ความหมาย กรรมฐาน,กัมมัฏฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 25 พฤษภาคม 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ข้อความห้อง # 40 ผู้คิดนึกเอาเหมือนมันสะดวกง่ายดาย แต่พอลงมือกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก (พุท-โธ ธัม-โม สัง-โฆ) พองหนอ ยุบหนอ เป็นต้นเท่านั้น ความคิดเปลี่ยนเป็น:cool: ยิ่งได้ผู้แนะนำ ซึ่งไม่มีประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติกัมมัฏฐานถูกต้องมาก่อนแนะนำ อาจเปลี่ยนจากนอนบ้าน เป็นนอน ?
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    "ม้างกาย" เห็นคุณผ่านมาเฉยๆ เขียนสองแห่ง (เห็นทีแรกก็เฉยๆคิดว่าพิมพ์ผิด) แต่พอเห็นตัวที่สอง (ม้างกาย) นี้ แบบนี้น่าจะเจตนาพิมพ์อย่างนั้น ยิ่งมาเห็นม้างบ่อยๆ เข้าอีกตัวหนึ่ง ผมยิ่งสงสัยเลย คือว่า มันต้องมีความหมายอะไรสักอย่างแน่ๆ อะไรครับ "ม้างกาย" "ม้างบ่อยๆ" หมายถึงอะไรครับ
     
  3. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เป็นคำที่หลวงปู่ขาวใช้ครับ
    ความหมายคือ
    พิจารณากายแล้วแยกส่วนเป็นส่วนๆตามอาการ32น่ะครับ
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    อ้อ ครับ ก็ทำนองนี้

    อิมัสมึง กาเย: เกสา โลมา นักขา ทันตา ตโจ มังสัง นหารู อัฐิ ฯลฯ

    ในกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ

    [​IMG]
     
  5. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ใช่ครับแต่ต้องอบรมจิตด้วยนะครับขณะพิจารณานิมิตว่าร่างกายนี้เป็นของไม่สะอาด
    เป็นของไม่ทนนาน ไม่ยืนยง ที่สำคัญต้องให้จิตยอมรับให้ได้ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราครับ
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    จะอบรมยังไง จึงให้จิตยอมรับได้ครับ

    [​IMG]
     
  7. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ทำบ่อยๆครับอย่าปล่อยทิ้งไว้นานๆพิจารณาที
    ถ้าจิตยอมรับแล้วศากายทิฏฐิจะขาดครับ
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ทำ คือ ม้างบ่อยๆน่าหรือครับ

    รำพึง (ม้าง) ในใจไป กายไม่ใช่ของเราๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างนี้นะครับ
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ถ้าเกิดนิมิตก็แต่งไปหากายแล้วม้างมัน
    แล้วก็อบรมจิตว่ากายนี้เป็นสิ่งสกปรก โสโครก เป็นรังของโรค
    ถ้าจะเอากายนี้ไม่ใช่ของเรา
    ต้องอบรมว่าเรานี้มีความตายเป็นที่สุดครับให้จิตยอมรับในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ของชีวิตครับ
    แต่ถ้าจะท่องแบบนั้นมันก็เป็นองค์ภาวนาเข้าทางสมถะครับ
    แต่ถ้าเข้าสมาธิได้ก็ม้างกายแหละครับ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    อ้อมันเป็นยังงี้นี่เอง ครับๆๆ
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    - ความยึดมั่น ในความไม่ยึดมั่น

    กระบวนธรรมฝ่ายก่อทุกข์ อาจเรียกชื่อตามองค์ธรรมที่เป็นตัวการสำคัญว่า กระบวนการฝ่าย อวิชชา ตัณหา ส่วนกระบวนธรรมฝ่ายดับทุกข์ ก็อาจเรียกชื่อตามองค์ธรรมที่สำคัญว่า กระบวนการฝ่าย วิชชา วิมุตติ ถ้าเรียกอย่างง่ายๆ ฝ่ายแรก คือ ไม่รู้ จึงติด ฝ่ายหลังเป็น พอรู้ ก็หลุด

    ในฝ่ายอวิชชา - ตัณหา องค์ธรรมที่เป็นขั้วต่อ ซึ่งพาเข้าไป หรือ นำไปสู่ชาติภพ ก็ คือ อุปาทาน ที่แปลว่า ความถือมั่น ความยึดมั่น หรือความยึดติดถือมั่น ส่วนในฝ่าย วิชชา -วิมุตติ องค์ธรรมที่เป็นขั้วต่อ ซึ่งพาออกไป หรือ เป็นจุดแยกออกจากสังสารวัฏ ได้แก่ นิพพิทา แปลกันว่า ความหน่าย คือ หมดใคร่ หายอยาก หรือ หายติด องค์ธรรมฝ่ายนี้ มาจับคู่ตรงข้ามกัน เป็นอุปาทาน กับ นิพพิทา


    อุปาทาน เกิดจากอวิชชา ที่ไม่รู้จักสิ่งนั้นๆ ตามสภาวะที่แท้จริง เปิดทางให้ตัณหาอยากได้ใคร่จะเอามาครอบครองเสพเสวย แล้วเอาตัวตนเข้าผูกพันถือมั่นถือ หมายว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ที่เรียกว่า อุปาทาน


    ส่วนนิพพิทา เกิดจากความรู้เข้าใจ สิ่งที่เคยยึดติดถือมั่นไว้นั้นตามสภาวะว่ามีข้อเสียข้อบกพร่อง ไม่ปลอดภัยอย่างไรๆ เป็นสิ่งที่ไม่น่า และไม่อาจจะเอาตัวเข้าไปผูกพันไว้ แล้วเกิดความหน่าย หมดความเพลิดเพลินติดใจ อยากจะผละออกไปเสีย

    จะเห็นว่า อุปาทาน เกิดสืบเนื่องมาจากอวิชชา ความไม่รู้สภาวะ ส่วนนิพพิทา เกิดจากความรู้ เข้าใจตามเป็นจริง ซึ่งท่านมีศัพท์เฉพาะว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ

    ข้อที่พึงย้ำในที่นี้ก็คือ การที่นิพพิทาจะเกิดขึ้น หรือ การที่จะถอนทำลายอุปาทานได้นั้น เป็นเรื่องที่เกิดจากความรู้ความเข้าใจ คือ เมื่อรู้เข้าใจสภาวะแล้ว นิพพิทาก็เกิดเอง อุปาทานก็หมดไปเอง เป็นเรื่องของกระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย หรือ ภาวะที่เป็นไปเอง ตามเหตุปัจจัยของมัน

    บางทีเราสอนกันว่า จงอย่ายึดมั่นถือมั่น หรือว่า อย่ายึดมั่นกันไปเลย หรือว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียเท่านั้น ก็หมดเรื่อง การสอนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดี และควรสอนกัน แต่พร้อมนั้นก็จะต้องระลึกถึงหลักการ ที่กล่าวแล้วข้างต้นด้วย คือ จะต้องพยายามให้ความที่จะไม่ยึดมั่นนั้น เกิดขึ้นโดยถูกต้อง ตามทางแห่งกระบวนธรรม มิฉะนั้น ก็อาจกลายเป็นการปฏิบัติผิดพลาดและมีโทษได้ โทษที่จะเกิดขึ้นนี้ คือ “ความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น

    การปฏิบัติ ด้วยความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่นนั้น ย่อมก่อให้เกิดโทษได้ เช่นเดียวกับการกระทำ ด้วยความยึดมั่นโดยทั่วไป

    สมมุติว่า มีห่อของอยู่ห่อหนึ่ง ห่อด้วยผ้าสีสวยงาม วางไว้ในตู้กระจก ที่ปิดใส่กุญแจไว้ มีชายผู้หนึ่ง เชื่ออย่างสนิทใจว่า ในห่อนั้นมีของมีค่า เขาอยากได้ ใจจดจ่ออยู่ แต่ยังเอาไม่ได้ เขาพะวักพะวงวุ่นวายอยู่กับการที่จะเอาของนั้น เสียเวลาเสียการเสียงาน ต่อมา มีคนที่เขานับถือมาบอกว่า ในห่อนั้นไม่มีของมีค่าอะไร ไม่น่าเอา และการที่เขาอยากได้ อยากเอา วุ่นวายอยู่นั้นไม่ดีเลย ทำให้เกิดความเสียหายมาก ใจหนึ่งเขาอยากจะเชื่อคำบอกของคนที่นับถือ และเขาก็เห็นด้วยว่า การพะวงอยู่นั้นไม่ดี มีโทษมาก แต่ลึกลงไปก็ยังเชื่อว่า คงต้องมีของมีค่าเป็นแน่

    เมื่อยังเชื่ออยู่ เขาก็ยังอยากได้ ยังเยื่อใย ยังตัดใจไม่ลง แต่เขาพยายามข่มใจ เชื่อตามคนที่เขานับถือ และแสดงในคนอื่นๆ เห็นว่า เขาเชื่อตามเห็นตามคำของคนที่เขานับถือนั้นแล้ว เขาจึงแสดงอาการว่า เขาไม่อยากได้ เขาไม่ต้องการเอาของห่อนั้น

    สำหรับคนผู้นี้ ถึงเขาจะยืนตะโกน นั่งตะโกนอย่างไร ๆ ว่า ฉันไม่เอาๆ ใจของเขาก็คงผูกพัน เกาะเกี่ยวอยู่กับห่อของนั้นอยู่นั่นเอง และบางทีเพื่อแสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่า เขาไม่ต้องการเอาของห่อนั้น เขาไม่อยากได้ เขาจะไม่เอาของนั้น เขาอาจแสดงกิริยาอาการที่แปลกๆ ที่เกินสมควร อันนับได้ว่ามากไป กลายเป็นพฤติกรรมวิปริตไปก็ได้ นี้เป็นตอนที่หนึ่ง

    ต่อมา ชายผู้นั้น มีโอกาสได้เห็นของที่อยู่ในห่อ และ ปรากฏว่า เป็นเพียงเศษผ้าเศษขยะจริง ตามคำของคนที่เขานับถือเคยพูดไว้ ไม่มีอะไรมีค่าควรเอา เมื่อรู้แน่ประจักษ์กับตัวอย่างนี้แล้ว เขาจะหมดความอยากได้ทันที ใจจะไม่เกาะเกี่ยว ไม่คิดจะเอาอีกต่อไป

    คราวนี้ ถึงเขาจะพยายามบังคับใจของเขาให้อยากได้ ข่มฝืนให้อยากเอา ถึงจะเอาเชือกผูกตัวติดกับของนั้น หรือหยิบของนั้นขึ้นมา ร้องตะโกนว่า ฉันอยากได้ ฉันจะเอา ใจก็จะไม่ยอมเอา

    ต่อจากนี้ไป ใจของเขาจะไม่มาวกเวียนติดข้องอยู่กับห่อของนั้นอีก ใจของเขา จะเปิดโล่งออกไป พร้อมที่จะมองจะคิดจะทำการอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่สืบไป นี้เป็นตอนที่สอง

    ความเทียบเคียงในตอนที่หนึ่ง เปรียบได้กับพฤติกรรมของปุถุชน ผู้ยังมีความอยาก และความยึดอยู่ด้วยตัณหา อุปาทาน เขาได้รับคำสั่งสอนทางธรรมว่า สิ่งทั้งหลายที่อยากได้มั่นหมายยึดเอานั้น มีสภาวะแท้จริง ที่ไม่น่าอยาก ไม่น่ายึด และความอยากความยึดถือก็มีโทษมากมาย เขาเห็นด้วย โดยเหตุผลว่า ความอยากได้และความถือมั่นไว้มีโทษมาก และก็อยากจะเชื่อว่า สิ่งทั้งหลายที่อยากได้ล้วนมีสภาวะ ซึ่งไม่น่าฝันใฝ่ใคร่เอา แต่ก็ยังไม่มองเห็นเช่นนั้น ลึกลงไปในใจ ก็ยังมีความอยากความยึดอยู่นั่นเอง แต่เพราะอยากจะเชื่อ อยากจะปฏิบัติตาม หรือ อยากแสดงให้เห็นว่า ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทางธรรมนั้น เขาจึงแสดงออกต่างๆ กระทำการต่างๆ ให้เห็นว่า เขาไม่อยากได้ไม่ยึดติด ไม่คิดจะเอาสิ่งทั้งหลายที่น่าใคร่น่าพึงใจเหล่านั้น

    ในกรณีนี้ ความไม่อยากได้ไม่อยากเอา หรือไม่ยึดติดของเขา มิใช่ของแท้จริงที่เป็นไปเองตามธรรมดาธรรมชาติ เป็นเพียงสัญญาแห่งความไม่ยึดมั่น ที่เขาเอามายึดถือไว้ เขา เข้าใจความหมายของความไม่ยึดมั่นนั้นอย่างไร ก็พยายามปฏิบัติ หรือ ทำการต่างๆไปตามนั้น ความไม่ยึดมั่นของเขา จึงเป็นเพียง ความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น และการกระทำของเขา ก็เป็นการกระทำด้วยความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น

    การกระทำเช่นนี้ย่อมมีโทษ คือ อาจกลายเป็นการกระทำอย่างเสแสร้ง หลอกตนเองหรือเกินเลยของจริง ไม่สมเหตุผล อาจถึงกับเป็นพฤติกรรมวิปริตไปก็ได้

    ความเทียบเคียงในตอนที่สอง เปรียบได้กับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยถูกต้องตามธรรมดา แห่งกระบวนธรรม เป็นธรรมชาติ เป็นไปเองตามเหตุปัจจัย คือ เกิดจากความรู้แจ้งประจักษ์ ตามหลักการที่ว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว ผลก็เกิดขึ้นเอง จำเป็นจะต้องเกิด ถึงฝืนก็ไม่อยู่ คือ เมื่อรู้สภาวะของสังขารทั้งหลายแท้จริงแล้ว จิตก็หลุดพ้น หมดความยึดติดเอง

    http://palungjit.org/threads/พอรู้-ก็หลุด-ไม่รู้-จึงติด.550235/
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    สภาวะที่จิตเป็นทิพย์คือ สภาวะที่ตัวจิตสามารถทำงานในด้าน
    คือจิตสามารถสร้างสภาวะที่มีสัมผัสสัมผัสเกี่ยวกับ ๑.เรื่องเส้นสาย
    พลังงานต่างๆ คล้ายๆพวกคลื่นวิทยุประมาณนี้ ซึ่งจะข้าม
    เรื่องของธาตุที่รวมเป็นวัตถุหรือรวมเป็นร่างกาย.เช่น พลังงาน
    ในวัตถุมงคล พลังงานของพระพุทธฯ ห่มเหลืองต่างๆ ผู้มีกำลังจิต
    อะไรประมาณนี้ครับ..และ ๒.จิตทำงานในเรื่องการเห็นสีต่างๆ
    ไม่ว่าจะสีใสหรือไม่มีสีก็ตาม.ที่รวมกันเป็นรูปร่างได้ หรือทำให้เรา
    เรียกได้ถูกว่าเป็นอะไรก็ตามและไม่ว่าจะสีอะไรก็ตาม ซึ่งจะเห็น
    เกี่ยวกับนามธรรมต่างๆได้ ตั้งแต่สัตว์นรก เทวดา เทพ พรหม
    ยันถึงระดับสูงสุด และการสัมผัสการรับรู้พิเศษในเรื่องต่างๆ.
    เครื่องรู้พิเศษต่างๆไม่ว่าเรื่องอะไร..ด้านพลังงานต่างๆไม่ว่าพลังงาน
    ทั้งที่มีอยู่แล้วภายนอก เช่น พวกพลังงานร้อน เย็น บางก็เรียกหยินหยาง
    บ้างก็เรียกพลังงานจักรวาล อะไรประมาณนี้..
    และสามารถใช้พลังงานต่างๆที่สร้างจากตัวจิต
    ที่การจากผลของการฝึกจากกรรมฐานพิเศษกองต่างๆ
    เช่น กสิณกองต่างๆ หรือจะวิชาเดินธาตุไม่ว่าแบบในดง แบบสาย
    ผู้เป็นเลิศทางบาดาล หรือสายอดีตสมเด็จพระสังฆราชมีชื่อในอดีต..
    และในระดับใช้งานได้นั้น..ตัวจิตก็จะสามารถทำงานได้ในสภาวะลืมตาปกติทั่วๆไป
    และใช้งานได้ภายในเสี้ยววินาที หรือเร็วกว่าที่สมอง จะคิดได้
    ย้ำว่าใช้ได้ในระดับลืมตาปกติ หรือใช้ในขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปครับ..
    โดยมากผู้ที่สามารถใช้ได้ในฐานสมาธิระดับสูงมักจะเป็นห่มเหลืองมีชื่อในอดีต
    หลายๆท่านที่เรารู้จักกันดี แม้แต่สมัยนี้ก็มีหลายท่าน ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงของเราครับ
    ยกเว้นในส่วนของการต้องทำตามพิธีการต่างๆเป็นอีกกรณีหนึ่ง...
    ปล.ประมาณนี้ ไม่ทราบว่าพอจะเข้าหรือยังครับ..

    ประเด็นหลักๆก็คือ จิตที่ทำงานได้เมื่อตาปกติเห็นเส้นสายพลังงานต่างๆ
    และสามารถสัมผัสรับรู้ นำไปใช้งานได้.
    ไม่ว่าจากพลังงานภายนอกที่มีอยู่แล้วในวัตถุหรือในอากาศหรือในวัตถุ
    ที่อยู่ในอากาศต่างๆ ไม่ว่าจะมิติไหนๆก็ตาม..เช่น การใช้พลังงานรักษา
    ผู้ป่วย ใช้พลังงานกสิณรักษาผู้ป่วย การดึงพลังงานจากมิติอื่นๆ
    มาใช้งานประมาณนี้
    หรือสายตาปกติเห็นสีต่างๆได้ที่สามารถบอกเป็นรูปร่างได้ชัดเจน
    ไม่ว่าจะเห็นสีอะไรก็ตามนั่นเองครับ..เห็น เทพ พรหม ฯลฯ
    ถ้าสูงกว่านี้คือ ระดับจิตธาตุ คือเป็นไปตามคิด เช่น หยิบพระออกจาก
    หนังสือเป็นพระองค์จริงๆเหมือนในหนังสือแบบเห็นๆ หรือหยิบขี้เถ้า
    แล้วกลายเป็นทองคำแท้ขายได้ หรือ หยิบใบไม้แล้วแจกคนอื่นๆแล้วกลายเป็น
    ธนบัตรจริงๆที่ใช้แลกเปลี่ยนได้
    ฟังดูเวอร์นะครับ แต่ปัจจุบันยังมีห่มเหลืองที่ทำแบบนี้ได้อยู่ครับ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง สภาวะจิตทิพย์ :d
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ถามคุณ nopphakan ช่วยดูหน่อยนี่เป็นสภาวะจิตทิพย์ไหมครับ

     
  15. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    หลวงปู่ขาว อนาโย หรือหลวงปู่ขาว พุทธรักขิโตครับ
     
  16. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หลวงปู่ขาว อนาลโย ครับ
     
  17. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ขอบคุณครับ
     
  18. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    อาจารย์ ณฉัตรช่วงนี้ทำอะไรครับเห็นนานๆมาที
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ภารกิจงานมากครับ บางช่วงหนักจนเพลีย ล้าไป ก็ได้แค่มาแว่บๆ อ่านความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ผมก็ไม่ได้เป็นอาจารย์อะไรครับ เป็นคนทำงานธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
     
  20. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ผมนับถือในปณิธานและความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของท่านครับขอไห้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...