันเองนะะะะ ที่รัก

     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ที่ใดขาดแคลนที่นั่นอุดมด้วยธรรม

    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

    “... นักปฏิบัติทั้งหลายเมื่อปฏิบัติตนตามลำพังนั้น ย่อมเป็นของขาดแคลนเพราะเป็นเหตุแห่งว่าเราไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่รู้อุบายวิธีที่จะทำให้จิตสงบลงไปสู่เอกคัตตาจิตจนถึงอุเบกขาจิตได้นั้น จำเป็นจะต้องมีครูมีอาจารย์เป็นผู้แนะนำสั่งสอนอบรม ชี้ทางที่ถูก ตักเตือนทางที่ผิด

    อาจารย์ที่ดีนั้นหาได้ยากทีเดียว ไม่ใช่หาได้ง่าย อาจารย์ที่มีความปรารถนาอยากให้ศิษย์นั้นพ้นทุกข์ หรืออาจารย์ที่คอยเคี่ยวเข็ญศิษย์ชี้ทางผิด ตำหนิทางผิด ชมเชยทางที่เดินถูกนั้นหายากอยู่ เพราะอะไร เพราะว่าอาจารย์นั้นจะต้องเป็นผู้ถึงธรรม ถึงอรรถถึงความรู้แห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า รู้สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก แม้แต่ความผิดที่เป็นของละเอียดยิบยิ่งกว่าจุล เรียกว่าฝุ่นละออง อาจารย์ท่านก็สามารถเห็นได้ สามารถติติงศิษย์ท่านนั้น ศิษย์คนนี้ให้รู้จักยับยั้งอาการเหล่านั้นเสีย

    อาจารย์นี้แหละคืออาจารย์ที่ดี อาจารย์ที่ติ ที่ติง ที่ด่า ที่ว่า ที่คอยโขกคอยสับ คอยกระหนาบ คอยบีบ ขู่เข็ญบีบจนแทบจะกระอักเลือดตาย นั่นแหละคืออาจารย์ที่ท่านมีความละเอียดอ่อน ปราณีตทางด้านการเห็น สิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยแก่ศิษย์นั้น หรือความเป็นของหยาบของโลน ของน่ารังเกียจในศิษย์เหล่านั้น จึงคอยบอกคอยชี้คอยตำหนิ คอยติเตียน สิ่งใดที่เป็นของดีก็คอยจะบรรยายพูดอธิบายเพื่อให้ศิษย์นั้นได้รับคุณประโยชน์แห่งความเป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า ... คืออาจารย์ที่หายาก และควรเข้าใกล้ ควรแสวงหา ควรทำความเคารพนอบน้อมอย่างสุดหัวใจ ควรรับฟังคำติ คำติง และควรแก้ไขทันที อย่าอ้าง อย่าเอื้อน อย่าเอ่ย อย่ารอเวลา เมื่อถ้าศิษย์คนใดปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ไม่ต้องไปถามเหตุและผลอะไรทั้งสิ้น เพราะเรายังหยาบอยู่ด้วยกิเลส แม้แต่ศีลเป็นของหยาบ หยาบที่สุดในบรรดาธรรมทั้งหลาย ... เรายังไม่สามารถหยิบได้ ... เราจะไปรู้อะไรจิตท่าน เพราะท่านมีความละเอียดทางปรจิต ท่านมีความละเอียดทางสมาธิภาวนา ท่านย่อมรู้เห็นยิ่งกว่าเราหลายเท่านัก

    ฉะนั้นบางอย่างครูอาจารย์บางท่าน ท่านตำหนิติเตียนแต่เรามองไม่เห็นความผิดของตนเอง ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเราถูก อย่าเพิ่งเข้าใจว่าอาจารย์เข้าใจผิด เพราะสิ่งต่างๆ ทั้งหมด เรารู้ไม่เท่าท่าน เราไม่ถึงท่าน ฉะนั้น อย่าตีเสมอ ...”


    ขออนุโมทนาในธรรมทาน จาก fb Paron Yodkraisri
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2012
  17. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  18. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  19. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  20. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    คุณนกหญิงPostอะไรครับ บ่อมีภาพ หรือว่าคอมผมเอง หรือว่าจะเป็นปริศนาธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...