@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ♥️ขอน้อมกราบบูชาพระธรรมคำพ่อสอนเจ้าคะ..สาธุคะ
    #สมาธิเล็กน้อยก็ไปนิพพานได้
    ๑.ญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าทำสมาธิได้แค่ #ขณิกสมาธิ สมาธิเล็กน้อยใช่ไหม #อย่าหนักใจจนคิดว่าบุญของเราน้อยเกินไป ไม่น้อย คนมีสมาธินี่ไม่น้อยแน่ เพราะระหว่างที่จิตมีสมาธิ คำว่า #สมาธิคือการตั้งใจ #ตั้งใจรู้ลมหายใจเข้า_รู้ลมหายใจออกก็ดี_ตั้งใจรู้คำภาวนาก็ดี ในขณะนั้นจิตของทุกคนว่างจากกิเลส ถึงแม้ว่ามันจะว่างไม่นาน จิตจะฟุ้งซ่านคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทรก รู้ตัวเราก็เริ่มตั้งต้นใหม่ ถ้ามีอาการกลุ้มเมื่อไรก็เลิกเมื่อนั้น #อย่างนี้อานิสงส์อย่างน้อยก็เหมือนกับรุกขเทวดาองค์นั้น นี่เฉพาะสมาธินะ
    ๒.#แล้วอานิสงส์สังฆทานที่ท่านทำแล้วยังอีกต่างหาก #อานิสงส์ที่เคยบูชาพระอีกต่างหาก #ที่เคยใส่บาตรไว้อีกต่างหาก #เคยให้ทานกับคน #เคยให้ทานกับสัตว์อีกต่างหาก อานิสงส์ไม่ได้มีเฉพาะนี่นะ นี่พูดเฉพาะสมาธิอย่างเดียว อานิสงส์ของสังฆทาน นั่นเขาเป็นรุกขเทวดาใช่ไหม ยังไม่ใช่อากาศเทวดา #อานิสงส์ของสังฆทานนี่ถ้าท่านนึกถึงอยู่เสมอเป็น #จาคานุสสติกรรมฐานและเป็นทานบารมี คือ ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธินะ นึกว่าเราเคยถวายสังฆทานกับพระ และตั้งใจต่อไปว่าเราจะให้ทานกับพระ ให้ทานกับคน ให้ทานกับสัตว์ ตามกำลังที่เราจะพึงให้ได้ อย่างนี้เป็น #จาคานุสสติกรรมฐาน ด้วยและผลของทานเป็นทานบารมี
    ๓.แล้วสังฆทานมีอานิสงส์ใหญ่ ที่ท่านกล่าวว่า #การให้ทานกับพระพุทธเจ้า๑๐๐ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน๑ครั้ง ใช่ไหม อานิสงส์ของสังฆทานนี่ ทำให้ไปเกิดที่ไหนรู้ไหม สวรรค์ชั้นที่ ๕ ที่เรียกว่า #นิมมานรดี สูงมากสูงกว่าดาวดึงส์อีก
    ‍♂️ ลุงยกทรงว่า : " โอ้โห แค่สังฆทานแค่เนี่ยนะ " เห็นว่ามินิสังฆทาน ร้อยเดียว ไม่นึกว่าจะได้อานิสงส์อย่างนี้
    หลวงพ่อ : อย่าว่าตั้งร้อยเลย ถ้ามีสลึงเดียว เอาใส่ซองมาเขียนข้างหน้าว่า #สังฆทาน อย่างนี้ก็เกิดสวรรค์ชั้นที่ ๕ เหมือนกัน
    ๔.#ก็เป็นอันว่าขอให้ทุกคนจงมีความมั่นใจในความดีของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอานิสงส์สมาธิ ขณิกสมาธินะ สมาธิเล็กน้อยนะ ตายเป็นรุกขเทวดาได้ แต่ว่าเป็นเทวดาที่มีสมบัติมาก มีอานุภาพมาก
    ๕.ประการที่ ๒ #อานิสงส์ของทุกท่านที่รักษาศีลเป็นประจำ #รักษาไม่ทุกวันก็ช่างเถอะ #มีศีลก็แล้วกัน อย่าลืมว่า
    #สีเลนะ_สุคติง_ยันติ คนที่เคยรักษาศีล ตายแล้วจะไปสู่สุคติ มีโลกสวรรค์ เป็นต้น
    #สีเลนะ_โภคะสัมปะทา ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวยมาก
    #สีเลนะ_นิพพุติง_ยันติ จะไปนิพพานได้ง่าย
    และอานิสงส์ที่ถวายสังฆทานของท่าน อย่างน้อยที่สุดเฉพาะสังฆทาน ก็ไปเกิดชั้นนิมมานรดี ชั้นที่ ๕ นี่เป็นอานิสงส์นะ รวมความว่า ทุกคนสร้างความดีมหาศาลไว้แล้ว
    ๖.ฉะนั้นธรรมใดที่ องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว #ทรงสั่งสอนไว้ว่าให้ทุกคนถึงพระนิพพานมันก็เป็นของไม่ยาก ไม่ยากเลย ทำไมจึงบอกว่าไม่ยาก ก็เพราะว่าถ้าเราเกิดเป็นเทวดา จะเป็นรุกขเทวดาก็ตาม อากาศเทวดาก็ตาม สักไม่กี่ปีในเมืองเทวดา พระศรีอาริย์ ก็ตรัส #ทั้งนี้ถ้าทุกคนไม่ประมาทในชีวิต คิดว่า #โลกนี้เป็นทุกข์เทวโลกกับพรหมโลกไม่มีสุขจริง #สุขไม่นานไม่ช้าก็หมดบุญวาสนาบารมี #ถ้าตายจากคนชาตินี้เราขอไปนิพพาน
    ๗.ถ้าเผอิญไปนิพพานไม่ได้จริง ๆ ก็ไปพักที่เทวดาหรือพรหม สวรรค์หรือพรหมใช่ไหม พอพระศรีอาริย์ตรัส ถ้าเรายังไม่ได้พระโสดาบัน จะเป็นพระโสดาบันทันที พอฟังเทศน์จบเดียว จบที่ ๒ ก็เป็นพระอรหันต์ ของง่าย ๆ
    ‍♂️ ลุงยกทรงว่า : " อ๋อ เราไปตีตั๋วต่อได้ใช่ไหมครับ "
    หลวงพ่อ : ตีตั๋วต่อได้เลย เพราะว่ากัปนี้ยังมีพระพุทธเจ้ามาอีก ๖ พระองค์ พระศรีอาริย์ เป็นองค์ที่ ๕ ของชุดแรก ก็มีพระรามขึ้นต้นชุดที่ ๒ โดยมีช้างป่าลิไลยกะเป็นองค์ที่ ๕
    พระคุณพ่อครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิด หน้า ๑๒๖-๑๒๙ ( คัดลอกจาก คำสอนที่บ้านซอยสายลม วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๔ )
    พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
    ✍️ผู้เขียนคัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทาน โดย #Apinyawongthong
    ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๔
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    #พอมาถึงรัชกาลที่ ๑๐ #ก็เป็นยุคชาววิไล
    .
    #ยุคชาววิไล เขาเรียกว่าเป็นยุคของคนที่มีจิตใจงาม ถ้าเราไม่มีจิตใจที่งาม เราจะอยู่ในยุคนั้นได้ด้วยความลำบากยากเข็ญ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เรื่องจริง บอกไว้เลยนะ ใครก็ตามที่มีจิตใจสกปรก จิตใจไม่มีความกตัญญูกตเวที เป็นคนที่ชอบเบียดเบียนคนอื่นจะอยู่ยาก อยู่ยากหมายความว่า ถ้ามีเคราะห์ เคราะห์กรรมก็หนัก มีอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นง่าย อันตรายก็เกิดขึ้นกับเขาได้ทุกด้านที่สามารถจะเข้าไปสู่เขาได้เสมอ คนเหล่านี้ก็จะหาความเจริญรุ่งเรือง อยู่ด้วยความยากลำบาก เพราะว่าอกุศลกรรมมันมีกำลังใหญ่ เขาไม่มีความดีอะไรที่จะดึงบุญเก่ามาช่วยสนับสนุนความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอยู่
    .
    #แต่คนที่มีความดี คือ มีจิตใจงาม อย่างน้อยเธอเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มีจิตใจกรุณา เป็นคนมีความกตัญญูกตเวทิตา มีจิตใจฝักใฝ่ที่จะระงับความชั่วในจิตใจของเธอเสมอ แล้วก็ยังเผื่อแผ่คนทั้งหลายให้มีความสุขเหมือนกับเธอด้วย พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ใครก็ตามเถอะที่เธอสามารถช่วยได้ เธอก็เต็มใจช่วยเขา คนดีๆอย่างนี้ บุญเก่ามันจะสนับสนุนให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข ยุคของชาววิไลเป็นอย่างนี้นะ มันเป็นยุคที่คนดีก็มีผล คนชั่วก็มีผล
    .
    #มันเป็นยุคของชาววิไลเขา หมายความว่า เป็นยุคของคนดีเขาได้รับความดีที่เขาทำมา ความดีที่เคยทำมาแต่เก่าก่อน ไม่ว่าในชาตินี้ ในอดีตชาติมันก็จะส่งผลให้เขามีได้ ได้อะไร ได้ลาภสักการะ ได้อยู่เย็นเป็นสุข ได้มรรคได้ผล ได้อะไรต่างๆนานา ที่เขาไม่เคยได้ ก็จะได้มา คนดีๆเหล่านี้นะที่เคยลำบากมาในกาลก่อน เขาก็จะสบายขึ้น คนที่เคยย่ำแย่ก็จะดีขึ้น คนไม่เคยมียศฐาบรรดาศักดิ์ก็จะมียศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมา ความรู้ที่ไม่เคยรู้ก็จะมีความรู้ดีๆ ทำให้เขาได้มีความรู้ช่วยเหลือชีวิตของเขาให้ดีขึ้นไป สิ่งเหล่านี้มันจะเจริญรุ่งเรือง ทั้งความรู้ ทั้งที่คนอยู่กันด้วยสัปปายะ คืออยู่กันด้วยความสุขสบาย มีความเจริญรุ่งเรืองกับคนดีได้อาศัยใช้มัน
    .
    แต่คนไม่ดีจะอยู่ด้วยความเร่าร้อน ยุคของชาววิไล มันไม่เหมาะกับคนไม่ดี แต่ในช่วยยุคที่แล้วนี่ ยุคของถิ่นกาขาว มันเป็นยุคของคนดีเหมือนกับน้ำเต้าจมน้ำ ไม่มีอะไรช่วยคนดีให้มีความสุขอะไรขึ้นมา คนเลวเหมือนกระเบื้องลอยน้ำ ทำอะไรก็ดีวันดีคืน ดีวันดีคืน มันเป็นยุคอย่างนี้ ถิ่นกาขาวนะ พระองค์จึงต้องต่อสู้กับความไม่ดีของคน ความขัดขืนของคน ความอยากของคน อะไรหลายๆอย่าง จนกว่าท่านจะปูรากฐานให้คนที่กำลังลำบากค่อยๆมีช่วยเหลือตัวเองขึ้นมาได้ แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับไปสู่ดุสิต ก็เป็นยุคของพระองค์
    .
    พอมาถึงรัชกาลที่ ๑๐ ก็เป็นยุคชาววิไล ชาววิไลก็เริ่มได้ผลแล้ว ผลความดีที่ท่านได้ทำให้กับคนที่ตั้งใจ มีความเคารพในบิดามารดา เคารพต่อครูบาอาจารย์ มีความซื่อสัตย์ เป็นคนขยันขันแข็งดี เป็นคนตั้งใจไม่เบียดเบียนคนอื่นเขา อย่างนี้เป็นต้นนะ คนเหล่านี้มีศีลมีธรรม เขาก็เจริญรุ่งเรือง มีที่ทำมาหากิน มีการทำมาหากินอย่างคนเฉลียดฉลาด มีทางที่เขาสามารถช่วยเหลือกันตลอด เขาจะไม่ทอดธุระทิ้งกัน ความงามของคนนะ คือจิตใจจะงาม มีเมตตามากขึ้น เห็นความทุกข์ของคนอื่นก็จะทนเห็นไม่ได้ ก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป ชาววิไลเป็นอย่างนี้
    .
    เราจึงบอกว่า คนที่ลำบากในช่วงยุคชาววิไล คือคนที่ทุศีล คนที่อกตัญญู คนที่ชอบคิดเบียดเบียนประทุษร้ายคนอื่น คนเหล่านี้จะเดือดร้อน ความจริงมันเดือดร้อนอยู่แล้วนะ แต่คราวนี้เขาเดือดร้อนชัดเจนกว่าสมัยยุคถิ่นกาขาวแน่นอน เพราะสมัยถิ่นกาขาว คนเหล่านี้ไม่เดือดร้อน เพราะคนดีทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ยุคของชาววิไล คนดีเขามีกำลัง คนเหล่านี้จึงโดนประหัตประหารบ้าง โดนจัดการ โดนกำจัดไปบ้าง โดนกักขังบ้าง ก็จะถูกพิพากษาไปตามกฎของกรรมของเขาไป ดีไม่ดีเขาอาจจะไม่ต้องมารับโทษในคุก แต่ต้องรับโทษในผลของกรรมที่เขาทำไว้แต่เก่าก่อน ไฟไหม้เผาผลาญทรัพย์สินสมบัติพัสถาน ขโมยขโจร ลักของเขาไปหมดเสีย ลาภยศสรรเสริญเคยมี ก็เสื่อมสลายตัว ถูกถอด ถูกตัด ถูกห่าง ถูกไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาส ถูกตัดหมด อย่างนี้เป็นต้น แม้กระทั่งความเป็นอยู่ ก็อยู่ด้วยความยากลำบาก นี่คือยุคของชาววิไลเขา เธอพอเข้าใจความหมายไหมล่ะ
    .
    ก็อาศัยความตั้งใจของเธอที่เราเพียรพยายามทำความดีกันนี่ สิ่งที่ท่านให้ไว้เป็นนิมิตเครื่องหมายก็คือแก้วสีเหลืองนี่ล่ะ มันจะได้เป็นเครื่องนิมิตเตือนใจว่า เธอเข้าอยู่ในยุคชาววิไลแล้วนะ เธอควรจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจเธออย่าทำความชั่ว ให้ตั้งใจทำความดีไว้ เมื่อเธอทำความดี ความดีที่เธอทำมีความเข้มแข็ง ความดีที่เธอทำมีอานิสงส์ใหญ่ คือ ทำความดีในเขตพระพุทธศาสนา บุญทั้งหลายมันก็จะมาส่งผลให้เธอมีในสิ่งที่เธออยาก ไม่เคยมีก็จะมีขึ้นมา ไม่เคยได้ก็ได้ขึ้นมา ไม่เคยเป็นก็ได้เป็นขึ้นมา และเธอก็จะอยู่อย่างคนที่ไม่ถูกเบียดเบียน กระสับกระส่าย โดยเฉพาะด้านจิตใจของเธอ เพราะอะไร เพราะคนที่เขาช่วยเหลือเธอมันจะมีเยอะ เธอเดือดร้อนเรื่องอะไร ช่วยกัน เธอไม่สบายใจเรื่องอะไร ช่วยอธิบาย ช่วยกัน มันจะมีการเกื้อกูลช่วยกัน แนะนำในความดีให้กันและกันตลอดเวลา
    .
    เขาถึงบอก เบื้องหน้าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองเพราะอาศัยคนที่เขามีจิตใจเป็นอย่างนี้ ปรากฎเพิ่มมากขึ้น คนร้อนก็มีคนเย็นช่วยประคับประคองใจกันไป คนร้อนก็เริ่มบรรเทาความร้อน ก็เริ่มหันกลับมาเย็น คนเหล่านี้เมื่อเย็นมากขึ้น แผ่นดินนี้ก็เริ่มมีความร่มเย็นเป็นสุข พระศาสนาก็เจริญรุ่งเรือง ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ แต่หมายความว่า มันค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ ไม่ใช่เปลี่ยนปุ๊ปปั๊ป เพราะในยุคของชาววิไล กี่ปีไม่ทราบมันบอกไม่ได้ ขืนบอกไปเดี๋ยวซวย โง่สิ บอกอ่ะนะ ไม่รู้ดันเสือกบอกนี่โง่ไหมล่ะ โง่แน่นอน
    .
    ฉะนั้นกี่ปีก็เรื่องของกี่ปีไม่เกี่ยวกับเรา แต่รู้ว่าก้าวเท้าแรกเรากำลังเข้ายุคชาววิไล เราก็เตรียมพร้อมของเราไว้ ทำความดีของเราไว้ให้เพื่อรองรับสิ่งดีๆที่เราเคยทำไว้ตั้งแต่เก่าก่อน คือในอดีตเราจะได้ผลของเราบ้าง เราลำบากมามากแล้วนะ เธอทีละ ๒๐ บาท ๒๐ บาท ลำบากมามากแล้ว เห็นใจนะความลำบากของเธอ เพราะเที่ยวเดินหลายรอบ รอบละ ๒๐ บาท มันลำบากนะ ขอเน้นว่ามันลำบากเหลือเกินนะ แต่ข้างหน้าเธอจะไม่ได้เป็นอย่างนี้แล้วล่ะ แบงค์ ๒๐ เธอจะไม่ได้ใช้มันหรอก เพราะเขาเลิกใช้ ๕๕๕ ... อันนี้ไม่รู้ ที่รู้คือว่า เธอมีลาภ มันจะคล่องกว่าเดิม การใช้เงินใช้ทองของเธอนะ มันคล่องสะดวกขึ้นกว่าเดิม ให้ง่าย ลดความขี้เหนียวขี้ตืด เธอจะรู้สึกว่าให้ง่าย ทำง่าย และจะไม่เสียดงเสียดายในทรัพย์สินเงินทองที่เธอมีอยู่ คือว่า ความงามของใจเธอมันดีขึ้น เธอจึงให้มากกว่า ๒๐ บาท เดี๋ยวเรามาสังเกตุกันปีหน้า ว่าจริงอย่างที่ฉันพูดหรือเปล่านะ แต่ปีนี้มันยัง ๒๐ บาทอยู่ ต้องรออีกสักกี่วันหว่า แต่ค่อยเป็นค่อยไปนะ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ปุ๊ปปั๊ปๆนะ ที่หลวงพ่อพยากรณ์ว่า กลางๆรัชกาลน่ะ ทองจะเกิดขึ้นมาเฟื่องฟู ทองคำนะ ท่านว่าอย่างนั้นจริง เรื่องนี้เรื่องจริง
    .
    คนจิตใจงามน่ะลำบากไม่ได้ เขาต้องอยู่อย่างสุขสบาย เขาไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่ดิ้นรนกระสับกระส่าย แสวงหาอะไรด้วยความยาก เธอจะไม่แสวงอะไรด้วยความยาก การเดินทางของเธอก็เดินทางง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แสวงหาการไปได้ง่ายขึ้น การที่จะประกอบกิจการค้าของเธอก็คล่องตัวมากขึ้น เธอมีหนทางที่จะทำมาหากินของเธอในทุกช่องทุกทาง ไม่ตีบไม่ตัน หมายความว่า ทางตันของเธอไม่มี ทางเธอไปได้ ไม่มีทางนี้ก็ไปทางนั้น ทางนี้ก็ทำได้ ทางนู้นก็ทำได้ ทำอะไรก็ได้เงินได้ทองตลอด พูดอย่างกับโม้ และรอดูกันวันข้างหน้าจะจริงหรือเปล่า .. แต่นี่มันเป็นเรื่องของความเป็นปกติ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินเลยความเป็นปกติ เพราะเมื่อไหร่ที่จิตใจของคนมีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ทุกอย่างมันควรจะปรากฎอย่างนั้นอยู่แล้ว ถูกไหมล่ะ ... เอากันเท่านี้นะ เดี๋ยวถวายสังฆทานกัน
    .
    #ธรรมะบ้านสบายใจ โดย ท่านจิตโต
    ปกิณกะธรรมยุคชาววิไล
    เทศน์ ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
    .
    ที่มาจาก
    https://youtu.be/ZuZCQmsyPb4
    .
    .
    #ท่านจิตโต บ้านสบายใจ (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต) เป็นพระดีในสายของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นพระอริยะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านมรณะภาพแล้วเมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๒


    https://web.facebook.com/Bodhisattva5665/
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ควรทำหรือไม่?
    คำสอนของหลวงปู่ดู่_วัดสะแก
    “ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์หลวงพ่อผู้สนใจธรรมปฏิบัติ กำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ ด้วยเสียงอันดัง และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่กำลังนั่งภาวนา เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า
    “ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังอยู่นิโรธสมาบัติ ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่าน พร้อมกับร้อง “แซ๊ก” ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้ว ได้ไปอยู่ในนรก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย”
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ?temp_hash=6f9ca3bef029839de0fb011ee66e4fcb.jpg

    หลายท่านไม่ค่อยดูตาม้าตาเรือ ถึงเวลาตั้งหน้าถามอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่คำถามนั้นเขาถามกันไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ในเว็บก็มีไม่ไปหาดู แม้แต่การจองวัตถุมงคลก็เหมือนกัน อย่างสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์เนื้อทองคำ หมดไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดจอง นี่ผ่านมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังตั้งหน้าตั้งตาจองเนื้อทองคำกันอยู่แหละ ก็ดีเหมือนกัน จองแล้วรู้สึกสบายใจว่าได้จอง กติกาเขาก็ระบุชัดว่าให้จองเนื้อเงินไม่เกินคนละ ๕ องค์ ตะบันมาถึงก็ “จอง ๑๐ องค์ครับ” บุคคลประเภทนี้ต้องบอกว่าสมควรตาย..!
    ในเมื่อสภาพจิตของเราหยาบจนกระทั่งไม่ดูตาม้าตาเรืออะไรเลย ก็แปลว่าถ้าปฏิบัติธรรมไป โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียดก็ยาก โอกาสต่อไปโปรดดูตาม้าตาเรือด้วย คำว่า “ดูตาม้าตาเรือ” มาจากการเล่นหมากรุก เพราะถ้าไม่ดู เผลอวางขุนลงไปอาจจะตายฟรี เนื่องจากว่าเรือจะเดินเป็นแนวตรงตลอดเส้น ส่วนม้านั้นเดินตรง ๓ ขวาง ๒ ตกลงเล่นกันเป็นหรือเปล่า ? สรุปง่าย ๆ ว่าม้าเดินเป็นรูปตัว L ส่วนขุนสามารถเดินได้รอบตัว ตูว่าอธิบายไปก็เสียเปล่า..!
    อาตมาไม่เคยเล่นหมากรุกมาก่อน ไปเล่นครั้งแรกตอนสมัยที่อยู่ชายแดน เพราะเพื่อนไม่มีคนเล่นด้วย ออกเวรแล้วก็นั่งเหงา ๆ เลยมาสอนอาตมาให้เล่นว่าตัวไหนเดินอย่างไร หลังจากที่รู้วิธีเล่น กระดานแรกอาตมายันเสมอกับเพื่อน กระดานที่ ๒ กินเพื่อนหมดตูดเลย สรุปว่าเพื่อนไม่รอบคอบ เพราะว่าการเล่นหมากรุกจะมีการ "ผูก" กันอยู่ ถ้าสมมติว่าเรากินตัวนี้แล้วเราจะเสียมากกว่า เราจะไม่กินก็ได้ ปล่อยยันกันไว้เป็นการผูกกันอยู่ ปรากฏว่าเพื่อนเผลอไปเลื่อน เมื่อโดนกินแล้วขาดทุนก็เป็นอันว่ากระจายทั้งกระดาน
    ลักษณะของนักปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ต้องพิจารณาให้รอบคอบและรอบด้าน ทันทีที่ขยับตัวเราต้องรู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ถ้ายังไม่สามารถทำถึงตรงจุดนี้ได้ ชีวิตนี้ยังเอาดีได้ยาก ถ้าเราขยับตัว สติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าศีลจะบกพร่องหรือไม่ ? กาย วาจา ใจของเราจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นหรือเปล่า ? ถ้าลักษณะนี้พอที่จะเอาตัวรอดได้
    ส่วนในเรื่องของสมาธิ ต่ำสุดต้องทรงปฐมฌานละเอียดได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอที่จะสู้กับกิเลส เนื่องเพราะว่าการที่เราจะรู้ว่ากิเลสเข้าเมื่อไรนั้น อันดับแรกต้องมีสติ เมื่อมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาจะรู้ทันที ก็ต้องมีข้อที่ ๒ คือสมาธิ ระงับยับยั้งตนเองไม่ให้ไหลไปตามกระแสกิเลสที่เข้ามาชักจูง
    หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญา ซึ่งเกิดจากความสงบของจิตด้วยอำนาจของสมาธิ ในการห้ำหั่นตัดฟันกิเลสตัวนั้น ๆ ด้วยกรรมฐานคู่ศึก อย่างเช่นว่า ถ้าโกรธก็ต้องแผ่เมตตา หรือว่าถ้าเกิดราคะขึ้นมาก็ต้องพิจารณาในกายคตาสติและอสุภกรรมฐาน เป็นต้น จนกระทั่งสามารถระงับยับยั้ง หรือว่าตัดกิเลสนั้นลงได้
    แรก ๆ อย่าพึงหวังว่าจะตัดได้ทีเดียว เราสามารถระงับไม่ให้กิเลสกำเริบได้ถือว่าสุดยอดแล้ว หลังจากนั้นก็หาวิธีค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาไป แต่ถ้าใครกำลังสมาธิสูงพอ มีความคล่องตัวในการเข้าออกฌานสมาบัติได้อย่างใจของตน จะสามารถระงับกิเลสได้ทันท่วงทีทุกครั้ง แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะถ้าเผลอสติ ต่อให้ทรงสมาธิได้สูงขนาดไหน ถ้าโดนกำลังของกิเลสตีกลับมาท่วมทับ กำลังสมาธิไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เราก็ต้องไปทนทุกข์ทรมานกับกิเลสที่จะมาทำลายเรา ทำร้ายเราอีก
    พยายามทบทวนอยู่ทุกวัน ว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหน ? ยังตรงเป้าหมายอยู่หรือไม่ ? ห่างจากจุดมุ่งหมายใกล้ไกลเท่าไร ? ต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าใกล้จุดหมายนั้น ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเราพอทำไประยะหนึ่ง ก็ลืมแม้กระทั่งจุดมุ่งหมายของตน แล้วก็ไม่ได้พากเพียรพยายามที่จะตั้งหน้าตั้งตาทำให้สำเร็จผลจริง ๆ จึงเหมือนอยู่ในสภาพของคนที่เดินไปถึงทางตัน หาความก้าวหน้าไม่ได้ กี่ปี ๆ ทำไปก็ได้อยู่แค่นั้น
    อย่าลืมว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ในเรื่องของการสร้างความดี มีระดับของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ถ้าศีลของเรายังบกพร่องอยู่ ระดับแรกของเรายังเข้าไม่ถึง จะให้ทรงสมาธิจนเอาดีได้เลยย่อมเป็นไปได้ยาก ถ้าหากว่าศีลไม่ทรงตัว สมาธิไม่หนักแน่น จะให้ปัญญาเกิดเพียงพอในการสู้กับกิเลส ก็เป็นของที่เป็นไปไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงเตือนพระ ตลอดจนญาติโยมให้ทวนศีลของตนเองอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะพิจารณาในสังโยชน์ ๑๐ ว่ามีตัวใดที่ยังร้อยรัดเราอยู่ ให้พยายามที่จะตัดละไปทีละตัว
    จริง ๆ ที่ว่ามาทั้งหมดนี่มากกว่าที่สอนตอนเจริญกรรมฐานอีก แต่เพียงรู้สึกว่าเหมือนกับตักน้ำรดหลังหมาอย่างไรไม่รู้ เข้าใจคำว่าตักน้ำรดหลังหมาไหม ? คือถ้าตักน้ำรดหัวตอ หัวตอยังเปียก ตักน้ำรดหลังหมา โดนสะบัดพรืดเดียวหายหมด... (หัวเราะ)
    ....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    4CmS5nv5bBZyN6h--tlwEHgG3v5wvZmBYFzNa7GMexq&_nc_ohc=vgMSoKo_sSMAX9fvuJK&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    หลวงตาสอนศิษย์
    เรื่อง อยู่ในโลกยังไงไม่ให้เป็นทุกข์
    หลวงตา: คิดว่ายังไงอยู่ในโลกนี้ไม่ให้เป็นทุกข์ ทำยังไงไม่ให้เป็นทุกข์ อยากศึกษาเรื่องพุทธศาสตร์มั้ยละ ...
    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ซึ่งมีอยู่ในโลกเนี่ยะ จริงๆ แล้วมีอยู่ในโลกเนียะ เอาสิ่งในโลกนี้มาสอน การเวียนว่ายตายเกิดเนี่ยะมาสอน ...
    เราเกิดยังไง กรรมมันมายังไง เวลาเข้าท้องปฏิสนธิไปเนี่ยะ กรรมมันมาจากส่วนไหน เวลาเกิดมาเป็นคนเนี่ยะทำกรรมไว้ทั้งกรรมดีและไม่ดีเนี่ยะ พอตายไปแล้วสมมุติว่าเป็นเทวดาเนี่ยะกรรมมันมาจากไหน มันลงข้างล่างกรรมมันมาจากไหน ...
    สมัยก่อนฝึกนะ ฝึกแม้กระทั่งอยู่ในท้อง คนเข้าท้องเนี่ยะนะ กระแสกรรมมันมาทุกลมหายใจเข้าออก ...
    พ่อเราแม่เราตัวเรา กรรมที่เราทำทั้งหมดนะ มันอยู่ในโลกน่ะ เราลองนึกซิตอนนี้เห็นภาพทันทีเลย เห็นตัวเลขในบัญชีหลักล้านน่ะโห-สบายใจ คิดถึงทุกข์ในอดีตโห-น้ำตาไหล ...
    ชาติปัจจุบันเนี่ยะ ท่านบอกให้พิจารณาเรื่องเนี่ยะ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเนี่ยะ เรื่องกรรมเนี่ยะ มันมายังไง ตอนนี้เราเสวยอะไรอยู่ ชีวิตตอนนี้มันเป็นยังไง การดำรงชีวิตเนียะ เราเสวยกรรมดีหรือไม่ดี หรือครึ่งๆ กลางๆ แล้วเราตายแล้วเราจะไปไหน ...
    เวลาเราตายจริงๆ นี่ธาตุเราหรือจิต จริงๆ เราตายนี่จิตไม่ตายนะฮะ เพราะจิตคือตัวเราแต่ธาตุนะตาย ...
    เคยไปศึกษานะฮะ ในโรงพยาบาล ตึกอุบัติเหตุเนียะ เวลาคนตายเนียะ จิตมันบังคับธาตุไม่ได้ มันเข้าๆ ออกๆ น่ะ มันไม่อยากตายนะ แต่มันบังคับไม่ได้ ไปๆ มาๆ มันไม่ไปไหนนะ อยู่โรงพยาบาลน่ะให้เค้ารักษา ...
    ในท้องเหมือนกันน่ะ มีกรรมเป็นแดนเกิด เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายกระแสกรรมมันเข้า และกรรมที่เราทำตอนนี้อ่ะ ...
    สมมุติว่าหลวงตาชาติปัจจุบันนี่นะ สร้างวัดสร้างวิหารสร้างโบสถ์สร้างสาธารณะประโยชน์เนียะ ลมหายใจเข้าออกเนียะ หลวงตาได้บุญแสงสว่างจากสิ่งที่ทำแต่ต้องอารมณ์ดีนะฮะ ถ้าหลวงตาอารมณ์ไม่ดีเมื่อไหร่ตัดทันที ไปบันทึกอารมณ์นั้นๆ ... เหมือนกับย้ำความเศร้าเข้าไป ชัดเจนนะฮะ ...
    หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า ข้าไม่ยอมอารมณ์เสียโดยเด็ดขาด สิ่งที่ท่านทำไว้มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ทีนี้บุญมันก็เข้าท่านทุกลมหายใจเข้าออก และก็ที่ท่านรักษาศีลเจริญภาวนาทุกวันบารมีท่านทุกอย่าง ลมหายใจเข้าออกมันสว่างนะฮะ ลมหายใจเข้าออกครั้งนึงเนี่ยะเทียบกับบุญเนี่ยะ ของท่านน่ะเป็นกัปป์ เพราะนั้นจะสังเกตุท่านไม่มีอารมณ์เสียเลย เพราะท่านรู้ไง ...
    ชีวิตมันไม่ถึงร้อยปีนะท่านบอก เอ็งอายุร้อยปีเนียะเอ็งอยู่ได้กี่วัน อย่างหลวงตาทุกวันนี้อยู่ได้ไม่เกินเจ็ดพันวัน ลมหายใจเข้าออกคือประโยชน์ ท่านพูดชัดเจนนะ แล้วท่านให้นั่งดูด้วยว่าสิ่งที่เอ็งทำมันเป็นจริงมั้ย จริงนะ-ไม่ใช่ไม่จริง ...
    เพราะนั้นมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าอารมณ์ไม่ดีเนี่ยะมันก็กินธาตุเราด้วย อายุมันก็สั้นอยุ่ดีอ่ะ แล้วทำไมจะทำร้ายตัวเองล่ะ เหมือนคนเมื่อกี้ที่ผิดหวัง-ฆ่าตัวตายชัดๆเลย อย่างหลวงตาเนี่ยะ-สบาย ...
    เรียบเรียงจากธรรมบรรยายของ
    พระครูวินัยธร วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า)
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    EInri1rtQqvilSHC-CMaWV8BouPf0Xv3jk1lXYpA1UZ&_nc_ohc=2pgQreuYrpYAX8I-8Ss&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    #กิจเบื้องต้นของพระกรรมฐาน

    โอกาสนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้พากันสมาทานศีลแล้วก็สมาทานกรรมฐานแล้ว นี่การเจริญพระกรรมฐานสำหรับวันนี้ มีภาวะไม่เสมอกันเพราะคนใหม่บ้างคนเก่าบ้าง

    ฉะนั้นวันนี้จะขอพูดใน "กิจเบื้องต้นของพระกรรมฐาน" ในตอนสุดท้ายอาจจะพูดในตอนจบ

    การเจริญพระกรรมฐานมีอยู่ ๒ แบบ

    แบบที่ ๑ คือ สมถะภาวนา

    แบบที่ ๒ ได้แก่ วิปัสสนาภาวนา

    สำหรับ "สมถะภาวนา" นี้ เรามีความต้องการอย่างเดียว คือ ทรงสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ที่เรียกกันว่า "จิตมีสมาธิ"

    สำหรับ "วิปัสสนาภาวนา" นั้นใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาตามความเป็นจริงของ "ขันธ์ ๕" เรียกว่า พยายามยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริงนั่นเป็นบทของ "วิปัสสนาภาวนา"

    นี้การเจริญกรรมฐานในเบื้องต้นก็จำจะต้องใช้ "สมถะภาวนา" คือควบคุมอารมณ์จิตให้ทรงอยู่ ถ้าสมถะภาวนาของเราไม่ทรงตัว เราเจริญวิปัสสนาภาวนาไม่มีผล ถ้าหากว่าเราทรงจิตเป็นสมถะทรงสมาธิได้มั้นคงได้ถึง "ฌาน ๔" การเจริญวิปัสสนาภาวนาก็แสนง่าย การที่จะบรรลุมรรคผลก็กำหนดเวลาได้ตามที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

    "ถ้ามีบารมีแก่กล้าก็จะได้สำเร็จอรหัตผลภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลางก็จะได้สำเร็จอรหัตผลภายใน ๗ เดือน ถ้ามีบารมีอย่างทรามที่สุดก็จะได้สำเร็จ
    อรหัตผลภายใน ๗ ปี"

    #ที่มาจากหนังสือหัวใจแห่งการปฏิบัติ #เล่มที่๑หน้าที่๓
    #โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    {หลวงพ่อฤาษีลิงดำ}
    วัดท่าซุง
    อ.เมือง
    จ.อุทัยธานี
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ชาติต่อไปกะสิบ่ได้อดได้อยาก
    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต...พาเฮียเม้ง เข้ามาพักกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ถามหลวงปู่ชอบ ว่า
    "เถ้าแก่เม้งนี่ อดีตชาติเขาเป็นอะไร ตอนอายุ ๑๕ ปี มันยังเป็นเด็กลูกจ้าง ปั่นจักรยานส่งขนมปังอยู่ ทำไมมันถึงรวยเป็นเศรษฐีได้ ในปัจจุบัน"
    หลวงปู่ชอบ...บอกว่า
    แต่ก่อน...เถ้าแก่เม้ง มันเกิดเป็นขอทานอยู่เมืองอินเดีย อนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งโรงทาน นิมนต์พระพุทธเจ้ากับพระสาวกมาทำบุญอยู่บ้าน เถ้าแก่เม้ง มันไปขอทานอาหาร จากโรงทาน
    มันระลึกว่า เจ้าของนี่ เกิดมาทุกข์ยาก บ่มีอยู่บ่มีกิน ถือกะลาหาขอข้าวเขากิน
    จิตมันเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า เอาข้าวสุกเจ้าของได้รับแจกทานมา ยกถวายพระพุทธเจ้าสมณะโคดมทั้งเบิ่ด พระองค์เจ้าฉันข้าวปั้นหนึ่ง ให้เถ้าแก่เม้งเห็น
    จิตมันเกิดปีติในบุญนี่หลาย ปรารถนาขอให้ผู้ข้า อย่าได้อดได้อยาก นับแต่ชาตินี่เป็นต้นไป
    บุญนี่ จั่งให้เถ้าแก่เม้ง ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี บ่อดบ่อยากในชาตินี่ อย่าทิ้งนิสัยศีลทานเจ้าของ...ชาติต่อไปกะสิบ่ได้อดได้อยาก
    แปลภาษาโดย ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    ชาติต่อไปก็จะได้ไม่อดไม่ได้อยาก
    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต...พาเฮียเม้ง เข้ามาพักกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ถามหลวงปู่ชอบ ว่า
    "เถ้าแก่เม้งนี่ อดีตชาติเขาเป็นอะไร ตอนอายุ ๑๕ ปี เขายังเป็นเด็กลูกจ้าง ปั่นจักรยานส่งขนมปังอยู่ ทำไมเขาถึงรวยเป็นเศรษฐีได้ ในปัจจุบัน"
    หลวงปู่ชอบ...บอกว่า
    แต่ก่อน...เถ้าแก่เม้ง เขาเกิดเป็นขอทานอยู่เมืองอินเดีย อนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งโรงทาน นิมนต์พระพุทธเจ้ากับพระสาวกมาทำบุญอยู่บ้าน เถ้าแก่เม้ง เขาไปขอทานอาหาร จากโรงทาน
    มันระลึกว่า เจ้าของนี่ เกิดมาทุกข์ยาก ไม่มีอยู่ไม่มีกิน ถือกะลาหาขอข้าวเขากิน
    จิตเขาเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า เอาข้าวสุกเจ้าของได้รับแจกทานมา ยกถวายพระพุทธเจ้าสมณะโคดมทั้งหมด พระองค์เจ้าฉันข้าวปั้นหนึ่ง ให้เถ้าแก่เม้งเห็น
    จิตมันเกิดปีติในบุญนี่เยอะ ปรารถนาขอให้ผู้ข้า อย่าได้อดได้อยาก นับแต่ชาตินี่เป็นต้นไป
    บุญนี่ จั่งให้เถ้าแก่เม้ง ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี ไม่อดไม่อยากในชาตินี่ อย่าทิ้งนิสัยศีลทานเจ้าของ...ชาติต่อไปก็จะไม่ได้อดไม่ได้อยาก

    บันทึกโดย : ครูบากล้วย(พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)

    ?temp_hash=2dbd2198d9365c44858ae997262e1124.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    #ศัตรูในรูปแห่งมิตร
    คนส่วนมากหลงใหลในมายาธรรม
    คือสิ่งกลับกลอกหลอกลวง
    ยึดถือเอาว่าเป็นสัจจธรรมคือของจริง
    จึงถูกมายาธรรมนั้นห้ำหั่นย่ำยีบีบคั้นหัวใจ
    ให้ต้องเศร้าโศก คร่ำครวญรำพัน
    ที่ว่าสุขก็หาใช่สุขจริงไม่
    มันเป็นเพียงทุกข์ที่ปลอมเข้ามาในรูปแห่งสุข
    หรือมีสุขเป็นเหยื่อล่อเล็กน้อย
    เหมือนศัตรูปลอมมาในรูปแห่งมิตร
    อนึ่ง ความสุขที่เกิดจากโลกียารมณ์ รัชนียารมณ์นั้น
    ล้วนมีทุกข์เป็นพื้นฐานเสียก่อนแล้วจึงได้สุข
    ความจริงก็คือความทุกข์ที่ลดลงเพราะบำบัดถูกวิธีเท่านั้นเอง
    และมีความทุกข์ติดตามมาอีกอย่างกระชั้นชิด
    บำบัดได้คราวหนึ่งก็สมมติเรียกว่าสุขคราวหนึ่ง
    ลาภผลซึ่งคนแสวงหากันนักหนา
    ด้วยความยากลำบากนานาประการ
    ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงก็มีนั้น
    เมื่อได้มาแล้วหาใช่จะอำนวยสุขให้ฝ่ายเดียวไม่
    มันมีความทุกข์ความกังวลใจแอบแฝงมาด้วย
    ต้องเฝ้าต้องระวังจนไม่เป็นอันนอนให้เป็นสุขก็มี
    ต้องเสียชีวิตในการป้องกันทรัพย์สินก็มี
    มียศแล้วต้องมีความเป็นอยู่เติบกว่าคนสามัญ
    ต้องหาทรัพย์มากขึ้น มักหาได้ไม่พอใช้ต้องมีภาระมาก
    เวลาไม่เป็นของตน เป็นที่เกาะอาศัยของผู้อื่นจนนุงนัง
    ต้องพลอยทุกข์กับคนนั้นคนนี้
    บางคนพอมียศเข้าก็ลืมตัว ไม่เป็นอยู่อย่างเคย
    เป็นเหตุให้เสียมิตร เสียเพื่อน เสียญาติพี่น้องก็มี
    เพราะไปหลงติดยศอันเป็นเปลือกของคน
    จนแสงสว่างแห่งธรรมไม่อาจส่องถึงใจได้
    ====================
    #คติชีวิต- เพื่อสิ่งที่เติบโตและเข้มแข็ง
    #เพจอาจารย์วศิน อินทสระ
    #ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    #บารมีพระเจ้าอยู่หัวนี่สำคัญ..
    ใครอย่าไปดูถูกนะ...เดือดร้อนเงินไม่มีใช้นะ

    1f449.png อันดับต้นนะ อย่าดูถูกท่าน
    เคารพ สรรเสริญ ด้วยความจริงใจ ทำให้ดี..เงินเป็นของท่าน..แล้วเงินจะเข้ากระเป๋า
    อย่าใส่กระเป๋ากางเกง อย่านั่งทับรูปพระเจ้าอยู่หัวนี่นะ...เงินจะขาดตัวหมด
    ใส่ให้ดี วางให้ดี อย่าขยี้ อย่าขยำเงิน..นี่เรื่องจริงนะ ถ้าใครบูชาเงิน..เงินก็มามาก ถ้าไม่บูชาเงิน...ก็ไม่มา

    270f.png คำว่า บูชาเงิน นี่คือว่า ส่วนมากพระเจ้าอยู่หัวทุกองค์นี่พุทธภูมิทั้งนั้นอ่ะ
    ใครเขาจะด่าจะว่า..ก็ช่างเขา เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา...เรียบร้อยหมด โยมนั่งนับหัวไว้ได้เลย

    23f3.png คนเนรคุณแผ่นดินนี่ลำบากมาก
    ตายก็ตกนรกขุมที่อกตัญญูใช่มั้ย
    มีเท่าไหร่ก็หมดเท่านั้น...ทำไว้เท่าไหร่ ก็หมดไม่มีเหลือนะ

    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎
    #พระธรรมเทศนา#บ้านใจดี จ.ระยอง
    ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ : ตอนที่ ๒๑
    #ตอบปัญหาทางธรรม

    #พระอาจารย์เอกลักษณ์ #ปญฺญาคโม
    วัดพุทธพรหมยาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    66803472_2543923058974107_7911839060748926976_n-jpg.jpg

    ..พระอาจารย์มั่น ท่านพูดให้ฟังว่า "ขณะปฏิบัตินั้นจะต้องให้เป็นวงกลมนะท่านนะ" อาตมาได้ยินเสียงนั้นมากระทบ ท่านพูดว่า "เป็นวงกลม" เท่านั้น เกิดความรู้สึกหลายอย่าง

    วงกลมนี้กว้างไม่ถึง ๒ เมตร แต่ว่าวงกลมนั้นอาจจะยาวมากที่สุด เหมือนวงล้อของเกวียนนั้นแหละโคมันจะลากไปยาวจนกว่าเกวียนจะพังหรือโคจะตายนั่นแหละ มันไปสิ้นสุดตรงนั้น ถ้าโคยังไม่ตาย เกวียนนั้นไม่พัง รอยเกวียนมันยาวไปไม่มีจบสักทีเลยฉะนั้นวงกลมเป็นอย่างนี้ มันยาวมันก็ออกจากวงกลม วงกลมนี้มันก็กลายเป็นความยาว ความยาวนั้นเมื่อเราพิจารณาแล้วมันจะเป็นวงกลม

    การภาวนาที่ท่านว่าให้เป็นวงกลมนั้นน่ะ คือให้มี "สติ" ติดต่อกันไม่มีเสร็จสักทีเลย

    คนเราหากว่าขาดสติแล้วก็เป็นบ้าเลย ขาดสติ ๕ นาที ก็เป็นบ้า ๕ นาที เอ้า!...ลองดูซิ ผู้มีสติคืนมานั้นจะหายบ้า เมื่อใครไม่มีสติควบคุมอยู่จะเป็นบ้าเลย ขาดไปชั่วโมงหนึ่งหรือสองวันสามวัน ก็เป็นบ้าชั่วโมงหนึ่งหรือสองวันสามวันทั้งนั้นแหละ "สติ" นี้เป็นของสำคัญมากกว่าเขามากที่สุดละ

    ดังนั้นอาตมาพิจารณาว่า การภาวนาเป็นวงกลมนี้ลึกซึ้งที่สุดที่พระอาจารย์มั่นท่านสอน แต่คนเราก็ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญาถึงขนาดนั้น เมื่อเราเข้าใจในธรรมะของท่านข้อเดียว"มันเป็นวงกลม" วงกลมมันจะจบตรงไหนล่ะ มันติดต่อกันทั้งนั้นแหละ...วงกลมนี้ วงกลมมันยาวที่สุดนั่นแหละ มันกว้างที่สุดนั่นแหละ แล้วมันก็แคบที่สุดอีกแหละ มันรู้ทั่วถึง

    ทำไมปัญญามันจะไม่เกิด ....

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา สติ สมาธิ ปัญญา
    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Sati_Samadhi_Pannya.php
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    อยากให้บุญเข้ามาหลายๆ ทางตลอดเวลาต้องทำยังไง

     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    . JV73-Ed82p2z1VI7qmaylWcEDu3xGxX8xpEzUw7F65S&_nc_ohc=xlGFkyadrLMAX8DK6lA&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg

    พระอาจารย์กล่าวว่า “ระวังไว้ด้วยนะ บางท่านประมาทเกินไป เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอดีตไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมไว้ ? ถึงเวลาก็ออกมาตัวเปล่า หน้ากากก็ไม่มี ใส่หน้ากากไว้อย่างน้อย ๆ ก็กันไปได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์

    ตอนนี้บ้านเราเพิ่งจะติดไวรัสแค่ ๓ พันกว่าคน ต่างประเทศเขาติดกันเป็นแสนเป็นล้าน บ้านเราโชคดีที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง บางคนต้องการความคุ้มครองมาก ขนาดรถทั้งคันพุ่งเข้าไปในศาลเลย..! มีใครดูหรือเปล่าเมื่อวานนี้ ? ไม่รู้ความคิดใคร...ตั้งศาลเจ้าพ่อไว้กลางถนนทำเป็นวงเวียน รถพุ่งเข้าไปแสดงความเคารพถึงกลางศาลเลย..!

    ถ้าจะป้องกันอุบัติเหตุให้ตั้งพระพุทธรูป อาศัยบารมีพระท่านช่วย ที่ทองผาภูมิมีโค้งอันตรายชื่อ โค้งตาลูเก้ ลงเขามายาว ๓ กิโลเมตร คนไม่ชินทางแหกโค้งทุกราย..!

    มีอยู่เที่ยวหนึ่งน่าจะเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว อาตมาขึ้นไปบรรยายที่ซองกาเลีย อำเภอสังขละบุรี ตอนขาขึ้นก็เห็นเขากำลังตั้งศาลให้ คือตรงนั้นมีธรรมเนียมว่าถ้าคนตายเขาจะตั้งศาล คราวนี้พอบรรยายเสร็จก็ค่ำแล้วกลับไม่ทัน สมัยก่อนถนนหนทางยังไม่ดี พอรุ่งขึ้นค่อยเดินทางกลับลงมา ศาลหลังนั้นพังราบไปเรียบร้อยแล้ว..! ท้ายสุดก็เลยมีคนที่น่าจะรู้จริง ไม่ตั้งศาลแล้ว แต่ทำแท่นหินขึ้นมาแท่นหนึ่ง นำพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๙ นิ้วไปตั้งหันเข้าหาโค้งพอดี ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครแหกโค้งลงไปตายอีกเลย แต่ถ้าตั้งศาลมีเท่าไรก็พังหมด ก็อย่างที่บอกว่าตอนเย็นขึ้นไปศาลยังดี ๆ อยู่ เช้าลงมาศาลพังไปแล้ว..!

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ไม่มีอะไรเกินพระรัตนตรัย ไม่มีอะไรเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า ถ้าเราจะหนีแรงดึงดูดของโลกออกไปอวกาศ ก็ต้องใช้จรวดประกอบไปด้วยแรงส่งอย่างมหาศาล สิ้นเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลวราคาเป็นพัน ๆ ล้านดอลลาร์ ก็หลุดไปได้แค่อวกาศ แต่ติดอยู่ในสุริยจักรวาล ถ้าอาศัยพลังงานมากกว่านั้นอีกหลายเท่า ดีดตัวเองออกจากสุริยจักรวาล ก็ไปติดอยู่ในทางช้างเผือก

    ถ้าสามารถดีดหลุดพ้นจากทางช้างเผือก ก็ไปติดอยู่ในเอกภพ ถ้ายังสามารถหาเชื้อเพลิงที่มากกว่านั้นอีกหลายล้านเท่า ก็หลุดจากเอกภพไป เพิ่งจะถึงแค่ชายขอบของชั้นจาตุมหาราช ต้องใช้พลังมหึมามโหฬารขนาดไหน แต่ก็ไปได้แค่นั้น

    แต่ถ้าเราตั้งใจรักษาศีลให้ดี เราไปได้เกินจาตุมหาราชแล้ว กำลังบุญแรงขนาดนั้นเลย ถ้าทำสมาธิด้วย ก็ไปไกลเกินเทวดาไปเป็นพรหม ใช้ปัญญาเสริมเข้าไป หลุดจากพรหมขึ้นไปพระนิพพาน

    เพราะฉะนั้น..ทำไมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งอยู่ในแดนพระนิพพาน ท่านถึงบอกว่า อัปปมาโณ หาประมาณไม่ได้ เพราะว่าพลังงานที่ท่านหลุดพ้นจากวัฏสงสารนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่อะไรจะร้อยรัดไว้ได้

    ถ้าเรามีความเข้าใจ มีความมั่นใจตรงจุดนี้ เราก็อาศัยกำลังของท่านเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติของเรา ก็สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์ ดีดตัวเองหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เหมือนกัน แล้วถ้าหากว่าไม่สามารถจะพ้นไปได้ อาศัยพลังมหาศาลของท่านคุ้มครองเรา อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย
    .........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ........................................
    #รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    หลวงป๋าจะเป็นผู้ทำการ สังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 5 (ต่อ)ให้สมบูรณ์
    บทความนี้สุดยอดมากๆครับ ทิพยจักขุ พระอรหันตร์ในการก่อนทำนายหลวงป๋าไว้ครับ
    GTFFdAd6SLafOBjmPAqNWJmBEAfGSe5OXwzcjzUmFqp&_nc_ohc=JWKCLd-UA3YAX8JkHxe&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    suEH9QabYmiNTn3Z3WMQ_NU&_nc_ohc=wNeILyotxyQAX9sgwuh&tn=ntkX8_79axLjp9Cm&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg



    6 มิถุนายน 2020 ·
    กิจของมหาโพธิสัตว์ทั้งสามนี้ เป็นส่วนที่จะทําให้การสังคายนาครั้งที่ ๕ เต็มบริบูรณ์ อันจะมีผลให้พระพุทธศาสนาดํารงอยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี
    ในนาทีที่ กาย วาจา ใจ หมครองด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ ในนาทีที่ กาย วาจา ใจ สํารวมอยู่ในศีล ๒๒๗ ข้อ
    ในนาทีที่ กาย วาจา ใจ กําหนดเป็นหนึ่ง เพื่อเข้าให้ถึง พุทธิปัญญานาทีนั้น คือการก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งมรรค ผล นิพพาน
    กาลเวลาได้ล่วงไป ๓๓ ปี (ขณะเมื่อท่านมีอายุได้ ๘๔ ปี) นับตั้งแต่ ท่านอาจารย์เสริมชัย ได้อธิษฐานจิตเข้าสู่พุทธภูมิ (เมื่อ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๖) มาถึงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ปัจจุบันท่านดํารงสมณศักดิ์เป็นที่ พระราชญาณวิสิฐ ครั้นท่านได้พบกับอาจารย์อนุสรณ์ ภูริภิวัฒนกุล (อุบาสก) ที่ท่านได้เชิญมาสอนบาลีไวยากรณ์ใหญ่แก่พระภิกษุสามเณร วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อาจารย์อนุสรณ์ ได้ปรารภ ถึงความปรารถนาที่จะทําพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎกให้สมบูรณ์ โดยจะให้ รศ.ดร.ธีระ เกรอต ข้าราชการบํานาญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้เรียนภาษา มคธมาดีพอสมควร ช่วยจัดพิมพ์ต้นฉบับให้ และท่านอาจารย์ อนุสรณ์ จะขอให้พระเดชพระคุณ พระราชญาณวิสิฐ เป็นองค์อุปถัมภ์ แต่งานนี้เป็นงานใหญ่ ต้องใช้เงินทุนในการ จัดพิมพ์ต้นฉบับและจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มถาวร จํานวนมากถึง หมื่นๆ เล่ม และต้องใช้ระยะเวลาในการทําและจัดพิมพ์นาน ถึงประมาณ ๒๐ ปี จึงจะแล้วเสร็จ
    พระเดชพระคุณพระราชญาณวิสิฐ พิจารณาเห็นว่า จะได้มีโอกาสบําเพ็ญบุญบารมีสําคัญในการช่วยสืบ บวรพระพุทธศาสนาให้เจริญและมั่นคงไปได้นาน ครบ ๕,๐๐๐ ปี และเห็นว่าจะมีโอกาสให้พระภิกษุ สามเณร และ ญาติโยมสาธุชนผู้มาศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรมของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ได้มาอุปถัมภ์บํารุง พระภิกษุ สามเณร และผู้ปฏิบัติธรรม ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จะมีโอกาสได้บําเพ็ญบุญกุศลเพื่อเพิ่มพูน บุญบารมีในภพชาตินี้ได้มาก จึงยินดีรับอุปถัมภ์โดยตลอด และได้เริ่มเตรียมสถานที่จัดทํา ณ สํานักปฏิบัติธรรม บนพื้น ที่ดินของ รศ.ดร.ธีระ เกรอต ที่อําเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และได้เริ่มดําเนินโครงการ กระทําสังคายนาพระไตรปิฎกนี้มา ตั้งแต่ต้นปี (เดือนมกราคม) พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นมา
    เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ท่านได้รับการ เลือกตั้งจากคณะสงฆ์จังหวัดบุรีรัมย์ ให้เป็น ประธาน คณะกรรมการบริหาร “สหภูมิชาวบุรีรัมย์” และต่อมาเมื่อ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ท่านได้รับอนุมัติให้ปริญญา พุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ เชิงพุทธ จากสภามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยังความปีติยินดีจากศิษยานุศิษย์และสาธุชนพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
    และในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐ นี้เอง ที่ท่านอาจารย์ อนุสรณ์ ได้นําคําแปล (ปริวรรตภาษาพม่า มาเป็นภาษาบาลี ไทย) คําจารึกประวัติการทําสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕ (พ.ศ. ๔๗๔) ที่ท่านพระมหามหินทเถระ และพระมหาคุตตเถระ ได้บันทึกไว้เป็นภาษาสิงหล เมื่อครั้งทําสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๕ (ประมาณร่วม ๒,๐๐๐ ปี มาแล้ว) นั้น ที่พระมหา เถระพม่าผู้ได้ไปศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศศรีลังกา ได้ ปริวรรตมาเป็นภาษาพม่า แล้วท่านอาจารย์พระมหาแสวง โชติปาโล วัดศรีประวัติ อําเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ผู้ได้ไปเรียนพระไตรปิฎกจนจบจากพม่า ได้นําคัมภีร์ภาษา พม่านั้นกลับมาประเทศไทยด้วย และได้ปริวรรต (แปล)
    เป็นภาษาบาลี-ไทย ประมาณ ๑๐๐ กว่าหน้า ก็อาพาธ และ ท่านอาจารย์อนุสรณ์ ผู้ได้เข้าศึกษาพระไตรปิฎกในสํานัก พระอาจารย์มหาแสวง จนจบแล้ว จึงได้ปริวรรต (แปล) เป็น ภาษาบาลี-ไทย ต่อได้อีกประมาณ ๕๐ หน้า ก็เป็นเวลาที่ท่าน อาจารย์พระมหาแสวงมรณภาพ จึงจําต้องส่งหนังสือต้นฉบับ เล่มนี้คืนแก่สามเณรผู้อุปัฏฐากท่าน คัมภีร์เก่าแก่ทั้งหลาย ของวัดศรีประวัติ รวมทั้งคัมภีร์ประวัติสังคายนานี้ด้วย ก็กระจัดกระจายไปอยู่ตามศิษยานุศิษย์ต่างๆ จนยากแก่การ ติดตามถามหาไปหมดแล้ว ท่านอาจารย์อนุสรณ์ ได้สันนิษฐาน ว่า คัมภีร์ประวัติสังคายนาพระไตรปิฎกน่าจะมีอยู่ที่วัด ศาลาแดง (วัดมอญ) จังหวัดปทุมธานี ด้วยว่าวัดนี้เป็นที่ รวบรวมคัมภีร์และวัตถุโบราณของมอญเก่าแก่เอาไว้มาก
    ในคัมภีร์ประวัติสังคายนาพระไตรปิฎก (สงคีติชินวสปกรณ์) นี้ ที่เมื่อพระมหามหินทเถระ ได้ทําสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๕ เสร็จแล้ว ได้จารึกไว้ มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า
    อถโข เถรา ภิกขู อตฺตโน ปตตาสเน นิสีทิตวา ยถา มหา กสุสปตุเถโร จ ยสตุเถโร จ ติสสตุเถโร จ ธมมวินย์ มหา มหินทตุเถโร จ สงคายมานา ปิฏกวเสน จ นิกายวเสน จ องควเสนจ ธมุมขนุธวเสนจ เปยุยานสงเขปวเสน จ สงขยา ขุททกาขุททกเปยุยานสงเขปวเสน จ คาถา สงเขปวเสน จ ธมมวินยญจ สงคาย
    ในกาลครั้งนั้นแล พระภิกษุเถระทั้งหลาย เข้าไปนั่ง บนอาสนะของตนๆ แล้วก็ทําสังคายนาพระธรรม พระวินัย โดยการจําแนกออกเป็น ปิฏก นิกาย นวังคะ ธัมมขันธ์ ด้วย การย่อไว้ด้วย เปยยาล วรรค, ด้วยการย่อไว้ด้วยจํานวน สังขยา, และย่อไว้ด้วย เปยยาลเล็ก เปยยาลใหญ่ เหมือน พระมหากัสสปะเถระ พระยสเถระ พระติสสะ และ พระมหามหินทเถระ ได้สังคายนากันมาอย่างนี้
    ตตุร สุท์ มหามหินทตุเถโร จ มหาคุคุตตเถโร จ ชยมงคโล จ มหาธีโรจ อนุสรโณ จาติ ตโย มหาโพธิสตุตา สมุโมทนติ, ตตฺถ วิตถาร์ กโรนุติ สาฏฐกถ์ สพุพพุทธวจน์ สตถุปรินิพพานโต ปญญาสาธิกานิ ปญจวสสสตานี เทวสหสุสาน
    ได้ยินมาว่า ในการทําสังคายนา ที่ ๕ ท่านพระมหา มหินทเถระ และพระมหาคุตตเถระ ได้กล่าวไว้ว่า มหาโพธิสัตว์ ทั้ง ๓ ท่าน คือ พระชยมังคลเถระ และอุบาสก ๒ คือ ท่านมหาธีระ และท่านอนุสรณะ จะได้มารวมกัน แล้ว จักทําพุทธวจนะ ที่ย่อเอาไว้ให้พิสดาร พร้อมด้วย อรรถกถา หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จปรินิพพานไป แล้ว ๒๕๕๐ ปี**
    ----------
    **กิจของมหาโพธิสัตว์ทั้งสามนี้ เป็นส่วนที่จะทําให้การสังคายนาครั้งที่ ๕ เต็มบริบูรณ์ อันจะมีผลให้พระพุทธศาสนาดํารงอยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี
    เอวเมว ภิกขุส์โฆ ธมมวินยญจ มุขปาฐโต โปฏฐเกส ลิกขาปยมาโน ปิฏกวเสน จ นิกายวเสน จ ธมมวินยสขาติ เตปิฏกพุทธวจน์ สาฏฐกถญจ โปฏฐเกส ลิกขาปยิตวา ปญจวสุสสหสุสาน สาสนสุส จรฏฐิติก กตวา ปญจม์ ธมุมสงคีติสทิสเมว อกาส
    การทําสังคายนาครั้งที่ ๕ นี้ พระภิกษุสงฆ์ เมื่อจะจารึก จารพระธรรมวินัย ออกจากปากที่ทรงจําพระธรรมวินัย เอาลงในใบลาน ให้จารพระพุทธวจนะคือ พระไตรปิฎก และนิกาย แล้วให้จารพระพุทธวจนะที่เป็นฝ่ายอธิบายลง ในใบลาน เรียกว่า อรรถกถา ได้กระทําพระพุทธศาสนา ให้ดํารงอยู่ได้นานถึง ๕,๐๐๐ ปี การทําการจารึกพระธรรม วินัยลงในใบลานครั้งที่ ๕ นี้ เรียกว่า สังคายนาครั้งที่ ๕ เหมือนกับที่ได้ทํามาแล้วในกาลก่อนแล
    แปลโดย อาจารย์อนุสรณ์ ภูริภิวัฒนกุล
    ด้วยหลักฐานพยานที่พระมหามหินทเถระ ผู้เป็น พระอรหันต์ ผู้ทรงคุณวิเศษแตกฉานในจตุปฏิสัมภิทา อภิญญา ๖ และวิชชาต่างๆ มีเตวิชชาเป็นต้น ได้จารึกไว้มา เป็นเวลาร่วม ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว และเพิ่งปรากฏแก่ท่าน เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๐ นี้ (ขณะที่ท่านจะมีอายุครบ ๗๔ ปีเต็ม ในวันที่ 5 มีนาคม นี้) ย่อมเป็นเครื่องยืนยันการบําเพ็ญบารมี เข้าสู่พุทธภูมิของท่าน พระราชญาณวิสิฐ (เสริมชัย ชยมงคโล) อย่างมั่นคงว่า ท่านได้ดําเนินชีวิตมาถูกทางแล้ว ยังความปลื้มปิติปราโมทย์ทั้งแก่ตัวท่านเอง ทั้งแก่ ศิษยานุศิษย์และญาติมิตรผู้ทราบความนี้โดยทั่วหน้ากัน
    คัดลอกมาจาก หนังสือพระบูชาและอานุภาพธรรมกาย
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    1dxa9tjo_sHMLABErcaOw-xLGzBhQ4f16&_nc_ohc=tfsPJ1LbnnQAX8JIVeZ&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg



    #พระปางห้ามสมุทร
    พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเนื้อเงิน ก็นึกถึงครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็คือ หลวงปู่สรวง ที่หลายคนให้สมญานามท่านว่า เทวดาเล่นดิน
    พระปางห้ามสมุทรนั้น มีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องของการห้ามภัยธรรมชาติจากน้ำ หลวงปู่สรวงท่านเคยให้คาถาเกี่ยวกับการป้องกันน้ำ หรือภัยธรรมชาติจากน้ำไว้ ก็เลยระลึกถึงท่าน
    ปรากฏว่าบุคคลที่มา กลายเป็นหลวงปู่ทองทิพย์ สองท่านไม่ได้มีรูปลักษณะใกล้เคียงกันเลย ถ้าหลวงปู่ทองทิพย์ไปเดินอยู่กลางทุ่งนา ขออภัยเถอะ...บางคนอาจคิดว่าท่านเป็นลิเกหลงโรง เพราะหลวงปู่ทองทิพย์ท่านใส่แหวนทุกนิ้ว แต่ว่าทั้งสองท่านก็มาสายพระโพธิสัตว์เก่า ถึงเวลาต้องมาสงเคราะห์โลกเช่นกัน"
    "อาตมาเองใช้ประคำอยู่หลายสาย มีอยู่สายหนึ่งที่ติดพระกริ่งจักรพรรดิชัยวรมันของหลวงปู่สรวง ส่วนในย่ามมีพระพิทักษ์โลกของหลวงปู่ทองทิพย์อยู่ คือเรื่องของพระโพธิสัตว์บางอย่างต่อให้ท่านฝืนกฎของกรรมเพื่อความสุขของส่วนรวม ท่านก็ยอมทำ
    ฉะนั้น...ในเรื่องของการสร้างพระปางห้ามสมุทรนั้น สาเหตุหลัก ๆ เลยก็คือว่า คนกาญจนบุรีกลัวเขื่อนแตก เคยมีอยู่ปีหนึ่ง...ก็ไม่นานเท่าไรหรอก เขาลือกันว่าเขื่อนเจ้าเณรแตกแล้ว เขื่อนเจ้าเณรก็คือเขื่อนศรีนครินทร์ ก็ทำเอาญาติโยมในเมืองกาญจนบุรีหนีไปอยู่บนยอดเขากันมาก แล้วด้วยความที่คนมากพื้นที่น้อย ก็มีการแย่งชิงพื้นที่ถึงขนาดต่อยตีทะเลาะเบาะแว้งกัน"
    "ในเมื่อเห็นลักษณะนั้น ก็มาคิดว่ามีอะไรที่จะป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้ ก็มานึกถึงพระพุทธเจ้าปางห้ามสมุทรที่ยกพระหัตถ์สองข้างเสมอพระอุระ แต่ความจริงพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรนั้น ก็คือห้ามทุกอย่างที่ไม่ดี
    เนื่องจากว่าในเมื่อญาติโยมกลัวภัยทางน้ำ กลัวเขื่อนแตก ปางห้ามสมุทรก็เลยสมกับวัตถุประสงค์ตรงนี้ วัดท่าขนุนอยู่หน้าเขื่อนวชิราลงกรณหรือเขื่อนเขาแหลมเก่า ต้องบอกว่าประตูน้ำจ่อวัดอยู่เลย ถ้าเขื่อนแตกเดี๋ยวนั้นรู้เดี๋ยวนั้น ก็ยังหนีไม่ทัน ประมาณ ๓-๔ วินาที มวลน้ำจะถึงวัด
    จากการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ ตูมแรกจะสูง ๓๖ เมตร แล้วหลังจากนั้นประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่งไปถึงกาญจนบุรี จะสูงประมาณ ๓ เมตร ๕ ชั่วโมงหลังเขื่อนแตก น้ำจะถึงกรุงเทพฯ สูงประมาณ ๒ เมตร
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะสร้างพระปางห้ามสมุทรสักองค์หนึ่ง ก็ได้บอกกล่าวกับทางด้านอาจารย์สุชาติ เลิศภูมิปัญญา ปฏิมากรผู้ปั้นสมเด็จองค์ปฐมเนื้อทองคำเอาไว้แล้ว ท่านก็ยินดีทำให้ อาทิตย์ที่แล้วท่านเพิ่งจะไปวัดขนาดบุษบกใหม่ บอกท่านว่าพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงิน ความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร ทำเท่ากันก็หมดเรื่อง ท่านบอกว่าพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องมีพระมหาพิชัยมงกุฎด้วย ก็เลยต้องวัดกะขนาดกันใหม่ เอาให้แน่นอน"


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร.
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ที่มา : วัดท่าขนุน watthakhanun
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    "ญาณ เกิดจาก สติ .....
    ทัสสนะ เกิดจาก สัมปชัญญะ
    เมื่อความไหวตัวแห่งดวงจิตดับ
    กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหาก็ดับ
    สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ปล่อยช่างมัน
    ถือเสียว่าเป็นคำพูดที่กล่าวกันเล่นๆ
    ส่วนความจริงมันอยู่ในดวงใจ
    ถ้าจิตยังไหวส่าย ภพชาติก็ยังต้องมีอยู่
    กามตัณหาไหวก็เป็นภพหยาบ
    ภวตัณหาส่ายก็เป็นภพกลาง
    วิภวตัณหาส่าย จิตก็จะเข้าไปเกาะอยู่ในภพน้อย
    นี่แหละจึงเรียกรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน
    เมื่อรู้ชัดแจ้งแล้ว จิตก็เบื่อหน่ายคลายความยึด เป็น อเสสนิโรธ, อวิชชานิโรธ และชาตินิโรธ
    เหตุนี้พระพุทธเจ้า ท่านจึงไม่ทรงติดบ้าน ติดคน ติดลูก ติดเมีย และทรัพย์ศฤงคารบริวารสุขทั้งหลาย"

    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ?temp_hash=1b65db8bb0c28d022d44ecf3ca6480dc.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    SX_8zmwyC2mTBWDMYVzmY1_CywfxO-0Sl&_nc_ohc=v8QWa99SGiAAX-thFsj&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...