*แจกฟรี* DVD รวบรวมคำสอนกรรมฐานของพระอริยสงฆ์ 9 องค์ต่อหน้า 8

ในห้อง 'แจกฟรี' ตั้งกระทู้โดย เมว, 27 ธันวาคม 2010.

  1. เมว

    เมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +1,725
    *แจกฟรี* DVD รวบรวมคำสอนกรรมฐานของพระอริยสงฆ์ 9 องค์ต่อหน้า 8 ดีมากเลยค่ะ


    [FONT=&quot]ดีมากค่ะ

    อนุโมทนาบุญกุศลกับทุกๆท่าน ผู้[/FONT]
    [FONT=&quot]เจริญทั้งทางโลก และทางธรรม[/FONT]

    [FONT=&quot]เนื่องในวันอังคารที่ ๒๘ ธันวาคม เป็นวันเกิดพ่อของข้าพเจ้า ครบ ๖๙ ปีเต็ม และปี ๒๕๕๔ จะอายุ ๗๐ ปี ข้าพเจ้าได้จัดทำ [/FONT]
    DVD [FONT=&quot]รวบรวมคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพื่อแจกเป็นธรรมทานให้แก่นายรัชกฤช บุญญาภากรกุลภัค และ ครอบครัว จำนวน 70 แผ่น ( 1 ยูสเซอร์ / 1 แผ่น )
    [/FONT]


    [FONT=&quot]กรุณาแจ้งชื่อที่อยู่ให้เรียบร้อยเลยค่ะ เมวจะเริ่มจัดส่งในวันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป เป็นธรรมะต้อนรับปี ใหม่ ทุกท่านสามารถแสดงความรัก ความรู้สึกดีๆ เกี่ยวกับพ่อแม่ได้เลยค่ะ[/FONT]



    ในปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านๆประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน ทั้งด้านการเงิน สังคม ครอบครัว และความรัก


    [FONT=&quot] ขอบารมีคุณพระพุทธ คุณธรรม คุณพระสงฆ์ [/FONT]

    [FONT=&quot]ขออำนาจบารมีสมเด็จองค์ปฐม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระมหาโพธิ์สัตว์ เทพพรหมทุกๆชั้นฟ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่สืบต่อกันมาทุกๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธจารย์โต หลวงพ่อปานวัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงปู่ศรีเป็นที่สุด[/FONT]

    [FONT=&quot] ขออำนาจบารมีทุกๆท่านช่วยเหลือพ่อ แม่ และครอบครัวของข้าพเจ้าปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ การเงิน สังคมและปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ และครอบครัวของข้าพเจ้า ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ของให้ข้าพเจ้ามีโชคเพื่อสามารถช่วยเหลือพ่อแม่ได้ และอีกส่วนเพื่อจัดสื่อธรรมะ ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
    [/FONT]



    ข้าพเจ้าขออุทิศผลบุญกุศลในแก่บิดา มารดา และครอบครัวของข้าพเจ้า



    [FONT=&quot]อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อพ่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา[/FONT]
    [FONT=&quot]อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ[/FONT]

    [FONT=&quot] ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด หมดก็ไม่มา[/FONT]
    [FONT=&quot] เราไม่หวงกัน เราก็ไม่อด หมดก็มาเรื่อยๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]**ธรรมะเตือนใจจาก พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม**[/FONT]

    [FONT=&quot] นิพานนํ ปจฺจโย โหตุ[/FONT]

    [FONT=&quot]แจกฟรี [/FONT]DVD [FONT=&quot]รวบรวมคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมีดังต่อไปนี้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]1. พระวินัยย่อและธรรมปฏิบัติฯ[/FONT]
    [FONT=&quot] - [/FONT]
    [FONT=&quot]จรณะ ๑๕[/FONT]
    [FONT=&quot]01[/FONT]
    [FONT=&quot].[/FONT][FONT=&quot] จรณะ ๑๕[/FONT][FONT=&quot] * [/FONT][FONT=&quot]สีลสัมปทา[/FONT]
    [FONT=&quot]02. จรณะ ๑๕[/FONT]
    [FONT=&quot] * [/FONT][FONT=&quot]สีลสัมปทา (ต่อ)[/FONT]
    [FONT=&quot]03. จรณะ ๑๕[/FONT]
    [FONT=&quot] * [/FONT][FONT=&quot]อินทรีย์สังวร + โภชเนมัตตัญญตา ( ขาด ชาคริยานุโยค + สัทธา )[/FONT]
    [FONT=&quot]04. จรณะ ๑๕ [/FONT]
    [FONT=&quot]* [/FONT][FONT=&quot]หิริ + โอตตัปะ + พาหุสัจจะ + วิริยะ[/FONT]
    [FONT=&quot]05. จรณะ ๑๕ *[/FONT]
    [FONT=&quot]สติ + ปัญญา + ปฐมฌาญ[/FONT]
    [FONT=&quot]06. จรณะ ๑๕ * ทุติยฌาณ + ตติยฌาณ + จตุตฌาณ[/FONT]

    [FONT=&quot] - โทษละเมิดพระวินัย[/FONT]

    [FONT=&quot]พระวินัย (๒๕๑๗)[/FONT]

    [FONT=&quot]พระวินัยบัญญัติ[/FONT]

    [FONT=&quot]พระวินัยใหม่[/FONT]

    [FONT=&quot] - ธุดงค์ , ปฏิปทาปฏิบัติ (๑)[/FONT]

    [FONT=&quot] - ปกิปทาปฏิบัติ (๒)[/FONT]

    [FONT=&quot]2. มหาสติปัฏฐาน[/FONT]
    [FONT=&quot]ม้วน 1 [/FONT][FONT=&quot]–[/FONT][FONT=&quot] 8 [/FONT]
    [FONT=&quot]3. กรรมฐาน ๔๐[/FONT]

    [FONT=&quot]4. การฝึกอารมณ์ให้เข้าถึงความเป็นพระอริยแบบสุกขวิปัสสโก[/FONT]

    [FONT=&quot]5. จริต ๖ และวิธีใช้กรรมฐานให้ถูกกับจริต[/FONT]

    [FONT=&quot]6. จุไรท่องเที่ยวดวงดาว [/FONT]

    [FONT=&quot]7. บารมี ๑๐ ทัส และ วิปัสสนาญาณ ๙[/FONT]

    [FONT=&quot]8. การฝึกปฏิบัติแบบเตวิชโช[/FONT]

    [FONT=&quot]9. การฝึกปฏิบัติแบบฉฬภิญโญ[/FONT]

    [FONT=&quot]10. การฝึกปฏิบัติแบบปฏิสัมภิทัปปัตโต[/FONT]

    [FONT=&quot]11. ผลแห่งการทำบุญบาปกุศล[/FONT]

    [FONT=&quot]12. หนีนรก[/FONT]

    [FONT=&quot]13. นำทัศนาจรในแดนสุคติ โดยฆราวาสผู้ครองเรือน[/FONT]

    [FONT=&quot]14. ปกิณกธรรม[/FONT]

    [FONT=&quot]15. ธรรมจากพระสูตร[/FONT]

    [FONT=&quot]16. พระสูตรเพื่อการศึกษาปฏิบัติธรรม[/FONT]

    [FONT=&quot]17. มหาชาดก (ทศชาติ)[/FONT]

    [FONT=&quot]18. สอนพระกรรมฐานในพรรษาปี ๒๕๒๑[/FONT]

    [FONT=&quot]19. หมวดมโนยิทธิ[/FONT]

    [FONT=&quot]20. เทปออกใหม่ชุดกรรมฐาน ๔๐ (ย่อ) ปี ๒๕๓๑[/FONT]

    [FONT=&quot]21. เทปบันทึกลงหนังสืออ่านเล่น[/FONT]

    [FONT=&quot]22. ชุดลงหนังสือกฏของกรรม[/FONT]

    [FONT=&quot]23. รายการเทปออกใหม่ (ปี ๒๕๔๓)[/FONT]

    [FONT=&quot]24. ๒๘ กรณีศึกษา ตายแล้วเกิดในประเทศไทย[/FONT]


    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    คำแผ่เมตตา

    [FONT=&quot]ขอเดชะตั้งจิตอุทิศผล บุญกุศลแผ่ไปให้ไพศาล[/FONT]
    [FONT=&quot] ถึงบิดามารดาครูอาจารย์ ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน[/FONT] [FONT=&quot]
    คนเคยรักเคยชังแต่ครั้งไหน ขอให้ได้ส่วนกุศลผลของฉัน[/FONT]

    [FONT=&quot] ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอให้ท่านได้กุศลและผลบุญ[/FONT]
    [FONT=&quot] อีกครั้งปาย่าตายายทั้งหลายนั้น ขอให้ท่านได้กุศลผลอุดหนุน[/FONT]
    [FONT=&quot] ทหารตำรวจตรวจแดนไทยจงได้บุญ ช่วยป้องกันศัตรูไทยได้
    บุญนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]สำหรับท่านหมั่นปฏิบัติวิปัสสนา ขอให้พาได้พบสุขทุกวิธี[/FONT]
    [FONT=&quot] ประสบพบนิพพานของญาณมุนี ในชาตินี้มีมรรคผลทุกคนเทอญ[/FONT]
    [FONT=&quot] บุญกุลที่ได้ทำในครั้งนี้ จงสำเร็จเป็นปัจจัยไร้ราคี[/FONT]
    [FONT=&quot] ให้ฉันนี้พ้นกิเลสเขตกันดาร หากมิสำเร็จพระอรหันต์[/FONT]
    [FONT=&quot] ตัวของฉันอย่าได้พบความขัดสน พร้อมทวยเทพและสวรรค์จงบันดล[/FONT]
    [FONT=&quot] ให้เลิศล้นทรัพย์ยศปรากฏมี คำ ไม่มี อย่าบังเกิดกับตัวฉัน[/FONT]
    [FONT=&quot] ทุกสิ่งสรรพ์พร้อมพูลบุญราศี คนใจบาปหยาบช้าไร้ปรานี[/FONT]
    [FONT=&quot] จงหลีกหนีให้พ้นคนใจมาร ยามสิ้นบุญข้าน้อยเมื่อคล้อยคลาด[/FONT]
    [FONT=&quot] ถ้าประมาทขาดสติมิประสาน ขอเทวาอารักษ์ชักบันดาล[/FONT]
    [FONT=&quot] โปรดประทานสติมั่นแก่ฉันเทอญ.....[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PC120095.JPG
      PC120095.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      176
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2011
  2. เมว

    เมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +1,725
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    นะโมการัสสะ เตเชนะ วิธิมหิ โหมิ เตชะวาฯ

    " พระพุทธศานาเป็นศาสนาที่พระสัมมาพุทธเจ้าได้ทรงพิสูจน์ในแก่นของพระธรรมแล้ว "
    ขอโมทนาบุญแก่ท่านผู้มีจิตเป็นกุศลทุกท่าน...สาธุ ​
    มงคล ๓๘ ประการ

    มงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี " มงคลชีวิต "
    ซึ่งมี ๓๘ ประการได้แก่
    ๑. การไม่คบคนพาล
    ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
    ๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาทและมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ
    ๒.พูดชั่ว คือ
    คำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
    ๓.ทำชั่ว คือ
    ทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม

    รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตุคือ
    ๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา ชวนไปฉุดคร่าอนาจารเป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล
    ๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกันเป็นต้น
    ๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่ หรือช่วยพวกพ้อง ให้พ้นจากความผิดเป็นต้น
    ๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป้นต้น คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง
    ๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฏหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่นเป็นต้น

    ๒. การคบบัญฑิต
    บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้คือ
    ๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น
    ๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
    ๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา

    รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกตุคือ

    ๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด ตักเตือนให้ทำความดี อย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนันเป็นต้น
    ๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และใช้เวลาที่มีอยู่ ให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ
    ๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา แนะนำการทำทาน ที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
    ๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง
    ๕. รู้ระเบียบ กฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะ มีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฏของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ

    ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
    การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ
    ๑. อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่ หรือการนำดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชาเป้นต้น
    ๒.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน เห็นความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้น

    บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ
    ๑.พระพุทธเจ้า (คงไม่ต้องอธิบาย)
    ๒.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
    ๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
    ๔.บิดามารดา
    ๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถ และประพฤติดี
    ๖.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม

    ๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร
    ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่
    ๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึงอยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดี
    เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุขเป็นต้น
    ๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถ
    จัดซื้อหามาได้ง่าย เป็นต้น
    ๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม
    ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพลเป็นต้น
    ๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น มีวัดอยู่ในละแวกนั้น
    มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นต้น


    ๕. เคยทำบุญมาก่อน
    ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
    ๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้
    ๒. นำมาซึ่งความสุข
    ๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า
    ๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง
    ๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เอง
    โดยไม่ได้หวังผล
    ๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้ หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่
    ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย
    ๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้น
    เมื่อปฏิบัติ
    ๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ
    ที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุข
    หรือตายอย่างไม่ทรมานขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา

    การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
    ๑.การทำทาน
    ๒.การรักษาศีล
    ๓.การเจริญภาวนา

    ๖. การตั้งตนชอบ
    หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ
    มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม
    และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน

    ๗. ความเป็นพหูสูต
    คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ
    ๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
    ๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
    ๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น
    ๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น

    ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ
    ๑.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น
    ๒.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ และจับใจความให้ได้
    ๓.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
    ๔.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
    ๕.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา

    ๘. การรอบรู้ในศิลปะ
    ศิลปะ คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงาม และมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ
    ๑.มีความปราณีต
    ๒.ทำให้ของดูมีค่ามากขึ้น
    ๓.ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
    ๔.ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ
    ๕.ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท
    ๖.ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน

    ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ
    ๑.มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ
    ๒.หมั่นสังเกตและพิจารณา
    ๓.มีความปราณีต อารมณ์ละเอียดอ่อน
    ๔.เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์

    ๙. มีวินัยที่ดี
    วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ กฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบ นั่นเอง มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗ อย่าง หรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐ อย่าง คือการละเว้นจาก อกุศลกรรม ๑๐ ประการ อนาคาริยวินัยของพระมีดังนี้
    ๑.ปาฏิโมกขสังวร คือการอยู่ในศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่า
    ต้องโทษแล้วแต่ความหนักเบา เรียงลำดับกันไปตั้งแต่ ขั้นปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย
    ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต เป็นต้น (ความหมายของแต่ละคำ
    มันต้องอธิบายเยอะ จะไม่กล่าวในที่นี้)
    ๒.อินทรียสังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง ๕ และกาย วาจา ใจ ให้อยู่กับร่องกับรอย โดยอย่าไปเพลิดเพลินติดกับสิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้น
    ๓.อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ นั่นก็คือการออกบิณฑบาตร
    ไม่ได้เรียกร้อง เรี่ยไรหรือเที่ยวขอเงินชาวบ้านมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง
    ๔.ปัจจยปัจจเวกขณะ

    คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่านั้น อย่างแท้จริง โดยใช้เพื่อบริโภค เพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด และความเป็นไป ของชีวิตเท่านั้น วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่าอาคาริยวินัย มีดังนี้ (อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)
    ๑.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อย ใหญ่
    ๒.ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน สิ่งของมาเป็นของตัว
    ๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา
    ๔.ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ หรือชวนเชื่อ
    ๕.ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย ยุยงให้คนแตกแยกกัน
    ๖.ไม่พูดจาหยาบคาย ให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น
    ๗.ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือประโยชน์อันใด
    ๘.ไม่โลภอยากได้ของเขา คือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา
    ๙.ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บ แค้น ปองร้ายคนอื่น
    ๑๐.ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น

    ๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
    คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว
    เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง
    ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้

    ๑.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด
    ๒.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ ไม่มีคำหยาบโลน
    หรือคำด่า
    ๓.พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทางไปคิด หรือปฏิบัติ
    ในทางสร้างสรรค์
    ๔.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง มีความจริงใจต่อผู้ฟัง
    ๕.พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม และในเวลาที่เหมาะสม
    โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อยเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่พูด

    ๑๑.การบำรุงบิดามารดา
    ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ
    * ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก
    * ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู ประคบประหงม
    มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน
    * ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา หมายถึง
    ความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณา
    ต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถ
    จะให้ได้ มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก ยอมเสียสละ
    ได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาด
    เพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้
    * ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่
    o เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโต
    เป็นผู้ใหญ่
    o เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ
    นานา
    o เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นผู้รับผลบุญ
    ที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง
    o เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา เพื่อ
    เทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้

    ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงาน
    ให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การ
    เป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน

    ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้

    ๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธา
    ในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
    ๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
    ๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่าน
    รู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัด
    นั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้

    ๑๒.การสงเคราะห์บุตร
    คำว่าบุตรนั้น มีอยู่ ๓ ประเภทได้แก่
    ๑.อภิชาติบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา
    ๒.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา
    ๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา

    การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ
    ๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
    ๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี
    ๓.ให้การศึกษาหาความรู้
    ๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)
    ๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)

    ๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา
    เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะของภรรยาออกเป็น ๗ ประเภทได้แก่
    ๑.วธกาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี หรือมีชู้กับชายอื่น
    ๒.โจรีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน หาได้เท่าไร ก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องในบ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
    ๓.อัยยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามีเป็นคนไร้ ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ
    ๔.มาตาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่ คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคย ทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ
    ๕.ภคินีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน แต่ขัดใจกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่คิดพยาบาท เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี
    ๖.สขีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน ความสามารถ พอกัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็รักกัน และช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
    ๗.ทาสีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้ คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง สามีเป็นผู้เลี้ยงดู สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นแม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ แม้ถูกดุด่า เฆี่ยนตีก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ

    ท่านว่าคนที่จะมาเป็นสามี ภรรยาได้ดีหรือคู่สร้างคู่สมนั้นควรต้องมีคุณสมบัติดังนี้
    ๑.สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน
    ๒.สมสีลา คือมีศีลเสมอกัน
    ๓.สมจาคะ คือมีการเสียสละเหมือนกัน
    ๔.สมปัญญา คือมีปัญญาเสมอกัน

    เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำดังนี้ สามีมีหน้าที่ต่อภรรยาคือ
    ๑.ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยา ไม่ปิดบังกับผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วย
    ๒.ไม่ดูหมิ่น คือไม่ดูถูกภรรยาเมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษา ว่าต่ำต้อยกว่าตน แต่ต้องสอนให้
    ๓.ไมประพฤตินอกใจภรรยา คือการไปมีเมียน้อยนอกบ้าน เลี้ยงต้อย หรือเที่ยวเตร่หา ความสำราญกับหญิงบริการ
    ๔.มอบความเป็นใหญ่ให้ในบ้าน คือการมอบธุระทางบ้านให้กับภรรยาจัดการ รับฟังและทำตามความเห็นของภรรยาเกี่ยวกับบ้าน
    ๕.ให้เครื่องแต่งตัว คือให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี เพราะสตรี เป็นผู้รักสวยรักงามโดยธรรมชาติ

    ฝ่ายภรรยาก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนสามีคือ
    ๑.จัดการงานดี คืองานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลด้านความสะอาด ทำนุบำรุงรักษา ด้านโภชนาการให้เรียบร้อยดี
    ๒.สงเคราะห์ญาติสามีดี คือให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว
    ๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี คือไม่คบชู้ หรือปันใจให้ชายอื่น ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว
    ๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่
    ๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน หรือเที่ยวแต่อย่างเดียว ต้องทำงานบ้านด้วย

    ๑๔.การทำงานไม่ให้คั่งค้าง
    ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า
    ๑.ทำงานไม่ถูกกาล
    ๒.ทำงานไม่ถูกวิธี
    ๓.ไม่ยอมทำงาน

    หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้

    ๑.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ
    ๒.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ
    ๓.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ
    ๔.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ

    ๑๕.การให้ทาน
    การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์ แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่
    ๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
    ๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน
    ๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน

    การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการอันได้แก่
    ๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล
    ๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
    ๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์

    การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่
    ๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)
    ๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)
    ๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ
    ๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไปบำเรอผู้มีอำนาจ หรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น
    ๕.ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ
    (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)

    ๑๖.การประพฤติธรรม
    การประพฤติธรรม ก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่

    กายสุจริต คือ
    ๑.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์
    ๒.การไม่ลักทรัพย์ หมายรวมถึงการคอรัปชั่น ไปหลอกลวง ปล้นจี้ชาวบ้านด้วย
    ๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา และการข่มขืนด้วย
    วจีสุจริต คือ
    ๑.การไม่พูดเท็จ คือการพูดแต่ความจริง ไม่หลอกลวง
    ๒.การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวมหมด
    ๓.การไม่พูดจาส่อเสียด การนินทาว่าร้าย
    ๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ หาประโยชน์อันใดมิได้
    มโนสุจริต คือ
    ๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา
    ๒.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือการนึกอยากให้คนอื่นประสพเคราะห์กรรม คิดจะทำร้ายผู้อื่น
    ๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง ความถูกต้อง ตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา

    ๑๗.การสงเคราะห์ญาติิ
    ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
    ๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้
    ๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย
    ๓.เมื่อขาดยานพาหนะ
    ๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน
    ๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
    ๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน
    ๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี

    การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่ในทางธรรมก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนาในทางโลก ก็ได้แก่
    ๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์ หรือความลำบากตามแต่กำลัง
    ๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
    ๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี
    ๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว

    ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ
    งานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
    ๑.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง
    ๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม
    ๓.ไม่ผิดศีล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕
    ๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง

    ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่
    ๑.การค้าอาวุธ
    ๒.การค้ามนุษย์
    ๓.การค้ายาพิษ
    ๔.การค้ายาเสพย์ติด
    ๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า

    ๑๙.ละเว้นจากบาป
    บาปคือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือว่า เป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ
    ๑.ฆ่าสัตว์
    ๒.ลักทรัพย์
    ๓.ประพฤติผิดในกาม
    ๔.พูดเท็จ
    ๕.พูดส่อเสียด
    ๖.พูดคำหยาบ
    ๗.พูดเพ้อเจ้อ
    ๘.โลภอยากได้ของเขา
    ๙.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น
    ๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ

    ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
    ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้น อาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้มึนเมา เช่นเบียร์ ไวน์ ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น ล้วนมีโทษอันได้แก่
    ๑.ทำให้เสียทรัพย์ เพราะต้องนำเงินไปซื้อหาทั้งๆที่เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำเอาไปใช้ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่า
    ๒.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว หรือถึงแก่ชีวิต และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ
    ๓.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น โรคตับแข็ง โรคหัวใจ โรคความดัน
    ๔.ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล และหน้าที่การงานเสี่อมเสีย
    ๕.ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่สาธารณะเป็นต้น
    ๖.ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง ก็จะทำให้สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอยความสามารถโดยรวมก็ด้อยลง

    ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
    ธรรมในที่นี้ก็คือหลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดีและเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้ คนที่ประมาทในธรรมนั้นมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ
    ๑.ไม่ทำเหตุดี แต่จะเอาผลดี
    ๒.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี
    ๓.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก

    สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่
    ๑.การประมาทในเวลา คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ หรือผลัดวันประกันพรุ่งเป็นต้น
    ๒.การประมาทในวัย คือคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิต อยู่อีกนานเป็นต้น
    ๓.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น
    ๔.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่ อีกนานเป็นต้น
    ๕.การประมาทในการงาน คือไม่ขยันตั้งใจทำให้สำเร็จ ปล่อยตามเรื่องตามราว หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็นต้น
    ๖.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน หรือขาดความเอาใจใส่ ที่เพียงพอ
    ๗.การประมาทในการปฏิบัติธรรม คือการไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาหรือศึกษาหลักธรรม ให้ถ่องแท้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเป็นต้น

    ๒๒.มีความเคารพ
    ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้
    ๑.พระพุทธเจ้า
    ๒.พระธรรม
    ๓.พระสงฆ์
    ๔.การศึกษา
    ๕.ความไม่ประมาท คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาอื่นๆ
    ด้วยความเคารพ
    ๖.การสนทนาปราศรัย คือการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ

    ๒๓.มีความถ่อมตน
    ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบ เพื่อข่มผู้อื่น หรือเพื่อโอ้อวด การไม่อวดดี เย่อหยิ่งจองหอง แต่แสดงตน อย่างสงบเสงี่ยม ท่านว่าไว้ว่าโทษของการอวดดีนั้นมีอยู่ดังนี้คือ
    ๑.ทำให้เสียคน คือไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้เหมือนเดิม เสียอนาคต
    ๒.ทำให้เสียมิตร คือไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วย ถึงจะมีก็ไม่ใช่เพื่อนแท้
    ๓.ทำให้เสียหมู่คณะ คือถ้าต่างคนต่างถือดี ก็ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้
    ในที่สุดก็ไม่ถึงจุดหมาย หรือทำให้เป็นที่เบื่อหน่ายของคนอื่น

    การทำตัวให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีหลักดังนี้คือ
    ๑.ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดีมีศีลมีธรรม คอยตักเตือนหรือชักนำไปในทางที่ดี ที่ถูกที่ควร
    ๒.ต้องรู้จักคิดไตร่ตรอง คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่ตลอดถึงความเป็นไปในธรรมชาติ ของมนุษย์ ต่างคนย่อมต่างจิดต่างใจ และรวมทั้งหลักธรรมอื่นๆ
    ๓.ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ อลุ่มอล่วยในหลักการ ตักเตือน รับฟัง และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล

    ท่านว่าลักษณะของคนถ่อมตนนั้นมีดังนี้
    ๑.มีกิริยาที่นอบน้อม
    ๒.มีวาจาที่อ่อนหวาน
    ๓.มีจิตใจที่อ่อนโยน
    สรุปแล้วก็คือ สมบูรณ์พร้อมด้วยกาย วาจา และใจนั่นเอง

    ๒๔.มีความสันโดษ
    คำว่าสันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่ลำพังคนเดียวอย่างเดียวก็หาไม่ แต่หมายถึงการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ในของของตัว ซึ่งท่านได้ให้นิยามที่เป็นลักษณะของ ความสันโดษเป็นดังนี้ คือ
    ๑.ยถาลาภสันโดษ หมายถึงความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
    ๒.ยถาพลสันโดษ หมายถึงความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น
    ๓.ยถาสารูปสันโดษ หมายถึงความยินดีตามควร ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควร ในหลายๆเรื่อง เช่นรูปลักษณ์ของตนเอง และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่

    ๒๕.มีความกตัญญู
    คือการรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกันแต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง ท่านว่าสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นมีดังนี้
    ๑.กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึง และตอบแทนพระคุณ เช่น บิดา มารดา อาจารย์เป็นต้น
    ๒.กตัญญูต่อสัตว์ ได้แก่สัตว์ที่มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้านเป็นต้น
    ๓.กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ เราไม่ควรทิ้งคว้าง หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า

    ๒๖.การฟังธรรมตามกาล
    เมื่อมีโอกาส เวลา หรือตามวันสำคัญต่างๆ ก็ควรต้องไปฟังธรรมบ้างเพื่อสดับตรับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ในหลักธรรมนั้นๆ และนำมาใช้กับชีวิตเราเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ
    ๑.วันธรรมสวนะ ก็คือวันพระ หรือวันที่สำคัญทางศาสนา
    ๒.เมื่อมีผู้มาแสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ การที่มีพระมาแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือการอ่านจากสื่อต่างๆ
    ๓.เมื่อมีโอกาสอันสมควร อาทิเช่นในวันอาทิตย์เมื่อมีเวลาว่าง หรือในงานมงคล งานบวช งานกฐิน งานวัดเป็นต้น

    คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดีควรต้องมีดังนี้คือ
    ๑.ไม่ดูแคลนในหัวข้อธรรมว่าง่ายเกินไป
    ๒.ไม่ดูแคลนในความรู้ความสามารถของผู้แสดงธรรม
    ๓.ไม่ดูแคลนในตัวเองว่าโง่ ไม่สามารถเข้าใจได้
    ๔.มีความตั้งใจในการฟังธรรม และนำไปพิจารณา
    ๕.นำเอาธรรมนั้นๆไปปฏิบัติให้เกิดผล

    ๒๗.มีความอดทน
    ท่านว่าลักษณะของความอดทนนั้นสามารถจำแนกออกได้เป็นดังต่อไปนี้คือ
    ๑.ความอดทนต่อความลำบาก คือความลำบากที่ต้องประสพตามธรรมชาติ ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมเป็นต้น
    ๒.ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง เช่นความไม่สบายกายเป็นต้น
    ๓.ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือการที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง หรือพูดจาให้เจ็บช้ำใจ ไม่เป็นอย่างที่หวังเป็นต้น
    ๔.ความอดทนต่ออำนาจกิเลส คือสิ่งยั่วยวนทั้งหลายถือเป็นกิเลสทั้งทางใจและทางกายอาทิเช่น ความนึกโลภอยากได้ของเขา หรือการพ่ายแพ้ต่ออำนาจเงินเป็นต้น

    วิธีทำให้มีความอดทนคือ มีหิริโอตัปปะ
    ๑.หิริ ได้แก่การมีความละอายต่อบาป การที่รู้ว่าเป็นบาปแล้วยังทำอีกก็ถือว่าไม่มีความละอายเลย
    ๒.โอตัปปะ ได้แก่การมีความเกรงกลัวในผลของบาปนั้นๆ

    ๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย
    ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้คือ
    ๑.ไม่พูดกลบเกลื่อนเมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือการรับฟังด้วยดี ไม่ใช่แก้ตัว แล้วปิดประตูความคิดไม่รับฟัง
    ๒.ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน คือการนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไข ข้อบกพร่องนั้นๆ
    ๓.ไม่จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือการที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด เนื่องจาก ความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้สอน เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอาย ขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม
    ๔.เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือการรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน และเคารพ ในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะนำ
    ๕.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือไม่แสดงความยะโส ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่น เพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมี
    ๖.มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือยอมรับในคำสอนนั้นๆ ด้วยความยินดี เช่นการไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคยฟังมาแล้ว เป็นต้น
    ๗.ไม่ดื้อรั้น คือการไม่อวดดี คิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไปเพราะ กลัวเสียชื่อ เสียฟอร์ม
    ๘.ไม่ข้ดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือนหรือสั่งสอนนั้นก็คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับที่ เราทำอยู่แล้ว เราควรต้องเปิดใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ
    ๙.ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา คือการยินดีให้มีการแสดงความคิดเห็นตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา
    ๑๐.มีความอดทนต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน คือการไม่เอาความขัดแย้งในความเห็น เป็นอารมณ์ แต่ให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้สอนนั้น

    การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้น ทำได้ดังนี้
    ๑.ลดมานะของตัว คือการไม่ถือดี ไม่ถือตัว ความไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ อาทิเช่นถือตัวว่าการศึกษาดีกว่าเป็นต้น
    ๒.ละอุปาทาน คือการไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น หรือถือมั่นในอำนาจกิเลสต่างๆ
    ๓.มีสัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาที่เห็นชอบ การเห็นถูกเห็นควรตามหลักอริยสัจ ๔ เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นต้น

    ๒๙.การได้เห็นสมณะ
    คำว่าสมณะแปลตรงตัวได้ว่า ผู้สงบ (หมายถึงผู้อยู่ในสมณเพศ)ท่านว่าคุณสมบัติของสมณะต้องประกอบไปด้วย ๓ อย่างคือ
    ๑.ต้องสงบกาย คือมีความสำรวมในการกระทำทุกอย่าง รวมถึงกิริยา มรรยาท ตามหลักศีลธรรม
    ๒.ต้องสงบวาจา คือการพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี มีความสุภาพ สงบเสงี่ยมในคำพูดและภาษาที่ใช้ เป็นไปตามข้อปฏิบัติ ประเพณี
    ๓.ต้องสงบใจ คือการทำใจให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง หรือความพยาบาทใดๆ ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิภาวนา

    การได้เห็นสมณะมีอยู่ดังนี้คือ
    ๑.เห็นด้วยตา ความหมายก็ตรงตัวคือการเห็นจากการสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง แล้วมีความประทับใจในความสำรวมในกาย
    ๒.เห็นด้วยใจ เนื่องจากความสำรวมกาย วาจา ใจของสมณะจะช่วยโนัมน้าวจิตใจ ของเราให้โอนอ่อนผ่อนตาม และรับฟังหลักคำสอนด้วยใจที่ยินดี ซึ่งนั่นก็หมายถึง การเปิดใจเราให้สมณะได้ชี้นำนั่นเอง
    ๓.เห็นด้วยปัญญา หมายความถึงการรู้โดยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาในการสัมผัส และเข้าถึงและรับรู้ถึงคำสอนของสมณะผู้นั้น และรู้ว่าท่านเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม อย่างแท้จริง

    เมื่อเห็นแล้วก็ต้องทำอย่างนี้คือ
    ๑.ต้องเข้าไปหา คือเข้าไปขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าน หรือให้ความเคารพท่าน
    ๒.ต้องเข้าไปบำรุงช่วยเหลือ คือการช่วยเหลือท่านในโอกาสอันควร เพื่อแบ่งเบา ภาระของท่าน
    ๓.ต้องเข้าไปฟัง คือการรับฟังคุณธรรม หลักคำสอนของท่านมาไว้เป็นแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาชีวิต
    ๔.หมั่นระลึกถึงท่าน คือการระลึกถึงความดีที่ท่านมีแล้วนำมาเป็นตัวอย่างกับตัวเราเอง
    ๕.รับฟังรับปฏิบัติ คือการรับคำแนะนำของท่านมาปฏิบัติทำตามเพื่อให้เกิดผล ครั้นเมื่อติดขัดก็ใคร่แก้ไขเพื่อให้รู้จริงเห็นจริงตามนั้น

    ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
    การได้สนทนากันเรื่องธรรม ทำให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึง หรือเป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วยก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ
    ๑.ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี
    ๒.ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์
    ๓.ต้องเป็นคำพูดที่ไพเราะ
    ๔.ต้องพูดด้วยความเมตตา
    ๕.ต้องพูดจาโอ้อวด ยกตนข่มท่าน

    ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม
    ๑.มีศีลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอยู่แล้ว การเป็นผู้ปฏิบัติถือเป็นหน้าที่ขั้นต้นในการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
    ๒.มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่ว่อกแวก พร้อมทั้งเป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย
    ๓.แต่งการสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย อยู่ในกรอบประเพณีของสังคมแวดล้อม ณ ที่นั้นๆ ถูกกาลเทศะ
    ๔.มีกิริยาสุภาพ คือมีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน หรือการกระทำใดๆการที่มีกิริยางดงาม สุภาพย่อมโน้มน้าวจิดใจผู้พบเห็นให้เกิดความประทับใจที่ดี
    ๕.ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือก้าวร้าว
    ๖.ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์ คือการไม่นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้าน เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในพระพุทธพจน์ย่อมเป็นความจริงตลอดกาล
    ๗.ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้ ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง
    ๘.ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือการเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องขยายความมากเกินไป

    ๓๑.การบำเพ็ญตบะ
    ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใดการบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไปหรือเบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้
    ๑.การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลงติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลสครอบงำใจ เวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖ (อินทรีย์สังวร)
    ๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง
    ๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น ปฏิบัติตน ให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา

    ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์
    คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่านว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น
    (ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ

    ๑.ให้ทาน บริจาคทานไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง หรือปัญญา
    ๒.ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ ที่ถูกที่ควร (เวยยาวัจจมัย)
    ๓.รักษาศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา (เบญจศีล)
    ๔.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน (อัปปมัญญา)
    ๕.งดเว้นจากการเสพกาม (เมถุนวิรัติ)
    ๖.ยินดีในคู่ของตน คือการมีสามีหรือภรรยาคนเดียว (สทารสันโดษ)
    ๗.เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ไม่ท้อถอยในความบากบั่น (วิริยะ)
    ๘.รักษาซึ่งศีล ๘ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ร่วมประเวณี ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ หรูหรา (อุโบสถ)
    ๙.ใช้ปัญญาเห็นแจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (อริยธรรม)
    ๑๐.ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง (สิกขา)
    *ขออธิบายเพิ่มเติมว่าข้อ ๕ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖ให้ยินดีในคู่ของตนนั้น เพราะว่าการประพฤติพรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึงบุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วมประเวณี เช่นในวันสำคัญๆเป็นต้น

    ๓๓.การเห็นอริยสัจ
    อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ ๔ ประการ ตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้มีดังนี้
    ๑.ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความเป็นจริงของสัตว์โลกทุกผู้ทุกนาม ต้องมีทุกข์ ๓ ประการคือ การเกิด ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมสรุปได้ดังนี้คือ
    -ความโศกเศร้า (โสกะ)
    -ความรำพันด้วยความเสียใจ (ปริเทวะ)
    -ความเจ็บไข้ได้ป่วย (ทุกขะ)
    -ความเสียใจ (โทมนัสสะ)
    -ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ (อุปายาสะ)
    -การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก (อัปปิเยหิ สัมปโยคะ)
    -การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก (ปิเยหิ วิปปโยคะ)
    -ความหม่นหมองเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)
    ๒.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของเราด้วยนั่นก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา ๓ อย่าง ซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ
    -ความอยากได้ หมายรวมถึงอยากทุกอย่างที่นำมาสนองสัมผัสทั้ง ๕ และกามารมณ์ (กามตัณหา)
    -ความอยากเป็น คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ (ภวตัณหา)
    -ความไม่อยากเป็น คือความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ (วิภวตัณหา)
    ๓.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น หรือหมายถึง ภาวะของพระนิพพานนั่นเอง
    ๔.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ การเดินทางสายกลาง เพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือ มรรคมี ๘ ประการ คือ
    -ความเห็นชอบ เช่นความศรัทธาในเบื้องต้นต่อหลักธรรม คำสอน เช่นการเชื่อว่า กรรมดีกรรมชั่วมีจริงเป็นต้น (สัมมาทิฏฐิ)
    -ความดำริชอบ หรือความคิดชอบ มีความคิดที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการใช้ปัญญา พิจารณาความไม่เที่ยงของสังขาร หรือการไม่คิดอยากได้ของเขามาเป็นของเรา เป็นต้น (สัมมาสังกัปปะ)
    -เจรจาชอบ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเป็นต้น (สัมมาวาจา)
    -ทำการชอบ หรือการมีการกระทำที่ไม่ผิดหลักศีลธรรม เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ เป็นต้น (สัมมากัมมันตะ)
    -เลี้ยงชีพชอบ คือการทำมาหากินในทางที่ถูก ไม่เบียดเบียนหรือทำความเดือดร้อนให้กับสัตว์หรือผู้อื่น อยู่ในหลักธรรมที่กำหนด เช่น ไม่มีอาชีพค้ามนุษย์ หรืออาชีพค้าอาวุธเป็นต้น (สัมมาอาชีวะ)
    -ความเพียรชอบ คือการหมั่นทำนุบำรุงในสิ่งที่ถูกต้อง อาทิเช่นการพยายามละกิเลส ออกจากใจ หรือการพยายามสำรวม กาย วาจา ใจให้ดำเนินตามหลักธรรมของท่าน เป็นต้น (สัมมาวายามะ)
    -ความระลึกชอบ คือมีสติตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการพึงระลึกถึง ความตายที่ต้องเกิดกับทุกคนเป็นต้น (สัมมาสติ)
    -จิตตั้งมั่นชอบ คือมีจิตที่มีสมาธิ ไม่ว่อกแวกหรือคิดฟุ้งซ่าน และการทำสมาธิ ภาวนาตามหลักการที่ท่านได้บัญญัติแนะนำเอาไว้ (สัมมาสมาธิ)

    ๓๔.การทำให้แจ้งในพระนิพพาน
    นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง

    ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ

    ๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
    ๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่าง มากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้อง ปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด


    ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
    คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำบนโลกนี้ ซึ่งเราไม่ควรมีจิดหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านว่าลักษณะของโลกธรรม มี ๔ ประการคือ
    ๑.การได้ลาภ เมื่อมีลาภผลก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีแล้วก็ย่อมหมดไปได้ เป็นแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น
    ๒.การได้ยศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เป็นสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พอหมดยศก็หมดบารมี
    ๓.การได้รับการสรรเสริญ ที่ใดมีคนนิยมชมชอบ ที่นั่นก็ย่อมต้องมีคนเกลียดชังเป็นเรื่องธรรมดา การถูกนินทาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
    ๔.การได้รับความสุข ที่ใดมีสุขที่นั่นก็จะมีทุกข์ด้วย มีความสุขแล้วก็อย่าหลงระเริงไปจนลืมนึกถึงความทุกข์ที่แฝงมาด้วย

    การทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม มีวิธีดังนี้คือ
    ๑.ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พิจารณาอยู่เนืองๆถึงหลักธรรมต่างๆ
    ๒.เจริญสมาธิภาวนา ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก และสังขาร

    ๓๖.มีจิตไม่โศกเศร้า
    ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการที่ทำให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ
    ๑.ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองด้วย
    ๒.ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่

    การทำให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำดังนี้
    ๑.ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และร่างกายของเรา
    ๒.ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืน ในคนหรือสิ่งของว่าเป็นของเรา
    ๓.ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น
    ๔.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น

    ๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส
    กิเลส ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ท่านได้แบ่งประเภทของกิเลสออกเป็นดังนี้ คือ
    ๑.ราคะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
    -ความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา เช่นการลักขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น(อภิชฌาวิสมโลภะ)
    -ความเพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัว มีใจอยากได้ของคนอื่นแต่ยังไม่ถึงกับแสดงออก (อภิชฌา)
    -ความอยากได้ในทางไม่ชอบ เช่นการยอมรับสินบน การทุจริตเพื่อแลกกับการมีทรัพย์เป็นต้น (ปาปิจฉา)
    -ความมักมากเห็นแก่ได้ ด้วยการเอามาเป็นของตนจนเกินพอดี เอาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น (มหิจฉา)
    -ความยินดีในกาม ก็คือยังไม่สามารถละกิจกรรมทางเพศได้ ยังมีความรู้สึก มีแรงกระตุ้นมีความพอใจในเรื่องเพศ (กามระคะ)
    -ความยินดีในรูปธรรมอันปราณีต ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาณ ปรารถนาในรูปของภพเมื่อทำสมาธิขั้นสูงขึ้นไป (รูปราคะ)
    -ความยินดีในอรูปฌาณ ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณเมื่อทำสมาธิถึงภพของอรูปพรหม (อรูปราคะ)
    ๒.โทสะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
    -พยาบาท คือการผูกใจอาฆาต มีใจที่ไม่หวังดี การจองเวร
    -โทสะ คือการคิดประทุษร้าย เนื่องด้วยมีใจพยาบาทแล้วก็มีใจคิดหมายทำร้าย
    -โกธะ คือความโกรธ ความเดือดร้อนใจ ซึ่งล้วนเป็นเหมือนไฟที่เผาตัวเอง
    -ปฏิฆะ คือความขัดใจ ความไม่พอใจอันทำให้อารมณ์หงุดหงิด
    ๓.โมหะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น
    -ความเห็นผิดเป็นชอบ เช่นการไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญเป็นต้น (มิจฉาทิฐิ)
    -ความหลงผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง (โมหะ)
    -การเห็นว่ามีตัวตน เช่นการเชื่อในสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น (สังกายทิฏฐิ)
    -ความสงสัย คือสงสัยในพระธรรม คำสั่งสอนในเรื่องการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์(วิจิกิจฉา)
    -การยึดถืออย่างงมงาย เช่นการไปกราบไหว้สัมพเวสีที่อยู่ตามต้นไม้ ขอลาภเป็นต้น(สีลัพพตปรามาส)
    -ความถือตัว คือการสำคัญตัวเองผิดว่าเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ (มานะ)
    -ความฟุ้งซ่าน คือการที่จิตใจว่อกแวก คิดไม่เป็นสาระ ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีสมาธิหรือการทำสมาธิไม่นิ่ง (อุทธัจจะ)
    -ความไม่รู้จริง คือการที่รู้แค่ผิวเผิน หรือการทึกทักเอาเอง ไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรมยังไม่เกิดปัญญา (อวิชชา)

    โทษของการมีกิเลสดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้สั้นๆ ดังนี้คือ
    ๑.ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า
    ๒.โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว
    ๓.โมหะ มีโทษมาก แต่คลายช้า

    ๓๘.มีจิตเกษม
    เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข มีจิดเกษมก็คือว่ามีจิตที่เป็นสุขในที่นี้หมายถึงการละแล้วซึ่งกิเลส ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ ๔ ประการคือ
    ๑.การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณซึ่งประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
    ๒.การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ หรือคงอยู่ตลอดไป
    ๓.การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ โดยให้ดำเนินตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาแล้ว
    ๔.การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลายโดยให้มุ่01 อานิสงส์คาถาอุณหิสสวิชัย
    ในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่เหนือพระแท่นศิลาอาสน์ภายใต้ต้นปาริกชาติ ณ ดาวดึงสพิภพ ตรัสพระสัทธรรม เทศนา อภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา ในกาลครั้งหนึ่งนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่ง นามว่าสุปติฏฐิตา ได้เสวยทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ก็อีก 7 วัน จะสิ้นบุญจุติจากดาวดึงส์ ลงไปอุบัติในนรกเสวยทุขเวทนาอยู่ตลอดแสนปี ครั้นสิ้นกรรมในนรกนั้นแล้วก็จะไปบังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน 7 จำพวก เสวย วิบากกรรมอยู่ 500 ชาติ ทุก ๆ จำพวก

    ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า อากาสจารินี ซึ่งเป็นผู้รู้ บุรพกรรมของสุปติฏฐิตาเทพบุตร อาศัยความคุ้นเคย
    สนิทสนมกลมเกลียวกันตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ เคยได้รักษาอุโบสถศีลด้วยกันในอดีตชาติล่วงมาแล้ว มองเห็นอกุศลกรรมตามทัน จะสนองผลแก่สหายของตนก็มีจิตปรานีใคร่จะอนุเคราะห์ จึงเข้าไปสู่สำนักของสุปติฏฐิตาเทพบุตร แล้วก็บอกเหตุที่จะสิ้นอายุภายในอันเร็ว ๆ นี้ ตลอดทั้งที่จะไปเกิดในนรก ครั้งพ้นจากนรกแล้ว จะต้องไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานให้ทราบสิ้นทุกประการ ฝ่ายสุปติฏฐิตาเทพบุตร ได้ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว คิดปริวิตก บุพพนิมิต 4 ประการ คือดอกไม้ทิพย์ร่วงโรย ประการหนึ่ง สรีระ ร่างกายมัวหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง ผ้าทิพย์ภูษา เครื่องทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง ครั้งทรงผ้าสไบเข้าก็ร้อนกระวนกระวายไปประการหนึ่งบุพพนิมิตเหล่านี้ก็ปรากฏแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร บุพพนิมิต 4 ประการนี้
    ปรากฏแก่เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดแล้ว เทพบุตรธิดาองค์นั้น จะต้องจุติจากเทวโลกอย่างแน่นอน

    เมื่อ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ทราบชัดเจนเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่นิ่งนอนใจใคร่จะหาเครื่องป้องกัน จึงเข้าไปสู่สำนักท้าวอเมรินทราธิราชเจ้า ถวายอภิวาทแล้วกราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ แล้วทูลอ้อนวอนขอชีวิตในสำนักอมรินทร์ โดยอเนกปริยายท้าวเธอตรัสตอบว่า ชื่อว่าความตายนี้เราเห็นผู้ใหญ่ในสรวงสวรรค์ ก็ไม่อาจห้ามบุพพกรรมอันมีกรรมแรงนี้ได้ เราเห็นอยู่แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั่ว 3 ภพ พระองค์เสด็จประทับอยู่ใต้ต้นปาริกชาติ มาเราจะพาเข้าเฝ้ากราบทูลอาราธนา ให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ถือเครื่องสักการบูชาตามเสด็จท้าวอมรินทราธิราช เข้าสำนักพระมหามุนีนาถพระศาสดาจารย์แล้ว กราบทูลเหตุการณ์เหล่านั้น ให้พระองค์ทรงทราบโดยสิ้นเชิง แล้วพระองค์ทรงแสดงบุพพกรรมของ สุปติฏฐิตาเทพบุตร องค์นี้เกิดเป็นมนุษย์มีความเห็นผิด เป็นผู้ประมาทตั้งอยู่ในมิจฉาทิฏฐิเป็นพรานฆ่าเนื้อเบื่อปลาเป็นผู้มีใจแข็งกระด้าง ตบตีบิดามารดาต่อสมณชีพราหมณ์ ไม่ลุกรับนิมนต์ให้อาสนะที่นั่งภิกษุสงฆ์ผู้เข้าไปสู่สำนัก แม้เห็นแล้วก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย ด้วยวิบากผลอกุศลกรรมอันนี้ตามทันเข้า สุปติฏฐิตาเทพบุตรจึงได้ไปเกิดในนรกตลอดแสนปี ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาก็จะไปกำเนิดแห่งสัตว์ 7 จำพวก คือเป็นแร้ง เป็นรุ้ง เป็นกา เป็นเต่า เป็นหนู เป็นสุนัข และเป็นคนหูหนวกตาบอดอย่างละ 500 ชาติ ด้วยอำนาจอกุศลกรรมนั้นแหละ ขอมหาบพิตรจงทราบด้วยประการฉะนี้

    เมื่อท้าวอมรินทร์ทรงทราบแล้ว ก็มีความเมตตาสงสารแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร ยิ่งนัก จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงแสดงพระสัจธรรมเทศนาอันจะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ช่วยชีวิตเทพบุตรองค์นี้ไว้ไม่ให้ตายลงภายใน 7 วันนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเทศนาคาถาอุณหิสสวิชัย มีใจความดังต่อไปนี้
    อตฺถิ อุณฺหิสฺสวิชโย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร สพฺพสตฺตหิตตฺถาย ตํ ตฺวํ คณฺหาหิ เทวเต ปริวชฺ เช ราชทณฺเฑ อมนุสฺเสหิ ปาวเก พยคฺเฆ นาเค วิเสภูเต อกาลเรเณน วา สพฺพสฺมา มรณา มุตฺโต ฐเปตุวา กาลมาริตํ ตสฺเสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทาสุทฺธสีลํ สมทาย ธมฺมํ สุจริตํ จเร ตสฺ เสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทา ลิกฺขิตตํ ปูชํ ธารณํ วาจนํ ครุ ปเรสํ สุตฺวา ตสฺส อายุปวฑฺฒตี ติ ฯ
    เทวเต ดูกรเทวดาทั้งหลาย พระธรรมนี้ชื่อว่าอุณหิสสวิชัย เป็นยอดแห่งพระธรรมทั้งหลายเป็น ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งมวล ท่านจงเอาพระธรรมนี้เป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ ย่อมห้าม เสียซึ่งภัยทั้งปวง อันจะเกิดขึ้นจากผีปิศาจหมู่พยัคฆะงูใหญ่น้อย และพญาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายจะไม่ตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวันก็ดี จะมีอายุยืน เทวเต ดูกรเทวดา ทั้งหลายท่านจงมีความสุขเถิด
    อนึ่งบุคคลผู้ใดบูชาแก้วทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นยาอันอุดม ย่อมคุ้มครองผู้นั้นให้พ้นจากทุกข์ภัยพยาธิทั้งปวง ด้วยอำนาจพระอุณหิสสวิชัยนี้ จะรักษาคุ้มครองให้ชีวิตของท่านเจริญสืบต่อไป ท่านจงรักษาไว้ให้มั่นอย่าให้ขาดเถิด เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง เทวดาทั้งหลายมีท้าวอมรินทร์เป็นประธานได้ดื่มรสแห่งพระสัทธรรมเป็นอันมาก ฝ่าย สุปติฏฐิตาเทพบุตร มีจิตน้อมไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนานั้น ได้กลับอัตตภาพใหม่ คือ มีกายอันผ่องใส เป็นเทวบุตร
    หนุ่มคืนมาแล้วจะมีอายุยืนตลอดไปถึงพระพุทธพระนามว่า ศรีอริยเมตไตรยลงมาตรัสจึงจะจุติจากเทวโลกลงมาสู่มนุษย์โลก เป็นพระอรหันตขีณาสวะองค์หนึ่ง ดังนั้นขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงสำเนียกไว้ในใจแล้วประพฤติปฏิบัติในพระคาถา อุณหิสสวิชัย ก็จะสมมโนมัยตามความปรารถนาทุกประการ
    ปฏิบัติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ธันวาคม 2010
  3. yes2

    yes2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +400
    ขอรับ1แผ่น
    พัชมณฑ์ รุ่งเกียรติธีรติ
    บ.อเมริกันเอกเพรส จก.(มหาชน)388 อ.เอสพี ชั้น10 CRU สามเสนใน พญาไท กทม.10400
     
  4. law23

    law23 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +436
    ขอรับซีดีรวมธรรมหลวงพ่อ
    พิทักษ์ โพธิทุน 289/41 ถ.หลานหลวง14 แขวง-เขตดุสิต กทม.10300
     
  5. king938

    king938 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +1,103
    ขอกราบอนุโมทนาบุญครับ ความกตัญญูต่อบิดา มารดาจะนำมาซึ่งความเจริญครับ
    ขอรับ DVD รวมธรรมหลวงพ่อครับ

    ธวัช เต็มฤกษ์ขจร
    191/129 ม.สหกรณ์ไทยออยล์
    ม.3 ถ.สาย 9 กิโล ต.สุรศักดิ์
    อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20110 ​






    <TABLE dir=ltr border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=720><TBODY><TR><TD height=20 colSpan=10>





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  6. PeacE123

    PeacE123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,179
    ค่าพลัง:
    +2,485
    อนุโมทนาครับ

    ขอรับด้วยครับ

    ศตพล ตันบุญเพิ่ม
    14 ม.วัฒนานิเวศน์ ซ.1(ซ.สบายใจ7)
    ถ.สุทธิสาร แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
    กทม 10302
     
  7. โศ

    โศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +301
    ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ ขอรับ 1 แผ่นค่ะ
    กรุณาส่ง
    โศรจิรัตน์ ทองไสว
    263/7 ม.9 ซ.ประดู่ ถ.ริมคลองประปาฝั่งซ้าย บางซื่อ จ.กรุงเทพฯ 10800
     
  8. itou

    itou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +1,196
    สาธุ ขออนุโมทนา ขอรับด้วยครับ

    กรุณาส่ง
    พชร นทีทวีศักดิ์
    46/274 ถ.นิพัทธ์สงเคราะห์ 3
    อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
    90110

    ขอบคุณครับ
     
  9. techapunyo

    techapunyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +1,730
    อนุโมทนา
    วิชัย ราชพลี
    161 หมู่ 6 ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง 92170
    ขอบคุณครับ
     
  10. จิตพุทธ

    จิตพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    763
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ส่งมาที่
    นายประเทือง อ้วนเปี้ย
    เลขที่6 ซ.ปรีดีพนมยงค์21 สุขุมวิท71
    พระโขนงเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110

    ขอบคุณครับ
     
  11. สามิตร์ บุญประเสริฐ

    สามิตร์ บุญประเสริฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +274
    ขออนุโมทนา 1 ชุด
    ส่งนายสามิตร์ บุญประเสริฐ
    106/24 ม.3
    ต.บ้านครัว อ.บ้านหมอ
    จ.สระบุรี 18270
     
  12. Loogkai

    Loogkai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +317
    ขออนุโมทนาบุญ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ (ขอให้มีความสุขตลอดไปนะครับ)
    กรุณาส่ง...นายภานุวัฒน์ สิงห์สลุด โรงเรียนวัดบ้านพังน้อย
    หมู่ 4 ตำบลท่าเสา อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร (66130)
     
  13. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    อนุโมทนาสาธุครับ
    นายสุริยา ศรีทองคำ<O:p
    29/7-8 ม.3 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000<O:p
     
  14. กลด

    กลด สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +4
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
    กรุณาส่ง นายกลด จันทร์ทองอ่อน 968 มบ.เสนาวิลล่า84 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ
    กทม 10240
     
  15. ohm0444

    ohm0444 นิพพานปัจจุบัน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    501
    ค่าพลัง:
    +1,298
    นายโอมกฤษณ์ ลิ้มฉุ้น
    62/246 ม.2 ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี 84000
     
  16. gentoo

    gentoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +1,161
    ขออนุโมทนา 1 ชุด

    นายทรงพล กายบริบูรณ์
    88/310 หมู่บ้านเฟื่องฟ้าโครงการ 12 ม.8
    ต.เทพารักษ์ อ.เมืองจ.สมุทรปราการ 10270
     
  17. สุทธิมา

    สุทธิมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +2,118
    ขอรับ 1 แผ่นค่ะ
    สุทธิมา เพชรษา
    เลขที่ 31 หมู่ที่ 3 ต.หนองขอนกว้าง
    อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
     
  18. krittaphat

    krittaphat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +81
    ขอรับ 1 ชุด ครับ
    กฤตภัทร์ แก้วไชยยา 6 ถนนทิพยเนตร ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100
     
  19. dlna

    dlna สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +22
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ขอรับ 1 ชุดครับ
    อมรเทพ สารีบท
    49 ม.5 ต. มิตรภาพ อ. มวกเหล็ก จ. สระบุรี
    18180
     
  20. chattirak

    chattirak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +152
    อนุโมทนา

    อนุโมทนาด้วยครับ
    ธีรเดช โชติ
    382 สมบุญ 1 จรัญสนิทวงศ์ 3 ท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพ 10600
     

แชร์หน้านี้

Loading...