จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. preechaniy

    preechaniy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,356
    ขอบคุณครูภู ครูเพ็ญครับ ผมฝึกกับครูวิทย์ครับ.
     
  2. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    กิเลสมันไม่ยอมตายหรอกค่ะ ตอนนี้มันมาอาศัยอยู่ในจิตเราเต็มเลย เราต้องหาทางอัปเปหิมันออกไปแบบถอนรากถอนโคน ตอนนี้จิตเรามืดมัวสลัวอยู่ พอไล่ไปวันละนิดละหน่อย จิตเราก็ขาว ใสขึ้นจนประภัสสรทั้งดวง หลังจากนั้นจิตก็ไม่เอากิเลสแล้ว เลิกคบ!
    วิธีไล่มันออกไปคือ ทำจิตเกาะพระให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนค่ะ

    กลางวัน ให้นึกถึงพระบ่อยๆ ถ้าดูภาพพระไปจนทรงอารมณ์สบาย ภาพหายไม่เป็นไรค่ะ แต่ขอให้ทรงอารมณ์สบายเป็นหลัก เช็คว่ายังจับภาพได้มั้ย โดยการนึกถึงท่านเป็นระยะ แต่อย่าทิ้งช่วงนานเกินไปค่ะ สัก 3 นาที 5 นาที ถ้านึกปุ๊บเห็นปั๊บก็ใช้ได้ค่ะ

    กลางคืน ให้จับภาพพระก่อนนอนจนหลับ เรียกว่าหลับในฌาณ ก่อนลืมตาตื่นจับภาพพระสักครู่ แล้วค่อยลุกไปทำกิจกรรมประจำวัน
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเอาใจช่วยครับ
    ทำดีแล้วครับ พยายามทรงอารมณ์แบบนี้ไว้นานๆ
    เวลาหายไปน่ะ ก็ยิ่งดีใหญ่ ดีกว่าใจหาย จิตตกนะครับ
    มีอะไรเมล์หาครูบ่อยๆนะ
    การดูจิตไม่มีอะไรมาก ขอให้เราทำความรู้สึกตัวให้มาก
    หรือที่เราเรียกกันว่า สติ นั่นแหล่ะ!
    เอาสติตามดู ตามรู้จิต ตามดูอะไร?
    ก็ตามดูอาการ หรืออารมณ์ของจิตนั่นไง
    ทำอยู่แค่นี้เอง อย่าไปทำให้มันมากเรื่องนัก
    เพียงแค่เน้นจิตใจของเราให้สบายมากที่สุด จะได้ไม่อึดอัด
    แต่ถ้าใครทำแล้ว อึดอัด ขอให้หยุดเลย นั่นแปลว่าทำผิดแล้ว
    เพราะการระลึกถึงพระนั้น ก็เป็นอุบายที่ทำให้จิตเรานิ่งเท่านั้นเอง
    เหมือนกับเราภาวนา คำว่า พุท-โธ หรือยุบหน๋อ-พองหน๋อ หรือคำภาวนาอื่นๆ
    และนี่ก็คือ เรากำลังหาวิธีที่ทำให้จิตของเรานิ่ง หรือสร้างสติกันนั่นเอง
    แต่ถ้าใครไม่มีพื้นฐานการทำสมาธิก่อน ก็ต้องพยายามหน่อยนะ
    เพราะการปฎิบัติเราเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายทำเองทั้งหมด
    แต่ครั้งแรกเราจะต้องอาศัยทำความเข้าใจให้มากที่สุดก่อน
    เพราะเวลาการปฎิบัตจิจริงๆนั้น เราจะอยู่คนเดียวภายในจิตของตนเอง
    สรุปแล้ว เราจำเป็นจะต้องมีความเพียรสูง ความตั้งใจสูง
    และไม่สงสัยกันเลยว่า ทำไมคนที่มีดวงตาเห็นธรรมนั้นมีน้อยเหลือเกิน จริงๆแล้วถ้าทุกคนมีความเพียรสูง ตั้งใจสูงกันแล้ว
    เราก็จะพบกับผู้มีดวงตามากกว่านี้
    การปฎิบัตินั้นไม่ยากหรอก แต่จะยากเฉพาะผู้ปฎิบัติทำกันไม่จริง

    ปล.ผู้ปฎิบัติธรรมจะได้ผลดี ก็คือ พยายามสร้างสติมากๆ และพยายามหลีกห่างจากผู้คนเยอะๆ(ผมหมายถึงจิตคุณนะ มิใช่กายคุณ)
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขยายวิปัสสนาธรรมาทานนี้อีกรอบนึง​

     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผมจะขอสรุปเพียงสั้นๆเท่านี้ ก็คือ
    เมื่อจิตของพวกเราฝึกมาดีแล้ว ตามขั้น ตามตอน ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติกระทำดีแล้ว ถูกแล้ว พวกเราก็จะรู้+เข้าใจคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี
    สำหรับผู้ที่มีปัญญานั้น นั่นก็แสดงว่า จิตของผู้นั้นจะต้องเจริญสติภาวนาผ่านศีลและสมาธิกันก่อน จิตเราถึงจะเข้าถึงปัญญา
    (ปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาทางโลกธรรม เพราะปัญญาทางโ,กนั้นไม่มี มีแต่สัญญา ที่สองเราไปรับรู้+เรียนรู้กันมาเท่านั้น แต่เมื่อไหร่สมองของเราเสื่อม นั่นก็หมายถึงสัญยา หรือความจำทั้งหลายก็จะไม่เที่ยง คือจะเสื่อมสลายไปตามสมองนั้น เพราะสมองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา)
    มีเพียงจิตของพวกเราเท่านั้น แต่ถ้าเราฝึกจิตมาดี หมายถึงสะสมบุญบารมีมันจะเก็บสะสมอยู่เป็นพลังงานของจิตเรา และมันจะติดตามไป หรือจิตจะจำข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว
    เพราะฉะนั้นแล้ว ถามว่าอะไรสำคัญกว่าระหว่าง กายกับจิต
    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลายตอบกันเอง เลือกปฎิบัติกันเอง

    สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง นั่นก็หมายความว่า เราจะต้องติดตามหาผู้รู้ หาครูบาอาจารย์กันต่อไป ไม่ว่าทั้งพระสงฆ์ ทั้งฆราวาสก็เหมือนกัน
    และผู้ไม่มีปัญญาคอยสังเกตดูง่ายๆก็คือ มักเป็นคนขี้สงสัยลังเล หาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้ และจะคอยฟังคนอื่นๆว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี หรือมักจะเป็นคนหูเบา เพราะทำอะไร การตัดสินใจอะไรต่างๆก็พลอยยอดแย่ตามไปด้วย เพราะขาดความมั่นใจ เพราะเราคิดเองไม่ได้ และจะต้องคอยถามคนอื่นตลอดไป และก็ตลอดชีวิตของตน
    ถ้าเราไม่รู้จักการเรียนรู้เรื่องจิตกันนะ
    ผมขอบอกได้คำเดียวเลยนะว่า โง่เขลาที่สุด อันนี้ผมมิได้ไปปรามาส หรือล่วงเกินดวงจิตใครนะ เพียงแต่บอกให้เราฟัง ขอยกตัวอย่างตนเองก็เคยเป็นมาหมด โดยเฉพาะเรื่องโง่กับทางธรรม ที่พวกเราหลงเชื่อกันว่า ฉลาดในทางโลกกันนั่นน่ะ มันผิดทั้งหมดเลยครับ
    ผมก็อยากจะฝากถึงทุกๆท่าน ที่ยังหลงทางเดิน โดยเฉพาะเรื่องจิต
    กายเดินผิดไม่เท่าไหร่นะ แต่ถ้าจิตเดินผิดนิดเดียว คุณอาจจะผิดพลาดหรือโง่เขลาไปตลอดภพชาติกันทีเดียว
    ขนาดดร.สนอง วรอุไร ท่านคิดว่าตนเองสุดยอดแล้ว แล้วท้ายที่สุดแล้วเป็นยังไง ท่านต้องรีบมาบอกกับพวกเราทั้งหลายกัน

    ธรรมะนั้นจึงสอนกันไม่ได้ มีทางเดียวคุณเท่านั้นที่จะต้องมีสติและก็ตามดูจิตของท่านเอง และธรรมะ หรือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตนเองนั้น ก็จะอยู่หลังคุณพบว่าดวงจิตเดิมแท้ของตนเองนั้น อยู่ที่ไหนกันนั่นแหล่ะ!

    ขอจบบรรยายธรรมแต่เพียงเท่านี้


    ปล.พวกเราพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้เจริญทั้งหลาย พวกเราโชคดีมากแค่ไหน ที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ
    เพราะว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญา+เหตุผล
    เพียงมีใครสักคนได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้กัน ตนเองเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์เอง เห็นเอง รู้เอง และก็ชอบไปเองในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2012
  6. ข้าวฮาง

    ข้าวฮาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +608
    "คุณภู เข้ามาสาธุ ไม่ได้มานานเลย ให้กำลังใจคร้าบบ ผม ข้าวฮางคร้าบ พอดีลืมรหัสเดิม อิอิอิ ช่วงนี้เดินทางบ่อย ขอให้สุขภาพคุณภูแข็งแรง ๆ นะครับ"
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอสรุปเพียงสั้นๆว่า
    จากหยดน้ำเล็กๆ สองหยดบนปฐพี หรือไม่ว่าจะ ตาหรือยาย นั่งชมกัน

    แหม๊! ผมหลงชอบคำนิยาม สองนักปราชญ์นี้จัง
    เพราะท่านเข้าใจว่าของท่านเจงๆนะ

    ผมขอสรุปแว้ เอ๊ย!สรุปว่า (ขอยืมมุกของพระมหาสมปองฯหน่อยนึง)

    ผมขอขอบพระคุณ คุณครูเพ็ญมากๆนะ ที่ทำให้ผมมีวันนี้
    และมาช่วยพลิกลูกตาของผม คือท่านมาช่วยชี้แนะ และสอนสั่งธรรมะให้
    จริงๆแล้วผมและทุกคนก็รู้จักธรรมะกันทุกคนนะ
    แต่จะมีสักกี่คน ที่เรียนรู้+เข้าใจ+นำไปปฎิบัติกันได้ และจะต้องปฎิบัติให้เกิดปฎิเวธกันนะ หรือปฎิบัติให้เป็นผล สัมฤทธิผลกันด้วย คือให้มีดวงตาเห็น
    หรือมองอะไร ไม่ว่าจะดีหรือว่าเลวสักปานใด เมื่อจิตเข้าถึงธรรมะแล้ว
    ทุกอย่างจะเย็นหมด เย็นทั้งกายใจ เพราะเนื่องมาจากผลของการปฎิบัตินั่นเอง
    มองเห็นคนชั่ว รู้นะว่าเขาชั่ว เขาเลว แต่กลับไม่รังเกียจเดียจฉัน แต่กลับเมตตาเป็นพิเศษซะงั้น คือพยายามมองหาแต่ในแง่ดีๆและอยู่เสมอๆ
    สรุปแล้วเป็นเพราะจิตของตนเองที่ฝึกฝนมาดีนั่นเอง
    อันนี้ผมพูดถึงคนที่มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างต่ำนะ มิได้หมายถึงตนเอง
    ตนเองทราบดีแล้ว และไม่จำเป็นต้องบอกเล่ากับใครหรอก ธรรมะก็ประจักษืกับตนเองอยู่แล้ว ถ้าจิตมันสามารถแยกแยะถูก-ผิดได้เป็นกองๆละก้อ
    ท่านถึงละ ท่านถึงแล้วท่านก็จะได้รู้เอง ธรรมะเป็นเรื่องปัจจัตตัง

    แต่พวกเราอย่าลืมนะว่า หรืออย่าพยายาทำวิปัสสนากันสดๆ หมายถึงวิเคราะห์พิจารณาธรรมกันโดยที่จิตยังไม่ผ่านศีลบริสุทธิ์ ยังไม่ผ่านการทำสมาธิ หรือขณะที่จิตยังไม่ทรงได้ทรงฌาน หรือจิตอยู่ในช่วงอุปจารสมาธิ หรือว่า อัปปนาสมาธิกันนั้น
    อันนั้นเขาเรียกว่า วิปัสสนึกหรือ เสร็จอุปาทานขันธ์ของตนเองไปเรียบร้อยโรงเรียนจีน
    พวกเราพอจะเข้าใจไหม๊
    แต่ผมมิได้หมายถึง สัมมาทิฎฐิกันนะ คนละเรื่อง
    บางคนเป็นคนดีอยู่แล้ว เขาก็แทบไม่ต้องดูศีลเพราะ คนดีก็มีความเห็นถูกเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว สำหรับคนที่กิเลสบาง
    แต่ถ้าหนานะ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ผิดทั้งหมด เพราะจิตมีความเห็นผิดตั้งแต่แรกนี่ ก็น่าเป็นห่วงนะ คือโอกาสที่จะไปอยู่แดนอบายภูมิได้โดยง่าย
    เพราะฉะนั้นคนดีจึงไม่ต้องพูดสอนกันมาก แค่เพิ่มสิ่งที่เขาขาดนิดเดียวเอง
    เพราะบารมีท่านเกือบจะเต็มแล้ว
    โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเกาะขอบกระทู้ หรือผู้ที่กำลังปฎิบัติทำจิตเกาะพระอยู่ณ.เวลานี้กันอยู่นี้กัน จึงถือได้ว่า เป็นดีในเบื้อต้นกันแล้ว
    แต่ถ้าไม่ดี บุญจะไม่นำพาพวกคุณมาทำความสว่าง ความแจ้งกันหรอก พวกเราคอยสังเกตกันให้ดี คือจิตบุญ จิตกุศลนั้นจะนำพาไปหา ไปพบกันจนได้ เหมือนเราคบเพื่อนใหม่ๆนั่นแหล่ะ! เราจำเป็นต้องหาเพื่อนที่มีนิสัยใจคอที่คล้ายๆกัน จริงไหม๊?

    แค่นี้ก่อน พร่ำไป พร่ำมาทำท่าจะยาว
    เอาไว้ให้ผมเป็นเจ้าสำนักก่อน ผมจะนั่งพร่ำธรรมะกันทั้งวันคืน คนหลับกันหมดโน้นแหล่ะ! อาตมาถึงจะไปนอน อ๊าว! ขอโทษทีครับ นึกว่าผมเป็นพระ ที่แท้จิตผมเป็นพระนี่เอง....
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับ
    แหม๊! นึกว่าลืมกันซะแร๊ะ
    สบายดีไหม๊คุณพี่ ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน
    วันนี้เอาอะไรมาฝากผมและคนในกระทู้นี้กันมั่ง
    ข้าวฮางหรือครับ เยี่ยมๆ ที่นี่กำลังอดข้าวกัน เพราะอิ่มธรรมะ...ฮ่าๆ
    ขอบใจหลายๆเด้อ ขอให้คุณมีแต่ความสุขกาย สบายใจ ขอให้ร่ำให้รวยทั้งทางโลกและทางธรรมนะครับคุณพี่

    ลืมรหัสน่ะลืมได้นะครับ แต่ห้ามลืมผมนะ ฮ่าๆ ก็ผมยังไม่ลืมคุณพี่เลย
    ถึงว่าหายไปไหนตั้งนาน ที่แท้ลืมกุญแจเข้าบ้าน
    เหมือนผมเลย นี่ไง ถึงได้เป็นนายภูทยานฌาน2
    ดีนะคนไม่สงสัยถามผม
    กายเดินทางไปไหน เหนื่อยบ่อ้าย แต่ถ้าเหนื่อยก็นำจิตมาเดินร่วมกับผมบ้างก็ได้นะ

    ทำไมคุณไม่ฝากกระทู้คุณด้วยเล่า เผื่อจะมีคนสนใจเรื่องข้างฮางของท่านบ้าง เพราะมีประโยชน์มากๆ ถ้าถึงยามวิกฤติ หรือภัยธรรมชาติ
    เพราะข้าวฮางของท่านนั้น ไม่มีไฟฟ้าก็แช่น้ำเปล่าก็ทานได้เลย
    ทานกันตายไปได้นะครับจะบอกให้

    บุญรักษานะครับคุณพี่ วันหน้าอย่าลืมแวะเวียนมาทักทายกันนะครับ
    เห่อๆ เพื่อนต่างดาว เอ๊ย! ต่างกระทู้


    ปล.ดูคุณพี่ถามาแค่บรรทัดเดียว ผมตอบซะสิบกว่าบรรทัด
    นั่นก็แสดงถึงความเป็นกันเองของผม น่าน! ยอตัวเองก็เป็นนะ ฮ่าๆ

    ว่าแต่ว่า คิดถึงลูกหว้าเน๊อะ! ชักคอแห้งไม่มีใครเอาน้ำมาให้ดื่มกิน
    กินธรรมะทุกวันนี่ ตัวจะเหมือนธรรมะเข้าไปทุกๆวันแล้ว จนไม่ค่อยมีคนคบแร๊ะ
    เพราะผมชอบไปหาพระเจ้า ไม่ใช่เจ้าพระยา2นะ คุณลุกพลัง คุณวิทย์ อย่าเข้าใจผิดนะ
    555 พูดเอง เออเอง ท่าจะบ้าแร๊ะเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สรุปแว้ ผู้หญิงกับผู้ชายชอบอะไรมากที่สุด
    อย่างฮา...

    ถ้าถามผู้ชาย
    ผู้ชายชอบผู้หญิงตรงไหน<?
    ใบหน้า(ตั้งแต่คอจนจรดหัว) ผู้ชายชอบอะไรผู้หญิงมากที่สุด?
    คอ
    หู
    ปาก
    จมูก
    ลิ้น
    ตา
    คิ้ว
    หัว
    ผม
    ชอบฟัน
    สรุปแว้ ผู้ชายส่วนมากชอบ........
    อิอิ :)

    ถ้าถามผู้หญิง
    ผู้หญิงชอบผู้ชายตรงไหน

    ใบหน้า(ตั้งแต่คอจนจรดหัว)ของผู้ชาย ผู้หญิงชอบอะไร?
    คอ
    หู
    ปาก
    จมูก
    ลิ้น
    ตา
    คิ้ว
    หัว
    ผม
    ชอบคาง
    สรุปแว้ ผู้หญิงส่วนมากชอบ......

    อิอิ:)

    ปล.หัวเราะหน่อยน่ะ อายุจะได้ยืน แต่จะสั้นกว่าผู้เจริญอิทธิบาท4 นะ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หลวงพี่มาแว้วววววว พระมหาสมปอง(เชิญยิ้ม)
    สรุปแว่....อย่างฮา ​


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Nzh2rntbLFY]พระมหาสมปอง สรุปแว่....9 มิย.54 - YouTube[/ame]​

    ปล. หน้านี้ผมขอเหมานะ ได้สปอนเซอร์เยอะ ฮ่าๆ
     
  11. ข้าวฮาง

    ข้าวฮาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +608
    "#2768 อันนี้ครับอันนี้ จะยกมาที่บอร์ดข้าวฮาง อิอิอิ และอันอื่น ๆ ที่จะแอบจิ๊กมาครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะขอรับ สาธุฯ อีกที (^^)"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2012
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    วิปัสสนึก..กายคตา

    เรื่องฮา ๆ ของอวัยวะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152 KB
      เปิดดู:
      100
    • 02.jpg
      02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      169.6 KB
      เปิดดู:
      92
    • 03.jpg
      03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      222.8 KB
      เปิดดู:
      90
    • 04.jpg
      04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.6 KB
      เปิดดู:
      85
    • 05.jpg
      05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.6 KB
      เปิดดู:
      76
    • 06.jpg
      06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.3 KB
      เปิดดู:
      91
    • 07.jpg
      07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.3 KB
      เปิดดู:
      90
    • 09.jpg
      09.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.8 KB
      เปิดดู:
      76
    • 10.jpg
      10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      230.5 KB
      เปิดดู:
      96
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      190.1 KB
      เปิดดู:
      76
    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      190.8 KB
      เปิดดู:
      78
    • 13.jpg
      13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      237.8 KB
      เปิดดู:
      77
    • 14.jpg
      14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.6 KB
      เปิดดู:
      82
    • 15.jpg
      15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.7 KB
      เปิดดู:
      80
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ,,

    คลิ๊กซ้าย และก๊อปปี้ลากยาวถึงตรงที่คุณต้องการ และคลิ๊กขวาที่เม้าส์คุณ ตรงไฮไลท์ คำว่า copy และมาคลิ๊กซ้ายที่เม้าส์ตรงที่คุณต้องการ แล้วคลิ๊กขวาอีกที ตรงคำว่า paste ก็เป็นอันเสร็จพิธี
    แต่เม้าภาษาไทยผมไม่ทราบง่ะ
    เดี๋ยวคุณถามวิศวรคอมฯในกระทู้ผมดีก่า คุณwittayapon
    คุณวิทย์ ช่วยหน่อย ผมอธิบายไม่เป็น บอกได้แต่เกรงว่าคุณจะไม่เข้าใจ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนยุ่ง โลกวุ่นวาย
    ก็เป็นเรื่องของคนๆนั้น เป็นเรื่องทางโลก
    คนแปลว่า ยุ่ง โลกแปลว่า วุ่นวาย
    ทั้งคนอื่นๆ หรือโลกทั้งใบนี้ เราไม่สามารถไปเปลี่ยนอะไรมันได้เลย
    และคนที่กำลังจะคิด จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นๆ เปลี่ยนโลกนั้น เลิกเห่อ
    Impossible! เป็นไปไม่ได้หรอก

    คนเรานี่ ถ้าจิตดีเสียอย่างเดียว อะไรก็ทำร้ายไม่ได้ ทำลายไม่ได้
    จิตดีในที่นี้หมายถึง จิตผู้เจริญ จิตที่มีศีล มีธรรมประจำจิต
    ซึ่งธรรมะที่ว่านี้ก็ต้องเป็นธรรมะที่ออกมาจากดวงจิตของตนเองนะ
    มิใช่ออกมาจากคนอื่น หรือที่อื่นๆ

    แต่เมื่อไหร่พวกเราสามารถฝึกจิตตนเองดีแล้ว เราก็จะเข้าใจตนเอง
    และต่อๆไปก็จะเข้าใจคนอื่นๆ ทั้งโลกใบนี้ได้เลย
    ถึงเขา หรือคนอื่นๆไม่ดีสักเพียงไร
    แต่ถ้าจิตของเราดีเสียอย่างเดียว ไม่มีปัญหา ไม่เดือดร้อน
    ถึงใครจะด่า ว่า ร้าย นินทาก็เชิญเลยครับ มันเป็นซะอย่างนี้
    เพราะในเมื่อจิตของคนเราดีเสียอย่างเดียว เราก็ให้อภัยคนทั้งโลกนี้ได้ทั้งหมด
    เพราะเราเข้าใจจิตตนเองเพียงอย่างเดียว

    ยิ่งพูดธรรมะก็ยิ่งเพลิน เดี๋ยวจะยาวไปอีก
    งั้นแค่นี้ก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2012
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน

    คุณwatjojoj ข้างในคุณนี่ดีเจงๆนะ
    คนมันจะดีนี่ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน มันก็ดีนะ
    คุณwajojoj คุณไม่ต้องมาเยินยอครูเขาหรอกน่ะ ผมขอเปลี่ยนให้คุณทำจิตเกาะพระได้ผลสำเร็จก็พอใจแล้ว
    ตรงนี้นี่ไง ที่ครูที่นี่อยากได้กัน มิใช่คำยอจากคุณ ฮ่าๆ
    ผมก็พูดไปตามหลักการเท่านั้นนะ คิดว่าคุณเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังสื่อไป เพราะคุณนั้นแทบไม่ต้องสอนมากหรอก เพราะข้างในคุณเป็นเทพ เป็นเทวดา เป็นพระ
    เพียงแต่ที่คุณมาที่กระทู้นี้ก็เพื่อ นิพพาน คำเดียวผมรู้นะ
    แต่ถ้าคุณอยากได้มากๆนะ คุณจะไม่ได้หรอก

    แต่ทำไมคุณถึงจะได้ เอาสูตรคุณวิทย์ไปใช้นะ คือ
    อย่าอยาก แต่ถ้าคุณหยุดความอยากของคุณได้เมื่อไหร่แล้ว
    จิตคุณก็จะถึงนิพพานทันที
    แต่คุณจะต้องเดินสายกลาง หรือสายมรรคผลนิพพานนี้เท่านั้นนะ
    ไม่มีคำว่าโชคช่วย หรือว่าจับฉลาก หรือว่าฟลุ๊ค
    ฝีมือคุณล้วนๆ มิใช่ฝีมือครูหรอกนะ
    ที่ผมพยายามสื่อให้ทุกคนรู้ว่า เอาไปหลงเอา หรือรับคำเยินยอ หรือแม้นกระทั่งคำชมจากผู้อื่นนะ เพราะเดี๋ยวจะเหลิง เดี๋ยวแทนที่ศิษย์จะหลง แต่กลับกลายเป็นครูซะเองที่หลงงงงวย...

    ผมมิได้หมายถึงครูยิ่งนะ จงอย่าเข้าใจผิด
    คนถึงธรรมะกัน เขาปฎิบัติกันเพื่อความหลุดพ้น มิใช่ไปวิ่งตามหาศิษย์ให้มาเป็นบริวารกันเยอะ เยอะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อันนั้นเข้าใจกันผิดแล้ว
    คนดีต้องดีจริง คนดีต้องขลัง มิใช่ขังตนเอง ปิดกั้นตนเองไม่พอ ไปปิดกั้นคนอื่นๆอีก
    แต่ถ้าใครมีศิษย์เยอะๆแล้วภูมิใจนะ ผมจะบอกให้ นั่นน้ำหนักครูจะลดละ คือตัวจะลอยละ จะบ้าละ เพราะไปหลงดีใจที่มีศิษย์เยอะแยะ ภูมิใจที่มีคนนับหน้าถือตา อันนั้นบ้าเข้าขั้นละ
    ที่ผมพูดมานี้ ถ้าผมพูดผิดว่าได้นะ ตำหนิผมได้นะ และผมจะขอบใจคนที่มาด่า มาตำหนิผม เพราะผมก็กำลังตามหาความเลวของตนอยู่เหมือนคุณwatjojoj นี่แหล่ะ!
    ลูกหลานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จะต้องให้คนอื่นๆว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้ มิใช่ไปมองหาแต่สิ่งเลวๆจากคนอื่นๆเขา
    หลวงพ่อท่าสั่งสอนว่า ให้เพ่งโทษตนเอง ให้ดูจิตตนเอง เพียงอย่างเดียว ส่วนใครจะดี หรือว่าเลวมันก็เป็นเรื่องของคนๆนั้น ไม่เกี่ยวกับตนเอง
    เพราะนอกจากเสีเวลาแล้ว จะเสียมรรค เสียผล เสียนิพพานของตนเอง

    คนที่จะไปพระนิพพานเขาไม่เอากับคนอื่นๆ กับทางโลกนี้ทั้งหมด ก็เพราะในเมื่อเราก็รู้ๆกันดีอยู่ว่า ทั้งหลาย ทั้งปวงก็ล้วนแต่สิ่งสมมุติทั้งสิ้น

    แล้วเราจะไปหลงคนดี ไปหลงด่าคนเลว ทำไม
    ให้เราสนในดูจิตของตนอย่างเดียวก็พอ

    นี่ผมพอจะเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้มั๊ย แต่ท่านยังไม่ได้ละสังขารผมก็ไม่เคยไปหาท่านเลยนะ ไปทีก็เห็นสรีระของท่านไปนอนในเรือนกระจกแก้วไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ถึงได้พบหลวงพ่อตอนยังมีลมหายใจอยู่ แต่เราไม่เอาไหน ไม่นำธรรมะของท่านมาปฎิบัติกับตนเอง (วงเล็บตนเองนะ ตนเอง)
    มิใช่นำธรรมะของหลวงพ่อมาห่ำหั่นกัน นำธรรมะของหลวงพ่อไปสอนคนอื่นๆ แต่ไม่ได้กลับมาสอนตนเอง
    อันนี้ใช้ไม่ได้

    ผมไม่เหนื่อยใจหรอก ถ้าได้สอนคนดีๆอย่างคุณ
    แต่ผมจะเหนื่อยใจตนเองมากกว่า ถ้าชาตินี้ผมไม่ได้ไปนิพพาน
    ดูสิว่าเราจะได้ไปไหม๊?
    แต่ผมไม่อยากรู้ ไม่อยากดูว่าใครได้ไปมั่ง แต่ผมสนใจดวงจิตของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าไปได้ก็อยากจะชวนดวงจิตอื่นๆไปด้วย
    แต่ถ้าสอนให้ดวงจิตอื่นๆไปนิพพานกันได้หมด แล้วผมไม่ได้ไปนะ ผมยอมครับ ผมยอมเสียสละเพื่อให้ลูกทางธรรมของผมก่อน

    มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพ่อที่เสียสละลูกแท้ๆของตนเองสักเท่าไหร่นักหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2012
  16. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมยังหลงคำยอ แสดงว่ายังเลวอยู่มากเลยครับ แต่ทุกวันนี้เวลาผมเกิดอารมณ์ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ นึกถึงภาพพระ (แม้ยังไม่ชัดมากเท่าใด)ก็จะสงบลงแบบไม่น่าเชื่อครับ(อ่านคำชมคุณภูเสร็จต้องรีบนึกเลยครับ ) แม้บางครั้งจะเคยแว๊บมาในหัวสมองว่าไอ้ที่เราทำๆอยู่นี่มันจริงๆเหรอว่ะเนี่ย ก็ต้องรีบสะบัดความคิดเลวๆนี่ออกไป แล้วเราจะสงสัยอะไรในเมื่อเราทำความดีหว่า อย่างตอนแรกที่เริ่มหัดทำหัดสวดมนต์ต้องแอบทำ อายคนอื่นเขา มาทุกวันนี้ตรูทำความดีจะอายทำไมวะเนี่ย
     
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อะไรน่ะ พี่ภูยังไม่นอนอีกเหรอ หนูจากลับบ้านแล้ว
    ไปนอนพักขันธ์ได้แล้วค่า
    ราตรีสวัสดิ์ค่า
    [​IMG]
     
  18. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    ปัญญาควบคุมความคิดได้ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา
    ดังนั้นผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมความคิดมิให้ก่อให้เกิดความทุกข์ได้
    นั่นก็คือผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถพาใจหลีกพ้นความเศร้าหมองของกิเลสได้
    ผู้ไม่มีปัญญาหาทำได้ไม่


    ปัญญามีอำนาจเหนือความคิด ก็คือปัญญามีอำนาจเหนือกิเลสนั่นเอง
    เพราะเมื่อปัญญาควบคุมความคิดได้
    ความคิดก็จะไม่ปรุงแต่งไปกวนกิเลสที่มีอยู่เต็มโลกให้โลดเล่นเข้าประชิดติดใจ
    จึงเป็นการควบคุมกิเลสได้พร้อมกับการควบคุมความคิด


    ความเกิดเป็นความทุกข์
    เพราะความเกิดนำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ ความตาย
    ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ
    ความไม่ประจวบด้วยสิ่งปรารถนาทั้งปวง
    ความทุกข์เหล่านี้หนีไม่พ้น เพราะเป็นผลตามมาก็ความเกิดอย่างแน่นอน
    ความทุกข์ทางกายหนีพ้นได้ด้วยการไม่เกิดเท่านั้น
    ส่วนความทุกข์ทางใจหนีได้ด้วยความคิด

    [​IMG]

     
  19. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ผมก้อทำไม่เป็นครับ 55555555555555555
    น้องหนูช่วยพี่ด้วยยยยยย
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้เจริญในศีล ในธรรมทั้งหลาย​


    พวกเราอย่าได้เอาแต่อ่านจากตำรากันนะ
    ขอให้ปฎิบัติเยอะๆ
    แต่ถ้าใครอ่านเยอะ รู้มากก็จริงอยู่ แต่ความรู้นั้นมันจะมาจากผู้อื่นเสียมากกว่า ความรู้จากตนเอง โดยเฉพาะที่ได้จากการปฎิบัติของตนเอง

    แต่ถ้าใครอยากมีทั้งศีล ทั้งธรรมประจำใจของตนครบนะ
    ก็ขอให้พวกเราทำจิตให้นิ่งมากๆกันสิ
    ก่อนจะทำจิตให้นิ่งนี้กันได้ มันก็แสนจะยากเย็นเข็นใจกันจริง
    จิตคนนี่มันฝึกยากนะ แต่ก็ต้องฝึก ไม่ฝึกไม่ได้
    แต่ถ้าใครไม่ฝึกจิตตนเอง ก็เท่ากับยอมรับทุกข์ อยู่กับทุกข์มันไปตลอดปี ตลอดชาติ
    และก็หลงเกิด หลงตายกันอยู่แบบนี้แหล่ะ!

    จิตคนเรานี่ก็แปลกนัก จิตยิ่งไม่นิ่งก็ยิ่งโง่เขลา และก็ยิ่งเป็นทุกข์สาหัสมาก
    แต่ถ้าเราสามารถทำให้จิตนิ่งสงบ สงัดมากเท่าไหร่แล้ว ก็ยิ่งรู้มีปัญญามาก และก็บรมสุขมากเสียจริงๆด้วย
    แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถเดินทางมาถึงกันที่ว่านี้ได้ มันก็มิใช่เรื่องที่ง่ายนัก
    แต่ก็ไม่ยากเย็นสำหรับผู้ที่ตั้งใจ และมีความเพียรมากในการปฎิบัติกัน
    โดยเฉพาะสิ่งที่มีค่ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งปฎิบัติได้ยากกันเท่านั้น
    ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆกันหรอก

    คนชั่ว ทำดียาก ทำชั่วง่าย
    ผิดกับ
    คนดี ทำชั่วยาก แต่ทำดีง่าย
    และผลของกรรมชั่วนั้น จะส่งผลไวกว่ากรรมดีมากโข
    เพราะคนไม่ดีมักไม่มีความอดทน กระทำกรรมดีกัน ก็ด้วยเหตุนี้

    เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพวกเราอยากฉลาดกัน ก็หมั่นพยายามมีสติเยอะกันเข้าไว้นะ
    เพราะถ้ามีสติเยอะๆ จิตของเราก็จะนิ่งกัน
    แต่ถ้าจิตนิ่งสงบมากๆ นั่นก็จะหมายถึง จิตเป็นสมาธิ
    แต่เมื่อไหร่จิตของพวกเรานิ่งสงบ หรือเป็นสมาธิมากกันเท่าไหร่
    นั่นก็จะหมายถึง จิตเกิดปัญญาแล้ว
    และจิตที่นิ่งสงบ จิตที่เป็นสมาธิ หรือจิตเกิดปัญญานี้กัน
    เขาเรียกว่า จิตพร้อมใช้งาน ใช้ไปทำอะไร ก็ใช้พิจารณาโน้น นี่หรือที่ที่เราอยากรู้

    และทำไปเราจึงรอให้จิตพร้อมงานกัน ก็เพื่อเราจะได้ไม่หลงผิด หรือคิดผิด
    แต่ถ้าเราได้จิตที่พร้อมใช้งาน เราก็จะรู้เห็นอะไรก็จะตามความเป็นจริง หรือมีความเห็นถูกต้อง เพราะจิตของเรานิ่ง จิตเป็นสมาธิ จิตเกิดปัญญานี่เอง

    แต่ถ้าใครอยากโง่เขลา เบาปัญญาก็มิต้องทำอะไร เดี๋ยวจิตที่ไม่นิ่งนี้แหล่ะ! มันจะไหลลงต่ำไปกับกิเลสฝ่ายต่ำๆเองโดยธรรมชาติ เราแทบไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก
    เขาถึงเรียกว่า เลวบริสุทธิ์
    แต่ไม่เหมือนความดีบริสุทธิ์กันนะ ดีบริสุทธิ์นั้น เราจะต้องฝึกสติ หรือฝึกจิตกันเอาเองนะ
    พวกเราท่องให้ขึ้นใจกันเลยว่า ไม่มีใครเปลี่ยนคนอื่นๆได้หรอก มีแต่ไม่ใช่ไม่มีนะ
    แต่เหตุที่เปลี่ยนกันนั้นก็ด้วยชั่วเท่านั้น เพราะความหลงผิดกัน เช่น ความรัก เป็นต้น
    ใหม่ๆนี่ตามกันดีนะ แต่ถ้ารักกลายเป็นขมเมื่อไหร่ จะมีคำถามตามมาว่า ทำไมเธอไม่ทำตามฉันบอก นั่นไง๊ บอกแล้ว ชักจะหัวแข็ง หัวดื้อกันละ
    อีตอนที่ยังไม่ได้กันน่ะ พี่ตามน้อง น้องตามใจพี่ ต่างคนก็ต่างตามใจกันและกันดี
    แต่อย่าลืมนะ ความรักก็ไม่เที่ยง ไม่เหมือนเมตตา คือรักนั้นพี่มีแต่ให้
    เอ่อ ผมก็ช่างหาอะไรมาบ่นให้กับพวกเราฟังกันเสียจริง

    จริงๆก็แค่อยากจะบอกว่า ปฎิบัติเยอะๆ
    ทำ ทำ ทำไปๆ แบบคุณลูกพลังแนะไปนั่นน่ะ
    ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว และก็อย่าอยากนะ อย่าอยาก สไตล์คุณวิทย์
    แต่คนเรานี่ก็แปลกนะ คือยิ่งห้าม ก็ยิ่งอยากจะได้ อยากจะทำ
    แต่พอไม่ห้ามกลับไม่อยากซะงั้น
    เรื่องมากไหม๊หล่ะ มนุษย์เรา

    และเรื่องสุดท้าย ถ้าเราอยกรู้โดยไม่อยากถามใคร หรืออยากเป็นผู้มีปัญญา
    พวกเราก็ต้องขยันภาวนา หรือทำจิตเกาะพระกันนะ
    เดี๋ยวบางคนทักมาว่า รู้ไหม๊มีคนเขาบอกมาว่า อย่าใช้คำพูด จิตเกาะพระ มันจะเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า เดี๋ยวพวกเธอจะพากันตกนรกอเวจี
    เลิกเหอะ เลิกกันได้แล้ว ที่ที่คนบอกปุ๊บ ก็หูเบาปั๊บเลยน่ะ
    คนที่เชื่อคนง่าย เขาเรียกว่า ไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง จะทำอะไรก็ต้องไปฟังเสียงคนอื่น ทั้งๆที่คนมาบอกนั้น มันก็กินข้าว เดินบนดิน มีสองตา สองหู สองมือ สองเท้า กับอีกหนึ่งมันสมอง แลเวถามว่า คุณๆคิดไม่เป็นกันหรอไรว่า
    อะไร แบบไหนเป็นการปรามาส แค่เรื่องแค่นี้ยังแยกแยะกันไม่ได้นะ
    เอ๊าโง่กันนัก เกิดอีกกี่ชาติกันดีนะ
    เด็กอายุแค่ 19 ปีเอง(จิตบุญ) ยังคิดได้เลย

    ขนาดหลานผมแค่ปฐมเอง ยังพูดว่า ถ้าฟังคนอื่นพูดต่อๆกันมา เราก็อย่าเพิ่งหูเบา หรือเชื่อ หรือไม่เชื่อ ให้วางเฉยก่อน หรือให้อยู่ระหว่างตรงกลางเชื่อหรือไม่เชื่อ
    แต่ขอให้เชื่อด้วยปัญญาของตนเอง
    (ว่าแต่ว่า พวกเรามีปัญญาเป็นของตนเองกันรึยัง? นั่นแหล่ะคือปัญหา)
    เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมาอย่างนี้ ผู้ใหญ่อายเด็กมันไหม๊

    และพวกเราเคยฟังธรรมกันไหม๊? ว่าด้วยเรื่อง คนที่ชอบว่า คนที่ตำหนิ คนอื่นๆนั้น
    มันนั่นแหล่ะ!
    เลวกว่าคนที่ถูกว่า ถูกตำหนิซะอีก!!!

    แหม๊! มาจบตรงนี้พอดีเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...