การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ไปต้องย้อนอ่านได้มั้ยครับ มันเยอะอ่านไม่ไหว เอาเท่าที่ผมระลึกได้ว่าคุณเชื่ออย่างไรดีกว่านะครับ

    คุณเชื่อว่าสติเกิดขึ้นได้เอง เมื่อมีเหตุใกล้ทำให้เกิด ผมก็เคยถามไปแล้วว่า

    ถ้าสติสามารถเกิดขึ้นเองได้แล้ว คนชั่วทั้งหลายย่อมต้องหมดไปจากโลกแล้วใช่มั้ยครับ???

    ผมถามว่า ถ้าเราไม่คอยระลึกหรือระลึกรู้(สติ)แล้ว อยู่ๆมันเกิดขึ้นมาของมันเองได้ด้วยหรือครับ???

    ใช้เหตุและผลตรองให้ดีๆนะครับ ว่าเป็นไปได้ไหมที่คุณพูดมาหนะ

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ทำไมคำว่าบังคับต้องใช้กับสิ่งอื่นหรือผู้อื่นหละครับ???

    คคห.ข้างบนของคุณ คุณพูดเองว่าไม่เกี่ยวกับคนอื่น หมายความว่ายังไงครับ

    ถ้าพิจารณาจากที่คุณพูดก็แสดงว่า ต้องบังคับคนอื่นหรือสิ่งอื่นจึงจะถูกต้องใช่มั้ยครับ???

    แล้วคนที่ยังชอบดื่นสุรายาเมาและทำชั่วอยู่ เพราะไม่บังคับจิตใจของตนเองใช่มั้ยครับ???

    หรือคุณเชื่อว่าสามารถบังคับให้คนเหล่านั้นเลิกกระทำสิ่งเหล่านั้นได้ครับ???

    คุณทำสมาธิไม่เป็นก็อย่าพยายามอธิบายเลยครับ ยิ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องชวนหัวไปครับ

    ผมถามนะครับว่า ถ้าคุณยังไม่สามารถบังคับจิตใจตนเองได้ คุณจะบังคับอะไรได้อีกหละครับ???

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ตกลงใครกันแน่ครับที่เข้าใจผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ปลายก็ผิดไปด้วยครับ???

    ถ้าคุณไม่ใช้อำนาจกับจิตของตนเองก่อน จิตของคุณจะมีอำนาจขึ้นมาได้ด้วยหรือครับ???

    คุณต้องสร้างอำนาจให้เกิดขึ้นกับจิตตนเองให้ได้เสียก่อนใช่มั้ยครับ???
    จึงจะบังคับคนอื่นหรือสิ่งอื่นได้ใช่มั้ยครับ???

    คุณไปเอาอำนาจจิตมาจากไหนหละครับ???
    ถ้าไม่สร้างอำนาจให้เกิดขึ้นกับจิตของตนเองก่อนครับ???

    เห็นหรือยังครับ ชึ้นต้นก็ผิดซะแล้ว ยังไม่เคยมีอำนาจมาก่อนหรือรู้จักอำนาจมาก่อนเลย

    แต่กลับจะไปเอาอำนาจที่ไม่มีอยู่จริงในจิตตนเองไปใช้บังคับสิ่งอื่นหรือคนอื่นซะแล้ว

    ฟังดูแล้วไม่รู้สึกว่าขาดเหตุและผลไปหน่อยหรือครับ...

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ใช่ครับ จิตก็คือจิต กายก็คือกาย

    แต่เพราะจิตที่เข้ามาอาศัยในกายนี้ เป็นจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ กดดัน ให้เกิดกิเลส กรรม วิบาก

    จึงใช้สอยกาย วาจา ไปในทางที่ไม่ถูก ไม่ควรครับ

    จิตจึงมีนิสัยชอบแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ต้องการ หรือไม่ต้องการ

    รู้แล้วเป็นยึดทั้งนั้นครับ

    จึงต้องฝึกฝนอบรมจิตหรือบังคับจิต(ของตนเอง) ให้จิตมีกำลังและอำนาจในตนเองใช่มั้ยครับ???

    จิตที่มีกำลังและอำนาจนั้น ก็คือจิตที่มีสติมั่นคงต่อเนื่องนั่นเองครับ....

    ;aa24
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แน่นอนที่สุดสติมีอยู่กับทุกคน จิตมีอยู่กับทุกคน และแน่นอนที่สุดต้องฝึกจึงจะมีกำลัง เหมือนคนออกกำลังกาย ออกมากๆร่างกายก็แข็งแรงแต่ต้องออกหรือทำอย่างพอดีไม่มากไปหรือน้อยไปต้องอาศัยปัญญามาพิจารณา จิตใจคนก็เช่นเดียวกันการออกกำลังจิตใจหรือการฝึกจิตคือการต้านทานกระแสโลกทั้งหลาย จากน้อยไปหามาก และกระแสทั้งหลายก็มีอยู่ในตัวในจิตใจของคนทุกคน เพียงแต่อะไรจะเป็นตัวชี้วัดได้ถ้าไม่ใช่สติ เพราะมีสติมากหรือสติแก่กล้าจึงรู้ว่า กิเลสอย่างหยาบเป็นอย่างไรอย่างกลางเป็นอย่างไรอย่างละเอียดถึงขั้นจะดับไปได้นั้นเป็นอย่างไร ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น แต่เริ่มต้นจากเพราะทำจึงมี เพราะไม่ทำจึงไม่มี เพราะการมีหรือไม่มีก็อยู่ในกฏไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน จะไปเพ้อฝันเอาว่าจิตเป็นนั้นสติเป็นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความเพ้อฝันทั้งสิ้นไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติด้วยโยนิโสมนสิการแต่อย่างใด อย่าพากันเพ้อฝันไปให้มาก ผมอ่านของหลายท่านแล้วก็รู้สึกไม่แปลกใจเลยที่โลกเราสังคมไทย แม้กระทั่งพระศาสนาจะผรุกร่อนลงไป ก็เพราะด้วยการสร้างจินตนาการของตนตามอักขระและโวหาร ไม่ใช่ความจริงเป็นแต่เพียงความเพ้อฝันทั้งนั้น และเรื่องง่ายๆที่สุดคือ เมื่อยังมองไม่เห็นว่ากรรมมีจริงกรรมชั่วที่ทำต้องส่งผลแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง ยังคิดเพียงทำความดีต่างๆนานาเพื่อลบล้างกรรมชั่วนั้น หากยังคิดอย่างนี้อยู่ ไม่หยุด ไม่พิจารณา ก็ยังกล่าวได้เลยว่า ไกลจากพระศาสนาไกลจากพระศาสดา ไกลจากพระพุทธเจ้ายิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2010
  6. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านธรรมภูติครับ เรื่องที่ผมว่าไร้สาระและไม่คิดจะเล่นด้วย มันไม่เรื่อง
    ธรรมนะครับ แต่มันเป็นเรื่อง ชกต่อย ตีรันฟันแทงกันครับ

    ท่านครับท่านนี้ไม่เปลี่ยนเลย ผมแสดงความแค่ความเห็นเดียว ท่านเล่น
    กระจายความเห็นผมให้เป็นคำถาม ไปอีกหลายความเห็น
    ถ้าผมตอบท่านทุกคำถามนี้ มันจะไม่ทวีคูณไปอีกหลายเท่าตัวหรือครับ
    เอาแหล่ะผมจะตอบ ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องการบังคับสติของท่านเท่านั้น
    ไม่ไหวครับ ลายตาเควสชั่นมาร์คเต็มไปหมด
     
  7. lightmagician

    lightmagician Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +38
  8. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คุณบุญฯครับ คุณสับสนอะไรอยู่หรือเปล่าครับ? ที่ให้ใจเป็นสมอง
    ผมถามหน่อยนะครับว่า คนสมองดีทุกคน ใจดีเหมือนกันหมดทุกคนมั้ยครับ???

    ใจในที่นี้หมายถึง สิ่งที่ใช้นึกคิดต่างๆครับ มันเป็นรูปไม่ใช่ตัวที่มีความหมาย
    เป็นนาม
    ถ้ายิ่งเอามาใช้กับการรับรู้หรือสัมผัสทางใจ มันก็คือสมองนั้นแหล่ะ
    ...ถ้าเป็นความหมายในอายตนะ หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ สังเกตุดูทั้งหมด
    นี้จะเป็นในส่วนของรูปคือกาย ฉะนั้นใจก็คือสมอง ที่รับคำสั่งจากจิตให้นึก
    คิดคำภาวนาต่างๆ


    คุณบุญฯครับ คุณอย่าใช้ภาษาแบบรู้เองคนเดียวสิครับ
    ที่คุณพูดว่า จิตบังคับจิตนั้น หมายถึงบังคับจิตตนเอง หรือบังคับจิตคนอื่นครับ???

    ถ้าจิตบังคับอาการของจิตหนะใช่ เพื่อไม่ให้แสดงอาการไม่ดีไม่งามผ่านทางกายออกมานะครับ

    ที่คุณพูดว่า "แม้กระทั่งอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นท่านก็โมเมว่า เป็นอาการของจิต"
    แล้วที่คิดว่า ไม่โมเมว่า เป็นอาการของจิต แล้วเป็นอาการของอะไรครับ???


    มีด้วยหรือคับที่ผมบอกว่าจิตบังคับจิต ถ้ามีผมอาจเขียนเพลินหรือผิดไป
    แต่ในความเห็นผม จิตบังคับจิตหรือสติ ไม่ได้ครับ บังคับได้แต่กายครับ

    แล้วเรื่องอาการของจิตผมว่าเราเลิกคุยกันเถอะ เอาเป็นว่าใครเชื่ออย่างไรก็ตามนั้น จำเจครับ
     
  9. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ก็คนชั่วไม่ศึกษาหา เหตุแห่งปัจัยนี้ครับ
    ถ้ารู้จักว่าเหตุไหนทำให้สติเกิด สติมันก็มาเองครับ
    ทำไมท่านชอบว่า พวกผมกล่าวว่าสติมาเองแค่นั้น
    ทำไมไม่กล่าวให้หมด แล้วคำว่าเหตุปัจจัยไม่กล่าวให้หมด

    ที่บอกให้ระลึกรู้ แล้วจะระลึกรู้อะไรครับ ในเมื่อเหตุยังไม่เกิด
    ผัสสะก็ยังไม่มี อารมณ์ก็ยังไม่มา
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ทำไมคำว่าบังคับต้องใช้กับสิ่งอื่นหรือผู้อื่นหละครับ???

    ความหมายก็คือ ตัวเราไปบังคับคนอื่นได้ อันนี้ไม่มีปัญหา
    แต่เราลองมาดูคำนี้"บังคับตัวเอง"
    .....การบังคับตัวเอง มันคือการที่จิตไปบังคับกาย
    ให้ทำหรือไม่ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จิตไปบังคับจิตหรือสติไม่ได้ ได้แต่บังคับกาย
    หรือนามบังคับรูปได้เท่านั้นครับ

    คคห.ข้างบนของคุณ คุณพูดเองว่าไม่เกี่ยวกับคนอื่น หมายความว่ายังไงครับ

    ก็เรื่องจิตหรือสติ มันเป็นเรื่องการภาวนาของเราครับ
    คนอื่นไม่เกี่ยว เป็นเรื่องเฉพาะตัว

    ถ้าพิจารณาจากที่คุณพูดก็แสดงว่า ต้องบังคับคนอื่นหรือสิ่งอื่นจึงจะถูกต้องใช่มั้ยครับ???

    ถูกครับต้องบังคับคนอื่น สื่งอื่นคือการที่เราบอกว่าบังคับตัวเอง
    ในความเป็นจริง จิตไปบังคับกาย ไม่ช่จิตบังจิตหรือสติ

    แล้วคนที่ยังชอบดื่นสุรายาเมาและทำชั่วอยู่ เพราะไม่บังคับจิตใจของตนเองใช่มั้ยครับ???

    ก็เหมือนกับที่ผมเคยกล่าว เขาไม่หาเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดสติ
    ที่จะมาหยุดอารมณ์ความอยาก เมื่อมีความอยาก ก็ปรุงแต่งทำให้
    จิตไปบังคับกายให้กระทำตาม มันไม่เกี่ยวกับการบังคับจิต

    ขอติงหน่อยการที่ท่านเอา เรื่องเหล้ายามานี้ ควรคำนึงด้วยว่าเหล้ามันเป็น
    สารเคมีที่มีปฏิกิริยากับร่างกาย มันทำให้เกิดอาการทางกาย เช่นเจ็บปวด
    หรือป่วย ทำให้ขบวนการทางจิตผิดเพี้ยนไป

    หรือคุณเชื่อว่าสามารถบังคับให้คนเหล่านั้นเลิกกระทำสิ่งเหล่านั้นได้ครับ???

    บังคับได้แค่กาย ไม่ให้ไปดื่มเหล้า แต่บังคับใจเขาไม่ได้ครับ
    เมื่อเราหยุดบังคับเดี๋ยวเขาก็ไปตามความอยากของใจครับ

    คุณทำสมาธิไม่เป็นก็อย่าพยายามอธิบายเลยครับ ยิ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องชวนหัวไปครับ

    ท่านรู้ได้อย่างไรครับว่าผมทำสมาธิไม่เป็น ถ้าทำไม่เป็นผมจะเอามาเปรียบ
    มาพูดเป็นคุ้งเป็นแควได้หรือครับ ผมทำสมาธิเพื่อการพักผ่อนของจิตครับ
    แต่การใช้ชีวิตในหน้าที่การงาน ผมใช้วิธีดูจิต เพราะเป็นวิธีที่ได้สัมผัสกับ
    อารมณ์ ที่หลากหลายและอยู่กับปัจจุบันที่เป็นจริงครับ

    ผมถามนะครับว่า ถ้าคุณยังไม่สามารถบังคับจิตใจตนเองได้ คุณจะบังคับอะไรได้อีกหละครับ???

    แล้วผมจะไปบังคับเพื่ออะไร ในเมื่อมันบังคับไม่ได้
    จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ก็ใช้จิตบังคับกายงัยครับ
     
  11. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    โธ่เอ้ย ขนาดพื้นฐานอย่างพุทโธ ยังไม่เคยทำนี่เอง ถึงได้มีปมด้อยอย่างนี้เอง
    อยากรู้จริงๆว่าคุณบุญฯภาวนาแบบไหนตั้งแต่เล็กจนโต
    (อย่าบอกนะว่าสติปัฏฐานสี่ในชีวิตประจำวัน ล้างส้วมในชีวิตประจำวันอย่างเดียว)
    แนะนำให้คุณบุญฯ ไปลงวิชาพุทธศาสนาระดับประถมต้นนะครับ จะได้เริ่มรู้จักพุทโธ

    ไปดูที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งดีกว่า
    หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ไว้ว่า
    "...ใครจะว่าไปที่ไหนดี ไปที่ไหนดี ถ้าใจยัง....ไม่ดี ไปที่ไหนให้ดูใจ
    มันเคลื่อนไหวไปไหนตัวกิเลสพาให้เคลื่อน ให้ดูด้วยสติ
    ถ้าสติบังคับอยู่นั่นแล้วก็สงบเย็นใจ ภาวนาก็สะดวก
    ไปไหนสะดวกหมดถ้าสติกับจิตเฝ้าตามกันอยู่
    ปฏิบัติต่อกันอยู่ สติสำคัญมาก..."

    แล้วคุณบุญฯ ก็เฉไฉ ไปด้วยคำพูดเฉกเช่นเดียวกับที่ให้คุณเตชพโลไว้
    "...ก็เพราะชอบเอา คำพระสงฆ์ชราหรือไม่ก็บวชนานๆ
    มาอธิบายความแทนที่จะได้ความ กลับจะต้องมีความมาแทน..."

    "...ประโยคอ้างอิงบนนี้ กระผมต้องขอตัวครับ
    ท่านเล่นไปเอา คำของครูบาอาจารย์ผู้เฒ่ามาตั้งประเด็น แล้วให้ผมแย้ง
    อย่างนี้ ไหนเลยผมจะกล้า ข้อสำคัญคำของพระผู้เฒ่าสมัยก่อน
    บางที่เราๆฟังด้วยกัน พร้อมกัน ยังแปลความหมายไปคนละทางสองทาง
    ..."


    ผมว่าคนที่หลบหลีกตลอดคือคุณบุญฯนะ
    คนที่แปลความหมายไปสองทางนี่ มันมีคนถูกและผิดนะครับ
    ดังเช่นที่คุณยกตัวอย่างไม่ค่อยฉลาดนักว่า
    "ผมยังเห็นสาวคนนั้นยืนตากลมอยู่เลย"
    อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่า ภาษาไทยที่ถูกคืออะไร คุณบุญเฉไฉ

    คุณบุญฯ เฉไฉ ด้วยว่า "คำของพระสงฆ์ชรา" และ "ครูบาอาจารย์ผู้เฒ่า"
    คุณบุญฯอ้าง ความเฒ่าชรา มาเป็นปัญหา ทั้งที่สาระไม่ใช่ความเฒ่าชรา
    เพราะธรรมะนั้น อกาลิโก
    (แต่อย่างว่า คุณบุญฯ ชอบธรรมพื้นบ้านแบบ "เหมือนทันสมัย" เช่น มหาสมปอง
    ผมก็ว่าท่านฮาดีนะ ฮาแบบพื้นบ้านดี บริโภคธรรมะขั้นพื้นฐานง่ายดี)

    แล้วย้อนกลับมาที่คุณบุญฯตีความว่า "บังคับสติ" ที่หลวงตามหาบัวพูดถึงว่าอย่างไรนั้น
    ยังไม่มีความเห็นและคำตอบที่ชัดแจ้งเลยนะ???

    เพราะถ้าเป็น "สติ"อัตโนมัติ แบบถิรสัญญาอย่างที่คุณ บุญฯว่าตามอาจารย์นั้น
    ผมยังไม่เห็นว่า คำสอนแนวนี้จะไปลงรอยกับ "บังคับใจบังคับสติ" ของหลวงตามหาบัวตรงไหน???
    หรือคุณว่าลงรอยกัน ช่วยชี้แจง
    (และจะบอกได้เลยว่า "ถิรสัญญา" นี่ให้อาจารย์คุณไปจดลิขสิทธิ์ได้เลย มีพูดอยู่คนเดียวนี่แหละ)

    ถ้ายังอ้าง "ภาษาลิเก" โดยชี้แจงไม่ได้
    นั่นก็หมายความว่า คำสอนของผู้ที่คุณอ้างถึง ไม่ลงรอยกับครูจารย์หลวงตามหาบัว นั่นเอง
    ดูๆไป สำหรับคุณก็คงไม่เสียหายอะไรเท่าไหร่หรอกนะ

    แล้วเรื่องที่ว่า
    "การภาวนาพุทโธกับการเดินจงกรม มันไปบังคับ สติตรงไหนครับ
    มันก็เห็นๆอยู่ว่า......
    จิตไปบังคับสมอง ให้ภาวนาพุทโธ
    จิตไปบังคับกาย ให้เดินให้ย่าง..."

    คงเป็นคำถามของคนที่สงสัยจริงๆ เพราะไม่เคยพุทโธ
    สติไม่เคยจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมหรือกรรมฐานอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างต่อเนื่อง
    เลยถามออกมา ได้อย่างใสซื่อ
    ก่อนนอน ก็ลองกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งให้ต่อเนื่องดูซักหน่อยสิ

    ถามต่อว่า จิตใช้อะไรบังคับสมอง จิตใช้อะไรบังคับกาย
    จิตใช้อะไรบังคับสมองให้บริกรรมได้ตลอดมั้ย
    จิตใช้อะไรบังคับกายให้จงกรมได้ตลอดมั้ย
    ทำไมบังคับไม่ได้ล่ะ?????? กิเลสไง กิเลสไง มันยอมง่ายๆหรือ
    มันไม่ยอมง่ายๆไง มันไม่ยอมไง
    ถึงต้องบังคับจิตบังคับสติในการภาวนา
     
  12. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถิร แปลว่า เสถียร
    แล้ว ถิรสัญญา จะแปลว่าจำได้ดีและระลึกได้อย่างรวดเร็ว ได้ยังไง

    เมื่อแปลผิด เข้าใจความหมายผิด การปฏิบัติก็ผิดน่ะสิ

    ผมถึงได้บอกไงว่าวิธีปฏิบัติของพวกคุณผมก็รู้
    ที่คุณพูดมาผมเข้าใจหมดนั่นล่ะ
    ถ้าผมไม่รู้ผมจะเถียงคุณไปทำไม

    ผมขี้เกียจพิมพ์มากนะวันนี้
    เหนื่อย...
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผมก็สงสารคุณนะ
    ก็จะให้ว่ายังไง

    ไม่รู้กรรมอะไร พาให้เป็นไป

    โอ้....น่าสงสารนะ
    จะว่าไปแล้วก็เป็นสายทางนะการไปนิพพานนี่
    ถ้าสายทางไหน จะหลงโลก หลงสงสาร
    ห่างพระนิพพานไปเรื่อย ๆ ก็จะยกกันไปทั้งกลุ่มเลยนะ
    เพราะสายทางมันสร้างร่วมกันมาแบบนั้น

    ส่วนสายทางไหนจะไปนิพพานได้นี่
    ก็ยกกันไปเป็นกลุ่มเช่นกัน
    เหมือนกับว่าญาติเราถ้าใครคนหนึ่งไปนิพพานได้ก่อนนี่
    ญาติคนอื่น ก็จะถูกดึงเข้านิพพานไปด้วยกันได้นะ
    เพราะสายทางการสร้างบารมีมาเป็นแบบนั้น

    ผมเห็นคุณโพสต์ แล้วยิ่งคุณบอกว่าไม่รู้จักพุทโธด้วย
    เห็นแล้วสงสารนะผม ผมพูดจริง ๆ นะ....

    โอ้เรื่องของกรรมนี่
    อย่าพากันประมาทนะ

    นัตถิ กัมมะ สมัง พลัง....
    ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรมนะ....

    ก็กรรมของสัตว์โลก ก็จะให้ว่ายังไง
    โอ้...น่าสงสารนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2010
  14. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ขอบคุณครับ ที่ให้คำถามมาแล้วตอบมาเสร็จสรรพ
    มันไม่ใช่การหลบหลีกเลย มันมีเหตุผลในตัวอยู่แล้ว
    ....ท่านเป็นคนนำคำของผู้อื่นมาโพสท์ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว
    ที่ตัวท่านจะต้องอธิบายความ ของข้อความนั้น

    มันก็เหมือนกับที่ผมกำลังคุยกับท่านเตช ในเรื่อง...ถิรสัญญา
    ผมแปลอย่าง ท่านเตชแปลอย่าง ไม่แน่เจ้าของบัญญัติ
    อาจแปลอีกอย่างก็ได้

    ที่ท่านpopฯกล่าวว่า........
    {"ผมยังเห็นสาวคนนั้นยืนตากลมอยู่เลย"
    อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่า ภาษาไทยที่ถูกคืออะไร คุณบุญเฉไฉ}

    ประโยคบนนี้ผมย่อมรู้ เพราะผมเป็นคนสื่อ แต่ท่านpopฯกับท่านเตชรู้มั้ย
    ว่าผมจะสื่อว่าอะไร ก็เหมือนกับที่หลวงตากับหลวงพ่อให้คำไว้
    ผมเข้าใจแบบ ท่านเข้าใจอีกแบบ ท่านเตชอาจเป็นอีกแบบก็ได้

    ......ดังนั้นผมถึงได้บอกว่า อย่างอ้างคำของครูบาอาจารย์ ยิ่งไม่ใช่คำที่ใช้
    ในสมัยเรา เอาเป็นว่าคำนั้นพูดแล้วเข้าใจตรงกันหมดเท่านั้นละ

    .......ท่านรู้มั้ยคำว่าตากลมที่ผมให้ไป อ่านว่าอะไร เอาคำตอบเดียว
    ใช้ครับธรรมนั้นเป็นอกาลิโก มันไม่ขึ้นกับกาลเวลา แต่มันรู้ได้เฉพาะตนหรือเปล่าครับ

    เรื่องหลวงพี่มหาสมปองนี่ ก็เพราะท่านให้นิมนต์หลวงพ่อปราโมช แต่ท่านไม่
    ปะทะคารมหรือเถียงกับใคร ด้วยปฏิสัมพันธ์อันดีผมเลยเสนอ หลวงพี่
    สมปอง เพราะธรรมะของท่านยึดหลัก...เดริเวอลี่ ส่งตรงถึงบ้านและวัด
    แต่ถ้าเป็นเป็นครูบาอาจารย์ของผมจริงๆแล้ว ต้องเป็นหลวงตาไต๋ครับ แต่ราย
    นี้ผมว่าอย่าเลยครับ กลัววัดแตก หลวงตาไต๋แกด่าไฟแลบ แล้วยิ่งถ้าไปเจอ
    หลวงพ่อของท่าน ผมกลัวว่า ลูกศิษย์ห้ามไม่ไหวกุฏิพังแน่ๆ

    เรื่องบังคับสติของหลวงตาบัว ผมไม่ได้คุยกับหลวงตาบัว
    ผมกำลังคุยกับท่าน ถ้าท่านจะให้ผมตอบคำถามไหน ก็บอกมา
    หรือท่านจะเอาคำสอนของใครมา ท่านต้องแสดงความเห็นของท่านมาด้วย
    ผมจะได้ตอบแบบไม่ตะขิดคะขวงใจ แบบนี้ดีมั้ยครับ
     
  15. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เรื่องคำสอนของหลวงพ่อกับหลวงตาจะลงรอยกันหรือไม่ผมไม่รู้ครับ
    แต่ผมว่า คำสอนหลวงพ่อกับคำด่าของหลวงตาไต๋ ลงรอยกันพอดีครับ

    หลวงพ่อท่านไม่ได้จดลิขสิทธิ์ แต่เคยได้ยินท่านสั่งว่า....อย่าเอาคำหรือคำ
    สอนของท่านไปถกเถียงกัน เพียงเท่านี้คงแสดงความเป็นเจ้าของพอแล้วมั้ง
    อย่าถึงกับต้องไปจดลิขสิทธิ์เลย มันอาบัติ
    ท่านเห็นประโยคบนนี้เป็นคำถามหรือครับ ท่านกรุณาอ่านให้หมดซิครับ
    มันเป็นคำแย้ง และมีคำตอบให้ด้วย นี้และครับเป็นการสนทนาแบบมี
    มรรยาทที่แท้จริง ไม่อ้างคนอื่น แย้งได้แต่ต้องมีเหตุผลและคำอธิบายมา
    ประกอบครับ

    ท่านรู้ได้ไงครับว่า ผมไม่เคยพุทโธ ผมทำมาแถบหมด พองยุบ
    สวดชินบัณชร เพ่งตาใน เดิน หรือแม้แต่วิ่งผมก็เคยทำ
    ผมภาวนาก่อนนอนทุกคืนละครับ แต่ผมใช้เพ่งครับ
    ใช้พุทโธมันสำหรับคนจิตอ่อนครับ ที่ภาวนาก่อนนอน
    เพื่อเป็นยานอนหลับครับ
     
  16. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    จิตจะไปใช้อะไรครับ ก็ตัวจิตเองที่บังคับ
    มันจะกิเลสอะไรครับ มันแค่คำบัญญัติ
    ผมจะบอกให้ที่บังคับไม่ได้ตลอด ก็เพราะ..
    จิตไปรับผัสสะใหม่ครับ เมื่อผัสสะใหม่ อารมณ์ก็เปลี่ยน
    ไปตามผัสสะนั้นๆ

    สมมุติว่าท่านเดินจงกรมอยู่ มีหมาบ้าที่ไหนไม่รู้
    มากระโดดกัดท่าน อารมณ์ท่านจะเหมือนกับที่
    เดินจงกรมมั้ยครับท่านpopฯ
     
  17. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ท่านเตชท่านลองไปปรึกษาท่านpopฯดู ว่า คำนี้เป็นของใคร
    และเมื่อท่านใดเป็นผู้ใช้คนแรก ความหมายหรือคำแปลย่อมต้อง
    ใช้ตามผู้ที่กำหนดคำนั้นขึ้น คำแปลของท่านมันเหมือนคนที่ไม่ใชปัญญาในการแปล

    ถึงแม้เรา จะไม่รู้แบบตรงตัวเลย เราก็สามารถวิเคราะห์ได้จาก
    คำหรือคำสอนก่อนของท่านผู้บัญญัติคำ ความหมายจะได้
    เป็นเหตุเป็นผลกัน

    ก็เหมือนที่ผมบอกไว้กับท่านว่า ท่านผู้บัญญัติคำ เคยให้คำสอนไว้ว่าจิตไม่เที่ยง
    ซึ่งมันเป็นมวลรวมในเรื่องนาม

    แต่ท่านไปดันแปลความหมายคำว่า ถิรสัญญา คล้ายว่า มันเสถียรคงอยู่
    ไม่เปลียนแปลง แบบนี้เขาเรียก ไม่มีวิจารณญาณในการให้เหตุผลครับท่านเตชพโล
     
  18. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ถามจริงมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวมั้ย
    พูดอยู่แม่บๆ มะกี๊เนี้ยว่า

    "ผมไม่รู้ผมจะเถียงคุณไปทำไม

    ผมขี้เกียจพิมพ์มากนะวันนี้
    เหนื่อย."
    อดได้ซะที่ไหนละ
    ถึงว่าซินะไอ้ปมเขื่องรักษาไม่หาย
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ

    ใจเย็นๆค่อยๆถกธรรมกับคุณ poppykun กับคุณเตชพโลให้จบก่อนนะครับ

    ส่วนผมนั้นยังมีคำถามอีกมากมายที่จะถามคุณ และทวงถามของเก่าด้วยนะครับ

    จะได้ว่ากันเป็นคนๆไป คุณยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ข้าง ไม่อยากได้ยินคำว่าถูกรุม

    ;aa24
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ว่าด้วยอุปกิเลสแห่งจิต

    [๔๙๙] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในจักษุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในหู นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในจมูก นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในลิ้น นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในกาย นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในใจ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลสแห่งใจในฐานะ ๖ นี้ได้
    เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว
    ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมอันทำให้แจ้งด้วยอภิญญา.

    [๕๐๐] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย

    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในรูป นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ในเสียง นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในกลิ่น นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในรส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในโผฏฐัพพะ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
    ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในธรรมารมณ์ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อใดแล ภิกษุและอุปกิเลสแห่งใจในฐานะ ๖ นี้ได้
    เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว
    ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมอันจะพึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา.
    ^
    ^
    คุณบุญฯครับ

    ผมนำเอาพระพุทธพจน์มาให้อ่านขั้นรายการระหว่างนี้ครับ

    คุณอาจจะตาสว่างขึ้นมาได้บ้างนะครับว่า อุปกิเลสทั้งเกิดขึ้นที่ไหน? กาย? หรือจิต?

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...