การขุดค้นหาหลักฐาน "สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช" ณ โคกโพธิ์ชัย ขอนแก่น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 19 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ผมพูดไม่อ้อมค้อมนะ...คุณ Siritach จัดเป็นคน มืดบอด ที่ ไม่ยอมรับ แม้กระทั่งว่า ในดินแดน แถบประเทศไทย เป็นดินแดนที่มีความเจริญ มายาวนาน...มีการติดต่อ กับประเทศอื่นๆ ดินแดนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นซีกโลกตะวันตก หรือ ทางประเทศจีน..

    หลักฐานทางโบราณคดี มีปรากฏอยู่ไปทั่ว...เพียงแค่ ถ้าไม่ถูกฝรั่ง เอา "กะลา" ครอบไว้ เราก็จะรู้ว่า ดินแดนไทย นี้ มีความเจริญมายาวนาน...เพียงแต่เราดูถูก ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินนี้ ว่า เป็น นิทาน เป็นตำนาน..

    ไม่ว่าจะเป็นอุรังคธาตุ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ตำนานวังพระธาตุของมอญ...เราจึงคิดว่า "คนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นแค่คนป่าเถื่อน" เท่านั้น...ขนาดมอญ เขายังมีประวัติศาสตร์ ย้อนไปอย่างน้อย ก็ ยุคที่สร้าง เจดีย์ชเวดากอง...แต่ไม่ใช่แค่นั้น เข้ายังมีตำนาน ประวัติการสร้างเจดีย์ที่ย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล นับสิบ นับร้อยแห่ง...

    มีประวัติที่สืบทอด เล่าสู่ กันมา ตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆ..

    ตัวอย่าง หลักฐานทางโบราณคดี..

    บรรพชน“คนไทย”สายหนึ่ง อยู่ อ. โนนสูง จ. นครราชสีมา

    เพียงแค่ ไม่มีใครกล้า เอากะลาออก แล้วมาพิจารณา กันใหม่ อย่างเป็นระบบ...

    เมื่อเช้า ผมขับรถมา...ผมนึกและพูดกับภรรยา หลังจาก ฟังหลวงพ่อที่บรรยายธรรม เรื่อง มหาสติปัฏฐานสูตร ที่บอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้ ที่ แคว้นกุรุ ปัจจุบัน คือ เมืองเดลฮี ประเทศอินเดีย...

    ผมอยากจะบอกว่า ต่อให้เป็นมหาเปรียญ 9 ที่คิดว่า ฉลาดกว่าคุณ Siritach นะ ถ้า แค่ท่องจำๆๆๆๆ ไม่โยโสมนสิการ ใคร่ครวญ เชื่อตามที่เขาว่า...ไปเอาปัญญามาพิจารณา..ก็โง่ได้เหมือนๆ กัน

    ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น..

    ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า ในแผนที่ ประเทศอินเดียสมัยพุทธกาลที่เขาจำลองขึ้น...แคว้นมคธ กับ อังคะ จะอยู่ติดกัน และอยู่ฟากตะวันออกของอินเดีย...

    แต่ แคว้นกุรุ ที่ "เขา" หลอกให้คนโง่เชื่อว่า ปัจจุบันอยู่ที่ "เดลฮี" นั้น อยู่ฟากตะวันตกของอินเดีย...แล้วมีอีกกี่แคว้น ที่คั่นกลางอยู่..ลองพิจารณาดูนะครับถ้าจักษุไม่มืดบอด

    แล้ว คราวนี้ มาเทียบ กับข้อความใน อรรถกถา ตอนนี้สิครับ ว่า..แคว้น 3 แคว้นนี้ อยู่ใกล้กันแค่ไหน..

    พระศาสดา (เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน) ประทับนั่งบนกองทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ชื่ออัคคิทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "พหุง เว สรณัง ยันติ" เป็นต้น.

    อัคคิทัตได้เป็นปุโรหิตถึง ๒ รัชกาล

    ดังได้สดับมา อัคคิทัตนั้น ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล. ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงพระนามว่า ปเสนทิโกศลทรงดำริว่า "ผู้นี้เป็นปุโรหิตแห่งพระชนกของเรา" จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งนั้นนั่นแล ด้วยความเคารพ ในเวลาเขามาสู่ที่บำรุงของพระองค์ทรงทำการเสด็จลุกรับ. รับสั่งให้พระราชทานอาสนะเสมอกัน ด้วยพระดำรัสว่า "อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้."

    อัคคิทัตออกบวชนอกพระพุทธศาสนา

    อัคคิทัตนั้น คิดว่า "พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่างเหลือเกิน, แต่เราก็ไม่อาจเอาใจของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาลเป็นนิตย์เทียว; อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย, ชื่อว่าความเป็นพระราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแล เป็นเหตุให้เกิดสุข; ส่วนเราเป็นคนแก่, เราควรบวช." เขากราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชานุญาตการบรรพชาแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์ของตนทั้งหมดในเพราะการให้ทานเป็นใหญ่ตลอด ๗ วันแล้ว บวชเป็นนักบวชภายนอก. บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัตนั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน) ให้โอวาทนี้ว่า "พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอทั้งหลาย ผู้ใดมีกามวิตกเป็นต้น เกิดขึ้น, ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่งๆ จากแม่น้ำ (มา) เกลี่ยลง ณ ที่นี้." พวกนักบวชเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" ในเวลากามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำอย่างนั้น. โดยสมัยอื่นอีก ได้มีกองทรายใหญ่แล้ว. นาคราชชื่อ อหิฉัตตะ หวงแหนกองทรายใหญ่นั้น. ชาวอังคะ มคธะ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไป ถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆ เดือน.

    จากพระอรรถกถา ดังที่ได้ยกมาแสดงข้างต้น ทำให้ทราบได้ว่าแคว้นอังคะ แคว้นมคธะ และแคว้นกุรุ ทั้ง ๓ แคว้น มีอาณาเขตติดต่อกัน ชาวเมืองไปมาหาสู่กันเป็นประจำทุกเดือน เพื่อนำเครื่องสักการะไปถวายทานแก่พวกนักบวชที่มีท่านอัคคิทัตเป็นหัวหน้า หาได้มีที่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นพันกิโลเมตรและถูกคั่นกลางอยู่ด้วยแคว้นกาสี โกสละ เจตี วังสะและปัญจาละ ดังปรากฏในแผนที่ที่นักโบราณคดีตะวันตกเขียนให้ชาวโลกเชื่อตามๆ กันมา

    ....

    ไม่ได้โกรธนะ..แต่อยากพูดแรงๆ เผื่อมันจะกระแทกกะลาที่ครอบอยู่ให้หลุดออกมาได้บ้างครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. jirong9

    jirong9 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +0
    บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัตนั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน)

    ที่คุณเอกอิสโรยกมาข้างต้น คุณเข้าใจผิดแล้ว (ต่อกัน)ในวงเล็บเป็นการขยายกริยา หมายถึงทำอะไรๆในระหว่างจุดหนึ่งต่อกันไปจนถึงอีกจุดหนึ่ง ไม่ใช่ขยายนามจนกลายเป็นพื้นที่ติดกัน

    อ้างอิง:
    อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑

    ปลดเกวียนทั้งหลายในระหว่างกรุงสาวัตถีและพระเชตวัน (ต่อกัน). หมายถึงจากจุด
    กรุงสาวัตถีจนถึงพระเชตวันมีการปลดเกวียนในระหว่างนั้น

    อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปกิณณกวรรคที่ ๒๑

    แล้วรับสั่งให้ปราบพื้นที่ ๕ โยชน์ในระหว่างกรุงราชคฤห์และแม่น้ำคงคา (ต่อกัน) ให้สม่ำเสมอ หมายถึงให้ถากถางทำความสะอาดจากจุดกรุงราชคฤห์ไปจนถึงจุดแม่น้ำคงคา

    แล้วปราบพื้นที่ประมาณ ๓ โยชน์ ในระหว่างเมืองไพศาลีและแม่น้ำคงคา (ต่อกัน) ให้สม่ำเสมอ หมายถึงให้ถากถางทำความสะอาดจากจุดเมืองไพศาลีไปจนถึงจุดแม่น้ำคงคา

    ดังนั้น

    บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัตนั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน)

    หมายถึงอัคคิทัตพร้อมด้วยนักบวชทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่งในบริเวณจากจุดแคว้นอังคะไปจนถึงจุดแคว้นมคธะและไปจนถึงจุดแคว้นกุรุ

    ทั้งสามสี่ตัวอย่างมีรูปประโยคที่เหมือนกันและจากบริบทล้วนแต่ให้น้ำหนักไปที่ตัวกริยาทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2016
  3. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ไอ้เราก็คิดว่านายเอกจะมีทีเด็ด งัดหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพุทธศาสนาในไทยย้อนไปถึงสมัยพุทธกาลเหมือนที่อินเดียมี หลงคลิกไปอ่าน ดันเจอหลักฐานก้างปลาช่อนกับคนไทยนับถือหมาสมัยโบราณ

    เอาที่เอกสบายใจเลยแล้วกัน
     
  4. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    จะลองพิสูจน์ กันดูสักตั้งมั๊ยครับ....ถ้าใครจะสามารถอนุญาต ให้ขุดใต้องค์พระธาตุดอยจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่....จะได้พิสูจน์ คำฝรั่งด้วย ว่า "พระพุทธรูปมี สมัย พ.ศ. 600-800 สมัยพระเจ้าอโศกไม่มีการสรา้ง "พระพุทธรูป"

    https://www.facebook.com/1054674574...674574607615/1055201264554946/?type=3&theater
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. Alexander the Great

    Alexander the Great สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมเห็นใจท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรจริงๆ ผมหรือพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชจึงได้ประชุมกับท่านบุเรงนองและท่านเจงกีสข่านและพากันไปหาอาจารย์ท่านนึง อาจารย์ท่านนี้มีบารมีแก่กล้าเทียบได้กับอาจารย์ที่นั่งทางในจนทำให้ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรพบสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามาแล้ว

    มีข่าวดีมาบอกท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรครับ คือความลับทั้งหลายที่เป็นประจักษ์พยานวัตถุที่จะบอกว่าพุทธศาสนาเกิดในประเทศไทย อยู่ใต้พื้นดินบริเวณบ้านของท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรเองครับ อาจารย์และพวกผมเหล่ามหาราชได้ตรวจสอบทางจิตแล้วขอยืนยันว่าเป็นความจริง

    ใต้พื้นดินบริเวณบ้านของท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรจะมีศิลาจารึกและโบราณวัตถุเก่าแก่ย้อนไปหลายพันปี

    ที่ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรไม่ทราบเพราะยังไม่ถึงเวลา แต่บัดนี้เมื่อเหล่ามหาราชมารวมตัวกัน และเป็นเวลาเหมาะที่จะประกาศให้โลกรู้ความจริง จึงเผยความลับนั้นมา

    ท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรต้องขุดหาใต้พื้นดินบริเวณบ้านของท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรตอนนี้ได้เลยครับ แล้วความจริงจะปรากฏ

    ปล. จากนิมิตรขอบเขตที่จะต้องขุด กินบริเวณเท่าบริเวณบ้านของท่านพระเจ้าอโศกมหาราชเอกอิสโรเลยครับ
     
  6. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบคุณครับ..ท่านอเล็กซานเดอร์...คงต้องรอให้ผม รื้อบ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้ก่อนนะครับ จะลองขุดดูครับ

    แต่ตอนนี้ มาพิจารณาเรื่องนี้กันดูก่อนครับ

    เมื่อวาน (7 พ.ค.) ผมหยิบ DVD สารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า มาดู โดย สุ่มหยิบ Disc4 มาเปิดดู เลือก ตอนสุดท้าย "ไขปริศนาการค้นพบอันยิ่งใหญ่"

    เปิดดูไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวช จนมาตรัสรู้ที่ พุทธคยา...ในสารคดี ทำภาพกราฟฟิก เส้นทางจากกบิลพัสดุ์ มาถึงพุทธคยา....โดยอธิบายว่า 2 จุดนี้ อยู่ห่างกัน 200 กิโลเมตร...

    ผมคิดว่า...นี่ยิ่งเป็นการตอกย้ำ ความโง่ ของคนที่เชื่อตาม โดย ละทิ้งคำของ "พระพุทธเจ้า คำของพระอรหันต์ ที่ท่าน บอกเล่าและบันทึก ทั้งในพระไตรปิฎก และอรรถกถา"

    เพราะอะไร...ลองมาอ่าน สมมติฐานของผม และ "สิ่งที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก และอรรถกถา"

    คราวนี้ มาดู ข้อสมมติฐานของผม ครับ

    สมมติฐาน เส้นทางเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์จาก กบิลพัสดุ์ ถึง อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ แล้วเสด็จสู่พระนครราชคฤห์ จาก พระไตรปิฎกและอรรถกถา
    เวลาที่พระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระมหาสัตว์ทรงทิ้งจักรวรรดิราชย์ที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ทรงเยื่อใยเหมือนก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์อันเป็นสิรินิวาสแห่งจักรพรรดิ เมื่อดาวนักษัตรอุตตราสาฬหะเพ็ญเดือนอาสาฬหะ เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะทรงแลดูพระนคร ในลำดับแห่งความตรึกนั่นเอง ภูมิประเทศนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนจักรแป้นหมุนทำภาชนะดินแก่พระองค์.
    พระมหาสัตว์ทรงยืนอยู่อย่างเดิม ทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงกระตุ้นม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปตามทางที่พึงไป แสดงเจดียสถานชื่อกัณฐกนิวัตตนะ ที่ม้ากัณฐกะหันหน้ากลับ ณ ภูมิประเทศนั้น เสด็จไปด้วยสักการะยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุให้เกิดสิริอันโอฬาร.
    ครั้งนั้น เมื่อพระมหาสัตว์กำลังเสด็จไป เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิงจำนวนหกล้านดวงข้างหน้าพระมหาสัตว์นั้น ข้างหลังก็หกล้านดวงเหมือนกัน ข้างขวาก็หกล้านดวง ข้างซ้ายก็เหมือนกัน เทวดาพวกอื่นๆ อีกก็สักการะด้วยพวงมาลัยดอกไม้หอม จุรณจันทน์ พัดจามรและธงผ้าห้อมล้อมไป สังคีตทิพย์และดนตรีเป็นอันมากก็บรรเลงได้เอง.
    พระโพธิสัตว์เสด็จไปด้วยเหตุที่ให้เกิดสิริอย่างนี้ เสด็จหนทาง ๓๐ โยชน์ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร ราตรีเดียวเท่านั้นก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา.
    ...
    พระโพธิสัตว์ครั้นบวชแล้วทรงยับยั้งอยู่ในอนุปิยอัมพวันซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้น ๗ วัน ด้วยความสุขอันเกิดจากบรรพชา แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทสิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์โดยวันเดียวเท่านั้น ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์. ก็ครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว ก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก.
    .......
    [๓๓๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่อนุปิยนิคม
    ของพวกเจ้ามัลละ ครั้งนั้น พวกศากยกุมารที่มีชื่อเสียงออกผนวชตามพระผู้มีพระภาค ผู้ทรงผนวชแล้ว ฯ
    ...
    ลำดับนั้น พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธพระนามว่าพิมพิสาร ผู้อันเหล่าพาลชนนึกถึงได้ยาก ผู้มีเขาพระเมรุและเขามันทาระเป็นสาระ ผู้ทรงเป็นแก่นสารแห่งสัตว์ ทรงมีความตื่นเต้นเพราะการเห็นที่เกิดเพราะได้สดับคุณของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพักตร์ตรงภูเขาปัณฑวะ เสด็จไปแล้วลงจากพระราชยาน เสด็จไปยังสำนักพระโพธิสัตว์ อันพระโพธิสัตว์ทรงอนุญาตแล้วประทับนั่งเหนือพื้นศิลา อันเย็นด้วยความรักของชนผู้เป็นพวกพ้องทรงเลื่อมใสในพระอิริยาบถของพระโพธิสัตว์ ทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว ทรงถามถึงนามและโคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างแด่พระโพธิสัตว์.
    พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ข้าแต่พระมหาราช หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม หม่อมฉันปรารถนาแต่พระปรมาภิสัมโพธิญาณ จึงออกบวช.
    พระราชาแม้ทรงอ้อนวอนหลายประการ ก็ไม่ได้น้ำพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จึงทูลว่า ก็พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วโปรดเสด็จมาแคว้นของหม่อมฉันก่อน แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร.
    .....
    ระยะทางระหว่าง พระนครกบิลพัสดุ์ ถึง อนุปิยอัมพวัน 30 โยชน์ 480 กิโลเมตร
    ระยะทางระหว่าง อนุปิยอัมพวัน ถึงราชคฤห์ 30 โยชน์ 480 กิโลเมตร
    ระยะทางระหว่าง พระนครกบิลพัสดุ์ ถึงราชคฤห์ 60 โยชน์ 960 กิโลเมตร
    อนุปิยอัมพวัน เป็น สวนป่าไม้มะม่วง ของ พวกเจ้ามัลละ
    ข้อสมมติฐาน..คือ
    1. พระนครกบิลพัสดุ์ อยู่ที่ เมือง Thaton ประเทศเมียนมาร์
    2. อนุปิยอัมพวัน เป็น สวนป่าไม้มะม่วง อยู่ในพื้นที่ "อำเภอ ท่าม่วง" จังหวัดกาญจนบุรี
    3. แม่น้ำอโนมานที ก็คือ แม่น้ำแม่กลอง
    4. พระนครราชคฤห์ อยู่ที่ ในหุบเขา อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ในหุบเขา ที่ล้อมรอบอยู่
    เส้นทาง จึงเป็นดังที่จำลองขึ้น โดย กูเกิล แมพ ตามที่แสดงครับ

    https://www.facebook.com/thanabodee.tace/posts/932081806909262

    ซึ่ง ผมตั้งเป็นกระทู้ใหม่ สำหรับผู้ที่สนใจ เฉพาะประเด็นนี้ ว่า

    ไขปริศนาการค้นพบ "ความโง่" ที่หลงเชื่อเรื่องที่ตั้งพุทธคยา-ราชคฤห์ ที่อินเดีย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...