กระทู้นี้ ขอความรู้เรื่องโรคภัยที่มากับภัยพิบัติและวิธีรักษา ค่ะ!!!!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย MissP, 27 มิถุนายน 2012.

  1. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    เลียนแบบ อัดพลัง กระแสลมปราณ P1900 น่ะ

    คือฟ้าทะลายโจนอัดเม็ดเนี่ย กินอยู่เหมือนกัน เพราะกินใบสดไม่ไหวขมปากข้ามวันข้ามคืน


    อิ.. อิ.. ไขเจียวใบมะรุม อร่อยนะ แล้วจะลืม ไข่เจียวชะอมไปเลย

    เพราะชะอมเก็บยากกว่า หนามตำ ดีไม่ดีเจอหนอนดีดใส่ ~' (deejai)


     
  2. llilliilliiill

    llilliilliiill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    589
    ค่าพลัง:
    +2,741
    อย่าลืมขมิ้นชันกันด้วยนะครับ ประโยชน์แทบจะครอบจักรวาลเลย

    ลอง Search ดูตาม Google ได้ครับ
     
  3. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    :coolค่ะ. ขอบคุณค่ะ ไว้จะอัพขึ้นจอให้เพื่อนๆ ได้รับทราบต่อไปค่ะ ท่านใดมีไรดีๆก็แชร์กันนะคะ
     
  4. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    รางจืด...ยอดสมุนไพรไทย สรรพคุณถอนพิษ-ช่วยผู้ป่วยมะเร็ง

    [​IMG]

    รางจืดมักพบขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นของประเทศ ไทย ทุกภาค รางจืดจะเลื้อยพันต้นไม้อื่น ลำต้นและใบ ไม่มีขนและไม่มีมือจับเหมือนตำลึงหรือมะระ อาศัยลำต้นพันรัดขึ้นไป ใบแยกออกจากลำต้นเป็นคู่ตรงบริเวณข้อ ซึ่งจะมีกิ่งแขนงแยกออกไปจากลำต้นเดิมตรงข้อ (โคนใบ) ทั้ง 2 ด้าน

    รางจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thunbergia lauriflolia Linn. โดยมีชื่ออื่นว่า ยาเขียว, เครือเขาเขียว, กำลังช้างเผือก, หนามแน่, ย้ำแย้, น้ำนอง, คาย, ดุเหว่า, รางเย็น, ทิดพุด, แอดแอ, ขอบชะนาง

    ใบรางจืด มีลักษณะเป็นรูปยาวรีดคล้ายใบหญ้านาง แต่ใบโตกว่าประมาณเท่าตัวและมีสีเขียวอ่อนกว่าใบหญ้านาง ขอบใบอาจเป็นหยักหรือไม่มีหยักก็ได้ และดอกมีขนาดเท่าดอกผักบุ้ง มีสีม่วงหรือเข้มดอกมีสีม่วง สีเหลือง สีขาว

    ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อธิบายว่า รางจืด มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานในหมอยาพื้นบ้านในด้านการแก้พิษ ไม่ว่าจะเป็นพิษยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ รวมไปถึงพิษสุราและยาเสพติด ไม่เว้นแม้แต่พิษงู แมลงป่องหรือตะขาบ สามารถนำไปใช้แก้พิษในสัตว์ที่ได้รับยาพิษเช่นสุนัขและแมว

    "ในตำรายาไทยรวมทั้งตำรายาพื้นบ้านยังพูดถึงการนำ รากและเถา มารับประทานแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ใบและราก ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ผดผื่นคัน เริม สุกใส ทำลายพิษยาฆ่าแมลง หรือยาเบื่อ พิษจากการดื่มเหล้ามากเกินไป"

    ภญ.ดร.อัญชลี กล่าวและว่า ภูมิปัญญาอีสาน มีประสบการณ์สืบต่อกันมาว่า เมื่อจะปรุงอาหารที่เก็บมาจากป่าทุกครั้ง ให้ใส่ใบและดอกของเถารางจืดเข้าไปด้วย เพื่อป้องกันพิษที่อาจเกิดจากพืชหรือสัตว์ป่าที่นำมารับประทาน ซึ่งคล้ายคลึงกับหมอยาไทยใหญ่ ที่แนะนำยอดและดอกของรางจืดมาแกงกินเป็นอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ และหมอยาพื้นบ้าน ยังนิยมให้รางจืดในการลดความดันโลหิต รักษาอาหารแพ้และผดพื่นคันทางผิวหนัง

    สำหรับพิษที่รุนแรง ให้ใช้ใบรางจืด 10-12 ใบตำคั้นกับน้ำซาวข้าว และให้ใช้รากสดที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปเพียง 1 ราก โขลกหรือฝนผสมน้ำซาวข้าวขุ่นข้นประมาณครึ่งแก้วถึงหนึ่งแก้ว ดื่มเฉพาะน้ำให้หมดทันทีที่มีอาการ หรืออาจใช้ใบรางจืดแห้ง 300 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว (ดื่มขณะที่อุ่นจะให้ผลดีกว่า) หรือนำใบหรือรากมาหั่นฝอย ผึ่งลมให้แห้ง บดเป็นผง หรือปั้น เป็นเม็ด รับประทานครั้งละ 5 กรัม โดยให้รับประทาน ทุก 1.5 - 2 ชั่วโมง หรับแก้ร้อนใน ถอนพิษไข้ ถอนพิษสุรา หรือบำรุงร่างกาย ให้ใช้ 4-5 ใบ หรือประมาณ 1.5 - 3 กรัม ชงน้ำดื่มหรือทำเป็นเม็ดรับประทาน


    สรรพคุณ : รางจืดที่มีประสิทธิภาพ คือ รางจืดชนิดเถาดอกม่วง
    ากและเถา - รับประทานแก้ร้อนใน กระหายน้ำใบและราก - ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยาฆ่าแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ติดอยู่ในฝักผลไม้ที่รับประทาน เมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกล การนำส่งแพทย์ต้องใช้เวลา อาจทำให้คนไข้ถึงแก่ชีวิตได้ ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่ในบ้าน ใช้ใบรางจืดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไปนัก หรือรากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป และมีขนาดเท่านิ้วชี้ มาใช้เป็นยาบรรเทาพิษเฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า) ดินที่ใช้ปลูก ถ้าผสมขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น จะช่วยให้ต้นรางจืดมีตัวยามากขึ้น

    วิธีใช้ :ใบสด
    สำหรับคน 10-12 ใบ
    สำหรับวัวควาย 20-30 ใบ

    นำใบสดมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวครึ่งแก้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มให้หมด ทันทีที่มีอาการ อาจให้ดื่มซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมงต่อมา

    วิธีใช้ : รากสดสำหรับคน 1-2 องคุลี
    สำหรับวัวควาย 2-4 องคุลี

    นำรากมาฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว แล้วดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจใช้ซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมง ต่อมา


    คำเตือน : การใช้รางจืดสำหรับถอนพิษยาฆ่าแมลง ยาพิษและสตริกนินนั้น ต้องใช้ยาเร็วที่สุดเท่าที่จำทำได้ จึงจะได้ผลดี ถ้าพิษยาซึมเข้าสู่ ร่างกายมากแล้ว หรือทิ้งไว้ข้ามคืน รางจืดจะได้ผลน้อยลง

    ที่มา :
    http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_20_4.htm
    http://www.ouayun.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2012
  5. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    หญ้าปักกิ่ง (หญ้าเทวดา)

    [​IMG] [​IMG]


    หญ้าปักกิ่ง
    หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือหญ้าเทวดา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง

    “ชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นยารักษาโรคมานับพันปีแล้ว รักษาสารพัดโรคครอบจักรวาล เช่น บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาปลูกเป็นยาจีน รักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และทำน้ำคั้นดื่มรักษาโรคมาเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยทำวิจัยคุณสมบัติหญ้าปักกิ่ง พบว่า ไม่มีพิษสะสมต่ออวัยวะอื่น และได้สรรพคุณทางเคมีเภสัชว่า สามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรงระยะอ่อน-ปานกลาง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และลำไส้ใหญ่ ซึ่งสารที่แสดงฤทธิ์ คือกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์”

    ถิ่นกำเนิดของหญ้าปักกิ่ง
    หญ้าปักกิ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา ในตำรายาจีนปรากฏพืชชนิดสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอและมะเร็ง มีลักษณะคล้ายกับหญ้ามาเลเซียที่นำมาปูพื้นสนาม แต่หญ้าปักกิ่งจะอวบน้ำกว่า ใบนุ่ม หลังใบมีขนอ่อนๆ โคนต้นทรงกระบอก สีออกขาว ดอกออกเป็นช่อที่ยอดรวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกสีฟ้าหรือสีม่วงอ่อน มีสรรพคุณเสริมภูมิต้านทาน ช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น

    หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูง ประมาณ 7-10 ซ.ม. และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ความยาวไม่เกิน 10 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อที่ ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 ม.ม. ร่วงง่าย เป็นพืชที่ ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ด ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก

    ตามสรรพคุณของตำรายาจีน จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้ง ต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก)

    [​IMG]จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
    1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า
    - เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น
    - เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
    2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง
    - เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
    - ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มี หนองและน้ำเหลือง

    [​IMG]ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:
    - สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ (SW 120) โดยมีค่า ED50?16 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร
    - สารจี 1 บี แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน
    - สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความ รุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิด มะเร็งได้
    - สารสกัดหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น AFB1
    - สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ ก่อให้เกิดมะเร็ง
    [​IMG]ความเป็นพิษ
    - ความเป็นพิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต ชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาว มากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่า ค่อนข้างจะปลอดภัย
    - ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

    [​IMG]ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม
    - ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง
    - ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ และควรหยุดยาดังนี้
    รับประทานติดต่อกัน 5-6 วัน หยุดยา 4-5 วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด
    วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร) กรองผ่านผ้าขาวบาง
    ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส
    ข้อควรระวัง หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน

    [​IMG]ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด[​IMG]
    - หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จาก ดินมาที่ต้นและใบของ หญ้าปักกิ่ง การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อ จุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ
    - หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งไม่มีประโยชน์ ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่ ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการ ดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง
    - หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก โดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุ มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา

    ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่ กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าว ที่สูญเปล่า ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค

    [​IMG]ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา
    ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเท่ากับ ต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย โดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ

    1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
    2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง
    3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน เป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส


    ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานของแสลงซึ่งมีผลให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงเช่น ฟัก แฟง แตงกวา ผักกาดขาว มะระ หน่อไม้ หัวไชเท้า และผักบุ้ง


    ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

    หญ้าปักกิ่ง (หญ้าเทวดา) | ThaiHerbClinic.com
     
  6. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    “ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น และสมุนไพรใด ในชมพูทวีปที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้นไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น”....บรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์

    จะขอยกชีวประวัติบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์ที่ พระอริยเมธี ป. 9 เป็นผู้แปลขึ้นจากพระไตรปิฎก โดยมี ท่านเจ้าประคุณเปมังกโรภิกขุ เป็นผู้เรียบเรียง....มาให้ได้รับทราบประวัติอันยิ่งใหญ่ของแพทย์ประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่ง จขกท.ได้อ่านจาก ตามรอยพระพุทธบาท - ชีวประวัติ "ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์" โดยพิสดาร มาและรู้สึกประทับใจ นำมาเผยแพร่ให้อ่านกันนะคะ
    <center>
    ชีวประวัติ "ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์" โดยพิสดาร



    </center><b><big>
    อารัมภบท
    </big>
    </b><dd>ก่อนที่จะอ่านชีวประวัติของท่าน ผู้จัดทำอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่า ประวัติของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นี้ เป็นการบันทึกจากหนังสือ "ของดีจากพืชสมุนไพร - ว่านยา โดย "จันทน์ขาว" ส่วนผู้พิมพ์ลงเว็บคือ คุณ Ann_siriket ซึ่งในประวัติบั้นปลายชีวิตของท่านนี้ จะมีความเป็นมาคล้ายกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่าไว้ตรงกันทุกอย่าง

    <center><b><big>ชีวประวัติท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์</big></b>

    บรมครูแพทย์แผนโบราณ
    </center>

    [​IMG]
    </dd><dd>

    "........ดอกบัวยังมีชาติกำเนิดมาจากโคลนตมธรรมดาคนจะดีจึงไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิดที่ดี หรืออยู่ที่ใด หากแต่อยู่ที่ คุณธรรม ความดี ความเสียสละเพื่อมนุษย์ชาติ ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเพื่อสาธารณะชนทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังผลตอบแทน"
    ".........บุคคลเช่นนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้วในอดีตแม้ร่างจะล่วงลับดับขันธ์ไป แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณความดีของท่าน ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของคนในสมัยต่อมา ทั้งในด้านคุณธรรม ความสามารถ ปาฏิภาณความฉลาดเป็นเลิศในทุกด้าน จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นเอกอัครอภิมหาบูรพปรมาจารย์แห่งชมพูทวีป เมื่อ 2,600 ปีก่อน
    ..........ท่านผู้นั้นคือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์แผนประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีชื่อเสียงก้องโลกในทางว่านยาและสมุนไพรรักษาโรค ผู้ถือกำเนิดมาจากหญิงโสเภณีไม่ปรากฏบิดา"
    </dd><dd>ท่านหมอโกมารภัจจ์ ณ วัดสิริเขตคีรี
    </dd><dd>(วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย

    </dd><dd>ในสมัยพุทธกาลเกือบ 3,000 ปีมาแล้ว ณ เมืองไพศาลี อันเป็นเมืองที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหาร สิ่งก่อสร้างอันวิจิตรพิสดาร พรั่งพร้อมด้วยปราสาทราชวัง สระโบกขรณีถึง 7,707 อย่าง โดยเฉพาะอุดมพร้อมพรั่งด้วยหญิงงามเมือง จนได้ชื่อว่า “นครโสเภณี” (จะมีจำนวน 7707 คน หรือเปล่านั้นมิทราบได้ เพราะในพระวินัยปิฎกไม่ได้พรรณนาอธิบายไว้)

    </dd><dd>ในสมัยนั้นใครเป็นหญิงงามเมืองถือว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ เพราะเป็นตำแหน่งที่พระราชาทรงแต่งตั้ง โดยคัดเอาสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุดมีความสามารถในทางฟ้อนรำ ขับร้องประโคมดนตรี จึงจะมีตำแหน่งเป็นหญิงงามเมืองได้ ผิดกับหญิงโสเภณีสมัยนี้ หน้าตาไม่น่าจะมีราคาแถมยังไม่มีความสามารถอะไรเลย ก็ยังซื้อขายกันได้เป็นร้อยเป็นพัน

    </dd><dd>นครโสเภณีสมัยนั้น ได้กลายเป็นแหล่งจรรโลงใจของชายหนุ่ม จากเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะพ่อค้าวาณิชที่มาติดต่อค้าจากแดนไกล ทำให้การค้าขายระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองไพศาลีเจริญรุ่งเรืองขึ้น

    </dd><dd>ต่อมาความสำคัญของหญิงโสเภณีได้ระบาดเป็นสมัยนิยมขึ้นที่เมืองราชคฤห์เป็นเมืองที่สอง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระเจ้าพิมพิสาร ทรงเห็นชอบด้วยที่จะให้มีหญิงงามเมืองไว้เพื่อดึงดูดใจ โดยเฉพาะดึงดูดเงินจากพ่อค้าวาณิชที่ติดต่อค้าขายระหว่างเมือง

    </dd><dd>พระเจ้าพิมพิสาร จึงรับสั่งให้คัดเลือกสตรีงามนางหนึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ เธอเป็นสาวงามแรกรุ่นดรุณี มีนามว่า “สาลวดี” มีอัตราค่าตัวสูงสำหรับผุ้ร่วมภิรมย์แต่ละคืนมีชายหนุ่มมาลุ่มหลงกันมากมาย

    </dd><dd>ไม่นานนักนางสาลวดีก็ตั้งครรภ์ขึ้น โดยไม่ปรากฏบิดาเด็กในครรภ์ นางจึงงดรับแขก คอยจนครรภ์แก่จึงคลอดบุตรออกมาเป็นชาย ดึกสงัดของคืนที่ทารกจะลืมตาดูโลกโดยไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ามารดาอีกเลย เพราะนางได้สั่งให้หญิงรับใช้นำทารกน้อยนั้นใส่กระด้งไปทิ้งไว้ที่กองขยะนอก เมือง

    </dd><dd>เดชะบุญที่พรหมลิขิตขีดเส้นให้เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จออกสูดอากาศในยามรุ่งอรุณของวันนั้น มุ่งพระพักตร์มายังกองขยะ เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นฝูงแร้งกาต่างบินลงมาที่กองขยะ เมื่อรับสั่งให้ทหารมหาดเล็กไปดู ก็เห็นทารกนอนดิ้นกระแด่วไขว่คว้าหาความอบอุ่นอยู่ในกระด้ง เจ้าฟ้าอภัยเกิดความสงสารจับใจ จึงนำมาชุบเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรมทรงขนานนามว่า “ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งแปลว่า บุญยัง หมายความว่า ผู้ยังมีชีวิต”

    </dd><dd>(ในตอนนี้ "ผู้จัดทำเว็บ" ขอสอดแทรกความเห็นไว้สักเล็กน้อย เพราะได้เคยศึกษาประวัติความเป็นมาของท่านจากที่อื่นๆ มีผู้สันนิษฐานว่า เจ้าฟ้าอภัย อาจจะเป็นพระบิดาจริงๆ ของท่านหมอโกมารภัจจ์ก็เป็นได้ จะเป็นเพราะเหตุใด ขอให้ท่านผู้อ่านไปคิดเองก็แล้วกัน)</dd><dd>เดินทางไปศึกษา ณ เมืองตักศิลา
    </dd><dd>เจ้าหนูน้อย “บุญยัง” เติบโตท่ามกลางลูกเจ้าลูกนายในรั้วในวัง จึงมีความเฉลียวลาดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถือแววฉลาด เอาชนะเพื่อนรุ่นเดียวกันไปเสียทุกอย่าง ทำให้เกิดความอิจฉาริษยาในหมู่เพื่อนฝูง เกิดการล้อเลียนถึงชาติตระกูล และดูหมิ่นว่าเป็นเด็กข้างถนน เด็กไม่มีพ่อแม่

    </dd><dd>คำพูดนี้เองทำให้เจ้าบุญยังเกิดความมานะ พยายามที่จะหาความรู้ใส่ตัวเพื่อลบล้างปมด้อยต่าง ๆ ให้ได้ แล้ววันนั้นก็มาถึง เขาได้มีโอกาสหนีออกจากวัง เดินทางไปกับพวกพ่อค้าโดยไม้ได้ทูลลาเจ้าชาย ผู้เป็นบิดาบุญธรรม มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองตักศิลาอันเป็นแหล่งสรรพวิชาทั่วโลก เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่ให้ความรู้ทุกด้านของชาวภารตะ

    </dd><dd>ณ เมืองตักศิลา เจ้าบุญยังขณะนั้นเป็นหนุ่มแล้วได้เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มอบตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชาแพทย์ศาสตร์ โดยช่วยทำงานรับใช้อาจารย์สารพัด ตั้งแต่ตักน้ำ ผ่าฟืน บีบนวด หุงหาอาหาร เป็นการตอบแทนค่าสอน 7 ปีให้หลังที่ชีวกหนุ่ม หรือเจ้าบุญยังที่ถูกแม่โสเภณีนำมาทิ้งกองขยะ ก็แตกฉานในสาขาวิชาแพทย์ศาสตร์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะแพทย์แผนโบราณที่ใช้ว่านยาสมุนไพรรักษา

    </dd><dd>การเรียนในสมัยนั้นต้องมีการสอบเพื่อทดสอบความรู้ก่อนเลื่อนชั้น อาจารย์ทิศาปาโมกข์ จึงใช้ให้หนุ่มน้อยชีวกไปสำรวจดูต้นไม้ทุกต้นหญ้าทุกชนิด ทั่วทั้งสี่ทิศภายในรัศมี 400 เส้น ให้ดูว่าไม้ชนิดไหนใช้เป็นยาอะไรบ้าง อย่างไหนใช้ไม่ได้เลย แม้แต่ต้นหญ้าก็ให้บอกถึงชนิด และสรรพคุณให้ได้หมดทุกอย่าง

    </dd><dd>หนุ่มน้อยชีวกผู้ชาญฉลาด ได้เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยตักกะศิลาขึ้นป่าลุยดงไม้นานาชนิด สำรวจไปทั่วทั้ง 4 ทิศเป็นเวลาทั้งสิ้น 7 วัน จึงกลับออกมาพร้อมกับคำตอบที่ให้กับอาจารย์ว่า

    </dd><dd> “ต้นไม้ใบหญ้า และสมุนไพรใด ๆ ในชมพูทวีปนี้ที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้น ไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น ขอรับ”

    </dd><dd>อาจารย์ยิ้มพร้อมกับเอามือลูบศรีษะด้วยความดีใจ พร้อมกับกล่าวว่า

    </dd><dd> “เอาละ เป็นอันว่าเธอเรียนจบหลักสูตรแล้ว ขอให้นำวิชานี้ไปใช้ประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บไขได้ป่วย จะเป็นกุศลต่อเธอเอง”

    <center>ครั้งแรกแห่งการรักษาโรคของ หมอชีวกโกมารภัจจ์ </center>
    </dd><dd>“ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น และสมุนไพรใด ในชมพูทวีปที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้นไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น”

    </dd><dd>นี่คือคำพูดของหมอหนุ่ม “ชีวก โกมารภัจจ์” ที่ตอบคำถามต่อพระฤาษีโรคา พฤกษตริณณ์ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแพทย์แผนโบราณให้เป็นคนแรก ภายหลังที่ได้ผ่านป่าดงพงพีข้ามถิ่นทุรกันดารคลุกคลีอยู่กับต้นไม้ทุกชนิดบน เทือกเขาสูงชันนานถึง 7 วัน 7 คืน จึงพบความจริงว่า...ต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น

    </dd><dd>จึงไม่น่าแปลกใจอันใดเลยที่การรักษาโรคของสำนักอาจารย์ (ทรง) ต่าง ๆ จึงมีแต่เปลือกมังคุดบ้าง เปลือกเงาะบ้าง เปลือกไม้ หรือแม้แต่ต้นหญ้าคาที่เราเห็นเป็นสิ่งไร้ค่า มารักษาโรคแผนปัจจุบันอย่างได้ผลด้วยโรคร้ายแรงที่สุด นั่นคือโรคฝีดาษ

    </dd><dd>ณ เมืองสาเกต แคว้นมหารัฐโกศล อยู่ระหว่างเมืองตักศิลาและเมืองราชคฤห์ หมอหนุ่มร่ำลาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มุ่งหน้าสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ด้วยปณิธานอันสูง ที่จะใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาพัฒนาและช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ผู้ประสบความทุกข์ยากทรมานด้วยโรคร้าย

    </dd><dd>คนไข้คนแรกในชีวิตของแพทย์หนุ่มที่ทดสอบความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ คือ ภรรยาเศรษฐีแห่งเมืองสาเกต ผู้ป่วยเป็นโรคศรีษะมานานถึง 8 ปี ไม่มีหมอยาคนใดรักษาให้หายได้ สิ้นเปลืองทรัพย์สินในการรักษาไปมากมาย จนภรรยาเศรษฐีท้อแท้อ่อนหนาระอาใจ นอนทุกข์ทรมานรอความตายไปให้พ้นวันหนึ่ง ๆ

    </dd><dd>หนุ่มน้อย ชีวก โกมารภัจจ์ มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านเศรษฐีแห่งเมืองสาเกตตามคำเล่าลือ ด้วยพลังใจอันสูงส่งที่จะช่วยดับทุกข์โศกโรคภัยของมนุษย์เพื่อนร่วมโลกโดย เสนอตัวช่วยเหลือตามที่ได้ร่ำเรียนมา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทาง

    </dd><dd>คนรับใช้ไปรายงานภรรยาเศรษฐีที่กำลังงุ่นง่านหงุดหงิด ถึงความปรารถนาของท่านชีวกที่จะรักษาให้หายจากโรคปวดศรีษะเรื้อรังให้กับนาง ภรรยาเศรษฐีถามว่า “หนุ่มหรือแก่ ?”

    </dd><dd>คนรับใช้บอกว่า “หมอหนุ่ม” นางจึงร้องตะหวาดลั่นด้วยความขุ่นเคืองใจ

    </dd><dd> “ไล่มันไป...หนุ่ม ๆ จะมารักษาอะไรได้ ไม่เอาไล่มันไปไว ๆ..รำคาญจะตายแล้ว...หมอแก่มีวิชายังรักษาไม่หาย... คนหนุ่มจะมารักษาฉันได้อย่างไร”

    </dd><dd>คนรับใช้ก็ออกไปเชิญให้หมอหนุ่มกลับไป ชีวกหนุ่มน้อยผู้เต็มไปด้วยแรงปณิธานที่จะขจัดทุกข์ให้กับมนุษย์ผู้เจ็บป่วย ไม่ละความตั้งใจจึงกล่าวว่า ”การรักษาคราวนี้จะไม่เอาอะไรเลย ถ้ารักษาไม่หาย” คำตอบที่มาจากใจอันสะอาดเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหมอหนุ่ม ทำให้ภรรยาเศรษฐีสนเท่ห์ ยอมให้ชีวกเข้าพบและยอมตกลงรักษา

    </dd><dd>เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสมุฏฐานของโรคก่อน พบว่าต้องรักษาด้วยวิธีนัตถุ์ด้วยเนยใสไปเคี่ยวให้แก่ด้วยไฟ จนเปลี่ยนสีเปลี่ยนกลิ่น แล้วผสมเข้ากับว่านยาฉุนชนิดหนึ่ง ให้ภรรยาเศรษฐีนัตถุ์เข้าทางจมูก เพื่อให้ไหลออกทางปาก เพียงครั้งเดียว ปรากฏว่าอาการมึนงง ปวดร้าวกะโหลกศรีษะหายเป็นปลิดทิ้ง โล่ง..ปลอดโปร่ง..เหมือนยกภูเขาออกจากอก!

    </dd><dd>เพียงครั้งเดียวในการรักษา แบบง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ได้ผลเกินความคาดหมาย ภรรยาเศรษฐีดีใจเหมือนได้แก้ว รีบมอบเงินเป็นค่าตอบแทนถึง 4,000 กหาปณะ หรือเท่ากับ 16,000 บาท ลูกสะใภ้ ลูกชายและตัวเศรษฐีให้อีกคนละ 4,000 กหาปณะ รวมทั้งหมดเป็นเงิน 16,000 กหาปณะลองคูณด้วย 4 จะเป็นเงินไทยเท่าไร

    </dd><dd>ร่ำรวยมหาศาล แทบจะกลายเป็นเศรษฐีไปในบัลดล แถมยังได้ข้าทาสชายหญิง รถม้า และอื่น ๆ อีกมากมายเป็นของกำนัล หมอหนุ่มน้อมรับมาเพื่อไม่เป็นการขัดศรัทธา มุ่งหน้าสู่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธโดยเร็วเพื่อเฝ้าขออภัยพระบิดาบุญธรรม “อภัยราชกุมาร”

    <center>ขณะเป็นแพทย์ประจำพระราชสำนัก</center>
    </dd><dd>หมอหนุ่มรวบรวมเงินทองจากการใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจาก อาจารย์ได้มากเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ก็อำลาครอบครัวเศรษฐีและชาวเมืองสาเกต ออกเดินทางไปยังเมืองมาตุภูมิทันที

    </dd><dd>ไปถึงเมืองราชคฤห์ เขาได้รีบไปเฝ้าเสด็จพ่อเจ้าฟ้าอภัยราชกุมาร พระเจ้าอภัยตกพระทัยจู่ ๆ “เจ้าบุญยัง” ก็โผล่พรวดเข้ามาหลังจากหายหน้าไปตั้ง 7 ปี ครั้งแรกทรงมีพระพักตร์บึ้งตึง ที่โอรสบุญธรรมไปไหนมาไม่บอกกล่าว หมอหนุ่มกราบทูลสาเหตุที่ต้องหลบหนีออกจากพระราชวัง ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตักศิลา จนมีความชำนาญรักษาได้สารพัดโรค แล้วกราบทูลขอขมาโทษที่ทำการครั้งนี้โดยพลการ เสมือนมิรู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ทรงเมตตาอุปถัมภ์ชุบเลี้ยงมา แล้วนำเงินทองที่เหลือจากที่ใช้จ่ายทั้งหมดมาถวายแด่เสด็จพ่อ

    </dd><dd> “เงินจำนวนนี้หม่อมฉันได้จากการรักษาภรรยาเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาเกตุ ขอทูลถวายเพื่อเป็นเครื่องบูชาพระเดชพระคุณที่ทรงเมตตาชุบเลี้ยงหม่อมฉัน”

    </dd><dd>เจ้าฟ้าอภัยราชกุมารทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงแน่พระทัยว่า ที่ “เจ้าบุญยัง” กล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง ทรงชื่นชมในความกตัญญูรู้คุณของโอรสบุญธรรมจึงไม่ทรงรับเงินจำนวนนั้น หากแต่รับสั่งให้เขาเก็บไว้เป็นสมบัติของตนตั้งแต่นั้นมาเขาได้เป็นนายแพทย์คนโปรดประจำพระองค์เจ้าฟ้าอภัยอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย พร้อมกับจัดสร้างบ้านเรือนประทานให้แก่ชีวกโกมารภัจจ์ โดยแยกออกเป็นสัดส่วนต่างหาก

    </dd><dd>ครั้งหนึ่งพระเจ้าพิมพิสาร มคธินทราธิราช ได้ทรงประชวรด้วยโรคริดสีดวงทวารหนักถึงขนาดพระภูษาเปื้อนเปรอะไปด้วยโลหิต สด ๆ เมื่อพระอภัยราชกุมารเข้าเฝ้า พระเจ้าพิมพิสารมีพระบัญชาให้เรียกแพทย์หลวงมาเยียวยารักษา พระเจ้าอภัยทูลว่า ”เกล้ากระหม่อมมีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือ ชีวกโกมารภัจจ์หรือพ่อบุญยัง มีความรู้ทางแพทย์ดีมากถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าจะได้นำมารักษา”

    </dd><dd>พระเจ้าพิมพิสารทรงบัญชาอนุญาต พระอภัยราชกุมาร จึงนำบุตรบุญธรรมที่ชุบเลี้ยงมาแต่แบเบาะ เข้าเฝ้าเพื่อตรวจพระอาการ หมอชีวกตรวจดูอาการของโรค ก็วางยาด้วยว่านยาชนิดหนึ่ง เข้าเครื่องยากับสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ป้ายที่ปากแผลเพียงครั้งเดียว อาการประชวรด้วยโรคทรมานก็หายเป็นปลิดทิ้ง พระวรกายเป็นปกติ เป็นที่สบพระราชหฤทัยของพระเจ้าพิมพิสารเป็นอันมาก ทรงทึ่งในคุณภาพแห่งยาและกรรมวิธีการรักษาของหมอชีวกโกมารภัจจ์พระราชนัดดา บุญธรรม เป็นอันมาก

    </dd><dd>หลังจากนั้น ได้พระราชทานรางวัลด้วยทรัพย์สินอันได้แก่ เครื่องมหัคฆภัณฑ์เพชรนิลจินดา ข้าทาส ชายหญิงอีก 500 คน พร้อมกับพระราชทานวาจาแก่ชีวกหนุ่มว่า ”ต่อไปนี้จงเป็นแพทย์ประจำราชสำนักเถิด เครื่องมหัคฆภัณฑ์กองนี้ พร้อมทั้งทาสชายหญิงเหล่านี้เรามอบให้เป็นสมบัติของเธอเป็นการตอบแทนบุญคุณของเธอที่รักษาโรคในตัวเราหาย”

    </dd><dd>แต่หมอชีวกหนุ่มปฏิเสธไม่รับพระราชทาน เพราะเห็นเกินสมควรแก่ฐานะเกินวาสนาของตน จึงทูลถวายคืนพร้อมกับทูลว่า ”ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานทรัพย์สินและคนเหล่านี้แก่ข้าพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นหาที่เปรียบมิได้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าไม่เหมาะสมกับภาวะของข้าพระพุทธเจ้าใช่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันใดไม่ จึงขอน้อมเกล้าถวายทรัพย์สินและคนเหล่านี้คืนแด่ฝ่าละออง”

    </dd><dd>พระเจ้าพิมพิสาร ทรงพอพระทัยในน้ำใจของหมอหนุ่มเป็นอันมาก ทรงโปรดแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นเอกอัครมหาอำมาตย์ เรียกตามภาษามคธว่า “เอโกอัคคมหามัจโจ ชีโว โกมาภัตติโก” แพทย์ประจำพระราชสำนักกรุงราชคฤห์แต่นั้นมา พร้อมกับพระราชทานเงินเดือนประจำและมอบคฤหาสน์บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย คนรับใช้ชายหญิง พร้อมด้วยอุทยานอัมพวัน (สวนป่ามะม่วง) ซึ่งเป็นที่ดินหลวงที่มีส่วยถึงปีละ 1 แสนกหาปณะ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหมอหนุ่มขณะนั้นแผ่ขยายขจรขจายไปในหมู่ผู้คนทั่วกรุง ราชคฤห์

    </dd><dd>ครั้งนั้นก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งป่วยเป็นโรคปวดศรีษะมานานถึง 7 ปีเช่นกัน ได้รับการรักษาจากหมอทุกประเภทแล้วก็ไม่หายมีแต่อาการจะทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น เศรษฐีเกิดความท้อแท้ระอากับชีวิตเต็มที โดยเฉพาะยิ่งมาได้ยินหมอคนล่าสุดคาดหมายว่าจะต้องตายภายใน 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง เศรษฐีก็ยิ่งอยากจะกระโดดน้ำตาย ความเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงพระเจ้าพิมพิสาร จึงทรงมีบัญชาให้หมอชีวกไปตรวจดูอาการ

    </dd><dd>หมอชีวก ไปตามพระราชบัญชาที่บ้านเศรษฐี ตรวจดูอาการป่วยพบว่าในสมองของเศรษฐีคนนั้นมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชอนไชกินสมองในกะโหลกอยู่ต้องทำการผ่าตัดเอาสัตว์ตัวนี้ออก ดังนั้นหมอชีวกจึงกล่าวกับเศรษฐีว่า ”ผมจะมารักษาโรคของท่านโดยพระบรมราชโองการตรัสใช้ หากผมรักษาโรคของท่านหายท่านจะให้อะไรกับผม อยากทราบก่อนที่จะลงมือ”

    </dd><dd>เศรษฐีตอบว่า ”ถ้าหายจริงแล้ว ผมจะยกทรัพย์สมบัติส่วนตัวของผมให้ท่าน พร้อมด้วยบุตรภริยา ข้าทาสชายหญิงก็จะยอมเป็นข้าทาสรับใช้ท่านตลอดไป”

    </dd><dd>ชีวกหนุ่มได้ฟังก็ยิ้ม ถามเศรษฐีว่า ”เอาละเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง แต่การรักษาครั้งนี้ท่านจะต้องนอนตะแคงขวาเป็นเวลา 7 เดือน แล้วก็นอนตะแคงซ้ายเป็นเวลา 7 เดือน และนอนหงายอีก 7 เดือนโดยไม่เปลี่ยนท่าจะทำได้ไหม” เศรษฐีผู้นั้นพยักหน้าพร้อมกับรับปาก

    </dd><dd> “ถ้าอย่างนั้นผมตกลงรักษา” หมอชีวกกล่าวพร้อมกับจัดให้เศรษฐีนอนในท่าเตรียมการผ่าตัด ดำเนินการตามวิธีศัลยกรรมแพทย์แผนโบราณ โดยใช้มีดผ่าตัดผิวหนังที่คลุมกะโหลกศรีษะออก ใช้เครื่องมืองัดกะโหลกส่วนบนให้เปิดออกตามรอยประสาน ก็แลเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่สมัยนี้เรียกว่าพยาธิ 2 ตัว กำลังชอนไชกินเนื้อสมองอยู่ จึงเอาคีมคีบออกมาแสดงแก่คนทั้งหลายและพูดว่า”

    </dd><dd>นี่พวกคุณดูสัตว์เล็ก ๆ 2 ตัวนี้ซิ ตัวนี้แหละที่มันจะกินมันสมองของเศรษฐีให้หมดไปภายใน 5 วัน หมดมันสมองเมื่อไหร่เศรษฐีก็ต้องตาย ”ดังนั้นหมอชีวกจึงทำลายพยาธิ 2 ตัวนั้นแล้วก็เอากะโหลกปิดตามรอยประสาน ทายาสมานแผลที่สกัดจากว่านยาสมุนไพรชนิดหนึ่งก็เป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นก็ได้สั่งให้เศรษฐีนอนตะแคงขวา 7 วัน แล้วก็ตะแคงซ้าย 7 วันและนอนหงายอีก 7 วันแผลก็หายเป็นปกติ หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง

    </dd><dd>เมื่อเศรษฐีหายป่วยเป็นปกติแล้ว วันหนึ่งหมอชีวกก็ไปหาเศรษฐีพบว่ามีร่างกายแข็งแรงดีถามว่า “ศรีษะเป็นอย่างไรหายปวดไหม” เศรษฐีตอบว่า “หายเป็นปกติดีแล้ว” เศรษฐีสงสัยทำไมหมอจึงให้รับปากว่าจะนอนตะแคงขวา 7 เดือน ตะแคงซ้าย 7 เดือน และนอนหงายอีก 7 เดือนจึงถามหมอชีวกว่า “ไหนท่านให้ผมตั้งสัจจะว่าจะต้องนอนถึง 21 เดือนนี่เพียง 3 สัปดาห์ก็หายแล้ว”

    </dd><dd>หมอชีวกหนุ่มหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่บอกให้เผื่อไว้อย่างนั้นที่ไหนท่านจะนอนได้ถึง 3 สัปดาห์” เศรษฐียิ้มในปัญญาของหมอ นายแพทย์หนุ่มจึงพูดถึงสัญญาค่ารักษาจากเศรษฐีว่า

    </dd><dd> “ดีแล้ว..ต่อไปนี้เราจะคบกันอีกก็ยากเต็มที ท่านจะให้อะไรแก่ผมเป็นค่ารักษา” เศรษฐียังคงยืนยันที่จะให้ทรัพย์สินลูกเมีย ข้าทาส พร้อมตัวเองเป็นทาสรับใช้หมอชีวกตลอดไปตามที่ได้พูดไว้ หมอหนุ่มยิ้มด้วยความพอใจในน้ำใจและสัจจะวาจาที่ให้ไว้ของเศรษฐีจึงรีบตอบว่า

    </dd><dd> “อย่าให้มันหนักหนาถึงขนาดนั้นเลย ท่านนี่ใจถึงมากควรนับถือ ผมไม่ใช่คนโลภลาภหาบเงินอะไรหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้ผมเพียง 1 แสนกหาปณะทูลเกล้าไปเป็นของหลวง 1 แสนกหาปณะ” ก็เป็นอันตกลงตามที่หมอชีวกต้องการ จากนั้นชื่อเสียงของหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ยิ่งแพร่ขยาย แซ่ซ้องสรรเสริญในกลุ่มข้าราชบริพารและขุนนางผู้ใหญ่เป็นอันมากทั่วกรุงราชคฤห์</dd>
     
  7. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สมุนไพรกับโรคผิวหนัง

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    พืชสมุนไพรมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดรักษาโรคไม่เหมือนกัน มีทั้งเป็นใช้รับประทาน และใช้เป็นยาทาภายนอก เพราะฉะนั้นผู้ใช้ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อไม่เกิดอันตรายได้

    โรคผิวหนังรวมทั้งแผลที่เกิดในช่องปาก ย่อมเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ที่จริงแล้วยาที่ผลิตจากสารเคมีก็มีมากมาย แต่ยาสมุนไพรบางชนิดก็รักษาโรคดังกล่าวนี้ได้เหมือนกัน

    จากที่ค้นคว้าได้จะมีสมุนไพรรักษาโรคผิวหนัง ดังนี้

    - บัวบก หว้า โทงเทง รักษาแผลในปาก

    - ฝรั่ง กานพลู รักษาเรื่องของกลิ่นปาก

    - ผักบุ้งทะเล เสลดพังพอน ตำลึง เท้ายายม่อม รักษาอาการแพ้ แก้คัน

    - บัวบก ยาสูบ ว่างหางจระเข้ รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก

    - ตำลึง พุดตาน ว่านมหากาฬ เสลดพังพอน รักษางูสวัด เริม

    - นางแย้ม รักษา ผื่นคัน เริม

    - กุ่มบก ใช้เปลือกรักษาโรคผิวหนัง

    - ข่า พิลังกาสา รักษาลมพิษ

    - ขมิ้นชัน ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง ชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน

    - ทองพันชั่ง เปล้าน้อย รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคันเรื้อรัง

    - เหงือกปลาหมอ รักษาแผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย เป็นฝีบ่อยๆ

    - มะยม รักษาแก้พิษคัน แก้พิษไข้หัว เหือด หัด สุกใส ดำแดง ปรุงในยาเขียว และใช้เป็นอาหารได้

    - ว่านมหากาฬ รักษา งูสวัด เริม ทำให้เย็น ถอนพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อน

    - อัคคีทวาร รักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน

    - กระเทียม รักษากลากเกลื้อน

    [​IMG]

    วิธีและปริมาณการใช้ บอกได้เป็นบางอย่างเท่านั้น เช่น อัคคีทวาร ใช้ทั้งต้น ช่วยรักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน วิธีการทำใช้ใบและต้น ตำพอกรักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน , ขมิ้นชัน ใช้เหง้าแก่แห้งไม่จำกัดจำนวน ป่นให้เป็นผงละเอียด ใช้เป็นยารักษาภายนอก ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน โดยเฉพาะในเด็กนิยมใช้มาก เป็นต้น สมุนไพร
    อื่น ๆ จะนำเสนอวิธีและปริมาณการใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป นะคะ...


    เรียบเรียงโดย นางปาลิตา โตศรีสวัสดิ์เกษม . 2/ 2 / 54 . ศว.สระแก้ว.

    ข้อมูลอ้างอิง : - เภสัชกรหญิงสุนทรี สิงหบุตรา โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

    - ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณะธรรม พจนานุกรมสมุนไพรไทย. [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2012
  8. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    มีเพื่อนสมาชิกท่านนึงคือคุณ Karan20 โพสต์ไว้น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาแชร์ต่อค่ะ.

    เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2555 ได้ไปเข้าร่วมฝึกอบรมและกิจกรรมปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์รัตน์
    ได้รับเอกสารแจกมาหลายฉบับ ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติ
    เอกสารดังกล่าวจัดทำโดยผู้ที่เคารพเชื่อถือในพระอาจารย์รัตน์และได้ติดตามข้อมูลมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
    แต่ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมา เราไม่ขอยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะตรงกับข้อมูลของพระอาจารย์รัตน์ทั้งหมดเพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนจากการจดจำหรือถ่ายทอดขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณเพื่อนำไปประกอบเป็นแนวทางในการเตรียมตัวอย่างไม่ตระหนก แต่ไม่ประมาท

    เอกสารฉบับที่ 1 : การเตรียมตัวรับภัยพิบัติ

    1. เตรียมหาที่หลบภัย ซึ่งควรจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 230 เมตรขึ้นไป

    2. จังหวัดที่อยู่ทางภาคอิสาน ซึ่งเป็นพวกที่อยู่ยากลำบากมาก่อน น่าจะพออยู่ได้ นอกนั้นเป็นภาคเหนือบางแห่ง

    3. ภาคกลางนั้น พระอาจารย์บอกว่า ให้เลยนครสวรรค์ขึ้นไป และไม่อยู่ใต้เขื่อน

    4. เพชรบูรณ์น่าจะเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ เพราะอาจารย์เคยบอกว่าจะกลายเป็นเมืองชายทะเล

    5. การเปลี่ยนแปลงของขั้วโลกนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน
    อาทิเช่นสนามพลังแม่เหล็กจะย้ายจากเหนือ-ใต้ เป็นตะวันออก-ตะวันตก

    6. ถ้ามีการย้ายขึ้นจริง เราน่าจะอยู่ประมาณแนว 30 ลิบดา ซึ่งน่าจะอยู่ในโซนยุโรป หรือแคนนาดาตอนใต้

    7. ถ้าในกลุ่มของท่านสามารถหาแหล่งน้ำใต้ดินที่เป็นลักษณะการไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้
    ให้ติดต่อพระอาจารย์ ซึ่งพระอาจารย์มีเครื่องไล่เมฆฝนซึ่งจะทำให้บริเวณที่ท่านอยู่ฝนตกน้อยลง
    ถามว่าจำเป็นอย่างไร คำตอบคือ ถ้าเกิดแกนพลิกจริงในช่วงนั้น ฝนจะตก 3 วัน 3 คืน
    ในช่วงการเปลี่ยนจะเป็นสูญากาศซึ่งจะทำให้อะไรที่ลอบอยู่บนฟ้า เช่น ก้อนน้ำแข็งจะหล่นลงมา
    ถ้าอยู่ในที่มีก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากควันน้ำมันมาก ก้อนก็จะใหญ่ตาม กระแสไฟฟ้าก็จะไหลลงมาทำให้มีฟ้าผ่ามากขึ้น นอกจากนนี้จะเกิดความมืดมากๆเพราะแสงต่างๆจะถูกดูดเข้าไป เราต้องอยู่กับตัวเองให้ได้

    8. ให้เตรียมอาหารเม็ด และน้ำไว้ใกล้ตัวให้มากที่สุด เพราะเราไม่สามารถออกไปหาอาหารอื่นได้
    การทานน้อยการขับถ่ายก็จะน้อย

    9. ฝึกสมาธิให้เอาจิตไว้กับตัวให้มาก ไม่รับรู้ต่อเสียงรอบข้าง

    10. ควรเตรียมอาหารให้อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน ฝนตกลงมาอาจจะเป็นฝนพิษได้
    เพราะโรงงานนิวเคลียร์ในโลกนี้มีมากมาย เมื่อไม่มีคนควบคุม กัมมันตภาพรังสีอาจรั่วไหลออกมาทำลายสภาพแวดล้อมได้

    11. หลังจากนั้นให้เตรียมเมล็ดพันธ์พืช ต้องซื้อแบบของชาวบ้านเพราะสามารถเอามาขยายพันธุ์ต่อๆกันไปได้

    12. การตุนข้าวสารนั้น ถ้าสามารถสร้างยุ้งฉางที่ป้องกันหนูได้ ก็สร้างเอาไว้เก็บข้าวสารอาหารแห้งถ้าไม่ได้ อาจซื้อข้าวที่แพคสูญญากาศ เคยทดลองเก็บไว้ได้ 2 ปีโดยไม่มีมอด

    13. ให้เตรียมเทียนไข น้ำมันพืช ซึ่งสามารถทำให้เกิดแสงสว่างได้ พยายามนึกย้อนยุคไปสู่ยุคที่ไม่มีไฟฟ้าใช้สักระยะหนึ่ง

    14. สำหรับคนเมืองให้นึกว่าเราไปเที่ยวป่าสักระยะก็แล้วกันนะ สำคัญคือเงินไม่มีความหมายเพราะฉะนั้นเราต้องอยู่แบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ของเขาของเรา

    15. พยายามคิดว่าถ้าไม่มีอะไรเหลืออยู่ หรือเหลือน้อยที่สุด เราจะทำอย่างไร อย่าพยายามยึดติดกับปัจจุบันให้มาก

    16. การหาที่อยู่ไม่ควรอยู่ใต้เขื่อนหรือเชิงเขา เพราะถ้าฝนตก 3 วัน 3 คืนไม่หยุด น้ำมากมายมหาศาลจะไปไหนนอกจากนั้นแผ่นดินไหว 3 วัน 3 คืน เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้

    17. อย่าคิดว่าตายไปเลยดีกว่า เพราะโอกาสเกิดยาก อาจเป็นหมื่นปี
    พระอาจารย์บอกให้ทำบุญให้มาก มีจิตใจที่เป็นบุญ คิดแต่สิ่งดีดี คนที่มีจิตใจดีจะรอดมากกว่าคนที่ใจบาป
    คนที่รอดจะสามารถปฏิบัติธรรมได้เห็นมรรคผลเพราะอากาศจะโล่งโปร่งเบา

    18. มีคนเคยบอกว่าก่อนเกิดเหตุ 6 เดือน ให้ทานมังสวิรัติเพราะจะทำให้เซลล์เป็นสีขาว
    ซึ่งจะรอดพ้นจากการทำลายของรังสีพายุสุริยะ ถ้าเราคาดว่าจะเกิดเดือนธันวาคมเราก็ต้องเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน


    - จบเอกสารฉบับที่ 1 -
    รูปขนาดเล็ก

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย karan20 : 22-06-2012 เมื่อ 10:46 AM
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2012
  9. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2555 ได้ไปเข้าร่วมฝึกอบรมและกิจกรรมปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์รัตน์
    ได้รับเอกสารแจกมาหลายฉบับ ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติ
    เอกสารดังกล่าวจัดทำโดยผู้ที่เคารพเชื่อถือในพระอาจารย์รัตน์และได้ติดตามข้อมูลมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
    แต่ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมา เราไม่ขอยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะตรงกับข้อมูลของพระอาจารย์รัตน์ทั้งหมด
    เพราะอาจมีการคลาดเคลื่อนจากการจดจำหรือถ่ายทอด
    ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณเพื่อนำไปประกอบเป็นแนวทางในการเตรียมตัวอย่างไม่ตระหนก แต่ไม่ประมาท

    เอกสารฉบับที่ 2 : การเตรียมตัวรับภัยพิบัติ

    คำถามที่ว่าแล้วแต่ละคนจะเตรียมตัวอย่างไรนั้น พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ ท่านว่า
    ขอให้ทุกคนจะทำอะไรก็ตาม คิด พูดและทำแต่สิ่งที่ดีและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
    หากมีสิ่งที่ดีๆเรื่องใดยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ
    อย่าได้ผลัดวันประกันพรุ่ง จงรีบลงมือกระทำในทันทีเท่าที่สามารถกระทำได้
    ถ้าจะมีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้นจริงๆเกิดขึ้น
    ซึ่งท่านพระอาจารย์ว่าต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่วันเวลาเท่านั้นยังไม่แน่นอน
    เมื่อวันเวลานั้นมาถึง หากเกินวิสัยที่จะป้องกันได้ หรือจวนตัวไม่สามารถจะหนีได้
    หรือไม่สามารถทำอย่างอื่นได้แล้ว ก็ให้นึกถึง "มรณนุสติ" ไว้ตลอดเวลา

    ขอนุญาตขยายความ : นั่นคือ ณ เวลาในขณะนั้น
    ให้นึกถึงว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา คนทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องตายทุกคน
    ให้นึกถึงคุณความดีที่เราเคยมีส่วนร่วมกรทะหรือได้เคยลงมือกระทำเพื่อใช้เป็นพลวปัจจัย
    เป็นแรงอาสันนกรรมนำส่งไปสู่สุคติภูมิที่มีความสุขสมบูรณ์มากกว่าในชาติภพปัจจุบัน
    ต้องพยายามคุมสติสัมปชัญญะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
    ไม่ต้องไปกังวลเรื่องอื่นใดอีกแล้ว ไม่ต้องไปห่วงทรัพย์สมบัติใดๆ
    แม้แต่คนที่เรารักที่สุด เพราะ ณ เวลานั้น เมื่อเราไม่สามารถช่วยตัวเองได้แล้ว
    ความห่วงใยใดใดก็ตาม ไม่ว่าทรัพย์สิน หรือพ่อแม่/สามีภรรยา/ลูกหลาน มีแต่จะทำให้จิตตกต่ำ
    มีความกระวนกระวาย มีจิตฟุ้งซ่านก่อนตาย ท่านต้องไปทุคติภูมิแน่นอน


    ซึ่งเรื่องนี้พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ท่านพร่ำเตือนผู้ไปปฏิบัติธรรมกับท่านเป็นประจำว่า
    ในยามวิกฤติ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ ให้รีบเข้าสมาธิจิตให้ได้
    ให้จิตจดจ่อกับคำภาวนาอะไรก็ได้ นึกอะไรไม่ออกก็ใช้คำว่า " พุท-โธ " ทุกลมหายใจเข้าออก
    เพื่อให้จิตมีความสงบระงัล ปล่อยวางทุกสรรพสิ่งแล้วท่านจะไปดีแน่นอน
    ให้คิดว่าเรากำลังจะไปในสถานที่ที่มีความสุขสมบูรณ์ยิ่งกว่าในปัจจุบัน

    ดังนั้นเราควรเตรียมความพร้อมในการรับมือกัยภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดเวลาในช่วงปลายปี 2012 - ต้นปี 2013
    ในการดำเนินชีวิตประจำวันนั้นอย่างน้อยที่สุด เราทุกคนต้องมีถุงยังชีพใส่อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยาประจำตัว เครื่องนุ่งห่ม
    ต้องให้สามารถดำรงชีวิตให้อยู่ได้อย่างน้อยที่สุด 3 - 5 วัน
    หากมีภัยพิบัติในช่วงสั้นๆจะไม่ได้รับความเดือดร้อนมากนัก
    แต่ถ้าในช่วงใกล้เวลาเกิดภัยพิบัติร้ายแรงและมีผลต่อเนื่องยาวนาน
    ท่านอาจต้องเตรียมเสบียงอาหารและปัจจัย 4 ให้มากพอสำหรับทุกคนที่จะอยู่ร่วมกันกับตัวท่าน
    ต้องกักตุนเผื่อไว้สัก 3 - 4 เดือน ท้ายที่สุดขอให้ทุกท่าน อย่าได้ประมาทในภัยพิบัติที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต
    ขอให้เตรียมความพร้อมในทุกขณะ หากป้องกันเรื่องใดได้ อย่าได้ละเลยหรือเพิกเฉย
    ทรัพย์สินเงินทอง หลักทรัพย์สำคัญ จัดให้เป็นหมวดหมู่ สำหรับหยิบฉวยติดตัวไปได้โดยง่าย
    ในยามเกิดภัยพิบัติจะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาอีก

    บอกกล่าวกันไว้ล่วงหน้าไม่ว่า,กหลาน/ญาติมิตร/บิดามารดา/คู่สมรส
    หากในเวลามีภัยพิบัติไม่ต้องกลับเข้าไปในเขตภัยพิบัติ
    แต่ขอให้ทุกคนไปพบกันในสถานที่ที่นัดหมายที่อยู่ห่างไกลกับจุดที่เกิดภัยพิบัติ
    ต้องหาจุดนัดพบที่มีความปลอดภัยมากที่สุดของครอบครัวท่าน
    จุดหมายปลายทางของครอบครัวใด อยู่ที่ไหน ให้ไปยังสถานที่นั้นๆเป็นสำคัญ
    และสถานที่ดังกล่าวที่จะใช้เป็นสถานที่อาศัยนั้นต้องไม่ลืมเตรียมการสร้างแท๊งค์เก็บน้ำ
    เครื่องกรองน้ำ เสบียงอาหาร อาหารกระป๋อง อาหารแห้งให้มากพอสำหรับทุกคนสัก 3 - 4 เดือน
    เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือยาประจำตัวของแต่ละคน
    ต้องเตรียมสำรองไว้รับประทานให้พอเพียงสัก 3 - 4 เดือน เช่นเดียวกัน
    ต้องสะสมเมล็ดพันธ์พืชผักผลไม้ไว้หลายสิบชนิด เพื่อจะมีพืชผักและผลไม้ที่หลากหลายไว้บริโภคในยามมีภัยพิบัติ
    อย่าลืมเสริมด้วยการปลูกพืชสมุนไพรที่เป็นตัวยาในการรักษาโรคต่างๆด้วย
    ขอให้ท่านฝึกฝน ทำการทดลองปลูกให้เป็นปกติตั้งแต่บัดนี้ เพื่อเรียนรู้และปรับปรุงบำรุงรักษา
    ในยามมีภัยพิบัติมาถึงในอนาคต จะได้ไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยนอกที่อยู่อาศัยมากนัก
    ไม่ว่าตลาดหรือร้านค้าก็อาจไม่มีอาหารหรือปัจจัย 4 จำหน่ายในช่วงเวลานั้นๆ
    แต่ถ้าไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น ท่านก็ไม่เสียประโยชน์จากสิ่งที่ท่านปลูกไว้บริโภค

    - จบเอกสารฉบับที่ 2 -
     
  10. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    :VO สวัสดีค่ะ ทุกท่าน
    ก็ฮอตฮิตที่สุดสำหรับตอนนี้ โรคมือ เท้า ปาก นะคะ โรคนี้ระบาดเร็วมากแต่จะมาเร็วไปเร็วหรือเปล่า ไม่ทราบ วิธีการดูแลง่ายที่สุดคือ ทำร่างกายให้แข็งแรงและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่าให้ลูกหลานอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา และไม่ควรให้นอนดึก ตื่นสาย(ถึงแม้จะไม่ได้ไปโรงเรียนก็ตาม ถ้าเป็นไข้ให้ลดไข้ด้วยการทานอาหารหรือสมุนไพรฤทธิ์เย็น สูตรของคุณหมอเขียว(ใจเพชร แก้จน)เวิร์คมากๆ ค่ะ


    โรคมือ เท้า ปาก Hand Foot and Mouth Disease


    [​IMG]
    โรคมือเท้าปาก

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

    ช่วงฤดูฝนทีไร เรามักจะได้ยินข่าวคราวเด็ก ๆ เป็นโรคติดต่ออย่าง โรคมือเท้าปาก กันมากทีเดียว ว่าแต่ โรคมือเท้าปาก นี้คือโรคอะไร เรามาทำความรู้จัก โรคมือเท้าปาก ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ

    [​IMG] รู้จัก โรคมือเท้าปาก

    โรค มือเท้าปาก หรือ Hand, Foot and Mouth Disease มักเรียกติดปากกันว่า โรคมือ เท้า ปาก เปื่อย สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสลำไส้ หรือเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) โดยพบการระบาดของ โรคมือเท้าปาก เมื่อปี พ.ศ.2500 กับเด็กในเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้และยังมีตุ่มน้ำใสในช่องปาก มือ และเท้า

    ต่อมายังพบการระบาดกับกลุ่มเด็กในเมืองเบอร์มิงแฮม เมื่อปี พ.ศ.2502 เช่นกัน จนได้มีการเรียกกลุ่มอาการที่พบนี้ว่า Hand-Foot-and Mouth Disease (HFMD) หลังจากนั้นก็มีรายงานการระบาดของ โรคมือเท้าปาก จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

    ทั้งนี้ โรคมือเท้าปาก จะมีการระบาดแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ หากเป็นประเทศเขตหนาวจะพบในช่วงฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง ส่วนประเทศเขตร้อนชื้นจะพบได้ตลอดทั้งปี แต่ละระบาดมากในช่วงฤดูฝนที่มีอากาศร้อนชื้น และมักพบในกลุ่มเด็กทารก และเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี

    [​IMG]การติดต่อ โรคมือเท้าปาก

    โรคมือเท้าปาก สามารถติดต่อกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย สามารถติดต่อได้โดย

    [​IMG] การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง ทั้งจากจมูก, ลำคอ และน้ำจากในตุ่มใส (Respiratory route) โดยเชื้อโรคอาจติดมากับสิ่งของเครื่องใบ้ต่าง ๆ หรือการไอจามรดกันก็ได้

    [​IMG] อุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ (fecal - oral route ) โดยช่วงที่แพร่กระจายมากที่สุด คือ ในสัปดาห์แรกที่ผู้ป่วยมีอาการ และจะยังแพร่เชื้อได้จนกว่ารอยโรคจะหายไป แต่ก็ยังพบเชื้อในอุจจาระผู้ป่วยต่อได้อีกประมาณ 2-3 สัปดาห์

    ทั้ง นี้ เชื้อเอนเทอโรไวรัสสามารถทนสภาวะกรดในทางเดินอาหารมนุษย์ได้ และมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ 2-3 วัน โรคนี้ไม่สามารถติดติอจากคนสู่สัตว์ หรือจากสัตว์สู่คนได้


    [​IMG]
    โรคมือเท้าปาก

    [​IMG]อาการของ โรคมือเท้าปาก

    โดย ทั่วไป โรคมือเท้าปาก มีอาการไม่รุนแรง โดยจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-6 วัน และมีอาการเริ่มต้นคือ เป็นไข้ต่ำ ๆ มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจะเริ่มเจ็บปาก ไม่ยอมทานอาหาร เพราะมีตุ่มแดงที่เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม โดยตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส รอบแผลจะอักเสบแดง ต่อมาตุ่มจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้น จากนั้นจะพบตุ่มหรือผื่น (มักไม่คัน) ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้น แขน ขา และอวัยวะสืบพันธุ์ด้วย ในเด็กทารกอาจพบกระจายทั่วตัวได้ ทั้งนี้อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน โดยทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น

    อย่างไรก็ตาม โรคมือเท้าปาก อาจแสดงอาการในหลายระบบ เช่น

    [​IMG]1.ระบบทางเดินหายใจ อาจมีอาการเหมือนไข้หวัด ไอ มีน้ำมูกใส เจ็บคอ

    [​IMG]2.ทางผิวหนัง

    [​IMG]3.ทางระบบประสาท เช่น สมอง เยื่อหุ้มสมอง หรือเนื้อสมองอักเสบ

    [​IMG]4.ทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำเล็กน้อย ปวดหัว อาเจียน

    [​IMG]5.ทางตา มักพบเยื่อบุตาอักเสบ (chemosis and conjuntivitis) และ

    [​IMG]6.ทาง หัวใจ เช่น สามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้ ซึ่งอาจมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการ หรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

    [​IMG]การรักษา โรคมือเท้าปาก

    โรคมือเท้าปาก สามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ทั้งนี้ ควรเช็ดตัวผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ ให้อาหารอ่อน ๆ ดื่มน้ำและผลไม้ และนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจต้องป้อนนมแทนการให้ดูดจากขวดนม

    หลังจากการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรค แต่อาจเกิด โรคมือเท้าปาก ซ้ำได้ จาก เอนเทอโรไวรัสตัวอื่น ๆ ดัง นั้น หากผู้ปกครองสังเกตเห็นลูกมีอาการที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียนบ่อย ๆ หอบ แขนขาอ่อนแรง ไม่ยอมรับประทานอาหารและนํ้า ก็ควรพาบุตรหลานมาพบแพทย์


    [​IMG]
    โรคมือเท้าปาก


    [​IMG]การป้องกัน โรคมือเท้าปาก

    ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน โรคมือเท้าปาก แต่โดยปกติป้องกัน โรคมือเท้าปาก ได้โดยการรักษาสุขอนามัยที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือด้วยน้ำสบู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งใช้ช้อนกลาง และไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน

    ที่ สำคัญ คือ ต้องแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคออกจากกลุ่มเพื่อนในโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก โดยไม่ให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น ๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และต้องคอยทำความสะอาดพื้น ห้องน้ำ สุขา เครื่องใช้ ของเล่น สนามเด็กเล่น ตลอดจนเสื้อผ้า ที่อาจปนเปื้อนเชื้อด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน

    หากมีเด็กป่วยจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องปิดสถานที่ชั่วคราว (1-2 สัปดาห์) และทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค โดยอาจใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนผสมกับน้ำ 30 ส่วน

    [​IMG]ติดต่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

    [​IMG] สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง

    [​IMG] ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค โทร. 0-2590-3333

    [​IMG] สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค โทร. 0-2590-3194

    แจ้งการระบาดของโรคได้ที่ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค โทร. 0-2590-1882
    [​IMG] เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    - สำนักโรคติดต่อทั่วไป
    - คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
     
  11. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951

    [​IMG] ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์
    [​IMG]
    จากหนังสือ " ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์ " โดย หมอเขียว ใจพชร
    - นักวิชาการสาธารณสุข
    - ครูฝึกแพทย์แผนไทย
    - นักบำบัดสุขภาพทางเลือก
    - อบรมด้านการแพทย์ทางเลือกจากประเทศมาเลเซีย และจีนไต้หวัน



    ย่านาง เป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหาร และ เป็นยามาตั้งแต่โบราณ
    หมอยาโบราณอีสาน เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า

    " หมื่นปี บ่ เฒ่า แปลเป็นภาษาภาคกลางว่า " หมื่นปีไม่แก่ "

    [​IMG] [​IMG]


    วิธีใช้


    ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์
    ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล
    แบบร้อนเกิน ดังนี้

    เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
    ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็กทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    โดยใช้ใบย่านางสด มาล้างทำความสะอาดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น( แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง )แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหาร หรือตอนท้องว่างหรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชม. มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น
    ควรใช้ภายใน 3-7 วันโดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก​
    นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถใช้น้ำย่านางมาสระผม ช่วยให้ศีรษะเย็น
    ผมดกดำ หรือชลอผมหงอก หรือผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมาก
    ให้เหลวพอประมาณทาสิว ฟ้า ตุ่ม ผื่นคัน พอกฝีหนอง​

    หมายเหตุ
    ถ้าจะให้ได้รสชาติ คั้นกับใบเตย จะหอมอร่อยมาก หรือจะใส่กับ
    น้ำมะพร้าวก็จะหอมชื่นใจมากขึ้น(แต่ถ้าใส่น้ำมะพร้าวจะเสียเร็วน่ะ)
    ผักฤทธิ์เย็น นำมาคั้นร่วมกับย่านางก็ได้ เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ใบบัวบก ย่านาง ใบเตย น้ำมะพร้าว แต่ควรเลือกผักที่ไม่มีสารเคมีน่ะ
    จะได้ปล่อยภัยจากสารเคมีค่ะ

    [​IMG] เทคนิควิธีการปั่น

    การทำน้ำใบย่านาง โดยใช้เครื่องปั่นให้คงคุณค่าสารอาหาร เทคนิค
    อยู่ที่ วิธีการปั่นคือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางละเอียด

    เทคนิคที่แจ๋วกว่า คือให้กดปั่น แล้วนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วกดปิด
    รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน แล้วกดปั่นอีกครั้งนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว
    แล้วกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุนทำซ้ำไปเรื่อยๆจนใบย่านางละเอียด
    วิธีนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารไม่เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม
    เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางครับ


    บางครั้งใช้ร่วมกับยาตัวอื่น แต่ส่วนใหญ่ คนที่ดื่มน้ำย่านางทุกวัน
    จะเห็นผลได้ภายในเวลา ๓ เดือนโรคที่มีรายงานว่า ดื่มน้ำย่านางหาย
    เช่น ลดน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูงตกเลือดจากมดลูก โรคเก๊าท์
    และโรคเชื้อราทำลายเล็บ หรือเป็นผื่นคัน

    เป็นอาการของโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
    วิธีใช้ ใบย่านางตั้งแต่ ๓-๑๐ ใบ โดยพิจารณาจากลักษณะของผู้ป่วย
    นำมาโขลกให้ละเอียด ผสมน้ำ ๑-๓ แก้ว ดื่ม วันละ ๒-๓ เวลา
    ข้อสังเกต ความเข้มข้นพอเหมาะที่จะดื่ม
    - ขณะที่ดื่มเข้าไป จะกลืนง่ายไม่ฝืดฝืน ไม่ระคายคอ​
    - อาการไม่สบายทุเลาลง ปากคอชุ่ม ร่างการยสดชื่นขึ้น​
    - ถ้่าดื่มน้อยไป อาการก็ไม่ทุเลา ถ้าดื่มมากไป ก็จะเกิดอาการไม่สบายบางอย่าง
    หรือในขณะดื่่มจะรู้สึกได้ว่าร่างกายจะมีสภาพต้านบางอย่างเกิดขึ้น ​
    <table align="center" border="1" cellspacing="0" width="720"> <tbody><tr> <td colspan="2" class="style10">

    อาหารที่ใช้น้ำย่านาง
    ...

    </td> </tr> <tr> <td class="style10" width="347">

    [​IMG]
    เตรียม..คั้นน้ำย่านาง
    </td> <td class="style10" width="357">

    [​IMG]
    นำ..หน่อไม้ใส่น้ำย่่านาง
    </td> </tr> <tr> <td class="style10">

    [​IMG]
    แกงหน่อไม้ใส่น้ำย่านาง(ที่ผสมน้ำย่านางแล้ว)

    </td> <td class="style10">

    [​IMG]
    ซุบหน่อไม้ปรุงเครื่อง(ที่ผสมน้ำย่านางแล้ว)

    </td> </tr> <tr> <td colspan="2" class="style10">
    กินแล้วไม่ต้องกลัวปวดเข่า เพราะ ในน้ำย่านางช่วยต้านกรดยูกริกที่มีอยู่ในหน่อไม้ ทำให้กินแล้ว
    ไม่ปวดหัวเข่า (แต่ควรจะใส่ผักฤทธิ์เย็นเป็นส่วนผสมเข้าไปด้วย และใส่หน่อไม้น้อยลง จึงจะดีค่ะ) ​
    ผักฤทธิ์เย็น ได้แก่ บวม แตงโมอ่อน ผักหวาน มะละกอดิบ-ห่าม ตำลึง ผักบุ้ง หัวปลี มะรุม...


    </td> </tr> </tbody></table>
    ใบย่านาง หน้าตาอย่างนี้ค่ะ
    [​IMG]
    ฉันใช้ย่านางประมาณ 15 - 20 ใบ เด็ดเป็นใบๆ ล้างน้ำให้สะอาดค่ะ
    [​IMG]
    บดหรือโขลก ให้ช้ำๆ ละเอียดพอประมาณ หรือบางคนก็ใช้วิธีขยี้ค่ะ
    [​IMG]
    ใส่น้ำดื่มอุณหภูมิปกติ ประมาณ 1 ลิตร บีบย่านางให้หมดเมือกเขียวๆ แล้วกรองเอาแต่น้ำค่ะ
    [​IMG]
    บีบได้ที่ ใบย่านางจะแห้งๆ ประมาณนี้นะคะ หรือบางคนอาจบีบคั้นได้แห้งกว่านี้อีก
    [​IMG]
    เรียบร้อยค่ะ ได้น้ำใบย่านาง อุดมด้วยคลอโรฟิลล์ และสารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อีกมหาศาล
    [​IMG]
    ใส่ตู้เย็นไว้ดื่มได้ประมาณสามวันนะคะ แต่ถ้าจะให้ดี ทำทุกวันสดๆ ใหม่ๆ ดีกว่าค่ะ


    ข้อมูลประกอบ:
    ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์
    . . น้ำ ใ บ ย่ า น า ง . . คลอโรฟิลวิเศษช่วยชีวิต
     
  12. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    วิธีปฏิบัติเพื่อการป้องกัน - ควบคุมโรคและฟื้นฟูสุขภาพ ด้วยเทคนิคการดูแลสุขภาพแบบผสมผสานเพื่อการพึ่งตน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง


    วิธีปฏิบัติเพื่อการป้องกัน - ควบคุมโรคและฟื้นฟูสุขภาพ

    ด้วยเทคนิคการดูแลสุขภาพแบบผสมผสานเพื่อการพึ่งตน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง

    สำหรับผู้ ป่วย มะเร็ง เนื้องอก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคหัวใจ ไตเสื่อม ภูมิแพ้ ปวดตามข้อ ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกาย และผู้ป่วยที่ภูมิต้านทานน้อย


    1. ดื่มน้ำสมุนไพร คลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ
    วิธี ทำ ใช้ สมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ ใบเตย 1-3 ใบ บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น ใบอ่อมแซ๊บ(เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ ผักบุ้ง ครึ่ง-1 กำมือ ใบเสลดพังพอน ครึ่ง-1 กำมือ และว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้ละเอียดหรือขยี้ ผสมกับน้ำเปล่า 1-3 แก้ว กรองผ่านกระชอน เอาน้ำที่ได้มาดื่ม ครั้งละ ครึ่ง-1 แก้ว วันละ2-3 ครั้ง ก่อนอาหาร

    2. รับประทานอาหารปรับสมดุลร่างกาย ดังนี้


    • 2.1 เพิ่มการรับประทานผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา(สำหรับผู้ที่ไม่สามารถงดเนื้อสัตว์)

    • 2.2 ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ควรปรุงรส อยู่ในระดับ 10-30 % ของที่เคยปรุง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อยๆลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำบากนัก

    • 2.3 งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่หวานจัด อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมากและอาหารที่มีผงชูรสมาก(มีการวิจัยพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิน เค็มจัดหรือมีผงชูรสมาก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโต น้ำหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมิต้านทานลด และรหัสพันธุกรรมผิดปกติ) อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ เป็นต้น และอาหารที่ปรุงรสจัด

    • 2.4 ในมื้อหลัก ฝึกรับประทานอาหารตามลำดับ ดังนี้ ลำดับที่ 1 รับประทาน ผลไม้ ฤทธิ์เย็น เช่น กล้วยน้ำว้า กระท้อน ชมพู่ ส้มโอ มังคุด มะยม แตง สับปะรด มะม่วงดิบ มะขามดิบ มะละกอห่าม เป็นต้น โดยรับประทานเท่าที่รู้สึกสดชื่นสบาย ถ้าเป็นผลไม้หวานให้รับประทานเพียงเล็กน้อย ควรงดหรือลดผลไม้ฤทธิ์ร้อน เช่น ทุเรียน ขนุนสุก มะม่วงสุก ลิ้นจี่ เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ ยอ กล้วยไข่ กล้วยหอม มะละกอสุก ส้มเขียวหวาน ฝรั่ง น้อยหน่า กระทกรก เป็นต้น ลำดับที่ 2 รับประทานผักฤทธิ์เย็น เช่น อ่อมแซบ ผักบุ้ง แตง หวานบ้าน ก้านตรง กวางตุ้ง ผักกาดหอม(สลัด) ผักกาดขาว ถั่วงอก สายบัว หญ้าปักกิ่ง ลิ้นปี่ บัวบก ผักแว่น เสลดพังพอน ผักกาดขาว มะเขือ เป็นต้น อาจรับประทาน กับส้มตำหรือน้ำพริก ที่ปรุงรสไม่จัด (ปรุงรสด้วยเกลือหรือซีอิ้วขาว จะดีกว่าน้ำปลาหรือปลาร้า ถ้าใช้เกลือปรุงอย่างเดียวจะดีที่สุด) ควรรับประทานจนมีความรู้สึกว่าเริ่มฝืดคอ ฝืดลิ้นหรือฝืดฟัน จึงหยุด ควรงดหรือลดผักฤทธิ์ร้อน เช่น ผักรสเผ็ดร้อน ชะอม คะน้า กะหล่ำปลี แครอท บีทรูด ถั่วฝักยาว ผักโขม ฟักทองแก่ ถั่วฝักยาว ถั่วพู หน่อไม้ สาหร่าย ไข่น้ำ เป็นต้น ลำดับที่ 3 รับประทานข้าวจ้าวพร้อมกับข้าว โดยเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือก็ยิ่งดี กับข้าวควรใช้ผักฤทธิ์เย็น เป็นหลักในการปรุง เช่น บวบ ตำลึง ฟัก แฟง แตงต่างๆ หยวกกล้วย ปลีกล้วย ก้านกล้วย ฟักทองอ่อน ยอดหรือดอกฟักทอง และผักฤทธิ์เย็นที่กล่าวมาข้างต้น อาจปรุงเป็น ยำผัก ก้อยผัก ผักลวก แกงจืด แกงอ่อม เป็นต้น สำหรับคนที่รับประทานเห็ดและเต้าหู้ได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ อาจใช้ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดลม(เห็ดบด) เห็ดขอนขาว เห็ดหูหนูหรือเต้าหู้แผ่น เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร ลำดับที่ 4 รับประทาน ถั่วเขียวต้ม โดย แช่ถั่ว 4 - 12 ชั่วโมง นำถั่วที่แช่แล้ว 1 ส่วน เติมน้ำ 3 เท่า ต้มไฟอ่อนถึงปานกลาง ต้มแค่พอสุก (อย่าให้เปื่อย) อาจเติมเกลือหรือน้ำตาลเล็กน้อย แค่พอรับประทานง่าย สำหรับคนที่รับประทานเต้าหู้ได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ อาจดื่มนมถั่วเหลืองปิดท้ายลำดับอาหารด้วยก็ได้

    • สำหรับมื้อเย็น รับประทานผักลวกจิ้มเกลือหรือจิ้มน้ำพริกที่ไม่รสจัดหรือจิ้มซีอิ้วมะนาว กับข้าวสวยหรือข้าวต้ม
    • วิธีทำข้าวต้มเพื่อสุขภาพ มีเทคนิคคือ ใช้ข้าวจ้าว 1 ส่วน ต้มกับน้ำ 7 ส่วน ใช้ไฟกลางๆ ต้มแค่พอสุกอย่าให้เปื่อย

    3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือใช้ชีวิตที่กระฉับกระเฉง พยายามรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน

    4.ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ

    5.ใช้ ธรรมะ ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายความเครียด ลด ละ เลิกและหลีกเลี่ยง อารมณ์ที่ทำลายสุขภาพ ได้แก่ เครียดเกิน โลภเกิน ยึดเกิน โกรธ มุ่งร้าย พยาบาท เอาแต่ใจตัวเอง เร่งรีบ เป็นต้น

    6.อาจใช้การเอาพิษภัยออกจากร่างกาย ตามแนวแพทย์ทางเลือก ช่วยเสริมเติมเต็มกับการรักษาที่ใช้อยู่เดิม เช่น

    6.1การขูดซาหรือกัวซา(การแพทย์พื้นบ้านดั้งเดิมของชาวจีน ชาวเขาและชาวกัมพูชา) เป็นการขูดพิษออกจากร่างกาย ทางผิวหนัง โดยใช้ ขี้ผึ้งแก้หวัด ขี้ผึ้งเสลดพังพอน ยาหม่องดำ น้ำมันพืชหรือน้ำเปล่า โดยใช้อย่างใดอย่าง-หนึ่ง ทาบริเวณที่รู้สึกไม่สบาย แล้วใช้ช้อนหรือเหรียญ 10 บาท ขูดบริเวณนั้น ให้ลงน้ำหนักเท่าที่จะไม่เจ็บ ขูดจนมีสีแดงขึ้นมาตามผิวหนังเต็มที่จนไม่แดงไปกว่านั้นหรือจนกว่าอาการไม่ สบายทุเลาลง จึงหยุดขูด ทำ 1-3วันต่อครั้ง
    6.2 การแช่เท้าในน้ำสมุนไพร โดยใช้ ใบเตย 1-3 ใบหรือสมุนไพรฤทธิ์เย็น ครึ่ง-1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ขัน(ประมาณ 1 ลิตร) เดือด ประมาณ 5 นาที แล้วผสมน้ำธรรมดาให้อุ่น แช่เท้า แค่พอท่วมข้อเท้า 3 นาที แล้วยกขึ้นจากน้ำอุ่น 1 นาที ทำซ้ำ จนครบ 3 รอบ โดยทำวันละ 1 - 2 ครั้ง
    6.3 สวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์) สำหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก ทำวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนคนทั่วไป ทำสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง หรือตามสภาพร่างกาย โดยใช้น้ำสกัดฤทธิ์เย็น หรือผสมสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่ถูกกับร่างกายเรา คือ พอทำแล้วรู้สึกสดชื่น โปร่ง โล่ง สบายตัว วิธีทำ ต้มน้ำสมุนไพรในน้ำเปล่า เดือด 5 นาที แล้วผสมน้ำธรรมดาให้อุ่น หรือใช้ใบสมุนไพรสด ขยี้กับน้ำเปล่า กรองผ่านกระชอน นำน้ำที่ได้ ไปใส่ขวดหรือถุง ที่เป็นชุดสวนล้างลำไส้ โดยทั่วไปใช้น้ำสมุนไพร 500-1,300 ซี.ซี. เปิดน้ำให้วิ่งตามสายเพื่อไล่อากาศออกจากสาย แล้วล๊อคไว้ จากนั้น นำวาสลีนหรือน้ำมันพืชหรือว่านหางจระเข้ ทาที่ปลายสายสวน ประมาณ 1 เซนติเมตร เพื่อหล่อลื่น หรืออาจใช้ปลายสายสวนจุ่มในน้ำก็ได้ ต่อจากนั้น ค่อยๆสอดปลายสายสวนเข้าไปที่รูทวารหนัก สอดให้ลึกเข้าไป ประมาณเท่านิ้วมือเรา(3-5 นิ้วฟุต) ยกหรือแขวนขวดสมุนไพร สูงจากทวาร ประมาณ 2 ศอก ปล่อยน้ำสมุนไพรให้ไหลเข้าไปในลำไส้ใหญ่ของเรา โดยใส่ปริมาณน้ำเท่าที่ร่างกายเราพอทนได้สบาย ใช้มือนวดคลึงที่ท้อง พอปวดอุจจาระก็ไปถ่ายระบายออก เป็นการระบายพิษออกจากร่างกายอีกทางหนึ่งรวบรวมโดย: แหม่ม (สมาชิกจิตอาสา สวนป่านาบุญ, นักศึกษาแพทย์ทางเลือกวิถีธรรม)
    ขอขอบคุณหมอเขียว ใจเพชร ในความอนุเคราะห์ด้านข้อมูล ร่วมกับ กองควบคุมโรค กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอำนาจเจริญ และ สวนป่านาบุญ อ. ดอนตาล จ.มุกดาหาร

    ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
    สามารถปรึกษา ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์
    081-9327261 (แหม่ม)
     
  13. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สรุปแนวทางปฏิบัติการรักษาโรคความดัน โลหิตสูง โดยใช้ธรรมชาติบำบัด จากรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ตามสูตรและแนวทางของคุณนิดดา หงษ์วัฒน์ นักเขียนและนักปฏิบัติแนวทางธรรมชาติบำบัด โดยไม่ใช้ยาเคมี ดังนี้


    1. ดื่มน้ำให้ได้วันละไม่ต่ำกว่า 8-10 แก้ว โดยเฉพาะในช่วงอากาศยุคนี้ที่ร้<wbr>อนผิดปกติ

    2. ให้น้ำผ่านศีรษะโดยไม่ให้โดนตัว<wbr> อุณหภูมิห้อง ปกติครั้งละไม่ต่ำกว่า 5 นาที ประมาณ 4 ครั้งต่อวัน เพื่อระบายความร้อนจากศีรษะ และสร้างอุณหภูมิแตกต่างระหว่าง<wbr>ศีรษะกับร่างกาย ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นไป<wbr>ได้สะดวกขึ้น

    3. แช่มือและเท้าในน้ำคลอโรฟิลด์(น้ำ<wbr>จาก พืชใบเขียวฤทธิ์เย็น) 3 นาทีต่อ 1 ครั้งแล้วยกขึ้นพักสักครู่ แล้วแช่ต่ออีก 3 นาที แล้วพักครั้งที่ 2 แล้วจึงแช่ครั้งที่ 3 อีก 3 นาที ทำเช่นนี้วันละ 1 ครั้ง เพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกา<wbr>ย

    4. ดีท็อกซ์ทางทวารหนัก โดยใช้น้ำอุ่น เพื่อคายความร้อน ถอนพิษ และลดความดันออกจากร่างกาย ทั้งนี้ส่วนใหญ่พบว่าคนที่มีปัญ<wbr>หาความดันส่วนใหญ่จะมีปัญหาการข<wbr>ับถ่ายหรือท้องผูกควบคู่ด้วย

    5. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้ง ด้วยสติ

    6. มีเวลาตั้งสติได้เมื่อใด ให้ฝึกหายใจเข้าช้าๆยาวๆ ให้ลึกที่สุด และหายใจออกช้าๆยาวๆให้หมด เช่นกัน อาจใช้ร่วมกับการนั่งสมาธิได้ก็<wbr>ยิ่งดี เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้เม็ดเลือด<wbr> และมีสติอย่าเครียดและโกรธง่าย ให้รู้จักปล่อยวางให้ร่างกายและ<wbr>จิตใจเบาสบาย

    7. งด/<wbr>ลดเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ 4 เท้า และสัตว์ปีก)เพื่อลดสภาพความเป็นกรดในเลื<wbr>อด และให้ทานผักและผลไม้ให้มากเพื่<wbr>อเพิ่มความเป็นด่างทำให้เกิดควา<wbr>มสมดุล และเป็นการสร้างอาหารให้จุลินทร<wbr>ีย์ที่ดีในร่างกาย

    8. ลดโซเดียม ทั้งอาหารเค็ม การใส่น้ำปลา และให้งดอาหารที่มีโซเดียมแฝง เช่น ผงชูรส ขนมเบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว และอาหารสำเร็จรูป ฯลฯ

    9. ดื่มน้ำคลอโรฟิลด์ฤทธิ์เย็น (เช่น ย่านาง+ใบบัวบก+ใบเตย) ให้ดื่มเท่าที่รู้สึกสบายและสมด<wbr>ุล

    10. ดื่มน้ำปัสสาวะ ตอนเช้า และก่อนนอน โดยให้ดื่มช่วงเวลาท้องว่างก่อน<wbr>อาหาร 30 นาที น้ำปัสสาวะที่ดี
    ควรมีสีเหมือนชา กลิ่นไม่ฉุน รสจืด การเตรียมให้รองเอาปัสสาวะส่วนกลาง ปริมาณสัก 100 ซีซี แนะนำว่า
    ควรรับประทานอาหารตามข้อ 7-9 ก่อนที่จะนำปัสสาวะมาใช้


    11. ดื่มโยเกิร์ตที่ทำจากนมสด ที่ควรทำเอง (หัวเชื้อโยเกิร์ตใส่นมสดแล้วรอ<wbr>เวลา 8 ชั่วโมง)ควรดื่มหลังสุด
    เมื่อทานอาหารเสร<wbr>็จสิ้นแล้ว จะมีผลทั้งการเพิ่มจำนวนจุลินทร<wbr>ีย์ที่ดีในร่างกายให้เพิ่มขึ้น/<wbr>ทั้งนี้พบว่าโยเกิร์ต
    จากโรงงานอุต<wbr>สาหกรรมจุลินทรีย์มีจำนวนน้อย มีสารเคมีเจือปน และจุลินทรีย์ที่ดีจำนวนมากได้ต<wbr>ายไปแล้วใน
    ระหว่างขบวนการผลิตใน<wbr>โรงงานอุตสาหกรรม

    12. ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพ<wbr>อ

    ทั้งนี้คุณนิดดา หงษ์วิวัฒน์ ได้รับผลดีในการรักษากับคุณแม่ข<wbr>องคุณนิดดาเองตามแนวทางดังล่าวข<wbr>้างต้น
    หลังรายการคุณนิดดาบอกว่า หวังว่<wbr>าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อ<wbr>ย่างยิ่งสำหรับเป้าหมาย
    "คนจน" 2 ประเภท คือ

    1. "ยากจน"หรือไม่มีเงินรักษาโรคร้<wbr>ายได้ หรือ
    2. "จนมุม"เพราะไม่สามารถหาทางรักษ<wbr>าโรคร้ายนั้นได้

    วันนี้เราอาจไม่เข้าเงื่อนไขทั้<wbr>ง 2 แต่วันหน้ามีความไม่แน่นอนอยู่เ<wbr>สมอ

    อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ<wbr>โดยแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2012
  14. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    มาเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ

    สาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมและเจ็บป่วย ณ ยุคปัััจจุบัน
    สาเหตุหลัก ข้อที่ 1 อารมณ์เป็นพิษ
    [​IMG] ความเครียด ความเร่งรีบ/เร่งรัด/เร่งร้อน ความกลัว ควมวิตกกังวล ความไม่โปร่ง
    ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ ความอาฆาต พยาบาท ความโลภ ความโกรธ
    ความหลง เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น

    [​IMG] ทุกครั้งที่ผู้คนมีสภาพจิตดังกล่าว จะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารแอดดรินารีนออกมา
    กระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายผลิตพลังงานมากเกินความพอดี จนเผาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ
    ของร่างกาย
    อวัยวะส่วนใดของร่างกายที่อ่อนแอก็จะเสื่อมหรือแสดงอาการไม่สบายก่อน เช่น
    บางคนอาจมีอาการปวดศรีษะ บางคนปวดคอ บางคนปวดท้อง บางคนเจ็บหัวใจ
    บางคนอ่อนเพลียทั้งตัว เป็นต้น


    [​IMG] ถ้ายังมีอารมณ์ดังกล่าวอยู่ ความเสื่อมก็จะรุกลามขยายผลและแสดงอาการ ไม่สบายไป




     
  15. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สาเหตุหลัก ข้อที่ 2 อาหารเป็นพิษ
    อาหารเป็นพิษและไม่สมดุล ซึ่งพิษจากอาหารประกอบด้วย 6 สาเหตุหลัก ดังนี้
    1. พิษจากอาหารที่มีสารพิษสารเคมีทั้งในพืชและัสัตว์ ทั้งจากขบวนการผลิตและการปรุงเป็นอาหาร สารพิษสารเคมี ดังกล่าวจะเผาทำร้ายเซลล์ เนื้อเยื่อของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความเสื่อมและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ​
    2. พิษจากอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์มากเกิน ในเนื้อสัตว์จะมีไขมัน กรดยูริค กรดแลคติก แอดดรินาลีนและสารอื่น ๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย ​
    3. พิษจากอาหารที่ปรุงรสจัดเกินไป ซึ่งถ้าปรุงมากเกินความต้องการของร่างกาย เมื่อถูกย่อยก็จะเกิดพลังงานส่วนเกิน เผาทำร้ายเซลล์ เม็ดเลือด จะเกิดการอุดตันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ​
    4. พิษจากชนิดของอาหารที่ไม่สมดุลจากโลกร้อนขึ้น และเมืองไทยเป็นเมืองร้อน จุดสมดุล ก็คือ จุดเย็นสบาย ซึ่งควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเป็นส่วนใหญ่ที่ให้่ความร้อนหรือพลังงานไม่มากเกินไป ​
    5. พิษจากของเสียและความร้อนจากขบวนการย่อย การสันดาปหรือการเผผลาญอาหาร การย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารทุกครั้งจะเิกิดของเสียและความร้อนที่เป็นพิษกับร่างกายขึ้นเช่น เกิดคาร์บอนไดออกไซม์ เกิดแอมโมเนีย เกิดสารและพลังงานที่เป็นพิษอื่น ๆ ถ้าไม่รีบสลายหรือขับพิษออก พิษดังกล่าวก็จะทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย ​
    6. พิษจากการไม่รู้เทคนิคในการรับประทานอาหารเพื่อสุขอย่างผาสุก
    ไม่รู้วิธีปฏิบัติในการลดละ ล้างความอยากในจิตต่ออาหารที่เป็นพิษ อย่างถูกต้อง ​
     
  16. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สาเหตุหลัก ข้อที่ 3 การไม่ออกกำลังกาย​
    หรือการออกกำลังกายที่เคลื่่อนไหวอริยบทไม่ถูกต้อง​
    สำหรับการบริหารกายและอริยบทที่ถูกต้องเป็นประโยชน์กับร่างกายนั้น จะต้องได้คุณสมบัติ 3 อย่าง คือ ...

    1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็น
    2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ

    เพราะคุณลักษณะทั้ง 3 ประการ จะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลม และพลังงานในร่างกายเป็นไปโดยปกติอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดสุขภาพที่ดี ​
    แต่ปัจจุบันการออกกำลังกายและอริยาบทของคนส่วนใหญ่โดยทั่วไป เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือกปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ้ เต้นแอโรบิก หรือเล่นกีฬาต่าง ๆ มักทำแต่เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยืดหยุ่นเข้าที่เข้าทางจึงมักจะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พร้อมกับผลข้างเคียงของการออกกำลังกายคือ ความแข็งตึงเกร็งค้างของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติทางของกระูดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมและพลังงานในร่างกายติดขัดส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดตึง มึนชา พลังชีวิตตก เร่งความเสื่อมในร่างกายและเกิดโรคภัย
    ไข้เจ็บต่าง ๆ ​
     
  17. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    สาเหตุหลัก ข้อที่ 4 มลพิษต่าง ๆ
    มลพิษต่าง ๆ ในโลกเพิ่มมากขึ้น

    สาเหตุหลัก ข้อที่ 5 พิษจากการสัมผัสเครื่องยนต์/เครื่องไฟฟ้า/เครื่องอิเลคทรกนิคมากเกิินไป​
    [​IMG] การเิดินทางด้วยรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้มือถือ ใช้เครื่องเสียงต่าง ๆอย่างไม่รู้ความสมดุล และไม่รู้วิธีถอนพิษ เพราะอุปกรณ์ดังกล่าว มีพลังงานความสั่นสะเืืทือนมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าเข้าไปในร่างกายมากเกินไป จะชนกระแทกทำร้ายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เร่งความเสื่อมของร่างกาย และก่อโรคภัยไข้เจ็บได้
    [​IMG] ตัวอย่างส่วนหนึ่งของการป้องกันแก้ไขปัญหา เช่น ขณะที่โดยสารยานยนต์ เมื่อเครื่องยนต์เขย่าแต่ละเซลล์ของร่างกายก็จะถูกเขย่าเสียดสีกระทบกระแทกัน เกิดความร้่อนขึ้น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการไม่สบายต่าง ๆ วิธีแก้ขณะโดยสารยานยนต์ คือ ถ้าง่วงก็ให้นอนหลับ เมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สบายก็ควรดื่มน้ำ เท่าทีู่รู้สึกสบายเพื่อดับพิษร้อน
    [​IMG] ในกรณีที่สามารถจอดรถแวะเข้าห้องน้ำหรือในยานยนต์มีห้องน้าำ ถ้าปวดปัสสาวะก็ควรจะเข้าห้องน้ำเพื่อระบายพิษร้อนออก พร้อมกับยืดเส้นยืดสายให้ร่างกายสบาย
    [​IMG] กรณีที่ไม่สามารถจอดแวะหรือในยานยนต์ไม่มีห้องน้ำ ให้จิบน้ำทีละน้อย โดยอมน้ำไว้ในปากนาน ๆแล้วค่อยกลืน จะทำให้เราไม่ปัสสาวะบ่อย ขณะเดินทางอาจถอนพิษด้วยการพอก ทา หยอดดมสมุนไพร ขูดพิษ กดจุด นวดตัว ดัดตัวตาม ความพอเหมาะ
    [​IMG] ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกไม่สบายจากการใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ เช่น อ่อนเพลีย แสบตา เป็นต้นให้พักการใช้คอมพิวเตอร์พรากห่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วถอนพิษร้อนด้วยวิธีการต่าง ๆ
    [​IMG] การใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้สายหูฟังพิษจะน้อย หรือใช้ลำโพง คลื่อนก็จะไม่ทำร้ายเรามาก
    [​IMG] ยังมีต้นเหตุของความเจ็บป่วยอย่างอื่น ๆ ตามมาอีก จากสาเหตุดังกล่าว เป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุดที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทุกโรคทุกอาการ เช่น ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน หน้ามืด วิงเวียน มึนชา อ่อนล้า อ่อนแรง โรคกระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ ภูิมิต้านทานลด ปวดตามข้อ ปวดกระดูกปวดตามเนื้อตัว ปวดมดลูก มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร โรคมะเร็ง เนื้องอก โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ไขมันสูง ภูมิแพ้(หวัด ไซนัส หอบหืด ผื่นคัน)
    เก๊าท์ รูมาตอยด์ เป็นต้น
     
  18. MissP

    MissP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +951
    พฤติกรรมที่ทำให้เกิดภาวะร้อนเกิน (สาเหตุทำให้เกิดโรค)
    1. เครียด
    2. อดหลับอดนอน
    3. อดอาหาร
    4. เร่งร้อน เร่งรีบ
    5. มักจะทำงานเกินกำลังบ่อยๆ
    6. มักทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะยอมดื่มน้ำ
    7. มักกลั้นปัสสาวะ อุจจาระ
    8. มักทำงานที่ต้องงอมือ
    9. นั่งรถเดินทางบ่อยๆ
    10. มักกำมือแน่นตลอด
    11. มักมีกิจกรรมหรือการงานที่ตนต้องพูดมาก
    12. กลุ่มที่ทำงานใช้สมองมาก
    13. หงุดหงิดโมโหบ่อย
    14. มักกินของที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ บ่อยๆ
    15. คนที่ใช้กำลังกายมากในขณะที่ลมปราณล็อค
    16. ภาวะเย็นถึงที่สุดแล้วตีกลับเป็นร้อน
    รายละเอียดเพิ่มเติม ...
    1. เครียด
    ทำให้ร่างกายเร่งผลิตพลังงานเพื่อต่อสู้กับภาวะที่ทำให้เครียดนั้น ถ้าเครียดมาก ๆ เป็นประจำ ภาวะร้อนเกินก็จะเกิดขึ้น

    2. อดหลับอดนอน
    ถ้าเราไม่พักผ่อนนอนหลับในช่วงที่กำลังง่วงนอน ก็จะทำให้ร่างการต้องเร่งผลิตพลังงานสำรองออกมาใช้ ยิ่งถ้าไม่นอนในช่วง 4 ทุ่ม ถึง ตี 2 ซึ่งวิทยาการแพทย์แผนไทย ระบุไว้ว่าเป็นช่วงไฟกำเริบ ก็จะเกิด
    ภาวะร้อนเกินขึ้น ช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายควรจะนิ่งมากที่สุด เพื่อไม่ให้ไฟความร้่อนเผาทำร้ายร่างกาย
    จะสังเกตได้ง่าย ๆ ว่า เวลาที่เรานอนดึก จะรู้สึกเพลีย

    3. อดอาหาร
    แม้หิวก็ไม่ยอมกินอาหาร ซึ่งอาการหิว คือ อาการที่แสดงถึงไฟย่อยพร้อมที่จะทำงาน ถ้าไำม่มีอาหารให้ย่อย ไฟย่อยไฟเผาผลาญาอาหาร ก็จะเผาตัวเราเอง ซึ่งตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ได้อธิบยไว้ว่า ปกติพลังงานส่วนใหญ่
    ร่างกายจะขาดพลังงาน ร่างกายก็จะสร้างพลังงานด้วยการสันดาปจากไขมันและโปรตีนโนร่างกายแทนซึ่งขบวนการดังกล่าว จะทำให้เซลล์เสื่อมและมีของเสียที่เป็นพิษตกค้างในร่างกาย ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารเมื่อรู้สึกหิว แต่ถ้ายังไม่หิวก็ยังไม่ควรกิน เพราะัระบบย่อยยังไม่พร้อมที่จะทำงาน
    โดยทั่วไปช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการกิตอาหาร คือ ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. เพราะเป็นช่วงที่ไฟย่อยกำลังทำงานดี
    (ซึ่งตามหลักการแพทย์แผนไทย ช่วงนี้เป็นช่วงไฟกำเริบ) แต่ถ้าร่างกายหิวก่อนเวลาดังกล่าว ก็ควรจะกินในเวลาที่หิวนั้น

    4. เร่งร้อน เร่งรีบ
    คนใจร้อน ทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งแอดดรีนาลีนออกมากระตุ้นให้เซลล์เร่งผลิตพลังงาน ภาวะร้อนเกินก็จะเกิดขึ้น

    5. มักจะทำงานเกินกำลังบ่อยๆ
    ทำให้พลังงานความร้อนและของเสียคั่งในร่างกายมาก

    6. มักทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะยอมดื่มน้ำ
    ทั้ง ๆ ที่ขณะทำงาน หรือทำกิจกรรมนั้น จะรู้สึกคอแห้ง กระหายก็ยังไม่ดื่มน้ำ อาการปากแห้ง คอแห้งเป็นอาการที่แสดงว่า
    ร่างกายกำลังขาดน้ำ เมื่อไม่มีน้ำคุ้มครอง ความร้อนทั้งที่อยู่ในและนอกร่างกาย ก็จะเผาทำร้ายร่างกาย

    7. มักกลั้นปัสสาวะ อุจจาระ
    จึงทำให้ของเสียถูกดูดกลับเข้าร่างกาย เกิดภาวะร้อนเกินขึ้น
    8. มักทำงานที่ต้องงอมือหรือกำมือนาน ๆ แล้วไม่ได้ดัดคืนหรือไม่ได้กดนวดคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งจากกล้ามเืนื้อที่เกร็งค้างกดล็อคลมปราณ กดทับ
    ระบบไหลเวียนของเลือดลม ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ และคนที่อยู่หน้าเตาไฟนาน ๆ ก็มักจะเกิดภาวะร้อนเกินได้ ถ้าไม่ได้ดำเนินการแก้ไข

    9. นั่งรถเดินทางบ่อยๆ
    ในขณะที่นั่งรถเดินทางเครื่องยนต์ก็จะสั่น ทำให้เซลล์ในร่างกายสั่นสะเทือนไปด้วย จึงทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย
    จะสังเกตได้ เมื่อเราเดินทางมาก ๆ จะรู้สึกว่าร่างกายล้าเพลีย ซึ่งเป็นภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน

    10. มักกำมือแน่นตลอด
    การกำมือทำให้ความร้อนระบายออกทางมือไม่ได้

    11. มักมีกิจกรรมหรือการงานที่ตนต้องพูดมาก
    กล่องเสียงสั่นสะเทือนส่งผลให้ต่อมไทรรอยด์ ที่อยู่บริเวณคอถูกกระตุ้นให้ทำงาน ซึ่งต่อมนี้จะทำหน้าที่เร่งปฎิกิริยา
    การสันดาปเผาผลาญอาหาร ให้เป็นพลังงานความร้อน คนที่ต้องพูดมากๆ จึงมักมีภาวะร้อนเกิน

    12. กลุ่มที่ทำงานใช้สมองมาก
    การใช้พลังสมองนั้นเปลืองพลังงานมากกว่าการใช้พลังแรงกาย

    13. หงุดหงิดโมโหบ่อย
    จะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารแอดดรีนาลีน ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเร่งเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานความร้อน
    อย่างรวดเร็ว เกิดภาวะไฟกำเริบเผาตัวเราเอง ภาวะปลื้มใจ ดีใจ ถูกใจบ่อย ๆ โดยไม่ควบคุมอารณ์ ภาวะที่มีอิทธิบาท
    มากเกินไป (ฉันทะ - ความพอใจ วิริยะ - ความเพียร จิตตะ - จิตใจจดจ่อเอาใจใส่ วิมังสา - ตรวจสอบใคร่ครวญ) คือ
    มีอิทธิบาท โดยไม่มีเบรค (ไม่มีอุเบกขา คือ รู้เพียรแต่ไม่รู้พัก) ภาวะอารณ์ดังกล่าวล้วนเป็นสาเหตุของภาวะร้อนเกิน

    14. มักกินของที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ บ่อยๆ

    1. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มคาร์โบไฮเดรท เช่น ข้าวเหนียว ข้ากล้องสีแดง - ดำ ข้าวอาร์ซี เผือก มัน กล่อย ข้าวบาร์เล่ย์
    ข้าวสาลี ขนมปังอาหารที่หวานจัดมีฤทธิ์ร้อน (หวานโดยปกติจะมีฤทธิ์เย็น แต่ถ้าหวานจัดจะตีกลับเป็นร้อน)

    2. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อ นม ไข่ เห็ดโคน เห็ดก่อ เห็ดไค เห็ดละโงก (ภาคเหนือเรียกเห็ดไข่ห่าน)
    เห็ดหอม เห็ดหลินจือ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วทอดทุกชนิด ซึ่งแม้ว่าปกติจะเป็นถั่วฤทธิ์เย็น ถ้าเอาไปทอดก็จะกลายเป็นร้อน

    3. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มไขมัน อาหารที่มีรสมันทุกชนิดจะมีฤทธิ์ร้อน อาหารที่มีไขมันจะออกฤทธิ์ร้อนมากและร้อนนานกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะให้แคลอรี่หรือพลังงานมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ เช่น ลูกก่อ งา เนื้อมะพร้าว กะิทิ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดอัลมอลล์ เมล็ดฟักทอง (ร้อนมาก) มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันพืข และน้ำมันสัตว์

    4. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มผัก ได้แก่ ผักที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระชาย กระเพรา ยี่หร่า โหระพา พริก แมงลัก กุ้ยช่าย
    (ผักแผ้น) ต้นหอม ผักชี พริกไทย ขิง ข่า ตะไคร้ เครื่องเทศรสเผ็ดร้อนทุกชนิด เป็นต้น ผักบางชนิดรสไม่เผ็ดร้อน
    แต่มีฤทธิ์ร้อน เช่นคะน้า แครอท บีทรูท กะหล่ำปลี ชะอม ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง กระเฉด มะเขือพวง ลูกตำลึง
    ฟักทองแก่ โสมจีน โสมเกาหลี แปะตำปึง ผักกาดเขียวปลี ใบยอ ผักโขม ใบปอ ผักแขยง ยอดเสาวรส หน่อไม้ เม็ดบัว
    ไข่น้ำ (ผำ) สาหร่ายทะเล สาหร่ายน้ำจืด (เทา) ไหลบัว รากบัว แพงพวยแดง เป็นต้น

    5. อาหารรที่มีผลไม้ฤทธิ์ร้อนกลุ่มผลไม้ เช่น ฝรั่ง ขนุนสุก ลิ้นจี่ เงาะ ลำไย ทุเรียน น้อยหน่า สละ ส้มเขียวหวาน
    กล้วยไข่ กล้วยปิ้ง (สำหรับกล้วยหอมทองและหอมเขียว มีรสหวานจัด มักออกฤทธิ์ตีกลับเป็นร้อน) มะตูม ละมุด
    ลูกลำดวน ลูกยางม่วง ลูกยางเขียว ลูกยางเหลือง ลองกอง กะทกรก (เสาวรส) มะเฟือง มะปราง มะขามหวานสุก
    สมอพิเภก มะไฟ มะแงว (ลิ้นจี่ป่า) ทับทิมแดง มะม่วงสุก ลูกยอ กระเจี๊ยบแดง เป็นต้น

    6. อาหารที่ปรุงเค็มจัด เผ็ดจัด ก็มีฤทฺธิ์ร้อน อาหารที่ผ่านความร้อนนานก็มีฤทธิ์ร้อน

    7. สัตว์หรือพืชที่ใช้สารเคมี อาหารที่ใส่สารสังเคราะห์ ใส่ผลชูรส ใส่สารเคมี ก็มีฤทธิ์ร้อน

    8. คนที่มักกินสมุนไพรหรือยาบำรุงเลือด ยาเพิ่มการไหลเวียนของเลือดจะทำให้เกิดภาวะร้อนขึ้นได้ เช่น วิตามินซี
    วิตามินบีรวม แคลเซียมโซเดียม ธาตุเหล็ก สังกะสี เบต้าแคโรทีน วิตามินอี เป็นต้น ถ้าอาหารที่เขาโฆษณาว่ามีสารเหล่านี้มาก
    คนกลุ่มร้อนไม่ควรกิน ส่วนคนกลุ่มเย็นกินก็จะแข็งแรง

    9. คนที่กินเหล้า เบียร์ ไวน์ สูบบูหรี่ เสพสิ่งเสพติดหรือกินข้าหมาก น้ำหมักต่าง ๆ และของหมักดองทั่วไป
    มักจะมีฤทธิ์ร้อน ยกเว้นกล้วยสุกที่หมัีกแบบพิเศษให้เป็นน้ำส้มสายชู ซึ่งจะดูว่าน้ำหมักเป็นร้อนหรือเย็นให้ดูที่ขวด
    ถ้าขวดขยายเป็นน้ำหมักฤทธิ์ร้อน ถ้าขวดแฟบเป็นน้ำหมักฤทธิ์เย็น

    10. คนที่กินกาแฟ น้ำอัดลม ขนมอม ขนมกรุบกรอบ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำร้อนจัด น้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด
    มันเป็นเย็นจัดจนตีกลับเป็นร้อน บางคนกินน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัดแล้วจะเจ็บคอ

    15. คนที่ใช้กำลังกายมากในขณะที่ลมปราณล็อค
    (ถ้าลมปราณไม่ล็อค ภายหลังจากที่ใช้แรงกายจนเหงื่อออกจะรู้สึกเย็นสบาย) หรือตากแดด หรือต้องพูดมาก หรือ
    ต้องเดินทาง โดยเฉพาะในช่วง ๑๐.๐๐ ถึง ๑๔.๐๐ น. อดนอนหรือทำงานช่วง ๒๒.๐๐ ถึง ๐๒.๐๐ น. ซึ่งช่วงนี้จะเป็น
    ช่วงไฟกำเริบ ดังนั้นถ้ามีพฤติกรรมดังกล่าว ก็มักจะทำให้เกิดความไม่สบายจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเิกิน

    16. ภาวะเย็นถึงที่สุดแล้วตีกลับเป็นร้อน
    (หยินที่สุดจนตีกลับเป็นหยาง) ถ้ามีภาวะตีกลับเป็นร้อนยังไม่มาก ให้แก้ภาวะเย็นเิกินเป็นหลัก แก้ภาวะร้อนเกินเป็นรงอ
    แต่ถ้าตีกลับเป็นร้อนมากกว่าเย็น ก็ให้แก้ภาวะร้อนเป็นหลัก แก้ภาวะเย็นเป็นรองและเมื่อแก้ล็อคนี้ เสร็จแล้วบางทีอาการ
    ภาวะเย็นเกินอาจจะแสดงออกมา (เพราะต้นเหตุหลักคือ เย็นเกิน) เราก็แก้ภาวะเย็นเกินอีกทีหนึ่ง

    ข้อมูลประกอบ:
    สาเหตุที่ทำให้เจ็บป่วย
     
  19. sug552

    sug552 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +250
    ขอบพระคุณ คุณ MISS P ด้วยครับที่นำข้อมูลความรู้ที่ดี และมีประโยชน์มาแบ่งปัน
     
  20. Windsong

    Windsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +293
    ขออนุโมทนากับท่าน จขกท และทุกท่านที่ได้นำมาถ่ายทอดไว้ในนี้ครับ ..

    :cool: ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร หรือตำรายากลางบ้าน ผมเองก็พยายาม
    ไปเดินหาตามแหล่งหนังสือเก่าๆ ค่อนข้างจะกระจัดกระจาย หายาก
    ไม่ครอบคลุม ละเอียดครบถ้วน เมื่อหลายๆท่านได้รวบรวมไว้เป็นวิทยาทาน ถ้า
    ปักหมุด ไว้เป็นกะทู้ต้นๆ เพื่อให้สืบค้นง่าย ก็จะเป็นประโยชน์ทีเดียว:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...