คำสอนในพุทธศาสนาที่ไม่มีในพระไตรปิฎก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Ron_, 27 เมษายน 2013.

  1. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    คุณอาจจะไม่เข้าใจที่ผมกำลังจะสื่อนักนะครับ
    การเชื่อพระไตรปิฏกไว้ก่อนนั้นดีจริง
    แต่สิ่งที่เราอ่าน คิด แล้วก็เชื่อ อาจจะไม่จริง
    เพราะเรายังไม่ถึงธรรมะจริงๆ

    ส่วนเรื่องที่คุณกำลังอธิบายนั้น ก็มีคนอธิบายไว้เยอะเหมือนกัน
    แต่ถึงกระนั้น ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เราจะสนใจใฝ่รู้ได้ ไม่แปลกอะไร
    เพราะงานของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านพระไตรปิฏกก็อธิบายไว้มาก
    แต่ท่าทีของท่านจะนุ่มนวลและเรียบง่ายสบายกว่านี้
    เพราะท่านวางท่าทีได้งดงาม ดังนั้นข้อขัดแย้งต่างๆจึงลดลง
    คุณลองไปหาศึกษาดูก็แล้วกันนะครับ

    ส่วนเรื่องการชวนทะเลาะ
    พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยชวนทะเลาะกับใคร แต่ก็มีคนมาทะเลาะกับท่าน
    คิดร้ายกับท่านมากมาย นี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก

    ปล.เวบไซท์ที่คุณแนะนำให้อ่านนั้น ...คุณมั่นใจแค่ไหนในข้อมูลครับ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ทำอะไรต้องเป็นผู้รู้จักประมาณ อย่าทำอะไรแบบสุดโต่ง ควรเชื่อตามหลักธรรมว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือควรเดินสายกลาง ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป หรือแม้นหากว่าต้องตึงก็ควรรู้ว่าควรตึงอย่างไรไม่ให้มันขาด เป็นต้นครับ สาธุ
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ถ้าคุณต้องการให้แสดงหลักฐานผมก็คงต้องเขียนอธิบายประกอบพร้อมอ้างอิงแบบในเวปนั้นแหละครับ แต่ทีนี้มันยาวไปที่จะมาลงในนี้
    ก็เลยให้ไปอ่านในเวปเอา

    แต่ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ อ่านเฉพาะ ส่วนที่เป็นพระไตรปิฎกในอ้างอิงก็ได้ แล้วใช้วิจารณญานดูเองครับ ส่วนถ้าขี้เกียจอ่านก็อ่านที่เขียนสรุปในเวปก็ได้ครับ
     
  4. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระไตรปิฎกนั้น ส่วนใหญ่เป็นธรระจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรงครับ แต่พระอรหันต์จำมาแบบคำต่อคำ และมาท่องสาธยาย แบบไม่ปรับปรุงแก้ไขแม้แต่น้อย

    ส่วนที่เป็นคำเทศนาของของอรหันต์ที่ทันเห็นพระพุทธเจ้านั้นก็มีบ้างแต่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นครับ แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่

    คุณสมบัติและวิธีการเข้าถึงความเป็นอรหันต์นั้น แม้อดีตกับปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน
    แต่สิ่งที่ต่าง คือ ปัจจุบันไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้รับประกันอย่างแน่ชัด 100% ว่าท่านผู้นี้ใช่หรือไม่ใช่ดังเช่นสมัยพุทธกาล นอกจากจะต้องรู้เฉพาะตน และบางที ก็อาจจะมีการเข้าใจผิดกันได้ ไม่ว่าจะเข้าใจผิดในตนเอง หรือ เข้าใจผิดในผู้อื่นว่าเป็นพระอรหันต์ เช่น บางคนนึกว่า เป็นพระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ซึ่งถ้าศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก ดีๆ จะไม่เข้าใจผิดเช่นนั้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้อง เคารพเทิดทูนพระไตรปิฎกที่เป็น ตัวตัดสินว่า อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ ในเบื้องต้น

    และวิธีการที่ดีคือ การแยกข้อมูลให้ชัดเจน ว่าข้อมูลนี้ มาจากไหน มาจากพระไตรปิฎก หรือ มาจาก คัมภีร์ ไหน ไม่ให้ปนกันจนแยกไม่ออกว่าอันไหน ต้นฉบับ อันไหน มีมาทีหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะ พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสไว้เลยว่า พระธรรมที่ทรงแสดง นั้นแหละ ที่จะเป็นศาสดาแทนองค์ท่านสืบไป

    ดังนั้น การที่บอกให้ถามพระอรหันต์ในปัจจุบัน นั้น เราไม่มีอะไรรับประกันว่า องค์นี้ใช่หรือไม่ใช่ เพราะถ้าเราคุณธรรมไม่เท่าเทียมกับท่าน เราก็ไม่สามารถรู้ได้อย่างเต็ม 100% (ถ้าถึงแล้วก็คงไม่ต้องขวนขวายหาทางปฏิบัติแล้วสิจริงไหม?) แล้วจะให้ทำยังไง ถ้าเราไม่รู้หรือแน่ใจว่า ท่านองค์นี้ใช่หรือไม่ใช่ ก็ต้องฟังคำเทศนาจากท่านแล้ว เทียบกับพระไตรปิฎกว่า เข้ากันได้กับหลักธรรมหลักวินัยหรือไม่ ถ้าเข้ากันได้ก็รับไว้ ถ้าไม่ได้ก็ทิ้งเสีย

    อย่างที่บอกว่า เพราะไม่มีพระพุทธเจ้ามาตัดสินว่าอันไหนถูกอันไหนผิด จึงต้องมี ตัวเทียบคือ พระธรรมในพระไตรปิฎกที่เป็นศาสดาแทนองค์พระพุทธเจ้า เป็นตัวตัดสินไงครับ

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีสำนักนึงบอกว่า "จะพาไปเข้าเฝ้าถวายข้าวทิพย์แด่พระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน เพื่อฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และเก็บเงินค่าบูชาข้าวทิพย์" และถ้าเราคิดเอาเองว่า สำนักนี้เป็นพระอรหันต์ และไม่เคยศึกษาจากธรรมแท้ในพระไตรปิฎก และไม่ลองใช้โยนิโสมนสิการดูว่า "แบบนี้มันเป็นไปได้หรือไม่ได้" เกิดเชื่อตามเขาก็จะเข้ารกเข้าพงไป นี่คืออันตรายจากการที่ไม่ศึกษาให้ดี

    คือเรื่องบางเรื่องที่นอกกำมือนั้น ที่พระพุทธเจ้าไม่สอนเพราะไม่มีประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์ เช่น โลกแบน โลกกลม เป็นต้น ถึงแม้โลกจะแบน หรือ โลกจะกลม ก็ไม่ได้ทำให้กิเลสลดลง


    เรื่องนี้ ผมยกข้อเท็จจริงให้ดูเลยว่า คัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวไว้อย่างนี้ คัมภีร์ปฐมมูลกล่าวไว้อย่างนี้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้อย่างนี้

    ซึ่งแหล่งข้อมูลแต่ละที่ไม่มีข้อมูลที่ตรงกัน
    แต่ผมก็มีสิทธิในการที่จะเชื่อโดยการใช้วิจารณญานส่วนตัวของผม และบอกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าองค์แรกไม่มีจริง ตามข้อมูลจากคัมภีร์อนาคตวงศ์ (ไม่ใช่ผมคิดเองว่าไม่มี) นอกจากนี้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันรวมถึงอรรถกถาจารย์ท่านก็ไม่เคยกล่าวถึง เลยแม้แต่นิดเดียว และพระนามพระพุทธเจ้าองค์แรกแต่ละที่ก็ไม่ตรงกัน

    ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อตามผม ก็แล้วแต่วิจารณญาณของผู้นั้น ผมแค่เสนอข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลต่างๆให้ดูเท่านั้น ผมไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อตามผม และการที่จะไม่เชื่อในเรื่องนี้ กับ เรื่องปรามาสพระ นั้นคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน (แต่หลายคนมักจะโยงเรื่องว่า ถ้าไม่เชื่อคือปรามาสและจะลงนรกซึ่งไม่เกี่ยวกัน)

    แม้ผมจะไม่ได้เชื่อคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำทั้งหมด แต่ผมก็ไม่ได้ปรามาสท่านเพราะท่านก็เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติองค์หนึ่ง

    ถ้าจำไม่ผิด แม้แต่พระสารีบุตร ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่าเชื่อหรือไม่ พระสารีบุตรตอบว่า ไม่เชื่อ ขอไปพิจารณาดูก่อน และพระพุทธเจ้าก็ตรัสชมว่า ดีแล้ว

    ผมนำหลักฐานข้อเท็จจริงมาแสดงไม่ใช่ความเห็นผม แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า และบูรพาจารย์ท่านสอนไว้ ผมจะบอกว่า อันนี้ หลักฐาน จากคัมภีร์นี้ จากอรรถกถาจาย์ จากพระไตรปิฎก เป็นต้น

    แต่ถ้าอันไหนเป็นความเห็นผม ผมก็จะบอกไว้ว่า อันนี้ความเห็นส่วนตัวผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2013
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    แม้ในพระไตรปิฎกจะไม่มีก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้บอกเหมือนกันว่า ต้องเป็นเช่นนั้น(คือดับขันธ์ภายใน 1 วัน 7 วัน)เสมอไป

    ซึ่งผมก็บอกแล้วว่าอันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวของผม และยังเป็นความเชื่อของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสายกรรมฐาน เช่น หลวงตามหาบัว เป็นต้น

    ซึ่งคำว่าฆราวาสนั้นเป็นเพียงสมมุติ คำว่า "บวช" มาจาคำว่า ปะ วะ ชะ แปลว่า ออกจาก คือออกจากการใช้ชีวิตแบบฆราวาสทั่วๆไป เช่นแม่ชีที่นุ่งขาวห่มขาว แม้จะไม่ใช่ภิกษุณีแต่เป็น อุบาสิกาที่เป็นนักบวชได้ ไม่จำเป็นต้องห่มเหลืองเสมอไป

    ซึ่งการบวชเป็นชีหรือเป็นพราหมณ์แล้วถือศีล 8 ก็เรียกได้ว่าเป็นการบวช แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เรียกว่าภิกษุณีหรือภิกษุเท่านั้นเอง แต่ใจของผู้นั้นเรียกได้ว่า เป็นพระแท้ๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะบวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณีหรือบวชเป็นชีหรือพราหมณ์ก็ตาม

    ลองอ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้ที่
    http://palungjit.org/threads/ฆราวาส...วชเป็นภิกษุหรือภิกษุณีต้องตายจริงหรือ.415828/
    และลองดูที่หลวงตามหาบัวกล่าวถึงแม่ชีอรหันต์ โดยไม่ต้องบวชภิกษุณีไว้ดังนี้
    ประวัติแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์

    ทุกคนมีสิทธิ์เห็นต่างได้ ผมเองก็ไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อตามผมแต่อย่างใด เพียงแต่ผมให้ข้อมูลไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร อรรถกถาจารย์กล่าวไว้อย่างไร คัมภีร์นี้บอกว่าอะไร หรือ พระองค์ไหนบอกไว้อย่างไร แค่นั้นเอง

    พระอริยในไทยอาจจะมีมากกว่าประเทศอื่น แต่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับพลเมืองโลก
    ส่วนเรื่องพระนั้น ผมเองก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าองค์ใดเป็นพระอรหันต์ ได้แต่เชื่อเป็นการส่วนตัว แต่ไม่ว่าจะเป็นพระที่ผมเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ ถ้าปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสอน นั้น ผมก็นับถือเป็นพระสุปฏิปันโนทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะบรรลุธรรมหรือยังไม่บรรลุก็ตาม แต่ถ้าหากปราศจากข้อมูลในพระไตรปิฎกที่ใช้ในการพิจารณาว่า ตรงทางหรือไม่ตรงทาง ผมก็คงไม่สามารถแน่ใจได้เลย ว่าพระองค์ไหนเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบ้าง

    และแม้แต่พระเอง ก็ต้องอาศัยสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือ พระธรรมวินัย เป็นลายแทงเพื่อเดินทางไปสู่ขุมทรัพย์ทางใจ พอเจอแล้วท่านก็จำทางมาบอกเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2013
  6. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    21. พระอรหันต์ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ หลับแล้วไม่ฝัน

    นี่ก็ไม่มีในพระไตรปิฎกที่บอกว่า จะเป็นเช่นนั้น
    โดยเฉพาะเรื่องฝัน นั้น ท่านบอกแค่ว่า ไม่ฝันลามก เฉยๆ
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณก็เข้าใจถูกแล้ว แต่หลายคนจะเข้าใจว่า บวช นี่ต้องเป็นภิกษุ ภิกษุณี ห่มเหลืองเท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไปต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป นี่คือประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อ และผมก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วในความเห็นที่ 66 แล้ว ลองอ่านอีกทีดูนะครับ

    ผมบอกแล้วไงว่า ถ้าปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ผมก็กราบได้อย่างสบายใจ โดยไม่สนว่าท่านจะเป็นอริยะหรือไม่เป็นอริยะ แต่ผมสนว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโนหรือเปล่า พระบางองค์ไม่ได้เป็นอริยบุคคล แต่ก็อาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ ถ้าไม่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือไม่ประพฤติผิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ผมก็นับถือหมด

    และความรู้จากพระไตรปิฎกนั้นไม่ใช่ผมกล่าว แต่เป็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผมเองก็ปฏิบัติธรรมเช่นกัน และทำในชีวิตประจำวันด้วยนอกจากที่ทำในรูปแบบ แต่ผมก็แบ่งเวลาที่ทำในรูปแบบมา เผยแพร่ธรรมะเป็นธรรมทาน ส่วนใครจะรับหรือไม่รับผมก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2013
  8. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    จริงๆแล้ว เรื่องความเชื่อนี้
    เรามีปฐมต้นความเชื่อที่ว่า นักบวชที่กระทำสังคายนาครั้งแรก เป็นพระอรหันต์
    นี่ต้องอาศัยความเชื่อนะครับ เพราะการที่เรารู้ว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์
    ก็มาจากพระไตรปิฏกที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรวบรวมกันขึ้นมา
    แล้วเราก็ต้องเชื่อด้วยว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
    ความเชื่อตรงนี้ เราก็เชื่อจากพระไตรปิฏกอีกนั่นแหละ
    ถ้าจะให้ลึกยิ่งกว่านั้น เราก็ต้องเชื่อด้วยว่ามีพระพุทธเจ้าจริงๆ
    ซึ่งตรงนี้ เราก็อาศัยพระไตรปิฏกอีกเหมือนกัน
    แล้วเราก็ต้องเชื่อด้วยว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้จริงๆ
    ซึ่งข้อมูลนี้เราอาศัยพระไตรปิฏก... ฉบับปฐมสังคายนา
    นี่คือเรื่องของการได้รับข้อมูลมาและความเชื่อในข้อมูลนั้นๆ

    เราเชื่อในข้อมูลที่ได้รับมาได้อย่างไร... อันนี้เรื่องหนึ่ง
    และเป็นเรื่องที่สำคัญมากในพระพุทธศาสนา เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เริ่มอะไรทั้งนั้น
    จริงๆแล้วเราจะเห็นมากมายในโลกใบนี้ ที่เขาจะริเริ่มทำอะไร เขาต้องเริ่มจากความเชื่อก่อน

    สมัยเด็กผมชอบอ่านหนังสือบุคคลสำคัญของโลก ท่านเหล่านั้น จะริเริ่มทำอะไรจากสิ่งที่ชาวบ้านเขาหาว่าบ้าหรือเพี้ยน
    แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นไปได้ และก็ลงมือทำจนสำเร็จ

    ความเชื่อที่แน่นแฟ้นกลายเป็นศรัทธาที่มั่นคง

    เมื่อเราเชื่อและไม่เชื่อ(ซึ่งก็ความความเชื่ออีกด้านหนึ่ง คือเชื่อว่าสิ่งๆนั้นไม่จริง)มากพอ
    เราก็จะมีความเพียรพยายามที่จะลงมือกระทำอะไรบางอย่าง (ในทางพระพุทธศาสนาก็มีเรื่อง พละ ๕)

    การที่คุณรณจักรออกมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องนี้ คุณรณจักรเชื่ออะไรหรือครับ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ปริยัติ ก็คือปริยัติ ปริยัติของพระพุทธเจ้า และปริยัติของอรหันตสาวก ย่อมมีทั้งส่วนที่เหมือนและส่วนที่แตกต่างกัน
    ส่วนที่เหมือนกัน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ส่วนที่ต่างกัน ตรงนี้ต้องใช้วิจารณญาณให้ดี ในความต่างกัน ที่สอนกันผิดแผกแตกต่างกันนั้น ต้องดูว่าเนื้อแท้แล้วเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าสอนหรือไม่ หากไม่ใช่ก็ต้องพิจารณาต่อว่า แล้วสิ่งนั้น ดีหรือไม่ดี ก่อประโยชน์อะไรหรือไม่ ก่อให้เกิดปัญญามากน้อยอย่างไร ควรเชื่อและนำไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์อย่างไรครับ อย่ายึดติดในธรรมทั้งหลาย

    อีกประการหนึ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมควรเจริญให้มาก เพราะอะไร เพราะว่า หลายๆเรื่องที่ไม่ตรงกัน แตกต่างกัน การพิจารณาว่าใช่หรือไม่ใช่จริงหรือไม่จริง ไม่สามารถใช้หลักตรรกะ หรือหลักวิชาการหรือหลักพิจารณาได้ แต่เรื่องบางเรื่องต้องอาศัยการปฏิบัติ ที่จิตมีสภาวะธรรมสูงขึ้น เรื่องบางเรื่องต้องใช้ความเป็นอริยะจิต เข้าไปดูไปรู้ บางเรื่องพูดตรงๆว่าต้องใช้อภิญญา เข้าไปรู้ แต่ก็เป็นรู้ได้เฉพาะตนอีก แต่ในความจริงทุกๆอย่างย่อมมีเหตุผลและผลคือความจริงย่อมปรากฏแก่จิตของนักปฏิบัติครับ ดังนั้น เรื่องบางเรื่องจึงยากนักที่จะตัดสิน แม้ผู้มีอภิญญารู้เห็นแล้วก็ตามก็ยังไม่อาจตัดสินได้ เพราะด้วยความไม่ประมาทในอภิญญาที่ตนมีแม้จะเป็นของจริงและพิสูจน์ได้แล้วก็ตามแต่เพราะไม่ยึดติดนั่นเอง

    ดังนั้น ปริยัติก็คือปริยัติ ต้องเข้าใจในความเป็นธรรมชาติของความเป็นปริยัติธรรม นะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2013
  10. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมเชื่อในพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระธรรมที่ท่านแสดงนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้จริง เชื่อว่าผู้ทึ่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยจนพ้นทุกข์ได้นั้นมีอยู่จริง

    จริงๆผมเคยบอกแล้วว่า ที่ตั้งกระทู้ขึ้นมา เพราะผมเคยได้ยินได้ฟัง เรื่องหลายๆเรื่อง แต่พอไปหาในพระไตรปิฎกกลับ ไม่เจอ จึงได้ค้นขว้าหาที่มาว่า แต่ละเรื่องมีที่มาจากไหน แล้วนำมาแบ่งปันกัน ก็แค่นั้นเอง หรือถ้าใครมีความเห็นยังไงก็แลกเปลี่ยนกันก็เท่านั้น
     
  11. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    2. วิปัสสนาญาน 16 (ไม่แน่ใจว่ามาจากไหน) --- แต่ไม่ได้ผิดอะไรเพราะเป็นเรื่องที่เข้ากันได้กับหลักตัดสินพระธรรมวินัย 8 ประการ

    เพิ่มเติมรายละเอียด ส่วนนี้ครับ
    วิปัสสนาญาณ 16 มีที่มาจาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค แต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นการสรุปจัดหมวดหมู่จาก ญาณ 73 ที่พระสารีบุตร สอนไว้ ดังบันทึกใน ปฏิสัมภิทามรรค ในพระไตรปิฎก

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=1&Z=94

    http://www.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_02.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...