กสิณ..ความรู้เบื้องต้น..วิธีฝึก..ประโยชน์ที่ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ณัฐสิทธิ์, 20 กรกฎาคม 2007.

  1. MegaFM

    MegaFM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +1,446
    สติต้องแกร่งถ้าสติไม่แกร่งก็เอาจิตไม่อยู่
     
  2. chentenryu

    chentenryu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +206
    ทันตแพทย์ผู้นี้ "ไม่มีความเข้าใจพระธรรม" เลย
    เหตุว่า ในพระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระพุทธมารดา ที่ดาวดึงสเทวโลก
    มีเนื้อความโดยสรุปว่า
    พระพุทธองค์ทรงเสด็จขึ้นไปยังดาวดึงสเทวโลก ด้วยกายเนื้อ(มโนมยิทธิ เต็มกำลัง) เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ด้วยพระอภิธรรมในช่วงเข้าพรรษา แลพระพุทธชนนีนั้น ก็ได้บรรลุ โสดาปัตติผล แล...
    ถึง อริยะบุคคลขั้นที่สองในแปดขั้น แล้วค่ะ คิดว่าจะไปต่อภายในภพภูมิอื่นนอกเหนือจาก ภพภูมิมนุษย์ ได้ไหมคะ...
    อ้างอิงด้วยพระสัทธรรม แห่งองค์พระบรมครู ดีกว่าค่ะ อย่าไปอิงท่านนั้นท่านนี้เลย... ครูบาอาจารย์ พระสุปฏิปันโน แต่โบราณมีองค์ไหน อ้างตัวเองบ้างคะ ไม่มีเลยนะคะ ท่านจะอ้างแต่องค์บรมครู เท่านั้นนะคะ
    ดีที่สุด ตรงทางที่สุด อย่าให้ใครเค้าหลอกขายของได้เลยค่ะ
     
  3. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    การฝึกกรรมฐานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสมถ หรือ วิปัสสนากรรมฐานนั้น ควรจะมีครูอาจารย์ ผู้รู้จริงเป็นผู้สอน และบอกแนวทางต่างๆอย่างชัดเจน เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ควรที่จะฝึกเรียนด้วยตนเอง อันจะทำให้เกิดความผิดพลาด เรียนแบบผิดๆถูก และอาจทำให้หลงโลก หลงทาง ได้ง่าย

    ผู้ที่จะเรียนกสิณได้สำเร็จนั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้เคยฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว ในอดีตชาติ หรือเป็นผู้ที่มีจิตอันมั่นคง เป็นสมาธิแนบแน่น ข้าพเจ้าได้เรียนกสิณกับสำนักปฏิบัติกรรมฐานวัดราชสิทธาราม (พลับ) คณะ ๕ ซึ่งเป็นการปฏิบัติกรรมฐานตามลำดับ ผู้ที่จะเรียนกสิณได้นั้นต้องผ่านการเรียนกายคตาสติกรรมฐาน (พิจารณา อาการ ๓๒) ก่อน จึงจะเรียนกสิณทั้งสิบอย่างได้ เพราะการเจริญกายคตาสติกรรมฐาน อาการ ๓๒ นั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ถึงลักษณธของอาการต่างๆตามเป็นจริง เช่น เป็นสีอะไรบ้าง เป็นธาตุอะไรบ้างตามเป็นจริง เมื่อผ่านการเรียนรู้อาการทั้ง ๓๒ แล้ว จึงค่อยเรียนกสิณทั้ง ๑๐ อย่าง
    <O:p></O:p>
    การฝึกกสิณนั้นเป็นการฝึกจิตให้มีพลัง เกิดสมาธิที่แนบแน่นมั่นคง ให้จิตมีพลานุภาพมากยิ่งๆขึ้นไป เป็นรากฐานของการเจริญวิปัสสนาต่อไป
    <O:p></O:p>
    ส่วนการได้อภิญญาต่างๆนั้น บุคคลผู้นั้นต้องผ่านการเจริญอาการ ๓๒ ทั้งหมดก่อน เสร็จแล้วเจริญกสิณทั้งสิบให้ชำนาญ แล้วก็เจริญฌานต่างๆ ตั้งแต่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ไปจนถึงอรูปฌานต่างๆ (อากาสานัญจายตนฌาน อากิญญจัญญายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน) รวมเป็นสมาบัติ ๘ และมีสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นที่สุด (๑ ในล้านคนจึงจะทำได้) สมาบัติ ๘ เป็นพื้นฐานของอภิญญาญาณต่างๆ
    <O:p></O:p>
    และการเกิดอภิญญาต่างๆนั้น ไม่ว่าจะเป็น อิทธิวิธญาณ มโนมยิทธิ ตาทิพย์ หูทิพย์ การกำหนดรู้จิตใจสัตว์ต่างๆได้ เป็นต้นนั้น ต้องอาศัยปัญญาประกอบด้วย จึงจะสำเร็จได้ ไม่ใช่ว่า เรียนกสิณอย่างเดียวจะได้อภิญญาเลย
    <O:p></O:p>
    ต้องฝึกสมาบัติ ๘ ให้ชำนาญ ด้วยกสิณต่างๆ สลับไปมา กับ อรูปฌานต่างๆ จนสามารถที่จะบังคับจิตได้ตามประสงค์ อภิญญาญาณจึงจะสำเร็จได้ และพร้อมกันนั้นจะต้องเจริญปัญญาไปด้วย จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้สูงสุด
    <O:p></O:p>
    ในสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่จะได้สมาบัติ ๘ จริงๆนั้น หลวงพ่อวีระ ฐานะวีโร วัดราชสิทธาราม (พลับ) ท่านบอกว่า ๑ ใน หมื่นคน ส่วนอภิญญาญาณนั้น ๑ ใน แสนคน และบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีบารมีสั่งสมมาด้านนี้โดยเฉพาะจึงจะสำเร็จได้ง่ายในชาตินี้ และผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ และอภิญญาจะไม่แสดงตนเอง
     
  4. ทศพร(บอล)

    ทศพร(บอล) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +129
    ลาภ 4 ประการที่มนุษย์เราึควรภูมิใจ
    บทอบรมกรรมฐาน

    ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติกรรมฐานในครั้งแรกๆ นั้น ท่านสอนให้นึกถึงบุญของเราแต่ละคน ว่าเราแต่ละคนได้มีโอกาสมาฝึกกรรมฐานนี้ เรามีบุญแล้ว คือ เราได้สิ่งที่บุคคลทําได้โดยยาก 4 ประการ จึงน่าภูมิใจ สิ่งที่บุคคลได้โดยยาก 4 ประการ คือ
    1. การบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
    2. การเกิดมาเป็นมนุษย์
    3. การได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือการได้บรรพชาอุปสมบทในพระศาสนา
    4. การมีศรัทธามาปฏิบัติกรรมฐาน
    ลาภข้อที่ 1 การบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
    ที่ว่าเป็นลาภของเราแต่ละคน ก็เพราะพระพุทธเจ้านั้นเป็นบุคคลที่หาได้ยากอย่างแท้จริง ไม่ได้เกิดขึ้นในโลกทุกยุคทุกสมัย ในโลกที่มีอายุเป็นล้านๆ ปีนี้ พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นได้ไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัย บางยุคเป็นยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนา เมื่อยุคใดเป็นยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนา สัตว์โลกก็บอดมืด ไม่รู้ไม่เห็นหนทางแห่งความสงบสุข
    การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้้น ต้องบําเพ็ญบารมีมานาน อย่างพระพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ทรงบําเพ็ญบารมีมานานถึง 4 อสงไขยกับแสนกัปป์ จึงสามารถมาตรัสรู้ได้ การที่พระพุทธเจ้าจะปรากฏขึ้นในโลกนั้น เป็นสิ่งหาได้ยาก
    เมื่อทรงอุบัติขึ้นแล้ว ก็สามารถนําความสุขมาให้แก่บุคตคลที่ได้มาพบเห็นพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมาก ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดแล้ว เราทุกคนนี้ก็จะไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ก็อาจจะบอดมืดและอาจจะนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ซึ่งไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์
    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น สัตว์โลก มนุษย์ทั้งหลายกําลังบอดมืด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวทุกข์ อะไรเป็นตัวร้อน อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา เพลิงที่เผาอยู่นั้นมีทั้งเพลิงทุกข์และเพลิงกิเลส
    สัตว์โลกทั้งหลายถูกเพลิงทั้งสองใหม้อยู่ ทั้งๆ ที่ถูกเพลิงนี้เผาไหม้ แต่บุคคลในโลกนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพลิง แล้วจะรู้วิธีดับเพลิงได้อย่างไร แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์เป็นคนแรกที่ทรงชี้ให้เห็นถึงหนทางถึงความดับทุึกข์ และดับทุกข์ได้จริง เพราะฉะนั้น การอุบัติขึ้นของพระองค์นั้น จึงจึดว่าเป็นความประเสริฐ เป็นลาภ
    แม้พระองค์จะนิพพานไปแล้ว แต่ธรรมะของพระองค์ยังเป็นศาสดาสอนแทนพระองค์อยู่ การที่พระพุทธศาสนาจะอันตรทานไปจากโลกนั้้น ต้องมีลักษณะการอันตรทานดังต่อไปนี้
    - ปริยัติอันตรธาน คือ คนไม่สามารถจดจําคําสอนของพระพุทธเจ้าได้เลย
    - ปฏิบัติอันตรธาน คือ คนไม่ได้ปฏิบัติเลยแม้แต่ศีล 5
    - ปฏิเวธอันตรธาน คือ ไม่มีผู้บรรลุมรรคผลเลยล
    - ลิงคอันตรธาน คือ ไม่มีเพศบรรพชิตเลย
    - ธาตุอันตรธาน คือ พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ที่กระจายอยู่ทั่วโลกอันตรธานหายไป
    แต่อันตรธานทั้ง 5 ประการนี้ ยังไม่เกิดขึ้นในพระศาสนาของเรา เพเราะปริยัติก็ยังบริบูรณ์อยู่ ปฏิบัติก็ยังบริบูรณ์อยู่ ปฏิเวธก็ยังเชื่ือว่ามีผู้บรรลุอยู่ เพศของสมณะก็ยังปรากฏอยู่ ยังมีผู้บวชอยู่ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าก็ยังปรากฏอยู่
    รวมความว่า ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังปรากฏบริบูรณ์อยู่ในโลกนี้ พระพุทธเจ้าที่ยังปรากฏให้เห็นชัดก็คือ พระบรมสารีริกธาุตุ และพระธรรมอันเป็นตัวแทนของพระองค์ ก็มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ส่วนพระสาวกของพระองค์ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน เราเกิดขึ้นในยุคที่พระพุทธศาสนายังมีอยู่
    โดยเฉพาะเกิดิเป็นคนไทยในประเทศไทย ซึ่งไม่มีการทําลายพระพุทธศาสนาเหมือนกับในบางประเทศ เราจึงควรภูมิใจว่าเรานั้นมีบุญ คือ มีบุญที่ได้มาเกิดในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ในขณะที่ศาสนาของพระบรมศาสดานั้นยังมีอยู่ ชื่อว่าได้ลาภข้อที่ 1
    ลาภข้อที่ 2. การเกิดมาเป็นมนุษย์
    คือ การที่สัตว์โลกซึ่งท่องเที่ยวในสังสารวัฏนั้น ไม่ใช่ของง่ายเลยที่จะได้อัตภาพเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะในโลกมีสัตว์โลกนับเป็นแสนๆ ชนิด แต่เราได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์ก็น่าภาคภูมิใจ เราไม่เกิดดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เป็นเปรต เป็นอสูรกาย หรือเป็นสัตว์นรก เมื่่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีอาการครบ 32 บริบูรณ์ ไม่บ้าใบ้ ไม่หูหนวก หรือไม่บกพร่องอย่างใดอย่างหนุึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นลาภ เพราะการที่ได้อัตภาพมาเป็นสนุษย์นี้ไม่ใช่ของง่ายๆ
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "การกลับมาเป็นมนุษย์เป็นการยาก" คือ คนบางคน เมื่อชาติหนึ่งเคยเป็นมนุษย์แล้ว แต่ประพฤติล่วงศีล 5 ข้อใมดข้อหนึ่งหรือหลายข้อเป็นประจํา เมื่อตายไปก็อาจไปบังเกิดในอบายภูมิ เช่น เกิดิเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ไม่อาจจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "การกลับมาเป็นมนุษย์เป็นการทําได้โดยยาก" แต่เราทุกคนได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์แล้ว นับเป็นบุญในข้อนี้แล้ว เพราะผู้ที่จะได้อัุตภาพมาเป็นมนุษย์นั้น ในชาติก่อนอย่างน้อยจะต้องมีัศีล 5 เป็นพื้นฐาน เมื่อเราได้อัตภาพนี้แล้ว แสดงว่าเมื่อชาติก่อนเราเป็นผู้มีศีล 5 ประจําใจ จึงได้เกิดมาเป็นมาุษย์นี้ เมื่อได้อัตภาพเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญ เป็นลาภ
    ลาภข้อที่ 3 ได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือการได้บรรพชาอุปสมบท
    ทั้งนี้ก็เพราะว่าโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีมนุษย์อยู่เป็นพันๆ ล้านๆ คนนั้น ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมีอยู่นิดเดียว นอกนั้นก็นับถือศาสนาอื่ื่นๆ หรือไม่ก็ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย แต่การที่เรานับถือพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสัจธรรมอันประเสริฐ ที่เราสามารถพิสูจน์ได้ และนําความสุขมาให้แก่ผู้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ส่วนการบรรพชาหรืออุปสมบทเป็นพระภิกษุหรือสามเณรในพระศาสนา หรือแม้การบวชเป็นแม่ชีผู้เว้นชั่ว ประพฤติดี ก็ชื่อว่าบวชเช่นกัน
    การที่บุคคลเราเกิดมาเ้ป็นมนุษย์แล้ว ได้เข้ามาบวชไม่ใช่ของทําได้ง่าย เพราะการบวชนั้นต้องอาศัยความอดทน อาศัยบุญบารมี อาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่าง จึงทําให้บวชได้ เราจะเห็นได้ว่าผู้เข้ามาบวชนั้้นยังน้อย นอกนั้นก็วุ่นวายยุ่งอยู่กับกิจการของโลก ซึ่งก่อนให้เกิดกิเลสนานาชนิด และเป็นทางที่นําไปสู่ความดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ส่วนใหญ่ยังไม่อาจยกจิตขึ้นสู่ทางสงบสุข
    แต่เราทุกคนซึ่งได้นับถือพระพุทธศาสนา และบางท่านได้มีโอกาสเข้ามาบวช ถือว่าเป็นลาภ แต่ก็คงมีบางท่านซึ่งบวชแล้ว แต่ไม่สามารถยกจิตขึ้นสู่ระดับสูงได้ ก็นับว่าน่าเสียดาย
    ลาภข้อที่ 4 มีศรัทธาเข้ามาฝึกกรรมฐาน
    ทั้งนี้ เพพราะการที่เรานับถือพระพุทธศาสนา มีน้อยคนจะได้เข้ามาบวช และแม้ที่บวชแล้ว ก็มีน้อยคนที่จะได้มาฝึกรรมฐาน แม้ฆราวาสทั่วไปก็เหมือนกัน นับถือพุทธศาสนามานานก็จริง น้อยท่านที่จะมีศรัทธามาฝึกกรรมฐาน แต่เราทุกท่านทั้งบรรพชิตฆราวาสและซึ่งนั่งอยู่ ณ สถานที่นี้ มีศรัทธามาปฏิบัติกรรมฐาน จึงถือว่าเป็นลาภข้อที่ 4
    ทั้ง 4 ประการนี้ เป็นลาภของเราแล้ว ขอให้ทุกคนทุกท่านพิจารณาถึงบุึญของเราแต่ละคนั้นว่า เรานั้นมีบุญจึงได้ลาภทั้ง 4 ประการนี้คือ
    1. เราเกิดในยุคที่พระพุทธศาสนายังมีอยู่
    2. เราได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์ คือ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
    3. เราได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือเราได้บรรพชาหลีกเร้นออกจากสิ่งที่วุ่นวายแล้ว
    4. เราได้มีศรัทธา ได้มีโอกาสมาฝึกกรรมฐานแล้ว
    เพราะฉะนั้น ควรใช้โอกาสที่มีอยู่นี้ ฝึกกรรมฐานให้มากที่สุด เท่าที่จะทําได้
    การฝึกอบรมกรรมฐานในพระพุทธศาสนานั้น ยังมีทั้งแบบสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แต่อย่างไรก็ตาม กรรมฐานทุกระบบต้องใช้ศีลเป็นพื้นฐาน เป็นก้าวแรก ต่อไปก็๋ต้องใช้สมาธิเพื่อเป็นบาทขึ้นสู่วิปัสสนา..................
     
  5. คนมีกำกึด

    คนมีกำกึด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมก็อยากไปฝึกที่วัดยานนาวาเช่นกันแต่ บ้านผมอยู่ลำปางและผมก็อายุ 18 ปี ที่บ้านคุณแม่ไม่ศรัทธาเรื่องกรรมฐาน(หาว่าบ้า) คุณน้าเข้าใจแต่ไม่ให้ผมทำ(กลัวผมบวช) คุณพี่คนกลางของผมอยู่กทม.ก็เรียนป.เอกไม่มีเวลาว่าง ผมเองจะสั่งชุดกสิณก็ไม่มีตัง อีกอย่างคือส่งเงินทางธนาคารไม่เป็น ก็เลยตามมีตามเกิดกะว่าจะทำกสิณฝึกเองครับ
     
  6. มด_สมาธิ

    มด_สมาธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +88
    ทำกสินเองเดี๋ยวจะกลายเป็นกสินโทษนะครับ ควรศึกษาให้ดีก่อนครับ ทำเองสามารถทำได้ครับ แต่ต้องเข้าใจว่าทำอย่างไรครับจึงไม่เป็นโทษครับ อันนี้ต้องลองถามผู้รู้นะครับ ผมเคยอ่านในหนังสือมาครับ (good)
     
  7. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    เดี๋ยวผมจะไปฝึกที่วัดยานนาวาบ้างครับ เคยนั่งรถผ่านเพิ่งรู้วันนี้เอง
     
  8. chentenryu

    chentenryu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +206
    โห..กสิณน่ะ ฝึกจากพวก อัชฌาสัย ตั้งแต่ เตวิชโช ดีกว่าฮับ พวกที่ได้ เจโตฯ,ทิพยจักขุญาณ แล้วน่ะ ปลอดภัยกว่า มั่วขึ้นมาแล้วเดี๋ยวได้ บ้า กันใหญ่ แล้วกสิณน่ะ ทำไมแพงจัง เอาแผ่นหนังเจาะรู ดูหลอดไฟ ก็ ได้ นิมิตอาโลกกสิณ แล้ว ไม่เห็นต้องไปซื้ออุปกรณ์ โง่ๆ ให้เปลือง แล้วนิมิตกสิณเสีย มันคือ สีอื่น อาการอื่น ที่เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด นั่นแหล่ะ
    ครูบาอาจารย์แต่โบราณ สอนให้ง่ายๆ สอนให้เป็นเร็วๆ ละเอียดๆ มันไม่เอากัน ไปเอาทางยากๆ เวร...
     
  9. yiyuanka

    yiyuanka Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +34
    อยากไปแต่ไมรรู้จักคัยอ่าคร่า
     
  10. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    [​IMG]

    ธมฺมกาโม ภวํ โหติ</SPAN>
    ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ
    ธมฺมเทสฺสิ ปราภโว
    ผู้ชังธรรม เป็นผู้เสื่อม
    นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
    สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.



    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตยที่เคารพบูชาเป็นสรณะสูงสุด
    จงอำนวยอวยชัยให้พรแก่ทุกๆ ท่านที่คิดดี พูดดี ทำดี
    อยู่ในศีล อยู่ในธรรม และหมั่นเจริญพระกรรมฐาน
    ขอให้ท่านเจริญ ซึ่งอายุ วรรณะ สุขะ พละ


    อนุโมทนาบุญนะครับ สาธุ ๆ ๆ
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอนิดนึงนะครับ...พรหมที่สามารถนิพพานได้ คือพระอริยะที่ได้เป็นอนาคามิในโลกมนุษย์ พอละสังขารไปแล้วไปจุติเป็นพรหม ชั้นสุทธาวาส ก็จะนิพพานที่ชั้นนั้น ส่วนพรหม รูปพรหมอื่น ไม่สามารถนิพพานได้ สมัยก่อน..เมื่อพระพุธท่านบรรลุธรรมใหม่ๆๆท่านก็ตั้งใจจะไปสอน อาจารย์ของท่านซึ่งได้สำเร็จสมาบัติ8 แต่พอพระพุธท่านดูด้วยญาณ ก็รู้ว่า ฉิบหายเสียแล้ว อาจารย์ท่านไปจุติยัง อรูปพรหม ชั้น เนวะสัญญานาสัญญายตนะ คือชั้นสูงสุด ของอรูปพรหม ..ซึ่งอยู่สูงกว่าชั้นสุทธาวาสด้วยซ้ำ อายุขัยของชั้น เนวะสัญญานาสัญญายตนะนั้น มีอายุราว 84,000 กัป เรียกได้ว่า นานจนเรียกนิพพานพรหม แต่ไม่ใช่นิพพานของพระพุธเจ้าสอน ซึ่งเมื่อชั้นนี้หมด อายุเมื่อไร ก็จะจุติลงมาเหมือนเดิม ตามเหตุและผล ที่ทำไว้
     
  12. jokerpalm

    jokerpalm Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +46
    กสิณ แนวฝึกแบบของผม ชอบมากๆ

    ไม่ง่วง ไม่ฟุ้ง

    สไตล์คนโทสะจริต
     
  13. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    เทคนิคการเพ่งกสิณให้ได้จริง และรวดเร็ว

    หากท่านใดต้องการฝึกสมาธิแบบกสิณให้ได้จริง.. อย่าพึ่งไปตั้งหน้าตั้งตา เพ่งกสิณทันที ให้ฝึก อาณาปานสติให้ทรงตัว อย่างน้อย ให้ได้อารมณ์ใน สมาธิขั้นกลาง หรืออุปจารสมาธิก่อน แล้วค่อยไปเริ่มเพ่งกสิณ แล้วท่านจะแปลกใจว่า อุคหนิมิตจะเกิดได้ง่ายกับนิมิตที่เพ่งนั้น..
    ท่านใดสนใจกสิณไฟ.. ถ้าไม่อยากทำอุปกรณ์ไว้เพ่ง ให้หาที่โล่งๆ เข้าสมาธิในอาณาปาณสติอย่างน้อย หลับตาแล้วสว่างไม่มือตึดตื๋อ (คือว่าเวลาเราทำสมาธิไปหากจิตสงบแล้ว เวลาหลับตาแล้วมันจะไม่มืด ) แล้วค่อยมองไปที่ดวงอาทิตย์ ในยามเช้า และยามเย็นช่วงกำลังขึ้นและกำลังตกทุกวันวันละ 5-10 นาที ที่ดวงอาทิตย์กำลังสีส้มๆ แดงๆ จะดีมาก เพื่อตั้งนิมิตกสิณไฟ หากสามารถตั้งนิมิตได้ท่านจะเริ่มมีกลุ่มก้อนของพลังงานของไฟมารวมกันที่หน้าอก สามารถนำความร้อนจากกสิณนี้ไปใช้งานได้ ( โปรดใช้วิจารณญานในการศึกษา เพื่อนำไปปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติส่วนบุคคล แต่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ )
    ขอให้ใช้กำลังสมาธิในกสิณนี้เผาทำลายกิเลส เป็นสำคัญ ..ขออนุโมทนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...