จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ บอกแล้ว ใครอย่าหลงมาทางนี้ เพราะคุณDhammanee กำลังหิว...ฮ่าๆ
    คุณDhammanee เธออย่ากักตุนศิษย์มากนักนะ เดี๋ยวจะไม่มีเวลาเหมือนครูเพ็ญ ท่านทรงฌานทั้งวันทั้งคืน แถมทรงอิทธิบาท๔ อายุยืนยาวอีกด้วย สำหรับครูผู้สอน แต่วันนี้ขอให้พวกเราร่วมโมทนาบุญและส่งแรงใจช่วยกับผู้ปฎิบัติใหม่ และครูออกนอกหน่วย คือครูวิทย์ ครูอัญญะมณี และครูฝึกหัดท่านอื่นๆด้วย สาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2012
  2. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    จงยกจิตไว้ข้างบนเพื่อทำจิตให้ สูญ จากขันธ์ 5 เพื่อป้องกัน อาสวะทั้งหลาย รบกวน จิตจน
    ขุ่นมัว
     
  3. mooda

    mooda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +461
    ขอบคุณครูน้องหนู ครูวิทย์ ครูนิวเวป จิตบุญทุกท่าน และคณะจิตเกาะพระทุกท่าน
    มิทติ้งครั้งนี้ได้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ ตัดสงสัย และสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นตัวอักษรได้ ถ้าครั้งหน้าจัดอีกแนะนำให้ไปกันอย่างแรงนะจ๊ะ
     
  4. บัวบุษกร

    บัวบุษกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +565
    เป็น 6 ชั่วโมงที่ผ่านไปเร็วมาก ไม่รู้สึกหิวเลย น้องขวัญที่กลับด้วยกันบอกว่า พวกเราอิ่มบุญ :d

    ขออนุโมทนาทุกๆท่านด้วยค่ะ

    และขอส่งแรงเชียร์ กำลังใจ และ พลังให้จิตเกาะพระทุกท่าน

    ลุ้นระทึกแข่งกับทู้ข้างๆ... ของเขาไม่อยากให้เกิด แต่ของเราอยากให้เกิด ให้ยกกันไวๆ
     
  5. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    ผมขอทำความเข้าใจของผม เล็กน้อยกับคำว่า จิตเกาะพระ นะครับ
    ใครคำนี้ความหมายคือการ จับภาพพระพุทธ เป็นพุทธานุสติ เปรียบเสมือนการ คล้้ายกับการฝึกกสิน เพียงแต่เปลี่ยนจาก ธาตุสี และ สี มาเป็นภาพพระ ดังนั้น การฝึก เช่นนี้ นั้นควรมี พื้นฐานมาจากการฝึก สมถะกรรมฐานก่อน เป็นฐานที่สำคัญ ถามที่หลวงพ่อฤาษีท่าน สอนไว้คือ การจับภาพพระพุทธรูป จนจิตเกิดสมาธิ ขึ้นตามระดับขั้น ความละเอียดของจิต จนเข้าถึงเอกคัตตารมณ์ คือ ฌาณ4 ซึ่งเป็น รูปฌาณ ซึ่งก็ถือว่า ยังมีตัวตนอยู่นั่นเอง ก็เหมือนกับการฝึกกสินนั่นเอง เป็นหลักการเดียวกัน แล้วหลวงพ่อฤาษีท่านก็ สอนให้เข้าให้ชำนาญ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการ วิชาสาม หรือ อภิญญาหก ก็จะทำการ เข้าวิปัสนาญาณ โดยการพิจารณาเหตุการณ์ ต่างๆ ที่ประสบพบมา ย้อนถอยหลังกลับไป เพื่อพิจารณา ตนเองเป็นสำคัญเพื่อค้นหาสาเหตุแห่ง การเกิด ความสุข ความทุกข์ ทั้งหลาย แล้วจึงใช้ อริยสัจ4 ในการพิจารณา เพื่อการกับ การเกิด ทุกข์ และสุข อันเป็น อารมณ์ชั่วคราวทั้งหลาย หากแต่การ
    ผู้ใดที่ต้องการ วิชาสาม อภิญญาหก ก็ต้องทำการฝึก กสิน จนได้ฌาณ4 แล้วต่อด้วย อรูปฌาณ4 จนคล่องชำนาญดีแล้ว พิจารณาเห็นถึง การเกิดดับ ไปทั้งหลาย และสิ่งสมมุติทั้งหลายบนโลก ที่ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร และยั่งยืน ไปได้จนอารมณ์ใจ สิ้นซึ่งความทะยานอยากทั้งหลาย ด้วยการเห็นถึง ความไม่คงทนถาวร ไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวงบนโลก ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมชาติทั้งหลาย ซึ่งจะทำให้จิต เกิดการปล่อยวาง และเบาขึ้น เพราะการไม่ยึดติดต่อสิ่งสมมุติใดๆ แม้ร่างกาย นี้ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเราเองก็ไม่คงทนอยู่ไปได้ตลอดการตลอดสมัย แล้วสิ่งใดเล่าจะ อยู่ยั้งยืนยงไปได้ แม้แต่ พระพุทธองค์ ทุกๆพระองค์ เองก็ยังไม่ฝึนกฎธรรมชาตินี้ไปได้ หากแต่ความ ละเอียด บริสุทธิผ่องใด ของจิตนั้น ก็เกิดได้จากการใช้ วิปัสสนาญาณ จนจิตของผู้ฝึกทั้งหลาย มีความละเอียดและปล่อยวาง จากความหลง ความเห็นว่า โลกเป็นของดี สวรรค์เป็นของดี น่าหลงไหล แล้วตามลำดับ จนยกจิตขึ้นถึงพระนิพพานได้ หลวงพ่อท่านจึงบอกว่า ให้เรายกจิต ไว้ที่นิพพาน ให้ได้ตลอดเพื่อรับเองกระแสแห่งพระนิพพาน ตลอดเวลาให้จิตเคยชิน หากแต่การ ใช้พุทธานุสติ นั้นก็เปรียบได้กับการที่ เราจะนำความเพียร ปฎิบัติ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแบบอย่างและยกย่องให้ พระองค์เหล่านั้น เป็นครูซึ่งก็เปรียบเหมือนเรานั้น ยินดีในการปฎิบัติความดีของท่านและยกย่องท่าน ความปิติในความดีทั้งหลายของพระองค์ ก็จะส่งให้เกิดความปิติ ขึ้นที่ใจของเราดังนั้น อานิสงก็จะพึงบังเกิดขึ้นกับเราด้วย ดังคำที่พระองค์กล่าวไว้ว่า ผู้ใดแม้เกิดทันในสมัยที่ตถาคตยัง ดำรงอยู่แต่ไม่เคย ปฎิบัติเลยผู้นั้นไม่ชื่อว่า เกาะชายสังฆาฎิของตถาคตอยู่ แม้ผู้ใดเกิดไม่ทันสมัยที่ตถาคต ดำรงอยู่แต่ได้ปฎิบัติตามที่ตถาคตสอนไว้ผู้นั้นชื่อว่าได้เกาะชายสังฆาฎิของตถาคตอยู่ ใช่มั้ยครับ ดังนั้น การจะยกจิตขึ้นที่ไหนก็ตาม ผมเห็นว่าน่าจะเป็นที่ ผู้นั้นทำเองมากกว่า ไม่ใช่ให้ผู้ใดมาทำให้ เปรียบกับคำว่า หากเราดีอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดมาทำให้เราเลวไปได้ หากเราเลว แล้วผู้อื่นยกย่องว่าเราดีแล้ว เราก็ไม่อาจไปสวรรค์ได้ ถูกรึเปล่าครับ รบกวน แนะนำด้วยนะครับ
     
  6. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับคุณjate2029ด้วยครับ
    ที่ท่านกล่าวมานั้นชอบแล้ว..
    ถูกต้องตรงตามหลักปริยัติธรรม ตามคำสอนขององค์พระศาสดาและอริยสาวกทั้งหลาย
    ก็คงจะเหลือแค่การน้อมนำมาปฎิบัติ เพื่อให้ได้ผลเป็นปฎิเวธ
    แล้วนำผลแห่งปฎิเวธนี้ไปเปรียบเทียบกับปริยัติ ว่าถูกต้องตรงกันแบบไหนอย่างไรนะครับ

    ขอให้เจริญในธรรม.. สาธุครับ
     
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ jate2029 [​IMG]
    ผมขอทำความเข้าใจของผม เล็กน้อยกับคำว่า จิตเกาะพระ นะครับ
    ใครคำนี้ความหมายคือการ จับภาพพระพุทธ เป็นพุทธานุสติ เปรียบเสมือนการ คล้้ายกับการฝึกกสิน เพียงแต่เปลี่ยนจาก ธาตุสี และ สี มาเป็นภาพพระ ดังนั้น การฝึก เช่นนี้ นั้นควรมี พื้นฐานมาจากการฝึก สมถะกรรมฐานก่อน เป็นฐานที่สำคัญ ถามที่หลวงพ่อฤาษีท่าน สอนไว้คือ การจับภาพพระพุทธรูป จนจิตเกิดสมาธิ ขึ้นตามระดับขั้น ความละเอียดของจิต จนเข้าถึงเอกคัตตารมณ์ คือ ฌาณ4 ซึ่งเป็น รูปฌาณ ซึ่งก็ถือว่า ยังมีตัวตนอยู่นั่นเอง ก็เหมือนกับการฝึกกสินนั่นเอง เป็นหลักการเดียวกัน แล้วหลวงพ่อฤาษีท่านก็ สอนให้เข้าให้ชำนาญ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการ วิชาสาม หรือ อภิญญาหก ก็จะทำการ เข้าวิปัสนาญาณ โดยการพิจารณาเหตุการณ์ ต่างๆ ที่ประสบพบมา ย้อนถอยหลังกลับไป เพื่อพิจารณา ตนเองเป็นสำคัญเพื่อค้นหาสาเหตุแห่ง การเกิด ความสุข ความทุกข์ ทั้งหลาย แล้วจึงใช้ อริยสัจ4 ในการพิจารณา เพื่อการกับ การเกิด ทุกข์ และสุข อันเป็น อารมณ์ชั่วคราวทั้งหลาย หากแต่การ
    ผู้ใดที่ต้องการ วิชาสาม อภิญญาหก ก็ต้องทำการฝึก กสิน จนได้ฌาณ4 แล้วต่อด้วย อรูปฌาณ4 จนคล่องชำนาญดีแล้ว พิจารณาเห็นถึง การเกิดดับ ไปทั้งหลาย และสิ่งสมมุติทั้งหลายบนโลก ที่ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร และยั่งยืน ไปได้จนอารมณ์ใจ สิ้นซึ่งความทะยานอยากทั้งหลาย ด้วยการเห็นถึง ความไม่คงทนถาวร ไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวงบนโลก ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมชาติทั้งหลาย ซึ่งจะทำให้จิต เกิดการปล่อยวาง และเบาขึ้น เพราะการไม่ยึดติดต่อสิ่งสมมุติใดๆ แม้ร่างกาย นี้ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเราเองก็ไม่คงทนอยู่ไปได้ตลอดการตลอดสมัย แล้วสิ่งใดเล่าจะ อยู่ยั้งยืนยงไปได้ แม้แต่ พระพุทธองค์ ทุกๆพระองค์ เองก็ยังไม่ฝึนกฎธรรมชาตินี้ไปได้ หากแต่ความ ละเอียด บริสุทธิผ่องใด ของจิตนั้น ก็เกิดได้จากการใช้ วิปัสสนาญาณ จนจิตของผู้ฝึกทั้งหลาย มีความละเอียดและปล่อยวาง จากความหลง ความเห็นว่า โลกเป็นของดี สวรรค์เป็นของดี น่าหลงไหล แล้วตามลำดับ จนยกจิตขึ้นถึงพระนิพพานได้ หลวงพ่อท่านจึงบอกว่า ให้เรายกจิต ไว้ที่นิพพาน ให้ได้ตลอดเพื่อรับเองกระแสแห่งพระนิพพาน ตลอดเวลาให้จิตเคยชิน หากแต่การ ใช้พุทธานุสติ นั้นก็เปรียบได้กับการที่ เราจะนำความเพียร ปฎิบัติ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแบบอย่างและยกย่องให้ พระองค์เหล่านั้น เป็นครูซึ่งก็เปรียบเหมือนเรานั้น ยินดีในการปฎิบัติความดีของท่านและยกย่องท่าน ความปิติในความดีทั้งหลายของพระองค์ ก็จะส่งให้เกิดความปิติ ขึ้นที่ใจของเราดังนั้น อานิสงก็จะพึงบังเกิดขึ้นกับเราด้วย ดังคำที่พระองค์กล่าวไว้ว่า ผู้ใดแม้เกิดทันในสมัยที่ตถาคตยัง ดำรงอยู่แต่ไม่เคย ปฎิบัติเลยผู้นั้นไม่ชื่อว่า เกาะชายสังฆาฎิของตถาคตอยู่ แม้ผู้ใดเกิดไม่ทันสมัยที่ตถาคต ดำรงอยู่แต่ได้ปฎิบัติตามที่ตถาคตสอนไว้ผู้นั้นชื่อว่าได้เกาะชายสังฆาฎิของตถาคตอยู่ ใช่มั้ยครับ ดังนั้น การจะยกจิตขึ้นที่ไหนก็ตาม ผมเห็นว่าน่าจะเป็นที่ ผู้นั้นทำเองมากกว่า ไม่ใช่ให้ผู้ใดมาทำให้ เปรียบกับคำว่า หากเราดีอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดมาทำให้เราเลวไปได้ หากเราเลว แล้วผู้อื่นยกย่องว่าเราดีแล้ว เราก็ไม่อาจไปสวรรค์ได้ ถูกรึเปล่าครับ รบกวน แนะนำด้วยนะครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โมทนาสาธุกับคุณjate2029ด้วยครับ
    ที่ท่านกล่าวมานั้นชอบแล้ว..
    ถูกต้องตรงตามหลักปริยัติธรรม ตามคำสอนขององค์พระศาสดาและอริยสาวกทั้งหลาย
    ก็คงจะเหลือแค่การน้อมนำมาปฎิบัติ เพื่อให้ได้ผลเป็นปฎิเวธ
    แล้วนำผลแห่งปฎิเวธนี้ไปเปรียบเทียบกับปริยัติ ว่าถูกต้องตรงกันแบบไหนอย่างไรนะครับ

    ขอให้เจริญในธรรม.. สาธุครับ<!-- google_ad_section_end -->

    โมทนา สาธุ ไม่ทันพี่ลูกพลังสักที แค่จะมาบอกคุณjate2029ว่า เลือกเอาสักทางเถอะพ่อคู้ณ จิตจะได้เดินทางเสียที มัวแต่นั่งเฝ้าตำราอยู่ แล้วจิตมันจะไปถึงนิพพานไหมอ่ะ
     
  8. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    มีคนพยายามจะเข้ามาดูจิตผม ใช่มะครับ ลองหาให้เจอดูนะครับ
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ไม่รู้ใครไปดูจิตท่านนะ แต่พี่เพ็ญไม่ได้ดู ถ้าท่านได้แล้วก็อย่าไปทำให้คนอื่นสับสน เพราะคำถามถ่อมตนซะเหมือนคนไม่รู้ ถ้าท่านจะขอธรรมะก็ควรแสดงเจตนาให้ชัด ๆ อย่าอ้อมไปอ้อมมา หรือจะเข้ามาสอนสั่งใครก็ให้ออกมาจากในจิตของท่านเอง อย่าไปอ้างเอาตำรามาสอน เพราะที่นี่เราเน้นปฏิบัติให้รู้ที่จิตเป็นแก่นสำคัญ ตำราเป็นเครื่องเทียบเคียงอารมณ์เท่านั้น

    ประกาศ "พี่เพ็ญยังปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการอยู่ค่ะ" จะได้ผลไหมเนี่ย^^
     
  10. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โมทนา สาธุ พี่ภู มีพยานเพิ่มอีกหนึ่งแล้วนะ จิตเกาะพระทำได้ สู้ตายค่ะ VV
     
  11. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    อนุโมทนา ครับ ทุกท่านใน ชมรมนั้น ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ผมเองต้องการปรับความ
    เข้าใจของผมเอง กับ การปฎิบัติของทุกท่าน ในที่นี้เท่านั้น เพราะผมรับสายตรง
    จากหลวงพ่อฤาษีเท่านั้นน่ะครับ เพราะเท่าที่รู้ ว่าความรู้ที่ท่านผู้รู้ในกระทุ้นี้ก็มา
    จากคำสอนของหลวงพ่อท่านเช่นกัน เพียงแต่อาจจะแยกมาในสายที่
    ท่านเจ้าของกระทู้ถนัดเท่านั้นเอง ซึ่งก็ถือว่าดีมาก เพียงแต่ผมเดินมาคนละสาย
    กับการปฎิบัตินี้เท่านั้น และเห็นว่าสายนี้ สอนแบบเรียบๆ ง่ายๆ เท่านั้น เพียงแต่
    สายที่ผมปฎิบัติมานั้น มีขั้นตอนที่ลึกซึ่งผมเองก็ไม่อาจ อธิบายได้หมดเท่านั้นเอง
    ถ้าหาก ข้อความด้านบน ของผมดูเป็นการ ลบหลู่ ดูหมิ่นใดๆ ท่านเจ้าของกระทู้
    หรือท่านทั้งหลายในที่นี้แล้ว ก็ต้องขออภัย ไว้ ด้วยนะครับ อย่างน้อย ก็ยังแลก
    เปลี่ยน ธรรมะ กันได้อยู่ จริงมั้ยครับ พี่เพ็ญ ยังไงแล้ว ก็ขอแลกเปลี่ยนกันบ้างนะ
    ครับ อย่าเครียดมากนะครับ เด๋วไม่สวย
    ขอให้เจริญในธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
    อ้อ คือว่า ผมเป็นคน ทำได้แต่ สอนหรือ อธิบายไม่เก่งนะครับ เลยอาจเหมือนกับว่ากล่าว อ้างตำรา มาแต่ก็ยกมาเพียง การเปรียบเทียบเท่านั้นนะครับ เพราะอธิบายไม่ถูก ครับ
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คุณคือ หนึ่งในที่กล่าวมานี้หรือไม่???

    เพราะผู้มีศีล มีธรรมจะหมายถึง...
    ผู้ที่มีศีล หมายถึง ผู้ที่รักษาศีล สำหรับผู้ที่ถือศีล๕(ศีลหยาบ)ขอให้ดูที่ตัวเจตนาเป็นหลัก ส่วนผู้ที่มีศีลละเอียดก็ให้ดูที่มโนอย่างเดียว(ความคิดที่ผุดออกมาจากจิต) ตรงนี้ระวังให้ดี แค่ระวังมิให้จิตวิ่งตามอกุศลเท่านั้น หรือเรียกกันว่า ธรรมารมณ์(ความคิดนึกหรือสิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึกในใจ) ซึ่งจะมีอยู่ ๓ อย่างก็คือ ฝ่ายดี(กุศล) ฝ่ายไม่ดี(อกุศล) และฝ่ายกลาง(อาจจะเข้าได้ทั้งฝ่ายดีหรือไม่ดี)
    ผู้ที่มีธรรม หมายถึง ผู้ที่มองเห็น(ธรรม)ทุกสิ่งเป็นสมมุติ นี่คือธรรมดา นี่คือธรรมชาติ หรือเป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม(เห็นสัจจะธรรมหรือเห็นความจริง) ไม่เป็นผู้วิ่งตามกิเลส ไม่วิ่งตามกระแสโลก แม้นกระทั่งภัยพิบัติก็ไม่ผลต่อจิตใจ ถึงรู้ว่าตัวเองจะตายไวๆนี้ก็ตามเพราะ ผู้เห็นธรรม คือผู้ล่วงรู้ความจริง อะไรคือความจริง อะไรคือความไม่จริง(มายาหรือสิ่งสมมุติ) ผู้ถึงธรรมแล้วจิตจึงรู้แจ้งแทงตลอด เพราะฉะนั้นความทุกข์ แม้นกระทั่งความสุขทางโลกก็ไม่มีผลต่อจิตใจอีกต่อไปแล้ว หรือทุกข์นั้นเข้าไปไม่ถึงจิตและมีศีลเป็นเกาะแก้วคอยกำบังให้กับผู้ปฎิบัติ ผู้ที่มีศีลยังต้องรับรู้หรือรู้สึกว่าตนเองยังมีความทุกข์อยู่ แต่ผู้ที่มีทั้งศีลและธรรมนั้น จะมีทุกข์น้อยลงหรือไม่รู้สึกว่าตนเองมีความทุกข์ใจอีกต่อไปแล้ว แต่ทุกข์นั้นยังมีอยู่จริงตราบใดที่เรายังครองขันธ์๕กันอยู่

    เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ปฎิบัติท่านใด จิตของท่านอยู่ระหว่างไหน ตรงไหน ท่านก็จะทราบกันดี ผู้ปฎิบัติมีศีลครบหรือไม่ คอยสำรวจตนเองให้ดี หรือผู้ปฎิบัติมีแค่ศีลเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ทำภาวนา คือไม่ปฎิบัติธรรม(ไม่ฝึกจิต ไม่ดูจิต หรือไม่นำจิตไปเดินให้ครบอริยมรรค คือศีล สมาธิ ปัญญา)

    ตอนนี้จิตของท่านอยู่กับทางโลกมากหรือทางธรรมมาก
    สำหรับผู้ที่อยู่ทางโลกมาก ได้แก่ ไม่สนใจเรื่องศีล ไม่สนใจดูจิต ไม่สนในธรรม ไม่สำรวมทั้งกายใจ ชอบส่งจิตออกกาย ไม่สนใจสร้างสติ(เผลอสติ) ไม่ให้ความสำคัญพระพุทธองค์ หรือชอบทำจิตตก จิตหลุด(จิตต่ำกว่าฌาน) หรือยังติดหนัง ฟังเพลง พูดมาก ชอบเรื่องนินทา คิดมาก ฟุ้งซ่าน ชอบอยู่กับคนหมู่มาก ชอบวิ่งตามกิเลส ชอบวิ่งตามกระแส ชอบติดตามข่าวสารต่างๆ
    สำหรับผู้ที่อยู่กับทางธรรมมาก ได้แก่ คอยรักษาศีล๕(เป็นอย่างต่ำ)ให้ครบบริบูรณ์อยู่เสมอ(มิให้ศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่าง ศีลพร้อย เป็นต้น) ชอบสวดมนต์ไหว้พระ ชอบทำบุญกุศล ชอบฟังเทศน์ฟังธรรม ชอบอยู่กับตนเอง (คือชอบดูจิตเป็นหลักโดยเฉพาะกับสิ่งที่มากระทบจิต กล่าวคือคือ คอยหมั่นวิปัสสนาเป็นเนืองนิจโดยจิตทรงฌานเป็นอย่างต่ำ) คอยหมั่นเจริญสติ(คือพยายามสร้างสติให้มากจนกลายเป็นสติสัมปชัญญะโดยการระลึกถึงพระ) หมั่นทำภาวนา(สร้างสติมาก+จิต=จิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว หรือเกิดสมาธิหรือทรงฌานง่ายและจิตก็จะเกิดปัญญา โดยการระลึกถึงพระ) หมั่นฝึกจิตทรงฌาน๑-๒เป็นอย่างต่ำ หมั่นวิปัสสนาเป็นเนืองนิจ(หรือหมั่นพิจารณาธรรม โดยเฉพาะกับธรรมหรือสิ่งต่างๆที่กำลังมากระทบจิตในคราวปัจจุบัน หรือทุกขณะจิต เท่านั้น)

    จึงเตือนผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระมาแต่เพียงเท่านี้ฯ เพราะเดี๋ยวต่อไปกำลังจะเตือนสาร์น เรื่องนิมิตกับผู้ที่มีของเก่าติดตัวมาตั้งแต่ชาติทีแล้ว แต่ถ้าท่านผ่านไปได้ หรือทำจิตยกได้ ท่านก็รอดไป แต่สิ่งที่กำลังกันอยู่นี้ท่านไม่เชื่อฟัง แต่ไปเชื่อตนเองมากหรือไปเชื่อนิมิตของตนเองมากนั้น จะขอบอกไว้ล่วงหน้าก็คือ ท่านกำลังหลง ท่านกำลังเดินทางอ้อมมรรค หรือว่าอ้อมนิพพาน เพราะท่านกำลังเอาเปลือกแทนแก่นเียแล้ว แต่ขอให้วางนิมิตชั่วคราวก่อน เพื่อป้องกันหลง(หลงตนเอง ว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นคนวิเศษหรือป้องกันตนเองเป็นบ้า) แต่ถ้าท่านสามารถทำสำเร็จ หรือจิตยกแล้ว แต่ถ้าท่านยังพอลมหายใจ ท่านก็สามารถกลับไปฝึกกันได้นี่ ไม่เห็นจะเสียหาย แต่กลับดีมากเสียอีก เพราะป่านนั้น จิตยก(จิตบุญ)แล้ว ไม่น่าเป็นห่วง ไม่น่าหลงกันแล้ว เพราะหมดหน้าที่ของเราไปแล้ว


    *รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง(ทางโลก)
    *ชนะคนอื่นมากมายเป็นหมื่นเป็นแสน ก็ไม่สำคัญเท่ากับเอาชนะใจตนเอง(ทางธรรม)

    ปล. แต่ก่อนพวกเราจะเอาชนะสิ่งใดๆได้ ก็ต้องเริ่มต้นที่สติก่อนนะครับ อย่าลืม อย่าเพิ่งไปใฝ่สูงกันนัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องรู้จริงๆ ถ้ารู้ไม่จริงหรือนำธรรมะของพระพุทธองค์มาพิสูจน์ให้กับพวกที่มากด้วยความสงสัย หรือพวกที่รอบจัดรู้มากกับทางโลก อย่าไปดับหรือเอาชนะกันในทางโลก เพราะหนทางนั้นย่อมนำไปสู่แต่ความเสื่อมเสียแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ที่ฉลาดหรือมีปัญญามากในทางโลกนั้น มันไม่เพียงพอ คือเราจะต้องฉลาดหรือเป็นผู้ที่มีปัญญาทั้ง ทางโลกและทางธรรม หรือคนเก่งแล้ว อย่าเก่งแต่คำพูด หรืออย่าเก่งแค่นอกเวที แต่จะยอมรับคนเก่งเฉพาะผู้สามารถทำการปฎิบัติจิตเกาะพระได้สำเร็จเท่านั้น และจะยอมรับคนที่เก่งเฉพาะทางธรรมเท่านั้น เพราะคนเก่งทางธรรม ก็คือ พวกที่เอาแต่แก่น เปลือกไม่เอา หรือถ้าเก่งจริงจะต้องฝึกจิตของตนเองให้รอดได้เองโดยไม่ต้องมาทำจิตเกาะพระก็ได้ แต่ถ้ามาแล้วมาป่วน ลองภูมิ ขอเชิญป้ายหน้านะครับ ป้ายนี้เต็ม
    (ของจริงๆเงียบยิ่งกว่าเป่าสาก แต่ของไม่จริงนั้นชอบโชว์กันนัก แล้วของเราเป็นเช่นใด จงตรองดูกันเอาเองเถิด) สาธุ...
    (ผมมิได้ตำหนิผู้ใดนะ อย่าทานปู!)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและยินดีต้อนรับ

    นั่น! ผมจับตัวได้แล้ว ไหนว่าคุณเป็นลูกศิษย์หรือลูกหลานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำยังไงหล่ะ! เพราะหลวงพ่อท่านสอนว่าให้ผู้ปฎิบัติพึงอยู่ในศีลในธรรมของตนเอง ให้อยู่กับตนเอง หรือให้ดูจิตตนเองเท่านั้น ถึงใครจะไปดูจิตใครนั้นก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับตนเองทั้งสิ้น เพราะเราไปเปลี่ยนแปลงใครๆไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนจิตของตนเองได้เท่านั้น และไม่มีอะไรไปเปลี่ยนจิตตนเองและผู้อื่นได้ นอกจากผู้นั้นจะทำกรรมฐานจนกว่าสำเร็จ(จริงไหม๊?) และผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ โดยเฉพาะจิตยังไม่ยกอย่าได้หลงไปดูจิตของผู้อื่น อย่าให้ชี้ชัดว่าเป็นใคร ทำไปๆ สตินะ..สติ คุณjate2029เองก็เหมือนกัน อย่าคิดมาก ฟุ้งซ่านมาก ให้สำรวมจิตหน่อย เพราะที่นี่ต่างคนก็มาฝึกจิตเพื่อคลายกิเลสขั้นละเอียดกันทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวมานะ(สังโยชน์ข้อที่๘) เพราะนิสัยของอนาคามีนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญามากอยู่แล้ว นิสัยมักชอบสอนแต่ผู้อื่นแต่ไม่ชอบให้ผู้อื่นมาสอน โดยเฉพาะเห็นคนที่ทำผิดศีลไม่ได้เลย ยำแหลก แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านจะใช้เมตตาสูงนำมาก่อน อันนี้คอยสังเกตให้ดี สำหรับผู้ที่แยกแยะไม่ออกว่า ท่านนั้นอนาคามีหรืออรหันต์? แต่อรหันต์ปลอมนั้นไม่สำรวมจิตส่วนกายวาจาไม่ต้องพูดถึง อรหันต์มักพูดน้อย ไม่พูดโอ้อวด ไม่บ้าฤทธิ์เดชหรืออภิญญา นอกจากจากจะไปทำอาสวะให้สิ้น(ดับกิเลสทั้งปวง) นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน มักโปรดปลีกวิเวก ไม่ชอบคบคนหมู่มาก ถึงใครไม่เห็นด้วยกับตนเอง เห็นผู้อื่นทำผิดศีล หรือคนนั้นมันเลวสุดๆ ท่านก็นำจิตเข้าฌานุเปกขา(อุเบกขาในฌาน)

    แต่ใครก็ช่าง ที่เห็นหลวงพ่อก่อนหรือหลังละสังขารไปแล้วก็ตาม อันนั้นผมว่าไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่า ใครที่สามารถนำธรรมะของหลวงพ่อน้อมนำมาปฎิบัติได้มากน้อยเพียงไรมากกว่า มิใช่แค่รู้มากอย่างเดียว หรือรู้แค่นำไปสั่งสอนแต่คนอื่น แต่พอคนอื่นกลับมาสั่งสอนตนเองบ้างไม่ได้ อันนี้ถือว่ายังไปไม่ไกล ยังไปไม่ถึงไหน หรือยังไม่ซาบซึ้งธรรมะของหลวงพ่อ และอย่ามาถามว่าผมรักหลวงพ่อมากแค่ไหน ได้โปรดถามผมว่า ผมนำธรรมะของหลวงพ่อน้อมนำมาปฎิบัติมากน้อยเพียงใด ใครอยากรู้ให้มาถามด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น "จิตเกาะพระ" มิได้สอนให้ใครไปดูจิตผู้ใด แต่จะชี้แนะให้ผู้นั้นออกจากกิเลส ออกจากทุกข์เป็น หรือมุ่งรักษาศีล+ทำภาวนาตนเอง อย่าสนในจริยาของผู้อื่น ทำจิตอยู่ในฌานของตนเอง ที่นี่ไม่นิยมบ้าฤทธิ์บ้าเดช แต่ถ้าชอบไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่มาทำที่นี่ และมุ่งหน้าเพื่อความหลุดพ้น แต่ถ้าจิตยกแล้วพอมีเวลาค่อยไปต่อยอดของเก่าตนเองได้ในภายหลัง แต่ถ้าคุณคิดว่าอยากมาปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็ยินดี แต่ต้องปฎิบัติอย่างจริงจัง ต้องเชื่อฟัง อย่าดื้อ อย่าอวดรู้มาก ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ อย่านำมาโชว์ผิดที่ ที่ไม่ใช่ละครลิง ที่อารมณ์อารมณ์ดี อารมณ์ขันเฉพาะผู้ปฎิบัติบัติจริงๆเท่านั้น ไม่ชอบตลกนะ แต่ต้องดูโอกาสและเวลา อย่าขำไป ปฎิบัติไป มาอ่านธรรมยินดี มาให้ธรรมาทานยินดี แต่ถ้าต้องการมาปฎิบัติก็ขอให้ผกความจริงใจ+ตั้งใจจริงๆ แต่ถ้าไม่..ได้โปรดป้ายหน้านะครับ...ขอบคุณมาก

    ผมว่าคุณรู้มากน่ะดีแล้ว ได้เปรียบผู้อื่น แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่รู้ ก็คือ คุณไม่รู้ตัวเอง? แต่ถ้าคุณรู้ตัวเองดีที่สุดแล้ว ผมยกนิ้วให้คุณ ยอดเยี่ยม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2012
  14. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    นับถือ ๆ ยกให้เป็นอาจารย์ใหญ่ ครับ ชี้แนะผมด้วยครับ ท่านภู2
     
  15. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    .....................................................
    "อย่าแก้ไขคนอื่น จงแก้ไขตัวเราเอง"
    ....................................................

    เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า..
    เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน..
    เจ้ามาเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร..
    เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา..

    ...................................................

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  16. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    พระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่?

    ๓. ยมกสูตร 
    ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่


    [๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. 

    ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิด ทิฏฐิอันชั่วช้าเป็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. 

    ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงพากัน เข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย ชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว จึงถามท่านยมกภิกษุว่า 

    ดูกรท่านยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก จริงหรือ? 

    ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส. ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะ การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า พระขีณาสพเมื่อ ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่าง หนักแน่นอย่างนั้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อ ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้ จึงลุกจาก อาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ขอ โอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับ นิมนต์โดยดุษณีภาพ. 

    [๑๙๙] ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้วเข้าไปหาท่านยมกะ ถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกะ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถามท่านยมกะว่า ดูกรอาวุโสยมกะ ทราบว่า ท่านเกิด ทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ดังนี้ จริงหรือ? ท่านยมกะตอบว่า อย่างนั้นแล ท่านสารีบุตร. 

    สา.(ท่านสารีบุตร) ย.(ท่านยมกะ)
    สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน 
    รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง? 
    ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ 
    สา. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง? 
    ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ 
    สา. เพราะเหตุนี้นั้นแล ยมกะ พระอริยสาวกผู้ใดสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก. 

    [๒๐๐] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน??
    ท่านเห็นรูปว่าเป็น สัตว์เป็นบุคคลหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นเวทนาว่าสัตว์เป็นบุคคลหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นสัญญาว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นสังขารว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นวิญญาณว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 


    [๒๐๑] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน 
    ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคล มีในรูปหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากรูปหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในเวทนาหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากเวทนาหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสัญญาหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสังขารหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในวิญญาณหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 
    สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 

    [๒๐๒] สา. ดูกรยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ? 
    ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 

    (พิจารณาธรรมบทนี้ให้ดีครับ)
    [๒๐๓] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นว่า สัตว์ บุคคลนี้นั้นไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. 

    สา. ดูกรท่านยมกะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ ในปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. 
    ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น แต่ เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้วเพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของ ท่านพระสารีบุตร. 

    [๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านยมกะ ภิกษุ ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ ว่าอย่างไร? 

    ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่ารูปแลไม่เที่ยง สิ่ง ใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้. 
    ......................
     
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    พระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่? (ต่อ)

    (ต่อ)


    [๒๐๖] สา. ดูกรท่านยมกะ ข้ออุปมานี้ฉันใด ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ทั้งหลาย ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นรูป โดย ความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อมเห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือ ย่อมเห็นตนในวิญญาณ. เขาย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตา ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่งว่า อันปัจจัยแต่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า. เขาย่อมเข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา. อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันปุถุชนนั้นเข้าไปถือมั่น ยึด มั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน. 

    [๒๐๗] ดูกรท่านยมกะ ส่วนพระอริยสาวกผู้สดับแล้ว ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาด ในอริยธรรม ได้รับแนะนำในอริยธรรมดีแล้ว ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ฉลาดในสัปปุริสธรรม ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรมดีแล้ว ย่อมไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ย่อม ไม่เห็นรูปในตน หรือย่อมไม่เห็นตนในรูป ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ เห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่เห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่เห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีวิญญาณ ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน หรือย่อมไม่เห็นตนใน วิญญาณ. เขาย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตา ว่า เป็นอนัตตา. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัย ปรุงแต่ง ว่าปัจจัยปรุงแต่ง. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า. เขาย่อมไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา. อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันอริยสาวกนั้น ไม่เข้าไปถือมั่น ยึด มั่นแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน. 

    ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ข้อที่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้เช่น นั้น เป็นผู้อนุเคราะห์ ใคร่ประโยชน์ เป็นผู้ว่ากล่าวพร่ำสอน ย่อมเป็นอย่างนั้นแท้ ก็แล จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น เพราะได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านสารีบุตร. 

    ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.ph...7&A=2447&Z=2585

    **************************************************************
    จะเห็นได้ว่าพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายทรงไม่ให้ยืนยันว่าพระขีณาสพทั้งปวงตายแล้วดับสูญ สิ่งที่สูญไปคือความยืดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงธรรมภายในได้จึงจำต้องละเบญจขันธ์ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งปวงครับ

    พระขีณาสพตายแล้วไม่สูญตราบใด พระนิพพานก็ไม่สุญตราบนั้น เพราะคำว่าสูญท่านหมายเฉพาะกิเลสอาสวะเท่านั้นที่สูญหมดไปจากใจ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เที่ยงแท้ปราศจากการเกิด แก่ เจ็บ และตาย พ้นสภาวะที่ไม่เที่ยงทั้งปวง เป็นสภาวะปรมัตถ์นิพพาน หรือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนานนั่นเอง

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2012
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    วันนี้เราเห็นโลโก้คุณบ่อยๆ คุณjate2029 เราก็เลยจำได้แล้วว่า เป็นเรานี้เองที่ส่งpm แนะนำคุณไปในกระทู้หนึ่งของคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ขอโทษนะค่ะพี่เพ็ญ ที่หนูเป็นต้นเหตุให้คุณJate2029 เข้ามาป่วนกระทู้..เอ๊ย..เข้ามาเป็นสีสันในกระทู้ แหม..รักน่ะจ๊ะ จึงหยอกเล่น คุณJate2029 ยังไงก็ยินดีต้อนออก..เอ๊ย..ต้อนฮับ ฮับ ฮับ จ้าาา ดูซิท่านจะงอนมั้ยเนี่ย??? 555 กิ้ว กิ้ว....:boo::boo::boo:


    อ้าววว...คุณเพิ่งจะทราบเหรอค่ะ ว่าท่านพี่ภูนี้ ท่านคือ ผอ.ใหญ่ของพวกเราชาวจิตเกาะพระ ถึงคุณไม่ยกให้ ท่านก็เป็นของท่านอยู่แล้วค๊าาา ไม่ต้องห่วง..อิๆ :cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2012
  19. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    ซะงั้น มีหยิก มีหยอก 555+ ยินดีครับ สมควรจะโดนซะมั่ง หละ 555+
     
  20. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อันนี้ครูเพ็ญจะบอกว่าไม่เป็นทางการก็ยังมีใช่ไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...