ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ช่วงบ่ายๆ ได้โทร.คุยกับคุณวรารัตน์ จนท.พยาบาลของหอสงฆ์ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เรื่องการมรณภาพของท่านหลวงปู่สอฯ ที่ หอสงฆ์ฯ รพ.ศรีนครินทร์ ว่าท่านมรณภาพกี่โมง แล้วด้วยสาเหตุใด คุณวรารัตน์เลยเล่าให้ฟังว่า ท่านมาหาหมอในสภาพที่แย่มากแล้ว ติดเชื้อในกระแสเลือดมาด้วย สุดที่แพทย์ของ รพ.จะช่วยชีวิตท่านไว้ได้ ท่านเลยมรณภาพด้วยการติดเชื้อข้างต้นในวันที่ 8/11/52 เวลามรณภาพตามที่ระบุจริงคือช่วง 15.04-05 น. แต่ที่สำคัญก็คือคุณวรารัตน์แจ้งว่าเงินทุกบาทที่ใช้ในการรักษาหลวงปู่สอฯ ในครั้งนี้มาจากมูลนิธิหลวงปู่มั่น และมูลนิธิหลวงปู่เทสก์ที่เป็นกองทุนเดียวกันทั้งหมด ไม่ได้เอามาจากที่อื่นเลย นั่นหมายความว่าเงินที่เราบริจาคไปแต่ละเดือน ๆ ละ 5,000.-บาท ได้ถูกใช้ไปในการนี้ด้วย เพราะเราบริจาคให้กองทุนนี้มาราวปีกว่าแล้ว คุณวรารัตน์จึงฝากแจ้งให้ผมบอกให้ผู้บริจาคทุกท่านรับทราบ และอนุโมทนาบุญในกุศลครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้มีส่วนช่วยหลวงปู่สอฯ ด้วย ถึงแม้จะช่วยยื้อชีวิตท่านไม่ได้ก็ตามที ผมจึงนำเรื่องนี้มาให้เราทราบและอนุโมทนาในบุญกุศลนี้ตามที่คุณวรารัตน์แจ้งมาให้ทราบครับ และขอให้พวกเรานึกถึงบุญนี้ให้ดี จิตจะได้มีที่ยึดเหนี่ยว ทุคคติภูมิจะได้ไม่เกิดแก่เราเป็นแน่แท้ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ...

    [​IMG]


    จากภาพเล็กในขณะที่ยังดำรงขันธ์ เล็บมือและส่วนอื่นๆ ในร่างกายของหลวงปู่สอฯ ท่านได้แปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุแล้ว ย่อมหมายถึงผลแห่งการปฏิบัติของท่านเป็นไปโดยประหารกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วในขณะขันธ์ยังไม่แตกดับไป นับเป็นสอุปาทิเสสนิพพานตามบทนิพพานปรมัตถ์ในอภิธรรมสูตรโดยแท้ นับเป็นวาสนาอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้บริจาคทานมัยเพื่อภิกษุสงฆ์อาพาธที่ผ่านกองทุนทั้งสอง โดยเฉพาะจากคำยืนยันของคุณวรารัตน์ข้างต้นนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2009
  2. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309

    อนุโมทนา กราบๆๆ ครับผม
     
  3. ฟ้าใสใส

    ฟ้าใสใส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +324
    มีศรัทธา ปาฏิหาริย์จึงเกิด คนเราทุกวันนี้หวังปาฏิหาริย์อย่างเดียว องค์นี้มีศรัทธาจึงได้มา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010796.JPG
      P1010796.JPG
      ขนาดไฟล์:
      257.3 KB
      เปิดดู:
      155
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เทศนาหลวงตามหาบัว เรื่อง พระอรหันต์มีธรรมซักฟอกกระดูกให้แปรเป็นอัฐิธาตุใด้<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->

    [​IMG]

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
    เจดีย์บรรจุพระธาตุพระอรหันต์



    ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ นี้มีน้อยเมื่อไรปัจจุบันนี้ เวลาท่าน มรณภาพลงไปแล้ว อัฐของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ มีเยอะ เก็บสงวนเอาไว้บูชา ถึงกาลเวลาแล้วจะอาราธนาท่านไปรวมองค์อยู่ที่วัดอโศการาม ให้พี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราได้กราบไหว้บูชาสดๆ ร้อนๆ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่มารวมอยู่ที่วัดอโศการาม เราจึงได้อุตส่าห์พยายาม งานนี้ให้ก้าวเดินตลอด เราบอก ไม่ให้มีเรื่องหยุดชะงักเรื่องการเงินการทอง เราจะเทิดทูนท่านเต็มหัวใจ เราว่างั้น เราอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษได้ปรากฏในท่ามกลางแห่งกรุงสยามของเรา คือวัดอโศการาม ด้วยพระธาตุของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ มาประดิษฐานอยู่ที่นั่น


    องค์หนึ่งที่ไปมรณภาพอยู่เมืองกาญจน์ (ชื่ออาจารย์เสถียรครับ) เออ พระเสถียรที่อยู่ติดต่อกับพม่า เมืองกาญจน์นะ นี่ท่านสั่งไว้เลย เห็นไหมล่ะ ความแน่ใจของท่าน ก่อนที่ท่านจะตายท่านสั่งไว้เรียบร้อยเลย อัฐิของท่านจะเป็นพระธาตุแน่นอน บอกไว้เลย แล้วก็เป็นพระธาตุ แล้วเป็นพระธาตุมีแปลกๆ ไหม (เป็นครับ ใสเป็นกระจกเลยครับ) ก็อย่างนั้นแหละ เราสืบทราบและสืบเสาะมานี้ ท่านอยู่อุดรนะฟังว่า แล้วท่านไปยังไงๆ จึงไปอยู่ที่เมืองกาญจน์ (ธุดงค์ไปแหละครับ) แต่ครั้นรวมแล้วก็ไม่พ้นที่อยู่ของท่านมีแต่เทปเรา อย่างนั้นนะ เทปเราทั้งนั้น มีตั้งแต่เทปหม้อเล็กหม้อจิ๋ว อย่างนั้นละท่านปฏิบัติ ท่านสั่งเสียไว้เลยว่าเวลาท่านตาย สั่งเสียเกี่ยวกับร่างกายของท่าน เวลาท่านตายแล้วอัฐิของท่านจะเป็นพระธาตุ ดูว่าเป็นแก้วเป็นอะไรก็มี นี่องค์หนึ่ง


    คือบรรดาพระท่านที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วนั้น เราจะพยายามหามา อาราธนาท่านมารวมอยู่ที่วัดอโศการามเรา ให้เป็นจุดศูนย์กลาง ภาคกลางด้วย ท่าม กลางแห่งประเทศไทยด้วย บรรจุพระธาตุท่านไว้ที่นั่นเลย พระธาตุนี่มีช้ามีเร็วต่างกัน องค์ใดที่ท่านปฏิบัติรู้ธรรมแบบขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วแล้วนิพพานไปเสีย อย่างนี้อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุช้า องค์ที่บำเพ็ญไปๆ ตั้งแต่สมาธิ ปัญญา เรื่อยไปอย่างเชื่องช้า ไปอย่างสม่ำเสมอ พอท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เร็วๆ


    ความช้าหรือเร็วของพระธาตุขึ้นอยู่กับใจที่บริสุทธิ์ช้าเร็วเท่าไร ถ้าใจบริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่นาน พอท่านมรณภาพไป อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุอย่างเร็ว คือท่านครองขันธ์อยู่นาน การครองขันธ์ของท่านนั้น จิตของท่านที่บริสุทธิ์แล้วจะซักฟอกธาตุขันธ์ของท่านเอง เป็นเอง ซักฟอกอยู่ในนั้นๆ ในตัว ยิ่งเวลาท่านเข้าพักสมาธิสมาบัติของท่าน เช่นภาวนานี่ อันนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ กระแสของจิตอยู่นี้หมด จิตดวงนี้ฟอกตลอด ซักฟอกตลอด ถ้าผู้ครองขันธ์อยู่นานนี้เป็นอย่างรวดเร็ว ถ้าบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วแล้วก็นิพพานไปเสียรวดเร็วเหมือนกัน อันนี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้าๆ เรื่องเป็น-เป็น หากช้าหรือเร็วต่างกัน


    จิตที่บริสุทธิ์อยู่ในขันธ์นี่เป็นหลักธรรมชาตินะ จิตที่บริสุทธิ์เป็นพื้นฐานการซักฟอกธาตุขันธ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจิต โดยหลักธรรมชาติ ก็เป็นหลักธรรมชาติฟอกอยู่ในตัวนั้นแหละ ฟอกอยู่ในตัว เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนานี้ก็ยิ่งฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ซักฟอกอยู่ในนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นอัฐิของท่านกับอัฐิของคนเราทั่วไปจึงต่างกัน ต่างกันที่จิตบริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์นี้ซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปตามส่วน ของธาตุซึ่งเป็นด้านวัตถุ ต่างกันอย่างนี้ เรื่องธรรมเป็นอกาลิโก เป็นพื้นฐานตลอดเวลาที่จะรับ สำหรับภาชนะได้แก่จิตใจของผู้ปฏิบัติใคร่อรรถใคร่ธรรม นี้เป็นภาชนะที่จะรับรองธรรมอยู่ตลอดเวลา ธรรมนี้มีมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัปกี่กัลป์มีมาดั้งเดิม ภาชนะคือจิตแต่ละดวงๆ จะเข้ารับรองธรรมอันนี้ได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับอำนาจหรือวาสนาบุญญาภิสมภารของผู้บำเพ็ญ เมื่อเข้าถึงขีดสุดแล้วก็เป็นธรรมธาตุด้วยกัน ธรรมชาตินั้นเรียกว่าธรรมธาตุ หรือนิพพาน เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสแล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่ รับผิดชอบธาตุขันธ์ซึ่งเป็นส่วนสมมุติอยู่เท่านั้น

    ธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอ พูดนี้มันอดไม่ได้นะเพราะอำนาจแห่งความเมตตากับพี่น้องทั้งหลายไม่ใช่อะไร ใครอย่ามาคิดนะว่าหลวงตาพูดมีเจตนาโอ้อวด เรียกว่าเม็ดหินเม็ดทรายไม่มี มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นตลอดเลยนะ วิ่งรถไปตามทางเห็นเขาขายของอยู่ตามทาง จอดรถให้ถามดู ขายมีอะไรบ้าง หยิบเอาสักชิ้นหนึ่งสองชิ้นแล้วให้เงินเขา จะให้เงินจำนวนเท่าไรก็ให้แล้วไป เท่านั้นละ มันเป็นอย่างนั้นอยู่ในจิตนี้ ธรรมชาตินี้มันจ้าครอบโลกธาตุอยู่แล้ว พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้นะ แล้วอันนี้เป็นกระแสของเมตตาไปด้วยกันด้วย เลยอ่อนนิ่มไปหมด

    จึงว่ากิริยาของจิตที่บริสุทธิ์แล้วออกมาทางธาตุทางขันธ์อะไร ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่เป็น เอาไม้หวดหมาก็ไม่เป็น ทำไมจึงไม่เป็น ไม่เห็นไอ้ปุ๊กกี้มันร้องนี่นะ ไอ้ปุ๊กกี้กับไอ้หมี ไอ้ปุ๊กกี้มันตัวสำคัญมันมักจะรังแกไอ้หมี ไอ้หมีไม่ถือสีถือสาถือเป็นเด็ก ทีนี้อยู่ๆ ไปแว้ดอะไรมัน มันก็โว้กว้ากขึ้นตรงนั้นซีไอ้หมีมันเจ็บ เอาไม้เรียวเราก็บอก เรียกผู้กำกับเอาไม้เรียวมา ไปจับไอ้ปุ๊กกี้มันรังแกเขา มันวิ่งๆ ไปเอามาให้ได้ อุ้มมาเลย เอาวางตรงนี้ ไม้เรียวหวดใส่เสียเปรี้ยะๆ เจ็บอยู่นะ ใส่เปรี๊ยะๆ นิ่งเลย จับไอ้หมีมา ฟาดไอ้หมีสามหน เพราะไอ้หมีมันบันดลบันดาลให้มันโมโห ไอ้นี่เป็นตัวยุ่ง เอาเสียสี่หน ตีแล้วเงียบเลย

    เราพูดเรื่องอะไรมาหาหมาลืมแล้วนะ (ความเมตตาครับ) เมตตาหมาก็ยังหวดได้ มันก็เจ็บ คือเจ็บเพื่อมันจะเข็ดหลาบ ตั้งแต่นั้นมาไม่มีอะไรกันนะ พอเฮ่อนี้วิ่งหนีเลย เขารู้แล้วว่าไม้เรียวจะมา อย่างนั้นแหละสอนหมา มันพูดอะไรมาหาหมา (ไม้เรียวก็เมตตาค่ะ) ไม้เรียวก็เมตตามันมีได้เหมือนกัน อย่างหวดไอ้ปุ๊กกี้กับไอ้หมีเห็นต่อหน้าต่อตา หวดก็หวดด้วยความเมตตา หวดให้มันเข็ด อย่ามาทำกันอย่างนี้ใช้ไม่ได้ แล้วมันเข็ดนะไม่อะไรกัน พอเห่อๆ นี้วิ่งเลย เขารู้ผิด พอเห่อนี้เขารู้ทันทีวิ่งหนี เขาเข็ดเข้าใจไหม หมายังเข็ด คนไม่เข็ด หวดเท่าไรมันก็ไม่เข็ดพวกนี้นะ ไม่ทราบอะไร ถ้าอย่างนั้นก็สู้ไอ้หมีกับไอ้ปุ๊กกี้เราไม่ได้ พวกอยู่ในศาลานี้ เอายอมรับหรือไม่ยอมรับ ตรงไหนที่ยอมรับต้องยอมรับเขาซี ตรงไหนเข็ดก็บอกว่าเข็ด ถ้ายังไม่ยอมรับแล้วแสดงว่าสู้หมาไม่ได้

    ขอให้พี่น้องทั้งหลายเราที่เป็นชาวพุทธ ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวเข้าสู่อรรถสู่ธรรมนะ บ้านเมืองเราจะมีความสงบร่มเย็น ถ้าปล่อยให้กิเลสออกหน้าอยู่นี้จะเป็นไฟกันทั่วโลกเลย ไม่มีทางที่กิเลสจะพาโลกให้มีความสงบร่มเย็น มีแต่ธรรมเท่านั้น ธรรมลงไปตรงไหนเหมือนน้ำดับไฟ *********ลงไปตรงไหนเปลวมันยุบลงๆ เลยละ กิเลสตัณหาเป็นไฟอยู่ภายในจิตใจ แดงโร่อยู่นั้น บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ มันอยากหัวเราะนะพูดจริงๆ ก็หัวใจนี้มันดูอยู่หมดนี่จะว่าไง มันเจริญที่ไหน

    ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นไฟกองใหญ่อยู่นั้น พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ละ ใหญ่เท่าไร ปรากฏชื่อลืมนามที่ยกยอกันก็มีแต่กิเลสยกยอกัน ขี้ยกยอขี้ว่าอย่างนั้นเถอะ มันฟังไม่ได้ สายตาของธรรมดูเข้าไปมันรู้หมดนี่ ไม่อย่างนั้นศาสดาองค์เอกจะมีในโลกได้เหรอ ถ้าไม่เหนือโลกมีได้อย่างไร ต้องเหนือโลกทุกอย่าง มองเห็นหมด จึงว่า โลกวิทู ละซิ เพียงตัวเท่าหนูมันก็รู้จะว่าไง ไม่ใช่คุย เราพูดตามความจริงที่มีอยู่ในหัวใจเรา นอกจากจะนำมาพูดบ้างไม่พูดบ้าง อะไรที่พอจะเป็นประโยชน์บ้างก็นำมาพูด อะไรจะไม่เป็นประโยชน์ก็อยู่ในลิ้นชัก ไม่กดไม่ดันที่จะอยากพูดอยากคุย อย่างนั้นไม่มี

    ถ้าเหตุการณ์ที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อย มันจะออกของมันเอง พอออกแล้วดับปุ๊บเงียบเลย ไม่มีอะไรเหลือ ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ จึงเป็นตัวอย่างของโลกได้ จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้หันหน้าเข้าสู่ธรรม เฉพาะอย่างยิ่งที่จะเป็นประจักษ์พยานของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงคือ จิตตภาวนา ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยนะ ให้ภาวนา ควรจะได้วันละ ๑๐นาที ใน ๒๔ ชั่วโมงขอ ๑๐ นาทีมาบำเพ็ญเพื่อจิตใจจะไม่ได้เชียวเหรอ บังคับเจ้าของบ้างซิ ๒๔ ชั่วโมง ขอเพียง ๑๐ นาที บำเพ็ญจิตในเวลาภาวนา ระงับจิต

    จิตนี่มันยุ่งตลอดเป็นไฟตลอดนะ พอภาวนาเข้าไปนี้จะค่อยระงับลงๆ ระงับอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นฟืนเป็นไฟระงับลงๆ ด้วยธรรมคือจิตตภาวนา แล้วจิตใจจะเย็นขึ้นๆ ระงับมากเท่าไรจิตใจยิ่งเย็นสง่าผ่าเผยขึ้น แสดงฤทธิ์เดชให้เห็น ดีไม่ดีเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในเจ้าของ อุทานในเจ้าของเองนะ มันเป็นขึ้นได้ในจิต ถ้าธรรมเข้าแทรกแล้วเป็นอย่างนั้น จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายภาวนา นี้พูดออกมาจากหัวใจนะ ไม่ได้มาพูดปาวๆ หลอกท่านทั้งหลาย ถอดออกมาจากหัวใจเท่าที่ถอดออกมาได้เท่านั้นเอง ที่มากกว่านั้นไม่พูด

    นี่มันจวนจะตายแล้วยิ่งเป็นห่วงเป็นใยมาก ใครจะว่าอะไรไม่สนใจ อำนาจแห่งความเมตตานี้ครอบหมดเลย มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่อะไรจะมาต้านทานได้ไม่มี สมควรจะพูดหนักเบามากน้อยเพียงไรจะออกเองทันทีๆ เลย โถ จิตดวงนี้ถึงขั้นที่วิเศษแล้วเป็นอย่างนั้นนะ อุทานนั่นละ คิดดูตั้งแต่ไปภาวนาเดือนกุมภาก็ยังเคยพูดให้ฟังแล้ว เดินจงกรมอยู่ตอนจวนสว่าง ตีนเขา ทางจงกรมมันยาวเดินจงกรม จิตนี่มันสว่างไสว ความว่างของมันก็ว่างเต็มที่ของมัน แต่ยังไม่สิ้นนะ มันว่างอยู่ในขั้นนี้ต่างหาก

    จนออกอุทานในใจ โอ้โห จิตของเราทำไมจึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา มันเป็นในใจนะ มองดูที่ไหนมันสว่างจ้าครอบไปหมดเลย ความอัศจรรย์ก็อยู่ในจิต ความสว่างไสวก็อยู่ในจิต ทำไมจิตของเราจึงได้อัศจรรย์เอามากนักหนานา นี่สายตาของธรรมท่านเห็นแล้วนะ มันยังหลงอยู่นะนี่ เพราะฉะนั้นท่านจึงเตือนขึ้นมา เตือนขึ้นมาในเวลานั้น พออันนี้สงบลงไปปั๊บ ธรรมนี้ผุดขึ้นมาเป็นคำๆ เลย นี่ละธรรมเกิดจากใจ ธรรมเกิดไม่ใช่กิเลสเกิด นี่ก็อัศจรรย์ตัวเองนะ เรียกว่ากิเลสเกิดนะนั่น

    ธรรมชาตินั้นก็ดีตามชั้นของจิตของธรรมนะ แต่จิตจะไปชมเชยว่า แหม จิตของเราอัศจรรย์ มันหลงแล้วนะนั่น เพราะฉะนั้นพระธรรมท่านจึงเตือนจุดนี้ละ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นท่านบอกขึ้นมาเลย จุดต่อมก็คือจุดแห่งความสว่างไสวนั้นแหละ นั่นละผู้รู้อยู่ตรงนั้น อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ท่านเตือนขึ้นมาเรายังจับไม่ได้นะ จนกระทั่งกลับมาเดือนหก กลับมาเขาลูกนั้นอีกที่จะมาม้วนเสื่อธรรมประเภทนี้ กลับมาคราวหลังอันนี้จึงขาดสะบั้นลงไป จ้าขึ้นมาคราวนี้ ความอัศจรรย์ตัวเองในพักก่อนในเดือนสามนั่น กับความอัศจรรย์ตัวเองในพักสุดท้ายเดือนหกนี่ มองดูแล้วมันตำหนิความสว่างไสวของตนในขั้นต้นนั่นน่ะ ว่าเป็นเหมือนกองขี้ควาย ฟังซิน่ะ

    เมื่อความสว่างอันนี้ขึ้นทับแล้วอันนั้นเหมือนกองขี้ควาย ที่เราว่าอัศจรรย์นั่นละ เป็นเหมือนกองขี้ควาย อันนี้เหนือขนาดไหน นี้เป็นธรรมชาติแท้ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์สุดส่วนทุกอย่างแล้วครอบอันนี้ อันนั้นจึงกลายเป็นกองขี้ควายไป นี่ถึงเวลามันอัศจรรย์มันอัศจรรย์เหมือนกันนะจิตนี้นะ ถึงขั้นมันอัศจรรย์-อัศจรรย์เหมือนกัน พอเลยนั้นไปแล้วทีนี้พูดไม่ได้เลย เป็นอยู่ในจิตล้วนๆ ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอิริยาบถใดยืนเดินนั่งนอน ธรรมชาตินั้นไม่มีอิริยาบถ เป็นธรรมธาตุ ท่านว่านิพพานเที่ยง ก็คืออันนั้นเอง จะเป็นอะไร

    ธรรมธาตุก็คืออันนั้นเอง ความบริสุทธิ์สุดส่วนคืออันนั้น ไม่มีว่ายืนเดินนั่งนอน อิริยาบถสี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ไม่มีธรรมชาตินี้ คงเส้นคงวาหนาแน่นจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่หัวใจ ไม่ต้องไปถามใครรู้เอง พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก ไปทูลถามพระองค์หาอะไร นี้เป็นธรรมสุดยอดแล้วสนฺทิฏฺฐิโก ขอให้ปฏิบัติไปซี คำพูดเช่นนี้เราก็ไม่เคยมาพูด ก็มันไม่รู้พูดได้อย่างไร เมื่อเวลารู้แล้วปิดไม่อยู่ อย่างที่เทศน์สอนโลกอยู่เวลานี้ไม่เคยสะทกสะท้านกับผู้ใดว่า จะมาคัดค้านต้านทานว่าเทศน์อย่างนั้นผิดไปๆ อย่างมากก็มีแต่บอกว่า เอาๆ ถามมา อย่างที่เขายกโทษพวกเปรตพวกผีปากอมขี้ มันมายกโทษว่าหลวงตาบัวอวดอุตริมนุสธรรม จะปรับหลวงตาบัวเป็นปาราชิก เราก็บอกสั้นๆ เลยว่าให้ยกโคตรมา ให้ยกโคตรมาฟ้องเรา เราบอก จนกระทั่งป่านนี้มันตายหมดทั้งโคตรแล้วก็ไม่รู้นะ

    เราเฉยเราไม่เคยสนใจ มันเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรมาเห่าว้อ ๆปากก็ปากอมขี้เสียด้วย ปากพระพุทธเจ้าปากสาวกทั้งหลายท่านอมธรรมนี่นะ ท่านเอามาพูดนี่ท่านปากอมธรรม อันนี้ปากอมขี้มันเข้ากันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงพูด ถ้าจะเอาโลกมาเป็นประมาณ โลกมันก็เหมือนกองมูตรกองคูถเอาประมาณได้อย่างไร ธรรมเหนือทุกอย่างแล้ว เอาธรรมออกละซิที่จะเป็นประโยชน์แก่โลก เอามูตรเอาคูถที่ไหนมันก็มีเหมือนกัน อดอยากอะไรมูตรคูถเต็มหัวใจ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มูตรคูถ

    ธรรมพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ นะ ขอให้ฟื้นขึ้นมาที่หัวใจ อย่าไปฟื้นที่สมัยนั้นสมัยนี้ อย่าเอามาใส่สมัยนั้นสมัยนี้ มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้นแหละ สมัยมีฤทธิ์มีเดชอะไร กิเลสต่างหากที่มีฤทธิ์มีเดชทำลายสัตว์โลก และธรรมต่างหากที่มีฤทธิ์มีเดชทำลายกิเลสให้ม้วนเสื่อลงจากจิตใจ มีธรรมเท่านั้น เอาธรรมให้ดี ทางด้านจิตตภาวนานี่สำคัญมาก จะเป็นสักขีพยานได้อย่างจังๆ ทีเดียว เวลาปรากฏขึ้นนี้สดๆ ร้อนๆ นะ เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าๆ ยิ่งธรรมะละเอียดเข้าไปเท่าไรนี้เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมถึงธรรมขั้นสูงเข้าไปเท่าไรอยู่ไม่ได้เลย ถึงธรรมขั้นสูงยังไงก็ไม่อยู่ มีแต่จะไปท่าเดียวๆ นั่นเรียกว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราเรียนหนังสือ ไปถึงนิพพาน เอ้อ นิพพานมีหรือไม่มีน้า นั่นฟังซิน่ะ ส่วนใหญ่เชื่อนิพพานว่ามี แต่ส่วนย่อยมันแบ่งกิน ว่านิพพานมีหรือไม่มีนา บาปบุญมีหรือไม่มี นรกสวรรค์มีหรือไม่มี ส่วนใหญ่เชื่อ แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกันละซิ บาปบุญนี้มีจริงหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่มันเชื่อแล้วนะ ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน เห็นไหมล่ะ มันมีมากมีน้อยแบ่งกิน จนกระทั่งถึงนิพพาน อ่านไปถึงนิพพาน เอ๊ นิพพานมีหรือไม่มีนะ ทั้งๆ ที่จิตใจมุ่งต่อนิพพาน ส่วนใหญ่มุ่งอยู่แล้ว แต่สิ่งปลีกย่อยที่มันไปแบ่งกินนี้ นิพพานมีหรือไม่มีหนา

    เวลาก้าวเข้าสู่ธรรมขั้นสูงๆ ที่จะไปโดยถ่ายเดียวแล้ว นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม มีหรือไม่มีก็ตามไม่สนใจ อยู่ชั่วเอื้อมๆ ลืมหลับลืมนอน ทุกสิ่งทุกอย่างลืมไปหมด ดีดดิ้นที่จะออกโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่ละธรรมเมื่อเข้าสู่ใจแล้วอยู่ไม่ได้นะ เพราะเหตุไร เพราะกิเลสเป็นไฟเผาโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีใครรู้ นอนอยู่ท่ามกลางของงูจงอางของงูสามเหลี่ยม งูเห่า นอนได้สบายๆ พวกเรานี้พวกนอนอยู่ในท่ามกลางสามเหลี่ยม จงอาง งูเห่านั่นแหละ มันนอนสบายพวกนี้ บรรดาสาวกตั้งแต่พระโสดาขึ้นไป สกิทาคา อนาคา นี้โดดออกจากนี้แหละ ออกจากสามเหลี่ยม จงอาง คือเห็นภัยมากแล้ว โดดออกๆ นิพพานเลยกลายเป็นอยู่ชั่วเอื้อมๆ ดีดผึงๆ เลย

    พวกนี้พวกเห็นภัยในจงอาง สามเหลี่ยมแล้ว คือกิเลสทั้งหลายเท่ากับจงอาง สามเหลี่ยมหรืองูเห่านะ ถ้าเทียบว่างูเป็นอย่างนั้น ทีนี้ท่านที่เห็นภัยแล้วอย่างไรก็ได้ดีดโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นความเพียรจึงไม่มีวันมีคืน จนฝ่าเท้าแตก อย่างพระโสณะ ท่านเดินกรมจนฝ่าเท้าแตก ไม่แตกยังไง ถ้าได้ลงทางจงกรมเมื่อไรลืมเลย ลืมเวล่ำเวลา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลืม เรื่องหิวเรื่องโหยเรื่องน้ำเรื่องท่าไม่มี มีแต่ฟัดกันเหมือนนักมวยเขาเข้าวงในกัน เขาไปกำหนดเวล่ำเวลาอะไรเวลาได้เข้าวงใน

    อันนี้จิตกับกิเลสกับธรรมฟัดกันเข้าวงในแล้วเป็นแบบนั้นละ ไม่รู้จักเป็นจักตายมีแต่จะให้พ้นๆ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ตลอด จนกระทั่งพุ่งไปเสียเลย นั่นหายห่วงที่นี่ หมดภัยทุกอย่าง ที่อยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นภัยทั้งนั้นๆ ในจิตดวงบริสุทธิ์ถือเป็นภัยทั้งนั้น ผางออกมาแล้วเท่านั้นพอ เข้าใจไหมเท่านั้นพอ ถึงนั้นแล้วพอ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเอื้อมอยู่กับหัวใจเรานะ เอื้อมฉุดลาก ให้พากันเห็นใจพระพุทธเจ้าที่มีพระเมตตามากนะ ให้พยายามบึกบึนทุกคนๆ

    อย่าอยู่เฉยๆ นอนเฉยๆ งูเห่างูจงอางนี้มันจะเอาเมื่อไรได้ทั้งนั้นละกับเรา เพราะอยู่ในทรวงอกของมันแล้วมันจะสับเมื่อไรก็ได้ เราอยู่ในทรวงอกของกิเลส มันสับเมื่อไรได้ทั้งนั้น สับให้ขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอ สับได้วันยังค่ำ ไปที่ไหนเห็นแต่พวกนี้สับหัวคน เดินไปไหนเห็นแต่พวกสามเหลี่ยม จงอาง งูเห่า สับอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็ให้มันสับไปเรื่อย เลือด*********ก็ให้สับไปเรื่อย เพลินนอนเพลินอยู่เพลินกิน เพลินขี้เกียจขี้คร้าน เรียกว่าให้มันสับไปเรื่อยพวกเรา จำเอานะทุกคน

    เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เราพูดปัจจุบันนี้พูดชัดๆ เลย สดๆ ร้อนๆ ที่เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ ธรรมแบบเดียวกันกับธรรมพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ เป็นจิตที่บริสุทธิ์แบบเดียวกัน นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์แล้วเสมอกันหมด เป็นความเสมอภาคกันความบริสุทธิ์ อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร มากน้อยต่างกัน นิสัยวาสนาเป็นเครื่องประดับ แต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นเหมือนกันหมดเลย นี้มันก็เป็น จะว่าคุยหรือไม่คุยก็ตามมันเป็น ยิ่งจวนจะตายแล้วยิ่งเป็นห่วงมากนะ จึงสอนแล้วสอนเล่า ย้ำอยู่ตลอดเวลา อย่าพากันนอนหลับทับสิทธิ์เจ้าของ สิทธิ์เป็นมนุษย์ควรแก่พุทธศาสนาโดยตรง อย่านอนหลับทับสิทธิ์ให้กิเลสตัณหาความขี้เกียจขี้คร้านมันเหยียบขี้รดหัว อยู่ตลอดเวลา เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นพอ
    สาธุอนุโมทามิ


    ********************************************

    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตาพระมหาบัว ได้ที่

    www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

    FM 103.25 MHz
     
  5. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    กราบหลวงปู่สอด้วยเศียรเกล้าครับ ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินทาง กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม กราบขอขมาหลวงปู่มา ณ ที่นี้ครับ

     
  6. thaiput

    thaiput เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    9,528
    ค่าพลัง:
    +27,656
    อนุโมทนาด้วยทั้งหมดทั้งมวลครับ สาธุๆๆๆๆ

    thaiput007@hotmail.com
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานผมลืมแจ้ง ขอแจ้งวันนี้นะครับ

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2552 คุณ นายสติ (คุณปุ๊) ร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง จำนวน 300 บาท

    และ คุณพันวฤทธิ์ ร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง จำนวน 100 บาท โดยได้มอบเงินร่วมทำบุญให้ผมในวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2552

    และผมได้โอนเงินเข้าบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ รวมจำนวน 400 บาทเมื่อวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2552 เรียบร้อยแล้ว

    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/เธžเธฃ...นˆเธˆเธฐเน„เธ”เน‰.22445/page-1740#post2595891
     
  8. มีโชค

    มีโชค Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +65
    ได้โอนเงิน 200 บาท เข้า ศ.ทุนนิธีสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ. ประถม เพื่อเป็นสังฆทานถวายแด่คณะสงฆ์อาพาธ วันที่ 11พ.ย. 52
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เคล็ดลับอายุยืนจากพระไตรปิฎก...

    [​IMG]

    [​IMG] เคล็ดลับอายุยืนจากพระไตรปิฎก [​IMG]

    แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน
    แต่ถ้าลองตรองให้ดี สุดท้ายเราจะพบความลับที่น่าสนใจว่า
    “สิ่งที่คิดว่าใหม่ทั้งหลาย แท้จริงเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าคิดมาแล้วทั้งสิ้น”

    อาจกล่าว ได้ว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นใหม่ในโลกนี้
    ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เคยกำเนิดเกิดขึ้นมาก่อนแล้วทั้งนั้น
    ชั่วแต่ว่าเราจะนำภูมิปัญญาและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์
    มาประยุกต์ใช้ได้มากเพียงน้อยเพียงใดเท่านั้น

    แม้แต่ประเด็นทันสมัยอย่าง การชะลอความชรา
    ที่ผู้คนในปัจจุบันกำลังให้ความสนใจ
    และนักวิทยาศาสตร์ได้ทุ่มเททุนทรัพย์มากมายเพื่อค้นคว้าวิจัย
    ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แนะวิธีไว้ให้ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วทั้งสิ้น

    ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล
    ในเรื่องธรรมะที่ทำให้อายุยืนว่า

    “คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา รู้จักประมาณในการบริโภค
    ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า ครองอายุอยู่ได้นาน”


    พระ เจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วไม่รอช้า มีรับสั่งให้มหาดเล็กท่องจำพุทธโอวาทนี้ได้
    และคอยกล่าวขึ้นมาขณะที่พระองค์เสวยทุกมื้อ
    ไม่ช้าไม่นานผลดีก็บังเกิดแก่พระองค์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงจนหาผู้ใดเทียบได้ยาก

    นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ด้วยว่า
    “อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔ มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้
    หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑ กัลป์
    (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้”


    หนังสือ สูตรลับ Anti-aging จากพระไตรปิฎก ของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช
    แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์อายุรวัฒน์
    สรุปไว้ว่า อิทธิบาท 4 น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องอายุยืนโดยตรงเลยทีเดียว
    เพราะเมื่อพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา
    ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นสุขดังนี้


    · ฉันทะ
    ทำให้มีความพึงพอใจในการกระทำต่างๆ
    คนเราถ้าชอบใจ พอใจสิ่งใดแล้ว ก็ย่อมจะรู้สึกว่าการนั้นไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
    ทำงานไปก็เหมือนได้พักผ่อนสบายใจ

    · วิริยะ
    คือ ความเพียร
    ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกที่ควร

    · จิตตะ
    คือ ความจดจ่อใส่ใจ ซึ่งจะทำให้เกิดสมาธิและความสงบขึ้น
    ชีวิตจึงไม่ร้อนรน ว้าวุ่นไปตามกระแสของโลก

    · วิมังสา
    คือ การใคร่ครวญ ให้เหตุผลและสติปัญญานำทางชีวิต

    จะเห็นได้ว่าธรรมทั้งสี่ประการนี้
    นอกจากจะทำให้อายุยืนแล้วยังเป็นหลักที่จะนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตด้วย


    1. สัปปายการี
    ให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สบายและเกี้อกูลแก่สุขภาพ
    เช่น ทำงานในที่อากาศปลอดโปร่ง ไม่เครียดกับงาน

    2. สัปปาเย มัตตัญญู
    ต้องรู้จักพอดีในสิ่งที่สบายนั้นด้วย
    ไม่ใช่ว่าสบายมากจนกลายเป็นนอนหงายขี้เกียจอยู่ทั้งวัน

    3. ปริณตโภชี
    รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
    เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว ผักผลไม้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ย่อยยาก เช่น เนื้อแดง

    4. กาลจารี
    ใช้ชีวิตให้เหมาะสมในเรื่องเวลา ไ
    ม่เคร่งเครียดบังคับตัวเองมากเกินไป รู้จักจัดเวลาให้พอดี ไม่หักโหมเกินกำลัง

    5. พรหมจารี ถือพรหมจรรย์ตามความเหมาะสม
    รู้จักปล่อยวางบ้าง อย่าเคร่งเครียดเบียดตัวเองจนตกขอบ
    ปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ถือศีลกินเจตามสมควร
    และหมั่นขัดเกลาจิตใจให้กิเลสเบาบางลง

    เมื่อพระให้ศีลให้พรมักจะลงท้ายด้วย “อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง”
    เพราะพรสี่ประการนี้เป็นสมบัติอันประเสริฐ เลิศยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ

    นายแพทย์กฤษดากล่าวว่า ในเรื่องอายุ
    พระท่านไม่ได้หวังให้เรามีอายุยืนนานแต่เพียงอย่างเดียว
    หากแต่ท่านมุ่งหวังให้เรามีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ
    เพื่อให้อายุที่ยืนยาวนี้มีส่วนสร้างปัญญาหาทางพ้นทุกข์ให้แก่ตัว
    ไม่มัวเมากับสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย

    ส่วนวัณโณหรือ ผิวพรรณนั้น มีรากฐานสำคัญมาจากการเป็นผู้มีศีล
    ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หากมีศีลเป็นวัตรประจำใจ ผิวพรรณย่อมดีอยู่เสมอ
    เพราะเมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุกข์ร้อนจะไม่มากล้ำกราย
    เลือดลมจึงเดินสะดวก ทำให้ผิวพรรณผ่องใส

    สำหรับสุขัง การที่บุคคลจะมีสุขได้นั้น จำต้องมีองค์ประกอบหลักๆ
    คือ มีปัจจัยสี่พร้อม รวมทั้งมีสติและปัญญา รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา
    ไม่ปรุงจิตให้ขึ้นลงตามสิ่งที่มากระทบ
    และหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ในทางที่ถูกที่ควร

    ส่วนท้ายสุด พะลัง(พลัง) มีอยู่สองอย่าง คือ กำลังกายและกำลังใจ
    ที่ต้องหมั่นฝึกฝนเตรียมพร้อมไว้รับมือกับความเปลี่ยนแปลง
    ด้วยการหมั่นออกกำลังกายและหมั่นฝึกจิตให้เข้มแข็งอยู่เสมอ

    แม้เราจะพยายามต้านทานความชราไว้เพียงใด
    แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน
    การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งกายและใจ
    จะช่วยให้เราเป็นผู้มีอายุยืนอย่างมีความสุข
    และสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างยาวนานที่สุด

    เคล็ดลับชะลอวัยของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช

    · เลี่ยงอาหารที่อร่อยลิ้นจนเกินไป

    · เลี่ยงของทอดของมัน น้ำตาลและแป้งขาว

    · อย่ากินอาหารแบบเดิมซ้ำๆ จะนำโรคมาให้

    · อย่าเสียดายจนตายด้วยปาก

    · อย่าอยากเหล้ายาและกาแฟจะแก่เร็ว

    · กินให้น้อย พลอยสดใส ไม่มึนหัว


    บทความจากนิตยสารซีเคร็ต

    ที่มา...
    <!-- m -->
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทำดีได้ชั่วฉันใด...

    [​IMG]

    การที่บุคคลทำชั่วได้ดี ทำดีได้ชั่วนั้น
    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าขึ้นอยู่กับ อาสันนกรรม ซึ่งหมายถึง กรรมจวนเจียน
    คือ กรรมที่ทำขณะจะสิ้นใจ และส่วนมากจะเป็นมโนกรรม
    เพราะคนที่กำลังจะตายนั้นสังขารมักไม่อำนวยให้ประกอบวจีกรรมหรือกายกรรม
    อาสันนกรรมจะส่งผลให้บุคคลที่กระทำก่อนกรรมอื่น ๆ
    ถ้าเป็นกรรมดีจะส่งผลให้บุคคลที่ทำกรรมนั้นไปสู่สุคติในนาทีที่ดับจิตลงไป
    เช่น บุคคลหนึ่งทำกรรมชั่วมามาก แต่มีกรรมดีอยู่บ้าง
    ตอนจะตายจิตผ่องใส เพราะนึกถึงกรรมดีที่ตนเคยทำ
    เมื่อจิตผ่องใส สุคติย่อมเป็นที่หมาย ดังพระบาลีว่า
    “ จิตฺเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา – เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ ”
    จิตไม่เศร้าหมอง ก็คือ จิตผ่องใสนั่นเอง
    กรรมที่นำเขาไปเกิดในสุคติเป็นกรรมดี มิใช่กรรมชั่ว
    ในทำนองเดียวกัน บุคคลที่ทำกรรมดีไว้มาก มีกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย
    แต่ตอนตายจิตเศร้าหมองเพราะไปนึกถึงกรรมชั่วที่ตนเคยทำไว้
    เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติย่อมเป็นที่หมาย ดังพระบาลีว่า
    “ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา – เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นอันต้องหวัง ”

    ตัวอย่างของบุคคลที่ทำกรรมดีไว้มาก มีกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย
    เมื่อตายไปแล้ว ไปเกิดในทุคติภูมิก็คือ พระนางมัลลิกา
    มเหสีของพระเจ้าปเสนทิ แห่งแคว้นโกศล
    เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ พระนางเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    และประกอบกรรมดีไว้มาก แต่มีกรรมชั่วอยู่เล็กน้อย
    คือ เคยโกหกพระสวามี เมื่อพระนางจะสิ้นใจ
    แทนที่จะนึกถึงกรรมดีที่ทำไว้มากนั้น
    กลับไปนึกถึงกรรมชั่วคือการโกหกพระเจ้าปเสนทิ จิตจึงเศร้าหมอง
    เมื่อตายขณะที่จิตเศร้าหมอง จึงไปเกิดในนรกอเวจีอยู่ ๗ วัน
    ครั้งหมดอกุศลกรรมแล้ว กุศลกรรมก็มาให้ผล
    พระนางได้จุติจากนรกอเวจีไปอุบัติเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
    (จุติ หมายถึงตาย ส่วนมากใช้กับเทวดา คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า หมายถึงเกิด)

    เมื่อพระนางมัลลิกาสิ้นชีพ พระเจ้าปเสนทิทรงโศกาดูรเป็นอันมาก
    ได้เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกวัน เพื่อทูลถามว่าพระนางมัลลิกามเหสีของพระองค์
    ไปอุบัติที่สวรรค์ชั้นไหน พระพุทธองค์ทรงชวนสนทนาเรื่องอื่นๆ
    ให้ทรงเพลิดเพลินเพื่อให้ลืมเรื่องที่ตั้งพระทัยมาทูลถาม
    การณ์เป็นอยู่อย่างนี้กระทั่ง ๗ วันผ่านไป
    เมื่อพระนางมัลลิกาไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว
    พระพุทธองค์จึงตรัสตอบพระเจ้าปเสนทิว่า พระนางมัลลิกาเป็นคนดี
    บัดนี้พระนางได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
    พระเจ้าปเสนทิได้สดับดังนั้นก็ทรงตบพระชานุเสียงดังฉาดรับสั่งว่า
    “ นั่นยังไงล่ะ ถ้าคนดี ๆ อย่างพระนางมัลลิกาไม่ไปเกิดในสวรรค์ แล้วใครจะไปเกิด ”

    เหตุที่พระพุทธองค์ทรงรอให้เวลาผ่านไป ๗ วันเสียก่อน
    ก็เพื่อจะให้พระเจ้าปเสนทิสบายพระทัย
    เพราะพระองค์กำลังเศร้าโศกที่พระมเหสีจากไป
    ถ้าทรงทราบว่าพระนางไปตกนรกอเวจีก็จะทรงโทมนัสหนักขึ้น
    และจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษอีกต่อไป
    ด้วยทรงเห็นว่า คนทำความดีไยจึงตกนรก
    แต่ถ้าพระพุทธองค์จะตรัสสาเหตุที่พระนางไปตกนรก
    ก็จะเป็นการไม่สมควรเพราะพระเจ้าปเสนทิไม่ทรงทราบว่า
    พระนางมัลลิกาโกหกพระองค์ แต่พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนี้ด้วยพระญาณ
    อีกประการหนึ่งทรงเห็นว่า การนำเรื่องไม่ดีของผู้อื่นมากล่าวนั้น
    ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด จึงทรงรอให้เหตุการณ์วิกฤตนั้นผ่านพ้นไปก่อน

    ในอรรถกถากล่าวไว้ว่า การที่พระนางมัลลิกาไปตกนรกอเวจีนั้นถือเป็นการดี
    เพราะพระนางจะได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับความทุกข์
    และเกิดความเบื่อหน่ายในการที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
    เมื่อพระนางไปอุบัติเป็นเทพบุตร จึงมิได้ประมาทมัวเมาหลงใหลเพลิดเพลิน
    อยู่ในความสุขเหมือนเหล่าเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย
    แต่ท่านได้ปฏิบัติธรรมกระทั่งบรรลุโสดาปัตติมรรค
    โสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบันในที่สุด
    เป็นอันว่าท่านสามารถทำ วิกฤต ให้เป็นโอกาส
    จนสามารถเปลี่ยน ทุกขะ ให้เป็น ทุกขขัย ได้
    เพราะพระโสดาบันนั้นจะเวียนว่ายอยู่ในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติ
    ก็จะบรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ เป็นการตัดขาดจากสังสารวัฏโดยสิ้นเชิง

    สรุปว่า ผู้ที่ตายขณะจิตผ่องใสจะไปเกิดในสุคติ
    ผู้ที่ตายขณะจิตเศร้าหมองจะไปเกิดในทุคติ ดังเช่นพระนางมัลลิกาที่เล่ามา
    ส่วนผู้ที่ตายขณะที่จิตเป็นกลาง ๆ
    คือไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล จะไปเกิดเป็นพวกสัมภเวสี แปลว่า พวกแสวงหาภพ
    (สัมภเวสีอีกความหมายหนึ่งหมายถึงผู้ที่ต้องเกิดอีก
    จึงหมายตั้งแต่ปุถุชนไปจนถึงพระอนาคามี
    ส่วนพระอรหันต์ไม่เป็นสัมภเวสี เพราะท่านเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีก)
    พวกนี้ยังไม่ได้เกิดเป็นที่ตามกรรมที่ตนทำไว้
    พวกสัมภเวสีก็คือพวกที่เราเรียกว่าผี นั่นเอง
    เมื่อพวกผีเหล่านี้นึกถึงกรรมที่ตนทำไว้ก็จะไปเกิดตามกรรมนั้น ๆ
    เช่น นึกถึงกรรมดีก็ไปเกิดในสุคติ นึกถึงกรรมชั่วก็ไปเกิดในทุคติ
    จึงหยุดเร่รอนหาที่เกิดไปชั่วคราว เพราะไปเกิดเป็นที่เป็นทางแล้ว

    จะเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ตัวเองทำเอง ไม่มีใครมาทำให้แต่ประการใด
    ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ชัดเจนมาก
    ดังปรากฏในพระสูตรว่า “ หญิง ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต
    ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม
    มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย
    เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักได้รับผลของกรรมนั้น ”



    จากหนังสือ รู้อย่างนี้ เป็นคนดีตั้งนานแล้ว...รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม
    ผู้พิมพ์ สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์
    ที่ีมา...
    <!-- m -->
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เจ้านายที่ไร้ตัวตน...


    [​IMG]

    เจ้านายที่มองไม่เห็นตัว....เปรียบเสมือนเงามืด
    ที่คอยแต่จะสั่งให้เราทำนั่นทำนี่ตลอด
    ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน...ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีวันหยุด....

    และสิ่งที่นายสั่งก็ดูเหมือนว่านายจะรักเรามาก
    เพราะ....จะสั่งให้เราแสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์
    ทั้งๆที่ความสุขที่ได้มานั้น มันเป็นเพียงภาพมายา
    ที่ไขว่คว้าเอามาไว้ไม่ได้...!!

    นายต้องการเห็นรูปสวยๆ...ก็ต้องทำตามนายสั่ง
    นายต้องการฟังเสียงเพราะๆ...ก็ต้องทำตามนายสั่ง
    นายต้องการดมกลิ่นหอมๆ...ก็ต้องทำตามนายสั่ง
    นายต้องการลิ้มรสอาหารอร่อยๆ...ก็ต้องทำตามนายสั่ง
    นายต้องการสัมผัสแบบสบายๆ...ก็ต้องทำตามนายสั่ง
    นายต้องการไปเที่ยว...ก็ต้องทำตามนายสั่ง
    ....ฯลฯ....

    ถ้าปฏิบัติตามที่นายสั่ง...ก็ได้รับรางวัลคือสุข(แบบโลกๆ)
    ถ้าไม่ปฏิบัติหรือขัดใจนาย...นายก็ลงโทษ...โดยการทุกข์ทรมาน
    เพราะไม่ได้ดั่งใจ...

    เปรียบเสมือนวิ่งไล่จับเงา...ที่ไร้ตัวตน
    เราเองทำตามนายสั่งมาโดยตลอด...
    ......เหนื่อยบ้างไหม...?

    ความสุขที่ได้มา....สุขจริงหรือไม่...?
    แล้วรู้ตัวบ้างไหม....ว่าตนนั้นเป็นทาสอยู่...
    ปรนเปรอให้นาย...ที่ไร้ตัวตน...
    ทำไม...ไม่หยุดคิด...คิดที่จะปลดปล่อยตนเอง
    ให้เป็นอิสระ.....จากเจ้านาย...'กิเลส'...
    ผู้ที่เป็นนายเรามาโดยตลอด...

    ......หรือ.....
    จะยอมให้...'กิเลส'...มาเป็นนายเราตลอดชีวิต...
    ลองนำไปตรองพินิจพิจารณาดูนะคะ...
    ว่านายผู้นี้...มีคุณหรือโทษหรือไม่....อย่างไร....?

    ~ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์~

    ที่มา... <!-- m -->เจ้านายที่ไร้ตัวตน : อาหารสมอง
     
  12. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    วันที่ 6 พ.ย. 2552 พี่สาวและครอบครัวได้โอนเงินร่วมรักษาสงฆ์อาพาธ กับทุนนิธิ จำนวน 300 บาทค่ะ

    รายชื่อขอแจ้งทางพี่โสระค่ะ
     
  13. temmeko

    temmeko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +271
    สวัสดีค่ะ... ขออนุญาติมาแจ้งข่าวอาการอาพาธของหลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ค่ะ

    เนื่องด้วยพึ่งได้รับอีเมลจากรุ่นพี่ที่สนิทกัน ซึ่งพี่เค้ามีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมท่าน

    ที่ห้อง ICU รพ. บำรุงราษฎร์ และได้นำข่าวนี้มาบอกเล่าให้กับเพื่อนที่รู้จักกัน

    เผื่อให้ช่วยบอกต่อค่ะ... เนี้อความตามอีเมลที่นำมาให้อ่านด้านล่างนะค่ะ

    ---------------------

    ศิษย์ของครูบาดวงดี วัดท่าจำปี แจ้งข่าวว่า ขณะนี้หลวงปู่ได้พักมารักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อยู่นานกว่า 2 เดือนแล้ว

    ท่านป่วยด้วยโรคปอด และไต อาการยังทรงๆ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา
    ผิดกับช่วงก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งเรามีโอกาสไปกราบ ซึ่งท่านยังดูแข็งแรงแม้จะอายุ 104 ปีแล้ว (รูปสุดท้าย ถ่ายราว 1 เม.ย. 52)

    ท่านเป็นพระดี พระปฏิบัติชอบ เป็นศิษย์รูปสุดท้ายที่เดินตามรอยพระอาจารย์ ครูบาศรีวิชัย


    เราได้มาเยี่ยมหลวงปู่ถึงห้อง เมื่อเวลา 2 ทุ่ม วันที่ 12 พ.ย.

    พูดคุยกับรองเจ้าอาวาสและลูกศษย์คนสนิท ก็ทราบว่า สองเดือนที่หลวงปู่พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ มียอดค่าใช้จ่ายกว่า 1.7 ล้านบาท

    แม้จะมีคฤบดีและญาติโยมจะให้ความช่วยเหลือจุนเจืออยู่บ้าง ก็ได้เพียง 1 ล้านต้นๆ เท่านั้น

    หากเพื่อนๆ พี่ๆ ท่านใดมีจิตอันกุศล ได้ดูแลพระในบ้าน (พ่อแม่) ของท่านดีแล้ว

    จะเพิ่มบุญกุศลของท่านด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธ ผมขอบอกบุญ ณ ที่นี่

    ขอขอบคุณ
    คุณ ประวิทย์ คงขวัญรัตน์ (เจ้าของเมล)
    สำหรับข้อมูลและภาพที่่นำมาลงในครั้งนี้ค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
    ----------------------------


    ผู้มีจิตศรัทธาที่จะร่วมสร้างบุญบารมีในครั้งนี้ สามารถร่วมทำบุญค่ารักษาพยาบาล หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี โดยตรงได้ที่บัญชี xxxxxxxxxxxxxxx

    อ่านข้อมูลหรือดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ค่ะ
    [URL="http://palungjit.org/posts/2608823[/SIZE][/URL]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2009
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ต้องขอบคุณมากครับสำหรับคุณ temmeko ที่ช่วยเล่าข่าวพระสงฆ์อาพาธให้ผู้ที่สนใจได้ทราบ ท่านครูบาดวงดีนี้ก็เช่นเดียวกัน ถัดจากท่านครูบาอินทร์ (ฟ้าหลั่ง) แล้ว อริยสงฆ์สำหรับผู้ที่มีตาดีทั้งหลายก็จะรู้ว่าท่านได้ชื่อว่า "สำเร็จกิจทางศาสนา" แล้วเช่นกัน ทุนนิธิฯ เอง จะได้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมในสัปดาห์นี้เช่นกันครับ สำหรับผู้ที่เข้ามาดูในกระทู้และพวกเราที่ทำบุญมาในกระทู้อยู่แล้ว จะแยกไปช่วยท่านอีกบัญชีหนึ่งก็ได้ครับ อริยสงฆ์แบบท่านนี้ หาไม่ค่อยได้ง่ายๆ แล้ว นับวันก็จะยิ่งร่วงโรยไปดุจใบไม้ที่แห้งและพร้อมที่หลุดร่วงลงพื้นไปได้ทุกๆ เวลา ตามหลักไตรลักษณ์ พิจารณาตามเหตุและปัจจัยในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดแล้ว สังขารนี้ไม่เที่ยง คงเหลือแต่กุศลและผลบุญที่ติดตัวไป เท่านั้น ช่วยกันครับช่วยท่าน อานิสงส์บุญที่ช่วยท่าน แม้ท่านอาจจะไม่รู้แต่ท่านข้างบนรู้ หรือท่านที่เราอาราธนามาเป็นพยานบุญเรารู้ แค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับผู้ที่ทำบุญด้วยใจบริสุทธ์ตามบุญกิริยาวัตถุ 10 ครับ

    [​IMG]

    คำอธิษฐานเวลาทำบุญ
    ขอบุญจาก………….(ธรรมทาน , สังฆทาน , วิหารทาน )นี้ จงถึงแก่
    เจ้ากรรมนายเวร และผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัวที่มีมาถึงตัวทุกภพทุกภูมิ
    ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    หากไม่ถึงเพียงใด ขอให้คำว่าไม่มีไม่รู้ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้ปรากฎแก่ข้าพเจ้า
    ขอให้เกิดในภพภูมิเขตประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคง
    และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ลึกซึ้งตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ
    ขอท่านพระยมราชจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญบุญของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2009
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขออนุโมทนาและสาธุบุญกับคุณมีโชคและน้องโอลีฟด้วยครับ และฝากน้องโอลีฟเซย์ฮัลโหล คุณธิติด้วย อยู่อังกฤษทั้งคู่ รักษาตัวก็แล้วกัน สำหรับคุณมีโชค ชื่อดีมีมงคล มีโชคแล้วอย่าลืมทำบุญทำกุศลกับทุนนิธิฯ นี้อีกนะครับ...

    [​IMG]


     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กำหนดพระราชทานเพลิงศพพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วราโภ)


    [​IMG]
    กำหนดพระราชทานเพลิงศพพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วราโภ)

    14 ธันวาคม พ.ศ. 2552
    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชทานเพลิงศพ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    แนะนำพระเครื่องดีวันศุกร์นี้ มาดูกันครับ น่าเก็บน่าสะสมไม่เบาทีเดียวดูจากรายชื่อท่านผู้อธิษฐานจิตและผงที่นำมาทำพระแล้ว ยอดเยี่ยมมากเห็นแล้วน่าขนลุกทีเดียว พลังท่านจะเป็นขนาดไหนหนอ เสียดายไม่มีของจริงให้พิจารณา ลองหาดูกันเอาเองก็แล้วกันครับ ถ้าเจอเมื่อไร อย่าให้หลุดมือก็แล้วกัน

    พระสมเด็จอุณาโลม ทรงจิตรลดา ปี 2519 (หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก 5 คืน)

    โดย หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ท่านได้มาทำพิธีพุทธาภิเษก 5 คืน ณ พระอุโบสถคณะรังสี วัดบวรนิเวศ ซึ่งวัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นล้วนแต่มีประสบการณ์สูงมาก โดยเฉพาะด้านโชคลาภ เจริญรุ่งเรือง และแคล้วคลาด อีกทั้งยังราคาสูง จึงถือว่าพระสมเด็จอุณาโลม ทรงจิตรลดา ปี2519 สามารถใช้แทนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างได้เนื่องจากมีผงมวลสารที่ท่านได้มอบให้ เช่น ผงอิทธิเจ ผงพระ และท่านได้มาปลุกเสกให้อีกในพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการบูชาวัตถุมงคลของท่าน แต่ราคาไม่สูงมาก

    มวลสารต่างๆที่นำมาจัดสร้างทั้งสิ้น 199 ชนิด เช่น

    -ผงพระสมเด็จโต วัดระฆัง
    -ผงพระ พระอาจารย์ลี วัดอโศการาม
    -ผงพระ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    -ผงพระสมเด็จบางขุนพรหม
    -ผงพระวัดสามปลื้ม
    -ผงพระหลวงปู่โต๊ะ
    -ผงพระหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    -ผงพระสมัยศรีวิชัย
    -ผงพุทธคุณ อธิษฐานโดย ท่านเจ้าคุณนรฯ พิธีเสาร์ 5 ปี 2513
    -ผงกระเบื้องหลังคา พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศ
    -ผงพระ 25 พุทธศตวรรษ
    -ผงพระวัดพลับ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน)
    -ผงอิทธิเจ หลวงปู่โต๊ะ
    -ฯลฯ (รวมผงอื่นๆ เช่น เส้นเกสาธาตุของพระอริยทั้งหลาย เอ่ยมาแทบจะถูกหมด รวมทั้งผงดอกไม้ต่างๆ กว่า 200 รายการ)

    มี พิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ 7 วัน 7 คืน ตั้งแต่วันที่ 5 - 12 ก.ค. 2519 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศ โดยมีครูบาอาจารย์ที่มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกดังนี้

    - หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี (อธิษฐาน 5 คืน) ***
    - หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง
    - หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิตร
    - หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญบรรพต
    - หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน
    - พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม
    - พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม
    - หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์
    - หลวงพ่อสนิท วัดศีลขันธาราม
    - หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    - พระอาจารย์ผ่อง วัดจักรวรรดิราชาวาส
    - หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร
    - หลวงปู่ธูป วัดแค
    - หลวงพ่อสา วัดราชนัดดาราม
    -ฯลฯ


    และ ได้นำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก พระสมเด็จนางพญา สก รุ่นพระราชทาน ในปี 2522 อีกครั้งหนึ่งโดยมีดรูบาอาจารย์ที่มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกดังนี้

    -หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดศรีสุทธาวาส
    -หลวงปู่ดูลย์ วัดศรีบูรพาราม
    -หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง
    -หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    -หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
    -หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    -พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว
    -หลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง
    -หลวงพ่อสิริ วัดชนะสงคราม
    -ฯลฯ


    มวล สารมากมาย พระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมหลายรูป พุทธคุณด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม เจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง เรียกว่าครบทุกด้าน ประวัติชัดเจน ปลอดของเสริม (องค์ในรูปเป็นตัวอย่าง)


    [​IMG]

    [​IMG]

    ราคาในปัจจับันตามเวบต่างๆ พันกว่าบาทแล้วครับ (ประมาณ 1,400.-)


    ขอขอบคุณ
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <div class="postbody">ได้ทั้งพระเครื่องดี ได้ทั้งบุญด้วย

    พระสมเด็จไม้ช่อฟ้าเก่าพระอุโบสถวัดระฆัง ของดีที่ยังเหลืออยู่วัดเจ้าอาม
    มอบแก่ผู้ร่วมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัดเจ้าอาม


    นับ เป็นครั้งแรกและรุ่นเดียวในประวัติศาสตร์การจัดสร้างพระสมเด็จของเมืองไทย ที่วัดเจ้าอาม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ได้จัดสร้างพระสมเด็จไม้ช่อฟ้าเก่าพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม ของสูงศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างมาคู่กับพระอุโบสถสมัยเก่าแก่ที่สร้างวัดมาครั้ง แรก สมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีอายุประมาณ 200 กว่าปี หาไม่ได้อีกแล้ว

    พระสมเด็จไม้ช่อฟ้าวัดระฆัง สร้างขึ้นเมื่อปี 2535 โดยพระอาจารย์ทองล่ำ หรือพระครูนิวิฐสาธุวัตร พระเกจิอาจารย์ด้านเมตตามหานิยม และเจ้าอาวาสวัดเจ้าอาม สร้างตามสูตรตำรับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้รับมาจากหลวงปู่หิน อดีตเจ้าคณะภาค 13 วัดระฆัง เมื่อปี 2508

    พระ เครื่องชุดนี้จัดสร้างไว้ 2 รูปแบบ คือ พระสมเด็จแกะจากไม้ช่อฟ้าพระอุโบสถวัดระฆัง และพระสมเด็จทิพย์มงคล เนื้อผงผสมไม้ช่อฟ้าพระอุโบสถวัดระฆัง มีทั้งหมด 6 พิมพ์ คือ พิมพ์พิเศษ (พระประธาน) พิมพ์ฐานสิงห์ พิมพ์ฐานหมอน พิมพ์เจดีย์ พิมพ์ขัดสมาธิเพชร และพิมพ์คะแนน

    พระครูนิวิฐสาธุวัตร เจ้าอาวาสวัดเจ้าอาม ได้เล่าถึงการสร้างพระสมเด็จไม้ช่อฟ้าวัดระฆังว่า ไม้ช่อฟ้าเก่าอยู่บนพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตารามนี้ ได้รับมอบมาจากพระเทพญาณเวที (หลวงพ่อละมูล) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อปี 2515 และปี 2518 ปัจจุบันไม้ช่อฟ้าเก่าพระอุโบสถของวัดระฆังฯไม่มีแล้ว หลวงพ่อละมูลได้เปลี่ยนเป็นปูนปิดทองปิดกระจกขึ้นไปแทนไม้ช่อฟ้าเดิมที่หัก ชำรุด เนื่องจากมีอายุเก่าแก่มานานแล้ว

    เมื่อปี 2515 พระครูนิวิฐสาธุวัตรได้ไปร่วมประชุมพระสังฆาธิการในเขตบางกอกน้อย โรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดระฆังโฆสิตาราม ในวันนั้นฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก พายุแรงมาก ทำให้ไม้ช่อฟ้าเก่าพระอุโบสถวัดระฆังฯที่ผุได้หักลงมา พระครูนิวิฐสาธุวัตรจึงได้ขอกับท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อละมูล หลวงพ่อได้ถามว่า จะเอาไปทำอะไร พระครูนิวิฐสาธุวัตร บอกว่า จะนำไปสร้างวัตถุมงคลของวัดเจ้าอาม เนื่องจากเห็นว่าไม้ช่อฟ้านี้เป็นของเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์สมัยเจ้าประคุณสม เด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หาไม่ได้อีกแล้ว เพราะในพระอุโบสถของวัดระฆังโฆสิตารามนั้นได้ทำพิธีพุทธาภิเษกมานับครั้งไม่ ถ้วน

    สมเด็จแกะจากไม้ช่อฟ้าพระอุโบสถวัดระะฆัง แกะด้วยมืออย่างประณีตโดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้เป็นพระสมเด็จที่มีความงดงามและทรงคุณค่า ในสมัยนั้นหาช่างแกะได้ยากมาก เพราะกว่าจะแกะพระสมเด็จได้หนึ่งองค์ต้องใช้เวลานานและต้องมีความละเอียด อ่อนสูง

    เมื่อนำไม้ช่อฟ้าวัดระฆังมาบดได้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ให้ เห็น ขณะที่ใส่ไม้ช่อฟ้าลงไปในเครื่องบดเครื่องเกิดพังโดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อซ่อมเครื่องเสร็จนำมาบดใหม่ เครื่องก็พังอีก จึงได้จุดธูปขออนุญาตสมเด็จพระพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) จึงสามารถบดได้จนสำเร็จ

    ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 โดยได้รับเมตตาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ เป็นประธานดับเทียนชัย พร้อมพระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสกจำนวน 69 รูป อาทิ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวกการาม, หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ, หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน, หลวงพ่อช่วง วัดปากน้ำ, หลวงพ่อบุญมา วัดเบญจมบพิตร, หลวงพ่อทองดี วัดราชโอรส, หลวงพ่อผัน วัดระฆังฯ, หลวงพ่อช่อ วัดฤกษ์บุญมี, หลวงพ่อสำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่า, และพระครู นิวิฐสาธุวัตร เจ้าอาวาสวัดเจ้าอาม เป็นต้น

    พระสมเด็จไม้ช่อฟ้าวัดระฆังปี 35 ของวัดเจ้าอาม เป็นวัตถุมงคลที่มีพุทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งด้านเมตตามหานิยม และอภินิหารทางด้านแคล้วคลาดอันตราย มีประการณ์มาแล้ว คือ พระภิกษุรูปหนึ่งวัดเพลงวิปัสสนา ได้ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ แต่ไม่เป็นไร โดยมีพระชุดนี้ไว้ติดตัว และอีกรายเป็นพนักงานกำจัดขยะมูลฝอย ขณะกำลังยืนกวาดถนนโดนรถแท็กซี่ชนกระเด็นไปไกล แต่ก็ไม่เป็นอะไร ในตัวแขวนพระสมเด็จไม้ช่อฟ้าวัดระฆังเช่นกัน ทำให้แคล้วคลาดอย่างปาฏิหาริย์

    พระสมเด็จชุดนี้จะะมอบสมนาคุณให้ แก่ผู้ที่ร่วมทำบุญสมทบทุนซื้อที่ดินถวายวัดเจ้าอาม เพื่อขยายพื้นที่รองรับการให้บริการด้านกิจกรรมทางพุทธศาสนาและสังคม สงเคราะห์แก่ประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียงได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันวัดมีพื้นที่คับแคบไม่เพียงพอกับการใช้งาน

    ผู้ที่ทำบุญซื้อที่ดินตั้งแต่ 100 บาท บาทขึ้นไปจะได้รับสมนาคุณวัตถุมงคลเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว

    ผู้สนใจร่วมทำบุญได้ทุกวัน ที่ศาลาพระเครื่องวัดเจ้าอาม ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดที่
    พระครูนิวิฐสาธุวัตร เจ้าอาวาส โทร. 0-2424-0363, 08-9786-6678 และ <!-- m -->http://www.watchaoam.org<!-- m --> หรือธนาณัติสั่งจ่าย ป.ณ.บางขุนนนท์ ในนามวัดเจ้าอาม (เพิ่มค่าจัดส่งพระ 50 บาท)

    อนุโมทนา
    <!--แนบไฟล์:
    --> <!--คำอธิบาย: พระสมเด็จแกะจากไม้ช่อฟ้าวัดระฆัง
    --> พระสมเด็จแกะจากไม้ช่อฟ้าวัดระฆัง
    [​IMG]
    <!-- 4-U1004768-633893767309128750-1.jpeg [ 38.41 KiB | เปิดดู 85 ครั้ง ] -->




    <table class="tablebg" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr> <td class="row3">แนบไฟล์: </td> </tr> <tr> <td class="row2"> <!--คำอธิบาย: หลังยันต์ พระสมเด็จแกะจากไม้ช่อฟ้าวัดระฆัง
    --> หลังยันต์ พระสมเด็จแกะจากไม้ช่อฟ้าวัดระฆัง
    [​IMG]
    <!-- .jpg [ 86.63 KiB | เปิดดู 85 ครั้ง ] -->
    </td> </tr> <tr> <td class="row1"> <!--คำอธิบาย: พระผงสมเด็จทิพย์มงคล พิมพ์พิเศษ
    --> พระผงสมเด็จทิพย์มงคล พิมพ์พิเศษ
    [​IMG]
    <!-- (พระประธาน) เนื้อขาว.JPG [ 92.3 KiB | เปิดดู 85 ครั้ง ] -->
    </td> </tr> <tr> <td class="row2"> <!--คำอธิบาย: สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย
    --> สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย
    [​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หมดจากพระเครื่องแล้ว เสาร์-อาทิตย์นี้ หากไม่ได้ไปไหนกัน อย่าลืมทำบุญใส่บาตรกันครับ แล้วอย่าเอาอย่างข้างบนล่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นที่ขำกลิ้งของหลวงพ่อ หลวงพี่ไป ค่อยๆ บรรจงใส่ ค่อยๆ สำรวมใจตั้งจิตอธิษฐาน ถอดรองเท้าเพื่อให้พระแม่ธรณีได้เป็นพยานบุญ และโมทนาบุญให้เรา ไออุ่นจากเท้านี่ล่ะ ท่านว่าพระแม่ธรณีท่านจำได้ว่าไอ้หมอนี่ล่ะเคยใส่บาตร กลิ่นอย่างนี้ฉันจำได้ ฉันเป็นพยานให้เค้าได้ ท่านอย่าเพิ่งเอาเค้าลงนรกภูมิน๊ะ ให้เค้านึกถึงบุญเค้าก่อนเจ้าค่ะ...

    [​IMG]





     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พิพิธภัณฑ์วัดป่ามัชฌิมวาส ดู"อาจารย์ใหญ่"ให้ข้อคิดวัฏสงสาร

    ยุทธนา เกียรติดำเนินงาม

    [​IMG]

    "พิพิธภัณฑ์ศพ" ศาลาอัศวินวิจิตร วัดป่ามัชฌิมวาส ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านดงเมือง หมู่ 10-13 ต.ลำพาน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เป็นพุทธสถานอีกแห่งหนึ่ง เลื่องชื่อในด้านเป็นสถานปลีกวิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานอย่างดีเยี่ยม

    นอกจากจะมีพื้นที่กว้างขวาง อุดมด้วยแมกไม้ที่ร่มครึ้มทั่วบริเวณวัดแล้ว ยังมี "อาจารย์ใหญ่" หรือซากศพมนุษย์ ภายในศาลาอัศวินวิจิตร หรือพิพิธภัณฑ์ศพ ไว้ให้ศึกษาสัจธรรมชีวิตอีกด้วย

    ประวัติวัดป่ามัชฌิมวาสแห่งนี้ สร้างขึ้นราวปี 2474 มีพระเณรจำพรรษอยู่ร่วม 30 รูป ปัจจุบัน มีหลวงพ่อเมือง พลวัฑโฒ พระเกจิสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นเจ้าอาวาส

    เสนาสนะที่สำคัญอันเป็นเครื่องหมายของวัด นอกจากพิพิธภัณฑ์ศพดังกล่าวแล้ว ยังมีพระพุทธรูปหลวงปู่ขาว และหลวงปู่ผ้าขาว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานภายในวัด ให้สาธุชนสักการบูชาอีกด้วย

    หลวงปู่ขาว เป็นพระพุทธรูปหินอ่อนสีขาว ประดิษฐานบนแท่นดอกบัว มีศาลาครอบองค์พระไว้อย่างเป็นสัดส่วน ส่วนหลวงปู่ผ้าขาว กล่าวกันว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์แทนหมอชีวกโกมารภัจจ์ (หมอประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยพุทธกาล) ประทับบนก้อนหิน

    โดยมีพระพุทธรูปปางต่างๆ เรียงรายอยู่ด้านหลัง รวมทั้งศิวลึงค์ ก็มีให้เห็นเป็นหลักฐานของการกราบไหว้บูชามาตั้งแต่คราบรรพกาล!

    ดังที่ทราบกันดีแล้วว่า ก่อนที่พุทธศาสนาจะแผ่มามีอิทธิพลยังภูมิภาคนี้ นอกจากผู้คนจะนับถือภูตผี ที่เชื่อว่าสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ แล้ว ยังมีการนับถือพระเจ้าตามลัทธิความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอีกด้วย

    พระเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่รู้จักกันดีก็คือพระอิศวรหรือพระศิวะ และเครื่องหมายที่ใช้แทนพระศิวะที่พบเห็นโดยทั่วไป โดยเฉพาะตามแหล่งศาสนสถาน คือ ศิวลึงค์ ที่ทำจากแท่งหิน ดังที่ปรากฏ ณ ด้านหลังหลวงปู่ผ้าขาว



    เพราะความที่สถานที่แห่งนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่บรรพกาล เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนในชุมชนมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อได้มีการสร้างวัดป่ามัชฌิมวาสเป็นศูนย์รวมจิตใจ จึงได้มีการสร้างพระพุทธรูปหรือหลวงปู่ขาว เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า และจัดให้มีการสร้างรูปหมอชีวกโกมารภัจจ์ "หมอประจำพระองค์" ในสถานที่เดียวกัน

    วัดป่ามัชฌิมวาส นอกจากจะมาทำบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา หรือไถ่ชีวิตสัตว์แล้ว ยังนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน หรือเก็บกวาดบริเวณวัด จะเป็น 5 วัน 7 วัน หรือ 30 วัน

    "แนวทางของวัดป่า ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เป็นพุทธสถานที่ต้องการความสันโดษ พระเณรอยู่กันอย่างสงบ สันติ สมถะ ไม่ต้องการความพลุกพล่าน ไม่ต้องการคำยกยอปอปั้นหรือชื่อเสียงใดๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตในวัด อาทิ พระพุทธรูปหลวงปู่ขาว และหลวงปู่ผ้าขาวนี้มิใช่ตัวล่อ ที่จะโน้มน้าวจิตใจหรือเรียกศรัทธาให้ผู้คนหันหน้าเข้าวัด ขอให้เข้าใจ...ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเชิดชูชีวิตจิตใจให้สูงส่ง และดีเด่นเทียบเท่าพระธรรม สำหรับพระพุทธรูปหลวงปู่ขาวและหลวงปู่ผ้าขาว เป็นสิ่งที่ชาวบ้านดงเมืองและละแวกนี้ ให้การยอมรับนับถือและศรัทธามาช้านาน"

    "ส่วนด้านของความศักดิ์สิทธิ์ ใครคิดจะมาบนบานกราบไหว้ ขอให้คิดดี ทำดี และที่สำคัญอย่าลืมหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากละเลยเสีย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ช่วยไม่ได้ สิ่งที่ฝากไว้ให้ระลึกอยู่เสมอคือ จงช่วยตัวเองก่อน ก่อนที่จะให้คนอื่นช่วย หรือแสวงหาสิ่งที่ไม่มีตัวตน เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย" หลวงพ่อเมือง กล่าวให้ข้อคิด

    [​IMG]


    สำหรับ "อาจารย์ใหญ่" ที่วัดนำมาแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศพหรือศาลาอัศวินวิจิตร เพื่อให้เป็นข้อคิดในวัฏสงสาร การไม่เที่ยงแท้แน่นอน ชี้ให้เห็นสัจธรรมอันแท้จริงของชีวิต เห็นแล้วจะได้ไม่หลงรูป หลงเงา หลงเขา หลงเรา จนหลงลืมคำตอบสุดท้าย เมื่อวาระสุดท้ายและความตายมาเยือน!

    ข้อมูลที่สืบค้นมาเกี่ยวกับสาเหตุความเป็นมา ที่ทางวัดป่ามัชฌิมวาส นำซากศพคนตายมาบรรจุไว้ในโลงแก้ว ภายในศาลาอัศวินวิจิตรนี่ก็คือ...มีการนำศพมาไว้ในลักษณะนี้ประมาณ 15 ปีได้ โดยศพเหล่านี้ได้รับความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ที่ผู้ตายหรือญาติผู้ตาย ได้บริจาคให้เป็น "อาจารย์ใหญ่" แก่นิสิตแพทย์ เพื่อการศึกษาค้นคว้า ซึ่งทางวัดได้ทำเรื่องขอยืมมาเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้ผู้มาศึกษาธรรม หรือผู้สนใจ ได้มองเห็นสัจธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...

    อาจารย์ใหญ่ดังกล่าว จะถูกนำมาเที่ยวละ 10-15 ศพ และทุกๆ 6 เดือน จะนำกลับไปรับพระราชทานเพลิงศพที่จ.ขอนแก่น แล้วจะนำศพชุดใหม่มาไว้แทนที่ชุดเก่า สับเปลี่ยนเช่นนี้ร่ำเรื่อยมา

    หลวงพ่อเมือง กล่าวว่า ชีวิตหรือสังขารคนเรา เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร ตอนยังอยู่ก็ดูดีมีคุณค่า ถึงคราตายก็เหมือนหมดความหมาย ในสายตาของทางโลกอาจคิดกันอย่างนี้ แต่หากมองดีๆ คิดให้ลึกซึ้ง คิดโดยนัยธรรมะ จะเห็นคุณค่าเหลือคณานับ พินิจดูศพแล้วกลับมามองสรีระของตัวเองแล้วเป็นยังไง ในบั้นปลายก็ไม่ต่างกันเลย...

    "ตอนที่ยังมีชีวิต ถูกกรรมลิขิตให้โลดแล่นบนกองกิเลสตัณหาสารพัดสารพัน ครั้นตายไปแล้วได้อะไรติดตัวไปบ้างไม่มีเลย แม้แต่เงินปากผี ยังถูกสัปเหร่อหยิบเอา เหลือแต่ตัวเปล่าๆ กลับไปไม่ต่างกับตอนแรกเกิดเลย"

    ใครที่ลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันเป็นตัวพอกพูนกิเลสตัณหาในใจ หากได้มาศึกษาจากซากศพเหล่านี้ อาจจะได้สิ่งดีๆ กลับไป หรือใครที่มัวแต่หลงเงาตัวเอง เอาแต่ชื่นชม "เปลือกนอก" ของตัวเองจนเกินงาม เมื่อใดก็ตาม ที่ได้มาเห็นเงาแห่งอนาคต อย่างซากศพคนตาย ก็จะเข้าใจอะไรได้ดีกว่าเดิม...

    ผลของการมาดูซากศพ ที่เป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนชีวิตของผองผู้คน ไม่มีใครหนีพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงน่าจะทำให้ผู้มาดู เก็บไปเป็นข้อคิดเตือนใจ และดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า เรารู้ว่าอนาคตจะต้องตาย มีสภาพไม่ต่างจากซากศพที่ นอนอยู่เบื้องหน้า ที่รอวันเปื่อยเน่า เราจึงควรจะหมั่นสรรค์สร้างคุณงามความดีไว้เป็นหลักฐาน ให้ลูกหลานได้เห็นคุณค่าในตัวเรา...

    เมื่อเราเห็นปลายทางของเราอย่างนี้ เราก็จะไม่อยู่ในความประมาท ไม่ขาดสติในการกระทำใดๆ ทั้งปวง แล้วกิจการงานที่ทำก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มีแก่นสาร มีประโยชน์ต่อสาธารณชนและตนเอง เมื่อคิดได้ดังนี้ ทำได้ดังนี้ ถือว่าประเสริฐแล้วสำหรับปุถุชนทั่วไป เพียงขอให้ยึดหลักมัชฌิมาปฏิปทา ไม่วาดหวังในสิ่งที่สูงเกินไป ไม่หน้ามืดตามัวทำตัวตกต่ำ ก็จะทำให้ครองชีวิตอย่างราบรื่นตลอดไป

    หลวงพ่อเมือง กล่าวในตอนท้ายว่า หากยามใดที่อยากจะพักผ่อนทางใจ แบบไม่ต้องสิ้นเปลืองใดๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายบริการสถานที่ เหมือนอย่างที่ทางโลกเขาโปรโมตโฆษณาเชิญชวนกัน ก็ลองหันมาพักผ่อนทางธรรม ที่พิพิธภัณฑ์ศพ ศาลาอัศวินวิจิตร วัดป่ามัชฌิมาวาส โดยให้ซากศพเป็นครูดูบ้างเป็นไร

    อาจจะรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของชีวิตได้เป็นอย่างดี

    *****
     

แชร์หน้านี้

Loading...