คลังเรื่องเด่น
-
30 ความมหัศจรรย์!!! ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง จะเกิดสิ่งต่อไปนี้
1. โกรธน้อยลง เห็นความโกรธเร็วขึ้น
2. เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ตัดสินถูกผิดน้อยลง
3. เห็นความเลวของตนมากขึ้น เห็นความดีของผู้อื่นมากขึ้น
4. รับฟังมากขึ้น อยากอวดภูมิรู้น้อยลง
5. ไม่อยากโกหก หลีกเหลี่ยงการนินทา พูดน้อยลง
6. แสวงหาความสุขแบบกามคุณน้อยลง กิน ดื่ม เที่ยว ต้องการสุขแบบโลกๆ น้อยลง
7. มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
8. ใช้เงินเพื่อตนเองน้อยลง เพราะความต้องการน้อยลง
9. สนใจฟังเรื่องละกิเลส ไม่ค่อยสนใจเรื่องเพิ่มกิเลส
10. ไม่จุกจิกจู้จี้ ไม่ขี้บ่น ไม่คิดมาก
11. ละอายใจเมื่อคิดชั่ว เมตตามากขึ้น คิดถึงส่วนร่วมมากขึ้น
12. รักษาข้าวของเครื่องใช้มากขึ้น แต่ไม่หวงแหน
13. ยึดในตัวผู้อื่นน้อยลง ต้องการความเข้าใจน้อยลง เป็นอิสระจากผู้อื่นมากขึ้น
14. หลับสบาย ไม่ค่อยฝัน ควบคุมเวลาตื่นนอนได้ดังใจ
15. ไม่เห็นสิ่งต่างๆ เป็นบวกหรือลบ เห็นเพียงความธรรมดาของโลก
16. คลุกคลีกับหมู่คณะตามกาลเทศะ ไม่คลุกคลีตามอำเภอใจ สนใจสำรวจความเลวของตนเอง
17. รับรู้ความงามจากธรรมชาติได้มากขึ้น รักต้นไม้มากขึ้น
18. ไม่อยากสะสมอะไร มีของเท่าที่จำเป็น
19.... -
การสร้างพระเจดีย์ก็ดี จะได้บุญอย่างไร หลวงพ่อดาบส สุมโน
การสร้างพระเจดีย์ พระบรมธาตุนั้นไถ่ถอนจากบาปได้ และเป็นบุญอันสูงสุดในโลกนี้ เป็นบุญเพื่อไปสู่สุคติ สวรรค์ นิพพาน
หลวงปู่ดาบส สุมโน
การสร้างพระเจดีย์ก็ดี ผู้ร่วมสร้างพระเจดีย์ก็ดี หรือผู้มีส่วนในการสร้างพระเจดีย์ก็ดี จะได้บุญอย่างไร หรือเกิดบุญอย่างไร ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย การสร้างการร่วมสร้าง หรือมีส่วนในการสร้าง อันนี้เป็นบุญที่หาได้ยาก เป็นบุญที่หาได้ยากก็เพราะว่า เป็นบุญอันยิ่งใหญ่นั่นเอง กล่าวง่ายๆก็คือการสร้างพระเจดีย์นั้น ไม่อาจที่จะสร้างได้ทุกปี หรือตลอดทั่วไป ไม่เหมือนกับการทำทานอย่างอื่นๆ การทำทานอย่างอื่นๆก็ทำได้ทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน หรือไม่เลือกโอกาส แต่การสร้างพระเจดีย์ ไม่อาจทำได้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้ชีวิตหนึ่งบางคน เกิดมาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้สร้าง หรือมีส่วนที่จะประดิษฐาน ไว้เหนือแผ่นดินนี้ได้ สมัยก่อนมีผู้สร้าง อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างพระเจดีย์ถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ท่านพระเจ้าอโศกนั้นก็รู้ว่า เป็นการสร้างเพื่อสืบพระศาสนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พระพุทธศาสนาอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็เพราะฉนั้น ผู้สร้างพระเจดีย์จึงเท่ากับว่า... -
ทำบุญ ทำทานร่วมกัน หนุนให้พบเนื้อคู่ ชีวิตคู่ ครอบครัวดีตลอดไป...
ทำบุญ ทำทานร่วมกัน
หนุนให้พบเนื้อคู่ ชีวิตคู่
ครอบครัวดีตลอดไป...
หากไม่มีบุญวาสนาเกื้อหนุนกัน ไฉนเลยจะได้ครองคู่กัน
มูลเหตุแห่งการครองคู่พระพุทธองค์ตรัสว่าเกิดขึ้นด้วยสองเหตุคือ
1. การทำบุญร่วมกันมาก่อน
2. การได้ร่วมสร้างบุญต่อกันในปัจจุบัน
หากไมมีบุญวาสนาหนุนนำแล้วไฉนเลยจะได้ครองคู่กันได้ อนึ่งการจะครองคู่กันได้ต้องอาศัยองค์ 4 ประการ
ศรัทธาเสมอกัน
ศีลเสมอกัน
เสียสละเสมอกัน
ปัญญาเสมอกัน
"การที่พระนางพิมพามีจิตเสน่หาต่อเรานั้น เป็นเพราะบุญบารมีที่เคยสร้างร่วมกันมานับเนื่องแต่อดีตชาติ..."
พระพุทธองค์หลังจากโปรดพระบิดาและข้าราชบริพารแล้วก็ทรงทราบว่า มีอยู่ผู้หนึ่งที่ไม่ได้ลงมาเข้าเฝ้าเลยก็คือ พระนางยโสธราพิมพา พระพุทธองค์ได้เสด็จไปยังตำหนักแห่งพระนางพิมพา โดยมีพระเจ้าสุทโธธนะ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะตามเสด็จ
"ดูก่อน สารีบุตรและโมคคัลลานะ หากพระนางพิมพาแสดงกิริยาใดๆ แม้ว่าเธอจะสัมผัสต้องกายเรา ขอให้ท่านทั้งสองจงอย่าได้ห้ามปรามพระนางเลย"
"หากว่าท่านทั้งสองห้ามปรามพระนางเสียแล้วนางจะอกแตกตาย เพราะ พระนางนั้นมิได้ทำบุญด้วยตนเองเลย... -
"ทาน ศีล ภาวนา" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"ทาน ศีล ภาวนา"
" .. ผู้ทั้งให้ทานด้วย ทั้งรักษาศีลด้วย ย่อมเป็นผู้สร้างคุณงามความดีความร่มเย็นไว้แก่ตนโดยสม่ำเสมอ "คนมีศีลมีธรรมไปที่ไหน ไม่มีใครรังเกียจ" มีแต่ผู้รักผู้ชอบใจผู้เทิดทูนผู้เคารพนับถือ
ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนจนคนรวยคนโง่คนฉลาดคนมั่งมีศรีสุขขนาดไหนประการใด "ขอให้มีศีลอยู่ภายในกาย วาจา ใจของตนเถิด" ผู้นั้นเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติภายในอันสำคัญติดตัว "ไปที่ไหนสวยงาม มีแต่คนอยากคบค้าสมาคมไม่มีใครรังเกียจ"
ที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่า "ทานํ เทติ" คนใจบุญย่อมหนักแน่นในทาน ย่อมหนักแน่นในการรักษาศีล "ย่อมสนใจใคร่ต่อการภาวนารักษาจิตใจของตนให้สงบร่มเย็น" ใจที่มีความสงบ ย่อมเป็นใจที่มีความสุขและผ่องใสอยู่ภายใน
ผลแห่งการปฏิบัติธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญท่านว่า
- "เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ" บางพวกย่อมไปสวรรค์
- "เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ" บางพวกย่อมก้าวขึ้นสู่นิพพาน
- "นิสฺสํสยํ" โดยไม่ต้องสงสัย .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2150&CatID=2 -
พระสีวลี และ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ)
หลวงปู่พระสีวลีท่านบอกหลวงพ่อว่า คุณ! คุณนี่เคยเป็นลูกฉันมาหลายสิบชาติและหลวงพ่อขนมจีนด้วยก็เคยเป็นลูกมาเหมือนกัน เป็นน้องคุณ
สมเด็จฯท่านนั่งอยู่ด้วยท่านก็บอกว่า
.สีวลีเป็นพระที่มีลาภมากในสมัยตถาคต เธอเอาพระธาตุมาให้ลูกหลานบูชานั้นสมควร รวมกับลาภสักการะของเธอที่บำเพ็ญบารมีมาในด้านของทานบารมี อันนี้จะช่วยลูกหลานได้มาก..."
".อันนี้ก็ต้องไม่ลืมลาภพระพุทธเจ้าด้วย ก่อนที่จะว่าก็ต้องตั้งนะโมก่อน แล้วก็ว่าอิติปิโส ไปจนจบ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระสีวลี ก็ขอลาภท่านไม่ขอมาก...อยากมีเครื่องบินขอให้มีได้รึไง?..(ขอแต่พอควร)
.พระพุทธเจ้าเลยบอกว่า " พระสีวลีเขามีลาภมาก ลูกหลานของเธอก็มาก ลูกหลานของเธอคือลูกหลานของฉัน(ก็ถือเป็นลูกท่านทุกคนเพราะคำว่า "สาวก" ก็ถือเป็นลูก) เวลานี้ก็เครียดกันมาก เอาพระธาตุของพระสีวลีตั้งไว้ให้บูชาก็แล้วกันนะ.."
"..เคยถามพระสีวลีท่าน อนุญาตไหม.?
"ท่านบอกว่าท่านเห็นชอบด้วย"
". เลยให้ฉันแบ่งไว้องค์ วันนี้ขึ้นไปท่านบอก
"คุณหยิบองค์นี้ไว้ซี" พระมหากัจจายนะบอก "อันนี้พระธาตุของฉันเธอหยิบเอาไว้เอาเก็บใส่กระเป๋า"
.เพราะที่กระเป๋าของฉัน ฉันใส่พระ (หลวงพ่อ)บอก... -
เปิดตำนาน!! "เซียนแป๊ะโค้ว ผู้ศักดิ์สิทธิ์" แห่งหัวตะเข้ ละสังขารในท่านั่งสมาธิ สรีระไม่เน่าเปื่อย!!
เปิดตำนาน!! "เซียนแป๊ะโค้ว ผู้ศักดิ์สิทธิ์" แห่งหัวตะเข้ ละสังขารในท่านั่งสมาธิ สรีระไม่เน่าเปื่อย!!
เซียนแป๊ะโค้ว ผู้พ่ายรัก แห่งหัวตะเข้
บางครั้งคนเรา จะเจอเรื่องผิดหวังอย่างรุนแรง หรือกิจการแล้วล้มละลาย แต่ถ้าเราไม่ยอมท้อต่อชีวิต ไม่คิดสั้นหรือทำร้ายตัวเอง อาจจะเจอสิ่งที่ดีกว่า ถือว่าประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยเป็นอีก ดังเรื่องเซียนแป๊ะโค้ว ผู้พ่ายรัก ท่านถูกโชคชะตาเล่นงานแบบสาหัสสากรรฉ์ ถ้าท่านไม่เข้มแข็ง ไม่ฆ่าตัวตาย ชีวิตก็คงอับปางไม่เหลือชิ้นดี
เซียนแป๊ะโค้ว เดิมท่านชื่อเอียะฮง แซ่เล้า เป็นหนุ่มซินตึ๊ง มาจากเมืองจีน หวังมาหาความเจริญที่เมืองไทย เมื่อแรก มาอยู่เมืองไทย ได้มาทำงาน เป็นเด็กฝึกงาน ที่ร้านแถวเยาวราช เนื่องด้วยท่านเป็นคนฉลาดขยันขันแข็งได้ไต่เต้าจนได้เป็นหลงจู๊(ผู้จัดการ)ของร้าน
ตอนหลังท่านพิจารณาว่า การกินเงินเดือน เป็นมนุษย์เงินเดือน มั่นคงดีแต่รวยช้า ท่านจึงคิดไปทำสวนผลไม้ เพราะสมัยนั้นคนทำสวนยังมีน้อย จึงขอลาออกจากเถ้าแก่ ตอนแรกเถ้าแก่ก็ไม่ยอม แต่พอเห็นว่าทัดทานยังไงก็ไม่ได้ จึงได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่งไปลงทุน... -
"ปลง คือวางลงอย่าแบกมัน" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
"ปลง คือวางลงอย่าแบกมัน"
" .. คำที่ว่า "ปลง" นั้นก็คือ "วางลง อย่าไปหอบไว้ อย่าไปหิ้วมันไว้ อย่าไปแบกมันไว้" สังขารคือร่างกายนี้ให้โยมยอมรับเสียว่า "สังขารร่างกายนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยังไง ๆ ก็ตามมันเถอะ" เราก็ได้อาศัยสกลร่างกายนี้มาตั้งแต่กำเนิดเกิดขึ้นมาก็พอแล้ว จนถึงเฒ่าชแลแก่ชราบัดนี้
เหมือนเปรียบประหนึ่งว่า "เครื่องใช้ไม้สอยของเราต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้าน ซึ่งเราเก็บกำไว้นมนานมาแล้ว" เช่น ถ้วยโถโอจาน บ้านช่องของเรานี้ "เบื้องแรกมันก็สดใสใหม่สะอาดดี เมื่อเราใช้มันมาตลอดกาลนาน บัดนี้สิ่งทั้งหลายนั้นมันก็ทรุดไปโทรมไป" บางวัตถุก็แตกไปบ้าง หายไปบ้าง "ชิ้นที่มันเหลืออยู่นี้ก็แปรไปเปลี่ยนไป ไม่คงที่" มันก็เป็นอย่างนั้น .. "
"บ้านที่แท้จริง"
หลวงปู่ชา สุภัทโท -
ช็อคสุดขีด!!! ประสบการณ์จริง!จากศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยไหม...ลบหลู่โดยไม่ตั้งใจ!!! ผมยาว หน้าถมึงทึงออกมาจากป่า ถ้าไม่ขอขมามีแววจะไม่รอด
ช็อคสุดขีด!!! ประสบการณ์จริง!จากศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยไหม...ลบหลู่โดยไม่ตั้งใจ!!! ผมยาว หน้าถมึงทึงออกมาจากป่า ถ้าไม่ขอขมามีแววจะไม่รอด
เรื่องราวดังกล่าวนี้ ได้รับการเปิดเผยจากประสบการณ์ตรงของ “พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ” เจ้าอาวาส วัดท่าขนุน กาญจนบุรี ท่านเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สมัยที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำยังอยู่ ท่านเป็นพระลูกวัด ในวัดท่าซุง อุทัยธานี
โดยพระอาจารย์เล็กได้เล่าเรื่องในช่วงหนึ่งของชีวิต ที่เคยได้พบความยากลำบากในการฝึกทหาร จนวันหนึ่งเจอดีเข้า ทั้งนี้ได้ตัดบางช่วงตอนมาให้อ่านกัน
ความทุกข์สาหัสทั้งกายทั้งใจของการฝึกทหาร ไม่ได้หนึ่งในร้อยของการบวชพระ ที่มีเงื่อนไขว่า “ต้องเอาดีให้ได้” จะไม่เอาดีก็ไม่มีใครว่า ไฟนรกลุกท่วมฟ้ารอท่านอยู่ ไม่ต้องไปเลือกให้เสียเวลา “อเวจีมหานรก” คือที่ไป...
อาตมาถูกส่งไปเปลี่ยนกำลังพล ที่พื้นที่ชายแดนสามอำเภอของจังหวัดปราจีนบุรี คือวัฒนานคร อรัญประเทศ และตาพระยา หลังเหตุการณ์ที่บ้านโนนหมากมุ่นจบลงใหม่ ๆ มีการปะทะใหญ่ ๆ ย่อย ๆ เกือบสามสิบครั้ง สูญเสียเพื่อนรักและเจ้านายไป ๒๖ คน...... -
เรียนกรรมฐานด้วยการสื่อจิต! เมื่อหลวงปู่ดู่นิมิตเห็นหลวงปู่เฒ่าร่างใหญ่ เรื่องยืนยันสายสัมพันธ์หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
เรียนกรรมฐานด้วยการสื่อจิต! เมื่อหลวงปู่ดู่นิมิตเห็นหลวงปู่เฒ่าร่างใหญ่ เรื่องยืนยันสายสัมพันธ์หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
เรื่องราวของหลวงปู่ดู่ และหลวงปู่ทวดนั้น ผูกพัน เชื่อมโยงกันอย่างแปลกประหลาด จนบรรดาลูกศิษย์และครูบาอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมิก ต่างได้พบประสบการณ์ส่วนตัวที่แตกต่างกันไป ซึ่งสรุปรวมตรงกันว่า “หลวงปู่ดู่ ท่านเป็นอีกภาคหนึ่งของหลวงปู่ทวด” บ้างก็เชื่อว่า “หลวงปู่ดู่ คือหลวงปู่ทวดกลับชาติมาเกิด”
แม้แต่ตัวหลวงปู่ดู่ท่านเอง ก็ยังมีเรื่องเล่าที่ได้บันทึกไว้เช่นกัน...ดังความว่า
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดู่นิมิตได้นิมิตว่า มีพระผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ผิวดำมาหา แล้วบอกว่าถ้าอยากได้ของดีให้หา “ภูติพระพุทธเจ้า” ให้พบ จากนั้นท่านก็เขียนยันต์ลงในธง ๓ ผืน จากนั้นท่านเอามือตบลงไปปรากฏว่าธง ๓ ผืนที่ท่านเขียนยันต์เมื่อครู่ลอยขึ้นไปบนฟ้าเป็นอัศจรรย์ อีกครั้งหนึ่งได้นิมิตว่าหลวงปู่ผู้เฒ่าท่านนี้เอาคัมภีร์ใบลานแบกมาบอกว่าจะเอาให้ท่านฉัน หลวงปู่ดู่ตอบไปในความฝันว่าจะฉันลงไปได้อย่างไร พระผู้เฒ่ารูปนั้นเลยเอาใบลานมาเผาไฟเพื่อให้ท่านฉัน... -
ประโยชน์สูงสุดของการทำวัตรสวดมนต์
ถาม : ชอบภาวนามากกว่าสวดมนต์ทำวัตร ?
ตอบ : การสวดมนต์ทำวัตร ถึงเราจะชอบภาวนาก็ตาม ให้พยายามทำวัตรสวดมนต์ไว้ เพราะว่าการภาวนานั้น จิตใจของเราอาจจะฟุ้งซ่านไม่ทรงตัวก็ได้ การสวดมนต์ทำวัตรจริง ๆ แล้วถ้าเราทำเป็น ก็คือ การทำสมาธิ อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากำลังใจเราเฮงซวยห่วยแตกจริง ๆ ตอนนั้นจะคิดชั่วอย่างไรก็ตาม เราก็จะพูดชั่วไม่ได้ เพราะสวดมนต์อยู่ จะทำชั่วไม่ได้ เพราะนั่งอยู่ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ ความเลว ๓ อย่างโดนตัดไป ๒ อย่างแล้ว
เพราะฉะนั้น ..หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้สั่งพระของท่านว่า ให้สวดมนต์ทำวัตรทุกวันอย่าให้ขาด ถ้าหากว่าทำเป็น การสวดมนต์ทำวัตรสามารถสร้างเป็นทิพจักขุญาณได้ เข้าฌานเข้าสมาบัติได้ ไปพระนิพพานได้ง่ายนิดเดียว
ถ้าจะทำเป็นทิพจักขุญาณก็ให้นึกถึงตัวหนังสือที่เราสวดมนต์ "อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯลฯ" ขึ้นมาทีละตัวเลย เห็นตัวหนังสือชัดเจนแค่ไหน ทิพจักขุญาณของเราก็ชัดแค่นั้น จะไปพระนิพพานก็ขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานเลย ตั้งใจสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาอยู่ตรงนั้น
ตราบใดที่จิตยังมีงานทำ จิตก็จะไม่เคลื่อนไปจากจุดนั้น เราสวดได้นานเท่าไรเ... -
ปรับกำลังใจให้เท่ากันในการตอบคำถาม
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนมาน้อย ๆ ประมาณ ๑๐-๒๐ คนกำลังดี ถ้าคนเยอะ ๆ แล้วคนนั้นเรื่องหนึ่งคนนี้เรื่องหนึ่งแล้ว ทำให้่ปรับอารมณ์ไม่ทัน เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน ถ้าอาตมาไม่ลดกำลังใจลงไปให้เท่าเขา หรือไม่เพิ่มกำลังใจขึ้นไปให้เท่าเขา ก็จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น ถ้าลดเพิ่มเท่ากันก็สามารถตอบปัญหาได้ เพราะจะเข้าใจว่าอารมณ์ของเขาตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร
ตรงจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ว่า ถ้าหากไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ แล้วมานั่งอยู่ในสถานะผู้ตอบคำถามเดี๋ยวจะยุ่ง เจอคนถามคำถามงี่เง่ามาก ๆ เข้า จะเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก ถ้าหากว่าโกรธขึ้นมาก็ยุ่งเลย"
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม -
วิธีฝึกเจริญกรรมฐานด้วยตัวเอง แบบง่ายๆสำหรับฆราวาสที่ต้องทำมาหากิ
วิธีฝึกเจริญกรรมฐานด้วยตัวเอง แบบง่ายๆสำหรับฆราวาสที่ต้องทำมาหากิน
" เอาอย่างนี่นะ ทุกวันถ้าเวลาของเรามีน้อย
ก็ใช้เวลาก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน
นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ
นี่สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธินะ
พวกที่ได้มโนมยิทธินี่เขาได้กำไรมาก
นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ
คิดว่าองค์นี้คือพระพุทธเจ้า แล้วก็ภาวนาว่า " พุท โธ "
หายใจเข้านึกว่า " พุท "หายใจออกนึกว่า " โธ "สัก ๒ - ๓ ครั้งก็ได้
ตามความพอใจ มากก็ได้น้อยก็ได้แล้วก็หลับไป
พอตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก แล้วก็ภาวนาว่า
" พุท โธ " อีก ทำอย่างนี้ทุกวัน
จนกระทั่งถึงวันไหนถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญต้องทำ วิธีทำก็ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิก็ได้ กลางวันทั้งวันเราเหนื่อยยากในการงานมากก็นอนเวลาจะนอนก็กราบหมอนสัก ๓ ครั้งนึกกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระอริยสงส์ หลังจากนั้นเมื่อหัวถึงหมอนก็นอนภาวนา " พุท โธ "ทำอย่างนี้เพียงแค่ ๒ - ๓ ครั้ง แล้วก็หลับ
แล้วตื่นขึ้นมาใหม่เอาอีกแหละ เอาแบบนี้ จนกระทั่งมีอาการชิน วันไหนถ้าไม่ได้ภาวนา " พุท โธ "วันนั้นรำคาญไม่สบายใจ ไม่ได้ ต้องภาวนา... -
อาจาริยบูชาคุณ 103ปี หลวงปู่บุญฤทธิ์
วันนี้วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๑๐๓ ปี ท่านเป็นศิษย์กรรมฐานของพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน ท่านพ่อลี ธมฺมธโร และออกป่าติดตามหลวงปู่ชอบ ฐานสโม นานถึง ๙ ปี
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต มีนามเดิมว่า บุญฤทธิ์ จันทรสมบูรณ์ เป็นบุตรชายของหลวงพินิจจินเภท และคุณแส ท่านเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.๒๔๕๗ ตรงกับปีเถาะ ณ บ้านท่าอิฐ ต.ท่าอิฐ อ.พิชัยดาบหัก จ.อุตรดิตถ์
◎ เห็นหลวงปู่ชอบครั้งแรก
ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ ท่านสละชีวิตราชการตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น นำตัวเข้าบวช ณ วัดศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เมื่อบวชแล้วท่านก็แสวงหาครูอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน
“อาตมาเคยเห็นพระธุดงค์แบกกลดบริขาร เดินไปอย่างสงบ มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทั้งสายตาและกิริยาที่เดินจึงทำให้เห็นภาพประทับใจ
ต่อมาเมื่อได้บวชแล้วได้ ๓ พรรษา อาตมาก็เดินทางขึ้นภาคเหนือ ไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลังจากถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แล้ว
ตอนไปภาคเหนือนั้น อาตมาอยากจะออกป่าเดินธุดงค์เหลือเกิน ได้ยินพระรุ่นพี่ท่านเล่าอย่างนั้น... -
วิธีกราบพระที่ได้อานิสงส์มาก
ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เพื่อจะมีอานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุง เป็นตัวอย่างด้วย เจ้าค่ะ.
หลวงพ่อฯ : ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียวพอ ให้จิตเคารพนะ.. ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน.. กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า ลงหัวเรา.. กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่ง ที่เราเคารพ พอ.. เอาใจสำคัญ กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์.. ถ้าไม่เคารพ ไม่มีความหมาย..."
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่มที่ ๑๐ หน้าที่ ๕๘ -
บรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิตเพื่อฝึกทำสมาธิ
บรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิตเพื่อฝึกทำสมาธิ
วิธีสอนของท่านมีผล 2 ทาง คือ อารมณ์คิดหรือใคร่ครวญ เป็นการปล่อยเรือให้ไหลไปตามกระแสน้ำก่อน คือไม่เอาเรือขวางแม่น้ำเชี่ยว ทั้งนี้ เพราะจิตมีความสัมพันธ์กับความคิด ที่ไม่มีขอบเขตมาแล้วหลายแสนกัป คิดเป็นชาติเกิดก็หลายล้านชาติ ทุกชาติที่เกิดมันคิดตามอารมณ์ของมัน ไม่มีใครห้ามปรามมัน มันมีอิสระในความคิด ตอนนี้เราเกิดจะห้ามมันคิด เอะอะก็ห้ามกันเลยมันจะไหวหรือ
อันดับแรก ท่านให้คิดก่อน แต่หาเรื่องให้คิดในมุมกลับ คือ คิดตัด คิดระงับ แต่ก็ไม่ตัด ไม่ระงับทันทีทันใด เช่น คิดถึงรูป มันก็ต้องมองความสวยกันก่อน
เมื่อจะระงับ อารมณ์ที่ติดในความสวย คราวนี้ต้องแก้ผ้าคนสวยกัน เมื่อแก้ผ้าแล้ว ยังเห็นว่าสวย ก็ต้องผ่าท้องกัน เอาตับไตไส้ปอดออกมาดู คราวนี้จะมีอะไรสวย มันก็หมดเรื่องกัน เมื่อหาเรื่องให้คิด คิดพอมีอารมณ์สบาย แม้ไม่มีโอกาสเที่ยวไกลนักแต่ยังมีโอกาสเที่ยว อารมณ์กลุ้มก็บรรเทา อันนี้เป็นวิธีบรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิต
อันดับที่ 2 เมื่อใคร่ครวญตามนั้น ก็เกิดอารมณ์เบื่อ ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส หมดความสงสัย เพราะเห็นจริงกับความจริงที่มองเห็น... -
คนเราพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! ญาณระลึกชาติของหลวงปู่สาย! เล่าถึงความสัมพันธ์กับหลวงตามหาบัว เคยพบกันมาแล้วถึง 9 ชาติ
คนเราพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! ญาณระลึกชาติของหลวงปู่สาย! เล่าถึงความสัมพันธ์กับหลวงตามหาบัว เคยพบกันมาแล้วถึง 9 ชาติ
"หลวงปู่สาย เขมธัมโม" แห่งวัดป่าพรหมวิหาร จังหวัดหนองบัวลำภู มักจะเล่าธรรมะเกี่ยวกับเรื่อง "ภพชาติ" ให้ลูกหลานฟังเพื่อให้กลัวภัยในการเกิด และสอนว่า การที่คนเราประสบพอเจอกันนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หลวงปู่สาย เขมธัมโม
ครั้งหนึ่ง หลวงปู่สายเล่าว่า
"คนเราเกิดมาไม่ใช่เพิ่งจะมาเจอกันเลยนะ
มันต้องเคยพบเคยเจอกันมา...ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง
คือเรามานั่งฟังหลวงปู่อยู่นี่ มันต้องเคยเกิดร่วมกันมาก่อน
บางคนเคยเกิดเป็นสามีภรรยา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เคยเป็นครูบาอาจารย์กันมาก่อนนะ ... ถึงจะมาเจอกันได้
อย่างหลวงปู่นี่ก็เคยสงสัยนะ...กับอาจารย์มหาบัว หลวงปู่มหาบัวนี่ (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) เป็นอะไรถึงได้มาเป็นอาจารย์ ... ก็เลยกำหนดถามไป"
"มีเสียง (ธรรม) ตอบมาว่า ชาตินี้เป็นชาติที่ ๙ แล้ว ... จะไม่มีชาติต่อไปอีก"!!
"โอ้! มันไม่ใช่นะธรรมดานะ...ภพชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องทำความดีไว้"
ข่าว : ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)
ที่มา : Facebook - วัดป่าพรหมวิหาร... -
ไขปริศนาเด็กระลึกชาติ!!! เจ้าชายน้อยหลานกษัตริย์จิ๊กมี 3ขวบ ระลึกชาติได้...กับข้อข้องใจ ทำไมการระลึกชาติถึงเกิดขึ้นในวัยเด็ก?
ไขปริศนาเด็กระลึกชาติ!!! เจ้าชายน้อยหลานกษัตริย์จิ๊กมี 3ขวบ ระลึกชาติได้...กับข้อข้องใจ ทำไมการระลึกชาติถึงเกิดขึ้นในวัยเด็ก?
เป็นเรื่องฮือฮา อีกครั้งในกลุ่มผู้นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย และภูฏาน เมื่อหลานชายของกษัตริย์จิกมีแห่งภูฏาน ซึ่งมีพระชันษาเพียง 3 ปี ทรงเล่าว่า เมื่อ 824 ปีก่อน ทรงเคยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในประเทศอินเดีย และหากว่าได้เสด็จฯ เยือนที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง จะทรงจำทุกอย่างได้ จนเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา พระอัยยิกา (ยาย) ของเจ้าชายจึงพาเจ้าชายไปที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่ประเทศอินเดีย และปรากฏว่าเจ้าชายสามารถจำสถานที่ต่างๆ ได้แม่นยำ แม้แต่ห้องเรียนของพระองค์เอง
(ลามะน้อย)
โดยในเพจเฟซบุ๊กของ รศ.ดร. ต่อตระกูล ยมนาค ก็มีการโพสต์เรื่องราวนี้ ด้วยข้อความว่า “ลามะน้อยองค์นี้ เป็นพระโอรส พระกนิษฐภคินี ( น้องสาว)ของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี แห่งภูฐานได้ระลึกชาติ ว่าชาติที่แล้วเป็นอดีตพระลามะที่ภูฐาน ดำรงตำแหน่งสูงเป็น Lotsawa กลับชาติมาเกิด พระลามะผู้ใหญ่ได้นำไปพิสูจน์ตามธรรมเนียมโบราณแล้ว ก็ทูลขอมาให้เป็นพระลามะเป็นเวลาเป็นปีแล้ว... -
"บวชจิต" เคล็ดลับการบวชในใจของ "หลวงปู่ดู่"! คนอื่นไม่รู้...แต่ภูตผีเทวดารู้! บวชไม่เกินสามปี...ชีวิตจะเปลี่ยน!!
"บวชจิต" เคล็ดลับการบวชในใจของ "หลวงปู่ดู่"! คนอื่นไม่รู้...แต่ภูตผีเทวดารู้! บวชไม่เกินสามปี...ชีวิตจะเปลี่ยน!!
"การบวชจิต" หรือ "การบวชใน" นั้นเป็นสูตรของ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"
หลวงปู่ดู่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
"การบวชทั้งในและนอกมันลำบากในยุคนี้
เราบวชใน คนไม่รู้ ... แต่ผีรู้ เทวดารู้
การบวชในเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง เวลาทำบุญให้นึกว่าตัวเองเป็นพระ...จะได้ชิน ถ้าทำบ่อย ๆ จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
เวลาทำความดีอะไรก็ตาม...ให้นึกว่าตัวเองเป็นพระ มันจะปรับออกมาข้างนอกเอง เป็นการบวชจากข้างในไปหาข้างนอก คือ ด้วยรูปลักษณ์ในการบวชที่เป็นพระนั้น พอเราบวชแล้ว เราจะไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดี เวลาเราแผ่บุญออกไป พลังงานก็ผ่านเราออกไปได้มากกว่า
พลังงานนี้จะผ่านพระได้มากกว่าฆราวาสนะ... ลองคิดดูสิ เราเป็นพระนะ (บวชใน) แค่เรานึกนี่ก็เป็นแล้ว ทำไม่เกินสามปีจะรู้สึกว่าเราเป็นพระ เรื่องอะไรที่ไม่ดี เราจะไม่พูด ไม่ทำ แม้แต่ในฝันยังเป็นพระเลย
บวชจิตแล้วต้องสึกไหม...ไม่ต้อง มันไม่เกี่ยวกัน เรื่องโลกกับเรื่องธรรมเป็นคนละเรื่อง เวลาอยู่ทางโลกก็อยู่ไป เมื่อไรอยู่ทางธรรมเราก็บวชใน... -
ทำทานกับใครจะได้บุญมาก ?
ทำทานกับใครจะได้บุญมาก ?
พระพุทธเจ้า มีพระดำรัสตรัสไว้ใน เรื่องของเนื้อนาบุญว่า
แม้วัตถุทานที่มีความบริสุทธิ์ เจตนาทำทานก็บริสุทธิ์, อาการแห่งการให้ทานนั้นจะดีเยี่ยม แต่ผลบุญของความบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นได้มากน้อยขึ้นอยู่กับ “เนื้อนาบุญ”ตามลำดับของผู้รับอันได้แก่
การให้ทานแก่เหล่าสัตว์เดรัจฉาน,มนุษย์ผู้ไม่มีศีล, มนุษย์ผู้มีศีล 5, มนุษย์ผู้มีศีล 8,สามเณร,พระภิกษุที่เป็นสมมติสงฆ์, พระภิกษุที่เป็นพระเถระชั้นอริยสงฆ์โสดาบัน,พระสกิทาคามี,พระอนาคามี,พระอรหันต์,พระปัจเจกพุทธเจ้า,และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามลำดับ
การที่พระองค์จัดลำดับไว้อย่างนี้เพราะว่า การทำทานหากได้ทำให้กับผู้รับที่ยิ่งมีความบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ผู้ให้ก็ยิ่งมีความรู้สึกอิ่มเอิบใจและเป็นสุขมากเท่านั้น
สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา พระองค์ได้ประทับอยู่ที่ “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” ในเวลานั้นมีเทวดา 2 ท่านมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อนคนอื่นทั้งหมด ยกเว้นไว้แต่พระอินทร์ หรือท่านท้าวสักกะเทวราช... -
พระอรหันต์ไม่หลับหรอก หลับแต่ธาตุขันธ์ - พระอาจารย์มั่น
“เณร!... พระอรหันต์ไม่หลับหรอก หลับแต่ธาตุขันธ์เท่านั้นเอง” สามเณรแค่คิด แต่เพราะรู้วาระจิตสามเณร หลวงปู่มั่นจึงตอบโดยไม่รอถาม!!!
หลวงปู่เทสก์เล่าให้อาตมา(พระครูอุดมสังวรญาณ)ฟังว่า เมื่อหลวงปู่เทสก์ได้ไปอยู่ปรนิบัติรับใช้ และศึกษากรรมฐานอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ท่านพระอาจารย์มั่น ได้เมตตาเล่าเรื่องต่างให้ฟังถึงประสบการณ์ และสิ่งที่หลวงปู่เทสก์ได้รับรู้ หรือเห็นโดยตรงจากพระอาจารย์มั่นเอง ซึ่งหลวงปู่เทสก์ท่านก็ช่างจำ ได้กราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นหลายเรื่อง ท่านก็จะเล่าให้หลวงปู่เทสก์ฟังเสียง
มีสามเณรองค์หนึ่งเดินทางมาจากอุบลราชธานี แต่จำชื่อสามเณรไม่ได้ ตั้งใจมาปฏิบัติเรียนกรรมฐานกับพระอาจารย์มั่น สามเณรได้ยินข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่นเป็นพระอรหันต์ อยากไปปฏิบัติกับท่าน พอไปถึงแล้วท่านพระอาจารย์มั่นคงรู้ในจิต ท่านก็เลยรับสามเณรไว้ คราวนี้สามเณรได้ไปปฏิบัติไปนวดท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็หลับไป
สามเณรก็คิดไปว่า “ เอ! พระอรหันต์ ทำไมนวดอยู่ก็ยังหลับ”
ท่านก็สวนขึ้นทันที “เออ เณร พระอรหันต์ไม่หลับหรอก”
แสดงว่าท่านรู้วาระจิตสามเณรที่สงสัย จึงได้ตอบทันทีทันใดว่า... -
"นักกินสินบน" (หลวงปู่จันทา ถาวโร)
"นักกินสินบน"
" .. ต่อแต่นั้น ข้าพระองค์ก็เดินทางผ่านมาอีก "มาพบกุญชรช้างสารใหญ่ กินแต่หนามไผ่หนามหวาย" ยอกปากยอกลิ้น(หนามแทงลิ้นแทงปาก) อยู่เป็นทุกข์หลายปีแล้ว นี่เป็นเพราะกรรมอันใดหนอ พระเจ้าขา
ดูก่อนอุบาสก ช้างสารใหญ่ตัวนี้ ในศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโปโน้น "เป็นตุลาการพิพากษา ตัดสินไม่ยุติธรรม" เห็นแก่สินจ้างสินบน ทางใดให้เงินหลายถึงผิดก็ให้เป็นชนะ ทางใดให้เงินน้อยถึงถูกก็ให้เป็นแพ้ นั่นแหละไม่ยุติธรรม
กินแต่สินจ้างสินบน "ตายจากนั้นแล้วไปตกมหาตาปนะนรกแสนปี" พ้นจากนั้นมา เศษกรรมยังไม่สิ้นมาเสวยวิบากกรรมชั่ว ยอกปากยอกลิ้นเลือดอาบหน้าอยู่เป็นนิจ นี่แหละโทษทำไม่ดี .. "
นายพรานคืนศีล
หลวงปู่จันทา ถาวโร -
ได้ดีต้องมีครู! "หลวงพ่อปาน"สอน จะเสกของขลัง จำเป็นต้องอัญเชิญเทพยดา เพราะไม่มีใครเก่งด้วยตัวคนเดียว
ได้ดีต้องมีครู! "หลวงพ่อปาน"สอน จะเสกของขลัง จำเป็นต้องอัญเชิญเทพยดา เพราะไม่มีใครเก่งด้วยตัวคนเดียว!
วิชาการเสกของให้ขลังจัดเป็นพิธีกรรมและกรรมวิธีที่เพียบพร้อมไปด้วยศาสตร์และศิลป์ จากจุดเริ่มต้นไปจนจบแฝงไว้ด้วยแง่คิดคติธรรมเป็นปริศนาซ่อนอยู่
ครูผู้แต่เดิมสอนซ่อนไว้อย่างชาญฉลาด ผู้ร่ำเรียนเพียรทำภายหลังจะได้รู้แนวและทักษะการฝึกจิตไปในตัว
แต่สิ่งนึงคือแม้รู้ขั้นตอนทั้งหมดก็ใช่ว่าผู้นั้นจะเรียกว่าเสกเป็น เพราะสิ่งที่จะพาไปสู่ความสำเร็จนั้นหาใช่ความสามารถของผู้ทำเพียงประการเดียวไม่หากแต่ความสำเร็จสมบูรณ์นั้นอยู่ที่แรงครูหรือเทพร่วมอนุเคราะห์ หากละเลยข้อนี้ถือว่าพลาดอย่างหนัก
สมัยหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคท่านให้หลวงพ่อเล็กศิษย์เอกของท่านเสกของ หลวงพ่อเล็กเข้าฌานออกฌานเป็นอนุโลมปฏิโลมเสกด้วยการเข้าฌานออกฌานแบบรี้อยู่สามเดือนเต็ม พอเอาของไปให้หลวงพ่อปานท่านไล่เลยบอกว่ายังใช้ไม่ได้ หลวงพ่อเล็กต้องกลับมานั่งคิดใหม่ว่าเราเสกขนาดนี้ท่านว่าใช้ไม่ได้หมายความว่ายังไง สุดท้ายท่านคิดได้เลยตั้งโต๊ะ บวงสรวงบอกกล่าวเทพยดาครูบาอาจารย์ให้มาประสิทธิให้... -
เสียงธรรม สาระสำคัญแห่งวิสุทธิมรรค โดย วศิน อินทสระ เสียงอ่านโดย สวัสดิ์ อมรสิทธิ์
สาระสำคัญแห่งวิสุทธิมรรค
โดย วศิน อินทสระ เสียงอ่านโดย สวัสดิ์ อมรสิทธิ์
วิสุทธิมรรค (บาลี: วิสุทฺธิมคฺค) เป็นคัมภีร์สำคัญคัมภีร์หนึ่ง ในพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งได้รับการจัดลำดับความสำคัญเทียบเท่าชั้นอรรถกถา โดยมี พระพุทธโฆสะ ชาวอินเดียเป็นผู้เรียบเรียงขึ้นในภาษาบาลี เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 มีเนื้อหาที่อธิบายเกี่ยวกับ ศีล สมาธิ และปัญญา ตามแนววิสุทธิ 7
ในปัจจุบัน คัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในทางพุทธศาสนา ได้รับการยกย่องจากนักวิชาการด้านพุทธศาสนาในหลายประเทศเป็นจำนวนมาก และได้รับการบรรจุในหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย ระดับชั้นเปรียญธรรม ๘ ประโยค และเปรียญธรรม ๙ ประโยค
คัมภีร์วิสุทธิมรรค มีการแบ่งเนื้อหาสาระทั้งหมดเป็น 23 ปริจเฉท ได้แก่
ศีลนิเทศ แสดงถึงการรักษาศีล
ธุตังคนิเทศ แสดงถึงวิธีการบำเพ็ญธุดงควัตร
กัมมัฏฐานคหณนิเทศ แสดงถึงบุพกิจเบื้องต้นก่อนการเจริญสมถกรรมฐาน
ปฐวีกสิณนิเทศ แสดงถึงวิธีการเจริญปฐวีกสิณ โดยละเอียด
เสสกสิณนิเทศ แสดงถึงวิธีการเจริญกสิณ ที่เหลืออีก 9 ประการ
อสุภกัมมัฏฐานนิเทศ... -
ดูจิตอย่างไร ให้ดำรงอยู่ในสมาธิ
ดูจิตอย่างไร ให้ดำรงอยู่ในสมาธิ
คำถาม คือ มีวิธีดูจิตขณะเดินจงกรมอย่างไรให้ได้ตลอดโดยที่จิตไม่ไปไกล
พระอาจารย์มานพ อุปสโม พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา อธิบายว่า
“มองไปในตัว จิตก็ไม่ไปที่อื่นแล้ว อย่าทิ้งการมองดูตัวเราเอง มองดูตัวเอง จิตก็อยู่ในตัว หยุดมองดูตัวเองจิตก็ไปข้างนอก แล้วเราก็ห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถสกัดได้โดยการเข้ามามองภายใน ก็จะเริ่มเห็นความเป็นจริง ก็ให้ตั้งใจดู แล้วจิตก็จะไม่เตลิดไปไกล ในขณะเดินจงกรม ให้เราเดินไปด้วย ดูความรู้สึกไปด้วย ฝึกดูความคิดบ่อย ๆ จิตก็จะไม่ส่งออก ไม่ทุรนทุราย ไม่ซัดส่าย”
แล้วถ้า ขณะที่นั่งสมาธิดูลมหายใจไปสักพัก ลมหายใจก็หายไป มีแต่ความว่างเปล่า อาการเช่นนี้คืออะไร
พระอาจารย์มานพ ตอบว่า ขณะที่พิจารณาลมหายใจแรก ๆ ลมหายใจของเรายังหยาบอยู่ จึงปรากฏชัด เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ ลมหายใจก็ละเอียดขึ้น จนเราตามดูไม่ทัน แต่จริง ๆ ยังมีอยู่ ถ้าปฏิบัติถึงขั้นนี้ให้เรามองดูบริเวณที่ลมหายใจเคยกระทบตั้งใจและใส่ใจดู เราก็จะมองเห็นลมหายใจ นั่นคือการที่จิตเริ่มเป็นสมาธินั่นเอง
ขณะไปปฏิบัติธรรม... -
ฝึกสมาธิภาวนา: สัจธรรมสากลสำหรับคนทั้งโลก
ฝึกสมาธิภาวนา: สัจธรรมสากลสำหรับคนทั้งโลก โดย ว.วชิรเมธี
คำว่า “สมาธิภาวนา” แปลตรงตัวว่า การฝึกจิตหรือการฝึกจิตใจให้สงบ
การฝึกสมาธิภาวนานี้ เรามักเข้าใจว่าเป็นของชาวพุทธ แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบสัจธรรมที่มีอยู่ในโลกก่อนการมาถึงของพระองค์
ตัวความจริงมีอยู่แล้ว เหมือนกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย อย่างเช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ไอน์สไตน์ค้นพบหรือกฎแรงโน้มถ่วงซึ่งค้นพบโดยเซอร์ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์เป็นเพียงผู้มาค้นพบเท่านั้น สัจจะมีอยู่แล้วก่อนหน้านักวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นจึงพูดได้ว่า ความจริงนั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของ
เช่นเดียวกัน ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบก็มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ความจริงที่ทรงนำมาสอนจึงไม่ใช่เรื่องของศาสนาแต่เป็นความจริงสากลที่มีอยู่คู่กับโลกนี้ ถ้าใช้คำของไอน์สไตน์ เราอาจจะเรียกว่าเป็น Cosmic Reality ด้วยเหตุดังนั้น เราทุกคนจึงสามารถเรียนรู้สัจธรรมนี้ได้
อากาศเป็นของสากลสำหรับคนทั้งโลกสัจจะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบก็เป็นของสากลของคนทั้งโลกเหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่เรามาเรียนรู้ร่วมกันจึงไม่เกี่ยวกับศาสนา... -
คำถามจากพระยายม
เทวทูต ๕ คือ (๑) เด็ก (๒) คนชรา (๓) คนเจ็บ
(๔) คนที่ทำความผิดแล้วถูกลงอาญา (๕) คนตาย
************************************
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าว่า สัตว์ที่ทำกรรมชั่ว ตายแล้วไปเกิดในนรก จะถูกท่านพญายมซักถามถึงเทวทูต ๕ คือ (๑) เด็ก (๒) คนชรา (๓) คนเจ็บ (๔) คนที่ทำความผิดแล้วถูกลงอาญา (๕) คนตาย ว่า รู้จักไหม สัตว์นั้นต่างตอบว่า ไม่รู้จัก เพราะมัวประมาทอยู่ สัตว์เหล่านั้นจึงถูกลงโทษด้วยวิธีต่าง ๆ ในนรก
*****************************
ข้อคิดที่น่าสนใจจากท่านพยายม คือ เมื่อเราเคยเห็นเทวทูตทั้ง ๕ แล้ว ควรสลดใจ และเร่งรีบทำความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ
เมื่อเห็นเทวทูตที่ ๑ (เด็ก) ควรคิดว่า
‘ถึงตัวเราก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ’
เมื่อเห็นเทวทูตที่ ๒ (คนชรา) ควรคิดว่า
‘ถึงตัวเราก็มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ’
เมื่อเห็นเทวทูตที่ ๓ (คนเจ็บ) ควรคิดว่า
‘ถึงตัวเราก็มีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ เอาเถิด เราจะทำความดีทางกาย วาจา และใจ’
เมื่อเห็นเทวทูตที่ ๔... -
จิตส่วนนึงภาวนา อีกส่วนฟุ้งซ่าน ทำอย่างไร : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ปัจจุบันนี้การปฏิบัติธรรมของกระผมชักจะแย่ลงไปเลยเกิดปัญหาขึ้นมาว่า
ในขณะที่กำลังภาวนา “นะมะ” เข้า “พะธะ” ออก
ปรากฏใจของลูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งอยู่กับองค์ภาวนา ส่วนหนึ่งฟุ้งซ่านออกไปข้านอก ฟุ้งซ่านไร้สาระ
อารมณ์แบบนี้เกิดขึ้น จึงทำให้ตัวเองต้องวิตกกังวลว่า หากตายในขณะที่จิตซีกหนึ่งฟุ้งซ่าน จะตกนรกเป็นอย่างแน่ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยชี้แนะแก้ไขด้วยเถิดขอรับ
หลวงพ่อ : ไม่เป็นไร... แบ่งเป็นสองซีก ซีกที่ภาวนาอยู่เกิดเป็นนางฟ้าและพรหม อีกซีกหนึ่งเกิดในนรก เดี๋ยวก่อนที่เขาถามมา
♢♢♢ นี่เป็นเรื่องธรรมดานะ ถ้ายังไม่ถึงอรหันต์เพียงใด ความฟุ้งซ่านย่อมมีกับคน แต่ให้ดูกำลังใจว่า เรามีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ไหม เอาแค่นี้พอ ถ้าจิตยังมีความเคารพอยู่ถือว่าไม่เหลวงไหล เรื่องคิดออกนอกทางเป็นของธรรมดา ♢♢♢
ดูตัวอย่าง พระอัสสชิ พระอัสสชินี่เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกรุ่น ๕ องค์ เวลาที่จะนิพพานเป็นโรคทางกระเพาะหนัก ปั่นป่วนมาก จิตใจก็ฟุ้งซ่าน ก็ให้พระไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา พอพระพุทธเจ้ามาก็กราบทูลว่า... -
"แย่งชิงกิเลส" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"แย่งชิงกิเลส"
" .. แย่งกัน ด่าว่ากัน ถกเถียงกันยังไม่พอ "จิตที่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนโน้น เกิดมาในชาตินี้ก็มาหลงเอาของเก่า มาแย่งชิงกัน ด่าว่ากัน ฆ่าตีกันจนล้มตายมากมายเหลือหลาย" อยู่ในโลกอันนี้นับไม่ถ้วนเลย
คนเราเกิดมาแล้วมาแย่งมาชิงกันว่า "กิเลสเหล่านั้นเป็นของดิบของดีวิเศษวิโส" แย่ง แข่งดี แข่งเด่น "แย่งชิงความเป็นใหญ่เป็นโตกัน แย่งลาภ แย่งยศ ความสรรเสริญทั้งปวง" กลัวแต่จะไม่ได้เป็นของเรา
"แท้จริงแล้วมันเป็นของทิ้งของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทิ้งไปแล้ว" เรายังหาว่าเป็นของดีอยู่ .."
สติควบคุมจิต
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๖ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๖
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เล่มอื่น ๆ ตามไปอ่านได้ที่ http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=60 -
✨ วิธีการตัด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ขาดเร็วที่สุด ✨
✨ วิธีการตัด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ขาดเร็วที่สุด ✨
ถาม : มีวิธีในการตัด รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไร ให้ขาดเร็วที่สุด ?
ตอบ : ต้องเอากรรมฐานคู่ศึกของเขามาใช้
ในเรื่องของกามราคะ คือ ความรัก นี่ต้องใช้อสุภกรรมฐาน หรือ กายคตานุสติที่เป็นคู่ศึกโดยตรงของเขา
ตัวโลภ ก็ ทานบารมี กับ จาคานุสติ
ตัวโกรธ ก็ใช้ เมตตาบารมี หรือว่าจะใช้ วรรณกสิณสี่ ก็ได้
ถ้าตัวหลง จำเป็นต้องเจริญอานาปานุสติให้มากเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเผลอสติเมื่อไร โอกาสที่จะหลงไปยึดติดอยู่กับ โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะมีอีก
ตราบใดที่ยังรัก ยังโลภ ยังโกรธอยู่ เราต้องหลงแน่ ๆ เพราะฉะนั้น .. ตัวหลงนี่ตัดยากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน รัก โลภ โกรธ หลง ก็เหมือนกับม้านั่งสี่ขา ถ้าหากว่าเราตัดขาใดขาหนึ่งได้ ที่เหลือก็ไม่แข็งแรงแล้ว
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
หน้า 391 ของ 412