คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. ขมังเวทย์

    ขมังเวทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,829
    ในพุทธ ค้นหาวิถีตื่นรู้ของจิต

    ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ก็เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้น

    สิ่งที่ค้นหา คือธรรมชาติของกระบวนการของการเกิดทุกข์ แลหาทางดับทุกข์

    นั้นๆ อันเป็นแนวทางของนามธรรม จึงต้องใช้จิตล้วนๆในการรู้แจ้ง

    ในแนววิทยาศาตร์มีกระบวนการพิสูจน์แล้วจึงตั้งเป็นทษฎี

    สิ่งที่ค้นหาคือความเป็นไปของสรรพสิ่ง คำพระท่านว่าเป็นสิ่งภายนอกจิต

    ความรู้ที่ใด้เป็นสัตติสืบต่ออย่างไม่รู้จบ เรียนจนตายก็ไม่มีวันสิ้นสุดครับ
     
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เย้ๆๆ ดีจัยจังที่มีโอกาสได้รู้จักกับคุณจอมขมังเวทย์:cool:
    เพราะคุณขมังเวทย์เป็นผู้ที่รู้และเข้าถึงความเป็น " พุทธะที่อยู่ในใจ " แล้ว
    จริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์เค้าตามไม่ทันเรื่องของจิตวิญญาณหรอกค่ะ
    เพียงแต่ผู้ศึกษาทางจิตวิญญาณเองนั้น ก่อนที่จะเชื่ออะรัยก็ต้องรู้จักพิจารณาก่อน.. จึงจะเกิดปัญญา
    หรือรู้แล้วก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน หรือใครสักคนเคยพูด " ยิ่งสูงยิ่งต้องติดติด "
    เอามาฝากคุณจอมขมังเวทย์ด้วยรักเป็นกรณีพิเศษจ้า({)
    ............................

    อ้างอิง:
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt; mso-cellspacing: 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ebebeb 1pt inset; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ebebeb 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .75pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณkhajornwan
    พี่นักเขียนพอจะเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับการเข้าพลสมาบัติรึเปล่าคะเห็นใคร ๆ ก็พูดแต่เรื่องเข้าพลสมาบัติแต่ไม่เคยมีใครอธิบายความหมายได้เลยเคยทราบว่ามีพระที่เข้าพลสมาบัติจะนั่งสมาธิแบบไม่ขยับตัวเป็นเวลานานถึง 7 วัน 7 คืน รึพบว่าอาจารย์ที่เคยสอบอารมณ์สามารถนั่งสมาธิได้นานถึง 2 วัน 2 คืนโดยไม่ขยับตัวครั้งนึงท่านเคยให้ลูกศิษย์นั่งเฝ้าร่างของท่านขณะที่เข้าพลสมบัติลูกศิษย์คนนี้เล่าให้ฟังว่าตัวท่านแข็งไปหมดเหมือนคนตาย แต่ตัวยังอุ่นอยู่มีลมหายใจแผ่ว ๆ แทบจะไม่รู้ว่าท่านหายใจเวลาเอาบุหรี่ที่จุดแล้วไปอังที่จมูกก็จะดับทันที หัวใจเต้นช้า ๆ เวลาออกจากสมาธิหน้าของท่านจะขาวมากเหมือนกระดาษแต่ผ่านไปช่วงนึงหน้าของท่านก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเลยค่ะ..

    แต่ก็มีอาจารย์อีกท่านนึงที่สอนวิชาพลังจักรวาลพวกเรามักจะเรียกท่านว่ามนุษย์อุลตร้าแมนเพราะท่านมีพลังเยอะจนเหมือนมนุษย์ไฟฟ้ายังไงยังงั้นแต่ที่หน้าแปลกคือหน้าตาของท่านยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งเหมือนเป็นเด็ก ผิวของท่านขาวจริงๆ ขาวเหมือนกระดาษจนบางครั้งยังคิดว่าทำไมขาวได้ขนาดนี้..<O:p></O:p>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในที่นี้พี่นักเขียนก็ต้องขอออกตัวอีกตามเคยว่าไม่ใช่ผู้ชำนาญทางด้านพุทธศาสนาแต่นำความเข้าใจจากข้อมูลที่ได้รับจากท่านอาจารย์อนาลัยมาพยายามอธิบายความรู้เดิมบางส่วนหากผู้รู้ทางคัมภีร์ศาสนาจะแสดงความคิดเห็นแตกต่างกับพี่นักเขียนก็คงต้องขอเรียนเชิญให้อ่านสาระจากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยก่อนแล้วค่อยมาแสดงความคิดเห็นร่วมกันนะคะเพราะมิฉะนั้นแล้วจะไม่อาจสื่อสารหรือทำความเข้าใจร่วมกันได้เพราะจะเป็นกลายการอ้างอิงจากข้อมูลต่างชุดกัน เสมือนว่าพูดกันคนละภาษาทำให้เข้าใจกันได้ยากและรังแต่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งซึ่งไม่สนับสนุนให้เรียนรู้ได้ด้วยกันทุกฝ่ายจึงขอชี้แจงไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

    พี่นักเขียนเคยได้ยินคำว่าฌานสมาบัติ ซึ่งหมายถึงการเป็น ฌาน 5-8 ยาวนานได้ตังแต่ 7-49 วันอ่านพบและได้ยินได้ฟังมาว่าผู้ที่เข้าฌานสมาบัติจะมีคุณลักษณะเช่่นเดียวกับที่คุณน้องขจรวรรณกล่าวถึงคือมีร่างกายคล้ายคนตายแต่ที่ทราบมาจากพระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียนและได้อ่านพบจากหนังสือเกี่ยวกับการทดสอบพระธิเบตระหว่างเข้าฌานสมาบัติด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกันทราบว่าร่างกายของผู้ที่เข้าฌานสมาบัติจะคล้ายกับคนที่ตายใหม่ๆไม่เกิน 3 ชั่วโมงคือตัวไม่ได้แข็งทื่อ ลมหายใจอ่อนจนเสมือนไม่มี ชีพจรอ่อนแต่ก็ยังวัดได้อุณหภูมิิในตัวลดลงและสีผิวเปลี่ยนไป

    เมื่อพี่นักเขียนอธิบายว่าการจดจ่อให้สติสัมปชัญญะคงอยู่ระหว่าง ฌาน 4 กับ 5 นั้นเป็นภาวะที่เป็นไปไม่ได้นานนั้น เป็นจริงสำหรับทุกคนค่ะรวมทั้งผู้ที่อยู่ในฌานสมาบัติ เพราะภาวะที่อยู่ระหว่าง ฌาน 4 กับ 5 นั้นร่างกายจะไม่เข้าสู่ภาวะที่คล้ายคนตาย แต่ละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าหมดการกลับมาจดจ่อกับรูปกายอีกก็เป็นไปได้อย่างฉับพลันไม่เหมือนกับผู้ที่อยู่ในฌานสมาบัติ ซึ่งอยู่ในภาวะที่เป็นฌาน 5-8 ขึ้นไปแม้พระอาจารย์ที่สอนสมาธิพี่นักเขียน ซึงฝึกปฏิบัติสมาธิมายาวนานกว่า 65 ปีก็ยืนยันว่าภาวะระหว่างฌาน 4 กับ 5 จดจ่อได้เพียงเสี้ยววินาทีแต่เมื่อฝึกฝนจนชำนาญแล้ว เข้าสู่ภาวะนี้ได้บ่อยๆ

    การเป็นฌานขั้นที่ 5-8 เป็นภาวะที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะที่เป็นจิตวิญญาณหรืออีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่าสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายนอกเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ทิศทางเดียวกับสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับตัวตนภายในร่างกายคงสภาพหรือมีชีวิตต่อไปได้ด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวเป็นเหตุให้พระอาจารย์ทั้งหลายต้องกำชับให้ลูกศิษย์เฝ้าร่างของท่านจนกว่าท่านจะกลับมาจดจ่อกับตัวตนภายนอกได้อีกเพราะหากมีการเคลื่อนย้ายร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบถเท่าที่พี่นักเขียนเคยสอบถามพระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียน อาจารย์ลัทธิเต๋าและอ่านพบจากการทดลองพระธิเบตท่านบอกว่าจิตวิญญาณที่แปลงสภาวะหรือเปลี่ยนวิถีการจดจ่อกลับมาสู่รูปกายจะจำรูปกายนั้นๆไม่ได้หากมีการเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนอิริยาบถทำให้กลับคืนไปสู่การจดจ่อกับรูปกายเดิมไม่ได้และจิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปรูปกายอื่นๆหรือดำเนินต่อไปเป็นบุคคลอื่นๆร่างเดิมนั้นจะตกอยู่ในภาวะนั้นได้ไม่เกิน 49 วันหากเกินกว่านั้นย่อมถึงแก่ความตายของร่างกายตามธรรมเนียมธิเบตจึงไม่เคลื่อนย้ายหรือกระทำการอย่างใดกับรูปกายหรือศพ จนล่วงเลย 49 วันไปแล้ว

    ธรรมเนียมพุทธของไทยเรา ก็เคยใช้กำหนด 50 วันเป็นเกณฑ์ก่อนที่จะทำการเผาศพ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป สภาวะทางสังคมเปลี่ยนไปกำหนดเวลาต่างๆถูกลืมเลือนไปว่ามีเหตุผลมาจากอะไรผู้คนหันไปกำหนดเวลาเอาฤกษ์สะดวกเป็นเกณฑ์คือตั้งสวดศพ 7 วันก็เผาแล้วก็มี

    วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ก็ไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณเมื่อร่างกายหยุดทำงานในทิศทางที่แพทย์เรียกว่าเป็นปกติรูปกายหรือร่างกายนั้นๆก็ถูกตัดสินว่าถึงแก่ความตาย และก็ได้รับการฉีด Formalin ไม่ให้เน่าเปื่อยทันที ทำให้รูปกายที่ดูเสมือนคล้ายคนตาย อาจต้องตายลงด้วย Formalin ก่อนที่จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อกลับคืนมาสู่ร่างก็เป็นได้พระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียนท่านกล่าวว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่มีการตั้งสวดศพ 7 วันมีเหตุผลคือ ผู้ตายกว่าจะรู้ตัวว่าตาย มักจะล่วงเลย 7 วันไปแล้วเป็นอย่างน้อยที่สุด

    การฝึกปฏิบัติในทิศทางที่เรียกว่า ฌานสมาบัตินี้พี่นักเขียนเข้าใจจากคำอธิบายของพระอาจารย์ผู้สอนสมาธิของพี่นักเขียนมาว่าเป็นหนทางแห่งสายวิปัสสนาซึ่งเป็นไปด้วยเป้าหมายที่จะบรรลุการเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปกายหรือไปสู่ภาวะที่พระคัมภีร์เรียกว่านิพพาน

    [​IMG]

    แต่ผู้ที่ยังมีชีวิตและหน้าที่การงานความรับผิดชอบและสัมพันธภาพกับครอบครัว ญาติมิตร มักจะไปไม่ถึงฌานสมาบัติเพราะต่างก็มีความกังวลห่วงใยมากมายแม้จะมีเป้าหมายอยากจะนิพพานเพราะเล็งเห็นว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดแต่สติสัมปชัญญะก็ไม่อาจเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะอันเป็นฌาน 5-8 ได้นานหรือเป็นไปได้โดยปราศจากความปรารถนาที่จะกลับมาผู้ที่ฝึกสมาธิโดยแสวงหาสัปปายะ แสวงหาความวิเวก และไปได้ถึงฌาน 5-8 บ่อยๆมักพบว่าเมื่อกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติจะเบื่ื่อโลกและปรารถนาความสงบสุขทางจิตแต่อย่่างเดียว บางคนถึงกับมีความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตเพราะภาวะอันเป็นไปในฌานสมาบัตินั้นพี่นักเขียนเข้าใจตามคำอธิบายของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่าเป็นการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่การเป็นภาวะที่เป็นจิตวิญญาณปราศจากรูปกายทำให้หมดความปรารถนาในระดับกายภาพ

    พี่นักเขียนเชื่อคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่าจิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังเพื่อแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตเมื่อการแสวงหานี้เติมเต็มแล้วการถือกำเนิดในวงจรของชาติภพจะจบลงและจิตวิญญาณจะดำเนินชีวิตต่อไปในวงจรชีวิตนอกเหนือชาติภพแต่ท่านก็กล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายถึงความเป็นไปของจิตวิญญาณตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จักแต่ตามธรรมชาติแล้วจิตวิญญาณอยู่นอกเหนือช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาซึ่งหมายความว่าชีวิตทุกชาติภพ วงจรชีวิตของชาติภพและวงจรชีวิตนอกเหนือชาติภพ มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันเป็นปัจจุบันการพัฒนาของจิตวิญญาณก็เป็นไปอย่างเป็นระบบ ไม่ได้เป็นไปทีละร่างทีละชาติภพ

    เมื่อการแสวงหาช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิตตามเส้นทางแห่งกาลเวลาของเรายังเป็นไปไม่เติมเต็มจิตวิญญาณยังคงเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะแสวงหาประสบการณ์ทางกายภาพต่อไปซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าเราจะฝึกฌานสมาบัติจนเบื่อโลกเพียงใดเราก็ยังไม่ได้ไปถึงภาวะที่อิ่มตัวหรือเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตได้มากพอที่จิตวิญญาณจะเลือกที่จะเลิกมาถือกำเนิดในวงจรของชาติภพอีกต่อเมื่อจิตวิญญาณได้เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจนสมบูรณ์์แล้วจิตวิญญาณจึงสามารถดำเนินต่อไปนอกเหนือวงจรของชาติภพเป็นภาวะอันเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปกายได้หรือกลับไปสู่ภาวะต้นกำเนิดอันเป็นแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ คืิอเป็นความรู้

    หากเราพิจารณาเรื่องราวต่างๆจากพุทธประวัติ เช่นการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นำไปสู่การเป็นพุทธเราจะพบเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงชาติภพที่การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของจิตวิญญาณและการค้นพบคุณค่าอันเป็นอมตะของพระพุทธองค์เป็นไปอย่างบริบูรณ์การปรารถนาในชีวิตที่ปราศจากรูปกายนอกเหนือชาติภพจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ส่วนประวัติของพระเยซูก็แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณไม่น้อยไปกว่ากัน

    ในที่นี้พี่นักเขียนแสดงความคิดเห็นส่วนตัวตามความเข้าใจส่วนบุคคลว่าท่านอาจารย์อนาลัยสอนให้เราแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตเพื่อค้นให้พบคุณภาพอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณซึ่งแม้ว่าท่านอาจารย์อนาลัยจะไม่ได้แจกแจงไว้ในหนังสือ อมตะของจิตวิญญาณว่าคุณค่าอันเป็นอมตะเหล่านั้นมีอะไรบ้าง แต่่ท่านได้กล่าวย้ำเสมอว่าจิตวิญญาณมาถือกำเนิดเพื่อเรียนรู้คุณค่าของความรักอันเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิด และเรียนรู้ที่จะให้อภัยหรือเปลี่่ยนความเกลียดเป็นความรัก และท่านได้กล่าวย้ำว่าเป้าหมายหลักของจิตวิญญาณคือ การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    [​IMG]

    ทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติที่พี่นักเขียนเข้าใจว่าพวกเราคงจะมองเห็นได้ไม่มากก็น้อยว่าล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณที่เรารู้เห็นได้ในชีวิตประจำวันเมื่อเราได้รับความรักและการให้อภัย หรือเป็นผู้ให้ความรักและให้อภัยผู้อื่นเราจะตระหนักได้ด้วยกันทุกคนว่าคุณสมบัติด้งกล่าวนี้เป็นสิ่งล้ำค่าและพบได้ในทุกศาสนาและเป็นคุณสมบัติที่ไม่ใช่ว่าจะมีพร้อมกันได้ทุกคนได้โดยง่ายเพราะเรามักจะรักหรือให้อภัยอย่างมีเงื่อนไขการรักหรือให้อภัยโดยปราศจากเงื่อนไขจึงเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณที่เข้าถึงไม่ได้ง่ายๆเราอาจต้องเรียนรู้หลายชาติภพที่จะเข้าให้ถึงคุณสมบัติเหล่่านี้และคุณสมบัติอื่นๆอีกเช่น การเสียสละ การเห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นเป็นที่ตั้งการชื่นชมยินดีในนความสำเร็จของผู้อื่น ฯลฯล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะที่จิตวิญญาณต้องเรียนรู้อีกมากเพราะเรายังยึดติดกับความเชื่อมากมายที่ทำให้เราเสียสละไม่เป็นเห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นเป็นที่ตั้งได้ยากชื่นชมยินดีในนความสำเร็จของผู้อื่นได้ยาก เป็นต้น

    อย่างไรก็ตามท่านอาจารย์ก็ไม่ได้กล่าวว่าจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังจะบรรลุเป้าหมายไม่ได้หากแต่ว่าท่านสอนให้พวกเราตระหนักว่าเราสามารถทำหน้าที่ของเราได้อย่างดีที่สุดที่จะบรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณได้โดยการแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้สมบูรณ์ได้ด้วยการตระหนักว่าจิตวิญญาณก่อเกิดประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดได้ด้วยการจดจ่อและความเชื่อของเราเองหากเราตระหนักได้เราจะพบว่าการการแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้สมบูรณ์เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และเราทำได้เสมอชีวิตจะไม่ใช่ของยากที่เราจะต้องรีบเบื่อหน่ายแต่เราจะพบว่าเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างร่าเริงเบิกบานเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้ได้อย่างดีที่สุด

    พี่นักเขียนได้รับฟังการแสดงความรู้สึกส่วนตัวจากคนรู้จักกันที่บอกกับพี่นักเขียนว่าผมเบื่อโลกแล้ว ชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย จะได้ไม่ต้องลำบากอีกจะตั้งจิตขอนิพพานให้ได้ในชาตินี้ แล้วเขาก็ถามว่าพี่นักเขียนจะขอนิพพานหรือไม่ชาตินี้

    พี่นักเขียนตอบว่าท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เราทั้งหลายมาถือกำเนิดในโลกนี้เพราะเรารักที่จะมาแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตในโลกอันเป็นกายภาพหากการแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตยังเป็นไปไม่สมบูรณ์เราก็จะกลับมาแล้วกลับมาอีกจนกว่าจะเติมเต็มและสมบูรณ์

    พี่นักเขียนเชื่อว่าพี่นักเขียนจะเกิดแล้วเกิดอีกในชาติภพต่างๆ มากมายจนกว่าจะเติมเต็ม พูดง่ายๆได้ว่าอิ่มแล้วจึงจะเลิก เลิกเมื่อไรก็ละได้แม้ชาติภพนี้ก็ยังอยากเรียนรู้อีกมากมายยังไม่สามารถเติมเต็มความรู้และประสบการณ์ที่จะทำให้รู้จักคุณค่าชีวิตอีกมากมายเมื่อพิจารณาตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่าทุกชาติภพมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นป้จจุบันพี่นักเขียนจึงเชื่อต่อไปอีกว่า จุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติภพนี้ของเราแต่ละคน เราจะพบว่าเราตระหนักได้ในส่วนลึกไม่วันใดก็วันหนึ่งว่าหน้าที่และเป้าหมายที่แท้จริงที่เราเลือกมาถือกำเนิดในชาติภพนี้คืออะไรและเมื่อพบแล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ ทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุดคือแสวงหาความรู้ให้ได้มากที่สุดและอยู่ในตำแหน่งหน้าที่อันมีจุดยืนเป็นเอกลักษณ์ของตนอย่างดีทีึ่สุดเพราะการเป็นบุคคลตัวตนนั้นๆ อย่างดีที่สุดในระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณจะสนับสนุนให้การเป็นบุคคลตัวตนอื่นๆในระบบก้าวหน้าไปด้วยกันทั้งหมดเหมือนที่พวกเราห้องวิทย์ฯกำลังทำหน้าที่ของแต่ละคนอย่างดีที่สุดที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่ในขณะนี้ฟาดกันแรงไปนิดก็ไม่ว่ากัน แบ่งขนมกันหน่อย แบ่งรอยยิ้มและเสียงเพลงกันนิดแบ่งปันความรักให้กันรายวัน ระบบห้องวิทย์ฯของเราก็พัฒนาก้าวหน้าไปได้ 1 เดือนเหมือน 10 ปี เรียกว่าเติมเต็มได้อย่างรวดเร็ว
    (f)(f)(f)
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พลังจักรวาลและความรัก

    ความรัก เป็นหนึ่งในเป้าหมายของพลังจักรวาล และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีคำว่า “ ความรัก ” ในตราสัญลักษณ์และชื่อของพลังจักรวาล ส่วนวัตถุประสงค์อื่นอีก 2 ประการได้แก่ มนุษยชาติ และความรู้แจ้ง คำว่า “ มนุษยชาติ ความรู้แจ้ง ความรัก ” คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์แทนปิรามิดสามด้านในพลังจักรวาล แต่มีความหมายพิเศษมาก และมีผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่

    <O:p</O:pความรัก เป็นวัตถุประสงค์พื้นฐานของพลังจักรวาล ดังนั้นเราจึงอาจกล่าวได้ว่าพลังจักรวาลเป็นโรงเรียนของความรัก ประการแรกที่สุด เป็นความรักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ทรงมอบให้แก่มนุษยชาติ อีกความหมายหนึ่งเพราะว่าความรักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด มีอยู่ในพลังจักรวาล ถ้าปราศจากความรักของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราก็คงจะไม่มีการเรียนการสอนวิชานี้ เราก็จะไม่มีความสามารถทางด้านจิตวิญญาณและเราก็จะไม่มีพลังอำนาจใดๆ เลยด้วย บางทีเราสามารถจะกล่าวได้ว่านับตั้งแต่เราได้รับความรักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ พวกเราได้มีความสามารถที่อยู่นอกเหนือหลักการ ความรู้ และประสบการณ์ของปุถุชน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และตำราทุกเล่มนับตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันจะเคยมีการบันทึกเอาไว้

    <O:p</O:pอาจารย์พูดถึงความรักในวิถีทางที่ถูกต้องแน่นอน และไม่ใช่เป็นวิถีทางทั่วๆ ไป ด้วยความถูกต้องนี้ขณะที่พวกคุณนำความรักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปให้เพื่อนมนุษย์ พวกเราได้นำเอาพลังจักรวาลซึ่งเป็นคำนิยามทางวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงพลังนี้เป็นพลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่อง เด๋ ที่ได้มอบแก่พวกคุณเพื่อนำไปช่วยกายเนื้อ จิตวิญญาณของเพื่อนมนุษย์เหล่านั้นด้วยการส่งพลังให้หรือว่าสอนวิชาพลังจักรวาลแก่พวกเขาเหล่านั้น

    <O:p</O:pอาจารย์ของย้ำอีกครั้งว่า พลังจักรวาลหรือความรักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ เป็นความรักที่อยู่เหนือภาวะธรรมชาติ ถึงแม้ว่าคำว่า “ พระผู้เป็นเจ้า ” จะเป็นนามธรรม แต่คำว่าจิตวิญญาณก็เป็นนามธรรมด้วยเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่คำว่าพลังจักรวาลก็เป็นนามธรรมด้วย เหตุผลก็คือ พวกเราไม่สามารถมองเห็น “ พระผู้เป็นเจ้า ” พวกเราไม่สามารถจะรับรู้ได้ว่า จิตวิญญาณคืออะไร พวกเราไม่สามารถจะคว้าหรือจับพลังจักรวาลได้ และพวกเราก็ไม่สามารถจะชั่งหรือวัดความรักได้ด้วย แต่มีพวกเราหลายคนสามารถสัมผัสในผลกระทบของพลังจักรวาล ซึ่งก็คือผลกระทบของความรักที่ได้จากการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ได้ปลดปล่อยวิญญาณเร่ร่อนให้เดินทางไปสู่เบื้องบน หัวใจของพวกเราก็เปิดขึ้น จิตวิญญาณก็จะเฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น มนุษย์ก็จะมีความเจริญก้าวหน้าต่อไป และได้ประสบกับความสำเร็จตามที่ได้คาดเอาไว้ ฯลฯ และนี่ก็คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าความรักเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือภาวะธรรมชาติ

    [​IMG]

    <O:p</O:pเป็นความจริงที่ว่าพระผู้เป็นเจ้ารักมนุษย์ทุกๆ คน ความจริงนี้ได้ปรากฏขึ้นชัดเจนและแนบเนียนมาก แต่ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่เข้าใจ หรือไม่ก็ไม่ยอมรับในความรักของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นบนโลกนี้ แต่ก็มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีพลัง เป็นเผ่าพันธุ์สูงสุดที่มีอำนาจเหนือสัตว์ทั้งปวง ซึ่งเราสามารถพูดได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำเอียง เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ทรงรักมนุษย์มากกว่าสัตว์อื่นบนโลกนี้

    <O:p</O:pสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เถื่องเด๋ ทรงรักมนุษย์ทุกๆ คนมาก แต่อีกนัยหนึ่งมนุษย์จะได้มีความรักให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ หรืออาจจะทำนองเดียวกับสถานการณ์ของมนุษย์ที่พ่อแม่รักลูกของตนทุกๆ คน แต่ลูกจะได้มีความรักให้แก่พ่อแม่ของตนหรือไม่ และพวกเขามีความรักให้แก่พ่อแม่มากสักเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับความรักที่พ่อแม่ได้มีให้กับลูกๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าพวกลูกๆ จะปฏิบัติต่อพ่อและแม่อย่างไร พ่อและแม่ก็ไม่เคยจะหยุดรักและยังคอยให้ความช่วยเหลือแก่ลูกๆ ของเขา สิ่งนี้ก็คือคุณสมบัติของความรักของพ่อแม่ ซึ่งก็เหมือนกับความรักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีต่อมนุษย์และสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายและจะยังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันเสื่อมถอย เพราะความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเถื่องเด๋ ได้ทรงสร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตทั้งหลายขึ้นมา และแล้วพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ ตามขึ้นมาในภายหลัง ให้มีรูปลักษณ์ที่ดีกว่า มีสติปัญญาสูงกว่ามีพลังและความสามารถที่จะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งบนสวรรค์และโลกได้มากกว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานประสาทสัมผัสทั้งห้าที่คมชัด ในด้านอารมณ์ ความยินดี ความรื่นเริงทางกาย ความสุขทางใจ ความรื่นเริงในอารมณ์และจิตวิญญาณฯลฯ ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่พ่อแม่ไม่ได้มีความรักให้กับลูกๆ ของเขาแค่ 2 – 3 ครั้ง แต่พวกเขาจะให้ความรักและความช่วยเหลือลูกๆ ของพวกเขาตลอดไปชั่วนิรันดร์ ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงรักและช่วยเหลือมนุษย์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยพระองค์ได้ทรงมอบพลังจักรวาลให้แก่พวกเราเพื่อให้พวกเราสามารถปกป้องตัวเราเองและผู้อื่นได้

    พระผู้เป็นเจ้าทรงรักมนุษย์ แต่พวกเราจะรักตัวเราหรือเปล่า ก็คงเหมือนพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้จักตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจในความรักของพ่อแม่ที่ได้มอบให้แก่พวกเขา พวกเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะทำอะไรเลย พวกเด็กๆ เหล่านี้จำเป็นที่จะต้องรู้จักความรักตนเอง พ่อแม่ทุกคนจะต้องช่วยเหลือพวกเขา มนุษย์ทุกคนต้องรู้จักรักตนเองแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเหลือพวกเขา เมื่อเราได้ถกเถียงกันถึงเรื่องความรัก เราจะต้องพูดถึงความรักของใครคนใดคนหนึ่งก่อน การรู้จักรักตนเองเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นประเด็นที่มีประโยชน์ไม่มีอะไรจะเลวร้ายเท่ากับการที่มีใครหลงผิดแล้วถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ และถูกพิพากษาลงโทษ การรู้จักรักตนเองเป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติง่าย แนบเนียน และสามารถจะอธิบายได้ง่าย ถ้าคุณไม่รักตัวคุณเอง คุณก็คงไม่สามารถอธิบายถึงความรักที่คุณมีต่อคนอื่นๆ ได้ จงปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสอนให้รักผู้อื่น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่เราชาวพลังจักรวาลจำเป็นต้องรู้จักตัวเราเองก่อน เพียงคำว่ารักตนเองเท่านั้นก็เป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ว่าทำได้ยากเสียแล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงการรักผู้อื่นหรือการรักสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบากกว่าหลายพันเท่านัก คุณรักตัวคุณอย่างไร รักกายเนื้อของคุณ จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณของคุณ เป็นต้น พวกคุณแต่ละคนสามารถจะสะท้อนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ฝังลึกอยู่ภายในตัวของคุณออกมาได้ และค้นหาคำตอบให้ได้ว่าคุณรักตัวของคุณเองจริงๆ หรือไม่ เมื่อคุณหิว คุณกินอาหารใช่ไหม? เมื่อคุณกระหายน้ำ คุณดื่มน้ำใช่ไหม? เมื่อคุณอ่อนเพลีย คุณต้องพักผ่อนใช่หรือไม่? เมื่อคุณง่วง คุณสามารถบังคับให้ตื่นอยู่ได้หรือไม่? เมื่อจิตวิญญาณของคุณต้องการพัฒนา คุณต้องการจะเรียนรู้หรือเปล่า? เมื่อคุณมีอารมณ์อยากจะรับฟัง คุณจะปฏิเสธหรือไม่? เมื่อจิตวิญญาณของคุณต้องการขึ้นสู่สวรรค์ คุณจะคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่? เมื่อคุณพบสัจธรรมและคำตอบที่สมบูรณ์สำหรับคำถามทุกๆ คำถามข้างต้น คุณยังเชื่ออยู่หรือไม่ว่าคุณรักตนเอง
    <O:p</O:p
    การรักษาคนไข้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะมีอาการเจ็บป่วยหนักหนาเพียงไร ถ้าคนๆ นี้ไม่ได้รักตนเองแล้วก็เป็นการยากที่จะค้นพบวิธีการรักษา ยิ่งเขารักกายของเขามากเท่าไร เขาก็จะมีโอกาสหายเจ็บไข้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งเขารักชีวิตของเขามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งมีโอกาสพบวิธีการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป และไม่ได้รักตัวเองหรือผู้อื่น แม้เขาจะเจ็บป่วยเล็กน้อย เขาก็อาจล้มป่วยหนักรักษาไม่ได้ หรือความเจ็บป่วยนั้นมีทางจะรักษาได้ แต่ผลที่ตามมาก็คือไม่สามารถจะรักษาได้ การรักตนเอง รักผู้อื่น รักชีวิตเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นที่ทำให้คนเรามีสุขภาพดี หยุดยั้งความชรา ป้องกันการเจ็บป่วย ถ้าคุณไม่รักตัวเอง ไม่รักผู้อื่น ชีวิตของคุณ จิตใจของคุณ ความรู้สึกที่เป็นลบเหล่านี้ จะบ่อนทำลายสุขภาพ ความสุข สติ ปัญญา และอารมณ์ เป็นต้น
    <O:p</O:p
    เมื่อคุณรักษาใครสักคนแล้ว คุณต้องให้ความสนใจกับเรื่องการให้ความรัก เริ่มด้วยการมอบความรักจากใจของคุณแก่บุคคลนั้นก่อน ถ้าคุณได้มอบความรักให้คนๆ นี้ หรืออย่างน้อยคุณก็ไม่ได้เสียดายที่จะให้ความรักแก่เขา คุณก็สามารถจะรักษาเขาคนนี้ได้ ถ้าคุณไม่ได้รักเขาหรือไม่ชอบเขา สิ่งที่ดีที่สุดก็คือคุณไม่ต้องรักษาเขา ปล่อยให้คนอื่นเขารักษาคนนี้จะดีกว่า เพราะว่าถ้าคุณพยายามจะรักษา จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หรือไม่ได้ผลเลย เพราะว่าถ้าปราศจากความรักแล้ว ก็จะไม่มีพลังอะไรไหลเวียนไปได้เลย
    <O:p</O:p
    ในความเป็นจริง ความรักมีพลังอำนาจมหาศาล การรักตนเองหรือผู้อื่นจะทำให้การฝึกปฏิบัติต่างๆ บังเกิดผลดี มีประโยชน์ ถ้าคนเรารู้จักรักตนเองร่างกายของเขาก็จะมีสุขภาพดีแข็งแรง เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้น กระแสโลหิตไหลเวียนได้ดี ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวลระบบภูมิคุ้มกันเข้มแข็งขึ้น ความจำดีขึ้น สติปัญญาแจ่มใส มีอารมณ์สุนทรี การรักผู้อื่นก็เช่นเดียวกันก่อให้เกิดผลดีมากมาย ถ้าแม่รู้วิธีมอบความรักให้แก่ลูกๆ ของเธอ แม่ก็สามารถนำประโยชน์มาให้ทั้งเธอและลูกของเธอด้วย เธอจะมีสุขภาพแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอจะมีน้ำนมที่ดีให้ลูกของเธอได้ดื่มกิน น้ำนมจะมีคุณภาพและสารอาหารที่ดีขึ้น เต็มไปด้วยสารปฏิชีวนะที่ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กทารกเจ็บป่วย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าทารกจะมีสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโตเร็วเฉลียวฉลาด ไม่เจ็บป่วย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงประโยชน์ของความรัก ความรักที่เราพูดถึงและเรียนรู้นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีขอบข่ายกว้างขวาง ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่ความรักระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า ความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ความรักระหว่างผู้ให้การรักษากับคนไข้ ความรักระหว่างแม่กับลูกของเธอเท่านั้น แต่เราสามารถจะพูดถึงความรักด้านอื่นๆ เช่น ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิง สามีและภรรยา ความรักเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ เพราะด้วยความรักนี้ทำให้ผู้หญิงดูดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันพัฒนาขึ้น บุคลิกภาพเปลี่ยนไป ความรักทำให้ผู้ชายเป็นคนพูดเก่งขึ้น ตื่นตัวมากขึ้น มีความแข็งแกร่งมากขึ้น หรือประสบความสำเร็จสูงขึ้น คุณจำเป็นต้องรักตัวคุณเอง แค่รู้ว่ารักก็ยุ่งยากเสียแล้ว แต่มันไม่ใช่เท่านั้น คุณจำเป็นต้องรู้จักรักด้วยปัญญาและความรู้แจ้งด้วย ถ้าคุณไม่ระมัดระวังความรักในตัวเองนี้สามารถทำร้ายตัวคุณเองและผู้อื่นได้ด้วย การกินการนอนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ถ้าคุณกินมากเกินไปหรือนอนมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดผลเสียและเป็นอันตรายแก่ร่างกาย ในอีกด้านหนึ่งเช่นสติปัญญา อารมณ์ จิตวิญญาณ ฯลฯ ก็มีข้อจำกัดของตัวเอง ดังนั้นเราจึงต้องมีปัญญาและความรู้แจ้ง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเองและผู้อื่น


    [​IMG]

    การรักตัวเองยังไม่เพียงพอ คุณต้องรักผู้อื่นอย่างจริงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณต้องรู้จักรักคนที่ใกล้ชิดกับคุณ เช่น พ่อแม่ คู่ครอง พี่น้อง ครอบครัวและผู้อื่น แต่ทำอย่างไรจึงจะรักและทำอย่างไรจึงจะบอกให้เขารู้ว่าเรารัก ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้ เข้าใจ และประยุกต์ให้ได้ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีปัญญาและความรู้แจ้งในความรัก ความผูกพันกับเพื่อนๆ หรือคนรู้จัก และคุณจะต้องไม่รักอย่างตาบอด นั่นก็คือทำไมตราสัญลักษณ์หรือชื่อของสถาบันพลังจักรวาล จึงไม่ได้มีแต่คำว่า “ ความรัก ” เพียงคำเดียว หากแต่ยังมีคำอื่นๆ อีก 2 คำ คือ “ มนุษยชาติ ” และ “ ความรู้แจ้ง ” ความรักจะต้องนำมาซึ่งความรู้แจ้งและมีวัตถุประสงค์เพื่อรับใช้มนุษยชาติ
    <O:p</O:p
    ความรักที่ปราศจากปัญญาและความรู้แจ้ง จะนำมาซึ่งความเสียหายมากมาย เหมือนอย่างเช่น คนอารมณ์เสียก็จะโกรธ เกลียด อิจฉา ฯลฯ ซึ่งคุณสามารถจะพบเห็นตัวอย่าง และหลักฐานเหล่านี้ได้ ทุกหนทุกแห่งในชีวิตประจำวัน ของสังคม ประเทศชาติ โลก ฯลฯ ความรักและความเกลียดเป็นสองอารมณ์ที่ตรงกันข้าม แต่ก็เป็นสิ่งที่มีความใกล้ชิดกับแต่ละฝ่าย ในหลายสถานการณ์จะมีปัญหา 2 ด้าน ในสิ่งเดียวกัน ตัวอย่างเช่น คุณมีลูกชายที่คุณรักมาก แต่เมื่อเขาทำบางสิ่งบางอย่างผิด หรือที่น่ารำคาญ ทำให้คุณโกรธและขับไล่เขาออกไปจากบ้าน และคล้ายๆ กับเรื่องนี้สำหรับผู้ที่เป็นน้องชายของคุณ น้องสาว สามี ภรรยา เพื่อน คุณจะระมัดระวังในการแสดงความรักต่อกัน ไม่เพียงแต่ปัจจัยด้านลบ ความอิจฉาริษยา ความเกลียดเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดปัญหากับประชาชน แต่ความรักซึ่งปราศจากปัญญาและความรู้แจ้ง ก็จะก่อให้เกิดความยุ่งเหยิง และอันตรายต่อมนุษยชาติมากมาย มีสงครามเกิดขึ้นมากมายที่ได้ฆ่าล้างชีวิตผู้คนนับล้านคนทั่วโลกก็เพราะความรัก บางครั้งก็เป็นแค่ความรักประเทศ รักในเชื้อชาติ หรือบางครั้งอาจเป็นเพราะความรัก ในพระผู้เป็นเจ้าหรือศาสนา มีสงครามที่น่ารำคาญเกิดขึ้นมากมาย เพราะความสำคัญผิด และความรักอย่างโง่งม เราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามหลายๆ ครั้งได้ ถ้ามนุษย์เรารู้จักรักด้วยปัญญา และความรู้แจ้ง
    <O:p</O:p
    สำหรับพลังจักรวาล ความรักที่เรารู้และเข้าใจไม่ว่าจะเป็นความรักเพื่อตัวเราเอง ครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องของเรา เพื่อนของเรา ประเทศชาติของเรา ประชาชนของเรา หรือผู้อื่น ล้วนเป็นความรักที่มาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความรักซึ่งมีแสงสว่างทางจิตวิญญาณจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถื่องเด๋ แสดงให้เห็นว่าความรักในตัวเองและผู้อื่นเป็นสิ่งที่เรียบง่าย และเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพทุกวัน ทุกชั่วโมง ด้วยการใช้คลื่นความถี่ของความรักจากพระผู้เป็นเจ้า ส่งพลังให้กับตัวเราเอง คนที่เรารู้จัก คนแปลกหน้า ประเทศอื่นๆ ประชาชน และประเทศทั้งหลาย ก็จะได้รับประโยชน์จากพลังจิตวิญญาณนี้ ความรักที่น่าอัศจรรย์จากพระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นประโยชน์แก่ทั้งทางด้านกายเนื้อและจิตวิญญาณ สำหรับทุกๆ คน ครอบครัว ชุมนุม และประเทศชาติ
    <O:p</O:p
    หลังจากบทเรียนนี้ ชั้นเรียนนี้ เมื่อพวกคุณจะเดินทางกลับไปสู่บ้านของคุณ ประเทศของคุณ ภูมิภาคของคุณ พวกคุณเพียงนำวิธีการฝึกมีความรักด้วยปัญญาและความรู้แจ้ง เพื่อความมั่นใจคุณจะต้องไม่ยึดติดในทรัพย์สมบัติใดๆ เพื่อคุณจะได้พักผ่อนในชีวิตด้วยความมีสุขภาพดี เบิกบาน มีความสุขและความรัก<!-- google_ad_section_end -->
    อ.เลืองมินห์ด๋าง
    qsquqsquqsqu
     
  4. ขมังเวทย์

    ขมังเวทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,829
    ขมังเวทย์เท่านั้นครับมิใด้เป็นจอมขมังเวทย์แต่ประการใด

    ตอนสมัครกำหนดชื่อเป็น ธุลีดิน แต่ชื่อใหนๆก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติครับ
     
  5. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    แหะแหะ.. ล้อเล่นเฉยๆ จ้า อย่าโกรธกันนะจ๊ะ:cool:
    แต่แอบกัวอยู่เล็กๆ ไม่กล้าคุยด้วยอ่ะตัวเอง
    อืม.. ชื่อ " ธุลีดิน " ก็ความหมายดีนะคะ
    เด๋ว ขจรวรรณใช้ชื่อ " ละอองฟ้า " มั่งจิ.. เพราะดีค่ะ อิอิ
    (deejai)(deejai)(deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ทำตามสัญญาค่ะ

    เด๋วพรุ่งนี้เจ้านายสั่งให้ไปช่วยงานอีกมูลนิธินึง
    ซึ่งท่านประธานพึ่งเสียชีวิตไป ช่วงนี้เลยต้องวิ่งไปวิ่งมาอยู่ 2 ที่ นครปฐมกะอยุธยา
    หลังจากนั้นก็จากลับไปอยู่กับครอบครัวหลังปีใหม่ คงไม่ได้เข้ามาอีกยาวววเรยค่ะ..
    หากใครไปเรียนกะคุณสามเหลี่ยมก็อาจมีโอกาสได้เจอกัน
    เพราะคิดว่าจะไปช่วยพี่เค้าสอนด้วย จาแอบปายสัมภาษณ์ด้วยค่ะว่าเรียนระดับ 21 แล้วเค้าสอนอะไรกันบ้าง เหอเหอ..
    เป็นข้อสังเกตุอยู่อย่างนึงถึงความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ
    ระดับนี้ก็เปิดสอนกันแบบไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆ อาจารย์ก็แจ้งว่าจะสอนเดินทางมาสอนที่เมืองไทย
    มีคนเรียนอยู่ 800 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ คนไทยเรียนกันแค่ 30 กว่าคนเอง
    ข้อสังเกตุก็คือ การเรียนการสอนวิชาพลังจักรวาลในระดับสูงๆ มักจะเปิดสอนขึ้นในประเทศไทย

    พี่นักเขียนโนวา อนาลัย ขายบ้านช่องอพยพครอบครัวกันไปอยู่ที่เมกา
    ตั้งใจว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยแร้ะ แล้ววันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
    พี่นักเขียนก็แจ้งพวกเราว่ามาซื้อที่ดินแถวเขาใหญ่เพื่อปลูกบ้านและได้เปลี่ยนหน้าที่ทางจิตวิญญาณแล้ว

    พระสายวัดป่าหลายรูปที่ไม่ค่อยออกมาจากป่า ก็พากันออกมาสู่สาธารณะชน

    น่าคิดจริงๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง.. หุหุ
    .............................
    หลักสูตรการเรียนวิชาพลังจักรวาล

    ระดับ 1-3
    ฝึกสมาธิเพื่อรับพลังจักรวาลประมาณ 5 นาทีไม่เกินครึ่งชั่วโมง<O:p</O:p
    รักษาโรคด้วยฝ่ามือและฟอกโลหิต ( ใช้เวลารักษาทุกโรควันละ 5 นาที ต่อคน )
    รักษากรณีพิเศษ เช่น งดยาเสพติด, ลดบุหรี่, ลดการดื่มสุรา, ป้องกันตัวเองจากการถูกวางยาหรือสารพิษ, ปรับฮอร์โมนและกำจัดสารพิษในร่างกาย, ช่วยเหลือการคลอดบุตร, เพิ่มความสูง, ผู้ป่วยโคม่า, โรคตา, หู, เสริมสติปัญญาให้เด็กวัยเรียน, เหตุฉุกเฉินทุกชนิด, อัมพาต, ขาเขย่ง, โรงประสาทจริง, โรคประสาทปลอม ( คุณไสย, มนต์ดำ, พลังแฝง ), ช่วยปลดปล่อยจิตวิญญาณให้ไปสู่ทางแห่งการพัฒนาจิตวิญญาณหรือกลับคืนสู่แสงสว่าง

    ระดับ 4
    ฝึกสมาธิ, หมุนจักระเพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง, รักษาโรคหมู่

    ระดับ 5.1
    วินิจฉัยโรค, รักษาเดี่ยว, หมู่ ทั้งต่อหน้าและทางไกล, รักษาโรคเหมือนระดับ 1 – 4 แต่เพิ่มการช่วยเหลือภัยพิบัติ, สารเคมีแพร่กระจาย, นิวเคลียร์, อุบัติเหตุฉุกเฉิน, ช่วยเหลือต้นไม้, ไม้ดอกให้เติบโต, แก้ไขอากาศแปรปรวน, กำจัดสารพิษในอากาศ, ช่วยลดภัยพิบัติ

    ระดับ 5.2
    ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ลดเวลาในการส่งพลังให้เหลือเพียง 30 วินาที
    เรียนรู้วิธีการการติดต่อทางจิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สุดสุดเพื่อเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ

    ระดับ 6
    รักษาโรคทางไกล้, ทางไกล ด้วยปิรามิดในจินตภาพ, ช่วยเหลือจิตวิญญาณเร่ร่อน, พลังแฝง, อธิษฐานช่วยเหลือจิตวิญญาณบรรพบุรุษ 3 ชั่วอายุคนเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ, ช่วยเหลือภัยพิบัติที่เราอาศัยอยู่, พื้นที่ห่างไกล, น้ำท่วมอันเนื่องมาจากการละลายน้ำแข็งขั้วโลก, ช่วยเหลือภัยจากพายุ, ไฟไหม้, อากาศเป็นพิษ, น้ำเป็นพิษ, ป้องกันภัยสงคราม,ไร่ธัญพืชและนาข้าว, พืชผักผลไม้, ไม้ยืนต้น, การวิจัยทางการเกษตร, การแพทย์, ติดต่อทางจิตกับอาจารย์ใหญ่เพื่อการถาม – ตอบทางจิตวิญญาณ

    ตั้งแต่ระดับ 7 ขึ้นไปเป็นการช่วยเหลือด้านภัยพิบัติ ต้องเรียนในชั้นเรียนเท่านั้นไม่ได้รับอนุญาติให้เปิดเผยจ้า<O:p

    ระดับ 7– 7 พิเศษ เตรียมไฟฟ้าด้วยเสาอากาศ
    ระดับ 11– 13 การพัฒนาศักยภาพภายใน ( รับพลังจากดวงดาว, ดวงอาทิตย์ )
    ระดับ 14 – 15 สัมนาสมองมนุษย์โบราณ ( ความว่าง ) ปัญญาและความรู้แจ้ง – รับพลังแสงทิพย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์<O:p</O:p
    ระดับ 16 –17 สัมนาปรัชญาตะวันออก
    ระดับ 18 สัมนาการประยุกต์ใช้ปรัชญาตะวันออก
    ระดับ 19 – 20 สัมนาการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ
    ระดับ 21 พึ่งสอนไปไม่รู้เรียนรัยจ้า – โดยมาดามเทเรซ่าภรรยาท่านอาจารย์ด๋าง

    ทั้งนี้นักบวชทุกศาสนาเรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นคร๊าบผม<O:p</O:p
    (kiss)(kiss)(kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    คำสอนท่านอาจารย์ใหญ่เนื่องในวันเกิด ปี 2548 ( ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว )

    [​IMG]

    แปลโดย อาจารย์จรูณ แซ่เล

    อาจารย์จะบอกเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง ชีวิตของอาจารย์ๆ จะเล่าให้แก่พวกเราเพื่อเป็นบทเรียนในการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ คือว่าในสังคมมนุษย์ของพวกเรา ใครๆ ก็อาจคิดว่าเราแย่มากหรือเราอาจคิดว่าเราสูง, เราเก่ง ในวันเกิดครบรอบ 63 ปีของอาจารย์ อาจารย์คิดว่าไม่ว่าใครก็แล้วแต่ก็เหมือนกันทั้งนัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจิตวิญญาณของเรา เมื่อได้รับอนุญาตจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เถื่อง เด๋ ถ้าเราได้รับหน้าที่ไม่ว่าท่านอยากทำเรื่องอะไร ท่านก็สามารถดำเนินการได้ อาจารย์ก็เช่นเดียวกันตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุดจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่อาจารย์ก็คิดว่าตัวเองต่ำต้อยอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่อยากให้พวกเราได้รับทราบ ตอนที่อาจารย์ไม่มีเงินแต่อาจารย์กับมีเงินให้แก่คนอื่นได้ แล้วตอนที่อาจารย์มีเงินถึงแม้ต่อมาอาจารย์จะสูญเสียไป อาจารย์ก็ไม่เสียดายอะไร ถึงแม้ไม่มีอาจารย์ก็พยายามจะให้หรือให้ในรูปแบบอื่น แล้วตอนที่อาจารย์มีอาจารย์ก็ไม่เสียดายอะไร เพราะนั่นไม่ใช่เงินของอาจารย์เป็นเงินของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครเอาของอาจารย์ก็เอาไป อาจารย์ไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่อยากให้พวกเราได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นท่านอย่าคิดว่าท่านไม่มีความสามารถ ท่านไม่มีตำแหน่งสูง สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือวิญญาณของพวกเรา มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือเปล่า? กล้าที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือเปล่า?

    เมื่อ 50 ปีก่อนหน้านี้ที่อาจารย์เรียนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์มีความคิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ ทำอย่างไรเราจึงจะทำให้จิตวิญญาณทั้งหลายกลับไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นคือหน้าที่ของพวกเรา พวกเราต้องกิน เพื่อมีชีวิตแม้พวกเราจะร่ำรวย หรือมีฐานะยากจนหรือจะมีครอบครัวอย่างไร ทุกอย่างนั้นไม่สำคัญอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากเราต้องพยายามปฏิบัติ และเมื่อปฏิบัติได้แล้วกก็จะได้รับความสามารถจากชาตินี้ไปสู่อีกชาติหนึ่ง ถ้าเราทำในทางโลกก็จะได้เพียงในชาตินี้เท่านั้น ชาติต่อไปท่านจะไม่ได้อะไรอีก ถึงแม้จะมั่งมีแต่ยากมากที่จะได้ในรูปแบบเช่นที่อาจารย์ได้รับ ด้วยเหตุผลนี้อาจารย์จึงอยากให้พวกเราทุกคนเหมือนกับอาจารย์ อาจารย์ไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น
    <O:p
    เมื่ออาจารย์พยายามอธิบายให้พวกเราได้เข้าใจ ให้ช่วยเหลือจิตวิญญาณ ให้ช่วยเหลือวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว การส่งพลังให้วิญญาณกลับไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เถื่อง เด๋ เป็นสิ่งสำคัญมาก พวกเราเป็นผู้ที่สามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้ สำหรับการช่วยอย่างอื่นยังไม่สำคัญเท่า แน่นอนเราไม่ได้ปฏิเสธทางวัตถุ เรามีสิ่งเหล่านี้เพื่อปฏิบัติ ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นคือความไม่ถูกต้อง เราจำเป็นต้องมีและจะต้องรู้จักที่จะใช้ แต่อย่าเป็นทาสของสิ่งของวัตถุเหล่านั้น หากเราไม่เสียดายเงินทองของเรา ถึงแม้จะเสียเท่าไรเราก็ไม่เสียดาย เมื่อเราไม่เสียดาย นั่นหมายถึงว่าเราสามารถควบคุมจิตวิญญาณของเราได้ เราจะทำอย่างไรให้สมองน้อยไม่สามารถควบคุมสมองหลักได้ เราต้องมีความสามารถควบคุมสมองน้อย ให้สมองน้อยต้องรับฟังสมองหลักให้ได้ เพราะหากปล่อยให้ตรงกันข้ามจิตวิญญาณของเราจะไม่สูงขึ้น จะไม่สามารถพัฒนาได้
    <O:p
    เมื่ออาจารย์ทำเรื่องใดๆ ก็ตาม ก็มิได้ประกาศให้คนทั่วไปต้องรับรู้ และทุกท่านที่เรียนพลังจักรวาลก็สามารถทำได้เช่นกัน ไม่ต้องสนใจว่าผู้อื่นต้องรับรู้ ทำอะไรก็แล้วแต่ เราทำแล้วก็ทิ้งมั้นไป ไม่ต้องสนใจ เราก้าวต่อไปในวิธีการในหนทางที่จะต้องปฏิบัติเหล่านั้นราทำเพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เถื่อง เด๋ เราทำเพื่อสิ่งศักดิ์สิทธ เถื่อง เด๋ เราเป็นเครื่องมือของพระองค์ท่าน ทำมากทำน้อย ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ อาจารย์อยู่ในวันนี้ อาจารย์อยากให้พวกเราได้เข้าใจ นี่คือประเด็นหลักที่สำคัญ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ เมื่อเราปฏิบัติแล้ว เราจะต้องบรรลุให้ได้ ใครจะพูดอะไรก็พูด ใครจะยกย่องหรือไม่ยกย่องเรา หรือต่อว่าอะไร เราไม่ต้องสนใจ บางครั้งเขาให้เราสูงขึ้น แต่เราต้องลงต่ำ เราต้องเฉยๆ ไว้ จำไว้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร ถ้าเราทำเพื่อมนุษยชาติ เราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าเราอยากให้ผู้อื่นรับรู้ เราก็จะไม่ได้อะไรทั้งนั้น ถึงแม้เราจะทำอะไรมากมาย เพราะว่ามีม่านกั้นเราอยู่ ถ้าเราทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เถื่อง เด๋ เราจะเห็นพระองค์ท่านเท่านั้น แต่ถ้าเราอยากให้ผู้อื่นทราบ เราจะถูกม่านกั้นเอาไว้ บังเอาไว้ แสงสว่างแสงทิพย์ของพระองค์ท่าน จะทำให้เรามองเห็นได้ไกล เรารู้ว่าเราทำสิ่งเหล่านี้เพื่อพระองค์ เพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถึงเขาจะว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ต้องรอให้เขาชมหรือตำหนิในชีวิตของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่ มีหลายท่านก็คงทราบ พวกเราเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่นักบวช มีพวกเราหลายท่านที่ปัจจัยไม่พร้อมแต่ก็พยายามปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติเพื่อพระองค์ท่านแล้ว เราจะต้องไม่หวังหรือเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น อย่าคิดว่าเราจะต้องได้อะไรจากการปฏิบัติของเรา หรือจากการกระทำของเรา การไม่หวังในสิ่งเหล่าน้น ก็จะมีสิ่งเหล่านั้นตามมา เราถือว่าเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยที่จะทอดทิ้ง ไม่เคยที่จะไม่ตอบแทน เราจะได้รับการตอบแทนเป็นหลายร้อยเท่า แต่ถ้าเราทำให้ทางโลก เราก็จะได้ค่าตอบแทนทางโลกเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นนี่คือประเด็นหลักที่จะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้น ให้พัฒนาเร็วขึ้น นั่นคือสิ่งที่อาจารย์อยากให้พวกเราในวันนี้ วันที่อาจารย์อายุครบ 63 ปี พวกเราจะต้องเข้าใจ อาจารย์รู้ว่ามีหลายท่านที่ดูเหมือนว่าจะสู้คนอื่นไม่ได้ บางทีเราก็น้อยใจว่าเราไม่มีเท่าคนอื่น นั่นไม่สำคัญ เราอาจจะไม่เท่ากับคนอื่นในทางฐานะ ตำแหน่งหรือวัตถุ แต่เรามีทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยพลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราสามารถจะช่วยวิญญาณของคนที่เสียชีวิตไปแล้วให้ได้เกิดใหม่ บุญเหล่านี้ต่อไปลูกหลานของเราจะได้รับ นั่นคือสิ่งที่เราสามารถบฏิบัติได้ เพื่อให้วิญญาณของผู้เสียชีวิตไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โลกมนุษย์นี้พวกเราเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงหรือต่ำ มีแต่พวกเราเท่านั้นที่มีความสามารถจะช่วยวิญญาณไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปสู่แสงสว่างได้ เมื่อเราได้เปิดจักระ 100% แล้ว เราจะมีความสามารถช่วยวิญญาณพลังแฝงทั้งหลายให้ไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
    <O:p</O:p
    เราช่วยได้มากเท่าไร ยิ่งสร้างบุญให้เรามากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เรียนจบระดับ 7 ขึ้นไป เมื่อเราไปที่ไหนด้วยพลังที่มีอยู่เราก็สามารถช่วยวิญญาณได้ เราต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ควมสามารถพิเศษนี้แก่เรา ความสามารถพิเศษมหัศจรรย์ที่สามารถช่วยวิญญาณพลังแฝงไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายดาย และบุญเหล่านี้ไม่เฉพาะตัวเราเท่านั้นที่จะได้รับ ลูกหลานของเราก็จะได้รับด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ให้ความสามารถพิเศษนี้แก่เรา เพื่อเราจะนำเอาความสามารถนี้ไปช่วยผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่อยากเตือนแก่พวกเราว่า เมื่อเรามีความสามารถนี้ สิ่งที่เราจะทำได้คืออะไรนั่นก็คือไม่ว่าเราจะขาดแคลนทางด้านวัตถุหรือมีวัตถุเราอย่ายกย่องตัวเอง อย่าทระนงตัว ถึงแม้ว่าเราจะมีความสามารถเหล่านี้ เราอย่าโอ้อวด เราจะมีสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ อย่าคิดว่าเราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราคือคนของพระเจ้า แต่ก่อนอาจารย์ไม่มีอะไร ตอนนี้อาจารย์มีทุกอย่าง แต่อาจารย์ก็คิดว่าอาจารย์ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นอาจารย์จะรู้สึกสบายใจ เราจะต้องปฏิบัติเช่นนี้ให้ได้ ชีวิตของอาจารย์มีบทเรียนหลายอย่าง นี่คือสิ่งที่อาจารย์อยากให้พวกเรา เตือนให้แก่พวกเรา และจำไว้ว่ามีแต่เถื่อง เด๋ ที่จะรู้เราเท่านั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้ในสิ่งที่เราปฏิบัติ อาจารย์คิดว่าแค่นี้น่าจะพอแล้วนะ
    :boo::boo::boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  8. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ปัญญากับจิตวิญญาณ

    ความรู้ทั้งหลาย ล้วนเป็นของกลางของจักรวาล
    ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณหรือความรู้ในแก่นแท้ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลล้วนสถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณ

    จิตคืออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณคือข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ

    จิตและวิญญาณไม่เคยแยกกันอยู่
    จิตวิญญาณคิือ ข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    ข้อมูล-ความรู้เป็นปัจจัยที่ทำให้สรรพสิ่งทั้งหลายมี-แนวโน้มและความพร้อม-ที่จะเป็นไปได้
    แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้-แนวโน้มและความพร้อม-ที่จะเป็นไปได้นั้นๆ-เป็นจริงหรือสัมฤทธิ์ผลในทิศทางที่สร้างสรรค์และพึงปรารถนาได้ คือปัญญา

    ปัญญาหมายถึง การนำข้อมูลความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในการเลือก การตัดสินใจใช้ในการตรวจสอบ วินิจฉัย แสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกซึ่งการกระทำในทิศทางที่สร้างสรรค์ด้วยความเข้าใจอันถูกต้อง ด้วยความรู้แจ้งซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนหมู่มาก

    ในทางตรงกันข้ามปัจจัยหลักที่ี่ทำให้แนวโน้มและความพร้อมที่จะเป็นไปได้นั้นๆ-ไม่เป็นจริงหรือไม่สัมฤทธิ์ผลในทิศทางที่สร้างสรรค์และพึงปรารถนา คือ ความไม่รู้หรือการขาดปัญญา เพราะความไม่รู้หรือการขาดปัญญาทำให้บุคคลนำข้อมูลความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในการเลือก การตัดสินใจใช้ในการตรวจสอบ วินิจฉัย แสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกซึ่งการกระทำในทิศทางที่ไม่สร้างสรรค์ด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องด้วยความเชื่อในทางที่ผิด หรือความเชื่อในแง่ลบซึ่งก่อให้เกิดทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนหมู่มาก

    หากเปรียบเทียบว่าปัญญาก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ก็กล่าวได้ว่าการปราศจากปัญญาไม่ได้ทำให้เกิดการหยุดนิ่ง แต่ในทางตรงกันข้ามก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่พึงปรารถนาความคิดทุกความคิดมีอานุภาพในการก่อเกิดประสบการณ์ชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายความคิดทุกความคิด เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะถูกส่งออกไปเป็นกระแสหรือประจุแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งจะก่อเกิดเป็นสสารหรือวัตถุธาตุ และเรียกกลับคืนไม่ได้ดังนั้นความคิดที่ปราศจากปัญญาก็มีอานุภาพในการก่อเกิดประสบการณ์ทั้งหลายในชีวิตไม่น้อยไปกว่าความคิดที่เต็มไปด้วยปัญญา

    การพัฒนาสติสัมปชัญญะของตนเพื่อให้เกิดปัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการของจิตวิญญาณ เพราะหากปราศจากปัญญาแล้วจิตวิญญาณจะยังคงก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายต่อไปตามธรรมชาติเสมอหากแต่ว่าการก่อเกิดด้วยความไม่รู้ย่อมเป็นการก่อเกิดที่นอกจากจะนำความทุกข์มาสู่ตนเองและผู้อื่นแล้วยังเป็นการก่อเกิดที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วบุคคลผู้ไร้ปัญญามักหาทางออกหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้

    [​IMG]

    ปัญญาเกิดได้สามทางด้วยกันคือ เกิดจาก:
    1. การนำข้อมูลความรู้ที่ได้รับ-จากภายใน อันเกิดจากสัญชาติญาณตามธรรมชาติจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายใน หรือรับรู้โดยตรงด้วยจิตวิญญาณ ไปขบคิดและก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้-แตกฉาน เกิดความรู้ใหม่เปลี่ยนความเชื่อเก่าๆในแง่ลบเป็นความเชื่อใหม่ๆที่สร้างสรรค์หรือเป็นความเชื่อในแง่บวกหรือเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    2. การนำข้อมูลความรู้ที่ได้รับ-จากภายนอก จากการเรียนรู้ทางโลกจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ไปขบคิด ทดลองและก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้-แตกฉาน เกิดความรู้ใหม่เปลี่ยนความเชื่อเก่าๆในแง่ลบเป็นความเชื่อใหม่ๆที่สร้างสรรค์หรือเป็นความเชื่อในแง่บวกหรือเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    3. การนำข้อมูลความรู้ที่ได้รับ-จากภายใน อันเกิดจากการอบรมฝึกฝนตนเองไม่ว่าจะเป็นยามตื่นหรือยามหลับ ไปขบคิดและก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้-แตกฉาน เกิดความรู้ใหม่เปลี่ยนความเชื่อเก่าๆในแง่ลบเป็นความเชื่อใหม่ๆที่สร้างสรรค์หรือเป็นความเชื่อในแง่บวกหรือเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    แม้จิตวิญญาณจะเต็มไปด้วยความรู้และความรู้สถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณแต่ความรู้ทั้งหลายที่อยู่ในจิตวิญญาณก็ไม่ได้แปลงสภาวะหรือก่อให้เกิดปัญญาได้โดยอัตโนมัติ-โดยปราศจากการใช้ความคิดปราศจากการแสวงหา ปราศจากความพยายาม ปราศจากความมุ่งมั่น ปราศจากเจตนาหรือปราศจากความเคลื่อนไหวในแง่บวก อันได้แก่การใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดไปในทิศทางที่สร้างสรรค์

    ปัญญา เป็นภาวะจิตหรือภาวะของจิตวิญญาณซึ่งสามารถนำความข้อมูลความรู้ที่สถิตย์อยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกของจิตวิญญาณมาใช้ได้อย่างมีสติเพื่อเลือก ตัดสินใจ ตรวจสอบ วินิจฉัย แสดงความคิดเห็นหรือ แสดงออกซึ่งการกระทำในทิศทางที่สร้างสรรค์ดังปรารถนาได้ในระดับจิตสำนึก

    จิตวิญญาณทั้งหลายมีธรรมชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์รักจินตนาการอันสร้างสรรค์ และความรู้สึกนึกคิดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาซึ่งเกิดจากการตระหนักในความเป็นหนึ่งเดียวกันแก่นแท้ของจิตวิญญาณปราศจากการแบ่งแยกตัวตนเรา-เขา ปราศจากการแบ่งแยกศาสนาเชื้อชาติภาษา ปราศจากการแบ่งแยกเพศ ปราศจากการแบ่งแยกวัยวุฒิ-คุณวุฒิปราศจากการแบ่งแยกชั้นวรรณะ

    ปัญญาอันแท้จริงเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อจิตวิญญาณตระหนักได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวอันปราศจากการแบ่งแยกทำให้จิตวิญญาณที่ถือกำเนิดเป็นบุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนนั้น เลือก ตัดสินใจ ตรวจสอบวินิจฉัย แสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกซึ่งการกระทำที่สร้างสรรค์ในทิศทางที่ดีที่สุด เป็นคุณ เที่ยงธรรม และให้ผลกำไรต่อผู้อื่นเสมอเหมือนกับตนเองโดยปราศจากการเหลื่อมล้ำแบ่งแยกปัญญาจึงส่งผลให้เกิดประโยชน์สุขต่อส่วนรวมเสมอเหมือนส่วนตนไม่ใช่เล็งผลประโยชน์สุขส่วนตนก่อนซึ่งอาจจะไม่สามารถยังผลให้เกิดประโยชน์สุขต่อส่วนรวมได้เลยในที่สุดและประโยชน์สุขส่วนตนก็พลอยมีอายุสั้นไปด้วย

    ปัญญาก่อให้เกิด การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    ปัญญาไม่เกิด-ความเชื่อไม่เปลี่ยน
    ประสบการณ์ในแง่ลบที่ไม่พึงปรารถนาจะกลายเป็นวงจรที่ควบคุมไม่ได้
    ไม่มีวันสิ้นสุด ยุติไม่ได้ เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ดังปรารถนา

    ปัญญาเกิด-ความเชื่อเปลี่ยน
    ประสบการณ์ทั้งหลายจะกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ เปลี่ยนวิถีเปลี่ยนวงจรได้
    สิ้นสุดได้ ยุติได้เริ่มต้นใหม่หมดได้ดังปรารถนา

    ปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้หากบุคคลคล้อยตามความเชื่อของสังคม หรือความเชื่อของคนหมู่มากอย่างตาบอดโดยปราศจากการตรวจสอบ ปราศจากการวินิจฉัยและใช้ความคิดของตนเอง-อย่างเป็นกลาง

    โดยธรรมชาติแล้วอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดมักจะคล้อยตามความเชื่อเสมอ
    หากปราศจากปัญญาอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดก็จะคล้อยตามความเชื่ออย่างตาบอดทำให้บุคคลไม่สามารถเปลี่ยยความเชื่อในทางที่ผิดหรือความเชื่อในแง่ลบที่ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่นเป็นความเชื่อที่ถูกต้องหรือความเชื่อในแง่บวกที่ให้ประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่นได้

    หนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยบรรจุไปด้วยข้อมูลความรู้แต่ข้อมูลความรู้เหล่านี้จะเกิดประโยชน์ไม่ได้หากปราศจากการถ่ายทอด การรับตลอดจนการนำไปขบคิดให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้จนกระทั่งข้อมูลความรู้เหล่านี้สถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะ อยู่ในระดับจิตสำนึกซึ่งทำให้ผู้รู้-มีสติและความพร้อมเสมอและมีความสามารถที่จะนำข้อมูลความรู้ที่ตนเข้าใจอย่างถ่องแท้ไปใช้ในการเลือกตัดสินใจ ตรวจสอบ วินิจฉัย และสร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตได้อย่างมีสติ - ทุกขณะจิต
    นักเขียนโนวา อนาลัย
    :z16:z16:z16
     
  9. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ดูแล้วซึ้ง.. น้ำตาไหลพรากค่ะ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Yfbchq0xQmQ&feature=player_embedded"]YouTube - FRIENDSHIP OR LOVE ♥ PRIJATELJSTVO ILI LJUBAV[/ame]

    ;k06;k06;k06
     
  10. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    หวัดดีค่ะพึ่งมีโอกาสเข้ามาคุยด้วยอีกครั้ง
    มาพร้อมกับความคิดถึงผู้หญิงที่เคยฝันถึงเมื่อปีก่อน
    เมื่อเคยเจอกันมาก่อน.. แต่ก็ฝันถึงค่ะ
    แต่ไม่ขอบอกว่าเค้าเป็นใคร..
    บาง post อาจจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเธอก็ได้ หากเธอต้องการ

    20-07-2009, 04:08 PM #173
    khajornwan
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Aug 2007
    อายุ: 39
    ข้อความ: 820
    พลังการให้คะแนน: 537

    แปลกๆ
    ไม่รู้เป็นงัยค่ะ?
    ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้รู้สึกจะฝันถึงคนในเวป
    ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ( เคยได้ยินชื่อ ) ประมาณ 3 คน - แต่ขอไม่ขอเอ่ยชื่อเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจะมาเกี่ยวข้องกับเรายังงัย อิอิ..

    คนแรก เป็นผู้หญิงดูแล้วน่าสงสารมั่กๆ ( เหมือนเค้ากำลังวุ่นวายอยู่กับภาวะจิตของตัวเองอยู่ )

    คนที่ 2 เป็นผู้ชายที่รู้จักกันดี แต่มองเห็นบริเวณอกของเขามีหมุดหัวโตๆ ตอกเป็นรูปตัว V
    ตั้งแต่ช่วงบ่าซ้ายมาตรงกลางช่องท้องแล้วก็ขึ้นไปที่บ่าขวา

    อีกคน เป็นผู้ชายที่เราไม่เคยเจอมาก่อนมากับผู้หญิงที่เราเคยรู้จักแล้วยื่นคาถาอะไรบางอย่างให้ เราก็หยิบมาดูแต่ไม่สนใจจึงคืนกลับไป หุหุ..

    แล้วเค้าเหล่านี้จะวนมาเจอกับเราได้งัยเนี่ย!! เอิ๊ก.. ( สงกะสัยจาฝันเฟื่อง แฮ่แฮ่ )
     
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ต้องขอโทษด้วยค่ะที่อยู่ๆ ก็หายไป
    ตอนแรกก็ตั้งใจจะ post อยู่หลายเรื่อง
    แต่ปรากฏว่าอยู่ๆ กระแสความคิดของตัวเองก็ไหลย้อนกลับเข้าสู่ภายใน
    แล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น พอกระแสความคิดไม่เกิด ก็ไม่รู้จะ post อะไร
    มันเหมือนตอนที่เรานิ่งสมาธิจนสงบแล้ว ก็จะลืมหมดว่าก่อนที่จะทำสมาธิ
    เราตั้งใจจะขออะไร? ก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ อีก แต่ก็รู้สึกว่า
    หน้าที่ของเราบนเวปนี้ใกล้จบแล้ว.. เพื่อไปทำหน้าที่งานอย่างอื่นต่อไป
    อาจจะเป็นเพราะว่าหลายท่านที่อยู่ตรงนี้เริ่มเข้าใจความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้นแล้ว

    อนัตตา - การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ( ไม่เที่ยง )
    อัตตา - ความยึดมั่นถือมั่น

    ข้อคิด
    คำสอน เมื่อ หมื่นปี, 5,000 ปี, 2500 ปี, 1,000 ปี.. จนถึงปัจจุบัน
    สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอขึ้นอยู่กับสถานะการณ์นั้นๆ
    แล้วเรายังจะยึดมั่นถือมั่นคำสอนเหล่านั้นอยู่หรือไม่?
    แล้วอะไรที่อยู่เบื้องหลังคำสอนที่เปล่งออกมาทางวาจาเหล่านั้นหนอ?
    ................
    ตามธรรมชาติแล้วทุกสิ่งทุกอย่างผันแปรและเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะจิตเมื่ออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกของเราก่อเกิดบุคคลตัวตนหนึ่งๆขึ้นบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้แม้ว่าบุคคลตัวตนนั้นๆจะเป็นบุคคลตัวตนที่ดูเสมือนว่าถือกำเนิดมาจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกของเราแต่เขาก็มีความเป็นเอกเทศ? คือมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกของตนเอง

    แต่การเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติก็มีความสัมพันธ์กัน-ด้วยวัตถุประสงค์และการเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตและอนาคตก็มีความสัมพันธ์กัน-ด้วยการมีชีวิตอยู่เป็นผลสืบเนื่องตามเส้นทางแห่งกาลเวลาของกันและกันจากอดีตไปสู่อนาคตซึ่งหมายความว่าทุกตัวตนที่เกิดขึ้นไม่ได้แตกแยกไปจากกันแต่สัมพันธ์กันต่อไปด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในระดับจิตวิญญาณ

    การถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนทั้งหลายมีความเป็นเอกลักษณ์แต่คำว่าเอกลักษณ์สำหรับจิตวิญญาณนั้นครอบคลุมคุณลักษณะอันเป็นอนันต์เมื่อเราจินตนาการตัวตนหนึ่งๆขึ้นมา และเขาก็ถือกำเนิด และดำเนินชีวิตไปเขาย่อมมีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งที่ถือกำเนิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราแต่เขาก็จะพัฒนาบุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์อื่นๆที่แตกแขนงออกไปอีก

    บุคคลตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ถือกำเนิดตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหรือเรียกได้ว่าถือกำเนิดจากความคิดฝันของเราแต่เขาก็ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดแรกเริ่มของเราเขาจะเรียนรู้ในเส้นทางอื่นๆที่เราไม่อาจจะเรียนรู้หรือครอบคลุมได้จากมุมมองและจุดยืนจุดนี้การเรียนรู้ของเราก็จะแตกแขนงไปด้วยการเรียนรู้ของเขาจะกล่าวว่าเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตไปตามที่เราคาดคิดก็ไม่ถูกต้องนักเพราะเราก็คิดสร้างตัวตนของเขาขึ้นมา ณ ขณะจิตที่เรามีจินตนาการ เช่นมีความคิดขึ้นมาว่า หากฉันเกิดเป็นลูกชายของมหาเศรษฐีใน New York ฉันจะใช้ชีวิตให้สุขสำราญ

    ความคิดแค่ชั่วขณะหนึ่งของเราผุดขึ้นมาแล้วก็ก่อเกิดบุคคลตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่งๆหรือหลายเส้นขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันมากมายเป็นอนันต์เพราะความคิดมักไม่ได้เป็นไปเพียงสายเดียว เรามักนึกคิดหลายแขนง เช่นคิดว่าหากฉันเป็นลูกชายของมหาเศรษฐีใน New York ฉันอาจจะใช้ชีวิตเสเพลหรือว่าฉันจะใช้ฐานเหล่านั้นผลักดันให้ตนเองกลายเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่หรือว่าฉันจะใช้ชีิวิตกับการเดินทางรอบโลก ฯลฯความฝันมักจะพาเราแตกแขนงเส้นทางแห่งความเป็นไปได้มากกว่าหนึ่งเส้นทางเสมอเรียกได้ว่า ทุกขณะจิตที่เรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหรือความฝันใดๆเราไม่เคยสร้างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ขึ้นเพียงอีกหนึ่งเส้นแต่เราสร้างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ขึ้นมามากมายหลายสิบ หลายร้อยเส้นก็ว่าได้เราแทบจะตามความคิดของเราไม่ทันว่า เราเปลี่ยนความคิดนั้นๆกี่หนมันหักเหไปอย่างไรในแต่ละครั้งแต่มันก็แตกแขนงออกไปเสมอเพราะความคิดเป็นพลังงานที่ส่งออกไปแล้วไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้

    ดังนั้นจะกล่าวว่าตัวตนใดตัวตนหนึ่งดำเนินชีวิตไปตามความฝันของเรา-ดังที่เราคาดคิดก็กล่าวได้ว่า-ไม่มีแต่หากจะกล่าวว่าตัวตนทั้งหมดที่อุบัติขึ้นบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ทั้งหมดรวมกันดำเนินชีวิตไปตามความฝันของเรา-ดังที่คิด ก็กล่าวได้ว่า-มีทั้งหมดเพราะความฝันและความคิดของเราแตกแขนงมากมายกระบวนการและความเป็นไปดังกล่าวนี้ เป็นธรรมชาติความเป็นไปของจิตวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยแนวโน้มมากมายหลายหลาก-เป็นอนันต์เป้าหมายของจิตวิญญาณคือการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจึงเป็นไปได้ด้วยการแตกแขนงอย่างเป็นอนันต์ของตัวตนเหล่านี้จิตวิญญาณใฝ่รู้และมีพลังอำนาจในการเรียนรู้มากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะเรียนรู้ผ่านเพียงร่างเดียว-ตัวตนเดียวในชั่วขณะหนึ่งๆ-จิตวิญญาณจึงแตกแขนงออกไปอย่างฉับพลันทุกขณะจิต-เพื่อการเรียนรู้อย่างกว้างไกล-ด้วยการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตหลากหลายทิศทาง-เป็นอนันต์

    จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนหนึ่งๆเป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนย่อยของตัวตนรวม หรือของจิตวิญญาณรวม

    จิต คืออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณ คือข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ

    เป้าหมายอันสูงสุดของจิตวิญญาณ คือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    การรวมตัวของจิตวิญญาณ คือการรวมตัวของข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพซึ่งประสานกันด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันลุ่มลึกที่แปลงสภาพจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อกลายเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไปตามความรู้

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไปตามความรู้นั้นไม่ว่าจะเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในรูปกายใด ในร่างกายตัวตนใดในบุคคลใด ย่อมเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอันเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ

    การรวมตัวของจิตวิญญาณ จึงเป็นไปอยู่เสมอตลอดวันเวลาทุกขณะจิตที่ความเชื่อเปลี่ยนเป็นความรู้
    chearrchearrchearr<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 14.25pt; HEIGHT: 14.25pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\Admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/rose.gif"></v:imagedata></v:shape>
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พอดีน้องคนหนึ่งส่งมาให้ดูลองดูกันไปก่อนนะคะ.. ต้องออกไปข้างนอกแว้ววว..:cool:
    ......................
    สามเกลอ 1
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=q0vmtQSJQ-A&feature=player_embedded"]http://www.youtube.com/watch?v=q0vmt...layer_embedded[/ame]

    สามเกลอ 2
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=6gpd9q2k6x8&feature=player_embedded"]http://www.youtube.com/watch?v=6gpd9...layer_embedded[/ame]

    สามเกลอ 3
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=qxSVE_lFVB8&feature=player_embedded"]http://www.youtube.com/watch?v=qxSVE...layer_embedded[/ame]

    สามเกลอ 4
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=BRh1aOy8zw0&translated=1"]YouTube - คนค้นฅน - 3 คนเล็กหัวใจใหญ่2 (11 Jan.11) 1/3[/ame]

    สามเกลอ 5
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=tW__WkJdIas&translated=1"]YouTube - คนค้นฅน - 3 คนเล็กหัวใจใหญ่2 (11 Jan.11) 2/3[/ame]

    สามเกลอ 6
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=EnR6S1VH-5E&translated=1"]YouTube - คนค้นฅน - 3 คนเล็กหัวใจใหญ่2 (11 Jan.11) 3/3[/ame]

    สามเกลอ 7
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=IoH8QRXeSU8&translated=1"]YouTube - คนค้นฅน - 3 คนเล็กหัวใจใหญ่3 (18 Jan.11) 1/3[/ame]

    สามเกลอ 8
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=yEauK0aEyj4&translated=1"]YouTube - คนค้นฅน - 3 คนเล็กหัวใจใหญ่3 (18 Jan.11) 2/3[/ame]

    สามเกลอ 9
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=MPhnkTPdQZI&translated=1"]YouTube - คนค้นฅน - 3 คนเล็กหัวใจใหญ่3 (18 Jan.11) 3/3[/ame]
     
  13. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    จักรวาลในหนึ่งอะตอม – การหลอมรวมวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ

    [​IMG]

    วิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณ และมนุษยชาติ
    พระนิพนธ์ ทะไลลามะ<O:p</O:p

    เมื่อย้อนไปมองชีวิตตลอด 70 ปี ( ค.ศ. 2005 ) ที่ผ่านมา
    ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์ในโลกที่ยังย่างกรายไปไม่ถึง เป็นโลกที่เทคโนโลยีคือความมหัศจรรย์ และเหตุที่ข้าพเจ้ายังคงลุ่มหลงในวิทยาศาสตร์ก็อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นมหัศจรรย์ใจในสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถก่อให้เกิดขึ้น จากจุดเริ่มต้นนี้เองที่ข้าพเจ้าได้ล่วงลึกเข้าไปในศาสตร์สายนี้ ซึ่งได้นำเรื่องราวของความซับซ้อนมหาศาล เช่นผลของวิทยาศาสตร์ต่อทัศนะในการมองโลกที่เราอาศัยอยู่ รวมถึงความสุ่มเสี่ยงต่อจริยธรรมที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นำพามาให้แต่ถึงกระนั้นเราก็ต้องไม่ลืมและไม่ควรลืมความมหัศจรรย์และความงดงามที่วิทยาศาสตร์ทำให้เป็นจริงขึ้นได้

    ความลุ่มลึกของวิทยาศาสตร์ช่วยให้พุทธของข้าพเจ้าลึกซึ้งหลากหลายยิ่งขึ้น ทฤษฏีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ที่เพรียบพร้อมด้วยการทดลองทางความคิดที่เด่นชัด ได้กลายเป็นเนื้อหาของการทดลองเชิงประจักษ์ ที่ช่วยให้ข้าพเจ้าเข้าใจหลักทฤษฏีสัมพัทธภาพแห่งกาลเวลาของท่านนาคารชุน ส่วนภาพพฤติกรรมโดยละเอียดของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมในระดับจิ๋วที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า สิ่งทั้งหลายล้วนมีธรรมชาติคือความไม่เที่ยง และการค้นพบรหัสพันธุกรรมที่มนุษย์ทุกคนมีร่วมกัน ก็ทำให้เข้าใจในพุทธทัศนะที่ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความเท่าเทียมกัน

    วิทยาศาสตร์จะมีบทบาทอย่างไรต่อความมานะอุตสาหะทั้งปวงของมนุษย์? วิทยาศาสตร์ของเราช่วยสืบค้นทุกสิ่งตั้งแต่อมีบาขนาดจิ๋วจนถึงชีววิทยาของระบบประสาทอันซับซ้อนของมนุษย์ ตั้งแต่การก่อกำเนิดจักรวาลและสิ่งมีชีวิตบนโลก จนถึงธรรมชาติของสสารและพลังงาน วิทยาศาสตร์สร้างความตื่นตาตื่นใจไปกับการสำรวจตรวจค้นความจริง วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่ปฏิวัติความรู้ที่เรามี แต่ยังเปิดเส้นทางสายใหม่แห่งการเรียนรู้ให้กับเราด้วย วิทยาศาสตร์เริ่มก้าวล้ำเข้าไปในความฉงนสนเท่ห์แห่งจิตสำนึก อันเป็นคุณลักษณ์สำคัญที่ทำให้เราเป็นสัตว์โลกที่มีสัมผัสรับรู้ จึงมีคำถามว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถทำให้เราเข้าใจถ่องแท้ถึงขอบข่ายทั้งมวลของความเป็นจริง และการดำรงอยู่ของมนุษย์ต่อไป

    จากมุมมองของพุทธศาสนา ความเข้าใจอันแท้จริงของมนุษย์ต้องไม่เป็นเพียงคำอธิบายเรื่องราวความจริงอย่างมีเหตุผล รวมถึงวิธีในการทำความเข้าใจความจริงและบทบาทของจิตสำนึกกับความจริง แต่ยังรวมถึงการระลึกรู้อย่างเด่นชัดว่าเราควรปฏิบัติตนอย่างไรด้วย ตามกระบวนทัศน์ของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ความรู้ที่แท้จริงต้องได้มาจากวิธีการเชิงประจักษ์ผ่านการสังเกตุการณ์ การอนุมาน และทำการทดลองเพื่อสอบทานเท่านั้น วิธีการแบบนี้ต้องอาศัยการวัดเชิงปริมาณ สามารถทำซ้ำได้ และผู้อื่นสามารถทำได้เหมือนกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ยังมีความจริงอีกหลายมุมและสภาวะอันลึกล้ำแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ ได้หลุดหายไปจากขอบข่ายของวิธีการศึกษาดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการแยกแยะความดีกับความชั่ว สภาวะทางจิตวิญญาณ และการรังสรรคงานศิลปะ อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อมวลมนุษย์ ดังนั้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจึงยังไม่สมบูรณ์ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการยอมรับความจริงดังกล่าว และการตระหนักในข้อจำกัดขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญ จากการยอมรับความจริงดังกล่าวเท่านั้น เราจึงจะมองเห็นความจำเป็นที่ต้องผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับองค์ความรู้ทั้งมวลของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นมโนทัศน์ของเราต่อโลก รวมทั้งภาวะการดำรงอยู่ของเราจะถูกตีกรอบอยู่เพียงความจริงที่วิทยาศาสตร์นำเสนอเท่านั้น ซึ่งจะชักนำเราไปสู่แนวคิดแบบคตินิยมลดทอน หรือวัตถุนิยมแบบสุดโต่ง หรือแม้แต่โลกทัศน์แบบสูญนิยมซึ่งปราศจากศีลธรรมจรรยา และมุ่งแต่การทำลายล้าง ( ยังมีต่อ )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    วิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณ และมนุษยชาติ ( ต่อ )

    ข้าพเจ้าไม่ได้มีปัญหากับแนวคิดแบบลดทอน เพราะในความเป็นจริงวิทยาการล้ำยุคเป็นอันมากก็เกิดจากการประยุกต์ใช้วิธีการดังกล่าว แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคตินิยมลดทอนซึ่งเป็นเพียงแค่วิธีการแปรเปลี่ยนไปเป็นมุมมองแบบอภิปรัชญา เพราะนี่เป็นแนวโน้มทั่วไปที่จะทำให้เกิดความสับสนระหว่างวิธีการกับเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิธีการบางอย่างมีประสิทธิภาพสูง คัมภีร์ในพุทธศาสนาย้ำเตือนเราให้ลองนึกถึงภาพของคนกำลังชี้นิ้วไปที่ดวงจันทร์ เราควรมองตรงไปที่ดวงจันทร์มิใช่ที่ปลายนิ้ว

    ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เราเห็นว่า เราสามารถเชื่อถือและยอมรับความถูกต้องในข้อมูลเชิงประจักษ์ของวิทยาศาสตร์ โดยไม่หลงไปกับกระแสของวัตถุนิยมแบบวิทยาศาสตร์ ข้าพเจ้ายอมรับความจำเป็นและความเป็นไปได้ที่จะมีโลกทัศน์บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ แต่เราจะต้องไม่ละทิ่งความงดงามเต็มเปี่ยมของธรรมชาติของมนุษย์ รวมถึงความถูกต้องเที่ยงตรงของวิธีการรับรู้อย่างอื่น ที่อยู่นอกเหนือวิธีการแบบวิทยาศาศตร์ ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ เพราะมั่นใจเหลือเกินว่ามโนทัศน์ที่ทำให้เรารู้จักโลก ญาณทัศนะแห่งการดำรงอยู่และศักยภาพของมนุษย์ รวมทั้งคุณค่าแห่งจริยธรรมที่เป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมมนุษย์ ล้วนมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด ทัศนะที่เรามีต่อตัวเราเองและต่อโลกรอบตัว ย่อมส่งผลต่อเจตคติและความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งมีชีวิตบนโลกที่เราอาศัยอยู่ และนี่คือหัวใจสำคัญของคำถามเชิงจริยธรรม

    [​IMG]

    นักวิทยาศาสตร์มีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่คือ ความรับผิดชอบเชิงศีลธรรม ที่จะทำให้วิทยาศาสตร์ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของมนุษยชาติให้ได้มากและดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการตามความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตน ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เราเห็นว่านักวิทยาศาสตร์ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาธารณชนยิ่งกว่าวิชาชีพใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม ความไว้วางใจดังกล่าวก็ไม่ใช่ศรัทธาที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป เราคงเคยเห็นโศกนาฏกรรมมากมายอันเกิดจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มากจนสั่นคลอนความไว้วางใจในวิทยาศาสตร์ของสาธารณชน ในชั่วชีวิตของข้าพเจ้าได้เห็นหายนะทางนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมา ( เมืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ) เซอร์โนบิล ( โรงงานนิวเคลียร์ระเบิดในรัฐยูเครน ) และทรีไมล์ไอร์แลนด์ ( อุบัติเหตุนิวเคลียส์รั่วไหลในโรงงานผลิตไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกา ) และหายนะทางเคมีที่เมืองโบพาล ( โรงงานแก๊ซพิษระเบิด ) นอกจากนี้ยังมีหายนะทางนิเวศวิทยาและความเสื่อมถอยของสภาวะแวดล้อม เช่นการหายไปของชั้นโอโซนในบรรยากาศ เป็นต้น

    ข้าพเจ้าของวิงวอนให้เราใช้จิตวิญญาณของเรา รวมทั้งคุณค่าพื้นฐานของมนุษย์อันเต็มเปี่ยมและดีงาม ไปนำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสังคมมนุษย์ เพราะโดยแก่นแท้แล้วถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณจะมีความแตกต่างกันในวิถีทาง แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือความผาสุกของมวลมนุษยชาติ เพราะอย่างน้อย วิทยาศาสตร์ก็มีแรงบันดาลใจเพื่อแสวงหาความรู้ ที่จะช่วยให้เราเจริญขึ้นและมีความสุขมากขึ้น ในภาษาธรรมเราถือว่าวิทยาศาสตร์แบบนี้คือปัญญาที่ตั้งอยู่บนความเมตตากรุณา ในทำนองเดียวกัน จิตวิญญาณคือการเดินทางของมนุษย์เพื่อแสวงหาทรัพย์ภายใน โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงและเพื่อแสวงหาแนวทางการดำรงชีวิตที่เติมเต็มและเป็นสุข และนี่ก็คือการผสมผสานปัญญาและความเมตตากรุณาเข้าด้วยกัน

    เมื่อเราเริ่มเข้าสู่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ มนุษยชาติได้พึ่งพาอาศัยทางจิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นแหล่งของการแสวงหาความรู้และความผาสุก บางครั้งความสัมพันธ์นั้นก็สนิทสนมชิดเชื้อ แต่ในบางครั้งความสัมพันธ์ก็ดูเย็นชา เมื่อพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่อาจเข้ากันได้ ในวันนี้ ซึ่งนับเป็นทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณได้กลับมาใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเริ่มต้นประสานความมานะอุตสาหะเข้าด้วยกัน ซึ่งความกลมเกลียวนี้จะมีพลังมหาศาลที่จะช่วยมนุษยชาติให้เผชิญกับความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้าเรา เราทุกคนล้วนร่วมอยู่ในภาวะเดียวกัน ขอให้เราทุกคนในฐานะที่เป็นสมาชิกของครอบครัวมนุษย์ครอบครัวเดียวกัน พึงตอบรับขับขานต่อพันธะกรณีเชิงศีลธรรมเพื่อให้ความร่วมมือนี้เป็นจริงขึ้นมา นี่คือคำวิงวอนจากใจของข้าพเจ้า
    :z6:z6:z6
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมชาติของสรรพสิ่ง – การเข้าถึงความจริงทั้งหมด

    [​IMG]

    คนทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
    มนุษย์มีศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้
    กระบวนการเรียนรู้ที่ดีต้องประกอบด้วยอิสรภาพ
    หลุดจากความครอบงำที่ทำให้ไม่สามารถสัมผัสความจริง
    การสัมผัสความจริงเป็นฐานให้เกิดปัญญา

    __________________________

    ทุกวันนี้ มนุษย์ถูกกักขังไม่ให้สัมผัสความจริงด้วยเครื่องกีดขวางต่างๆ
    เช่น โดยวิถีชีวิต โดยสถาบันการศึกษา โดยความเชื่อหลงผิดตามๆ กันมา เป็นต้น
    ทุกคนควรพิจารณาไตร่ตรองเครื่องกีดขวางเหล่านี้และปลดปล่อยตัวเองไปสู่ความเป็นไท
    เพื่อจักมีความเป็นอิสระในการสัมผัสความจริงและในการคิด
    อิสรภาพในการสัมผัสกับความจริงและในการคิดจะเป็นฐานทางปัญญา
    ความรู้อย่างเดียวไม่พอ มนุษย์ควรมีปัญญา คือเข้าถึงความจริงทั้งหมดว่า
    สรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งตัวเราเองด้วย มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ปลดปล่อยตัวเองจากการถูกกักขังในความคับแคบของตัวเอง
    ไปสู่ธรรมชาติของความเป็นจริงอันไม่มีขอบเขต
    การบรรลุความจริงในความเป็นทั้งหมด
    จะทำให้บรรลุความงาม บรรลุมิตรภาพอันไพศาล บรรลุอิสรภาพและความสุขอันประณีต
    อันเป็นไปเพื่อชีวิตที่เจริญ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

    ศ.นพ. ประเวศ วะสี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    บูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์

    ศาสนานั้นว่าด้วย “ คุณค่า ” หรือ “ ความดี “ ส่วนวิทยาศาสตร์นั้นว่าด้วย “ ความจริง “ มนุษย์น่าจะต้องการทั้งความดีและความจริง แต่ทำไมศาสนาและวิทยาศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่ห่างไกลกันหรือหันหน้าไปคนละทาง จะเป็นไปได้หรือที่ศาสนาจะเป็นเรื่องที่ปราศจากความดี สิ่งที่ดีที่สุดน่าจะเป็น “ ความดีในความจริง “ และ “ ความจริงในความดี ” นั่นคือบูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะมีความสำคัญต่ออนาคตของมนุษยชาติ การที่จะบูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร และอะไรที่เป็นแก่นแกนหรือหลักที่สำคัญ ( essence ) อะไรที่เป็นส่วนประกอบ และอะไรที่เป็นการใช้อย่างผิดๆ ( abuse )

    ศาสนา

    ศาสนาเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ คนในสมัยปัจจุบันด้วยท่าทีของความเป็นสมัยใหม่ในการศึกษาและสังคม จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม ถูกหล่อหลอมให้รังเกียจศาสนา เห็นเป็นเรื่องคร่ำครึ โบราณ ไม่ทันสมัย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง ปิดกั้นเสรีภาพของบุคคล จึงเป็นเรื่องไม่จำเป็น จริงอยู่ ศาสนาโดยเฉพาะในยุโรปเคยบังคับความเชื่อของประชาชน เคยไต่สวนและลงโทษผู้ไม่เชื่ออย่างรุนแรง วิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุโรปจึงเป็นปฏิกิริยาหรือกบฏต่อคามเชื่อทางศาสนา เป็นการค้นคว้าหาความจริงมาปลดปล่อยให้หลุดพ้นไปจากความบีบคั้นของศาสนา

    ความบีบคั้นเป็นของไม่ดี การหลุดพ้นความบีบคั้นไปสู่ปัญญาเป็นของดี แต่การกระเด็นหรือทะลักไปเพราะแรงบีบคั้นโดยขาดปัญญาไม่น่าจะดี ปัญญาคือการรู้เห็นความจริงทั้งหมด ไม่ใช่รู้เป็นส่วนๆ วิทยาศาสตร์ยังไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นความรู้ที่เป็นส่วนๆ คนปัจจุบันที่ว่าอยู่ในฐานทางวิทยาศาสตร์จึงต้องรู้เท่าทันว่า วิทยาศาสตร์ยังไม่ใช่ปัญญาหรือการรู้เห็นความจริงทั้งหมดยังเป็นความรู้ที่เป็นส่วนเสี้ยว และทำให้เข้าไปติดอยู่ในความเป็นส่วนเสี้ยวนั้นได้ทำให้เราเป็นคนแยกส่วน การแยกส่วนอย่างหนึ่งคือทำให้คนปัจจุบันไม่เข้าใจว่า “ ศาสนาเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ “ ทำให้เกิดการบกพร่องทางปัญญา และก่อให้เกิดความเสียหายเหลือคณานับที่มนุษย์ในปัจจุบันพัฒนามาโดยขาดความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์

    [​IMG]

    แม้โดยชีววิทยา มนุษย์จะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่ก็ต่างจากสัตว์ตรงที่มีจิตใจสูง สัตว์จะทำอะไรไม่มีบุญมีบาป มีแต่ธรรมชาติของความเป็นสัตว์ แต่มนุษย์มีจิตสำนึกทางคุณค่าหรือความดี และขาดความดีไม่ได้ ถ้าขาดความดี มนุษย์ก็จะขาดความสมบูรณ์ในตัวเอง และเป็นโรคพร่องซึ่งก่อพยาธิสภาพในตัวเองและสังคมต่อไป จิตสำนึกทางคุณค่าหรือความดีเป็นฐานของศาสนา เนื่องจากจิตสำนึกในสัตว์ไม่มี มีแต่ในมนุษย์เท่านนั้น จึงกล่าวว่าศาสนาเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ หรือคือความเป็นมนุษย์

    ความเป็นศาสนาอยู่ในจิตใจของมนุษย์ จิตของมนุษย์ในยุคต่างๆ ไม่เหมือนกัน ลักษณะของศาสนาจึงแตกต่างกัน มนุษย์แต่เริ่มต้นนั้นวิวัฒนาการออกมาจากสัตว์ สัตว์ไม่มีศาสนา แต่มีสัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่ มนุษย์เริ่มแรกคือ hominids ก็คิดคล้ายๆ สัตว์ คือคิดด้วยสัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าจิตแบบดั้งเดิมหรือดึกดำบรรพ์ ( archaic ) ต่อมาเพราะความเป็นมนุษย์ มนุษย์เริ่มสัมผัสอะไรที่เร้นลับ ที่ไม่ใช่วัตถุ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร เข้าใจว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ เมื่ออยากได้อะไรก็ใช้การร้องขอ ทำพิธีกรรม บวงสรวง อ้อนวอน บูชายันต์ เพื่อให้อำนาจเร้นลับเหนือธรรมชาตินั้นพอใจ อาจเรียกว่าเป็นการนับถือผีหรือไสยศาสตร์ ( magical ) ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ในยุคที่จิตวิวัฒนาการมาอยู่ในขั้นนั้น ต่อมามนุษย์คิดด้วยเหตุผลมากขึ้น เข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น เข้าใจว่าเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้คนนั้น คนจะต้องกระทำความดี นี้จะเห็นว่ามีการพัฒนาขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่ง จากการอ้อนวอนร้องขอขึ้นมาเฉยๆ มาว่าเป็นตัวนั่นแหล่ะที่จะต้องทำความดี เทพจึงจะรักและให้ในสิ่งที่ต้องการ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ศาสนาใหญ่ๆ เกิดขึ้น จิตของมนุษย์ในยุคนี้ ได้พัฒนามาเป็นยุคที่เรียกว่านับถือทพ หรือ mythical คือยังสัมพันธ์กับอำนาจเร้นลับหรือเทพ แต่ได้พัฒนาไปถึงขั้นว่าตัวต้องกระทำความดี เทพเจ้าจึงจะพอใจ นับว่าเป็นพัฒนาการทางปัญญาอย่างสำคัญ

    ศาสนาใหญ่ๆ เกิดขึ้นในช่วง 5,000 - 2,000 ที่แล้วนี่เอง ในช่วงนี้ จากที่เคยนับถือเทพหรือเทวดาองค์ย่อยๆ หลายๆ องค์ จะเหลือน้อยองค์หรือองค์เดียว เช่น พระพรหมของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู พระเจ้า ( God ) ของศาสนาฮิบรู ของยิว และของศาสนาคริสต์ พระอัลเลาะห์ของศาสนาอิสลาม พระผู้เป็นเจ้าคือผู้สร้างจักรวาลหรือเป็นจักรวาลนั่นเอง บุคคลต้องทำความดี คือลดละความเห็นแก่ตัว จึงจะเข้าถึงหรือเข้าไปรวมกับพระผู้เป็นเจ้าได้ พระผู้เป็นเจ้าคือสิ่งสูงสุด คือการหลุดจากความคับแคบในตัวเองเข้าไปรวมกับสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด จึงเป็นอิสระและเกิดความสุขอันท่วมท้น ( bliss ) หรือความสุขอันเป็นทิพย์ที่เรียกว่า “ ความสุขทางจิตวิญญาณ “ ( spiritual happiness ) ผู้ที่มีศรัทธาในศาสนารุ่นแล้วรุ่นเล่าจะมีประสบการณ์อันเป็นทิพย์นี้ ซึ่งยืนยันตรงกัน

    ในทางพุทธศาสนาและลัทธิเต่าซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน คือก่อนคริสต์ศาสนาประมาณ 500 – 600 ปี ไม่มีพระเจ้า แต่ถือการเข้านิพพานเป็นสิ่งสูงสุด นิพพานคือภาวะสงบเย็นจากความเห็นแก่ตัว เข้าถึงความว่าง ( สูญญตา ) เกิดความหลุดพ้นหรือวิมุติ และประสบความสุขอย่างยิ่งจากการหลุดพ้นที่เรียกว่า “ วิมุติสุข “
    ( ยังมีต่อ )
    qsquqsquqsqu
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    บูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ ( ต่อ )

    ศาสนาหลากหลาย แต่มีวัตถุประสงค์เหมือนกัน

    ศาสนามีหลายศาสนา เพราะศาสนาเกิดขึ้นได้ในกลุ่มชนต่างวัฒนธรรม จะมีศาสนาเดียวไม่ได้ กลุ่มชนต่างๆ ย่อมมีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน แต่ทุกศาสนาล้วนสอนให้มนุษย์มีความเมตตาต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน ไม่ทำร้ายกัน เพื่ออยู่ร่วมกันด้วยดี ซึ่งเป็นหลักของทานและศีล และทุกศาสนาจะมีส่วนที่เป็นพัฒนาการทางจิตวิญญาณ คือการลดละความเห็นแก่ตัว จะด้วยการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าหรือพระนิพพานก็แล้วแต่ การลดละความเห็นแก่ตัวนอกจากช่วยให้ชีวิตของตัวเองสมบูรณ์ เกิดความสุขแล้ว ยังเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันได้ดีขึ้น
    ทุกศาสนาจึงเป็นหลักปฏิบัติหรือการดำเนินชีวิตที่ประกอบด้วยการให้ ( ทาน ) ด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ( ศีล ) และด้วยการพัฒนาจิตใจให้สูง ( ภาวนา ) ทั้งหมดเป้นไปเพื่อชีวิตและสังคมที่ดี เป็นชิวิตและสังคมที่เจริญ นี้คือแกนที่สำคัญร่วมกันของศาสนาต่างๆ

    [​IMG]

    ความเชื่อ ลัทธิ และพิธีกรรมที่มาร่วมกับศาสนา

    ศาสนาเป็นหลักปฏิบัติร่วมกันของคนจำนวนมาก นอกเหนือไปจากเรื่องหลักคือศีลธรรมและการพัฒนาจิตให้สูงแล้ว ยังประกอบด้วยความเชื่อ ลัทธิ ( dogma ) และพิธีกรรม มากหรือน้อยแตกต่างกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะศาสนาเกิดในยุคคาบเกี่ยวระหว่าง magical กับ mythical ดังกล่าวข้างต้น เรื่องความเชื่อ ลัทธิ พิธีกรรม จึงเป็นปกติธรรมดาของยุคสมัย คนสมัยใหม่อาจรู้สึกขัดข้องว่าความเชื่อบางอย่างไม่ตรงกับที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ ส่วนวิทยาศาสคร์ค้นพบว่าจักรวาลเกิดจาก “ บิ๊กแบง “ เมื่อ 15,000 ล้านปีก่อน ไม่ตรงกับที่ว่าพระเจ้าสร้างโลกใน 6 วัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องปรัมปราเกี่ยวกับความวิเศษมหัศจรรย์ต่างๆ กัน ความเชื่อที่แตกต่างไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อีกประการหนึ่ง ภาษาที่ใช้อาจให้ความหมายแตกต่างกัน “ ภาษาคน – ภาษาธรรม ” ดังที่ท่านพุทธทาสอธิบายก็เป็นต้นเหตุของความเข้าใจแตกต่างกัน อีกประการหนึ่ง วิทยาศาสตร์แบบคลาสสิกก็เข้าใจแต่สิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่วิทยาศาสตร์ใหม่ที่ก้าวหน้าทำให้เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างรูปธรรมนามธรรมดีขึ้น ดังที่จะกล่าวต่อไป

    ที่สำคัญก็คือ ความเชื่อ นิทานปรัมปรา พิธีกรรมที่มากับศาสนาแม้นไม่ตรงกับความเข้าใจของคนสมัยใหม่ ก็ไม่ควรทำลายคุณค่าที่แท้จริงของศาสนา คือเรื่องทางศีลธรรมและพัฒนาการทางจิตวิญญาณ ดังกล่าวข้างต้น

    การประยุกต์ใช้ศาสนาไม่ถูกต้อง

    ศาสนาเป็นปัญญาใหญ่ เกิดจากคำสอนของมหาบุรุษผู้บรรลุธรรมจึงเป็นเรื่องที่ครอบคลุมทั้งหมด พระผู้เป็นเจ้าก็ต้องเป็นพระผู้เป็นเจ้าของมนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ทั้งหมด ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าของบางเผ่าพันธุ์ แต่มนุษย์ยังมีจิตเล็กเรื่องสัญชาตญาณเผ่า ( tribal instinct ) เป็นเรื่องที่รุนแรง จึงใช้สัญชาตญาณเผ่าเข้าไปจับเรื่องศาสนา คิดว่าพระเป็นเจ้าเป็นของเผ่าพันธุ์องตน เผ่าพันธุ์ของตนเป้นผู้ที่พระเจ้าโปรดเป็นพิเศษ คนถือศาสนาอื่นเป็นคนนอกศาสนาเป็นคนไม่ดี เป็นคนบาป สามารถเข่นฆ่าได้โดยไม่บาป เกิดเป้นการฆ่ากันเพราะศาสนาหรือสงครามศาสนา เป็นต้นเหตุของความรุนแรงอย่างยิ่งทั้งในอดีตและปัจจุบัน การยึดมั่นถือมั่นในศาสนาจึงเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งรุนแรง เพราะความมีจิตเล็กของมนุษย์ที่ไปดึงศาสนาซึ่งควรจะเป็นเรื่องใหญ่ให้เล็กลงมาตามจิตของมนุษย์ และเป็นต้นเหตุของความรุนแรง มนุษย์สมัยใหม่จำเป็นต้องมีจิตสำนึกใหม่อันเป็นจิตสำนึกใหญ่ เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์ทั้งมวล มีความรักสากล มีความเข้าใจ และมีความร่วมมือกันระหว่างศาสนาและกับที่ไม่มีศาสนาด้วย
    ( ยังมีต่อ )
    :boo::boo::boo:
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    บูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ ( ต่อ )

    วิทยาศาสตร์

    วิทยาศาสตร์อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันตั้งต้นในยุโรปเมื่อประมาณ 500 ปีมานี่เอง แต่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ สังคม และโลก อย่างใหญ่หลวงหรือโดยสิ้นเชิง วิทยาศาสตร์คือกระบวนการสร้างความรู้จากหลักฐาน ( evidence – based ) เป็นความรู้ที่คงทนต่อการพิสูจน์ ทำให้เข้าใจกฏเกณฑ์ของธรรมชาติโดยเฉพาะทางกายภาพจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ นำไปสู่การประยุกต์ใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีในการผลิต การขนส่ง การคมนาคม การติดต่อสื่อสาร และการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอำนาจรุนแรง เทคโนโลยีที่มีฐานอยู่ในวิทยาศาสตร์ทำให้วิถีชีวิตมนุษย์เปลี่ยนและเกิดสังคมในรูปใหม่ขึ้น มนุษย์มีความสะดวกสบายขึ้น เมืองเติบโตขึ้นเป็นนครใหญ่ ประเทศที่มีเทคโนโลยีใหม่ มีกำลังมากขึ้นทางเศรษฐกิจและทางกำลังรบ ได้ใช้ความได้เปรียบทางอาวุธสมัยใหม่รุกราน เข่นฆ่า แย่งชิงดินแดนและทรัพยากรของชนพื้นเมืองไปทั่วโลก ทำให้ชนเผ่าดั้งเดิมหลายแห่งลดน้อยหรือสูญพันธุ์ไป คนผิวขาวได้เข้าไปยึดครองดินแดนหรืออเมริกาทั้งทวีป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเกาะอื่นๆ การแข่งขันแย่งชิงทางเศรษฐกิจได้นำไปสู่ความขัดแย้งและสงคราม ทั้งสงครามเล็ก สงครามโลก และสงครามเย็น

    วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำมาซึ่งการเกิดขึ้นของความทันสมัย ( modernity ) ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีข้อดีหลายอย่าง เช่น ความสะดวกสบาย การรักษาโรคที่ชะงัด การมีความรู้ การเป็นตัวของตัวเอง ความตระหนักในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ประชาธิปไตย การเรียกร้องของสิทธิของมนุษยชน เป็นต้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ถึงรากถึงโคนที่ไม่สามารถหวนกลับไปเป็นอย่างเดิมก่อนสมัยวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีผลเสียเกิดขึ้นมากับความทันสมัยที่สำคัญที่สุด คือ ทำให้เกิดการคิดแบบแยกส่วนและพัฒนาแบบแยกส่วนอันนำไปสู่วิกฤตการณ์ต่างๆ วิทยาศาสตร์เป็นความรู้แบบแยกส่วนเพราะเป็นการตั้งคำถามแล็กๆ เป็นส่วนๆ ที่ต้องการความรู้ทีละชิ้นๆ และเน้นการวัดได้แม่นยำ ( precision of measurement ) และพิสูจน์ซ้ำได้ ( reproducibility ) เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับส่วนของธรรมชาติที่วัดได้สะดวก วัดได้แม่นยำ พิสูจน์ซ้ำได้ นั่นคือ ส่วนที่เป็นรูปธรรมหรือวัตถุ แต่ธรรมชาติมีทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ส่วนที่เป็นนามธรรม เช่น จิตและคุณค่านั้น จับต้องและวัดได้ยาก วิทยาศาสตร์จึงไม่สนใจหรือปฏิเสธส่วนที่เป็นนามธรรมไปเลย แต่ส่วนนี้คือจิตและคุณค่าเป็นส่วนสำคัญ เมื่อถูกทอดทิ้งไปเสีย โลกจึงเอียง คือเอียงไปข้างวัตถุธรรมหรือวัตถุนิยม ทำให้เกิดความพร่องทางจิตวิญญาณ

    [​IMG]

    ความรู้ที่เอียงข้างทางวัตถุซึ่งขาดมิติทางจิตวิญญาณกำกับทำให้เกิดความโลภและลัทธิบริโภคนิยมสุดโต่ง ทำให้เกิดการพัฒนาแบบแยกส่วนที่เอาเศรษฐกิจและเงินเป็นตัวตั้ง ทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมจนวิกฤต เกิดลัทธิ ปัจเจกชนนิยมสุดโต่งจนเกิดความแตกสลายทางสังคม ( social disintegration ) เกิดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย และระหว่างประเทศจนกับประเทศรวยถ่างกว้างมากขึ้น อันนำไปสู่ปัญหาการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ การขาดการอยู่ร่วมกันด้วยดี และโรคพร่องทางจิตวิญญาณ นำไปสู่วิกฤตการณ์ของมนุษย์ซึ่งมีอาการขาดความสุข มีความเครียดสูง ความหงุดหงิด การหาความหมายไม่ได้ ความรู้สึกหมดหวัง ( hopelessness ) การเข้าไปสู่ความรุนแรง การใช้ยาเสพติด การฆ่าตัวตาย การฆ่าผู้อื่น

    ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โครงสร้างอำนาจในโลกได้พยายามเปลี่ยนแปลงให้โลกทั้งโลกมีอารยธรรมเดียว คือ อารยธรรมวัตถุนิยม บริโภคนิยม ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะความหลากหลายทำให้เกิดความงามและความยั่งยืน ความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องทำให้โลกงามและยั่งยืน ไม่ควรที่จะไปเปลี่ยนให้โลกทั้งโลกมีวัฒนธรรมหรืออารยธรรมเดียว
    :VO:VO:VO
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    บูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ ( ต่อ )

    มนุษยชาติต้องเรียนรู้เพื่อการหลุดรอดจากวิกฤตในปัจจุบัน สร้างความสุขและความเจริญอย่างแท้จริงในชีวิต และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติทั้งโลก ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ให้เป็นโลกาภิวัฒน์แบบอริยะ

    ศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ใหญ่ๆ สองกระแสที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างสำคัญของมนุษยชาติ ความสำคัญต่อไปอยู่ที่ว่ามนุษย์จะรู้จักใช้ศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องเรียนรู้อย่างบูรณาการเพื่อความสมบูรณ์ได้อย่างไร

    มีความพยายามที่จะบูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์กันอยู่บ้าง แต่เป็นความพยายามที่จะบูรณาการที่ความรู้หรือวิชาอันเป็นเรื่องภายนอกตัวมนุษย์มากกว่าบูรณาการภายในตัวมนุษย์เอง คือบูรณาการที่การเรียนรู้ บูรณาการที่ความรู้ระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ออกจะเป็นเรื่องยากพอสมควร เพราะเป็นความรู้คนละมิติ มีที่มาและกระบวนการต่างกันแต่ในตัวมนุษย์เองนั้นต้องการเรียนรู้ทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์เพื่อความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ ความสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์เป็นสภาวะบูรณาการ ศาสนากับวิทยาศาสตร์บูรณาการกันในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นไม่ใช่อยู่ที่บูรณาการที่ความรู้ที่อยู่นอกตัวมนุษย์ แต่อยู่ในตัวมนุษย์เอง

    [​IMG]


    การที่มนุษย์จะใช้ศาสนาและวิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ให้เกิดปัญญาที่สมบูรณ์อยู่ที่วิธีมอง ความเข้าใจ และท่าที ตรงนี้อาจจะตรงกับคำฝรั่งว่า “ orientation ” และตรงกับคำทางพุทธในข้อสัมมาทิฏฐิและสัมนาสังกัปปะ วิธีมอง ความเข้าใจ และท่าทีนั้น ที่แท้คือการเกี่ยวข้องด้วยปัญญาก่อนวิธีการหรือเทคนิควิธี คนเป็นอันมากพรวดพราดเข้าไปทำอะไรๆ ด้วยเทคนิควิธีเลย โดยขาดการมองให้ชัดเจนเสียก่อน จึงผิดพลาดได้ง่ายหรือไม่มีพลังเพราะขาดการมองด้วยปัญญา

    ศาสนาเป็นคำสอนของศาสดาที่ว่าด้วยหลักการปฏิบัติในการดำรงชีวิตที่เป็นศีลธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันและความเป็นผู้มีจิตใจสูง การค้นพบความรู้ในเรื่องศีลธรรมและในการพัฒนาให้จิตใจสูงนับเป็นความมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ของมนุษย์มาก ถ้าคิดว่ามนุษย์ในทางชีววิทยาก็เป็นสัตว์ ต้องนับว่าเป็นก้าวกระโดดของมนุษยชาติหรือความเป็นมนุษย์ มนุษย์พ้นไปจากความเป็นสัตว์ก็อยู่ที่การมีศีลธรรมและการมีจิตใจสูง เรื่องศีลธรรมและการมีจิตใจสูงเป็นเรื่องปฏิบัติได้จริง ได้ผลจริง ยืนยันได้ จึงเป็น evidence – base อันเป็นหลักการของวิทยาศาสตร์ แต่กระบวนการต่างกัน เป็นเรื่องของการปฏิบัติและการได้ผลจากการปฏิบัติ เป็นปัญญา แต่เป็นคนละความหมายกับทางวิทยาศาสตร์เป็นปัญญาที่แท้จริงถึงความจริงของโลกและชีวิตโดยลดละความเห็นแก่ตัวที่เรียกว่าจิตใจสูง เป็นอิสระ มีความสุข มีมิตรภาพอันไพศาล เกื้อกูลต่อการอยู่ร่วมกันอย่างยิ่ง โดยกระทบกระเทือนต่อคนอื่นและต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ที่เรียกว่าการปฏิบัติเพื่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณ นับรวมถึงการเจริญสติ การเจริญสมาธิ ( meditation ) ด้วยความจริงที่ละเอียดอ่อนนั้นจะเข้าถึงได้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิเท่านั้น แต่เข้าถึงไม่ได้ด้วยการตั้งทฤษฏีและการใช้เหตุผลแบบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาทางศาสนาไม่เกิดขึ้นได้ด้วยการถกเถียงเชิงความรู้แต่ต้องใช้การทำสมาธิ นักวิทยาศาสตร์จะเข้าถึงปัญญาทางศาสนาด้วยทฤษฏีไม่เพียงพอหรือเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องใช้วิธีปฏิบัติที่พิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง

    ศีลธรรมและพัฒนาการทางจิตวิญญาณคือหัวใจของศาสนา คงทนต่อการพิสูจน์ และมีประโยชน์ยิ่ง ส่วนความเชื่อหรือเรื่องปรัมปราที่มากับศาสนาที่ไม่คงทนต่อการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์พิสูจน์เป็นอย่างอื่นไม่ควรนำมาเป็นความสำคัญทั้งทางบวกหรือทางลบ ไม่มีประโยชน์ที่จะเอามาโต้เถียงกัน เสียเวลาเปล่าๆ และทำให้เบี่ยงเบนไปจากแก่นแกนของศาสนาจริงๆ

    ในขณะเดียวกัน ถ้าเข้าใจว่าศาสนาไม่ใช่เรื่องของความรู้อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติและการเรียนรู้ของมนุษย์ หลักธรรมอาจจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ตัวมนุษย์และสังคมเปลี่ยนแปลงไปมา หรือกล่าวว่าโลกในปัจจุบันต่างไปจากโลกโบราณเมื่อศาสนาเกิดขึ้นมาก โลกปัจจุบันซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดหรือจิตของมนุษย์มาก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถ้านักการศาสนาไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีย่อมไม่สามารถเข้าใจจิตของมนุษย์สมัยใหม่และไม่สามารถสื่อสารกันได้ ในขณะที่วิทยาศาสตร์จำเป็นต้องได้รับการนำทางด้วยศีลธรรมและพัฒนาการทางจิตวิญญาณดังจะได้กล่าวต่อไป แต่ถ้านักการศาสนาไม่ใจวิทยาศาสตร์เสียแล้ว นักวิทยาศาสตร์คงไม่ยอมรับการนำจากคนที่ไม่เข้าใจเขา นี้เป็นความจำเป็นที่จะต้องมีบูรณาการระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์
    ( ยังมีต่อ )
    (f)(f)(f)
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิทยาศาสตร์ต่อมนุษยชาติคือ การทำให้เกิดปัญญา ( wisdom ) ไม่ใช่เป็นเพียงความรู้และเทคโนโลยี ปัญญาคือความเข้าใจความเชื่อมโยงของธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างเป็นองค์รวม หรือรู้ทั้งหมดซึ่งรวมถึงตัวเอง และเกิดการปลดปล่อยตัวเองไปสู่ความเป็นอิสระ ที่แล้วมาต้องถือว่าวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงจุดนี้ วิทยาศาสตร์ยังเป็นเพียงความรู้และเทคโนโลยี แต่ขาดมิติทางศีลธรรมและจิตวิญญาณจึงนำไปสู่โลกที่ซับซ้อนทางวัตถุ แต่แบนราบทางจิตวิญญาณ เป็นโลกที่พร่องทางจิตวิญญาณและก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตของมนุษย์ดังกล่าวข้างต้น

    [​IMG]

    แต่ขณะเดียวกัน วิทยาศาสตร์ก็มีความก้าวหน้าในหลายด้านที่นำไปสู่ความเข้าใจธรรมชาติอย่างเชื่องโยงเป็นองค์รวมมากขึ้นเรื่อยๆ การค้นพบทฤษฏีความสัมพันธ์ ( Relativity ) โดยไอน์สไตน์ ทำให้เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเห็นอะไรแบบตายตัวแยกส่วนไปสู่สัมพัทธภาพหรือความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นพลวัต การค้นพบฟิสิกส์ควอนตัมและบริบทที่ติดตามมาทำให้เข้าใจความเป็นอนิจจัง ความไม่มีตัวตนที่แน่นอน และความเชื่องโยงอย่างมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทฤษฏีหรือวิทยาศาสตร์แห่งความซับซ้อน ( complexity ) ทำให้เข้าใจปรากฏการณ์หลายอย่างซึ่งเดิมอธิบายไม่ได้ เข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ( part ) และความเป็นทั้งหมด ( whole ) และการผุดบังเกิด ( emergence ) ของสมบัติใหม่ของความเป็นทั้งหมดอันไม่เหมือนคุณสมบัติของส่วนย่อย ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับสมองดีขึ้น และระหว่างสมองกับระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ระบบเอ็นโดครีน ( endocrine ) และระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่าง จิต – สมอง - เอ็นโดครีน – ภูมิคุ้มกัน ( Psycho – neuro – endocrine – immunology ) นั่นคือความเชื่องโยงระหว่างนามธรรมกับรูปธรรม จิตเป็นนามธรรม ความรู้สึกสุข ทุกข์ ชอบ ไม่ชอบ เกลียดโกรธ หรือจิตที่สงบสบายซึ่งเป็นอาการของจิต มีผลต่อสมองซึ่งเป็นกาย และส่งผลต่อระบบอื่นๆ ต่อไป เช่น ความเครียดทำให้เบาหวานกำเริบ หอบหืดมากขึ้น ภูมิคุ้มกันต่ำ ป็นโรคติดเชื้อ และเป็นมะเร็งมากขึ้น เป็นตัวอย่างที่จิตมีอิทธิพลต่อความเป็นไปของกาย

    ความรู้ที่ว่าจิตกับกายมีผลถึงกันและกันเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ เพราะศาสนาเน้นที่จิต และวิทยาศาสตร์เน้นที่วัตถุและที่แท้ จิตกับวัตถุเชื่อมโยงกัน ไม่ได้แยกส่วนหรือไม่เกี่ยวข้องกัน

    ในการศึกษาควรจะมีบูรณาการระหว่างชีวิต ความเป็นจริง และวิชาความรู้ ที่พูดกันว่าหลักสูตรบูรณาการนั้นมักเป็นแต่บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ เท่านั้น แต่ไปไม่ถึงบูรณาการกับชีวิตความเป็นจริงด้วย กาย ใจ สังคม คือชีวิตความเป็นจริง กายอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักโดยรูปลักษณ์ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากจิต สังคมมาก เช่น โรคเครียดซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษย์ทั่วโลกขณะนี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกายกับจิต สังคม สังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จิตของคนดึกดำบรรพ์กับปัจจุบันก็ไม่เหมือนกัน เพราะจิตถูกหล่อหลอมมาในสังคมแต่ล่ะช่วง การใช้ทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์เข้ามาในลักษณะบูรณาการกับ กาย ใจ สังคม จึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะศาสนาจะช่วยทำให้เกิดความเจริญทางจิตและจิตวิญญาณ ส่วนวิทยาศาสตร์ช่วยเชื่อมโยงให้เข้าใจความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถพัฒนาได้ในความเป็นจริงใหม่

    ฉะนั้น ในการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและสังคม ควรจะใช้ความรู้และวิธีการทางศาสนาและวิทยาศาสตร์ อย่าดูถูกศาสนาต่างๆ ถ้าไม่เข้าใจก็ควรอ่อนน้อมถ่อมตนว่าเรายังไม่เข้าใจ ไม่ควรยโสโอหัง ยกหูชูหาง ควรคิดว่าไม่เข้าใจเพราะเราไม่คุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรมซึ่งเกิดขึ้นห่างไกลจากปัจจุบัน แต่ถ้าพยายามศึกษาก็จะพบภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่และคุณวิเศษในศาสนา ในขณะเดียวกัน วิทยาศาสตร์จะช่วยให้การรู้ความจริงชัดขึ้น ช่วยให้เข้าใจความเป็นจริงในสังคมที่เปลี่ยนไป แต่ที่สำคัญ ต้องเข้าใจวิทยาศาสตร์ใหม่ที่เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ไม่ใช่รู้เห็นแบบแยกเป็นส่วนๆ แบบวิทยาศาสตร์เก่า และวิทยาศาสตร์ใหม่จะนำไปสู่ความเข้าใจระหว่างรูปธรรมกับนามธรรมอันเป็นจุดบรรจบระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์

    ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ในปัจจุบันคือ ปัญหาการอยู่ร่วมกันในทุกๆ ระดับ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่น การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในชุมชน การศึกษาควรจะเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยดี

    ประสาน ต่างใจ
    (kiss)(kiss)(kiss)
     

แชร์หน้านี้

Loading...