คชสีห์๙บารมี๙บารมี๙แผ่นดินหลวงปู่หมุนเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu
    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบหรือทางPMแล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ __________________

    เบอร์ติดต่อ 081-70-4-72-64
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    [​IMG]

    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่ละมัย สภาพสวยเดิมๆ ประวัติท่านลองหาอ่านในเวปพลังจิตนะครับ ลง

    ไว้หลายท่านหลายเรื่องเล่า น่าติดตาม


    เหรียญสภาพสวยเดิมๆผิวไฟ.............

    (ปิดรายการ)


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    [​IMG]

    ประวัติพระครูปัญญาวิภูษิต (หลวงปู่หนู ปญฺญาโสโต)
    ปีพ.ศ.2553 อายุ 91 ปีพรรษาที่ 70 เป็นเจ้าอาวาสวัดไผ่สามเกาะ ต.เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี


    เป็น พระเกจิอาจารย์มีเวทย์มนต์เข้มขลัง สมาธิจิตแก่กล้า ถือมักน้อยสันโดษ มีปฏิปทาน่าเสื่อมใส บริสุทธิ์ผ่องแผ้วทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นศิษย์ผู้สืบทอดไสยเวทย์พุทธาคมจากหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม และหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม สืบสายวิชาหลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี จากพระอาจารย์อู๋ วัดใหม่สำรอง สืบสายวิชาหลวงพ่อแทน ธรรมโชติ วัดธรรมเสน จากหลวงพ่อกล่อม วัดขนอม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หลวงปู่หนู ปัญฺญาโสโต มีเมตตาบารมี เอื้อเฟื้อต่อผู้มากราบนมัสการท่านอย่างเสมอเหมือนไม่เลือกที่รักมักที่ ชั่ง เป็นพระสุปฏิปันโณอีกรูปหนึ่งที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ

    ชาติภูมิ หลวง ปู่หนู ปัญฺญาโสโต มีนามเดิมว่า “หนู กันขำ” ถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายนพ.ศ.2462 เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 8 คนด้วยกัน คือ 1.นางยุ้ย 2.หลวงปู่หนู 3.นายพัด 4.นางหมุ่ย 5.นายคุย 6.นางบาง 7.นายเสงี่ยม 8.นายวาล เป็นบุตรของโยมพ่อนวน โยมแม่ตุ่น กันขำ ณ บ้านไผ่สามเกาะ ต.เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จบการศึกษาชั้น ป.4 ที่โรงเรียนเขาขลุง อาชีพทำนา

    อุปสมบท เมื่อ อายุ 22 ปี ณ พัทธสีมา วัดสระตะโก ต.หนองปลาหมอ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2484 โดยมีพระครูเม เมธาธิการ (หลวงพ่อหวาน) เจ้าคณะตำบลหนองปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูบุญนาค สักการโว วัดลำพยอม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ม่วง วัดไผ่สามเกาะ เป็นพระอนุสาวณาจารย์ หลวงปู่หนู ได้รับฉายาว่า ปญฺญาโสโต อุปสมบทแล้วได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่สามเกาะ ได้ศึกษาเรียนนักธรรม สอบได้นักธรรมเอก ได้รับพัดยศสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นเอก ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดไผ่สามเกาะในปีพ.ศ.2490 สืบต่อจากพระอาจารย์ม่วง จักหมื่นภูผา อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่สามเกาะ ตลอดมาจนจวบถึงปัจจุบันนี้และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในปี พ.ศ.2512


    ศึกษาไสยเวทย์พุทธาคม หลวง ปู่หนู ปัญฺญาโสโต เป็นศิษย์ผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม และหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จ.นครปฐม ในปีพ.ศ.2486 หลวงปู่หนู ได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ขอศึกษาพุทธาคมจากหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อแช่มได้เมตตาสอนสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานให้เป็นอันดับแรก และได้สอนพระคาถากำบัง วิชามหาอุด และคงกระพันชาตรีให้อยู่เป็นเวลา 1 ปีและในพรรษาที่7 ตรงกับปีพ.ศ.2492 ได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม ได้เข้าฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขอศึกษาเรียนไสยเวทย์พุทธาคม หลวงพ่อเงิน ได้รับเป็นศิษย์ได้ให้หลวงปู่หนู มาขึ้นครูที่วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเงิน ได้สอนวิชาสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานให้เช่นกัน และได้สอนคาถาอาคมต่าง ๆ ให้เช่น คาถาเสกหุ่น หนุนธาตุ คาถามหาอุด และการทำกสิณต่าง ๆ เช่น กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ และปัฐวีธาตุ จนสามารถบรรลุกสิณ10 และหลวงปู่หนู ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อเต๋ คงทอง ที่วัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ซึ่งหลวงพ่อเต๋ คงทอง ท่านก็ได้เป็นศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้องเช่นกัน ได้เข้าขอศึกษาและปรึกษารับการแนะนำในการใช้วิชาต่าง ๆ จากหลวงพ่อเต๋ คงทอง ซึ่งเป็นศิษย์ผู้พี่และเป็นทั้งพระอาจารย์ หลวงปู่หนู ปัญฺญาโสโต ได้เดินทางไปมาหาสู่ทั้ง 3 พระอาจารย์อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดมาจนมาในปีพ.ศ.2490 หลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง ได้ละสังขารลง สำหรับหลวงพ่อเงินและหลวงพ่อเต๋ หลวงปู่หนู ได้เดินทางไปหาอย่างต่อเนื่องตลอดมาและได้เรียนวิชาไสยเวทย์ต่าง ๆ จากหมอไสยศาสตร์ ชื่อโยมเปลื่อง จักหมื่นภูผา เรียนวิชาทำตะกรุด วิชาขับคูณไสย เมตตามหานิยม ได้เรียนวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อกล่อม วัดขนอม ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ซึ่งหลวงพ่อกล่อม ท่านเป็นศิษย์สืบสายวิชามาจากหลวงพ่อแทน ธรรมโชติ วัดธรรมเสน ต่อจากนั้นได้เรียนวิชาคาถาอาคม อักขระเลขยันต์จากพระอาจารย์อู๋ วัดใหม่สำรอง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี อาจารย์อู๋ องค์นี้ท่านเป็นศิษย์ผู้สืบสายวิชาสายหลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เหรียญติดอันดับ 1 ใน 5 ในทำเนียบเบญจภาคีเหรียญยอดนิยมของเมืองไทย
    หลวงปู่หนู ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาไสยเวทย์พุทธาคม จากท่านพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาไสยเวทย์พุทธาคมเข้มขลังและมีชื่อเสียงเป็น ที่รู้จักและยอมรับทั้งสิ้น ฉะนั้น หลวงปู่หนู จึงเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและแตกฉานในไสยเวทย์มนต์คาถา จึงทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์และน่าเชื่อถือ

    ธุดงค์วัตร ใน ปีพ.ศ.2491 พรรษาที่8 หลวงปู่หนู ได้บอกกล่าวกราบลา พระอุปัชฌาย์หลวงพ่อหวาน ออกธุดงค์วัตรสู่ความวิเวก ได้เดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร่เสียส่วนใหญ่ เริ่มต้นเดินสู่ อ.จอมบึง น้ำพุ ยางหัก หินสี โป่งกระทิง สวนผึ้งแล้วลัดเลาะมายังด่านทัพตะโก ด่านมะขามเตี้ย ผ่าน จ.กาญจนบุรี อ. ศรีสวัสดิ์ อ.ทองผาภูมิ ขากลับสู่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ผ่านเข้า อ.เลาขวัญ อ.พนมทวน อ.ท่าม่วงและมุ่งกลับสู่วัดไผ่สามเกาะ ใช้เวลาออกธุดงค์เป็นเวลา 5 เดือน ตลอดระยะเวลาเดินทางด้วยเท้ายามค่ำคืนส่วนใหญ่จะอยู่ปักกลดจำวัดอยู่ชายเขา และตามถ้ำข้างลำธารน้ำไหลต่าง ๆ หลวงปู่เล่าว่าได้ประสบการณ์ถึงสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ในยามค่ำคืนในถ้ำต่าง ๆ หลายแห่ง เช่น ถ้ำเขาคันหอก ถ้ำเขาองค์จุ ถ้ำมังคลา ส่วนใหญ่จะได้ยินเสียงหวีดร้องจากวิญญาณต่าง ๆ เสียงม้าร้อง เสียงเสือคำราม เสียงนกที่ร้องดังมาก ดังสะท้านป่า เสียงดังจง..จง..จง.. มีแสงประกายแลบ ๆ เหมือนฟ้าแลบในป่าเขาเป็นประกายปฏิกิริยาของแร่ต่าง ๆ ในยามค่ำคืน ในหุบเขาเขต อ. ศรีสวัสดิ์ หลวงปู่จะทำสมาธินั่งอยู่ในกลดที่ปักอยู่ในถ้ำและตามชายเขาเสียส่วนใหญ่ ที่ถ้ำเขาองค์จุในยามค่ำคืน ๆ หนึ่ง ได้เห็นวิญญาณหัวขาด วิญญาณวัวหัวขาดและวิญญาณม้าหัวขาด มีงูใหญ่เลื่อยมาคดตัวอยู่ข้างกลดหลวงปู่และมีบรรดาสัมภเวสีมาขอส่วนบุญ หลวงปู่ได้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาไปให้ แล้วสิ่งที่เห็นก็ได้หายไปตามป่าเขามีบ้านผู้คนอยู่น้อยมากมีหลายครั้งที่ หลวงปู่ออกบิณบาตร ไม่ได้อาหารเลยพอกลับมายังที่พักสักครู่ก็จะมีคนนำอาหารมาถวายบางครั้งมา 2 คน 3 คนบ้าง บางวันจะก็มาเป็น 10 ก็เป็นที่ประหลาดใจตอนที่หลวงปู่ออกบิณบาตรไปไกลมาก ก็ไม่เห็นมีชาวบ้านและบ้านผู้คนอาศัยอยู่แม้สักหลัง โยมทั้งหลายนี้ที่มาทำบุญกันมาจากที่ไหนกันแน่หนอ หลวงปู่จึงได้ถามกลับไปว่า “โยมที่มานี้บ้านอยู่ที่ใด อยู่ไกลหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่า ”ก็อยู่ระแวงนี้แหละหลวงปู่” หลังจากหลวงปู่ได้ฉันท์อาหารเช้าแล้วได้สวดเมตตาให้พรแล้ว ผู้คนเหล่านั้นก็ได้กราบลาหลวงปู่เดินออกจากถ้ำไป หลวงปู่ได้ลุกจากที่ทันทีและเดินตามหลังไปดูที่ปากถ้ำ ปรากฏว่าผู้คนเล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว จากเรื่องราวหลวงปู่ได้ประสบมานั้น เราชาวพุทธน่าจะสันนิฐานได้ว่า เรื่องเล่านี้ได้เคยเกิดมาแล้วตั้งแต่ในยุคโบราณกาล เพราะบรรดาทวยเทพยดาเทพารักษ์หรือนางไม้ทั้งหลาย ได้เห็นพระผู้ทรงศีลหรือพระอริยสงฆ์ออกบิณบาตรโปรดสัตว์ ต่างก็มาร่วมทำบุญถวายอาหารแก่หลวงปู่เพื่อเสริมสร้างกุศลผลบุญ

    วัตถุมงคล หลวง ปู่หนู ปัญฺญาโสโต ได้สร้างวัตถุมงคลรุ่นแรกในปีพ.ศ.2515 เป็นเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดงรมดำ จำนวน 10,000 เหรียญ และเนื้อทองแดงกะไหล่ไฟ จำนวน 5,000 เหรียญสร้างออกให้บูชาในงานปิดทองผูกภัทธศรีมา (ฝังลูกนิมิต)ในปีพ.ศ.2515 โดยเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดงรมดำ ได้รับความนิยมมากกว่าเนื้อทองแดงกะไหล่ไฟ ทางวัดจึงได้เก็บเหรียญรูปไข่เนื้อทองแดงรมดำจำนวน 3,000 เหรียญ โดยได้บรรจุไว้ใต้อุโบสถ และสำหรับเนื้อทองแดงกะไหล่ไฟต่อมาได้หมดไปแล้วเช่นกัน ปัจจุบันเหรียญทองแดงรมดำได้รับค่านิยมเล่นหาในตลาดพระอำเภอบ้านโป่ง สภาพสวย ๆ เล่นหากันราคา 2,500 บาทสำหรับเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดงกะไหล่ไฟ เล่นหากันราคาประมาณ 1,200-1,500 บาท เหรียญรุ่นแรกปีพ.ศ.2515 นี้ทั้ง 2 เนื้อเป็นเหรียญรุ่นเดียวกันออกพร้อมกัน หลวงปู่อธิษฐานจิตปลุกเสกเดียวครั้งเดียวกันเป็นเหรียญรูปไข่ขนาดความกว้าง 2.1 ซม. ส่วนสูง 3 ซม. ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ มีอักษรคำว่าพระครูหนู ปัญฺญาโสโต ถัดขึ้นไปเป็นอักขระเลขยันต์ 3 ตัว ด้านบนเป็นตัวอักษรคำว่า วัดไผ่สามเกาะ อ.บ้านโป่ง ส่วนด้านหลังของเหรียญเป็นยันต์นะละลวย รายล้อมด้วยคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ ใต้ยันต์มีชื่อ จ.ราชบุรี ๒๕๑๕ เหรียญรุ่นแรกนี้มีประสบการณ์คุ้มครองผู้บูชามาแล้วมากมาย

    อภินิหารประสบการณ์เหรียญรุ่นแรก พ.ศ.๒๕๑๕
    นายนิเวศ กล่อนคง อยู่บ้านเลขที่ 31 หมู่6 บ้านมาบแค ต.หนองปลาหมอ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ได้บูชาเหรียญรุ่นแรกปีพ.ศ.2515 เลี่ยมทองห้อยคอบูชาอยู่บนสร้อยทอง ได้ไปเที่ยวงานที่วัดหนองกลางดง ขากลับได้มีคนร้ายดักจี้เอารถและสร้อยทองของนายนิเวศ แต่นายนิเวศได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์หนีไม่ยอมหยุด โดนคนร้ายยิงถูกกลางหลัง 2 นัดแต่ไม่เข้ารถมอเตอร์ไซค์ได้เสียหลักล้มลง คนร้ายได้ตามเข้ามายิงซ้ำอีกหลายนัดก็ยิงไม่เข้า นายนิเวศลุกขึ้นต่อสู้จนคนร้ายเห็นท่าจะสู้ไม่ได้จึงได้วิ่งหนีไป
    อภินิหารประสบการณ์เรื่องอุบัติเหตุ นายทัศ เกตุกมล ชาวบ้านเขาขลุง ได้ขับรถไปทำธุระที่จอมบึง รถยางแตกเสียหลักไหลไปประสานงากับรถสิบล้อบรรทุกลูกลังจนรถปิกอัพของนายทัศ พังยับเยินใช้งานไม่ได้แต่ตัวของนายทัศ ได้กระเดนออกจากรถไปตกลงข้างทางไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ภายหลังได้ทราบว่า นายทัศ นั้นได้ห้อยคอบูชาเหรียญรุ่นแรกปีพ.ศ.2515 ของหลวงปู่หนูในคอเพียงเหรียญเดียว
    นายสมจิต โมคสิต เป็นชาวหนองพังตุ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี มากราบนมัสการหลวงปู่หนู ได้ถามหาจะขอบูชาเหรียญรุ่นแรกหลวงปู่หนู แล้วได้กรุณาเล่าให้ทราบว่าเมื่อปีพ.ศ.2515 เค้าได้มาในงานปิดทองฝังลูกนิมิต วัดไผ่สามเกาะ ได้มาบูชาเหรียญทองแดงกะไหล่ไฟ ไป 2 เหรียญ ให้ภรรยาเค้าใช้ 1 เหรียญเค้าเองได้บูชาติดตัวอยู่ 1 เหรียญ นายสมจิต ทำอาชีพขับรถส่งผักจากชาวสวนไปส่งในเมืองอยู่เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเดือนกันยายนปีพ.ศ.2521 ได้เกิดอุบัติเหตุรถของเค้าถูกชนจนพลิกหงายลงผักหล่นกระจัดกระจายเต็มถนน ส่วนตัวของนายสมจิต ถูกประตูรถหนีบร่างจนสลบไป ผู้คนเห็นเหตุการณ์ต่างก็วิ่งเข้าดูและช่วยงัดตัวของนายสมจิตออกมา พอฟื้นขึ้นปรากฏว่าผิวหนังของนายสมจิต มีรอยช้ำเขียวถึง 8 แห่งแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีบาดแผลแม้แต่น้อย ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตรวจเช็คร่างกายแล้วผลปรากฏว่าแพทย์ให้กลับบ้านได้ เลย เหตุการณ์ครั้งนี้ นายสมจิตรอดพ้นจากอันตรายได้ด้วยพุทธคุณอันศักดิ์ศักดิ์ของเหรียญรุ่นแรก หลวงปู่หนูช่วยชีวิตไว้อย่างแน่นอน

    ด้านพัฒนา วัด ไผ่สามเกาะในสมัยเริ่มแรกพระอาจารย์ม่วง จักหมื่นภูผา และอาจารย์ค้ำ ได้เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดไผ่สามเกาะ โดยได้สร้างกุฏิไม้ขึ้นหลังหนึ่งเมื่อประมาณปีพ.ศ.2476 เป็นเวลาผ่านมาถึงปีพ.ศ.2523 ได้ 47 ปี ได้ชำรุดทรุดโทรมจนใช้การไม่ได้ทางวัดจึงได้ทำการรื้อถอนเอาสถานที่นั้น เพื่อสร้างกุฏิสงฆ์ขึ้นใหม่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2490 เป็นต้นมา หลวงปู่หนูได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส วัดไผ่สามเกาะ ได้ทำการก่อสร้างและพัฒนาวัดไผ่สามเกาะต่อเนื่องมาไม่หยุด โดยได้มอบเนื้อที่วัด ซึ่งมีอยู่ประมาณ 60 ไร่ได้มอบให้ทางการจำนวน 20 ไร่เพื่อสร้างสถานศึกษาโรงเรียนไผ่สามเกาะปัญญาสามัคคี หลวงปู่ได้เป็นองค์อุปถัมภ์การศึกษาโรงเรียนไผ่สามเกาะปัญญาสามัคคีตลอดมา ส่วนเนื้อที่ดินของวัดที่เหลือประมาณ 40 ไร่หลวงปู่ได้ทำการปลูกต้นไม้สร้างกุฏิสงฆ์ สร้างหอฉันท์ สร้างซุ้มประตูและรั้ววัด ได้สร้างอุโบสถขึ้นในปีพ.ศ.2509 และทำการฝังลูกนิมิตในปีพ.ศ.2515 ได้สร้างศาลาอเนกประสงค์ 2 ชั้นหลังใหญ่ขึ้น สำหรับชั้นล่างได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันหลวงปู่หนู ปัญฺญาโสโต ได้จำวัดและอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างนี้ ส่วนชั้นบนยังสร้างไม่เรียบร้อยซึ่งจะต้องใช้จตุปัจจัยอีกจำนวนหนึ่ง บริเวณวัดไผ่สามเกาะ นั้นมีแมกไม้นานาพันธุ์เขียวชอุ่มร่มรื่น บรรยากาศสงบ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นที่สุด บริเวณวัดนั้นมีความสะอาดเรียบร้อย กุฏิที่อยู่ของหลวงปู่ก็สะอาดและมีระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งหลวงปู่ก็ใจดี มีเมตตาที่สุดผู้ใดได้เข้าพบและกราบนมัสการแล้วจะรู้สึกอิ่มเอิบใจและมีความ สุขสบายใจอย่างที่สุด โดยที่มากราบหลวงปู่แล้วอยากกลับมากราบไหว้ท่านอีก
    นอกจากที่กล่าวมาแล้ว หลวงปู่หนู ท่านยังได้ซื้อที่ดินบริจาคให้กับทางราชการสร้างสถานีตำรวจชุมชน ต.เขาขลุง ซื้อที่ดินบริจาคให้สำหรับสร้างสถานีอนามัยเขาขลุง ซื้อที่ดินบริจาคให้สำหรับสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลเขาขลุง หลวงปู่หนูได้เป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนสายไผ่สามเกาะดอนไม้ลายความยาว 3.5 ก.ม. ตำบลเขาขลุง ในอดีตมักจะแห้งแล้งและกันดาน หลวงปู่หนูมีความเมตตาช่วยเหลือชาวบ้านไผ่สามเกาะ ได้ยกที่ดินของวัดจำนวน 5 ไร่ให้ชาวบ้านไผ่สามเกาะ และได้ทำการขุดสระน้ำใหญ่จำนวน 5 ไร่ เพื่อให้เป็นสาธารณูประโภคของชาวบ้านไผ่สามเกาะได้ใช้น้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ร่วมกันทั้งหมู่บ้าน มาในปัจจุบันระบบคลองชลประทานได้ขุดคลองชลเข้ามาห่างจากวัดประมาณ 1 ก.ม. หลวงปู่หนูก็ได้ทำการฝังท่อประปา เชื่อมจากคลองชลประทานผ่านวัดเข้าสู่หมู่บ้านไผ่สามเกาะซึ่งทำให้ทางวัดและ ชาวบ้านได้ใช้น้ำกันอย่างทั่วถึง หลวงปู่หนูบริจาคทานบารมีทุกปี ซื้อเครื่องครัวถวายมอบให้วัดต่าง ๆ ที่ยังไม่มีให้มีไว้ใช้อยู่เสมอ บริจาคโต๊ะเรียนนักธรรมให้วัดต่าง ๆ จำนวนมาก หลวงปู่หนูไม่สะสมสมบัติใด ๆ เมื่อญาติโยมทำบุญถวายปัจจัยมาท่านจะนำไปสร้างสาธารณะประโยชน์และพัฒนาวัด ทั้งหมด ท่านใช้ชีวิตสมณะเพศอย่างสมถะจำวัดอยู่ด้วยเสื่อผืนหมอนใบและกางมุ้งจำวัด แบบเรียบง่าย ถือมักน้อยสันโดษ

    หลวงปู่อนุรักษ์ป่าไม้ ที่ป่าเขาดิน มีพื้นที่อยู่ห่างวัดไผ่สามเกาะไปประมาณ 2 ก.ม. มีเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ แต่เดิมแทบจะเป็นเขาหัวโล้น ไม่มีป่าหลงเหลือเลย หลวงปู่หนูได้ทำการพลิกฟื้นให้เป็นผืนป่าขึ้นมาใหม่ โดยได้สรรหานำเอาพันธุ์ไม้ต่าง ๆ นานาชนิดมาปลุก จนเป็นป่าผืนใหญ่ที่สมบูรณ์เต็มพื้นที่ มีต้นไม้เขียวขจีล้อมรอบภูเขาดินทั้งลูก และได้ทำการปลูกสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ได้ส่งพระสงฆ์จากวัดไผ่สามเกาะไปอยู่สำนักสงฆ์จำนวน 2 รูปเพื่อดูแลอนุรักษ์ป่าไม้ หลวงปู่ได้ใช้จตุปัจจัยไปพัฒนาดูแลปลูกป่าจำนวนหลายแสนบาท จึงนับได้ว่าหลวงปู่หนูเป็นนักอนุรักษ์ป่าและธรรมชาติ นอกเหนือจากนั้นแล้ว หลวงปู่หนู ท่านยังได้มอบทุนการศึกษาให้นักเรียนโรงเรียนวัดไผ่สามเกาะและทุนอาหารกลาง วันให้แก่นักเรียนทุกปี ท่านส่งเสริมการศึกษามาตลอด หลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า การศึกษาพัฒนาคนเป็นเรื่องสำคัญมาก หลวงปู่หนูได้สร้างความเจริญให้กับตำบลเขาขลุงตลอดมาได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในงานสำคัญต่าง ๆ จำนวนมากครั้ง พุทธศาสนิกชนและชาวบ้านมีความศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่หนูมาก ยกย่องศรัทธาเป็นพระสงฆ์ผู้อาวุโสที่สุดในตำบลและวัดไผ่สามเกาะได้เป็นศูนย์ รวมของตำบลเขาขลุงมาโดยตลอด หลวงปู่หนูจึงได้ถูกนิมนต์ให้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในงานต่าง ๆ อยู่เสมอ ชาวบ้านไผ่สามเกาะและศิษย์ยานุศิษย์ทั่วทุกสาระทิศจะเดินทางมาร่วมในงานวัน เกิดหลวงปู่หนูทุกปี ในวันที่ 9 เมษายนของทุกปี ต่างก็ได้มาแสดงมุทิตาจิตกับหลวงปู่หนู ปญฺญาโสโต หลวงปู่หนูเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสทั่วไปมาเป็นเวลาอันยาว นานหลายสิบปีแล้ว จะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือวัยชรา ยามเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีอาการต่าง ๆ ที่ไม่ปกติสุขเกิดขึ้นก็จะพากันมาปรึกษาให้หลวงปู่ขจัดปัดเป่าเป็นกำลังใจ เสมอมา ซึ่งหลวงปู่เป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้าน บ้างก็มาให้หลวงปู่ดูฤกษ์ บวชพระ สึกลาลิกขาจากพระ หาฤกษ์ปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ ดูฤกษ์เปิดป้าย จะนิมนต์หลวงปู่ไปเจิมป้ายห้างร้าน สิ่งที่ขึ้นชื่อคือ เรื่องให้หลวงปู่เจิมรถต่างเล่าลือกันว่ารถทุกคันที่หลวงปู่หนูได้เจิมให้จะ ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย
    หลวงปู่หนู เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีศีลจิราจาวัฒน์ต่าง ๆ ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ที่สุดทุกด้านตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ประการ เป็นเนื้อนาบุญพระตะถาคฤเจ้า หลวงปู่ทรงพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง อนัตตา ได้พิจารณาเจริญมรณาสติเป็นนิจ และได้เห็นว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ทุกผู้คนไม่สามารถหลีกพ้นได้ ท่านจึงได้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ โดยไม่ประมาทแม้แต่โลงแก้วสำหรับใส่ร่างของท่านหลวงปู่ก็ได้ทำเตรียมพร้อม ไว้แล้ว ในทุกวันท่านจะพิจารณาเจริญมรณาสติที่โลงแก้วที่สั่งเตรียมไว้เสมอ ฉะนั้นตลอดชีวิตของการถือครองสมณะเพศของหลวงปู่ท่านจะเคร่งครัดในพระธรรม วินัยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถูกต้องและมั่นคง ประพฤติปฏิบัติแต่คุณงามความดีโดยตลอดมา ไม่มีด่างพร้อยแต่อย่างใด

    บารมีธรรมหลวงปู่หนู ปัญฺญาโสโต
    หลวงปู่หนู เป็นพระอุปัชฌาย์พิเศษ เป็นที่ปรึกษาของเจ้าคณะตำบลเขาขลุงในเขตอำเภอบ้านโป่ง ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ที่อาวุโสที่สุด วัดต่าง ๆ ทางอำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เวลาจะบวชพระทางวัดจะนำนาคมาให้หลวงปู่หนูเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้อยู่เสมอ
    วันธรรมสรณะ วันพระขึ้น 15 ค่ำของทุกเดือน พระสงฆ์ตามวัดต่าง ๆ จะลงอุโบสถทำสังฆกรรม ได้มีพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ เดินทางมาร่วมแสดง โอวาทปฎิโมกข์ กับหลวงปู่หนูที่อุโบสถวัดไผ่สามเกาะ พระสงฆ์ที่เดินทางมาจากวัดต่าง ๆ มีหลายวัด เช่น วัดสัมมาราม วัดหนองไก่ขัน วัดแจ้ง วัดเขาขลุง วัดเจริญธรรม วัดโป่งยอ ทุกครั้งจะมีพระสงฆ์มาร่วมสังฆกรรมเต็มแน่นไปทั้งอุโบสถวัดไผ่สามเกาะ บารมีหลวงปู่หนูมีมากมายต่อมวลหมู่พระสงฆ์และชาวพุทธจนสุดที่จะนำมากล่าวลง ได้หมดสิ้น

    ความเลื่อมใสยึดมั่นในหลวงปู่หนู
    ได้มีชายวัยอายุประมาณ 50 ปี เป็นคนอำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ได้มากราบนมัสการหลวงปู่หนูหลายครั้งและนับถือหลวงปู่หนูมาก ได้เคยขอตะคตคาดเอวหลวงปู่ไปบูชาแล้วฐานะก็ดีขึ้นจนเป็นคนรวยมีทรัพย์สิน ที่ดินมาก ด้วยความศรัทธาแม้แต่รองเท้าเก่า ๆ ของหลวงปู่ยังขอหลวงปู่ไปบูชา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่เขาเลื่อมใสจริง ๆ ของแต่ละบุคคล หาใช่เป็นเรื่องงมงายไม่ สำหรับตะกรุดโทน หลวงปู่สุดยอดมหาอุดและคงกระพัน ทหารพลร่มค่ายพระราม6 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทหารจังหวัดเพชรบูรณ์และชาวพุทธ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาบูชาไปจากหลวงปู่จำนวนมาก หลายท่านมาบูชาหลายครั้งได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องมหาอุดอยู่ยงคงกระพันชาตรี แน่นอนเชื่อถือได้

    เส้นทางการเดินทางสู่วัดไผ่สามเกาะ
    เดินทางมุ่งสู่ตลาดอำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ขับรถมุ่งไปสู่วัดไผ่สามเกาะระยะทาง 20 ก.ม. โดยขับรถข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองไปทางทิศตะวันตก มุ่งสู่ตลาดชุมชนหนองปลาหมอประมาณ 15 ก.ม. วิ่งตรงไปอีก 5 ก.ม. ก็จะถึงวัดไผ่สามเกาะ วัดอยู่ติดกับถนนทางลาดยางหนทางไปมาสะดวก อากาศบริสุทธิ์สดชื่นชมวิวทิวทิศน์สวยงาม จากบ้านโป่งไปวัดไผ่สามเกาะระหว่างทางจะมีร้านอาหารที่มีชื่อเสียงรสชาติ อร่อยหลายร้าน สะอาดและโอ่งอ่า บรรยากาศแบบธรรมชาติ ท่านจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง เรื่องข้าวสารที่ขึ้นชื่อว่าหุงดีมีรสดี ข้าวดีก็ไม่เปลืองกับข้าว ต้องข้าวสารหนองปลาหมอ ขากลับอย่าลืมแวะถามตามโรงสีแถวหนองปลาหมอซื้อข้าวสารกลับไปหุงกินที่บ้าน แล้วท่านจะติดใจ ไปแล้วอยากไปอีก หากท่านพุทธศาสนิกชนที่ได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่หนู

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงและที่มาจากเวป

    เหรียญรุ่นแรกเนื้อทองแดงผิวไฟ สร้า้งน้อยประสบการณ์สูงเหรียญสภาพเดิมๆครับ

    เจ้าของเดิมรับกับมือตอนไปขอฤกษ์กับหลวงปู่ เหรียญอายุร่วม40ปีครับ

    ให้บูชา 1200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    นามเดิมท่านชื่อ “พันธ์ ทับงาม” เกิดวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2444 ที่บ้านน้ำอ้อม อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
    (ที่จริงแล้วท่านเกิดในปี พ.ศ 2437 แต่แจ้งวันเกิดช้ากว่ากำหนดโดยวันเดือนเกิดไม่ทราบแน่ชัด) บิดาชื่อ พ่อศิลา มารดาชื่อ แม่ทอง ทับงาม ชีวิตเยาว์วัยท่านเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนขุนเกษตรวิสัยเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเอาไปรับราชการเป็นเสมียนประจำตัวท่าน รับราชการจนอายุได้ 16 ปี จึงลาบวชเป็นสามเณร ณ.วัดบ้านน้ำอ้อม จนอายุได้ 21 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระต่อโดยมีพระครูธรรมสังฆบาลเป็นพระอุปัชณาย์มีฉายาว่า “ติสโส” ท่านเป็นพระหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งมากท่องปฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาแรก และปี พ.ศ 2472 หลวงปู่ ท่านสอบนักธรรมชั้นเอกได้ ในปีนั้นหลวงปู่สอบนักธรรมเอกได้เพียงองรูปเดียวเท่านั้นทั่วมณฑลร้อยเอ็ด (รวมกาฬสินและมหาสารคามด้วย) จนได้รับรูปท่านเจ้าคุณพระโพธิวาศจารย์แม่กองธรรมอุบลเป็นรางวัล
    หลวงปู่ได้มาเรียนเทศนากับท่านเจ้าคุณกัณหา ณ วัด หนองทุ่ม อ.พล จ.ขอนแก่น (เจ้าคุณกัณหาเจ้าคณะ จังหวัดขอนแก่น ในสมัยนั้น พ.ศ 2473) ปี พ.ศ 2475 บ้านเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณกัณหาจึงได้ส่งหลวงปู่วรพรตมา เป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น อายุการสร้างวัดจุมพล ประมาณ 150 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 5
    พ.ศ 2480 หลวงปู่ได้สร้าง อุโบสถขึ้นมาใหม่ เสร็จเอาปี พ.ศ 2483 ค่าก่อสร้างเป็นเงิน 2,500 บาท ปูนชีเมนต์สมัยนั้นถุงละ 1.50 บาท ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่ได้ขอพระราชทาน พระปรมาภิไธย์ย่อ
    ของรัชการที่ 8 แต่พระองค์ท่านได้พระราชทานเหรียญพระฉายาลักษณ์ของท่านให้หลวงปู่วรพรต หลวงปู่ท่านเอาเหรียญนั้นติดไว้หน้าพระอุโบสถต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็ได้พัฒนา วัดจุมพลมาเรื่อยๆ ตลอดจนวัดต่างๆ ในอำเภอแวงน้อย และอำเภอพล (แต่ก่อนอำเภอแวงน้อยเป็นตำบล ขึ้นอยู่กับอำเภอพล) ในการสร้างพระอุโบสถและกุฎิ รวมทั้งศาลาการเปรียญ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 30 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการขยายการปกครองออกไปอีก ทางการจึงตั้งตำบลแวงน้อยขึ้นเป็นอำเภอแวงน้อย หลวงปู่วรพรตวิธานจึงได้เป็นเจ้าคณะอำเภอแวงน้อยรูปแรก
    หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมขลังมาก ได้เรียนวิชาอาคมมาจาก 5 อาจารย์ด้วยกัน เช่น หลวงศรีธรรมศาสตร์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม หลวงปู่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์ครีธรรมศาสตร์ จนเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมจาก พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบง ต.มะบ้า อ.ธวัชบุรี จ. ร้อยเอ็ด พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบงนี้ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมรูปหนึ่งในภาคอีสานในสมัย นั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชาตรี, แคล้วคลาด, มหาอุต ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่วรพรตท่าน ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอาจารย์ขันจนหมดสิ้น แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปศึกษากับอาจารย์บ้านฟ้าเหลี่ยม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เกจิอาจารย์ดังองค์หนึ่งในสมัยนั้น ขนาดท่านปัสสาวะรดต้นไม้ เอาปืนยิงต้นไม้ ยังยิงไม่ออกแต่ก็ยังไม่พอความต้องการของหลวงปู่ หลังจากนั้นท่านก็ได้มุ่งหน้าไปศึกษากับ หลวงปู่ชม ฐานธัมโม แห่งวัดกู่ พระโกนา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน หลวงปู่ชมรูปนี้ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถมาก มีอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ ท่านสามารถล่องหนหายตัวได้ หลวงปู่ชมท่านได้สร้าง วัดขึ้นบริเวณใกล้กับกู่โกนาอยู่ทางจะไป อ. ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ้งไปเขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและวิปัสนากัมมัฏฐาน อยู่ 2 ปี เมื่อ พ.ศ. 2479 ท่านได้กราบลาหลวงปู่ชม ออกมุ่งหน้ามายัง จ. ขอนแก่น เพื่อกับวัดจุมพลของท่าน
    หลังจากที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพระอาจารย์ ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต และได้แยกทางกันที่ อ. มัญจาคีรี จากนั้นหลวงปู่วรพรตท่านก็ได้เดินผ่านดงพญาเย็น-พญาไฟ ผ่านไปประเทศลาว พม่า เขมร เรื่องราวตอนที่ท่านเดินธุดงค์ ไปนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ แต่ท่านก็ผ่านอุปสรรคนั้นมาได้

    ลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในสมัยรัชการที่ 8 มีพระราชทินนามว่า “พระครูวรพรตวิธาน” เราจึงเรียกติดปากว่า “หลวงปู่วรพรต” ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเป็นครั้ง แรก ก็คือ เรื่องหลวงปู่เหยีบรถกระดก (ลอยขึ้น) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2503 หลวงปู่จะออกเดินทางจาก อ. พล จ. ขอนแก่น ด้วยรถโดยสารเพื่อจะไป จ.ร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยงหรือ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่งด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมาสมญานาม “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง” จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี เคยมีญาติโยมที่อยู่ไกลถึง จ. กระบี่ เดินทาง มากราบขอคาถาเหยียบรถกระดกจากท่าน ท่านก็มอบคาถานะโมพุทธายะให้ไป แต่จะทำได้เหมือนหลวงปู่หรือเปล่าไม่ทราบ
    หลวงปู่วรพรต ในใจของผม ท่านโด่งดังมากเป็นพระที่ไล่ผี-ไล่ปอบ ชงัดนัก ท่านไปปักหลัก (เสากลางหมู่บ้าน ตั้งศาลหมู่บ้าน) ท่านจะห้ามฆ่าสัตว์ใหญ่ภายในบ้าน ถ้ามีงาน (ไม่ว่า งานบวช งานแต่ง งานศพ) ให้นำไปฆ่านอกบ้านที่ท่านตอกหลักกันหมู่บ้านใว้ ถ้ามีงานเลี้ยง ฆ่าเสร็จแล้วจึงนำมากินเลี้ยงกันในหมู่บ้าน ไม่งั้นจะเกิดความไม่เป็นสิริมงคลในหมู่บ้าน ถ้าบ้านไหนมีผีเข้าออกบ้านได้จะกลายเป็นพรายทันทีและจะเริ่มเฮี้ยนขึ้น เรื่อย ๆ จนกลายเป็นปอบ ตะกรุดของท่านโด่งดังมาก แมลงวันไม่ได้กินเลือด แขวนแล้วห้ามกินเนื้อคาโคลง (เสื่อมทันที) เวลามีเหตุต้องประจันบานให้รูดมาใว้ข้างหน้า ท่องคาถา นะโมพุทธายะ แล้วลุยยยย ถ้าหนีให้รูดมาใว้ด้านหลัง (แล้วเด็ดใบไม้รูดตลอดทาง ถ้าเจอ ผมไม่เอ่ยว่าใบอะไร) รับรองไม่ตายโหง เหรียญนี้หายากแทบจะยากมาก ๆ ท่านที่ชอบสะสมของหายาก เชิญเหรียญนี้ครับ 1 เดียวจริง ๆ คาถาจัตตาโร ของกู ท่องใว้ประจำแขวนของกูใว้อย่าไปทำไม่ดี รับรองไม่มีตายโหง หลวงปู่ท่านเป็นพระมักน้อยสันโดษ ผมเชื่อว่าหลายท่านเคยไปฝังตะกรุดทองคำกับท่าน หรือยุคเก่า ๆ ท่านเคยสักน้ำมันให้ลูกศิษย์หลายคน ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เหนียววววววววว ก่อนท่านจะวางเข็มเพราะชราภาพ วัตถุมงคลของท่านล้วนมีประสบการณ์ทุกรุ่น ไม่งั้นท่านคงไม่เหรียบรถสองแถวกระดกได้เพราะฤทธิ์อภิญญาหรอกครับ (นั่นแสดงว่า หลวงปู่วรพรต ท่านได้ฌาณสมาบัติ หรือเราเรียกว่าฌาณโลกีย์ อภิญญา 6 นั่นเอง)
    ท่านที่ปฏิบัติธรรมจะรู้ได้ว่ามีอยู่ เป็นปัจจัสตัง (รู้ได้เฉพาะตัว)

    หลวงปู่วรพรตวิธาน แห่งวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดไทยบำรุง บ้านหนองทุ่ม ตำบลหัวทุ่ง อำเภอพล ก่อนจะย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล อำเภอแวงน้อย ท่านมีศิษย์เอกเป็นพระเถราจารย์อีกรูปที่ท่านถ่ายทอดวิชาคมให้ นั่นคือ หลวงปู่พระครูวรสารสุนทร (หลวงพ่อชาลี เฉทโก) หรือบางท่านเรียกติดปากว่าหลวงปู่ลี อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีทอง และอดีตรองเจ้าคณะอำเภอพล ขอนแก่น สมัยนั้น หลวงปู่ลี พระครูวรสารสุนทร ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหนองแวงนางเบ้า ได้ไปมาหาสู่หลวงปู่วรพรตวิธานเพราะบ้านหนองแวงนางเบ้ากับบ้านหนองทุ่มไม่ ไกลกันมากราว 5-6 กิโลเมตร ท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่พระครูวรพรตวิธาน ท่านหลวงปู่วรพรตวิธานท่นรักหลวงปู่ ชาลีเป็นอย่างมาก ท่านได้มอบคาถาทั้งหมดให้ เพื่อเอาใว้ช่วยเหลือชาวบ้านและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ไม่ว่าจะเป็นวิชา ไล่ผี-ไล่ปอบ ทำตระกรุด ทำสีนวด ผ้ายันต์ ฯลฯ ล้วนรับมาจากหลวงปู่วรพรตทั้งสิ้น หลวงปู่ลี พระครูวรสารสุนทรท่านได้มรณภาพลงในปี 2553 ที่ผ่านมาครับ ถือเป็นศิษย์ต้นของหลวงปู่พระครูวรพรตวิธานจริง ๆ ทั้งวิชาไล่ผี-ไล่ปอบ กันบ้านเรือน ทำตะกรุดโทน ตะกรุดมหารูด ฯลฯ

    ล้วนได้มาจากหลวงปู่พระครูวรพรตทั้งนั้น ผมเป็นศิษย์หลวงปู่พระครูวรสารสุนทรเพราะครั้งหนึ่งผมเคยบวชอุปัฏฐากท่าน หลายพรรษา ก่อนที่ผมจะลาสิกขาในพรรษาที่ 8 ของการบวชพระ ท่านหลวงปู่พระครูวรสารสุนทรท่านรักผมมาก ท่านได้มอบคาถาบางบทให้ผมเอาใว้ใช้รักษาตัว เป็นของหลวงปู่พระครูวรพรตวิธาน คาถาของหลวงปู่พระครูวรพรตวิธานที่ใช้เป็นประจำในการทำตระกรุดหรือทำวัตถุ มงคลจะมีคาถา จัตตาโร ซะส่วนใหญ่และ อิสวาสุ-นะโมพุทธายะ

    หลวงปู่พระครูวรพรตวิธานบอกว่าถ้าศิษย์คนไหนแขวนวัตถุมงคลของท่านหรือนำติดตัวอยู่ท่องคาถาของท่านใว้ ปรารถนาสิ่งใดจงสำฤทธิ์เถิด
    กันตายโหง ท่องทุกวัน ทุกเช้าก่อนออกจากบ้านและก่อนนอน แขวนของท่านใว้คุ้มครองป้องกันเป็นมงคลของชีวิต คาถาบทนั้นมีอยู่ว่า

    "จัตตาโร นวะโม ทเวจะติ นิปปันจะติ สัตตาตา อัตถะ เอโก ภโวโสตถี"

    นี่คือภาพหลวงปู่พระครูวรพรตวิธาน อริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน เหรียบรถกระดก (เดี่ยง) ที่ บ.ข.ส. ลูกศิษย์ได้พิมพ์ถวาย จะหาพระรูปไหนทำได้อย่างท่านบ้างถ้าไม่แน่จริง

    [​IMG]

    ปัจจุบัน หลวงปู่พระครูวรพรตวิธาน วัดจุมพล บ้านก้านเหลือง ตำบลแวงน้อย อำเภอแวงน้อย ขอนแก่น สรีระสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาแม้นจะมรณภาพไปนานแล้วร่วม 10 ปี
    แต่ที่แปลกไปกว่านั้น เส้นเกษา (ผม) ของหลวงปู่ยาวออกมาทุก ๆ ปีและเล็บของท่านด้วย ทั้ง ๆ ที่เซล์ในร่างกายของท่านได้ตายไปนานแล้ว ถือเป็นอภินิหาริย์อีกเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ถ้าท่านไปแวงน้อย
    แวะไปกราบขอพรหลวงปู่ได้ครับ เงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ ร่วมกันทำบุญสร้างเจดีย์บรรจุโรงแก้วหลวงปู่วรพรตวิธานใว้ ปัจจุบันดำเนินการสร้างไปแล้วกว่า 60%
    มหาเถร สุ ปมาเทน ทวาระยะตะ นะกะตัง สัพพัง อะปะราทัง ขะมะทะเม ภันเต
    ขอกราบหลวงปู่ด้วยความเคารพยิ่งครับ
    ของขวัญพระเครื่อง อยุธยา

    [​IMG]


    ขอลูกศิษย์ทุกท่านที่กำลังศึกษาและสะสมวัตถุมงคลของหลวงปู่พระครูวรพรตวิธาน จงนำคาถาบทนี้ไปใช้พร้อมทั้งเกิดสิริมงคลแก่ชีวิตครับ น้อยคนนักที่จะรู้คาถาของหลวงปู่ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดจริง ๆ ถึงรู้ก็ไม่บอกครับ ตระกรุดของท่านทุกดอกถ้าผ่าออกดูจะมีคาถาบทที่ว่านี้กำกับอยู่ ลองผ่าดูได้ครับ ถ้าท่านไม่นึกเสียดาย ผมไม่หวงคาถาหรอกครับ ถ้าท่านใดนำไปเผยแผ่จะเป็นการดีครับ ขอให้เครดิตผมบ้าง และขอให้ความรู้ที่ผมให้เป็นวิทยาทานนี้ จึงอำนวยผลส่งบุญให้หลวงปู่พระครูวรสารสุนทร (ชาลี) ที่เป็นอาจารย์ของผมจงไปสู่ภพภูมิที่ดี ปรารถนานิพพานเป็นที่ตั้ง สาธุ ๆ ๆ

    จากใจ ลูกศิษย์ที่ระลึกคุณครูอาจารย์ครับ

    sadao ร้านของขวัญพระเครื่อง อยุธยา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงและที่มาจากเวป
    เหรียญรุ่นแรกพิมพ์ไข่สภาพยังพอสมบูรณ์มากประสบการณ์

    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2012
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    [​IMG]

    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่ละมัย สภาพสวยเดิมๆ ประวัติท่านลองหาอ่านในเวปพลังจิตนะครับ ลง

    ไว้หลายท่านหลายเรื่องเล่า น่าติดตาม


    เหรียญสภาพสวยเดิมๆผิวไฟ.............

    (ปิดรายการ)


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    <center>[​IMG]</center>

    พระญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม และอดีตเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ท่านได้รับสมณศักดิ์สูงสุด เป็นพระราชาคณะที่ พระญาณวิเศษ ได้สร้างผลงานไว้ที่วัดหลวงสุมังคลารามเป็นอันมาก และทั้งเป็นพระสงฆ์รุ่นบุกเบิก สร้างและวางรากฐานความมั่นคงให้แก่คณะธรรมยุตจังหวัดศรีสะเกษ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2431 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด ที่บ้านหนองโน ม.5 ต.น้ำคำ อ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ เป็นบุตรของ นายธรรมา(จารย์ครูธรรมา) สุมงคล และนางบุญมา ท่านเกิดในตระกูลชาวนา มีพี่น้อง 8 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 4 ต่อมามารดาเสียชีวิต บิดาได้ภรรยาใหม่ จึงมีพี่น้องร่วมบิดาแต่ต่างมารดาอีก 4 คน
    การศึกษา...และการจาริกไปต่างถิ่น เมื่ออายุ 13 ปี ได้เรียนหนังสือไทยที่โรงเรียนวัดพระโต (วัดมหาพุทธาราม) ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดพระโต มีพระครูเกษตรศีลาจารย์ (นาม) เจ้าคณะจังหวัดขุขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาอยู่วัดพระโต ได้เล่าเรียนหนังสือภาษาไทยต่อในโรงเรียนวัดพระโตนั้น จนสอบได้ชั้นมูล 3 (ประถม 3) ในปีต่อมา ด้วยความรู้ความสามารถเป็นที่พอใจของพระอุปัชฌาย์ จึงขอแต่งตั้งให้เป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนวัดพระโต ได้รับอนุมัติจากกระทรวงธรรมการ รับนิตยภัตเดือนละ 6 บาท เป็นครูสอนอยู่ 2 ปี ได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่วัดใหม่ บริเวณที่ตั้งโรงเรียนวัดพระโตปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ดินวัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) อยู่ฝั่งตะวันออกของถนนขุขันธ์ ตรงข้ามกับวัดมหาพุทธารามนั่นเอง (วัดใหม่เป็นวัดธรรมยุตแห่งแรกในจังหวัดศรีสะเกษ แต่ร้างไปในภายหลัง มีพระมหารัตน์ จากจังหวัดอุบลราชธานีเป็นเจ้าอาวาส) ได้เรียนพระปริยัติธรรมไปด้วย 2 ปี
    พ.ศ.2448 ติดตามอาจารย์มหารัตน์ไปอยู่วัดสุปัฏนาราม จังหวัดอุบลราชธานี เรียนวิชาฝึกหัดครูที่วัดนั้น 2 ปี จบหลักสูตรชั้นสูงของโรงเรียน
    พ.ศ.2450 ติดตามอาจารย์พระมหารัตน์ไปจำพรรษาที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ช่วยสอนหนังสือภาษาไทยให้สามเณรและศิษย์วัดนั้น 1 ปี
    พ.ศ.2451 อายุย่างเข้า 21 ปี ย้ายจากวัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร เข้ามาอยู่วัดสุปัฏนาราม ได้รับการอุปสมบทที่วัดสุปัฏนาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2451 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระศาสนดิลก เป็นพระอุปัชฌาย์ ระหว่างนี้ได้ศึกษาธรรม สอบไล่ได้นักธรรมตรี นักธรรมโท และสอบบาลีไวยากรณ์ สนามวัดได้
    พ.ศ.2453 - 2454 ไปสอนหนังสือภาษาไทยแก่พระภิกษุสามเณรและศิษย์วัดต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
    พ.ศ.2455 พระอุปัชฌาย์ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านค้อหวาง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บริหารวัด สอนภาษาไทยแก่ศิษย์ สร้างเสนาสนะที่สำคัญ คือ อุโบสถและศาลาการเปรียญ อย่างละ 1 หลัง.....อยู่ 2 ปี จึงย้ายจากวัดค้อหวางเข้าพรรษาที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลฯ) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง โดยพระมหาเสน ชิตสโน เป็นเจ้าอาวาส ช่วยสอนและบูรณะปรับปรุงวัดอยู่ 2 ปี จึงย้ายจากวัดศรีทองไปวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช เป็นเจ้าอาวาส ได้ศึกษาบาลี และช่วยภาระเจ้าอาวาสประการต่าง ๆ อยู่ 2 ปี....ย้ายไปจำพรรษาที่วัดพิชัยญาติการาม อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี เจ้าคุณพระเขมาพิมุขธรรม เป็นเจ้าอาวาส ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ 2 ปี
    พ.ศ.2463 ลาเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติการาม กลับภูมิลำเนาเดิมที่ จังหวัดขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) ได้ไปจำพรรษาที่วัดโพนข่า ตำบลโพนข่า อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ มีพระทอง เป็นเจ้าอาวาสวัดโพนข่า....ในปีต่อมา พ.ศ.2464 พระทองลาสิกขา ได้รับบริหารงานในตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ....ในระหว่างนี้..มีผลงานด้านต่าง ๆ มากมาย เป็นต้นว่า...เปิดการศึกษาพระปริยัติธรรม และบาลีขึ้นที่วัด ปลูกสร้างศาลาการเปรียญ 1 หลัง ปลูกสร้างกุฏิไม้เนื้อแข็งทรงมลิลา 1 หลัง ก่อสร้างอุโบสถตามแบบกรมศิลปากร 1 หลัง และขุดสระน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้ง 1 แห่งในบริเวณวัด เป็นต้น
    .....มูลเหตุการได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม คือ พ.ศ.2469 ขุนอำไพ พร้อมด้วยนายเปลี่ยน ศีลวาณิช และนายผึ้ง มหาผล ผู้นำหมู่พุทธบริษัท ได้นิมนต์ไปจำพรรษาอยู่วัดหลวงสุมังคลาราม มีพระครูเกษตรศีลาจารย์ (ทอง) เป็นเจ้าอาวาส ได้ช่วยภาระเจ้าอาวาสในด้านก่อสร้างพระอุโบสถ วัดหลวงสุมังคลาราม และยังคงไปดูแลควบคุมการก่อสร้างอุโบสถวัดโพนข่าพร้อมกันไปทั้งสองวัด โดย ใช้วิธีการเหมือนกัน คือ จ้างช่างคนญวนเป็นหัวหน้า และระดมภิกษุ สามเณรในวัดเป็นคนงาน จนวัดโพนข่าเสร็จลง สามารถทำพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2473 ส่วนอุโบสถวัดหลวงสุมังคลาราม เสร็จลงเมื่อ พ.ศ.2485
    พ.ศ.2476 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ขอวัดหลวงสุมังคลารามจากเจ้าคณะจังหวัดขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) เพื่อตั้งเป็นวัดธรรมยุติ โดยนิมนต์ท่านพระครูเกษตรศีลาจารย์ เจ้าอาวาสรูปเดิม และเจ้าคณะแขวงขณะนั้น ย้ายไปอยู่วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม และแต่งตั้งให้ท่านพระญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม) ซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูสิริสารคุณ เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงฯ เมื่ออายุ 46 พรรษา 26
    พ.ศ.2481 รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอน้ำอ้อม (อำเภอกันทรลักษ์) จังหวัดขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) จากนี้ไปก็จำเริญตำแหน่งงานเรื่อยไปจนถึงปี พ.ศ.2514 เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ธรรมยุต
    .....ด้านสมณศักดิ์...ท่านได้สมณศักดิ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 49 พรรษา 29 พ.ศ.2479 รับสัญญาบัตร (พระครูชั้นตรี) ที่พระครูสิริสารคุณ แล้วเลื่อนไปตามลำดับชั้นโท เอก พิเศษ จนได้เป็นพระราชาคณะที่ พระญาณวิเศษ ในปี พ.ศ.2514
    ...ผลงานสำคัญของท่าน...คือได้ตั้งรากฐานคณะธรรมยุตขึ้นอย่างมั่น คงในจังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ขยายวัดคณะธรรมยุตออกไป 17 วัด.....นอกจากนี้...ยังมีที่พักสงฆ์อยู่อีก 22 แห่ง วัดธรรมยุตในเขตปกครองจังหวัดศรีสะเกษเกิดขึ้นได้...ถือว่าด้วยบารมีของพระ ญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม) เป็นมูลเหตุ
    ....พระญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม) มรณภาพ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2529 ตรงกับวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 7 ปีขาล สิริรวมอายุ 89 ปี 2 เดือนเศษ...


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงและที่มาจากเวป


    เหรียญสภาพสวยเดิมๆผิวไฟสร้า้งปี๒๕๑๒

    (ปิดรายการ)


    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2012
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    [​IMG]

    หลวงพ่อเสือ วัดสามง่าม

    ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515 จนถึงหลวงพ่อเต๋ สิ้น ในปี พ.ศ. 2524 ศิษย์เอกหลวงพ่อเต๋ ที่ท่านไว้วางใจให้ทำธุรกรรมต่างๆทางด้านพุทธาคมแทนท่าน ในช่วงที่ท่านติดกิจนิมนต์ หรือในช่วงปลายชีวิตท่านที่ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ก็คือ อาจารย์เสือ
    เหรียญรุ่นแรก อาจารย์เสือ สร้างในปี พ.ศ. 2518 ( ปีเดียวกับที่หลวงพ่อแย้ม ออกเหรียญรุ่นแรกของท่าน ) โดยผู้ที่สร้างถวายท่าน เป็นสตรีชาวสิงคโปร์ ที่ให้ความเคารพนับถือในตัวของ อาจารย์เสือ อย่างมาก โดยอาจารย์เสือ ได้ถอดพิมพ์ เหรียญห่มคลุมหลวงพ่อเต๋ ที่สร้างในปีเดียวกัน เหรียญรุ่นแรกของอาจารย์เสือนี้ ท่านได้ลงเหล็กจารด้วยตัวของท่านเอง ทุกองค์ ที่สำคัญ อาจารย์เสือได้ ดำน้ำลงไปจาร ด้วยตัวของท่านเองทุกเหรียญ เรื่องอาจารย์เสือดดำน้ำลงเหล็กจารนี้ ลูกศิษย์ในยุคนั้นต่างก็ เห็นด้วยตาของตนเอง หลายคน สามารถเชื่อถือได้
    อาจารย์ เสือ ท่านเป็นพระที่ ร้อนวิชา องค์นึง พุทธาคมของท่านจะหนักไปในด้านของ คงกระพันชาตรี จนเป็นที่เชื่อถือของบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋ ในช่วงที่ อาจารย์เสือ จำวัดอยู่ที่วัดสามง่าม กุฏิของท่านจะอยู่ด้านหน้าวัดก่อนกุฏิหลวงพ่อเต๋ อาจารย์วัดสามง่ามที่เป็นผู้หญิงหลายคนได้เล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่ อาจารย์เสือ อยู่ที่วัดสามง่าม ผู้หญิง ไม่ค่อยกล้าเข้าวัดสามง่าม เพราะว่าลูกศิษย์ของอาจารย์เสือแต่ละคนที่มาให้ท่านสัก หรือขอของดีจากท่าน ล้วนแล้วแต่ น่ากลัวทั้งสิ้น หน้าตาดุเหมือนเสือ จนยุคนั้นผู้หญิงไม่กล้าเข้าวัดสามง่าม ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
    อาจารย์เสือ ท่านเป็นคนพื้นเพอยู่ที่วัดสามง่าม ท่านจะมีอายุ น้อยกว่า หลวงพ่อแย้ม ประมาณ 10 - 12 ปี เรียกได้ว่า เมื่อตอนที่่หลวงพ่อแย้มบวช อาจารย์เสือ ยังเป็นเด็ก วิ่ิงซนอยู่ในวัดสามง่ามนั่นเอง อาจารย์เสือ ท่านได้บวชเมื่ออายุครบบวช ตามปกติ แรกทีเดียวท่านคิดจะบวชแค่พรรษาเดียว เมื่อครบพรรษาท่านได้ไปขอสึกกับหลวงพ่อเต๋ ชะรอยว่าหลวงพ่อเต๋ท่านคงทราบด้วญญาณของท่าน ว่าอาจารย์เสือจะเป็นเสาหลักของวัดสามง่ามได้ในอนาคต ท่านจึงขอให้อาจารย์เสือบวชไปก่อน อาจารย์เสือจึงต้องบวชต่อไป และได้ทำการศึกษาพุทธาคมกับหลวงพ่อเต๋ จนท่านไม่ได้สึกและมรณภาพในผ้าเหลือง
    น่าเสียดายที่ อาจารย์เสือ ท่านอายุสั้น ท่านเสียหลังจากหลวงพ่อเต๋เสียได้แค่ 2 ปี อาจารย์เสือท่านเสียในปี พ.ศ. 2526 ในขณะที่ท่านมีอายุได้ประมาณ 56 - 58 ปี เท่านั้น ดังที่คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า หลวงพ่อที่พุทธคุณหนักทางด้านคงกระพันชาตรี ถ้าไม่มีบุญมากพอ อายุจะสั้น แต่ก่อนที่ อาจารย์เสือจะมรณภาพ ประมาณ ่2 -3 ปี ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าอาวาส วัดหัวถนน แต่ท่านไม่สามารถไปครองวัดหัวถนนได้ เนื่องจากในช่วงนั้นท่านป่วยหนัก ต้องทำการรักษาตัว จนท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ. 2526 ในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 2530 เศษ การประกวดพระในส่วนกลาง มักจะมี รายการพระของอาจารย์เสือ บรรจุอยู่ในรายการ 2-3 รายการ เป็นอย่างต่ำเสมอ จนเวลาผ่านมา 20 ปี เศษ ในปีประมาณ พ.ศ. 2538 หลวงพ่อแย้ม จึงได้ขึ้นมา มีชื่อเสียงแทนท่าน ชื่อเสียงของ อาจารย์เสือ ก็ได้เลือนหายไปจากความทรงจำ ของบรรดาลูกศิษย์ และเซียนพระรุ่นเก่า ยิ่งถ้าเป็นเซียนพระรุ่นใหม่ๆ นี่ไม่มีใครรู้จักอาจารย์เสือ เลยซักคน
    เป็นความจริง ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2518 ที่ทั้ง อาจารย์เสือ และหลวงพ่อแ้ย้ม ได้ออกเหรียญรุ่นแรกพร้อมกัน แต่เพราะว่าพระของ อาจารย์เสือ ได้ไปอยู่ที่สิงคโปร เป็นจำนวนมาก ทำให้เหรียญของอาจารย์เสือ มีคนเสาะหากันมาก เนื่องจากมีคนแขวนเหรียญร่นแรกของท่านไปโดนยิงมาแล้ว ไม่เข้า ทำให้ มีการให้ราคากันหลายร้อยทีเดียว แต่ในขณะที่ เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อแย้ม ไม่มีใครต้องการ จนถึงปี ประมาณ พ.ศ. 2545 เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้ม เริ่มมี ราคาในสนามพระนครปฐม ซื้อขายกันอยู่ที่หลักร้อยต้นๆ เท่านั้นเอง แต่ก็ไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ เนื่องจากขายไม่ได้นั่นเอง จนเมือปี พ.ศ. 2548 เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้มจึงมีคนต้องการกันมากขึ้น เนื่องจากท่านมีชื่อเสียงมากขึ้นเรียกว่าอยู่ในระดับประเทศนั่นเอง เหรียญรุ่นแรกของท่านสภาพสวยอยู่ในราคา 3,000 บาท แต่ในปัจจุบันราคาอยู่ที่ 10,000 บาท ครับ
    เหรียญห่มคลุม หลวงพ่อเต๋นี้ ในปี พ.ศ. 2518 ถือเป็นเหรียญที่ออกแบบได้สวยงามมากเหรียญหนึ่ง โดยถอดแบบมาจากรูปโปสการ์ด หลวงพ่อเต๋ เป็นเหรียญรุ่นนิยม อีกรุ่นหนึงของหลวงพ่อเต๋ ที่สำคัญเหรียญนี้เคยมีคนไปโดนยิงมาแล้วไม่เข้า เลยเป็นที่เสาะหากันมากในยุคนั้น
    หลวงพ่อแย้ม เดิมชื่อ แย้ม เดชมาก เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2458 บ้านเดิมท่านอยู่แถววัดดอนตูม ซึ่งอยู่ห่างจากวัดสามง่ามไป ประมาณ 8 -10 กม.

    หลวงพ่อแย้มท่านบวชเมื่อ วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 ในช่วงแรกนั้นท่านตั้งใจบวชแค่พรรษาเดียว แต่ไม่ทราบด้วยสาเหตุอันใด ทำให้ท่านตัดสินใจบวชไม่สึก แต่เพราะว่าท่าน ไม่ได้เรียนหนังสือ ทำให้ท่านอ่านและเขียนหนังสือไทยไม่ได้ หลังจากที่ท่านตัดสินใจบวชไม่สึก ท่านจึงต้องเริ่มมา เรียนหนังสือไทย ใหม่ ชนิดที่เรียกได้ว่าเริ่มต้นเรียน ก.ไก่ กันเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ทำให้ท่านเริ่มต้นเรียนพุทธาคมได้ช้ากว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋องค์อื่นๆ ที่สำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2490 เศษ ชื่อเสียงหลวงพ่อเต๋ โด่งดังมาก ชนิดที่เรียกได้ว่า ในนครปฐม ท่านเป็นพระที่ดังที่สุดและดังทั่วประ้เทศไทยเลยทีเดียว ท่่านดังมาก่อนหลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อน้อยหลายปีทีเดียว ท่านน่าจะเป็นพระสงฆ์องค์แรกๆ ทีเดียวที่รับกิจนิมนต์ ไปต่างประเทศ วัดสามง่ามในช่วงนั้น มีพระสงฆ์จำพรรษา 70 -80 องค์ เลยทีเดียว การปกครองสงฆ์ต้องแบ่งเป็นคณะ หลายคณะทีเดียว พระสงฆ์ที่มาเรียนพุทธาคมกับหลวงพ่อเต๋ต้องช่วยตัวเองอย่างมาก เพราะท่านไม่มีเวลามาเอาใจใส่ได้อย่างทั่วถึง เรียกได้ว่าถ้าพระองค์ใดสนใจก็จะได้ ถ้าไม่สนใจก็ไม่ได้
    ที่สำคัญ หลวงพ่อแย้ม ท่านไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องการสร้างพระเครื่อง และกุมารทอง เรียกได้ว่าค่อนข้างจะ แอนตี้ ด้วยซ้ำ ทำให้พุทธาคมของท่าน ก้าวหน้าสู้ลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋องค์อื่นๆไม่ได้ ยิ่งในช่วงบั้นปลายชีวิตหลวงพ่อเต๋ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ทำให้หลวงพ่อแย้มต้องติดตาม หลวงพ่อเต๋ ตลอด ไม่่ว่าหลวงพ่อเต๋จะรับกิจนิมนต์ไปที่ใด หรือไม่ก็ต้องคอยดูแลความเรียบร้อยภายในวัด ทำให้ อาจารย์เสือ ที่บวชหลังท่านเป็นสิบปี ก้าวหน้าไปกว่าท่าน จนเป็นที่ยอมรับของ หลวงพ่อเต๋ และบรรดาลูกศิษย์ จนเมื่อหลวงพ่อเต๋มรณภาพ หลวงพ่อแย้มได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส แต่ในช่วงนั้นท่านก็ไม่ได้รับการยอมรับของบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋ แต่อาจารย์เสือกลับมีชื่อเสียงโด่งดังมาก จนถึงปี พ.ศ. 2538 ท่านได้สร้างพระเครื่อง ออกแจกแก่ลูกศิษย์ เนื่องในวาระอายุครบ 80 ปี และหนังสือมหาโพธิ์ เอาชีวประวัติ ของท่านไปเผยแพร่พร้อมกับพระเครื่องของท่าน ทำให้ลูกศิษย์หลวงพ่อเต่ทั่วประเทศ ได้รู้ว่า มีศิษย์ของท่าน สืบทอด การสร้างกุมารทอง นางกวัก และตะกรุด อยู่ที่วัดสามง่าม ลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋ก็เริ่มมาหาท่านที่วัด และมาร่วมงานไหว้ครูที่วัดสามง่ามกันมากขึ้น และได้สัมผัสกับพุทธาคมของหลวงพ่อแย้ม จนเป็นที่ยอมรับกัน
    แต่ก็เป็น ที่ยอมรับกันในหมู่ลูกศิษย์ เก่าๆ ของหลวงพ่อเต๋ ว่า ศิษย์เอกของหลวงพ่อเต๋ที่เป็นที่ยอมรับกันในช่วงนั้น ก็คือ อาจารย์เสือ วัดสามง่าม ถัดจากอาจารย์เสือ ก็คือ อาจารย์แกละ วัดลำลูกบัว ซึ่งในช่วงปี 2520 - 2538 อาจารย์เสือ และอาจารย์แกละ ท่านโด่งดังมากในเขตอำเภอดอนตูม และใกล้เคียง พอสิ้นทั้งสององค์ หลวงพ่อแย้ม จึงขึ้นมาแทน และเป็นที่ยอมรับในหมู่ลูกศิษย์สายวัดสามง่ามในเวลาต่อมา เรียกได้ว่า ปัจจุบันท่านถือว่าเป็นเกจิติดอันดับหนึ่งของประเทศก็ว่าได้ หลวงพ่อแย้มเคยพูดให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดฟังเสมอๆ ว่า พระของท่านปลุกเสกมากกว่าของเกจิองค์อื่น ถึงแม้จะไม่มีพิธีพุทธาภิเษกก็ตาม เพราะท่านปลุกเสกของท่าน ทุกคืน ๆ นึงประมาณ 30 นาที ครับ



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงและที่มาจากเวป

    http://www.pantown.com/board.php?id=34549&area=4&name=board4&topic=437&action=view

    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้ม วัดสามง่ามสร้า้งปีเดียวกกันปัจจุบันบุชากันหลายหมื่นหลวงพ่อเสือ ศิษย์

    วัดสามง่ามเช่นกันครับสร้า้งปีเดียวกัน


    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อเสือ วัดสามง่าม
    (ปิดรายการ)


    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu
    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบหรือทางPMแล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ __________________

    เบอร์ติดต่อ 081-70-4-72-64
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    เหรียญหลวงพ่อทวีศักดิ์ (เสือดำ) รุ่น๑ สภาพสวยเดิมๆเหรียญนี้ออกที่ลพบุรีครับ

    ปิดรายการ

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2013
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    เมื่อ ๓๓ ปีที่แล้วหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ จังหวัดระยองได้มอบให้คุณชินพร สุขสถิตย์ สร้างพระกริ่งชินบัญชร รุ่นแรกและรุ่นเดียวของท่านหลังจากนั้นพระกริ่งชินบัญชรค่อยๆโด่งดังมาจน เป็นที่ยอมรับและสนนราคาไม่น้อยไปกว่าพระกริ่งรุ่นเก่าๆมีผู้เช่าหากันใน ราคาถึงองค์ละกว่า ๒ แสนบาทไปแล้วก็มี หลวงปู่ทิมเคยพูดไว้ว่านอกจากพระเครื่องของท่านแล้ว คุณชินพรจะสร้างพระกริ่งให้โด่งดังอีกครั้งหนึ่ง คุณชินพร จึงได้เฝ้าเพียรพยายามแสวงหาเกจิอาจารย์ที่จะสร้างพระกริ่งให้โด่งดังอีกครั้งหนึ่งตามคำพยากรณ์ของหลวงปู่ทิม จนมาพบหลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม ที่วัดป่าฉันทนิมิต จังหวัดกาฬสินธุ์ อายุ ๙๗ ปี มีหูตาแจ่มใส สามารถลงอักขระเลขยันต์ได้โดยไม่ต้องใส่แว่นตา เป็นพระอริยสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ เมื่อพบกันครั้งแรก คุณชินพร สุขสถิตย์ และ ดต. จุลวัฒน์ จุลสุคนธ์ ได้เอาแผ่นทองแดงที่เตรียมมาถวายให้หลงปู่ทองฤทธิ์ลงเป็นตะกรุด หลวงปู่ทองฤทธิ์ ท่านได้ลงแผ่นทองแดงด้วยพระยันต์และอักขระเพียงไม่กี่ตัวแล้วก็ม้วนยกขึ้นจบ แล้วส่งให้คุณชินพร[​IMG]
    คุณชินพรเล่าว่า งงมาก ไม่คิดว่าท่านจะทำสำเร็จเร็วถึงขนาดนั้น ท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้วยกระซิบว่า “ลอง เอาไปยิงดูซิคุณ รับประกันว่านัดเดียวไม่ออก” คุณชินพร และจุลวัฒน์ จึงเอาไปทดลองยิงกันจริงๆ นัดเดียวไม่ออกจริงๆ คุณ ชินพร จึงเชื่อแน่ว่าได้พบพระแท้ พระเก่งอีกองค์หนึ่งเข้าแล้ว
    ในวันเดียวกันนั้นผมจึงได้นำปรกมะขาม(ปรกฤาษี)ที่สร้างขึ้นมาใน นามของหลวงพ่อองค์หนึ่ง ให้หลวงปู่ทองฤทธิ์ ท่านปลุกเสกอีกหนึ่งคืน ปรากฎว่า ปรกมะขามที่ผมสร้างชุดนี้โด่งดัง จนสามารถท้าให้ ทดลองยิงหรือฟันปลา ได้ตลอดกาล ดัง ที่ผมเคยลงข่าวในหนังสือเมื่อปี๒๕๓๖ และผมได้บอกกับเพื่อนฝูงต่อๆไปถึงหลวงปู่ ทองฤทธิ์ องค์นี้ว่า กระแสจิตท่านแรงและไวมากถึงขั้นทดลองได้
    หลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม และคณะกรรมการวัดป่าฉันทนิมิตร ได้อนุญาติให้มูลนิธิหลวงปู่ ทิม อิสริโก สร้างพระกริ่งในนามของท่านเป็นครั้งแรก ในวันเสาร์ ๕ ปี ๒๕๓๙ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๓๙ เพื่อ หาปัจจัยสร้างเมรุเผาศพและสร้างศาลาพักศพของวัดป่าฉันทนิมิตร และอีกส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิหลวงปู่ทิม พร้อมกันนั้นได้ มอบอักขระเลขยันต์ตามตำรับการสร้างพระกริ่ง อันมีพระยันต์ ๑๐๘ และนะ ๑๔



    ำหรับพิธีเททองและปลุกเสก อาจารย์ทองเจือ ธัมมธีโร ผู้คำนวนฤกษ์เทพระกริ่งชินบัญชรปี ๒๕๑๗ อันโด่งดัง ได้เป็นผู้คำนวนฤกษ์เททองพระกริ่งทองฤทธิ์ ในวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๓๙ เวลา ๑๐.๐๙-๑๐.๒๕ นาฬิกา ลัคนาฤกษ์ให้ศัตรูเป็นวินาศ ให้ชื่อฤกษ์ว่าเป็น เพชรฤกษ์มหาลาภมหามงคล
    ประกอบด้วยนามผู้สร้างทั้ง ๒ คน และนามของหลวงปู่ผู้ปลุกเสกเป็นมงคล สอดคล้องกับฤกษ์ของพิธี คือ คุณชินพร ซึ่งแปลว่า ผู้ชนะอันยิ่งใหญ่, คุณทรงพล เพ็ชรเม็ดใหญ่ และนามหลวงปู่ ทองฤทธิ์ อันเป็นมงคลกับฤกษ์ยามในการสร้างพระกริ่งครั้งนี้ คือ มีลาภเพช็รเม็ดใหญ่, ทองคำและอิทธิฤทธิ์พร้อมทั้งอิทธิพล ทั้งคำให้พรของพระอาจารย์ทองเจือ ผู้วางฤกษ์กล่าวว่า ขอให้ติดตามดูให้ดี พระกริ่งชุดนี้ต้องดังอย่างสุดๆ อีกครั้งของวงการพระเครื่องไม่แพ้พระกริ่งชินบัญชรปี ๒๕๑๗
    พระกริ่งทองฤทธิ์ สร้างขึ้นในวันเสาร์ ๕ นี้ เป็นพระกริ่งเนื้อนวโลหะก้นปิดด้วยแผ่นนวโลหะจำนวน ๒,๕๕๕ องค์ ตอกโค๊ตและลำดับเลขหมายทุกองค์ ออกให้บูชาชุดละ ๑,๐๐๐ บาท สำหรับก้นเงินสร้าง ๒๕๕ องค์ จะจัดเป็นพิเศษสำหรับผู้ร่วมเป็นกรรมการผ้าป่าในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๓๙ พร้อมด้วยพระนาคปรกใบมะขามรุ่มแรก, รูปหล่อรุ่นแรก, พระปิดตามหาอุตม์สก็อตจั้ม และตะกรุดโทนทองแดง ๑ ดอก เพียงชุดละ ๑,๐๐๐ บาท เพื่อสมทบทุนเริ่มแรกในการสร้างเมรุเผาศพของวัดป่าฉันทนิมิตร
    พระปิดตามหาอุด (ปิดตาสก๊อสจั้ม) ​


    ด้านหลังยันต์เฑาะห์​
    สำหรับ พิธีปลุกเสกพระกริ่งทองฤทธิ์ หลวงปู่ทองฤทธิ์ ท่านปลุกเสกเดี่ยวในกุฏิของท่านหลังจากพิธีเททองผ่านไปแล้วเรื่อยไปและปลุก เสกให้แรงฤทธิ์อีกครั้งในคืนวันเสาร์เวลา ๐๑.๔๙ นาฬิกา อันเป็นมหัธโนฤกษ์ จึงเป็นอันเสร็จพิธี
    ประวัติความเป็นมาของ หลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม
    หลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับ หลวงปู่ มุม วัดปราสาทเยอเกจิอาจารย์ผู้เรืองฤทธิ์และมีชื่อเสียงของภาคอีสาน สมัยเมื่อหลวงปู่ทองฤทธิ์ยังเป็นเด็กชาย อายุประมาณ ๑๐ ขวบ ได้พบและอุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านพอกใหญ่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้เขียนพระคาถา “อ้อป่อง” สอดลอดช่องพื้นกระดานให้ หลวงปู่มั่นบอกให้ท่องจำไว้ จะได้ปัญญาดี เกิดความศรัทธาในตัวหลวงปู่มั่น ที่เห็นท่านฉันอาหารในบาตรใหญ่ มีผู้คนมาฟังเทศน์ฟังธรรมกันมากมาย จึงมีความคิดที่จะบวช จนอายุได้ ๑๘ ปี จึงได้บวชเป็นสามเณรที่วัดศรีธรรมราช บ้านพอกใหญ่ ตำบลพอกใหญ่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร และในขณะที่ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่นั้น หลวงปู่มุมได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านเป็นสามเณรจนอายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดธรรมราช บ้านพอกใหญ่ ต่อมาเมื่อปี ๒๔๘๑ ท่านได้ไปอบรมสมถกรรมฐานกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร จนสำเร็จวิชชาธรรมกายขั้นอุกฤต เรียกว่า “อัคนีธาตุกรด” เมื่อ พศ.๒๔๘๓ ท่านได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอันเป็นบ้านเกิดของท่าน ปีต่อมาท่านได้ไปอบรมเป็นพระอุปัชฌาชย์ ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาชย์ที่สามารถบวชกุลบุตรได้ หลวงปู่ทองฤทธิ์ได้บวชอยู่มหานิกายถึง ๒๒ พรรษา หลวงปู่ทองฤทธิ์ท่านทำของขึ้น ผู้คนจึงนับถือท่านมาก ได้สมณศักดิ์เป็นพระครูอุดมสิทธิกิจ จนเมื่อปี ๒๔๙๖ ท่านเบื่อในงานด้านบริหารปกครองพระ จึงขอลาออกจากสมณศักดิ์ เพื่อมุ่งหน้าบำเพ็ญกิจของสงฆ์ หาทางปล่อยปละละวาง เดินตามแนวทางปฏิบัติของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ไปขอเรียนวิปัสสนากับ หลวงปู่ ขาว อนาลโย วัดถ้ากลองเพล จนพบว่าที่ปฏิบัติผ่านมานั้นยังไม่ถูกต้อง จึงสึกออกนุ่งขาวห่มขาว ออกเดินดงอยู่ ๒ ปี แล้วบวชใหม่กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย ในธรรมยุตนิกาย และได้มาบำเพ็ญความเพียรจำพรรษาที่วัดพุทธนิมิต ภูดาว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และในปี ๒๕๐๐ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าฉันทนิมิตรถึงปี ๒๕๐๗ จึงย้ายไปอยู่ภูถ้ำจันทร์ ที่ภูเก้า ๕ พรรษา ต่อมาได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดด่านศรีสำราญ ดงศรีชมพู อำเภอบึงกาฬ จัดหวัดหนองคาย จากนั้นไปจำวัดอยู่ในพื้นที่สีแดง สั่งสอนอบรมชาวบ้านซึ่งขัดแย้งกับลัทธิคอมมูนิสต์อย่างมาก จนหัวหน้าใหญ่คอมมูนิสต์คิดฆ่าท่าน โดยคิดจับท่านสวนทวาร ศิษย์ของท่านเลยพาท่านหนีมาอยู่ ณ.วัดป่าฉันทนิมิตร ราวปี ๒๕๒๒ จวบจนละสังขาร
    ก่อนมรณภาพหลวงปู่ทองฤทธิ์ ท่านได้อนุญาตให้ คุณ ชินพร สุขสถิตย์ สร้างพระให้ท่านหลายพิมพ์ จนลูกบุญธรรมซึ่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนรัฐบาลในกรุงเทพฯ ถามว่า ”หลวงพ่ออยากดังหรืออย่างไร? จึงให้นายชินพร สร้างพระ ทั้งที่รองผู้ว่าฯขอก็ไม่ให้” หลวงปู่ทองฤทธิ์ท่านบอกว่า “ชินพร เขาเจตนาบริสุทธิ์ ซื่อตรง ทำแล้วจะใช้ได้ผลดี เพราะเขาเป็นคนดี


    อิทธิฤทธิ์หลวงปู่ทองฤทธิ์
    คุณชินพร สุขสถิตย์ ยอมรับว่า ตั้งแต่พบพระเกจิอาจารย์มา ไม่เคยพบเกจิองค์ใดที่มีพลังจิตแรงและไวเท่าหลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม
    หลวงปู่ ทองฤทธิ์ ท่านลงอักขระเลขยันต์ไม่กี่ตัว ม้วนและยกขึ้นจบ แล้วส่งให้ผมเลย ผมเองเห็นแล้วไม่ค่อยเชื่อถือ สีหน้าผมคงแสดงออก คุณลุงที่นั่งปรนิบัติหลวงปู่ทองฤทธิ์ในวันนั้นคงจะเห็นอาการของผม แกจึงบอกผมว่า “คุณถ้าไม่เชื่อ ลองเอาออกไปยิงดู ผมรับรองว่านัดแรกไม่ออก”
    คุณชินพร และนายดาบตำรวจ จุลวัฒน์ จุลสุคนธ์ พร้อมเพื่อนร่วมทางอีก ๒ ท่าน จึงทำตามคำท้าพิสูจน์ของคุณลุงท่านนั้น นายดาบจุลวัฒน์ ซึ่งมีปืนประจำตัว เอาตะกรุดไปวางไว้ในที่อับกระสุน ระลึกบอกกล่าวว่า ไม่ได้ลบหลู่ แต่ของชมอิทธิฤทธิ์ว่าจะจริงอย่างคำท้าหรือไม่แล้วก็เหนี่ยวไกลั่นกระสุน ทันที ปรากฎว่ากระสุนด้าน เมื่อประจักษ์กับสายตาเช่นนั้น คณะของคุณชินพรและนายดาบจุลวัฒน์ จึงตัดสินใจเข้าไปค้างคืนจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมกับขอให้หลวงปู่ทองฤทธิ์ ปลุกเสกปรกมะขาม(ปรกฤาษี) ที่เพิ่งไปรับมาจากหลวงปู่องค์หนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานีให้อีกครั้ง เพื่อ เพิ่มพลังและขอให้มีมหาอุตม์เป็นอันดับแรก และปรากฏต่อมาว่า ปรกมะขามชุดนั้นเอาไปทดลองยิงได้ โดยคุณชินพร กล้าประกาศท้าทายลงในหนังสือพระเครื่องหลายฉบับ และปรากฏว่ามีผู้เอาไปลองยิงหลายรายยิงไม่ออก เอาใส่ปากปลาช่อนก็ฟันไม่เข้า แม้แต่ตังเกบ้านเพ จังหวัดระยอง ที่เชื่อถืออะไรยาก ต้องลองให้เห็นกับตาจึงเชื่อแน่ ได้แห่กันมาที่มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก หลายสิบคนเพื่อเช่าปรกมะขามที่หลวงปู่ทองฤทธิ์ ปลุกเสกซ้ำไปคนละเป็นร้อยองค์ คุณสำราญ ทองนพคุณ ไต๋ก๋งเรือขุนพลสมุทร ผู้เอาปรกมะขาม(ปรกฤาษี) ใส่กระบอกปืนแล้วยิงถึง ๒ นัด ไม่ออก เล่าว่าวันนั้นผมลองปรกมะขามและพระเครื่องต่างๆของหลวงพ่ออื่นๆ อีกหลายองค์ โดยใส่ปากกระบอกปืนแล้วยิง หลายองค์ปลิวหายไปในทะเล มีเพียง ๒ องค์เท่านั้นที่กระสุนไม่ลั่น มีปรกมะขามรูปฤาษีที่คุณชินพรสร้างองค์หนึ่ง และพระปรกมะขามของหลวงพ่อทางภาคตะวันออกอีกองค์หนึ่ง นอกนั้นผมยิงตกทะเลไปหมด ลูกเรือผมเห็นกันทุกคนครับ
    ด้านหลัง​


    พระปรกใบมะขาม มีเนื้อทองคำ, เงิน, ทองแดง​

    คุณชินพรกล่าวว่า ผมเคยไปพบพระเกจิอาจารย์มาก็มาก ไม่เคยเห็นใครมีกระแสจิตแรงและไวเหมือนหลวงปู่ ทองฤทธิ์ เลยโดยเฉพาะเรื่องมหาอุด แทบไม่น่าเป็นไปได้เลยที่พระสายปฏิบัติจะเก่งถึงขนาดนี้ หลวงปู่ ทองฤทธิ์ อนุญาติให้มูลนิธิหลวงปู่ทิม สร้างวัตถุมงคลในวันเสาร์ ๕ ปี๒๕๓๙
    ภายหลังจากที่ได้ไปรู้จักกับหลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม เมื่อต้นปี ๒๕๓๕ แล้วยอมรับในพลังจิต และการปฏิบัติเพื่อปล่อยปละละวางของท่าน คุณชินพร สุขสถิตย์ ผู้สร้างพระกริ่งชินบัญชรของหลวงปู่ทิม อิสริโก จนโด่งดังก็เที่ยวบอกให้พรรคพวกเพื่อนฝูงที่สนใจทางด้านนี้ให้ไปพบหลวงปู่ ทองฤทธิ์บ้าง เมื่อหลายๆ คนได้ไปพบท่านต่างก็เลื่อมใสในวัตรปฏิบัติและการไม่ถือตัวของท่าน หลวงปู่ทองฤทธิ์ จะให้ความเมตตาอนุเคราะห์สนองความต้องการแก่ผู้คนที่ไปหาทุกคนเสมอกัน ไม่เลือกชั้นวรรณะ แบ่งแยกคนมีคนจน และประการสำคัญ “ไม่มีใครคอยมาเป็นทศกัณฐ์”
    ในวันเสาร์ห้า เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่แข็งที่สุดของการทำวัตถุมงคล และเครื่องรางของขลัง มูลนิธิ หลวงปู่ทิม อิสริโก จึงได้ขออนุญาติหลวงปู่ ทองฤทธิ์ พระเก่ง พลังจิตแก่กล้า วัตรปฏิบัติเคร่งครัด อายุพรรษาสูง สร้างวัตถุมงคล ๕ แบบ ๕ พิมพ์ ขึ้นในวันสำคัญนี้ และขอให้หลวงปู่ทองฤทธิ์ ปลุกเสกเดี่ยวเพียงองค์เดียว แม้วันเสาร์ห้า เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ จะเป็นวันแข็งตามสุริยคติและจันทรคติแล้ว หากจะคำนวนฤกษ์ยาม เวลาอันแข็งที่สุดของวันเสาร์ห้านี้แล้ว จะทำให้ของนั้น ใช้ได้ผลเป็นทวีคูณ ท่านอาจารย์ทองเจือ ธัมมธีโร หรือ ท่านสหัสรังษี จึงคำนวนฤกษ์เทพระกริ่ง และฤกษ์ปลุกเสกให้เป็นพิเศษ ซึ่งฤกษ์เททองหล่อพระกริ่ง ชื่อว่า เพชรฤกษ์มหาลาภ ฤกษ์ปลุกเสกในวันเสาร์ห้า ชื่อว่า เพชรฤกษ์มหาจักรพรรดิ์กายสิทธิ์ พระเครื่อง ๕ พิมพ์ที่หลวงปู่ทองฤทธิ์ อนุญาติให้สร้างนี้ประกอบด้วย
    ๑. พระชัยวัฒน์- พระกริ่งทองฤทธิ์ สร้างจำนวน ๒,๕๕๕ ชุด
    ๒. พระปิดตามหาอุตตโมสก็อตจั๊ม สร้างจำนวน ๒,๕๕๕ องค์
    ๓. พระนาคปรกใบมะขามทองฤทธิ์ สร้างจำนวน ๑๕,๕๕๕ องค์
    ๔. รูปเหมือนหลวงปู่ทองฤทธิ์ สร้างจำนวน ๔,๐๐๐ องค์
    ๕. รูปเหมือนเนื้อทองแดงหลังเตารีด สร้างจำนวน ๕,๐๐๐ องค์
    วัตถุมงคลทั้ง ๕ แบบ นี้ ถวายหลวงปู่ทองฤทธิ์ เพื่อหาปัจจัยสร้างเมรุเผาศพ และศาลาพักศพของวัดป่าฉันทนิมิตร และอีกส่วนหนึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะสมทบทุนมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ออกให้บูชาในวันเสาร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๙



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงและที่มาจากเวป
    หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่, อิทธิญาโณ

    พระกริ่วทองฤทธิ์ก้นอุดผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม สร้า้งน้อยสภาพสวยเดิมๆ

    ไม่เคยผ่าการนำมาแขวนคอบูชา เก็บอยู่ในกล่องเดิมๆ รุ่นประสบการณ์และปาฎิหารย์

    ของหลวงปู่มีรุ่นแรกและรุ่นเดียวครับ

    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2012
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    <center>[​IMG]</center>
    <center></center>
    ...วัด ไลย์ อยู่ในเขตตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง ประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาก คือพระศรีอาริย์ โดยมีตำนานเล่าเกี่ยวกับพระศรีอาริย์นี้ว่า
    ชายแก่คนหนึ่งชื่อว่ามณฑา หมั่นทำบุญรักษาศีลภาวนาอยู่เป็นนิจ เพื่อจะได้มีอายุยืนให้ถึงสมัยพระศรีอาริย์มาโปรดโลกมนุษย์ แต่แกก็หนีไม่พ้นความตาย ก่อนจะตายแกได้สั่งญาติไว้ว่าให้เอาศพแกไว้7วันแล้วค่อยเผา

    เมื่อเฒ่ามณฑาตายไป ด้วยบุญกุศลที่แกสร้างสมไว้ พระอินทร์จึงเป็นผู้มารับวิญญาณและแจ้งแกว่าพระศรีอาริย์มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วและบวชเป็นพระอยู่วัดไลย์ เฒ่ามณฑาอยากไปกราบพระศรีอาริย์ แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร พระอินทร์จึงมอบดอกบัวหนึ่งดอกแก่เฒ่ามณฑา เพื่อนำไปกราบพระศรีอาริย์ แล้วส่งวิญญาณแกกลับสู่ร่าง

    เฒ่ามณฑาฟื้นขึ้นมาแล้วเล่าเรื่องไปพบพระอินทร์ให้ญาติพี่น้องฟัง และรีบไปวัดไลย์ เมื่อไปถึงพระกำลังสวดปาฏิโมกข์อยู่ในโบสถ์ แกจึงนั่งรออยู่ที่บันไดโบสถ์พร้อมกับพนมมือชูดอกบัวขึ้นถวาย พระได้เดินออกจากโบสถ์ทีละรูป แต่ไม่มีพระองค์ใดรับดอกบัวเลย เนื่องจากพระมองไม่เห็นดอกบัว เห็นเพียงเฒ่ามณฑานั่งพนมมืออยู่ เมื่อพระออกจากโบสถ์จนหมดแล้ว

    เฒ่ามณฑาจึงถามเณรว่า พระวัดนี้หมดแล้วหรือ เณรบอกว่ายังมีอีกรูปหนึ่งชื่อพระศรี วันนี้อาพาธไม่ได้ลงโบสถ์ แกจึงรีบไปหาพระศรีที่กุฏิเพื่อถวายดอกบัว พระศรีเห็นดอกบัวก็รีบลุกขึ้นรับ เฒ่ามนฑารู้ทันทีว่าเป็นพระศรีอาริย์ยังความปลาบปลื้มปิติให้แก่เฒ่ามณฑา เป็นอย่างยิ่ง จึงขออยู่รับใช้พระศรีอาริย์ โดยพระศรีอาริย์ไม่ให้แกเล่าเรื่องที่พระศรีอาริย์ลงมาเกิดในโลกมนุษย์และ บวชเป็นพระอยู่วัดไลย์ให้แกรู้อยู่ต่อมาพระศรีย์ก็ถึงแก่มรณะภาพ

    หลังจากนั้นเฒ่ามณฑาจึงเล่าเรื่องพระศรีอาริย์ให้ถิกษุสามเณรในวัดไลย์ได้ รู้ พระภิกษุสามเณรและประชาชนผู้มีจิตศรัทธาจึงร่วมกันหล่อรูปพระศรีอาริย์แต่ทำ อย่างไรก็ไม่เสร็จ พระอินทร์จึงแอบมาหล่อให้ในเวลาเพลที่ภิษุสามเณรไปฉันเพล เมื่อกลับจากฉันเพลก็เห็นรูปหล่อพระศรีอาริย์เสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นที่ อัศจรรย์

    ...ด้วยปาฏิหาริย์ดังกล่าวผู้คนทั้งหลายจึงเลื่อมใสศรัทธาในพระศรีอาริย์ เป็นอย่างยิ่ง มีผู้คนเข้าไปนมัสการไม่ขาด จนเกิดเป็นประเพณีชักพระศรีอาริย์ เพื่อให้ผู้คนที่เลื่อมใสศรัทธาได้นมัสการโดยทั่วถึงกันประเพณีชักพระศรีอา ริย์จะมีในวันขึ้น 14 คํ่าเดือน 6 ของทุกปี โดยทางวัดไลย์จะอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ประดิษฐานบนแท่นตะเฆ่ แล้วประชาชนร่วมกันชักลากตะเฆ่ ตลอดทางที่ชักพระผ่านจะมีประชาชนตั้งโรงทาน และมีจุดหยุดเพื่อให้ประชาชนได้สรงนํ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่มีผู้หลั่งไหลเข้าร่วมเป็นจำนวนมากทุกปี

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงและที่มาจากเวป

    เหรียญพระศรีอารย์ วัดไลย์ ลพบุรี ปี๒๔๖๘ สวยเดิมๆห่วงเชื่อม

    หลวงพ่อสุข วัดบางลี่ หลวงพ่อก๋ง วัดเขาสมอคอน หลวงพ่อสาย วัดพยัคฆารามและอีกหลาย

    ท่านยุคนั้นร่วมอธิฐานจิต อ่านตามเขาว่ากันมานะครับยุคนั้นผมยังไม่เกิด ที่เกิดๆก็น่าจะเกิด

    ใหม่หรือตายไปแล้วก็เยอะ



    ให้บูชาองค์ละ 1700 บาทค่าจัด
    ส่งEMS50บาทครับ
    (ปิดรายการ)

    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    เหรียญรุ่นแรก ครูบาหาญ วัดดงลาน แพร่

    ให้บูชาองค์ละ 500 บาทค่าจัด
    ส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    [​IMG]
    หลวงพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง
    พระครูภาวนาภิรมย์ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง นับว่าเป็นอริยะสงฆ์แดนทักษิณอีกองค์หนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ตลอดชีวิตร้อยกว่าปีของท่านมีแต่เมตตาธรรมต่อผู้ที่ได้ไปกราบท่าน

    สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้น ขนาด
    พ่อท่านคล้าย แห่งวัดสวนขัน ยังกล่าวยกย่อง พ่อท่านคลิ้งเสมอ เช่นว่า มีชาวบ้านจาก อ.ร่อนพิบูลย์ไปกราบพ่อท่านคล้าย พอท่านทราบว่ามาจากร่อนพิบูลย์ ท่านก็จะกล่าวว่า “ทีหลังไม่ต้องมาไกลถึงนี้หรอก ไปหาท่านคลิ้งนั้นแหละ ท่านคลิ้ง(หลวงพ่อคลิ้ง)ให้พรดีเหมือนเหมือนฉัน” หรือ แม้แต่พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา ก็ยังกล่าวยกย่อง พ่อท่านคลิ้ง อยู่เสมอ



    ประวัติพ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง
    เกิด 29 สิงหาคม พ.ศ.2429
    บรรพชา พ.ศ.2435 ขณะอายุ 8 ปี
    อุปสมบท พ.ศ.2447 ขณะอายุ 20 ปี
    ละสังขาร 21 มกราคม พ.ศ.2533
    รวมสิริอายุ 104 ปี 84 พรรษา



    พ่อท่านคลิ้ง เป็นคณาจารย์ที่อายุยืนนานอีกองค์หนึ่ง พระเครื่อง วัตถุมงคลที่ท่านได้เมตตาปลุกเสกเอาไว้มีหลายชนิด เช่น เหรียญ ลูกอมชานหมาก พระปิดตาเนื้อผงผสมว่าน วัตถุมงคลพ่อท่านคลิ้งท่านเด่นทางด้าน เมตตามหานิยม โภคทรัพย์ แคล้วคลาด


    วัดถลุงทอง เป็นวัดที่เงียบสงบอยู่ห่างจากถนนเอเชียสายหลัก ระหว่างร่อนพิบูลย์-นครศรีธรรมราช เข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่านสวนผลไม้ ไร่นาและบ้านของชาวบ้าน บริเวณวัดสงบร่มเย็น อยู่ใกล้กับเทือกเขา ชาวบ้านบริเวณนั้นจะนับถือพ่อท่านคลิ้งมาก เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อทุกๆคน


    ประวัติหลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง
    หลวงพ่อคลิ้งจันทสิริ” เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นพระเถระที่มีวิชาอาคมอีกรูปหนึ่ง นอกจากนี้หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทองท่านยังมีอายุยืนนานถึง ๑๐๔ ปี เพราะ[FONT=Tahoma][COLOR=#984806][FONT=Cordia New][COLOR=#000000][B]พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง[/B][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT] ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และมรณภาพใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยออกบวชเป็นสามเณรขณะอายุ ๘ ขวบ แล้วก็ครองเพศเป็นบรรพชิตมาตลอดจวบกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต หากนับพรรษาต่อเนื่องตั้งแต่บวชเป็นสามเณรกระทั่งเป็นพระภิกษุ “[COLOR=#000000][B]หลวงพ่อคลิ้ง[/B][/COLOR]” ก็จะครองพรรษาได้ถึง ๙๖ พรรษา เลยทีเดียว



    ส่วนทางด้านเรื่องราวอภินิหารของ “[B][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง[/COLOR][/B]” ที่จะนำมาเล่าขานวันนี้เป็นเรื่องราวของพระเครื่องหลวงพ่อคลิ้ง “เหรียญรูปเหมือน[FONT=Cordia New][B][SIZE=2][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง[/COLOR][/SIZE][/B] [/FONT]หลัง ภปร” ซึ่งจัดเป็นเหรียญ ที่อุดมด้วยสิริมงคลเพราะจัดสร้างในวาระฉลองอายุครบ ๙๓ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ โดย “พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธ์ยุคล” หรือ “เสด็จพระองค์ชายใหญ่” พระโอรสของ “จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯกรมหลวง ลพบุรีราเมศวร์” อดีตผู้สำเร็จราชการมณฑลทักษิณ พร้อมทั้งได้กราบบังคมทูล พระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญตราสัญลักษณ์ “พระปรมาภิไธยย่อ ภปร” ประดิษฐานที่ด้านหลังเหรียญจึงนับเป็นสิริมงคลอันสูงสุด ดังที่ทราบ กันดีในวงการนักสะสมว่าวัตถุมงคลที่มีความเกี่ยวเนื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” รัชกาลปัจจุบันล้วนเป็นที่นิยม ต่อนักสะสมซึ่งถึงแม้ว่า ขั้นตอนการสร้าง “เหรียญของพ่อท่านคลิ้ง” รุ่นนี้ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” มิได้เสด็จฯทรงประกอบพิธีแต่ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อ “พ่อท่านคลิ้ง” ได้ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิม “โลหะธาตุมหามงคล” แล้วพระราชทานให้นำมาหล่อหลอมผสมกับแผ่นทองลงอักขระเลขยันต์ของ “พ่อท่านคลิ้ง” นับเป็นร้อย ๆ แผ่นและโลหะสัมฤทธิ์เก่าสมัยบ้านเชียงที่มีอายุกว่า ๔,๐๐๐ ปี รวมถึงโลหะสัมฤทธิ์อันเป็น ชิ้นส่วนของพระพุทธรูปโบราณหลายสมัย เช่น ลพบุรี, ทวารวดี, สุโขทัย ฯลฯ


    [COLOR=#000000]และจากพิธีสร้างที่ดีเยี่ยมนี้เองจึง เป็นเหรียญ[FONT=Tahoma][COLOR=#984806][FONT=Cordia New][B][SIZE=2][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง [/COLOR][/SIZE][/B][/FONT][/COLOR][/FONT]ที่มีประสบการณ์มากมายอย่างเช่น “นายสุนทร บุญชอุ่ม” ชาวตำบลคานโพธิ์ อ.เมือง จ.สตูล ได้เล่าให้ฟังว่า ตัวเขานั้นมีอาชีพเป็น “ไต้ก๋งเรือ” ประมงขนาดเล็กที่ออกหาปลาในแถบ “ทะเลอันดามัน” โดยมีลูกเรือเพียง ๕ คน ซึ่งช่วงที่พบประสบการณ์นั้น “นายสุนทร” จำได้แม่นว่าเป็นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘ เพราะเป็นฤดูมรสุมทางภาคใต้โดยขณะนำเรือออกหาปลาช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ปรากฏคลื่นขนาดยักษ์ถล่มเรือประมงของเขาอับปางลง “นายสุนทร” พร้อมลูกเรือต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางโดย “นายสุนทร” ที่เคยเป็นลูกเรือมาก่อนจึงช่วยเหลือตัวเองด้วยการเกาะเศษไม้จากเรือที่ อับปางคอยพยุงตัวเองลอยคออยู่กลางทะเลถึง “๒ วัน ๒ คืน” โดยขณะนั้นได้แต่ภาวนาให้ “[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B]” ช่วยเหลือเนื่องจากในคอแขวน “เหรียญพ่อท่านคลิ้งหลัง ภปร” เพียงเหรียญเดียว กระทั่งเช้าตรู่วันที่สาม ขณะจวนจะหมดแรงอยู่แล้ว ก็มีเรือประมงขนาดใหญ่มาช่วยไว้และหลังจากฟังเรื่องราวของ “นายสุนทร” ทุกคนบนเรือประมงที่มาช่วยต่างสงสัยไปตาม ๆ กันว่า “นายสุนทร” รอดได้อย่างไรเพราะเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาวประมงหากเรือประมงขนาดเล็ก อับปางลงยังกลางทะเล ยากที่จะมีคนรอดได้แม้จะเก่งด้านว่ายน้ำแค่ไหนก็ตาม เพราะการว่ายน้ำข้ามวันข้ามคืนจะทำให้หมดแรงไปเองซึ่งตัว “นายสุนทร” เองก็ไม่รู้เช่นกันว่ารอดได้อย่างไรเพราะช่วงที่ลอยคออยู่ในทะเลนั้น คลื่นแรงมากปะทะหน้าอกเจ็บระบมไปหมดจึงได้แต่ภาวนาขอให้ “เหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] ภปร” ที่แขวนอยู่ในคอช่วยแล้วกัดฟันว่ายน้ำไป[/COLOR]


    [SIZE=2]ส่วนอีกเรื่อง “นายฉลอง สง่าวงศ์” อาชีพทำไร่อยู่บ้านเลขที่ ๕๕๑ หมู่ ๔ ต.ไร่ใหม่ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เล่าว่าตัวเขาชนะคดีความพิพาทกับเพื่อนบ้านเรื่องที่ดิน จึงถูกเพื่อนบ้านผู้นั้นเจ็บแค้นมาตลอด วันหนึ่งในเดือน มิ.ย. ๒๕๔๗ เวลาประมาณสามทุ่มเศษ ขณะ “นายฉลอง” เดินไปตามถนนในหมู่บ้านที่ทั้งมืดและเปลี่ยวปรากฏมีมือปืนมาซุ่มยิงด้วย “ปืนลูกซองกระสุนลูกโดด” (ปกติลูกซองจะเป็นกระสุนลูกปราย) สองนัดปรากฏว่าลูกกระสุนโดนลำตัวนายฉลองอย่างจังแต่นายฉลองกลับไม่เป็นอะไร มือปืนจึงยิงอีก ๒ นัด แต่กระสุนปืนก็ทำอะไรนายฉลองไม่ได้เช่นเคย มือปืนที่ซุ่มยิงจึงวิ่งเข้าหานายฉลองแล้วใช้ด้ามปืนตีท้ายทอยนายฉลอง ที่ยืนงงอยู่กับที่ถึงกับสลบเหมือดแล้วมือปืนจึงหนีไป กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นจึงมีคนมาพบจึงพยุงนายฉลองกลับบ้าน ปรากฏว่านายฉลองโดนยิงลำตัวถึง ๓ นัด แต่กระสุนไม่เข้าเป็นเพียง “รอยช้ำแดง” เท่านั้นนายฉลองจึงเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะ [/SIZE][FONT=MS Sans Serif][SIZE=2][COLOR=#000000]พระเครื่องหลวงพ่อคลิ้ง[/COLOR][/SIZE][/FONT][SIZE=2]“เหรียญพ่อท่านคลิ้งหลัง ภปร” ที่ใส่ตลับสเตนเลสแขวนคอไว้เพียงเหรียญเดียวช่วยไว้....[/SIZE][COLOR=#000000]'แฉ่ง บางกระเบา'[/COLOR]
    [FONT=MS Sans Serif] [B]พ่อท่านคลิ้ง [/B]พระอริยสงฆ์แห่งแดนทักษิณอีกรูปหนึ่ง นาม[B]พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ[/B] แห่งวัดถลุงทอง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ตลอดช่วงชีวิตในกาสาวพัสตร์ 86 ปีของท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อผู้ไปกราบนมัสการท่าน กล่าวในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B]นั้น ในสมัยที่พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อชาวอำเภอร่อนพิบูลย์ไปกราบนมัสการท่านถึงวัดสวนขัน ท่านมักกล่าวว่า [B]"ทีหลังไม่ต้องมาไกลถึงนี้หรอก ไปหาท่านคลิ้งนั้นแหละ ท่านคลิ้งให้พรดีเหมือนฉัน"[/B][/FONT]
    [SIZE=2]เหรียญปั๊มรูปเหมือนหลัง ภปร.[FONT=Tahoma][COLOR=#984806][FONT=Cordia New][B][SIZE=2][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง[/COLOR][/SIZE][/B] [URL="http://www.tumsrivichai.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87"][SIZE=2][COLOR=#000000]พระเครื่อง[/COLOR][/SIZE][/URL][/FONT][/COLOR][/FONT]ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2521 ซึ่งเหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] หลัง ภปร.นี้ เป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปเหมือน[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B]หันข้างครึ่งรูป มีอักษรโดยรอบเหรียญว่า "[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] จันทสิริ อายุครบ 93 ปี วัดถลุงทอง นครศรีธรรมราช พ.ศ.2521" ด้านหลังเป็นพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และอักขระขอมเหรียญ [B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] หลัง ภปร.นับเป็นเหรียญดี พิธีเด่นเหรียญหนึ่งทีเดียว กล่าวคือ เป็นเหรียญที่พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล หรือเสด็จพระองค์ชายใหญ่ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ประดิษฐานที่ด้านหลังเหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B] จึงนับว่าเป็นสิริมงคลอันสูงสุด เหรียญที่มีตราพระปรมาภิไธยย่อในวงการสะสมบูชาพระเครื่องล้วนเป็นที่นิยม ด้วยมีความเกี่ยวเนื่องในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมโลหธาตุมหามงคล แล้วพระราชทานหล่อหลอมรวมกับแผ่นทองลงอักขระเลขยันต์ของ[B]พ่อท่านคลิ้ง [/B]นับร้อย แผ่น และโลหะสัมฤทธิ์เก่าสมัยบ้านเชียง อายุกว่า 4,000 ปี และชิ้นส่วนพระพุทธรูปโบราณสมัยทวารวดี, ลพบุรี, สุโขทัยได้ทำพิธีพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดถลุงทอง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2521 มี[B]พ่อท่านคลิ้ง [/B]เป็นประธานจุดเทียนชัย และนั่งปรก มีพระเกจิอาจารย์ร่วมปลุกเสก คือ พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้มีวัตรปฏิบัติอันดีและเคยก่อเกิดปาฏิหาริย์ระหว่างการปลุกเสกมาหลายครั้ง หลายหน พ่อท่านผอม วัดหญ้าปล้อง อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์รูปนี้มีสมาธิแรงกล้ามาก วิทยาคมเป็นที่เลื่องลือ พ่อท่านหนูจันทร์ วัดพันธเสมา อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์ผู้นิยมอยู่ในป่าช้าเป็นที่พำนัก พระครูกาชาด วัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้มีสมาธิอันสูงส่ง พระครูกาชาด (บุญทอง) วัดดอนศาลา อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ศิษย์สำนักวัดเขาอ้ออันเลื่องชื่อ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา ศิษย์สำนักเขาอ้ออีกรูปหนึ่ง หลวงพ่อบุญรอด วัดประดู่พัฒนาราม จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเกจิอาจารย์รูปนี้มีทหารเป็นศิษย์มากมาย เพราะวัตถุมงคลของท่านเลื่องชื่อ มีวัตรปฏิบัติไม่ฉันเนื้อสัตว์ และไม่รับนิมนต์ไปในงานที่มีการเลี้ยงเหล้า และฆ่าสัตว์ เล่นการพนันนอก จากนั้น ยังมีหลวงพ่อเจิม วัดใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระครูสังข์ วัดดอนตรอ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พระอาจารย์แอบ วัดปากน้ำ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ร่วมปลุกเสก มีขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นเจ้าพิธีฝ่ายฆารวาส ปลุกเสกเหรียญ[B]พ่อท่านคลิ้ง[/B][/SIZE]



    [SIZE=2]สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปกราบไหว้ [B][URL="http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539682&Ntype=5"][B][COLOR=#000000]พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง[/COLOR][/B][/URL][/B] ถ้ามีโอกาสลองแวะเข้าไปกราบไหว้สรีระพระอริยะสงฆ์แดนทักษิณ ดูนะครับเพื่อขอพรและความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว[/SIZE]


    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลเจ้าของบทความอย่างสูงครับ


    พระผงรูปเหมือนพ่อท่านคลิ้ง เลี่ยมพลาสติคกันน้ำอย่างดี



    ให้บูชา 1000 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]


     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    [​IMG]
    ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่

    ถิ่นกำเนิด-ชาติสกุล


    หลวง พ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร เกิดที่บ้านหนองบัวบาน ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๔ บิดาชื่อ พ่อสนธิ์ มารดาชื่อแม่มุก นามสกุล สิมมะลี มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๗ คน เป็นชาย และหญิง ๔ คน ดังนี้

    ๑. นางสาวเสรี สิมมะลี ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๒๕ ปี
    ๒. หลวงพ่อประสิทธิ์ ปญฺญมากโร อายุ ๖๖ ปี ( พ.ศ.๒๕๔๙)
    ๓. นายยสมคิด สิมมะลี ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๓๖ ปี
    ๔. นายสวัสดิ์ สิมมะลี มีชีวิตอยู่ อายุ ๖๒ ปี
    ๕. เด็กหญิงเสาร์ศักดิ์มน สิมมะลี ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๗ ปี
    ๖. นางทองใส คุนุ มีชีวิตอยู่ อายุ ๕๔ ปี
    ๗. นางสาวหนูพวน สิมมะลี ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๒๘ ปี

    ชีวิตในวัยเด็ก

    หลวงพ่อประสิทธิ์ เท่ากับเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว เมื่อมีอายุ ๗ ปี ได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล บ้านหนองบัวบาน ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ สอบไล่ได้ตำแหน่งที่ ๑ หรือ ที่ ๒ เป็นประจำทุกปี ตลอดจนจบชั้นประถมปีที่ ๔ พอจบชั้นประถมแล้ว ครูใหญ่ชื่อ “ปรีชา” ให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมพิทยานุกุล ในตัวจังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อได้ถามบิดาว่า “ จะเรียนดีหรือไม่เรียนดี” และเมื่อบิดาบอกว่ “ทำไร่ทำนาดีกว่า สบายใจดี” หลวงพ่อฯ จึงตัดสินใจช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา
    หลวงพ่อประสิทธิ์ เมื่อเยาว์วัย จึงเป็นแรงสำคัญช่วยงานบิดา มารดา อย่างเต็มความสามารถ ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือชั้นประถม จนเช้าสู่วัยหนุ่มอายุ ๑๙ ปี จึงเกิดความคิดอยากเข้าวัด เนื่องจากวัดป่า
    นิโครธาราม ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อยู่ใกล้บ้าน ท่านได้ทบทวนชีวิตฆราวาส ผ่านมาได้ช่วยบิดามารดามา จนเป็นที่พอใจแล้ว ฐานะทางครอบครัวก็พอดีๆ ไม่รวยและไม่จน และพี่น้องต่างก็โต พอจะช่วยงานของครอบครัว พ่อแม่ได้แล้ว
    หลวงพ่อท่านคิดว่า ได้เกิดมาใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่พอที่ได้อาศัย ท่านมาเกิดในชาตินี้แล้ว จึงคิดมองหา เส้นทางจิต ที่คิด ไม่อยากกลับมาเกิดเป็นหนี้ภพชาติอีกต่อไป โดยเกิดศรัทธาปัญญาในทางพระพุทธศาสนา คิดจะบวชไม่มีกำหนดตลอดชีวิต หวังอยู่ปฏิบัติ ตนเพื่อหลุดพ้น ความเกิดจนถึงอมตะพระนิพพาน

    [​IMG]
    ผู้มักน้อยสมควรแก่สมณะธรรม

    เคย มีบริษัทเคื่องดื่มมึนเมาบริษัทหนึ่งเข้าไปกราบท่านแล้วถวายเช็ค 10,000,000บาท พิมพ์ไม่ผิดครับสิบล้านจริงๆเข้าไปถวายแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เข้าไปถวายเพราะศรัทธาจริงๆ
    แต่พอหลวงพ่อรับเช็คดูยอดเงินท่านก็ยื่นเช็คคืนพร้อม กล่าวเรียบๆว่า “ตอนนี้วัดไม่มีอะไรต้องใช้” และก็ไม่เอาจริงๆ
    หรือ แม้แต่ ท่านพระอาจารย์ติ๊ก ฌานุตโม ขอโอกาศสร้างโบสถ์ถวายท่านขอเพียงหลวงพ่อตกลงที่เหลือท่านพระอาจารย์ติ๊กจะ จัดการเอง ท่านก็ปฏิเสธ ให้เหตุผลเพียงว่า “เสียดายป่า” ใครไปวัดท่านก็จะเห็นเพียงศาลาหลังน้อยที่ถ้าคนไปนั่งแบบเบียดๆก็นั่งได้แค่ร้อยกว่า
    คน ท่านบอก “แค่นี้ก็พอแล้ว”[​IMG]
    เทวดามาใส่บาตร

    เห็น ท่านเงียบๆแต่ถ้าถูกกาลก็มีเรื่องอภินิหารให้ได้ฟังบ้าง ครั้งหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปอยู่ทางภาคใต้ ท่านก็คิดว่าเขตนี้มีแต่ชาวมุสลิมไปบิณฑบาตรคงไม่ได้อะไร แต่ครูบาอาจารย์ท่านก็สั่งไว้ข้อวัตรบิณฑบาตรยังไงก็ต้องทำไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรเว้น
    ท่านก็พิจารณาไปทำข้อวัตรส่วนจะได้อาหารหรือไม่ไม่ใช่หน้าที่ท่าน คนขับรถก็พาท่านไปที่ตลาดในตัวเมือง
    ท่านเล่าว่าพอจะลงจากรถยังไม่ทันปิดประตูรถ ก็ไม่ทราบมีมือจากไหนยื่นมาใส่บาตรท่านเต็มไปหมด
    แวบ เดียวเต็มบาตร ท่านจึงกลับเข้าไปในรถ คนขับจึงถามท่าน ว่าไม่ไปบิณฑบาตรแล้วหรือครับ ท่านก็เปิดบาตรให้ดูว่าเต็มแล้ว คนขับรถก็ยืนยังตรงนั้นไม่มีใคร แล้วใครหละมาใส่บาตรท่าน พอท่านพิจารณาก็ทราบว่า เทวดามาใส่บาตร

    [​IMG]ปี 2545 หลวงพ่อเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ แขนขององค์หลวงพ่อไถลไปกับพื้น หมอโรงพยาบาลลำปางกลัวว่ากระดูกแขนหลวงพ่อจะหักหรือร้าวเลยเอ็กซเรย์ ผลปรากฏว่า
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลและที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อประสิทธิื์ วัดป่าหมู่ใหม่สร้าง 1000 เหรียญ สร้า้งน้อยหายากครับ

    องค์นี้สภาพสวยเดิมๆ

    (ปิดรายการ)
    [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  15. ฺBumnet28

    ฺBumnet28 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +264
    ได้รับพระแล้ว ขอบคุณมากนะครับ :cool:
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    วันนี้จัดส่ง

    EI764907239TH ผาขาว

    ขอบคุณครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    หลวงปู่หลุย วัดถ้ำผาปิง จ.เลย

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    หลวงปู่บุญมา อุดรธานี

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    หลวงปู่สนธิ์ สกลนคร เหรียญกระโดดร่ม

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,466
    ค่าพลัง:
    +21,326
    พระกริ่งหน้ายักษ์รุ่นแรก หลวงพ่อเสริฐ เขมะโก วัดโอภาสี ระยอง

    ให้บูชา 1000 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...