จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๖๙ ณ วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๕

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๖๙
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y7333684-3.jpg
      Y7333684-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.2 KB
      เปิดดู:
      303
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    สาธุ ขอให้งานอริยกิจของพี่ภูสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกงาน ขอให้พี่ภูสมปรารถนาทุกประการเทอญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    กราบท่าน อาจารย์ภูด้วยความเคารพอย่างสูง
    และกราบขอบพระคุณในข้อธรรมที่ชี้นำศิษย์ด้วยความเมตตาค่ะ
    หนูเขียนกลอนบทนี้ ตอนเช้าเมื่อวาน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับคิดถึงท่านพ่อ
    อยู่ดีๆน้ำตามันก็ใหล กลับมาคิดถึงความรู้สึกถึงท่านที่กำลังรอเราอยู่
    พลันก็ได้ยิน บทกลอนอยู่ท่อนหนึ่ง (ได้ยินในใจค่ะ) "เถอะ!.. ยังไงพ่อก็จะรอเจ้า"
    หนูเลยไปหยิบปากกากับกระดาษ แล้วก็เขียนๆๆๆ ประมาณ10 นาที
    เขียนไป น้ำตาก็ใหลไป พอมาอ่านทบทวน ก็มีความรู้สึกว่า คิดถึงท่านอยู่ตลอดเวลา
    หนูก็เลยอ่านมันบ่อยๆ หนูเลยคิดว่านี้เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่จะทำให้หนูไม่ละจากท่าน
    ไปไหน ก็เลยเอามาแปะไว้ ที่กระทู้ เพื่อว่าจะมีใครเอาไปทำอย่างหนูบ้าง ก็ไม่หวงนะคะ
     
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214

    คุณเกษ ท่านนี้ใช่คนที่คุณเกษส่งเมลมาถามหรือเปล่าคะ ถ้าใช่ ช่วยบอกท่านว่าอย่าติดสุขในฌาน ให้เอาจิตออกมาชนกับกิเลส ท่านพ่อบอกให้วิปัสสนานะจำได้ไหม เอ่อ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องกราบขออภัยเป็นอย่างยิ่งค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2012
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พี่ซี จิตบุญ 69 ศิษย์พระอาจารย์ชัชวาล คุณหมออุษาวดี และคุณสาธิต
    พี่ซีทำจิตเกาะพระอยู่ 5 วัน
    เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 55
    จบกิจจิตเกาะพระในวันที่ 8 ก.ย. 55
    เรื่องราวเกี่ยวกับพี่ซีคงต้องขอเชิญคุณหมออุษาวดีมาเล่าเป็นธรรมทานค่ะ

    พี่ภู ทำไมสายพระอาจารย์กับคุณหมอมาแรงจัง
    ยกติด ๆ กันมาตลอดเลยอ่ะ
    สงสัยสองท่านนี้จะต้องทำงานร่วมกันจึงจะดี
    เพราะเห็นสอนใครเป็นไม่พลาดสักราย
    มาไวไปไวอีกต่างหาก
    แถมยังจะต่อคิวกันยาวเหยียด
    สายใต้มาแรงเจง ๆ นะจะบอกไฮ๊
    ขอเชิญทุกท่านโมทนาบุญกับพระอาจารย์ชัชวาล คุณหมออุษาวดี และพี่ซีนะคะ
    สายบุญท่านแรงจริง ๆ ค่ะ
    พี่เพ็ญก็ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน และขออุทิศบุญทั้งหมดที่ได้โมทนารวมกับของพี่เพ็ญให้พี่ภูทั้งหมดค่ะ

    (ลูกทิวลิปอยู่ไหน ไปฝากเนื้อฝากตัวกับพระอาจารย์และคุณหมอท่าจะดี เพราะท่านเคี่ยวเข็ญศิษย์จนได้ดีและไปไวที่ซู้ด สงสัยลูกทิวลิปจะสะดุ้ง เพราะหนูยังติดกาวตราช้างกับกระแสโลกอยู่^^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2012
  6. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,106
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ
    ขอกราบอนุโมทนากับจิตบุญที่ ๖๘ และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  7. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]
    (ขอขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ)


    ท่านเห็นอะไรในภาพนี้?
    เคยเห็นภาพแบบนี้กันไหมคะ?
    เห็นภาพแบบนี้ได้ที่ไหน?
    ที่โลกใช่ไหม?
    ท่านอยู่บนโลกใช่ไหม?
    ท่านได้อะไรจากโลก?


    ไม่ต้องตอบหว้าหรอก...
    เพราะทั้งภาพและคำถาม-คำตอบเหล่านี้มันก็เป็น "ธรรมดา" ของโลก
    ใครๆ ก็พบ, ใครๆ ก็เคยเห็นกันทั้งนั้น


    แต่ก็ด้วยความธรรมดานี่ไงที่เรามองข้าม
    แล้วถ้าเราลองมอง ลองพิจารณาดีๆ ล่ะ เราจะเห็นอะไร เราจะได้อะไร?
    มันก็แล้วแต่คนจะมอง และใช้อะไรมอง...


    สำหรับหว้านั้น.. ในวันนี้ที่ได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง
    ต้นไม้, ทุ่งหญ้า, อาคารบ้านเรือนที่อยู่บนพื้นดิน
    ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหลายๆ แบบ
    เมฆที่อยู่ใกล้พื้นโลกที่สุด ใกล้ตาเราที่สุดก็จะเป็นก้อนเมฆที่เห็นชัด, เป็นกลุ่ม เป็นก้อนขาวๆ หนาๆ
    ส่วนเมฆที่สูงขึ้นไปก็จะเบาบางกว่าชั้นล่าง... ไม่หนาเท่าไร แต่ก็ยังเป็นปุยขาวให้เราได้เห็นริ้วรอย หรือทางของเมฆ
    และเมฆที่เหนือขึ้นไปอีกสูงๆ นู้นก็เบาบางมากจนแทบจะไม่เห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน แถมอยู่ไกลจากสายตาเราอีก
    เหนือจากตรงนี้ขึ้นไปก็เป็นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ จนไปนอกโลก อยู่ในจักรวาล...
    นี่นะเป็นโลกที่เราอยู่กันในปัจจุบัน


    คนเราที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จึงเคยเห็นภาพที่หว้าบอกนี้เอง
    แต่ว่าถ้าเราลองมองโดยใช้ปัญญาพิจารณาเราจะได้อะไรจากการมองนี้บ้าง?
    ซึ่งจากการที่หว้ามองในครั้งนี้นั้นเห็นว่า
    คนเราที่ยืนอยู่บนพื้นโลก ก็ย่อมหลงไปตามกระแสโลก
    สิ่งปลูกสร้าง วัตถุต่างๆ เป็นตัวหลอกให้คนทั้งหลายลุ่มหลงในเปลือกนอก แล้ววิ่งหาวัตถุที่ดีมาประดับกายกัน
    โดยไม่สนใจใต้พื้นดิน หรือท้องฟ้า...
    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับใต้พื้นดินและท้องฟ้า??


    ถ้าสมมุตว่าใต้พื้นดิน คือนรก
    แล้วเหนือท้องฟ้า คือนิพพาน
    ถามว่า.. เมื่อปัจจุบันนี้เราอยู่ที่โลกบนพื้นพิภพนี้
    เราย่อมไม่รู้ถึงนรก และนิพพานว่าเป็นอย่างไรใช่ไหม?
    เขาบอกว่านรกเป็นยังไง
    นิพพานเป็นยังไง เราก็รู้ๆ กันอยู่
    แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ต้องคิดกันทุกคนแหล่ะว่า... "นรก/นิพพาน จะมีจริงหรือ?"
    ก็เพราะฉันไม่เคยเห็น ฉันก็ไม่เชื่อน่ะสิ...
    ก็เลยกลายเป็นว่าตัวเองไปตัดสินซะแล้วว่า "นรก/นิพพาน" อาจจะไม่มีจริงก็ได้เพราะมองแค่เปลือก...
    นี่เป็นมุมมองของคนที่ยืนอยู่บนโลก มีเท้าติดดิน...


    แต่ถ้าเราลองมองดูก้อนเมฆบนฟ้าแล้วเรียนรู้ธรรมะจากเมฆบ้าง
    ก็คงจะได้อะไรกลับมาไม่น้อย
    ถ้าเราเปรียบก้อนเมฆให้เหมือนจิตคนเราจะเห็นได้ว่า
    ก้อนเมฆกลุ่มใหญ่ๆ ที่เรามองเห็นชัดที่สุดนั้น
    มันก็เหมือนจิตคนที่ยังเต็มไปด้วยกิเลส
    วันไหนเมฆมีความชื้นมากก็จะเป็นสีหม่น สีเทา
    เตรียมแต่จะเป็นเมฆฝนจนหยาดฝนตกลงมาสู่พื้นดิน
    เฉกเช่นจิตคนที่มันโดนสีนู้น สีนี้มาเปื้อนจิต จิตมันก็ติดสีนั้นไป..
    พอมันเปื้อนมาก ทุกข์มาก น้ำตามันก็ไหลลงมาสู่ที่ต่ำ สู่โลก เหมือนน้ำฝน


    ถ้าไม่อยากมีทุกข์ ก็ต้องอยู่เหนือทุกข์ อยู่เหนือโลก
    ด้วยการอัพเกรดก้อนเมฆของตัวเองให้สูงขึ้น...
    เมฆที่อยู่สูงขึ้นมันจะเบาบาง เป็นเนื้อละเอียด ไม่ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน
    แต่ยังพอมองให้ได้ด้วยตาเปล่าอยู่
    ก็เหมือนกับจิตคนเราที่เรียนรู้ทุกข์ และเริ่มออกจากทุกข์ทีละน้อย
    แต่จิตตนก็ยังมีกิเลสอยู่ แต่เบาบางแล้ว...
    จนกระทั่งก้อนเมฆที่อยู่สูงสุด.. เป็นเมฆที่เบาบางมาก
    เสมือนละอองธุลีในอากาศ เบาสบาย...
    เป็นอณูเล็กๆ บนท้องฟ้า ลอยไปมาในสายลม แต่ไม่ได้ยึดติดกับสิ่งใด
    เปรียบเสมือนคนที่นำจิตเหนือโลกได้ ถึงแม้จะอยู่บนโลกนี้ยังไงเราก็จะไม่ยึดมั่นในทุกข์-สุข อีกแล้ว
    แล้วยิ่งจิตละเอียดมากเท่าไร ตาคนหยาบๆ
    ก็มองไม่เห็นจิตนั้นอันเปรียบเสมือนเชื้อก้อนเมฆที่เล็กมาก
    มองไกลๆ ก็ไม่เห็นนั้นแล


    แล้วยังไงล่ะทีนี้?
    ก็ถ้าเรายังอยากทุกข์ อยากหลงในโลก ก็เอาเท้า
    เอาจิตยึดไว้กับพื้นดินซะเถอะนะ
    พอภัยมา ทุกข์มาก็วิ่ง ก็เต้น ก็ร้อนกันไป


    แต่ถ้าอยากสบาย ก็ขอให้ทำตัวเหมือนก้อนเมฆ
    ค่อยๆ นำจิตออกจากกระแสโลกทีละน้อย, ค่อยๆ ห่างโลกไปเรื่อยๆ
    อยากอยู่ที่สูง อยากอยู่ที่ต่ำก็เลือกเอาเอง


    ใช้ชีวิตด้วยจิตใจต่ำช้า หยาบโลน มีแต่กิเลส อัตตา มานะ
    มันก็จะเจอทุกข์อยู่ร่ำไป..
    ทุกข์แล้ว ทุกข์เล่า แต่ก็ไม่เข็ด แต่ก็ไม่จำ


    แต่ถ้าอยากอยู่ที่สูง ใช้ชีวิตแบบคนมีปัญญา
    (และต้องเป็นปัญญาของตนเองด้วยนะ)
    ก็ขอให้อยู่ในศีล ในธรรม เดินในทางสายกลาง
    ด้วยมรรค อันทำให้เกิดผล... ไปสู่นิพพาน


    แล้วไอ้ที่จิตหยาบๆ กันเนี่ย มันจะมองเห็นนิพพานกันไม่ได้หรอก
    มันก็เหมือนกับคนที่เท้าติดโลก
    แต่สายตามองขึ้นฟ้าไปก็เห็นก้อนเมฆ เห็นท้องฟ้าสีคราม
    เป็นคนที่ไม่เคยไปนอกโลก,
    ไม่เคยเห็นอวกาศอันกว้างใหญ่ก็ย่อมไม่รู้ว่าเหนือท้องฟ้านั้นเป็นยังไง,
    มีอะไรอยู่ที่นั้น


    กับนิพพานก็เช่นกัน.. ตีนมันอยู่ตรงนี้ เท้ามันอยู่ตรงนี้
    ตามันอยู่ตรงนี้ จิตมันอยู่ตรงนี้ ที่โลก...มันจะไปรู้ได้ยังไง?
    แล้วมันไปตัดสินได้ยังไงว่านิพพานเป็นเช่นไร??
    นิพพานมีจริงไหม?.. มันไม่เคยเห็น มันก็ไม่เชื่อ...
    ก็เพราะจิตมันหยาบไง...
    ศีลก็ไม่เอา, ธรรมก็ไม่เอา, แล้วเอาอะไร?
    เอาเงินไง? เอากิเลสไง?
    อยากทุกข์ก็ยึดในสิ่งเหล่านี้ต่อไปละกัน...


    ในทางกลับกันกับใต้พื้นโลก เราก็ไม่เคยลงไปดูหรอกว่าเป็นยังไง
    มีอะไรหมักหมม ถูกฝังอยู่บ้าง?
    มันก็เหมือนกับนรกเป็นๆ
    คือหลุมกิเลสที่สกปรก
    คือหลุมแห่งความทุกข์...
    คือนรกชัดๆ


    เหมือนกับเรามองโลกเราเป็นศูนย์กลาง, ข้างล่างเราคือพื้นดิน, เหนือโลกเราคือท้องฟ้า
    ก็เสมือนว่าโลกเราคือศูนย์กลาง, พื้นดินคือนรก, ท้องฟ้าคือนิพพาน
    เราอยู่ตรงกลางระหว่างนรก และนิพพาน...
    เราถึงได้เกิดมาแล้วต้องสร้างกรรมไง
    ถ้าเราทำกรรมเลว มันก็จะได้ไปมุดอยู่ใต้ดิน อยู่ในหลุมแห่งทุกข์ของนรกนั่นล่ะ
    แต่ถ้าเราทำกรรมดี เราก็จะสบายเหมือนก้อนเมฆเบาบาง ลอยอยู่ในอากาศ ว่าง กลาง เบาเหมือนอารมณ์นิพพานนั้นล่ะ


    อยากใช้ชีวิตยังไงก็ใช้ไป.. โตแล้ว มีชีวิตเป็นของตนเองก็เลือกเอาว่า
    เข็ดกับการเกิดหรือยัง?
    เข็ดกับการวิ่งตามกระแสโลกหรือยัง?
    เข็ดกับความเป็น "คน" แล้วหรือยัง?
    ในเมื่อโตแล้ว ไม่มีใครบังคับใครได้แล้ว
    ก็หัดมีปัญญาคิดเอง พิจารณาเองซะบ้างว่าตนควรทำตัวเช่นไร
    อย่าให้ความเป็น "โลก", ความเป็น "คน" ของคนอื่นมาหลอกลวงเรา
    เกิดๆ ตายๆ ไปสิบชาติ ร้อยชาติก็คิดเองไม่ได้หรอกในเมื่อยังหน้ามืดตามัวหลงโลกอยู่อย่างนั้น


    สิ่งที่คนทั้งหลายปฏิบัติต่อๆ กันมามีทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี
    ก่อนจะทำอะไรต้องดูดีๆ
    ไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน เราเลยทำตาม
    มันก็บ้ากันไปใหญ่...

    ลองพิจารณาตัวเองดีๆ นะว่า.. เรามีมือ มีเท้า มีสมอง มีสติ มีปัญญาเป็นของตนเองเนี่ย
    เลือกได้ ทำได้ไหมว่าอยากเป็นก้อนดิน หรืออยากเป็นก้อนเมฆกลับบ้านพระนิพพาน?


    เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2012
  8. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    วันนี้ไปทำฟันที่คลีนิกก็มีเหตุการณ์นึงที่จะเล่าต่อไปนี้ว่า...
    มีเด็กชายคนนึงอายุประมานเจ็ดขวบทำฟันอยู่ห้องเบอร์หนึ่ง
    ส่งเสียงร้องโวยวาย ปนร้องไห้ดังทั่วคลีนิค นานอยู่หลายนาที
    สักพักนึง เด็กหญิงอายุห้าขวบห้องตรงข้ามก็ร้องไห้ งอแงขึ้นมา
    จากนั้นก็ได้ยินเสียงพ่อแม่ของเด็ก และหมอช่วยกันเกลี้ยกล่อมเด็กให้หายงอแง
    แล้วเสียงก็เงียบไป...
    จนเด็กผู้ชายห้องเบอร์หนึ่งเดินออกมาทั้งน้ำตา
    และงอแงจะกลับบ้าน
    น้องอาจจะเจ็บปากมาก แต่การกระทำของน้องหลังจากออกจากห้องทันตกรรม
    ก็คือการดื่มน้ำอัดลมที่น้องได้ซื้อมาพร้อมสะอื้น
    แล้วยังไง?
    เหตุการณ์นี้เกี่ยวอะไรกับเรา?


    เด็กชายที่ร้องไห้คนนี้ ยังทำฟันไม่เสร็จ
    คุณหมอแค่ขัดฟันได้ 80% เท่านั้น ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันทรมานมากเลย
    ฟันก็ยังไม่ได้ถอน
    แต่น้องเขากลัวไปก่อน, ร้องไห้ไปก่อน โวยวายไปก่อนแล้วกับสิ่งที่จะเกิด และกำลังเกิด
    ไม่รู้ว่าหมอทำอะไรในปากเรา ก็เอาแต่จะร้องโวยวายในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น หรือไม่รู้ว่ามันคืออะไร
    นี่คือ "ความกลัว" ยังไงล่ะ

    แล้วพอคนที่ ๑ มันร้อง
    คนที่ ๒ มันก็ร้องตามๆ กันมา
    เพราะได้ยินห้องข้างๆ มันร้อง ก็เลยร้องด้วย
    คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเจ็บ
    หรือมันไม่เจ็บหรอก แต่ร้องไว้ก่อนเพราะ "กลัว"


    แล้วที่เด็กผู้ชายเดินออกมา แล้วหยิบน้ำอัดลมดื่มต่อนั่นแปลว่าน้องไม่เจ็บใช่ไหมถึงดื่มน้ำได้?
    นี่เห็นเลยว่าเพราะความกลัวจริงๆ

    คนเรามันกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
    กลัวตัวเองทุกข์
    กลัวตัวเองไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
    กลัวตัวเองไม่สมหวัง
    กลัวคนอื่นไม่รัก
    กลัว...
    กลัว...
    กลัว...
    ฯลฯ
    ใช่ไหม?


    แล้วพอมันกลัวมันก็วิ่งไปหาที่พึ่งใช่ไหม?
    เด็กทำฟัน ถ้าเจ็บก็ร้องไห้หาพ่อแม่ พึ่งพาพ่อแม่ใช่ไหม?
    แล้วเราล่ะ? ถ้าเราอยู่กับความกลัว อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใคร เราจะไปพึ่งใคร?
    คนที่เราพึ่งพานั้น เขาจะช่วยเราได้จริงเปล่า?
    เช่นว่า กลัวคนไม่รัก ก็เลยไปทำเสน่ห์ ไปทำคุณไสย, แล้วไอ้คนที่ทำให้เราพึ่งพาได้จริงหรอ?, เราจะสุขจริงหรอ?, เราจะสมหวังจริงหรอ?
    หรือเช่นว่า กลัวไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็วิ่งไปหาหมอดู ทำนายอนาคต เสียเงิน เสียทอง
    ถ้าดวงออกมาไม่ดีก็ต้องจ่ายค่าสะเดาะห์เคราะห์ล้างซวยอีก
    ไปกันใหญ่เลยทีนี้
    (สงสัยคิดว่าเงินทองซื้อได้ทุกอย่าง ทั้งความสำเร็จ, ความรัก, ความสุข)


    เห็นใครดี เห็นใครมีฤทธิ์หน่อยก็ไปกราบไหว้เขา
    หวังเขาเป็นที่พึ่ง...
    ควักเงินทำบุญตามศรัทธาหวังว่าสิ่งที่ตอบแทนมาจะได้บุญ และความปลอดภัยในชีวิต
    แต่หารู้ไม่...คนเรา ถ้าชีวิตมันจะดีนั้นมันไม่ต้องวิ่งไปหาใครหรอก
    มันอยู่ที่จิตตนนั้นล่ะ...
    ถ้าคุณทำดี ความดีก็จะช่วยคุณเอง
    (อย่าถามนะว่าทำดีมาทั้งชาติแล้วทำไมมันไม่เจริญสักที ดูดีๆ ว่าตนเองทำความดี "เป็น" หรือเปล่า?
    อยู่ในทางสายกลางหรือเปล่า?)
    พอเรามีความดีคุ้มครองตัวเองแล้วเรายังจะต้องไปพึ่งพาใคร?
    ในเมื่อเกิดมาคนเดียว ก็ตายคนเดียว เราก็รู้กันอยู่
    ที่เรามีชีวิตอยู่นี้เราใช้จมูกใครหายใจ?
    จมูกเราใช่ไหม?
    เราพอเราทุกข์ ใครจะช่วยเราทุกข์ ในเมื่อทุกข์นั้นเป็นของเราแท้ๆ


    คนเรามันก็เห็นแก่ตัวกันหมดนั้นแหล่ะ
    ดูไว้นะว่าไอ้คนที่มันยื่นมือมาช่วยเราน่ะมันจริงใจสักแค่ไหน?
    สุดท้ายมันก็หวังผลกันทุกคน แต่ผลที่มันหวังจากเรามันคนละแบบกันนะ

    ถ้าเขาช่วยเรา ด้วยการหวังผลประโยชน์จากเราในอนาคต เช่น
    การเคารพนับถือ กราบไหว้ บูชา ทำบุญกับตัวเองนั้นถือว่าดีไหม? (คิดเอาเอง)

    ในทางกลับกันถ้าเขาช่วยเรา แล้วหวังผลแค่ว่าให้เราพ้นทุกข์
    แม้เราจะกล่าวสรรเสริญ เขาก็ยังถ่อมตน
    แม้เราจะตอบแทนเขาด้วยข้าวสักมื้อ หรือเงินสักก้อน เขาก็ปฏิเสธ
    ถามว่า มันต่างจากกรณีข้างบนไหม? (คิดเอาเอง)


    ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาดีๆ ว่าคนที่เราหวัง เราฝากชีวิตไว้นั้นจะช่วยเราได้จริงหรือ?
    เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่เรา จะไปให้คนอื่นช่วยดับให้งั้นหรือ?
    และต่อให้ท่านได้พบพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ก็คงดับทุกข์ให้ท่านไม่ได้หรอกนะ...
    แล้วทีนี้เราจะดับทุกข์ยังไง?


    เช็คตนเองตอนนี้เลยว่า มีสติไหม?
    มีศีลในกาย มีศีลในใจไหม?
    ถ้าเริ่มทำตนให้อยู่ในศีล และมีสติเมื่อไร เราก็จะเริ่มออกจากทุกข์
    มีสติรู้เท่าทันทุกข์-สุข แล้วเราก็จะมองเห็นเหตุแห่งทุกข์ และดับทุกข์ได้เอง...
    ไม่ต้องไปพึ่งพาใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนใครให้เสียเงิน เสียทองหรอกจริงไหม?
    แล้วที่สำคัญ คนที่จิตอยู่ที่พระที่แท้จริง มันต้องใช้เงินสักบาทเพื่อให้ได้บุญ ได้ธรรมมาใส่ตนเองไหม?
    ลองสังเกตตนเอง สังเกตคนที่เราคิดที่จะพึ่งพาเขาดีๆ ว่าเป็นยังไง
    อย่าเพิ่งไปตัดสิน อุปาทานหมู่ว่าอันนั้นน่ากลัว อันนี้พึ่งได้เหมือนเด็กสองคนนั้นที่เล่าให้อ่านล่ะ...

    (ขอบคุณน้องชาย น้องสาวคู่นี้ที่ทำให้พี่ผู้เกิดมานานแล้วได้เห็นธรรมเช่นกัน)
     
  9. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,106
    ค่าพลัง:
    +10,246
    _/\_ สาธุ
    ขอกราบอนุโมทนากับจิตบุญที่ ๖๙ และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  10. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    วิปัสสนาญาณต้องมีศีลกับสมาธิ<WBR>จึงจะตัดกิเลสได้

    ธรรมโอวาท พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    คำว่าวิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งเห็นจริง เป็นบทที่ใช้ปัญญาโดยเฉพาะ

    ...แต่คำว่าใช้ปัญญาโดยเฉพาะนี้<WBR> ...
    บรรดาท่านพุทธบริษัทจะใช้เฉ<WBR>พาะปัญญาจริง ๆ นี่ไม่ได้
    พื้นฐานเดิมจริง ๆ ต้องมีศีลมาก่อน เมื่อจิตมีศีลแล้ว ก็ต้องทรงสมาธิ
    ถ้าศีลไม่มี สมาธิไม่มี วิปัสสนาญาณไม่มีผล
    กำลังใจจะไม่สามารถตัดกิเลส<WBR>ให้เป็นสมุจเฉทปหานได้

    ฉะนั้น คำว่าวิปัสสนาญาณก็ต้องบวกศี<WBR>ลกับสมาธิด้วย
    หรือที่เรียกว่า บวกศีลกับสมถะพร้อมวิปัสสนา<WBR>ญาณ

    ที่มา fb ศูนย์พุทธศรัทธา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2012
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]



    เวลาออกจากบ้านขับรถไปตามถนนเราก็จะมองเห็นป้ายต่างๆ
    ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณา, ป้ายหาเสียง, ป้ายบอกทาง, ป้ายร้านค้า ฯลฯ
    แล้วยิ่งในแหล่งธุรกิจ ป้ายที่เรามองเห็นบนถนนมันก็จะเยอะแยะไปหมด
    แข่งกันสะดุดตา เรียกลูกค้า, เชิญชวนคน, บอกคนไปยังที่นั้นๆ
    แล้วเราเห็นป้าย แล้วยังไงล่ะ?
    ที่ไหนๆ ก็มีป้ายทั้งนั้น


    ถ้าเรามองป้ายต่างๆ บนถนนให้เป็นคนสักหนึ่งคน
    คนนึงบอกว่า ๑
    คนนึงบอกว่า ๒
    คนนึงบอกว่า ๑๐๐
    มันก็แล้วแต่ป้ายจะบอก แล้วแต่คนมันอยากจะบอกกับเรายังไงมันก็บอกไปใช่ไหม
    เพราะแต่ละป้าย แต่ละคนก็มีเป้าหมายต่างกัน

    แล้วป้ายแต่ละป้ายมันไม่ได้บอกทางเราถูกเสมอไปนะ
    เช่น ป้ายบอกทางไปหมู่บ้านปลาดาว พอเราเข้าไป เราก็ยังหลงทางเลย
    ก็เพราะเราไม่เคยมา, เลี้ยวไปหลายซอยมันก็หลง
    คนมันไม่เคยไปหมู่บ้านปลาดาวมันก็ต้องลองผิด ลองถูกจนกว่าจะเจอเป้าหมายใช่ไหม?
    ก็เหมือนกับคำพูดคนนั้นล่ะ คนมันรู้อะไร เห็นอะไรมามันก็พูดในมุมของตน
    พูดผิดๆ ถูกๆ ตามที่ตนรู้มา บอกเราให้เราไปตามทางที่ตนรู้
    ถ้ารู้จริง เราก็ไม่หลงทาง ไปถึงเป้าหมายจริง
    แต่ถ้าเขารู้ไม่จริงล่ะ? เราก็หลงทางใช่ไหม?


    การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน
    มีทางให้ปฏิบัติตั้งหลายทางตามจริตตน
    มันก็เหมือนป้ายบอกทางสี่สิบ ห้าสิบป้ายว่า
    ถ้าไปตามป้ายนี้ เราจะพบอะไรใช่ไหม?

    ป้ายบนถนน ป้ายบนโลกน่ะ ไปตามมันบอกแล้วมันก็เจอแต่ความวุ่นวายจริงไหม?
    แต่ป้ายในทางธรรม หรือกรรมฐาน หรือแนวการปฏิบัติทั้งหลายนั้นมาไปพบอะไร?
    มีหลายทาง หลายสาย แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันไหม?


    ในเมื่อเราเลือกเดินตามทางไปสักป้าย
    ลงทุนขับรถไปตามทาง โดยที่ไม่รู้ว่าบนถนนเส้นนั้นเราจะเจออะไร
    เราจะต้องกังวลไหม? ในเมื่อเราตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าต้องไปให้ถึง


    การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน
    เราอย่าเพิ่งไปเชื่อในสิ่งที่ป้ายบอก, ในสิ่งที่ตำราบอก
    เราต้องลองปฏิบัติด้วยตนเองถึงจะรู้ว่าเป็นจริงตามที่ป้าย ตามที่ตำราบอกหรือเปล่า
    นั้นคือ พิสูจน์ด้วยตนเอง
    และถ้าเราปฏิบัติยังไม่สุดทางมันจะรู้ได้ยังไงว่า แนวปฏิบัตินี้มันดี หรือไม่ อย่างไร
    อันนี้ก็ต้องลองไปปฏิบัติเอง ลองไปขับรถดูเส้นทางตามป้ายเอง แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง


    โลกเรามีป้าย มีตำรา มีคำพูดคนบอกเล่าทางไปนิพพานเยอะแยะ
    แต่ทำไมผู้คนยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ล้นโลก?
    เรามีทรัพยากรอันมหาศาลก็จริง
    แต่มันก็เทียบไม่ได้กับประสบการณ์จริง
    หรือปฏฺิบัติจริงของตนเองหรอกจริงไหม?

    เราอย่ามัวไปหลงป้าย ไปหลงตำราล่ะ
    ลองขับรถไปตามเส้นทางต่างๆ ด้วยตนเอง
    ลองปฏิบัติด้วยตนเองสิ จะได้รู้ว่าสิ่งที่ตำราบอก ป้ายบอกเป็นเช่นไร
    ไม่ใช่ท่องปริยัติ ท่องพระธรรมข่มแข่งกัน... มันไปนิพพานไม่ได้หรอกนะสิบอกให้
















     
  12. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากบ่น
    แต่ต้องพอก่อนเดี๋ยวชาวเกาะ (กระทู้) จะหนีหมด
    ขอให้ทุกท่านมีสติ ปัญญา
    คิด วิเคราะห์ พิจารณาถึงเหตุ ถึงผลต่างๆ ด้วย
    ไม่ใช่ว่าใครพูดอะไรก็เชื่่อไปหมด
    แม้แต่คำทำนาย คำบอกเล่าของครูบาอาจารย์
    ก็ขอให้ยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง
    แล้วใช้ปัญญาของตนพิจารณาตาม
    และเมื่อตัดสินใจเชื่อแล้วก็อย่าไปยึดจนทำให้เกิดทุกข์

    จะอ่านข่าว จะติดตามสื่อต่างๆ, คำบอกเล่าต่างๆ ก็ขอให้ยั้งคิดกันบ้าง
    อย่าเป็นบ้าเป็นบอเข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึง
    ขอให้มีสติพิจารณาดู รับรู้ แล้วก็วางลง
    ไม่ต้องยึด ไม่ต้องทุกข์กับคำทำนายนั้น กับข่าวนั้น
    จนต้องดิ้นรนหาที่หลบภัย หรือเร่งทำบุญหนุนชีวิตตัวเองหรอก
    เพราะต่อให้ทำยังไงมันก็ต้องตายอยู่วันยันค่ำ
    ด้วยทางใดทางหนึ่งนั้นเอง


    แล้วตอนนี้ที่เป็นปกติสุขอยู่เราก็อย่ามัวไปหลงระเริงกับโลก
    กับข่าว กับความเป็นตัวตนของคน หรือของตนเอง
    จงรู้จักปล่อยวางซะบ้าง
    แล้วเรียนรู้จิตตนเองซะหน่อยว่ามันเป็นยังไง
    เวลาส่องกระจกน่ะมองจิตใจตัวเองบ้างไหม?
    หรือมองแต่หน้าอันสวยหล่อ มองแต่เปลือกกัน?


    แล้วคนที่มันคิดว่า ช่างมันฉันไม่แคร์, ตายก็ตายสิ
    มันไม่ได้จบอยู่แค่ว่าคุณตายน่ะสิ
    ถ้าคุณตาย คนที่ยังอยู่ก็ต้องจัดการงานศพให้คุณ.. อันนี้มันก็เรื่องของคนอื่นเขา
    ของคนทางโลกเขา

    แต่จิตเราน่ะสิต้องเดินต่อ...
    หรือถ้าเรายังอยากเกิดมาดูหนังสี่มิติ ห้ามิติเกี่ยวกับความเป็น "โลก"
    อยู่ก็ตามใจ, อยากทุกข์ก็ทุกข์ต่อไป


    เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ มีมือ มีเท้า
    ก็ใช้ปัญญาของตนเองที่มีอยู่คิดเอาแล้วกันว่าจะทำยังไงกับชีวิต
    ให้มันสมกับเป็น "สัตว์ประเสริฐ" จริงๆ...


    นั่น.. ว่าจะหยุดบ่นแล้วนะ
    ทำไมมันยังยาวเนี่ย?
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๖๘
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ[/CENTER]
    src="http://synad2.nuffnang.co.th/track/banner/skyscraper/77e4ccf4c2fd989f854c1c96f84e8dea/http%253A%252F%252Fphooza.exteen.com%252F20110906%252Fentry-3/ref/http%253A%252F%252Fwww.google.co.th%252Furl%253Fsa%253Dt%2526rct%253Dj%2526q%253D%2526esrc%253Ds%2526frm%253D1%2526source%253Dweb%2526cd%253D5%2526sqi%253D2%2526ved%253D0CC8QFjAE%2526url%253Dhttp%25253A%25252F%25252Fphooza.exteen.com%25252F20110906%25252Fentry-3%2526ei%253D3fZKUPv0CMb4rQfJz4CIBw%2526usg%253DAFQjCNG5ZmwF9BdihRhbGppHkTLFOO1hGg%2526sig2%253D41duKQi3hl5EVgG62REbEg%2526cad%253Drja/visit/novisit"></SCRIPT><STYLE type=text/css>#nn_skyscraper_container { BORDER-BOTTOM: medium none; TEXT-ALIGN: center !important; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px !important; MARGIN: 0px auto; PADDING-LEFT: 0px !important; WIDTH: 160px; PADDING-RIGHT: 0px !important; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px !important}#nn_skyscraper { BACKGROUND-COLOR: white !important}#nn_skyscraper A { BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; COLOR: black !important; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none}#nn_skyscraper A:visited { BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; COLOR: black !important; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none}#nn_skyscraper IMG { BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none; PADDING-TOP: 0px}#nn_skyscraper DIV.ad { POSITION: relative !important; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px auto; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 160px !important; PADDING-RIGHT: 0px; TOP: 0px; PADDING-TOP: 0px; LEFT: 0px}#nn_skyscraper DIV.ad { BORDER-BOTTOM: #ededed 1px solid; BORDER-LEFT: #ededed 1px solid; BORDER-TOP: #ededed 1px solid; BORDER-RIGHT: #ededed 1px solid}#nn_skyscraper DIV.minimize { BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none}#nn_skyscraper DIV.overlay { Z-INDEX: 100; POSITION: absolute; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; BOTTOM: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; PADDING-TOP: 0px; LEFT: 0px}#nn_skyscraper DIV.underlay { Z-INDEX: 1; POSITION: absolute; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; BOTTOM: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; HEIGHT: 300px; PADDING-TOP: 0px; LEFT: 0px}</STYLE><IFRAME style="DISPLAY: none" height=1 border=0 src="http://synad2.nuffnang.co.th/track/beacon/skyscraper/1000179/7712207/phooza.exteen.com%252F20110906%252Fentry-3" width=1></IFRAME><!-- nuffnang-->[/COLOR][/SIZE][/B][/B]

    <IFRAME style="DISPLAY: none" height=1 border=0 src="http://synad2.nuffnang.co.th/track/beacon/skyscraper/1000195/7712207/phooza.exteen.com%252F20110906%252Fentry-3" width=1></IFRAME>[​IMG]
    <SCRIPT language=javascript type=text/javascript src="http://synad2.nuffnang.co.th/track/banner/skyscraper/77e4ccf4c2fd989f854c1c96f84e8dea/http%253A%252F%252Fpalungjit.org%252Ff178%252F%25u0E08%25u0E34%25u0E15%25u0E1E%25u0E23%25u0E49%25u0E2D%25u0E21-%25u0E23%25u0E31%25u0E1A%25u0E20%25u0E31%25u0E22%25u0E1E%25u0E34%25u0E1A%25u0E31%25u0E15%25u0E34-334019-247.html/visit/visit"></SCRIPT>[/QUOTE]

    สาธุ สาธุ สาธุ กับจิตบุญดวงที่ 68 และครูผู้สอนทุกท่านจ้าาาา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2012
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ 69 และครูผู้สอนทุกท่านจ้า
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พี่ซีเป็นผู้มีศรัทธามั่นคง ในพระศาสนาอยู่แล้ว

    เธอร่วมอยู่ในกลุ่มเดียวกับคุณสาธิต (จิตบุญ ๖๒)ในการสร้างพระ

    วันรุ่งขึ้นหลังคุณสาธิตจิตยก

    ท่านจะเข้ามารับของที่ตัวเองจะฝากถวายไปบรรจุในพระพุทธเจ้า 12 พระองค์ ที่ท่านจะสร้างให้เสร็จก่อนออกพรรษา

    ก็เลยเชิญพีซีให้มาด้วยกัน จะได้ช่วยกันอธิษฐานจิต และส่งกำลังให้
    เหมือนตอนคุณสาธิต

    เพียงแต่ตอนนี้จะมีจิตบุญ 3 ท่านช่วยกัน
    คือพระอาจารย์ ชัชวาล อุษาวดี และ คุณสาธิต ที่เพิ่งยกมาใหม่ๆ

    คุณสาธิต และ ตัวเอง นั่งอยู่กับพี่ซี ส่วนพระอาจารย์ ชัชวาล
    ได้โทรกราบเรียนท่าน ให้อธิษฐานจิต และส่งกำลังให้พร้อมๆกัน

    พี่ซีบอกว่ารับจนจุกเลย เลยบอกให้พี่ซีแผ่เมตตาต่อ

    พี่ซีก็ฝึกมา โดยพระอาจารย์และตัวเองได้โทรสอบถามผลการปฏิบัติ และขอคำแนะนำจากพี่เพ็ญเป็นระยะๆ

    เริ่มดีใจตั้งแต่เมื่อวาน ที่พี่ซี บอกว่า
    กายกับจิตแยกออกจากกัน เห็นความไม่เที่ยง อนัตตา...

    จนเมื่อเช้า พี่ซีตอบการบ้านประมาณนี้ค่ะ

    เบื่อหน่ายความเป็นคน ไม่รู้เกิดมาทำไม
    มันไม่มีอะไรจริงๆ แล้วเราจะไปอะไรกับมัน

    ขาวกับมืด มืดกับสว่างไม่แตกต่างกัน
    ถามว่า เห็นกุศลเท่ากับอกุศล ถูกไหม เธอตอบ ใช่

    ถามว่า ถ้าตายไปตอนนี้ เสียดายกายไหม
    ไม่มีอะไรที่น่าเสียดาย ไม่มีความกลัว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
    มันก็คือ กายเน่าๆ อันหนึ่ง มันไม่มีประโยชน์
    กายสกปรกเหลือเกิน แต่เราจำเป็นต้องใช้กาย เอามาไว้ใช้ มันไม่เที่ยง วันหนึ่งมันก็ต้องสลาย แต่สิ่งที่เป็นของจริงคือจิต

    เธอบอก ตั้งแต่เมื่อวาน อุเบกขาอยู่เกือบทั้งวัน

    ตอนเย็นก็เห็น e-mail พี่เพ็ญ ให้ช่วยสอบอารมณ์ครั้งสุดท้าย ก่อนประกาศว่าพี่ซี จิตยกแล้ว

    ไปถาม พี่ซีเห็นว่า เราไม่มีตัวไม่มีตนจริง ๆ

    เมื่อคืนไปเดินออกกำลังกาย ก็ได้ยินเสียงพระสวดมาแว่วๆ
    วันนี้บอกพี่ซี พี่ซีบอกพี่ก็ได้ยินเหมือนกัน



    บุญกุศลใดที่ได้ทำด้วยดีแล้ว

    ขอจงเป็นปัจจัยหนุนส่งให้ท่านที่กำลังทำความเพียรจิตเกาะพระอยู่ จงถึงฝั่งโดยเร็วพลัน

    ขอให้อริยกิจของพี่ภูสำเร็จได้ด้วยความราบรื่น

    อุษาวดี จิตบุญ ๓๑
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอโทษนะค๊าาา ว่าจะลบโฆษณาออก ลบออกนิดเดียวเอง รูปภาพเพี้ยนหายไปเลยอ่ะ
     
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ ไม่ใช่ค่ะพี่เพ็ญ คนละคนค่ะ แต่เกษก็ได้ส่งเมล์ไปให้ท่านแล้วค่ะ หวังว่าคงจะถึงเวลาของท่านสักที เพราะเกษก็สัมผัสได้ว่าท่าน(จิต)แก่มากแล้ว ถ้าเอามาทำจิตเกาะพระก็น่าจะไม่นาน สาธุค่ะ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ฮ่าๆมีคนเทศน์แทนเราแล้ว อย่ามาว่ากันนะเดี๋ยวคนที่กำลังว่าในใจอยู่นั้นเดี๋ยววันหน้าท่านจะยิ่งยาวกว่านี้อีก ฐานะส่งจิตออกนอก
    ลูกหว้า ช่วงนี้จัดหนักแทนพี่ภูหน่อยนะ ธรรมะไม่ต้องไปหาจากที่ไหนไกล ขอให้เธอตามหาต่อมธรรมะภายในจิตของเธอเอง ปัญญาเกิดธรรมจึงเกิด อย่าไปค้นหาธรรมจากที่อื่น เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้น ก็เท่ากับเราไปขโมยปัญญาคนอื่นมาใช้แล้ว

    เพราะช่วงนี้เริ่มยุ่งแล้ว แต่ถ้ามีอะไรเป็นรูปธรรม พี่ภูยิ่งจัดหนักกว่านี้อีก ที่นี่รับเฉพาะจิตพร้อม(เท่านั้น) ก่ำๆกึ่ง หรือพวกลูกครึ่งตามครูดัชชี่บอกไปแล้วนั้น รอก่อนนะ ไม่ได้ทิ้ง แต่จะรอจิตของผู้นั้นสอบผ่านก่อน เพราะที่นี่ทำกันจริงๆจังๆ เรื่องเดินตรงเข้าสู่มรรคา(มรรคมีองค์แปด หรือศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น) โดยเฉพาะผู้ที่เบื่อทุกข์สุดๆ เบื่อการเกิด หรืออยากไปพระนิพพาน ไม่ต้องมัวเขิญอาย ใครว่าบ้าช่างเขาปล่อยให้เขาหลงไป ทางใครก็ทางมัน แต่ทางนี้เน้นแก่น(สติ+จิต=สมาธิและปัญญา) เดินตรง(ผลมรรคนิพพาน) หรือโดยเฉพาะพระนิพพาน ทางอื่นหรือทางอ้อมพวกคณะจิตบุญไม่เน้น ทำเหมือนกันบุญภายนอก แต่ไม่ใช่ตอนนี้

    ส่วนจิตใครพร้อมมากๆ เดี๋ยวพระท่านคงจะจัดสรรให้กับผู้ปฎิบัติเอง เพราะฉะนั้นแล้วครูจิตบุญทุกท่านไม่ต้องไปง้อให้ผู้ปฎิบัติที่จิตยังไม่พร้อม(กายจะพร้อมหรือไม่พร้อม ไม่เกี่ยว) มาปฎิบัติตามเรา พร้อมเมื่อไหร่ก็มา ทุกข์เมื่อไหร่ก็แวะมา...ที่จิตเกาะพระมีคำตอบให้กับทุกคน แต่ท่านจะต้องทำด้วยความเคารพ+ความเพียร+ปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง

    สำหรับผู้ที่ยังติดสงสัยมาก หรือวาระกรรมยังไม่เปิด ก็ปล่อยเขาไปเดินทางอ้อมเล่นๆไปก่อน พวกเหล่านี้ถือว่าประมาทมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะผู้เขียนเข้าใจดีกว่า จิตที่ยังหยาบอยู่หรือผู้ที่ยังไม่พร้อมนี่ แสดงว่าวาระกรรมยังไม่หมด และจะต้องก้มหน้ารับกรรมไปก่อนสักระยะนึง ไม่มีอะไรมาหักล้างกรรมของตนได้ บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป อย่านำมาปะปนกัน แต่ถ้าผู้ใดอยากใกล้วาระกรรมจะหมด ก็คือ ขอให้ท่านประพฤติ ปฎิบัติดีมากกว่าไม่ดี เพียงเท่านี้เอง หรือถ้าจะให้มีกำลังใจมากสามารถนำพาไปปฎิบัติธรรมกันได้ ก็คือ จะต้องหยุดพฤติกรรมไม่ดีก่อน โดยเฉพาะกระทำผิดศีลทุกข้อให้มาเป็นรักษาศีลให้ครบบริบูรณ์และสวดมนต์ไหว้ แถมทำจิตเกาะพระอันนี้จะไวมาก เราหนีกรรมไม่ได้ แต่หลักการแก้ไขที่ถูกต้องเรื่องกรรมนั้นก็คือ ทำแต่ความดีละเลว หรือทำแต่บุญละบาป แต่จะพ้นกรรมไม่ได้ไวๆโดยการหยุดเลวเร่งความดี หรือหยุดก่อบาปก่อเวรมุ่งเร่งแต่ภาวนา(ยิ่งทำจิตเกาะพระแล้วไวมาก เพราะผู้ปฎิบัติก่อนจิตจะยกนั้นทรงฌานทั้งวันทั้งคืน ตรงนี้แหล่ะเขาเรียกว่า เขตบุญแล้ว เมื่อจิตสำรวมเพียงอย่างเดียว การกระทำ+วาจาจึงสำรวมตามไปด้วย เห็นไหม๊ปิดประตูนรกเลย
    แถมเห็นนิพพานรำไรๆอยู่ตรงเบื้องหน้า

    เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่า พระนิพพานจึงอยู่ไม่ไกล สำหรับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ
    ขอให้ทุกท่านสุขกายสบายใจ และเจริญในธรรมยิ่งขึ้นไป
    สาธุๆ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออภิมหาโมทนาบุญกับหลวงพ่อมงคล(ชื่อก็บ่งบอกแล้ว เป็นมงคลจริงๆ) จิตบุญดวงที่ ๖๘
    ขอโมทนาบุญกับพระอาจารย์ชัชวาลและคุณหมออุษาวดีและคุณแทนนี่ด้วย ดีใจแทนทุกท่านจริง พวกเราจะต้องยกความดีนี้ให้กับครูเพ็ญจริงๆ ท่านมีความตั้งใจให้ทุกคนรับทราบถึงผลของผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระนั้น มีผลมีประโยชน์กับผู้ปฎิบัติอย่างไร

    ขอให้ทุกท่านเจริญสติ ศีล สมาธิ ปัญญา และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    (ทางพระนิพพานมาทางนี้นะ ห้ามเลี้ยว ห้ามอ้อม ห้ามสงสัยก่อนแต่ขอให้ปฎิบัติก่อน)
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้องทิวลิปไปไหนแล้วลูก พ่อภูถามถึงอยู่ตลอดเลย จิตพร้อมหรือยังลูก ไม่ต้องไปเร่งนะ แบบนี้ดีแล้ว เดี๋ยวถ้าจิตของเธอพร้อมเมื่อไหร่ เดี๋ยวพระจัดให้เธอไวเลย พ่อภูอยากให้เธอลองติดต่อคุณหมออุษาวดีจัง หรือคุณหมอผมฝากเด็กอีกสักคนได้ไหม๊ เห็นว่าคุณพ่อคุณแม่เธออยู่ทางใต้เดียวกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...