เรื่องเด่น แนวคำสอนสมเด็จโตเรื่องกายทิพย์สมาธิ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย KWANPAT, 14 เมษายน 2012.

  1. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    กายทิพย์ คือ อะตอมภายในสรีระร่างกายของมนุษย์ที่แยกตัวออกจากเซลล์
    ของสรีระร่างกาย เพราะภายในสรีระร่างกายของมนุษย์นั้นจะประกอบ
    ไปด้วยเซลล์ต่างๆ เซลล์เหล่านั้น ก็จะมีอะตอมอยู่ เมื่อบุคคลใดฝึกตน
    ถูกหลักวิธี อีกทั้งมีความรู้ที่ถูกต้องฝึกตนถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถแยก
    อะตอมภายในร่างกายของตัวเองได้ ซึ่งอะตอมที่แยกตัวนั้น อาจจะเป็น
    ไปโดยอัตโนมัติ หรือ อาจสามารถบังคับแยกอะตอมได้
    กายทิพย์มีลักษณะเช่นใด กายทิพย์เป็นอะตอม ดังนั้นจึงโปร่งแสง
    แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กายทิพย์จะคงรูปอยู่ครบถ้วน
    หรือไม่ก็ขึ้น อยู่กับการฝึกตน ในที่นี้หมายถึงมองเห็นเป็นรูปร่างครบถ้วน

    กายทิพย์สามารถเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายได้ กล่าวคือ กายทิพย์สามารถ
    เคลื่อนย้ายหรือเคลื่อนที่ไปได้ตามใจนึก ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้
    ความเข้าใจและวิธีการฝึกตนที่ถูกต้อง ดังนั้นผู้มีกายทิพย์ส่วนใหญ่แล้ว
    จะเป็นผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว มีสมาธิ ที่ดีแล้วกายทิพย์เกิดขึ้นได้เมื่อใด
    สำหรับผู้ที่ฝึกตนดีแล้วมีความรู้ถูกต้องแล้ว จึงจะสามารถมีกายทิพย์ได้
    ดังนั้นกายทิพย์จะเกิดได้ทุกเวลาที่ต้องการ บางครั้งจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
    บางครั้งสามารถกำหนดให้เกิดได้ตามใจของบุคคลนั้นๆ

    สภาวะความจริงของกายทิพย์กายทิพย์จิตวิญญาณเป็นรูปขันธ์ในลักษณะ
    นามธรรม เพราะมีสภาพลักษณะนามธรรม เพราะมีสภาพลักษณะคล้าย
    กับอากาศที่โปร่งแสง ซึ่งไม่อาจจับต้องได้ และตาเนื้อก็มองเห็นได้ยาก
    เราจะรู้ว่านื่ คือ "อากาศ" ต่อเมื่ออากาศเคลื่อนตัวเป็นลมสัมผัสกับกาย
    แต่จะมองเห็น หรือรู้เรื่องวิญญาณก็ต้องอาศัยจากกระแสอำนาจจิตที่บำเพ็ญจน
    ถึงจตุตถฌาน ก็จะสามารถสัมผัสได้รู้เห็นเองเข้าใจถึงสภาวะธรรมชาติของโลกวิญญาณซึ่งเป็นสภาพที่รู้เฉพาะตัว

    หมายเหตุ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากไฟล์แนบข้างล่างนี้นะค่ะ

    ข้าพเจ้าได้รวบรวมบทความธรรมะลงบล็อก
    หากท่านใดสนใจก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชม
    หรือเข้าไปอ่านได้ในบล็อกพุทธธรรมจากการปฏิบัติ
    ซึ่งเกิดจากการที่ข้าพเจ้าได้รวบรวมความรู้ต่างๆ
    จากการปฏิบัติของตนเองและจากความรู้ในตำรา
    และเว็บไซด์ต่างๆ สำหรับท่านผู้อ่านสามารถ
    เข้าไปอ่านได้ภายใต้ลิงค์เว็บนี้ค่ะ

    :z16:z17catt4 ;aa27

    พุทธธรรมจากการปฏิบัติ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2012
  2. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิธีถอดจิตที่ ๑

    ภาวะการถอดจิตวิญญาณที่เกิดจากการรวมตัวฉับพลันกับกายทิพย์

    ปกติแล้วกายทิพย์เป็นอณูปรมาณูเล็กๆละเอียดมาก กระจายไปทั่วในร่างกายเนื้อซ้อน
    อยู่กับเซลล์ของกายเนื้อ และเมื่อตอนที่เราฝึกปฏิบัติจิตตาม คือ ทางสงบแล้ว พอนั่งไป
    ถึงจุดหนึ่งแห่งความสงบนิ่งมากพอแล้ว กายทิพย์จากกายในกายจะวิ่งมารวมตัวที่ท้ายทอย
    เหมือนมีอาการหนักๆ ร้อน ๆ ที่ท้ายทอย แล้วๆ ค่อยๆ วิ่งรวมผ่านสองข้างขมับ มาผสมกับจิต
    วิญญาณที่หน้าผากรวมกันเป็นลำแสงพวยพุ่งออกจากกายเนื้อ ตรงหน้าผากสู่อวกาศ

    ตอนนี้จะรู้สึกว่า ใจเสียววูบหนึ่งแล้วกายเบาไร้น้ำหนัก ตอนนี้คนที่จิตไม่แน่วแน่ อาจเป็นบ้าได้
    เพราะกลัวก่อนเหตุ ท่านที่มีประสบการณ์เช่นนี้ ควรตั้งใจให้มั่นไม่ตกใจ แล้วเพ่งจิตตาม
    ลำแสงนั้นไปด้วยสติสัมปชัญญะ แนบตามติดลำแสงไปจนแสงนั้นนิ่ง แล้วพยายามตั้งสติ
    ให้จิตแน่วแน่ ค่อยๆ บีบลำแสงนั้นให้รวมเป็นวง ถ้าจิตยังไม่นิ่งดี วงกลมนั้นเปรียบเสมือน
    หนึ่งดังดวงใจเราจะไม่สดใส และไม่แข็งแกร่งพอ แต่เมื่อบ่มจิตให้แน่นหนาขึ้น
    โดยส่งกระแสจิตความนึกคิดมุ่งสู่ศูนย์กลางวงกลมแบบจดจ่อมากขึ้นจนแน่วแน่นิ่งดีแล้ว
    ดวงแก้วนั้นก็จะค่อยๆ สดใสแวววาวขึ้น ถ้าท่านไม่ฝึกปฏิบัติจิตต่อไป ท่านต้องตั้งสติ
    ที่กายเนื้อ แล้วส่งกระแสจิตใจความนึกคิดผ่านกึ่งกลางระหว่างคิ้วออกไปที่ดวงแก้ว
    แล้วกำหนดจิตค่อยๆ ดึงกลับเข้าร่างใหม่อีกครั้งกายทิพย์จะกลับสู่ร่างทันที

    เมื่อกายทิพย์คืนสู่ร่างแล้ว อย่าเพิ่งลืมตาขึ้น ค่อยๆ ถอนหายใจลึก ๑๐ ครั้ง
    แล้วหายใจละเอียดลงอึก ๑๐ ครั้ง หายใจปกติอีก ๑๐ ครั้ง เป็นการปรับจิตใจ
    ให้หายจากภาวะการสั่นสะเทือนของกายทิพย์ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น คลายออกจาก
    สมาธิต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  3. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิธีถอดจิตที่ ๒


    การปรับจิตจากดวงแก้วเป็นกายทิพย์

    เมื่อท่านฝึกจนได้ปฐมฌาณแล้ว ได้นิมิตแห่งเอกัตตาเป็นดวงแก้วที่แวววาวแข็งแกร่ง ซึ่งปรากฏ
    ด้วยความสุข แต่เมื่อเราส่งจิตใจความนึกคิดมองผ่านกึ่งกลางความรู้สึกออกไปก็จะพบดวงแก้ว
    ตั้งอยู่เฉพาะหน้าเรา ( หรือท่านที่เกิดภาวะจิตวิญญาณ รวมฉับพลันกับกายทิพย์ และได้ปรับจิต
    ตามวิธีการถอดจิตวิธีที่ ๑ แล้วเริ่มฝึกต่อนเนื่องจากนี้ไป )

    เมื่อได้ดวงแก้วตั้งอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว ขอใหท่านค่อยๆ ส่งกระแสจิตเข้าไปบีบดวงแก้วนั้น
    ให้เล็กลงแล้ว ก็ขยายให้ใหญ่ได้จนคล่องแล้ว ก็ค่อยๆ กำหนดบีบรัดดวงแก้วนั้นให้กลายเป็น
    รูปคนขึ้นมา ( เราจะสร้างรูปตัวเราก็ได้ อาจจะสร้างจากความทรงจำ โดยวิธีหากระจกบานใหญ่ๆ
    มาตั้งอยู่ตรงข้ามกับเรา มองแล้วพิจารณาจดจำภาพมาเพื่อในการถอดจิตต่อไป ) ใหม่ๆ รูปนั้น
    จะไม่ชัดเจน เลือนลางมาก ตอนนี้ร่างนั้นจะรู้สึกว่าดูแล้วมีเพียงโครงร่างแก้วที่โปร่งแสง
    แสดงว่า ยังถอดจิตไม่สมบูรณ์ ท่านจะต้องค่อยๆ ส่งจิตใจความนึกคิดของท่านเข้าไปที่โครงร่างนั้น
    โครงร่างนั้นก็จะค่อยๆ ชัดขึ้นตามกำลังของสมาธิที่สูงขึ้น จนเห็นเป็นรูปร่างมีเนื้อหนังมังสาขึ้น
    จนกระทั่งมีหน้าตามเหมือนท่านไม่มีผิด ท่านจะเห็นว่าท่านได้แบ่งเป็น ๒ คนเป็นพี่น้องฝาแฝด
    หันหน้าเข้าหากัน กำลังจ้องมองกัน ท่านไม่ต้องตกใจ ขอให้เข้าใจว่า นั้น คือกายทิพย์ของท่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  4. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สำหรับท่านที่จะฝึกปลงอสุภะพิจารณาภายใยกายก็เริ่มฝึกต่อในบทนี้ คือ ส่งจิตใจกำหนดให้
    กายทิพย์นั้นเป็นไปตามปลงอสุภะ เมื่อถอดจิตปลงครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว จิตใจก็จะสะอาด
    กายทิพย์ก็จะละเอียดยิ่งๆ ขึ้น จิตใจตัดกิเลสหมดไปเท่าใด กายทิพย์ก็จะละเอียดมากขึ้น
    เพียงนั้น กายทิพย์เมื่อถอดออกมา ถ้าท่านฝึกส่งกระแสจิตใจความนึกคิดจนถึงจุดสุด
    ยอดแล้ว สามารถความเป็นคนออกนอกบ้านเดินให้สามัญชนมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา
    และกายทิพย์นั้น ซึ่งอยู่ในสภาพกายหยายก็สามารถหยิบของได้ เพียงแต่ไม่พูดไม่จา
    เท่านั้น แต่ถ้าบำเพ็ญจิตสูงขึ้น ร่างนั้นก็จะพูดได้

    และกายทิพย์นี้จะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เร็วมาก นึกจะไปไหนก็ไปได้ถึงที่นั่นทันที
    แต่ถ้าสมาธิอ่อนแรงลงเมื่อใด พละกำลังก็ตกลง การเคลื่อนที่ก็จะช้าลงด้วย ถ้าท่านฝึก
    จนเห็นกายทิพย์รวมตัวเป็นคนแล้ว จะต้องมีความสามารถมองเห็นวัตถุธาตุ คือ สิ่งก่อสร้าง
    ทุกอย่างรวมทั้งมีความถูกต้องทั้งสีและรูปร่าง พร้อมทั้งอ่านหนังสือไม่ผิดด้วย

    ส่วนในด้านวิญญาณนั้น ท่านอาจจะถูกหลอกลวงง่าย เพราะจิตอ่อนหัดและยังไม่แข็ง
    แกร่งพอ จึงขอให้ท่านวางจิตเป็นกลาง พยายามตั้งสติพิจารณาทบทวนหาเหตุผล
    อย่างต่อเนื่อง แล้วส่งจิตใจความนึกคิดเข้าไปที่ภาพหรือเสียงนั้น จะได้ภาพและเสียง
    ที่เป็นความจริงมากขึ้น แต่ขอให้ท่านอย่าหลงงมงายเชื่ออะไร ง่ายๆ นัก ผู้ใดหลงง่ายๆ
    ก็จะเป็นคนบ้าง่ายๆ คือ กลายเป็นคนหลงใหลเรื่องลมๆ แล้ง ๆ ที่ไม่ถูกต้องกับเหตุผล
    ของความเป็นจริง ท่านต้องค่อยๆ หาประสบการณ์ไป เป็นการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
    อยู่ระยะหนึ่งก็จะเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งจะรู้ถึงความเป็นจริงเรื่องจิตวิญญาณ
    เป็นอย่างดี เพราะเรื่องวิญญาณเป็นเรื่องละเอียดมากๆ ที่น่าศึกษาต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  5. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิธีถอดจิตที่ ๓

    ถอดจิตกึ่งกลางระหว่างคิ้ว

    เหตุการณ์เหล่านีี้ อาจจะเกิดกับท่านที่ฝึกสมาธิทุกท่านได้ จึงเห็นสมควรเขียนไว้
    ให้ศึกษา เผื่อเหตุการณ์อาจจะเกิดขึ้นกับท่านโดยบังเอิญท่านจะได้รู้วิธีการแก้ไข
    ในขณะที่ท่านฝึกปฏิบัติจิตผ่าน หาจุดยึดจิตให้สงบในขั้นต้นมานั้น ท่านอาจจะ
    เกิดความรู้สึกว่าที่ตั้งจมูกกึ่งกลางระหว่างคิ้วนั้น มีความเสียวปวดตึงเป็นจุดอยู่
    แม้ลืมตาก็ยังเสียวอยู่ เมื่อพบจุดเสียวนั้น ท่านค่อยๆ ส่งจิตใจความนึกคิด
    เข้าไปจุดนั้นมากชึ้น จุดเสียวนั้นก็จะหนักอึ้งมากขึ้น ๆ จนเกิดอาการเหมือน
    สว่านหมุนเจาะไชไปในสมอง จนรู้สึกว่าจุดนั้นมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน
    แข็งแกร่งไชยิ่งขึ้นๆ เข้าในสมองหนักเต็มที่แล้ว

    ขอให้ท่านรวมจิตใจความนึกคิดอีกชั้นหนึ่งตั้งไว้ที่ตำแหน่งท้ายทอยส่วนบน
    ทำหน้าที่เป็นที่รวมแรงดึดถีบไปยังจิตที่รวมเป็นกลุ่มก้อนที่หน้าผากที่จุด
    เสียวนั้นอย่างแรง จุดเสียวตึงนั้นก็จะถูกดีด อย่างหลุดลอยออกจาก
    ร่างกายเนื้อทันทีพุ่งเข้าในอวกาศ ด้วยความเร็วมากจนเหมือนกายเนื้อ
    ช็อกไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงมีสติอีกครั้ง กายทิพย์ก็จะรู้สึกตัวมองเห็น
    ตัวเองกำลังลอยเหาะอยู่บนอวกาศ มีลมผ่านเข้าหูอย่างแรง ไม่เบาไปกว่า
    ที่ท่านนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ และเมื่อท่านจะให้กายทิพย์กลับคืนร่าง

    ก็ตั้งจิตกำหนดนึกถึงกายเนื้อ ทันทีที่ตั้งจิตอยากจะกลับคืนร่างกายทิพย์นั้น
    ก็จะดีดกลับเข้าร่างทันที จะมองเห็นกายเนื้ออยู่ในลักษณะเป็นหุ่นอยู่ไม่
    เคลื่อนไหว และเมื่อกายทิพย์มาถึง ก็จะค่อยๆ กลืนเข้าหากันเหมือน
    กายซ้อนกาย และค่อยๆ กลืนสนิทเข้าเป็นร่างเดียว ถ้าได้สติเต็มที่แล้ว
    มีอาการใจสั่น ก็ควรที่จะปรับจิตใจให้สงบก่อนแล้ว จึงคลายออกจาก
    การฝึกจิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  6. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    การเคลื่อนย้ายกายทิพย์

    ๑. ความสัมพันธ์ระหว่างกายทิพย์ที่ถอดออกมากับกายเนื้อ
    กายทิพย์ที่ถอดออกมานั้นเปรียบเสมือนเป็นดวงตาหรือกล้องถ่ายทอดโทรทัศน์
    วงจรปิดและดวงตานี้มีสายใย หรือสายโทรศัพท์มาพ่วงติดกับกายเนื้อ
    ซึ่งจะคอยรับและบันทึกความรู้สึกภาพและเสียง กายเนื้อนี้ยังเป็นเสมือนรัง
    หรือบ้านของกายทิพย์ เพราะเมื่อตกใจแล้ว กายทิพย์จะต้องรีบวิ่งดีด
    กระโจนกลับเข้าร่างทันที และกายเนื้อยังเป็นพื้นฐานสั่งการกายทิพย์ให้
    ปฏิบัติการตามคำสั่งด้วย

    แต่เมื่อถอดกายทิพย์จนแยกออกจากกายเนื้ออย่างสมบูรณ์แล้ว กายทิพย์นี้
    ก็จะแยกออกจากกายเนื้ออยู่ตลอดเวลา อยู่เป็นลักษณะเป็นเงาตามตัวของ
    กายเนื้อโดยมีสายใยทิพย์เชื่อมโยงอยู่ และตอนนี้ กายทิพย์จะจะไม่ได้
    อยู่ใต้บังคับบัญชาของกายเนื้อเสมอไป กายทิพย์กลับจะเป็นศูนย์เตือนสติ
    ป้อนความรู้ให้กับกายเนื้อ ให้รู้จักผิดถูกชั่วดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  7. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๒. เริ่มเคลื่อนย้ายกายทิพย์ กำหนดจิตใจความนึกคิดจากกายเนื้อสั่งการ และบังคับ
    ให้กายทิพย์เคลื่อนที่เดินสำรวจภายในห้องก่อน จนถึงสำรวจทั้งบ้านจุดมุ่งหมายพยายาม
    ดูวัตถุสิ่งก่อสร้างให้ถูกต้องทั้งสีสันและรูปร่าง ถ้าผิดจากความเป็นจริงให้ฝึกการส่งกระแส
    จิตจดจ่อเข้าที่กายทิพย์ใหม่ตามวิธีเบื้องต้นที่กล่าวมาแล้ว การที่ยังมองอะไร ไม่ถูกต้อง
    ตามความเป็นจริงนั้น เพราะว่ากายทิพย์ที่กระจายอยู่ในกายเนื้อยังถอดออกมาไม่หมด
    จึงต้องฝึกเพิ่มเติมใหม่

    เมื่อท่านฝึกจนหลับตาเห็นวัตถุธาตุไม่ผิดจากความเป็นจริงแล้ว ก็ขอให้เริ่มพิสูจน์เรื่อง
    วิญญาณด้วยการเพ่งมองไปที่หน้าโต๊ะหมู่ หรือหิ้งบูชาพระหรือระลึกถึงครูบาอาจารย์
    ขอชมบารมีท่าน ถ้าภาพไม่ชัด ให้ค่อยๆส่งจิตใจความนึกคิดเข้าไปที่ภาพนั้น
    ภาพนั้นก็จะค่อยๆ ชัดขึ้นตามกำลังสมาธิ ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านพบเห็นภาพ
    ที่น่ากลัว ไม่ต้องตกใจ ตั้งใจให้มั่นระลึกถึงครูบาอาจารย์ ส่งจิตใจความนึกคิด
    เข้าไปเสริมเพิ่มเติมภาพนั้นให้ชัดขึ้น แล้วส่งกระแสจิตสนทนากับสิ่งที่เกิดขึ้น
    ฝึกเช่นนี้ จนเกิดความเคยชินและคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ แล้วค่อยเคลื่อนกายทิพย์
    ไปสนทนากับเจ้าที่เจ้าบ้านหรือดวงวิญญานณอื่นภายในบ้าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  8. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๓. ฝึกจนเกิดความเคยชินแล้ว ให้ระลึกอาราธนาครูบาอาจารย์หลวงพ่อโต
    ที่เราเคยสนทนาที่หน้าหิ้งพระนั้น โปรดเมตตาพาท่านไปเที่ยวตามสถานที่
    ต่างๆ ที่ท่านเห็นสมควร บางครั้งเราต้องพิสูจน์ว่า กายทิพย์เรามีความ
    แข็งแกร่งและแม่นยำขนาดไหน เมื่อถอดกายทิพย์ไปถึงสถานที่นั่นแล้ว
    จดจำเหตุการณ์และวันเวลาขณะนั้นไว้ แล้วนำไปเที่ยวหาความจริง
    กับเพื่อนคนนั้นที่เราได้ถอดกายทิพย์ไปหา

    ทุกครั้งที่ถอดกายทิพย์ไปต่างถิ่น ต้องเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าที่เจ้าทาง
    ในถิ่นนั้นด้วยการกราบไหว้ และอย่าทำอะไรที่เป็นการลบหลู่ดูหมิ่นท่านด้วย
    ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นำพา ห้ามถอดจิตไปไหนอย่างเด็ดขาด ต้องฝึกจน
    กว่าครูบาอาจารย์จะสอนบทเรียนและชี้แนะจนเอาตัวรอดได้ ท่านจะปล่อย
    ให้เราไปไหนมาไหนด้วยความอิสระ

    หมายเหตุ

    การฝึกถอดกายทิพย์นี้ใหม่ๆ ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ ๑๕ นาที
    จึงจะสามารถรวมจิตเป็นกลายทิพย์ได้ ท่านจะต้องฝึกจนสามารถรวมจิตใจ
    ความนึกคิดให้เป็นหนึ่ง ถอดกายทิพย์ให้ได้ในชั่วพริบตาเดียว จึงจะใช้ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ฝึกลบล้างความกลัว

    ความติดตัวกับมนุษย์ ตั้งแต่เกิดฝังซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึก เริ่มต้น คือ

    กลัวตาย ทุกคนไม่อยากตาย เป็นแรงอำนาจเหนือสัญชาติญาณ เป็นความมคิด
    กลัวตาย ติดอยู่ในสันดานสามัญชนที่จะอยู่อย่างสันโดษ เพื่อเปิดโอกาสให้จิตใจ
    ตนเองนั้นหยุดนิ่งลงพิจารณาตนเองได้ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องอยู่ในสภาพสิ่ง
    แวดล้อมที่เงียบสงบวิเวิกเป็นพื้นฐานเบื้องต้น

    แต่คนส่วนใหญ่นั้นเคยคลุกคลีอยู่แต่ในคนหมู่มาก เมื่อมาอยู่โดดเดี่ยวท่านกลาง
    ความเงียบ ความเงียบวังเวงเป็นเหตุเบื้องต้น ที่ทำให้เกิดความกลัว เป็นสามัญ
    สำนึกที่สืบเนื่องแต่โบราณในลักษณะกลัวแบบงมงาย

    ความกลัวนี้ เป็นอุปสรรคขวางกั้นของการฝึกสมาธิ ความกลัวยังถูกฝังเหนียวแน่น
    ในดวงจิต บางคนเก็บซ่อนความกลัวอย่างมิดชิด โดยพยายามสร้างบรรยากาศ
    หรือกำลังใจ เป็นเครื่องปกคลุมกำบังการปลอมแปลงว่า ตนเองเป็นคนกล้าหาญ
    แต่พอโดนเข้าตัวเองจริงเข้าแล้ว เหมือนคนป่วยได้รับเชื้อโรคเพิ่มเติม โรคเก่าก็
    พลอยเจริญงอกงามรุกรามใหญ่โตอย่างรวดเร็ว จนควบคุมสติไม่ได้ ห้ามไม่อยู่
    เสียขวัญเตลิดเปิดเปิงไปเลย หมดทางที่จะแก้ไข ความกลัวนี้มีพลังอยู่ในตัวมาก
    แสดงฤิทธิ์ได้หลายหน้า เป็นเครื่องตัดรอนความเจริญอย่างมากมาย จนหลายคน
    คิดว่าตนเองเก่ง แต่วันใดที่พบเหตุเข้าจึงรู้ว่าตนเองยังมีความกลัวมาก
     
  10. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๑.กลัวตายหลังจากถอดกายทิพย์ออกมาได้แล้ว อาการที่ถอดจิต
    คือ กายทิพย์ได้ถอดแยกออกจาก กายเนื้อเหมือนกับอาการตายมากๆ
    ต่างกันเพียงแต่ว่า ความตายนั้น วิญญาณออกจากร่างกายเนื้อแล้ว
    สายใยแห่งชีวิตที่เป็นสีเงินยวงนั้นขาดจากกายเนื้อ ซึ่งต่างจากการ
    ถอดจิตตรงที่วิญญาณ สามารถแยกออกจากกายเนื้อได้แล้ว
    แต่ยังมีสายใยแห่งชีวิตเป็นเงินยวงติดต่อกับกายเนื้ออยู่ตลอดเวลา

    ดังนั้น เมื่อท่านสามารถถอดวิญญาณออกจากร่างกายเนื้อนั้นใหม่ๆ
    แล้วกายทิพย์ของทุกคนส่วนมาก จะมีสภาพเหมือนกายทิพย์
    อยู่นอกกายเนื้อนั้น มีสามัญสำนึกห่วงหลงยึดร่างกายเนื้อมาก
    อย่างเช่นนกยังหวงรัง คนยังไม่ตายวิญญาณจะมีจิตหวงร่างกาย
    เนื้อมากถึงขนาด พอวิญญาณแยกออกจากร่างกายเนื้อใหม่ๆ
    ได้เพียง ๑ หรือ ๒ นาที วิญญาณก็จะกลับเข้าร่างกายเนื้อ
    ท่าเดียว คิดแต่ว่า ชีวิตของกายทิพย์อยู่ที่กายเนื้อทั้งหมด
    แม้คนที่ฝึกถอดจิตได้หลายครั้งแล้ว วิญญาณก็ยังมีความคิด
    อยู่ว่า วิญญาณจะกลับเข้าร่างกายเนื้อให้เร็วที่สุด กลัวว่าจะ
    กลับเข้าร่างกายเนื้อไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2012
  11. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิธีการแก้ไข

    ต้องอาศัยของการถอดจิตหลายๆครั้ง ก็จะค่อยเกิดความเคยชินกับอาการกายทิพย์
    อยู่นอกกายเนื้อ โดยครั้งแรกๆนั้น พยายามถอดจิตออกมาเพียงอยู่ในห้องนอน
    จนชำนาญคุ้นเคย แล้วค่อยมาถอดจิตไปที่อื่น พร้อมกับระมัดระวังที่จะไม่สอดรู้
    สอดเห็นเรื่องไกลเกินไป คือ ให้ถอดจิตอยู่แต่ในสิ่งแวดล้อมที่กายเนื้อคุ้นเคย
    จนกลายเนื้อเกิดความคุ้นเคยมากเข้าแล้ว ก็จะเกิดประสบการณ์จนสามารถถอด
    กายทิพย์ออกมาอยู่นอกกายเนื้อได้เป็นชั่วโมง เสริมความแข็งแกร่งมั่นใจแล้ว
    ก็จะสามารถค่อยๆ รวบรวมเป็นความกล้าอันกรอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
    ที่ได้ปรับตัวเกิดความเคยชินว่า เราก็เคยถอดวิญญาณออกจากร่างกายเนื้อ
    มาหลายครั้งแล้ว การถอดจิตครั้งใหม่นี้ ก็ต้องกลับเข้าร่างกายเนื้อได้อีก
    ทบทวนนึกอย่างนี้มากๆ เข้า จิตใจก็จะค่อยๆ หนักแน่น ทนต่ออิทธิพลของ
    ความกลัวได้ดีมาก ก้าวพัฒนาจิตวิญญาณอยู่นอกกายเนื้อ นานเป็นชั่วโมง
    เป็นวันได้ ระวังอย่าไปเที่ยวเกิน ๗ วัน เด็ดขาด เพราะกายเนื้ออาจจะ
    ทรุดโทรมได้ เนื่องจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อาจจะแตกความสามัคคีได้
    อันเนื่องมาจากพลังจิตไม่แข็งแกร่ง จึงไม่สมารถประคองร่างกายเนื้อได้นาน
    กายเนื้อจึงมีสิทธิ์ตายลงได้
     
  12. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๒. กลัวในสิ่งแปลกประหลาดในโลกวิญญาณ

    โลกวิญญาณเป็นโลกทิพย์ เป็นโลกมหัศจรรย์ที่ลึกลับซับซ้อน เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว
    ยิ่งกว่าภาพยนต์ที่เราเคยดูเคยเห็นอีก เพราะเป็นโลกทิพย์ที่เป็นไปโดยแรงอธิฐาน
    และมีวิญญาณดีวิญญาณร้ายก็อยู่คละปนกัน ดังนั้น

    เมื่อเราถอดจิตวิญญาณออกจากกายเนื้อแล้ว ก็เป็นการที่กายทิพย์เรามีความรู้สึก
    เหมือนตัวเราโผล่พรวดพราดขึ้นไปในโลกทิพย์ ซึ่งที่จริง กายทิพย์เป็นการกลับมา
    เกิดเดิมอีก คือ โลกทิพย์ แต่ด้วยเหตุที่ไปเกิดเป็นเวลานานเหมือนจากบ้านเกิด ไปนานๆ
    พอกลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง เราลืมขนบธรรมเนียมของโลกทิพย์ ซึ่งเหตุนี้
    กายทิพย์เราจึงมีโอกาสทุกเมื่อที่จะพบสิ่งหน้ากลัว ตั้งแต่วิญญาณญาติสนิทของเรา
    ที่ตายไปแล้ว ทั้งที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ เพียงแต่ขณะนั้น ชาติญาณรู้ว่า ญาติท่านนั้น
    เขาตายไปแล้วเราจึงกลัว

    อย่างวิญญาณที่แปลงร่างมีหน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัว ทดสอบจิตใจเรา รวมทั้งสัตว์
    ร้ายที่มีรูปแบบอย่างในนิยาย ทั้งที่รูปแบบเราเคยรู้เคยเห็นในเมืองมนุษย์ รวมทั้ง
    วิญญาณที่มีหน้าตาธรรมดาๆ เหมือนกับมนุษย์ แต่ผิดแปลกที่เขาอธิฐานให้มีรูปร่าง
    ใหญ่โตมโหฬาร และยังมีบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทั้งสีสรรความมืด
    และสว่าง สิ่งเหล่านี้มักเกิดสอดแทรกขึ้นมาบ่อยๆ ได้ทุกเมื่อไม่มีที่สิ้นสุด
    เป็นการยากที่เราจะหาหลักเกณฑ์อันแน่นอนของโลกวิญญาณ เพื่อให้เรา
    ผู้มาใหม่ไว้วางใจในโลกทิพย์ได้ แต่ก็พอจะมีวิธีป้องกันตนเองได้บ้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  13. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิธีการป้องกัน


    ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ก่อนฝึกจิต ควรจะสวดมนต์ไหว้พระ อาราธนาบารมี
    พระพุทธเจ้าคุ้มครองเรา และครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือองค์หนึ่ง
    ( อาจจะเป็นท่านที่ล่วงลับไปหรือยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ ) เพื่อเวลาที่เราถอดจิต
    ออกจากกายเนื้อเข้าสู่โลกวิญญาณ จะได้มีเพื่อนเดินทางสร้างความมั่งใจ
    และมีเพื่อนคุ้มครองด้วย ด้วยในเวลาที่ปกติที่ไม่ได้ฝึกถอดจิตควรที่ฝึก
    เจริญสติปัฏฐานรู้ัเท่าทันอาการที่รูปเข้ามากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    จนสามารถรับรู้เท่าทันปัจจุบัน สามารถประคองใจเป็นกลาง ไม่ดีใจหรือเสียใจ
    ด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง ด้วยมีสติกำกับอยู่

    หัดอยู่คนเดียว

    หัดอยู่ในห้องคนเดียวเวลากลางคืนที่เงียบแล้วหัอยู่คนเดียวในสวนหรือไปไร่
    หรือป่าโปร่งอย่างเงียบๆ เวลากลางวัน ต่อมาหัดอยู่คนเดียวในห้องกว้าง
    เวลากลางคืนแล้วมองไปข้างนอกหน้าต่าง มองไปในที่มืดๆ จนเกิดความ
    เคยชินสายตาถ้าเห็นอะไรไหวๆ ลอยไปลอยมาไม่ต้องกลัว ยืนอยู่กับที่
    ตั้งสติให้ดีเพ่งมองไปที่จุดเห็นภาพอีกครั้งหนึ่งจ้องมองให้ชัด พิจารณา
    ตามด้วยสติ ใจก็จะสงบมั่นคงมากขึ้นตามลำดับ จงอย่ามองอะไรเพียง
    แวบเดียว เพราะจะทำให้ตาฝาดเกิดภาพหลอนตัวเองได้ง่าย คนขี้กลัว
    จะเป็นคนเหลาะแหละและหวาดระแวงไปในที่สุด

    เมื่อฝึกจนเคยชินชำนาญแล้ว หัดเดินคนเดียวในที่มืดเงียบ แล้วหัดเดิน
    ผ่านวัด ผ่านป่าช้า เมรุเผาศพ อย่างสงบท่ามกลางความเงียบสงัดวังเวงใจ
    ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จนเกิดความเคยชิน เมื่อฝึกตามลำดับ
    สม่ำเสมอบ่อยๆเข้า จะเป็นผลสืบเนื่องสร้างกำลังใจอันเข้มแข็งเป็น
    อำนาจจิตที่ทรงพลัง ส่งเสริมให้มีสติสามารถบังคับกำกับควบคุมจิตใจ
    ให้หนักแน่นต่อสู้กับความกลัว ผู้ที่ฝึกใหม่อย่าใจร้อนอยากได้
    ขอให้ฝึกอย่างมีสติก้าวไปที่ละขั้นอย่างมั่นคง อย่าผลีผลาม
    ก้าวกระโดดข้ามขั้น อันอาจจะได้รับอันตรายได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  14. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ตัวอย่างจากหนังสือ

    พบท้าวจัตตุโลกบาลที่เทวโลก
    เวลา ๒๑.๐๐ ปรับจิตใจให้เป็นหนึ่งในสมาธิค่อยๆ หลับไป ในท่านอนมองไปที่
    กึ่งกลางระหว่างคิ้วจนหลับไป สักครู่หนึ่ง ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่า วิญญาณตัวเอง
    ได้ขึ้นไปเทวโลก เหมือนเรามุดจากใต้พื้นของเทวโลกผลุบโผล่ขึ้นในเทวโลก
    ที่สว่างมาก ( โดยเบื้องต้นนั้นก็ตกใจกลัวความสว่างจ้า ) และเมื่อได้เห็น
    ท้าวจัตตุโลกบาล ๔ องค์ ที่ใหญ่โตเท่าตึกสูง ๒๐ ชั้น หน้าตาขึงขังทั้ง
    ๔ องค์ ล้อมรอบตัวเราอยู่ ใจเรารู้สึกกลัวมากในความตัวใหญ่ของท่านมาก
    ด้วยความกลัวนั้น เราอยากจะวิ่งหนี แต่ก็ตกอยู่ในวงล้อมของเทวดาทั้ง
    ๔ องค์ เมื่อหมดทางหนี จึงต้องตั้งใจต่อสู้ เข้านั่งสมาธิ อยู่ใจกลาง
    วงล้อมด้วยระลึกขอให้ครูบาอาจารย์ช่วยลูกด้วย ทันใดนั้น เกิดมีแสงสว่าง

    ในทิศบูรพา ส่องเข้ามาครอบคลุมเราทั้งร่างกาย แล้วแสงนั้นก็หดตัวเป็น
    วงกลมห่อหุ้มเราอยู่ เรารู้สึกว่าครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครองเราแล้ว เราจึงใจ
    สงบสบายอุ่นใจ แล้วจึงรวมพลังตั้งจิตอธิฐานขอกลับคืนร่าง เพียงแต่ใจ
    คิดเท่านั้น กายทิพย์ก็คืนเข้าสู่ร่างกายเนื้อทันที เราก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันที
    เช่นกัน เหตุการณ์นี้นาน ๑๐ นาทีในโลกมนุษย์

    สรุปความหมายนิมิต

    ท้าวจัตตุโลกบาลตัวใหญ่โต เหมือนเรื่องต่างๆ แม้จะล้อมตัวเราอยู่ดูจะ
    ใหญ่โตมโหฬาร แต่ควรทำใจสงบไว้ ย่อมได้รับการคุ้มครองจาก
    ครูบาอาจารย์แน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  15. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ตัวอย่างประสพการณ์ผู้เขียน

    จากที่ข้าพเจ้าเคยสมาธิ และบริกรรมพระคาถา จนจิตสงบไปอยู่ในระดับหนึ่ง<O:p</O:p
    ก็เคยไปแดนนรกมาแล้ว จากการที่เคยสมาธิ และเกิดนิมิตหลังจากนั้น ตามที่
    จะได้กล่าวต่อไปถึงแม้ว่าผู้เขียน จะไม่เคยได้ไปท่องดินแดนสวรรค์ หรือชั้น
    พรหมโลก อาจจะเพราะบุญของข้าพเจ้ายังไม่ถึง ที่จะได้ไปสัมผัสกับสิ่ง
    เหล่านั้น แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า สวรรค์หรือนรก มีจริง เพียงแต่เราได้เคยไป<O:p
    สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ เพราะว่าข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็นิมิตเห็นตัวเอง
    เหมือนอยู่ที่ใดซักที่หนึ่ง บรรยากาศที่นั้นดูมืดครึ้ม เหมือนถ้ำหรือใต้ดิน

    ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจ จากภาพที่ปรากฏในนิมิตนั้น มีผู้คนมากมายเข้าแถว<O:p
    เป็นตอนทั้งชายหญิง เพื่อรออะไรบางอย่าง ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจ ข้าพเจ้า
    ก็อยู่ในแถวนั้นด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาเข้าแถวรออะไรเหมือนกัน ทุกคน
    ก็ค่อยๆเดินต่อๆกันไปจนถึงจุดหมายปลายทาง สักพักข้าพเจ้าก็เห็นภาพ

    เหมือนมีภูขาลูกใหญ่ ซึ่งทุกคนก็ต่างมุ่งหน้าไปในที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าก็
    ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องเดินไปที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าก็เดินตามไปด้วยเช่นกัน
    เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต่างเห็นว่าทุกคนพยายามปีนป่ายภูเขานั้น เหมือนให้ไต่
    ขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกคนก็มีหน้าที่ต้องไต่ขึ้นไป ช่วงที่ให้ก้าวแต่ละก้าวมันก็ดูห่างกันมาก
    ดูน่ากลัว แต่ทุกคนก็ต้องไต่และปีนป่ายขึ้นไป สุดท้ายก็มาถึงเวลาที่ข้าพเจ้าต้อง
    ปีนป่ายบ้างข้าพเจ้ามองไปข้างหลัง ก็เห็นมีบุคคลอื่นๆ ต่อจากข้าพเจ้าที่ต้องปีนป่ายด้วยเช่นกัน<O:p

    ข้าพเจ้าก็ปีนป่ายภูเขา ขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น แต่ละขั้นก็ค่อยๆ ห่างกัน
    มากขึ้นเรื่อยๆอันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราต้องมาปีนป่ายภูเขาสูงนี้
    แต่เหมือนว่าต้องทำแบบนั้นข้าพเจ้าก็ปีนป่ายจนเกือบ จะถึงปลายสุดของ
    ยอดภูเขา มองไปข้างล่างก็ดูน่ากลัวมาก<O:p

    แอบมองคนข้างๆ ก็เห็นทุกคนก็ปีนป่าย ภูเขาเหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน
    เพราะถึงปลายทาง ของสุดยอดภูเขา ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยล้า
    และมิอาจก้าวขาปีนป่ายต่อไปได้อีก เพราะว่าช่วงขาที่ให้ข้าพเจ้าปีนป่ายนั้น
    รู้สึกว่ามันสูงและห่างเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะก้าวต่อไปได้ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจ
    อะไรจะเกิดก็เกิด สงสัยเราคงปีนได้เท่านี้ ขึ้นไปก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้คงเสียชีวิต
    แล้วแน่แท้ <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  16. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ด้วยจิตที่กำลังคิดอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนมีใครซักคนหนึ่ง
    อยู่ด้านหลังข้าพเจ้า หิ้วร่างกายของข้าพเจ้าเหาะข้ามยอดภูเขา
    ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวเองเบาหวิวและแอบมองไปด้านหลัง
    รู้สึกว่าท่านนั้นจะเป็นชายรูปร่างใหญ่ กำยำ ผิวสีคล้ำ และเห็น
    เหมือนนุ่งผ้าโจงกระเบงสีแดง แต่ใส่เสื้อหรือไม่ข้าพเจ้าจำไม่ได้
    เพราะเห็นไม่ได้ทั้งหมดถูกท่านหิ้วไว้ มีความรู้สึกเหมือนตัวเราเบามาก

    ท่านหิ้วไว้ เมื่อข้ามอีกฝั่งได้ ก็รู้สึกดีใจแต่ก็มองเห็นทุกคนต่าง
    ก็ต้องปีนป่ายอยู่เช่นเดิม ซักพักเห็นชายชราผู้หนึ่ง กำลังปีนป่าย
    ถึงยอดเขาเหมือนข้าพเจ้า ก็เริ่มไม่ไหวแล้วเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงคิดว่า
    คงไม่เป็นไร ถ้าท่านชายผู้นั้นมาช่วยก็คงจะดี ซักพักข้าพเจ้าก็เห็น
    ท่านชายที่นุ่งผ้าแดง หิ้วร่างกายของชายชราผู้นั้นเหาะข้ามมาด้วยเช่นกัน

    ในใจข้าพเจ้าคิดว่าชายชราผู้นั้นคงรอดและข้ามฝั่งมาได้แน่นอน<O:p</O:p
    อย่างข้าพเจ้า แต่อยู่ดีๆ ข้าพเจ้าก็เห็นร่างกายของลุงชายชราผู้นั้น
    หล่นลงมา ขณะหิ้วร่างกายข้ามฝั่งยอดภูเขา ตกลงมาสู่พื้น ข้าพเจ้า
    ก็ตกใจกลับเหตุการณ์นั้น แล้วมองบริเวณที่ลุงชายชราผู้นั้นตกลงไป

    ก็พบว่าร่างกายของลุงชายชราผู้นั้น ถูกเหล็กแหลมมากมายในพื้นดิน
    ทิ่มทะลุร่างกายติดกับกับร่างของคุณลุงผู้นั้นโลหิตท่วมร่างกายของ
    คุณลุงผู้นั้น เป็นภาพที่น่ากลัวมาก ข้าพเจ้าก็สะดุ้งออกจากพะวัง
    ในสมาธิ ด้วยตอนนั้น ข้าพเจ้าเอง ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็น<O:p</O:p
    หมายถึงอะไรกันแน่ จนกระทั่งข้าพเจ้า ได้ไปอ่านพบในหนังสือ
    ธรรมะเกี่ยวกับเรื่องของนรกอบายภูมิ ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น
    เป็นนรกภูมิ มหานรกขุมที่ ๗ มหาตาปปะนรก คือ นรกที่บุคคล
    เชื่อว่าธรรมเป็นของไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แต่กลับเห็นว่าอธรรม
    เป็นของดีมีประโยชน์ เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิบุคคล
    ซึ่งมีความผิด ๑๐ ประการ

    สามารถอ่านเพิ่มเติมเรื่องภพภูมิได้จากไฟล์แนบข้างล่างนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012
  17. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ส่วนเรื่องสวรรค์ ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เรียกว่า สวรรค์หรือไม่
    มีอยู่คืนหนึ่งข้าพเจ้าสมาธิ จนนิ่งภาพในนิมิตในสมองสว่างจ้า
    เป็นสีขาวนวลไปหมด มีความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองถูกดูดไป
    ที่ไหนก็ไม่ทราบเห็นเป็นเหมือนช่องหน้าต่าง ข้าพเจ้าก้าว
    ผ่านช่องหน้าต่างนั้นไป ซักพักเหมือนมองภายนอก
    เห็นมีมวลดอกไม้สวยงาม มีเมฆหมอกมากมาย มองไปข้างหน้า

    ซักพักเห็นเหมือนมีปราสาทเหมือน ปราสาทในนวนิยาย ปราสาท
    เจ้าชายเจ้าหญิงอะไรทำนองนั้น ต่างกันตรงที่ว่าเป็นสีเหมือน
    ประกายเงินระยิบระยับ ไม่ได้อยู่พื้นดิน เหมือนลอยอยู่บน
    มีก้อนเมฆโอบล้อมอยู่ ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เห็นใคร ซักพัก
    ก็เห็นมีคนเดินมา ข้าพเจ้าก็ไปแอบ คิดว่าเขาคงไม่เห็นเรา

    เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ต่างกันที่ดูเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติ
    เหมือนฝรั่ง ผิวขาวนวล แต่งตัวเหมือนเทพนิยายในกรีกโบราณ
    รู้สึกว่าทุกจะต่างมุ่งหน้าเดินไปที่ปราสาทแห่งนั้น ข้าพเจ้าแอบมอง
    ซักพักก็ต้องตกใจ ที่เห็นร่างกายมนุษย์เท่าเรา ซักพักกลายร่าง
    ใหญ่โตเหมือนยักษ์ เดินไปที่ปราสาท ข้าพเจ้าก็กลัวเช่นกัน

    จึงได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ คิดว่าพวกเขาคงไม่รู้สักพัก
    ก็มีคนเดินผ่านข้าพเจ้าไป เป็นหญิงสาวใส่ชุดสีขาวนวล
    ผมสีทองเหมือนฝรั่ง ผิวขาวนวล สวยงาม ใส่มงกุฏดอกไม้
    ที่ศีรษะ ใส่ชุดเหมือนเทพกรีกโบราณ หันมายิ้มให้แล้ว
    พูดคำว่า " Smile " ข้าพเจ้าตกใจเขาเห็นเราด้วยหรือ
    ทำอย่างไรดี ซักพักจิตของข้าพเจ้ากับมาที่กายหยาบ
    พอลืมตาขึ้นมา เห็นดาวประกายพรึกระยิบระยับไปหมด
    ซี่งข้าพเจ้าเองก็๋ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ที่แห่งนั้น
    เป็นสวรรค์ของบรรดาเทพบุตร หรือเทพธิดาของฝรั่งหรือไม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  18. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ฝึกกายทิพย์ให้แข็งแกร่งเพื่อป้องกันวิญญาณอื่นรบกวน

    ๑.อย่ารีบด่วนหัดถอดจิต โดยวิธีแปลกประหลาด
    ด้วยการกินยากล่อประสาท มนต์คาถาสกด สกดจิต หรือการเข้าทรง
    เพราะเมื่อจิตตกภวังค์อสู่ความว่างอันลึกซึ้งแล้ว สภาวะความผิดปกติ
    บางอย่างที่แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกของตนเอง จะแสดงตัวออกมาอย่าง
    เต็มที่ได้ ในขณะเดียวกัน กายทิพย์จิตวิญญาณที่ยังไม่ได้พัฒนา
    ให้แข็งแกร่งและมั่นคงในตนแล้ว เมื่อกายทิพย์แยกออกจากกายเนื้อ
    เข้าสู่ทิพย์ภูมิแแล้ว ก็จะไม่สามารถต้านทานอุบายของกิเลส

    ต้องถูกกิเลสยั่วยุให้หลงในฤทธิ์เดชที่ได้มาไปใช้ในทางที่ผิด
    ทำร้ายผู้อื่นด้วยความเห็นแก่ตัว หรือเกิดความกลัว เมื่อได้ประสบ
    พลังลึกลับอันพิลึกน่ากลัว ซึ่งกายทิพย์เรายังอ่อนหัดไม่เข้าใจ
    เข้าถึงเหตุการณ์ จึงไม่สามารถควบคุมจิตใจได้ตนเองได้
    จนทำให้ขวัญเสีย สะดุ้งหวาดกลัวได้ หรือเกิดความโลภอยากได้
    ในนิมิตต่างๆ ที่พบเห็น จนทำให้กายทิพย์เรา ไม่สามารถถอนตัว
    ออกจากอุปทานนั้นได้ ก็ทำให้เพ้อ
     
  19. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๒. อาการวิญญาณอื่นแฝงร่างกายเนื้อเรา
    ในระหว่างที่กายทิพย์เราแยกจากกายเนื้อนั้น อาจจะเปิดโอกาสให้วิญญาณอื่น
    เข้าสิงกายเนื้อเราได้ง่ายมาก เพราะว่ามีวิญญาณอยู่มากมายที่วนเวียนอยู่ในโลกนี้
    ที่มีความปรารถถนาอย่างยิ่งที่จะเข้าสิงสู่กายเนื้อของคนใดคนหนึ่ง เพื่อสนองความ
    ต้องการของตน เนื่อจากวิญญาณพเนจรเหล่านี้ ยังมีความอาลัยอาวรณ์เสียดาย
    ชีวิตในโลกมนุษย์ที่ว่าตนเองยังทำงานบางอย่างไม่เสร็จทั้งอยากขออาศัยร่างกาย
    ของคนอื่นอาศัยเพื่อจะทำงานในโลกมนุษย์ให้เสร็จ บางครั้งอยากอาศัยร่างกิน
    เครื่องเซ่นจากมนุษย์นั้น จึงเกิดมีการผีสิง ผีเข้ามาขอกินเหล้ายาปลาปิ้งเป็นต้น

    ยังมีวิญญาณที่ใจร้ายอยู่ไม่น้อยที่ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะวิญญาณพวกนี้จะไม่
    ยอมฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น พวกนี้เรียกว่าเป็นผีที่ต้องการสนองตัณหาความ
    อยากกินอยากเที่ยว อยากเสพกามตามภูมิจิตวิญญาณชั้นจิตหยาบของ
    ตนนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  20. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๓.วิธีฝึกกายทิพย์ให้แข็งแกร่ง
    สร้างความเชื่อมั่นในตนเองด้วยปัญญา ต้องฝึกตนเองเป็นคนรอบครอบถี่ถ้วนละเอียด
    หมั่นพิจารณาตนตรึกตรอง แล้วจงสร้างให้ตัวเองมีความเชื่อมั่นในตนเอง อย่างจริงจัง
    ในอุดมคติอย่างมั่นคง มีสติสัมปชัญญะกำกับชีวิตความเป็นอยู่ระลึกได้ รู้ชัดทั่วพร้อม
    อยู่ทุกลมหายใจเป็นการสร้างรากฐานสร้างพลังสติที่จะเกื้อหนุนให้เรามั่นใจว่า

    เราไม่มีทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีศัตรู เราเป็นคนมีอำนาจ มีความสามารถ
    ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำอันตรายเราได้ พลังสติที่เราฝึกมานี้ก็จะแผ่ออกจากร่างกาย
    เป็นกำแพงกั้นห้อมล้อมกายเนื้อและกายทิพย์เรา เวลาก่อนนอนและตื่นนอนทุกครั้ง

    บริกรรมในใจว่า

    พุทธังบังข้างซ้าย ธัมมังบังข้างขวา
    สังฆังบังกายา อรหันต์บังเกศา
    อะหังพุทโธ ธามะนะโม
    พุทธายะ นะมะพะทะ
    อะมะอะ สาธุ ฯ

    ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์
    และผู้มีพระคุณทุกท่าน เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าเรือน
    ทั้งสิ่งศักดิสิทธิ์โปรดช่วยคุ้มครองให้ตัวข้าน้อย พ้นจากภัยพิบัติ
    ทั้งปวงเถิด การฝึกบริการอย่างสม่ำเสมอนี้ เป็นการสร้างพลังสติ
    และพลังพุทธานุภาพอันแข็งแกร่ง ย่อมสามารถต้านทานการบุกรุก
    ของสิ่งที่จะมาเป็นมารรบกวนยัวยุ จากภายนอกกายเนื้อเราให้เรา
    เกิดอารมณ์ได้ จำไว้ว่าถ้าร่างกายอ่อนแอพักผ่อนไม่พอ ย่อมส่ง
    ผลกระทบกระเทือนถึงกายทิพย์จิตวิญญาณให้หมดเรี่ยวแรงได้ดวย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image032[1].jpg
      image032[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.1 KB
      เปิดดู:
      424
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...