เสียดายจะเพื้ยนตายถ้าไม่ได้อ่าน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มีแปปเดียว, 3 กันยายน 2010.

  1. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ไปคัดมาให้อ่าน อ่านแล้วโปรดพิจารณาถ้าไม่ชอบใจกราบขออภัยทุกๆท่านมาณที่นี้
    นิมิตและภวังค์ เป็นสิ่งที่มักเกิดควบคู่หรือมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันในการปฏิบัติพระกรรมฐาน จนกล่าวได้ว่านิมิตและภวังค์เป็นส่วนหนึ่งของฌานสมาธินั่นเอง จึงนำมาเขียนไว้ในเรื่องเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาค้นคว้า
    จุดประสงค์คือเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องดีงามเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมเป็นสำคัญ เพราะเป็นทางที่จำเป็นต้องผ่านในที่สุด เพื่อจะได้ไม่เกิดความหลงผิด หรือไปติดเพลิน หรือถูกชักจูงจิต หรือถูกโน้มน้าวจิต หรือถูกหลอกลวงด้วยมายาของจิต ให้หลงทางเสียด้วยอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริง และที่สภาวะของภวังค์ดังที่จะกล่าวต่อไปนั้น เป็นสภาวะจิต ที่จะถูกชักจูงหรือถูกครอบงำให้มีทิฏฐิคือความคิดความเห็นให้เป็นไปอย่างใดๆนั้น เป็นไปอย่างง่ายดายและแน่นแฟ้นเป็นที่สุด
    นิมิต มีความหมายได้หลายประการ เช่นหมายถึง อาการเชิญชวนให้เขาถวาย, เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนด ในการเจริญกรรมฐาน, ภาพหรือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน แต่ในที่นี้จะเน้นกล่าวถึง นิมิต อันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ กรรมฐาน คือ สิ่งที่ปรากฎหรือแสดงขึ้นเฉพาะตน ให้รับรู้ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้นเมื่อได้กล่าวถึงเรื่องฌาน,สมาธิไปโดยละเอียดแล้ว จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงนิมิต อันมักจะเป็นผลข้างเคียงหรือเครื่องเคียงที่มักเกิดร่วมด้วยเสมอๆ และจัดได้ว่าเป็นบ่วงมารอันหนึ่ง กล่าวคือถ้าไปอยากหรือไปยึดด้วยเหตุผลกลใดก็ตามทีในนิมิต ก็จัดว่าเป็นบ่วงมารทันที ซึ่งจักผูกมัดสัตว์ไว้ไม่ให้เห็นธรรม กล่าวคือ เกิดวิปัสสนูปกิเลส จัดอยู่ทั้งในข้อโอภาส,ญาณและอธิโมกข์ฯ. ซึ่งเมื่อเกิดกับผู้ใดแล้วก็จะน้อมเชื่อ,น้อมใจอยากด้วยอธิโมกข์จนถอดถอนไม่ออก แม้อธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมฟังไม่ยอมเชื่อ เพราะตัวตนเองเป็นผู้เห็น, ผู้ทำให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง จึงน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอัตตา ต้องให้เกิดปัญญาพิจารณาเห็นด้วยตนเอง จึงจะสามารถถอดถอนความเชื่อความคิดเห็นผิดในนิมิตได้ดี จึงจำเป็นต้องกล่าวเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจกันไว้บ้าง เพราะจำเป็นต้องผ่านคือเกิดขึ้นในที่สุดนั่นเอง
    นิมิตอันเกิดแต่การปฏิบัติพระกรรมฐาน ผู้เขียนขอจำแนกแตกธรรมออกเป็นไปใน ๓ ลักษณะใหญ่ ที่มักเกิดขึ้นทั่วไปเสมอๆ ในการปฏิบัติ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันในผู้ที่มีความชำนาญ มีดังนี้
    รูปนิมิต หมายถึง การเห็น ภาพ อันปรากฏขึ้นเฉพาะแก่ผู้ปฏิบัตินั้นๆ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ เช่น การเห็นภาพอดีต อนาคต หรือเห็นภาพในสิ่งที่อยากเห็น เช่น เทวดา ผี นรก สวรรค์ วิมาน พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ แม้แต่พระพุทธเจ้า หรือโอภาสการเห็นเป็นแสง,สีต่างๆอันล้วนน่าพิศวงชวนให้ตื่นตาเร้าใจ จึงมักอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างงมงายด้วยอวิชชาอันมีมาแต่การเกิดเป็นธรรมดา หรือการเห็นภาพที่ปรากฏเฉพาะขึ้นของนักปฏิบัติในสิ่งที่กำหนดเป็นอารมณ์, กสิณ หรือบริกรรมจากการปฏิบัติภาวนา
    เสียงนิมิต การได้ยินเป็นเสียง อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นเหตุหรือเป็นสำคัญ เช่น เป็นเสียงเตือนระวังอะไรๆ เสียงสั่งสอน เสียงเทพ เสียงผีเสียงปีศาจ เสียงระฆัง เสียงกลอง เสียงสวดมนต์ เสียงพูดต่างๆ เสียงคนพูดบอกกล่าวต่างๆ แม้แต่เสียงในใจจากผู้ที่พบปะ ฯ. แล้วย่อมน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอธิโมกข์ เพราะอวิชชาเป็นเหตุ
    นามนิมิต เป็นความคิดหรือความรู้ที่ผุดแสดงแวบปิ๊งขึ้นในใจ อันมักเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติที่ไปพัวพัน แต่มิได้เกิดแต่ปัญญาไปเห็นความจริง เช่น เกิดความคิดความเข้าใจในเรื่องราวที่หมกมุ่นพิจารณา หรือศึกษา หรืออยากรู้ หรือเป็นความรู้ในธรรมต่างๆนาๆที่พิจารณา ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้ แต่มักจะผิดถ้าไม่ได้เกิดแต่การพิจารณาโดยปัญญา อย่างถูกต้อง และเมื่อบังเอิญเกิดถูกต้องขึ้นบ้าง ก็กลับเป็นบ่อเกิดของอธิโมกข์อย่างแรงกล้า
    นิมิตเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในภาวะของภวังคจิตที่จะกล่าวในลำดับต่อไป จิตจึงเกิดการอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างรุนแรงแต่เป็นไปอย่างผิดๆหรือขาดเหตุผล จึงยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสในข้อญาณ คือมิจฉาญาณ คือไปยึดไปเข้าใจว่าความเข้าใจเหล่านั้นเป็นไปอย่างถูกต้องแน่นแฟ้นด้วยอธิโมกข์เป็นเครื่องหนุน
    บางครั้งยังเกิดนิมิตทางจมูกก็ยังมี คือ ได้กลิ่นอันเกิดแต่ใจตนเป็นเหตุ ก็ยังมีได้ ฯ.
    อนึ่งเป็นสิ่งที่น่ารู้ไว้อย่างยิ่งว่า นิมิต นั้นเมื่อปฏิบัติไปแล้วจนเกิดการสั่งสม ความชำนาญขึ้น บางครั้งนิมิตก็เกิดขึ้นในวิถีจิตหรือวิถีชีวิตปกติได้เช่นกัน กล่าวคือเมื่อเคยเกิดนิมิตขึ้นในขณะปฏิบัติแล้ว ซึ่งแรกๆก็มักเกิดขึ้นจากการปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง แล้วเกิดนิมิตขึ้น จนเกิดนิมิตต่างๆชำนาญขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อสั่งสมได้ระยะหนึ่งจนเกิดความชำนาญจึงอาจเกิดนิมิตได้แม้ในยามวิถีจิต(วิถีชีวิตที่มีการรับรู้ตามปกติ)นี่เองเมื่อน้อมนำหรือถูกกระตุ้นเร้าขึ้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี และมักเข้าใจกันไปว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงพาให้ทั้งตนเองและผู้อื่นพากันไปหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำในสิ่งที่เห็น,ที่เข้าใจไปนั้นๆ ด้วยอวิชชานั้นแล
    นิมิต
    นิมิต นั้นก็เช่นสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือดีแท้ๆก็ไม่มี ชั่วแท้ๆก็ไม่ใช่ จึงมีทั้งดีและชั่ว ถูกหรือผิด ขึ้นกับผู้ใช้หรือนักปฏิบัตินั่นเอง ล้วนเป็นไปตามหลักมัชฌิมาหรือทางสายกลาง กล่าวคือ มิใช่ตรงกลาง แต่ไม่สุดโต่งไปทางดีทางชั่วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว นิมิตก็เช่นกัน
    นิมิตที่ดีนั้น หมายถึงนิมิตที่เกิดขึ้นแล้วทำให้นักปฏิบัติเกิดปัญญา คือเกิดนิพพิทาญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดความอยากจากปัญญาที่ไปรู้ความจริงชัดเจนจากการปรากฎหรือแสดงขึ้นสอนของนิมิตอย่างแจ่มชัดจนน้อมเชื่อหรือเข้าใจ ดังเช่น การปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยพิจารณาอสุภ(อสุภกรรมฐาน) กล่าวคือเอาภาพอสุภหรือซากศพเป็นกสิณหรืออารมณ์ แล้วเกิดนิมิตเห็นภาพปรากฏขึ้นของอสุภซากศพในลักษณะต่างๆแสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งน่าสังเวช น่ารังเกียจด้วยปฏิกูล ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ฯ. ทั้งในร่างกายจะแม้ของตนหรือผู้อื่นก็ตามที จนเกิดความหน่ายจากปัญญา จึงคลายกำหนัดในราคะ อย่างนี้ ก็พึงถือว่าเป็นนิมิตที่ทำหน้าที่อันดีงามในการปฏิบัติ
    ส่วนนิมิตที่จัดว่าเป็นโทษนั้นหมายถึง นิมิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นบ่วงมารอันยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสในข้อโอภาสหรือญาณหรืออธิโมกข์ ฯ. กล่าวคือทำให้นักปฏิบัติเกิดโมหะ เกิดความติดเพลิน เพลิดเพลิน (นันทิ-ตัณหา)อันเนื่องมาจากโมหะความหลงด้วยอวิชชา เช่นว่า เพลิดเพลินไปปรุงแต่ง เห็นผิดว่าเป็นฤทธิ์เป็นเดช เป็นปาฏิหาริย์ เหนือกว่าผู้อื่น มีฤทธิ์ในการเห็นอดีต เห็นอนาคต หรือเพื่อหวังลาภยศสรรเสริญศรัทธา กล่าวคือก็เพื่อประโยชน์ทางโลกหรือโลกิยะ ฯลฯ. จึงเกิดการไปยึดติด ยึดหลง จนติดเพลินซึ่งมีองค์ประกอบด้วย ความไม่รู้ตามความเป็นจริง และความไม่รู้ตัว และสิ่งที่เห็น(รูปนิมิต)หรือเข้าใจ(นามนิมิต)หรือได้ยิน(เสียงนิมิต)นั้นมักไม่ถูกต้อง เนื่องจากความคิดเห็น(สัญญา)และความไม่เป็นกลางที่แอบแฝงนอนเนื่องโดยไม่รู้ตัวหรือตัณหาอุปาทาน จึงทำให้การเห็นเหล่านั้นอันเนื่องจากฌานสมาธินั้นเสื่อมไปในที่สุด เพราะการเห็นได้อย่างถูกต้องนั้นต้องประกอบด้วยความเป็นอริยะ คือต้องอาศัยญาณ และ อุเบกขาความเป็นกลาง เป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย
    ก่อนอื่นผู้เขียนขอยกคำสอนของเหล่าพระอริยเจ้าที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับนิมิตมาแสดง เพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ก่อนจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาให้เกิดปัญญาอย่างถูกต้องดีงาม เป็นกำลังเพื่อการถอดถอนความเชื่อความเข้าใจอย่างผิดๆในนิมิต ที่อาจไปยึดติดยึดหลงอยู่ด้วยความไม่รู้และโดยไม่รู้ตัว
    "นิมิต ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น(webmaster-คือภาพ,ความคิด ฯ. ที่เกิดขึ้นนั้น) ไม่จริง" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (อตุโลไม่มีใดเทียม น. ๔๕๔)
    Webmaster - ที่หลวงปู่กล่าวมีความหมายว่า นิมิตหรือภาพที่เขาผู้ปฏิบัติเห็นนั้น เขาเห็นอย่างนั้นจริงๆ อาจมิได้หลอกลวงหรือกล่าวเท็จแต่ประการใด เพียงแต่ว่า สิ่งที่เขาเห็นขึ้นนั้น มันอาจไม่เป็นจริง เป็นเพียงการเห็นหรือการเข้าใจอันเกิดขึ้นเฉพาะเขา อันมีสาเหตุเนื่องมาจากใจหรือสัญญาของเขาเองเป็นสำคัญ (อันมักเนื่องมาจากการปฏิบัติ หรือความกังวลหรือพัวพันใดๆก็ตามที จึงปรุงแต่งอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัวจนอาจเกิดนิมิตขึ้นก็ได้)
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t75 path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f" o:preferrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><v:path o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></v:path><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"></o:lock></v:shapetype><v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_4 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1028" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    บางอาจารย์เมื่อนิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว สอนให้ถือเอานิมิตนั้น เป็นขั้นเป็นชั้นของมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น เช่น นิมิตเห็นแสงเล็กเท่าแสงหิ่งห้อย ได้สำเร็จชั้นพระโสดาบัน, เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่าแสงดาว ได้สำเร็จชั้นพระสกทาคามี, เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระจันทร์ ได้สำเร็จชั้นพระอนาคามี, เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระอาทิตย์ ได้สำเร็จชั้นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น (webmaster - กล่าวคือ ไปยึดเอานิมิตนั้นเป็นจริงเป็นจัง ถือเป็นของวิเศษ เป็นขั้นมรรคขั้นผลไปเลย)
    ไปถือเอาแสงภายนอก ไม่ถือเอาใจของคนที่บริสุทธิ์มากน้อยเป็นเกณฑ์ ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนัก................นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรคโดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร........(หน้า๑๕-๑๖)
    (webmaster - เหตุที่ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค ก็เนื่องจากในภวังค์นั้นเคลิบเคลิ้ม ไม่สามารถใช้สติได้อย่างบริบูรณ์นั่นเอง มีคำอธิบายในภายหน้า)
    แท้ที่จริงนิมิตทั้งหลาย ดังที่อธิบายมาแล้วก็ดี หรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงไม่ใช่เป็นทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริงแล แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องได้ผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวม(หรือก็คือ)เข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนาเคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน เช่น อาฬารดาบส แล อุททกดาบส เป็นตัวอย่าง........(หน้า๑๗)
    เทสก์รังสีอนุสรณาลัย ; เรื่อง สิ้นโลก เหลือธรรม โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    <v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_5 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1027" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    "นิมิต เมื่ออธิบายมาถึง ฌาน สมาธิ ภวังค์ ดังนี้แล้ว จำเป็นจะลืมเสียไม่ได้ซึ่งรสชาติอันอร่อย คือ นิมิต ซึ่งเกิดขึ้นในระยะของสิ่งเหล่านั้น ผู้เจริญพระกรรมฐานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งแทบทุกคนก็ว่าได้ ความจริงนิมิตมิใช่ของจริงทีเดียวทั้งหมดนิมิตเป็นแต่นโยบาย(อุบายวิธี)ให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงก็มี ถ้าพิจารณานิมิตนั้นไม่ถูกก็เลยเขวไปก็มี ถ้าพิจารณาถูกก็ดี มีปัญญาเกิดขึ้น นิมิตที่เป็นของจริงคือนิมิตเป็นหมอดูไม่ต้องใช้วิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ก็มี นิมิตนั้นเมื่อจะเกิดก็เกิดเอง เป็นของแต่งเอาไม่ได้ ...........ฯลฯ."
    หลวงปู่เทส เทสก์รังสี (ส่องทางสมถวิปัสสนา)
    <v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_6 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1026" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    "ผู้ที่หลงติดในภาพนิมิต มีหัวรุนแรงกว่าความเห็นวิปลาส.....ฯลฯ"
    หลวงปู่เทส เทสก์รังสี (จาก โมกขุบายวิธี)
    ความเห็นวิปลาส ที่หลวงปู่เทส ได้กล่าวไว้นั้น หมายถึง ทิฏฐิวิปลาส ที่หมายความว่า ความเห็นความเข้าใจที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง ดังนี้
    <v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_7 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    และดังที่หลวงปู่เทส เทสรังสี ได้กล่าวแสดงดังข้างต้น นิมิตนั้นเมื่อจะเกิดก็เกิดเอง เป็นของแต่งเอาไม่ได้นั่นเอง ทั้งยังแล้วแต่วาสนาการสั่งสม ดังนั้นเมื่อนักปฏิบัติอยากเห็นคือตัณหา จึงพยายามน้อมนึกหรือบังคับให้เกิดนิมิต เพื่อให้เห็นโน่น เห็นนี่ เห็นอดีต เห็นอนาคต รู้นั่น รู้นี่ ฯ. เพื่อประโยชน์ไปในทางโลกๆหรือด้วยความเข้าใจผิด จึงเป็นการตกลงสู่ความผิดพลาดทันที เพราะย่อมมักแฝงไว้ด้วยสัญญา,ตัณหาต่างๆ ดังเช่น กิเลสตัณหาความอยากต่างๆนาๆที่นอนเนื่องอยู่ของผู้นั้นๆ ดังนั้นนิมิตหรือภาพหรือความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพยายามดังนี้ จึงมักไม่ถูกต้อง เพราะไม่บริสุทธิ์ ถูกบังคับขึ้นคือแอบแฝงด้วยกิเลสตัณหาอันแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่นั่นเอง มักแฝงซ่อนเร้นด้วยความอยากให้เกิดขึ้นหรือเป็นไปตามปรารถนาของตนเอง แลแม้กระทั่งของบุคคลอื่นที่มาเกี่ยวข้อง อีกด้วย หรือกล่าวได้ว่านิมิตที่เกิดขึ้นมานั้น ตัวตนหรือตัวกูของกูเป็นผู้ที่เห็นเอง จึงน้อมเชื่อ,น้อมไปเข้าใจ อย่างรุนแรงด้วยยังประกอบด้วยอวิชชาอยู่ ดังนั้นนิมิตที่ยึดติด ยึดเพลิน ด้วยความตื่นตา เร้าใจ ที่อาจเคยเกิดในตอนแรกๆบ้างเป็นครั้งคราวโดยไม่รู้ตัว อันอาจเคยเห็นและเป็นไปอย่างถูกต้องเนื่องจากภาวะไร้นิวรณ์อันมีความบริสุทธิ์พอสมควร และไร้การแอบแฝงปรุงแต่งโดยเจตนาจึงมีความเป็นกลางพอสมควร จึงเสื่อมหายไปในที่สุดเป็นธรรมดา
    นิมิต ในระยะแรกเกิดในขณะปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือฌานสมาธิ อันมักเกิดขึ้นในช่วงของภวังค์ จึงควรทำความรู้จักภวังค์หรือภวังคจิต ที่สามารถสร้างความรู้สึกอันบรรเจิดเป็นสุขและเคลิบเคลิ้มให้แก่นักปฏิบัติและผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจไว้บ้าง จึงจะได้ไม่พากันไปติดกับอยู่ในบ่วงมารของภวังค์และนิมิตอย่างอธิโมกข์คืออย่างงมงายขาดเหตุผลกัน
     
  2. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ภวังค์
    ภวังค์หรือภวังคจิต กล่าวคือ เป็นภาวะที่เรียกพื้นจิต ที่หมายถึง ภาวะที่จิตหยุดจากการรับรู้อารมณ์ กล่าวคือภาวะที่จิตหยุดการเสวยอารมณ์(เวทนา)จากภายนอก อันเนื่องมาจากทวารทั้ง ๖ (แต่จิตก็ยังพอมีสติที่แค่เพียงรับรู้แค่จิตภายในตน ดังเช่น รับรู้ในสัญญาความจำที่อาจผุดขึ้นมาได้เองโดยขาดเจตนาโดยตรง หรืออาจแทรกจรเข้ามาด้วยตั้งใจมั่นไว้)
    ส่วนภาวะจิต ที่จิตมีการรับรู้อารมณ์ภายนอกอันเกิดแต่ทวารทั้ง ๖ หรือในการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปนั่นเอง เรียกกันว่า " วิถีจิต " อันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของปุถุชนในชีวิต, สภาวะทั้ง ๒ นี้ จึงเกิดขึ้นในลักษณะที่เกิดดับสลับกันนั่นเอง กล่าวคือเมื่อไม่อยู่ในวิถีจิตเมื่อใด ก็เกิดภวังคจิตขึ้น เมื่อวิถีจิตเกิด ภวังคจิตก็ดับไป
    ภวังคจิต ที่เกิดในฌาน,สมาธิ แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ
    แบบแรก ภวังคบาต บาตที่แปลว่า ตก จึงหมายถึงการตกลงไปหรือการเข้าสู่ภวังค์นั่นเอง, ภวังคบาตเมื่อเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติสมถะนั้น อาจเป็นไปในลักษณะที่รู้สึก เคลิบเคลิ้มแล้ววูบๆวาบๆ เป็นๆหายๆ กล่าวคือรู้สึกเคลิบเคลิ้มแล้วรู้สึกวูบหรือเสียววูบดุจดั่งตกทิ้งดิ่ง คล้ายตกเหวหรือตกจากที่สูง จึงเรียกกันว่าตกภวังค์ตรงๆเลยก็มี มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดั่งสายฟ้า เป็นแบบเคลิบเคลิ้มไม่รู้สติ ไม่รู้ตัว ควบคุมไม่ได้ กล่าวคือถ้าบริกรรมหรือกำหนดจิตแน่วแน่อยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด(อารมณ์)ก็ตามที เช่นลมหายใจ หรือหรือพุทโธ หรืออยู่กับการพิจารณาธรรมใดๆ สิ่งหรืออารมณ์นั้นก็จะวูบหายไป และอาจประกอบด้วยความรู้สึกเสียววูบวาบ ราวกับว่าตกจากที่สูง วูบหวิวขึ้น อาจประกอบด้วยภาพนิมิตสั้นๆอันเกิดแต่จิตภายในเองขึ้นแทน มักเกิดขึ้นช่วงระยะสั้นๆ แล้วก็อาจมีสติกลับไปอยู่กับอารมณ์เดิมหรือคำบริกรรมเดิม อาจเกิดหลายๆครั้ง หรืออาจเคลิบเคลิ้มจนหลับไหลไปเลยด้วยความสบายอันเกิดจากอำนาจของภวังค์เอง ดังนั้นเมื่อเกิดภวังค์ดังนี้ขึ้นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่าไปตกใจหรือดีใจ อย่าไปปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ เป็นเรื่องของธรรมชาติธรรมดาในการปฏิบัติ อย่าไปปรุงแต่งฟุ้งซ่านหรือเชื่อเขาว่า เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นปาฏิหาริย์ เป็นฤทธิ์ เป็นเดช และยังมักไปเข้าใจผิด หรือสอนกันผิดๆอีกด้วยว่า จิตหรือวิญญาณกำลังจะออกไปจากร่างดังเจตภูตก็ยังมี ฯ. ขอให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นเพียงการแสดงว่า จิตเริ่มเป็นสมาธิในระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วจึงเกิดภวังค์ขึ้น เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาในขั้นตอนของการปฏิบัติฌานสมาธิด้วยจุดประสงค์ไปในการเป็นเครื่องหนุนการเจริญวิปัสสนา, อาการที่เกิดขึ้นนั้น เกิดแต่จิตหยุดการรับรู้การเสวยอารมณ์ภายนอกจากทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจในขณะจิตนั้นๆ รับรู้อยู่ก็แต่เพียงจากจิตภายใน(สัญญา)บ้างเท่านั้น เรียกภวังค์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วดังอสุนีบาตหรือสายฟ้าฟาดนี้ว่า ภวังคบาต กล่าวคือเกิดอาการลงภวังค์คือตกวูบลงไปอย่างรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด แล้วอาจมีสติวาบหรือแว๊บกลับมาอย่างรวดเร็วก็ได้เช่นกัน จึงเกิดอาการวูบวาบ ดั่งกายทิ้งดิ่งลงจากที่สูง หรือลงเหว จึงรู้สึกดังที่กล่าว
    ที่ภวังคบาตนี้นี่เอง จึงมีการไปเข้าใจกันว่าเป็นลักษณะของเจตภูต หรือกายทิพย์หรือวิญญาณ กำลังชักคะเย่อกันเพื่อจะออกจากร่างหรือกายหยาบเสียก็มีจึงได้รู้สึกวูบวาบดังนั้น จนตกใจกลัวก็มี จึงเป็นที่วิตกกังวลจนไม่กล้าปฏิบัติก็มี และเป็นที่วิพากวิจารณ์เล่าขานปรุงแต่งกัน จนเป็นตำนานสืบต่อมาต่างๆกันไปตามความเชื่อความเข้าใจอันเป็นมิจฉาทิฏฐินั้นๆของนักปฏิบัติ
    แบบที่ ๒ ภวังคจลนะ จลนะ มาจากคำว่าจลน์ที่แปลว่า เคลื่อนที่,เคลื่อนไหว ภวังคจลนะจึงเป็นภาวะที่ลงภวังค์ไปอย่างบริบูรณ์ ไม่มีสติกลับคืนมา จึงไม่รู้สึกวูบแล้ววาบหรือแว๊บกลับมาดังภวังคบาตข้างต้น ดังนั้นจิตจึงหยุดการรับรู้อารมณ์จากทวารทั้ง ๖ ตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติของภวังค์เอง ด้วยเหตุนี้ดังนั้นในระยะแรกๆหรือบางครั้งอาจมีอาการของความรู้สึกราวกับว่ามือ,เท้าหรือองคาพยัพบางส่วนได้เลือนหรือหายไปก็มี, ที่ภวังคจลนะนี้นี่เอง ที่แม้หยุดการรับรู้จากทวารทั้ง ๖ ดังกล่าวแล้วก็ตามแต่จิตก็ยังมีการเคลื่อนไหว(จลน์) กล่าวคือ จิตยังมีการไหลเลื่อนท่องเที่ยวเตลิดเปิดเปิง หรือเพลิดเพลินไปในอารมณ์ภายในหรือจิตภายในของตนหรือก็คือส่วนหนึ่งของสัญญาตนคือซ่านอยู่ในภาวะของภวังค์เอง และไม่มีอาการสติ วาบแว๊บกลับมาดังภวังคบาตข้างต้น จริงๆแล้วจึงขาดสติต่ออารมณ์ภายนอก กล่าวคือ มีสติก็แค่เพียงรู้อยู่แต่จิตภายในหรือภวังค์ของตนเท่านั้น จึงขาดสัมปชัญญะ จึงไร้ที่ยึด, ไร้ที่หมายในอารมณ์ภายนอกโดยตรง ก็เพราะขาดการเสวยอารมณ์หรือความรู้สึกรับรู้จากภายนอกอันเกิดแต่ทวารทั้ง ๖ เหลืออยู่แต่การรับรู้อารมณ์ที่เกิดแต่จิตภายในของตนแต่ฝ่ายเดียว จึงค่อนข้างบริสุทธิ์ แต่เมื่อขาดสติอันเนื่องกับปัญญาจึงย่อมไร้การควบคุม จึงเคลื่อนไหวหรือไหลเลื่อนล่องลอยไปตามกำลังหรือสัญญาของจิตตนเอง ในสภาวะของภวังค์เองก็มีอาการสุข สบาย เคลิบเคลิ้ม เพราะการขาดจากการรบกวนแทรกซ้อนของอารมณ์จากภายนอกจึงรวมถึงกิเลส(นิวรณูปกิเลส)อันก่อความขุ่นมัวต่างๆจากภายนอกทั้งปวง คือเหล่ากิเลสในนิวรณ์ทั้ง ๕ จึงระงับไปในระยะนั้นทั้งหมด ดังนั้นสติอันเป็นอาการหนึ่งของจิต(เจตสิก)ที่เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง จึงค่อนข้างบริสุทธิ์ในภาวะนี้ แต่ก็ทำให้เปราะบางและอ่อนไหวเป็นที่สุดเช่นกัน เนื่องจากขาดสติในสิ่งอื่นๆ คือขาดสัมปชัญญะที่เป็นเกราะป้องกันภัย จึงอาจไปไวต่อการรับรู้จากภายนอกที่อาจเกิดการแทรกซ้อนหรือแวบหลุดเข้าไปได้บ้าง หรืออาจเกิดขึ้นแต่ความคิดที่เกิดแต่จิตภายใน(จิตตน)ที่ผุดขึ้นมาเองจากสัญญาบ้าง ในภาวะเช่นนี้นี่เอง ที่เกิดนิมิตและโอภาสได้ต่างๆนาๆขึ้นได้อย่างชัดเจนเป็นที่สุด เพราะจิตทำกิจอยู่แต่ในสิ่งๆเดียวเท่านั้น ไม่ได้แบ่งแยกไปหน้าที่ในอายตนะหรือทวารใดๆอีกเลยก็เนื่องจากขาดหยุดการรับรู้ทางอายตนะหรือทวารทั้ง ๖ ดังกล่าว, จึงมักเห็นเป็นไปต่างๆอย่างชัดเจนตามสิ่งที่หลุดแทรกซ้อนเข้าไป หรือจากจิตภายในที่ผุดขึ้นมานั่นเอง ภาวะของภวังค์ที่เป็นแบบนี้เรียกว่า ภวังคจลนะ คือ ภวังค์ที่มีการเคลื่อนไหวไหลเลื่อนท่องเที่ยวหรือซ่านไปในอารมณ์ที่เกิดแต่ภายในของตนเป็นสำคัญ
    ในสภาวะนี้นี่เอง ถ้าการปฏิบัติไม่ถูกต้องดีงาม ไปในทางมีปัญญาหรือวิปัสสนา คือ ไม่มีการตั้งสติพิจารณาธรรม หรือบริกรรมก่อสติโดยการวิตกวิจารหรือสมาธิไว้เป็นแนวทางอันถูกต้องดีงามแต่เบื้องต้นเสียก่อนแล้ว หรือมีผู้สอนชี้แนวที่นักปฏิบัติอธิโมกข์คอยจูงจิตหรือป้อนความคิดไปผิดทางด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริง(อวิชชา)ให้เห็นหรือคิดหรือเพ่งในสิ่งใด จิตก็จะถูกชักจูงเลื่อนไหลให้เกิดเห็นนิมิตนั้นๆขึ้น หรือเกิดความเข้าใจ(นามนิมิต)ต่างๆไปตามนั้น, จึงเกิดการเห็น ,ความเข้าใจไปตามนั้น ในสภาวะภวังคจลนะนี้นี่เอง แล้วไปยึดติด, ยึดถือ, ยึดเชื่อด้วยอำนาจของอธิโมกข์อันเป็นวิปัสสนูปกิเลส จึงเป็นการน้อมเชื่อโดยขาดการพิจารณาขาดเหตุผล และเป็นไปอย่างรุนแรงด้วยอำนาจของวิปัสสนูปกิเลสที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติฌาน สมาธิเป็นเครื่องหนุน จึงเกิดการเข้าใจธรรมกันอย่างผิดๆ ดังไปยึดไปเชื่อในสิ่งที่ไปเที่ยว ไปเห็นในสิ่งต่างๆ เช่น ภาพที่เป็นกสิณนั้นๆ นรก สวรรค์ วิมาน เทวดา พระพุทธเจ้า แสง สี เสียงต่างๆ อันล้วนแล้วแต่ย่อมวิจิตร ชวนตื่นตา เร้าใจ เพราะย่อมไม่เคยพบเคยเห็นเยี่ยงนี้มาก่อนเลยในชีวิต และยังกอปไปด้วยความแสนสุข สงบ สบาย ด้วยความอธิโมกข์ยิ่งเพราะความที่ตัวกูเป็นผู้เห็น,ตัวกูเป็นผู้กระทำเองด้วยตัวกูเอง จึงพากันยึดติด ยึดถือ ยึดเชื่อ แล้วยังปรุงแต่งกันไปอีกต่างๆนาๆด้วยอวิชชา ผู้เขียนกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ในการดำเนินไปในการวิปัสสนา เพื่อจะไม่ไปยึดไปอยากให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสจนไม่สามารถดำเนินไปในธรรมได้ และขอร้องอย่าให้ผู้ใดนำความรู้ความเข้าใจในการบรรยายเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด เพื่อประโยชน์ทางโลก อันจักเป็นกรรมอันเกิดแต่เจตนาจึงต้องได้รับวิบากการสนองตอบอย่างแสนสาหัสในภาคหน้า และรับรองว่าไม่สามารถหลีกหนีหรือคดโกงได้ ผู้รู้ผู้เข้าใจด้วยปัญญาได้แล้วก็พึงแก้ไขเสีย อย่าปล่อยให้เป็นวิบากกรรมของตนและผู้อื่นสืบต่อไปอีกเลย
    ณ ที่ ภวังคจลนะ นี้นี่เอง ถ้าผู้ปฏิบัติมีความเชื่อ,ความเข้าใจอันอาจมาจากการอ่าน,การฟัง,การปฏิบัติ,การสอน อย่างผิดๆหรือด้วยอวิชชาความไม่รู้ ตลอดจนความตะลึงพึงเพลิดและความอัศจรรย์ใจในสิ่งอันวิจิตรที่ไม่เคยประสบพบมาก่อน ก็มักพาให้เตลิดเปิดเปิงออกไปปรุงแต่งทางฤทธิ์ ทางเดช ทางปาฏิหาริย์เสียโดยไม่รู้ตัว ตลอดจนเกิดความเข้าใจผิดคิดไปว่าได้มรรคผลใดแล้ว อันล้วนเป็นเส้นทางนำพาไปสู่ความวิปลาสและวิปัสสนูปกิเลส อันจักนำพาให้เป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียอีกในภายหน้าเป็นที่สุด
    ผู้เขียนเองแต่แรกปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติพระกรรมฐานด้วยมุ่งหวังดับทุกข์ แต่ไปปฏิบัติอยู่แต่ในสมถสมาธิเสียแต่ฝ่ายเดียวด้วยเข้าใจผิดด้วยอวิชชา กล่าวคือไม่เคยนำไปใช้ประโยชน์ในการพิจารณาหรือวิปัสสนาในทางให้เกิดปัญญาอย่างจริงจังเลย แต่เข้าใจผิดไปว่าได้กระทำวิปัสสนาดีแล้วในการท่องบ่น จึงมัวแต่เสพเสวยแต่ความสุข ความสงบ ความสบาย ความวิจิตรแต่ฝ่ายเดียวจากฌาน,สมาธิ ด้วยเข้าใจว่าเป็นอานิสงส์ผลของบุญแท้ๆแล้ว, ดังนั้นเมื่อเกิด โอภาส แสงเจิดจ้าสว่างสวยงามชวนพิศวง หรือรูปนิมิตต่างๆ หรือสิ่งชวนพิศวงต่างๆ ไปเห็น ไปเข้าใจในสิ่งใดขึ้นมาก็เข้าใจผิด,เห็นผิดไปว่า ตนอยู่ในฌาน ๔ อันพระอริยเจ้าทรงสรรเสริญเสียแล้วด้วยอวิชชา ทั้งๆที่ตนนั้นกำลังเตลิดเปิดเปิงท่องเที่ยวและเสพรสอย่างหลงระเริงแลมัวเมาไปในนิมิตภายในภวังคจลนะนี้นี่เอง
    นิมิตที่เกิดในภวังคจลนะนี้ ก็อาจเกิดขึ้นแก่คนใกล้ตาย หรือสลบลึกหรืออาการโคม่าที่ฟื้นขึ้นมาก็มีบ้าง ที่เมื่อฟื้นคืนสติก็จะมาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆนาๆอันน่าพิศวงด้วยอธิโมกข์ ที่เกิดแต่ภวังคจลนะด้วยอวิชชา เกิดแต่ในขณะนั้นกายอยู่ในภาวะวิกฤติจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุใดๆก็ตามทีอย่างรุนแรง หรือการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรง กายจึงปิดการรับรู้จากทวารทั้ง ๖ โดยสิ้นเชิง กล่าวคือเข้าสู่ภวังคจลนะโดยธรรมหรือความบังเอิญโดยธรรมชาติเอง ที่บางสภาวะร่างกายสามารถป้องกันตนเองจากการรับรู้ที่เกินวิสัยหรือเกินขีดจำกัด ฯ. เมื่อวิถีจิตถูกปิดกั้นโดยกลไกของธรรมชาติของชีวิตจากความเจ็บป่วยไข้หรืออุบัติเหตุ จิตเกิดการเข้าเลื่อนไหลเข้าสู่ภวังค์ และเป็นภวังค์แบบภวังคจลนะนี้นี่เองได้โดยธรรมชาติ ที่อาจเคยฝึกสั่งสมมา หรือแม้ไม่เคยฝึกหัดหรือปฏิบัติมาก่อนแต่อย่างใดก็เป็นได้ แล้วเตลิดเปิดเปิงท่องเที่ยวไปในจิตภายในหรือก็คือตามสัญญาความจำความรู้ความเชื่อของตน จึงเกิดการเห็นนิมิตต่างๆนาๆขึ้นได้อย่างชัดเจน เช่นเห็นแสงสีอันเจิดจ้าวิจิตร(โอภาส) ทั้งเห็นหรือทั้งได้ยินเทวดา นางฟ้า พญายม ยมทูต วิมาน นรก สวรรค์ พระอรหันต์ พระพุทธรูป พระพุทธเจ้า ญาติโกโหติกาทั้งหลายที่ตายไปแล้วบ้าง สุขทุกข์ เรื่องราวต่างๆในอดีต กรรมดี กรรมชั่ว ตามสัญญาของเขาที่สั่งสมไว้มานานแสนนานไม่รู้ว่าสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น ฯลฯ. ถ้าเป็นปุถุชนในศาสนาอื่นๆก็จะเห็นเป็นไปหรือโน้มน้อมไปตามสัญญาของทางฝ่ายเขา เช่น เห็นแสงเจิดจ้าส่องลงมาจากท้องฟ้าคือสรวงสวรรค์บ้าง แสงหรือสิ่งที่เห็นเหล่านี้ก็คือโอภาสดังในการปฏิบัติสมถสมาธินั่นเอง เห็นพระเจ้า เห็นเทวดาต่างๆนาๆตามแบบที่นับถือหรือตามความเชื่อหรือสัญญาของฝ่ายเขานั่นเอง หรืออาจเห็นญาติพี่น้องคนรู้จักที่ล่วงลับไปแล้ว ความดี ความชั่ว สุข ทุกข์ เรื่องราวต่างๆแต่อดีตบ้าง ฯ. อันมีรากฐานตามสัญญา ความเชื่อ ความนับถือ ความศรัทธา ความอธิโมกข์ของฝ่ายเขานั่นเอง, ดังนั้นการเห็นเป็นไปที่แตกต่างผิดแผกกันนั้น จึงไม่ใช่เพราะการมีพระเจ้า หรือศาสนา หรือเชื้อชาติ หรือภาษา หรือนรกสวรรค์ที่ต่างกันไป แต่เป็นไปเพราะสัญญาที่สั่งสมแตกต่างกันไปตามทิฏฐิความเชื่อความเข้าใจ
    ผู้ที่เห็นในสิ่งเหล่านั้นถ้าฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ถ้ามีปัญญาบ้าง ก็จะเกิดกลัวความชั่ว ก็จะเป็นผู้ใฝ่ดี อยู่ในศีล ในธรรมของฝ่ายตน เป็นกำลังอันดีงามของสังคมนั้นๆ อันย่อมเป็นจุดมุ่งหมายอันดีงามของทุกศาสนา และย่อมยังประโยชน์ส่วนตนและโลกขึ้นเป็นที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถดับหรือหลุดไปจาก "ภพ ชาติ" อันเป็นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดโดยสิ้นเชิงโดยบริบูรณ์ ที่ต้องอาศัยปัญญาญาณในธรรม
    ส่วนในผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง ย่อมแสวงหาทางดับภพ ชาติ ไม่ให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏหรือในกองทุกข์อีกต่อไป.
    ส่วนผู้ที่ไปหลงผิดด้วยอวิชชา ย่อมเกิดความเข้าใจผิด บ้างจึงพยายามฝึกปรือหรือน้อมจำสภาพที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้งานหรือประโยชน์ทางโลกอย่างผิดๆด้วยว่าเป็นฤทธิ์ บ้างก็หลงงมงายไปเลย กล่าวคือ บูชา นับถือ ยึดมั่น ถือมั่น เผยแพร่ไปอย่างผิดๆตามความเชื่อในนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นๆ กล่าวคือ เกิดอธิโมกข์ คือศรัทธาหรือความน้อมใจเชื่ออย่างรุนแรงแต่อย่างผิดๆหรืออย่างหลงผิด อันเป็นกิเลสชนิดวิปัสสนูปกิเลสนั่นเอง
    ที่ภวังคจลนะนี้นี่เอง ที่มักชักจูงพาให้เข้าใจกันไปว่า เป็นเจตภูตบ้าง หรือกายทิพย์บ้าง หรือวิญญาณของตนบ้าง ได้ถอดออกจากร่างไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ตามปรภพ สวรรค์ นรก จึงได้เห็นนู่น เห็นนี่ ต่างๆนาๆ จนถึงขั้นเป็นตำนานที่มีการบันทึกกล่าวขาน ถ่ายทอดสืบต่อๆกันมาอย่างช้านานและอย่างมากมาย จนเป็นที่ปรารถนา ตลอดจนเป็นที่วิจิกิจฉาจนถกเถียงกันมาอย่างช้านานโดยทั่วไป และที่ภวังคจลนะนี้นี่เองที่เกิดขึ้นในการสะกดจิตได้เช่นกัน จึงเกิดสัญญาหรือเห็นในสิ่งต่างๆที่เคยเกิดเป็นในอดีตได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากจิตอยู่ในภวังค์ไม่ซัดส่ายไปในสิ่งอื่นๆ แต่ไปแน่วแน่ในสัญญาจำได้ของตนตามการจูงจิตของผู้สะกดจิต แต่ก็ยังระลึกเห็นได้อย่างผิดๆได้อีกด้วยเช่นกัน ถ้าผู้สะกดจิตชี้ช่องแนะนำจูงจิตไปผิดๆ
    วิธีแก้ไขเมื่อลงไปสู่ภวังค์และท่องเที่ยวเลื่อนไหลไปในจิตภายในก็คือ เมื่อจิตท่องเที่ยวเลื่อนไหลไปจนอิ่มตัว กล่าวคือรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ก็ให้กลับมาอยู่ที่จิตหรือก็คือสติหรือก็คือผู้รู้นั่นเอง ตามแต่จะสื่อเรียกกัน จึงไม่ควรปล่อยให้ท่องเที่ยวเลื่อนไหลต่อไปโดยเจตนา จะด้วยเพราะสนุก,สุข,สบายหรือโดยเข้าใจผิดใดๆก็ตามที.
    แบบที่ ๓ ภวังคุปัจเฉท เป็นลักษณะที่จิตลงภวังค์แล้วขาดความรู้สึกรับรู้อารมณ์ภายนอกดังภวังคจลนะข้างต้น และขาดการรับรู้จากอารมณ์ภายในด้วย เพราะไม่ท่องเที่ยวไปในภายใน ด้วยเป็นวสี ที่เรียกว่าอธิฏฐานวสี คือมีความชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะตั้งจิตหรือรักษาจิตไว้มิให้ฌานจิตต์นั้นตกภวังค กล่าวคือมีสติ ที่เกิดขึ้นจากการสั่งสม, ความชำนาญจากการปฏิบัตินั่นเอง จึงมีสติไม่ปล่อยให้จิตเพลิดเพลินเตลิดเปิดเปิงหรือซ่านไปในอารมณ์ของภวังค์ หรือสัญญาภายในของตน ดังเช่นที่เกิดในภวังคจลนะข้างต้น แต่ถึงอย่างไรก็ดีสตินี้ ก็เพียงแค่รู้อยู่ในองค์ฌานต่างๆ เช่น เอกัคคตารมณ์ ยินดีอยู่ในความสงบ(อุเบกขา) แต่ขาดสัมปชัญญะ เป็นลักษณะของฌานต่างๆนั่นเอง จึงเป็นที่พักผ่อนของจิตจึงสร้างกำลังของจิตอันดียิ่ง แต่ย่อมไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ ต้องถอนออกมาจากความสงบเหล่านั้นเสียก่อนจึงเจริญวิปัสสนาได้ ซึ่งย่อมให้กำลังมาก เรียกภวังค์แบบนี้ว่า ภวังคุปัจเฉท
    ภวังคุปัจเฉทนี้นี่เอง ที่เป็นที่ปรารถนาของนักปฏิบัติ และเกิดแก่พระอริยะทุกท่านในการปฏิบัติฝ่ายสมถสมาธิฝ่ายรูปฌาน เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่และเป็นกำลังจิตอันดีเลิศ แต่ถ้านักปฏิบัติไปหลงติดเพลิน(นันทิ)ในความสงบ สุข สบาย อันเกิดขึ้นจากภวังค์ต่างๆ แม้แต่ในภวังคุปัจเฉทอันแม้พระอริยเจ้าก็สรรเสริญนี้ก็ตามที ก็กลับกลายเป็นให้โทษเสียทันที กลับกลายเป็นรูปราคะในสังโยชน์อันละเอียดและรุนแรงเสียยิ่งกว่ากามราคะเสียอีก ดังนั้นทุกครั้งที่ถอนออกมาฌานสมาธิ ที่แม้ถึงซึ่งภวังคุปัจเฉทนี้แล้วก็ต้องนำกำลังอันยิ่งนั้นมาใช้ในการเจริญวิปัสสนาด้วยทุกครั้ง อย่าปล่อยให้ความสุขสบายครอบงำเสียจนไม่ปฏิบัติวิปัสสนา เพราะจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการติดเพลินหรือเพลิดเพลินในความสุขสงบในที่สุด และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวคืออย่าให้เกิดขึ้นและเป็นไปดังที่ท่านหลวงตามหาบัว ได้กล่าวสอนไว้ใน เรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติ สมาธิ - ปัญญา ความว่า
    "หลักใหญ่ให้จิตสงบได้นั้นแหละเป็นของดี เพียงจิตสงบเท่านั้นก็ตัดความกังวลวุ่นวาย ซึ่งเคยประจำจิตเสียดแทงจิตออกได้โดยลำดับลำดา จนถึงกับเป็นขั้นสบาย เพราะฉนั้นผู้ภาวนาเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จึงมักขี้เกียจในการพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วยปัญญา นอนจมอยู่กับสมาธินั้นเสียไม่ออกพินิจพิจารณา สุดท้ายก็เข้าใจว่าความรู้ที่แน่วแน่แห่งความเป็นสมาธิของตนนั้น จะเป็นมรรคผลนิพพานไปเลย ในข้อนี้ผมเคยเป็นมาแล้ว จึงได้นำมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ ว่าสมาธิต้องเป็นสมาธิ ปัญญาต้องเป็นปัญญา เป็นคนละสัดเป็นคนละส่วน เป็นคนละอันจริงๆ ไม่ใช่อันเดียวกัน หากเป็นอยู่ในจิตอันเดียวกันนั่นแล เป็นแต่เพียงไม่เหมือนกัน"
    อาการของนิมิตและภวังค์ดังที่กล่าวมาเหล่านี้ เกิดมากน้อยในนักปฏิบัติแตกต่างกันไป แล้วแต่ฌานวิสัยอันเป็นอจินไตย อาจมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ที่กล่าวดังนี้มิใช่เป็นการกล่าวเลี่ยงแต่ประการใด แต่มันเป็นจริงเช่นนั้นเอง ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง ณานสมาธิ เพราะขึ้นอยู่แต่จริต สติ ปัญญา การสั่งสม ตลอดจนแนวการปฏิบัติ ฯ. แต่ถ้านักปฏิบัติเป็นวิปัสสนูปกิเลส หรือมีจริตกระทำบ่อยๆด้วยติดใจหรือติดเพลินหรือด้วยอธิโมกข์ หรือหัดน้อมจิตฝึกหัดให้เห็นภาพขึ้นในใจอยู่บ่อยๆ กล่าวคือสั่งสมทำอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ก็ย่อมเกิดการสั่งสม,ความชำนาญขึ้น ในที่สุดก็จะเกิดการน้อมนึกเห็นนิมิตต่างๆแม้ในวิถีจิตตามปกติธรรมดาขึ้นได้ และก็มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวในผู้ที่ปล่อยเลื่อนไหลไปแต่ในฌานสมาธิเป็นระยะเวลานานๆโดยขาดการวิปัสสนา แต่ก็จะเป็นไปในที่สุดเหมือนนิมิตในการปฏิบัติดังที่หลวงปู่ดูลย์ ได้กล่าวถึงไว้ว่า "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนิมิตส่วนใหญ่เกิดแต่สัญญาหรือใจของนักปฏิบัติ แล้วยังร่วมด้วยการไปปรุงแต่งอีกต่างๆนาๆ ทั้งยังร่วมอีกด้วยอวิชชา จึงพากันไปยึดติดยึดเชื่อด้วยอธิโมกข์จนเสียการ ภาพนิมิตที่เห็นที่เกิดอันมิได้มีบาทฐานเกิดมาแต่ญาณความเข้าใจอันเกิดจากการเห็นเหตุอย่างแจ่มแจ้งจึงรู้ผล และอุเบกขาความเป็นกลางอย่างแท้จริง สิ่งที่เห็นจึงผิดไป หรือผิดบ้างถูกบ้างอันเป็นวิสัยปกติธรรมดา แต่ถ้าบังเอิญถูก ก็จักไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นจริงเป็นจัง จึงเกิดการยึดติดจนเป็นอธิโมกขอันงมงายยิ่งๆขึ้นไป ถ้าผิด ก็ลืมเลือนไปเสีย หรือแก้ตัวแทนตนเป็นพัลวันว่าด้วยเหตุต่างๆนาๆ จึงต่างล้วนแฝงและเป็นไปตามความคิดปรุงของผู้ที่เห็นโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชานั่นเอง อันประกอบไปด้วยความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่ตาเห็น หูได้ฟัง ความคิดที่คิด การสั่งสม และความเชื่อความยึดของผู้เห็นนั่นเองเป็นองค์ประกอบสำคัญ หรือจะกล่าวง่ายๆก็คือ เป็นการแปลงสัญญา หรือความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิดต่างๆที่ได้รับเป็นข้อมูลจากอายตนะต่างๆในขณะนั้นเป็นภาพขึ้นมา อันมักเกิดแต่การฝึกฝนและการสั่งสมจากการปฏิบัตินั่นเอง กล่าวคือ เป็นการแปลงความคิดความเห็นให้เป็นภาพขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง ถ้าท่านเข้าใจในเรื่องคอมพิวเตอร์บ้าง ก็เปรียบเสมือนหนึ่งการแปลงข้อมูลในคอมพิวเตอร์จากโปรแกรมWord ที่ใช้ในการพิมพ์(เปรียบเป็นความคิด) แปลงเป็นไฟว์หรือข้อมูลแบบรูปภาพในโปรแกรมAcrobat (เปรียบดังนิมิตหรือภาพหรือความคิดที่น้อมขึ้น)ในชั่วพริบตานั่นเอง อันเกิดแต่การฝึกหัดและมีฐานข้อมูลและโปรแกรมอยู่แล้วนั่นเอง
    ผู้ที่หลงติดในนิมิตนั้น นอกจากจะมีความเชื่อความยึดที่หลงผิดไปตามรูป เสียง ความคิด ของนิมิตแล้ว จึงทำให้หลงผิดเห็นผิดไม่สามารถดำเนินไปในธรรมได้(วิปัสสนูปกิเลส) เพราะนิมิตก็คือวิปัสสนูปกิเลสในข้อโอภาส และยังทำให้เกิดญาณในวิปัสนูปกิเลสคือมิจฉาญาณอีกดัวย ฯ. ภายหลังยังทำให้เกิดอาการอึดอัดหรือเจ็บป่วยต่างๆเนื่องจาก " จิตส่งใน" ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง"จิตส่งใน เป็นภัยต่อนักปฏิบัติ" เหตุก็เพราะขณะจิตที่น้อมนึกภาพขึ้นนั้น เป็นสภาวะของมิจฉาสมาธิที่ต้องก่อขึ้น ต้องกระทำขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง จึงยังผลให้เกิดการเสพและติดเพลินองค์ฌานขึ้นได้โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง อันคือนันทิหรือตัณหา นิมิตที่เห็นหรือเข้าใจจึงเป็นเหยื่อล่อให้ดำเนินไปตามวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ในที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะได้ดำเนินไปถึงองค์ธรรมนันทิคือตัณหา ความติดเพลิน,ความติดใจอยาก,ความติดชอบในนิมิตเหล่านั้นเสียแล้ว
     
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับนิมิตและภวังค์ จากคณาจารย์
    คัดจาก เทสก์รังสีอนุสรณาลัย ; เรื่อง สิ้นโลก เหลือธรรม
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    บางอาจารย์เมื่อนิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว สอนให้ถือเอานิมิตนั้น เป็นขั้นเป็นชั้นของมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น เช่น นิมิตเห็นแสงเล็กเท่าแสงหิ่งห้อย ได้สำเร็จชั้นพระโสดาบัน เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่าแสงดาว ได้สำเร็จชั้นพระสกทาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระจันทร์ ได้สำเร็จชั้นพระอนาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระอาทิตย์ ได้สำเร็จชั้นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น
    ไปถือเอาแสงภายนอก(โอภาส) ไม่ถือเอาใจของคนที่บริสุทธิ์มากน้อยเป็นเกณฑ์ ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนัก.................นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรคโดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร........(หน้า๑๕-๑๖)
    (webmaster - เหตุที่ภวังคเป็นอุปสรรคของมรรค ก็เนื่องจากในสภาวะของภวังค์นั้น ไม่สามารถใช้สติได้อย่างบริบูรณ์ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั่นเอง)
    แท้ที่จริงนิมิตทั้งหลาย ดังที่อธิบายมาแล้วก็ดี หรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงไม่ใช่เป็นทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริงแล แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องได้ผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวม,เข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนาเคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน เช่น อาฬารดาบส แล อุททกดาบส เป็นตัวอย่าง........(หน้า๑๗)
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t75 path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f" o:preferrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"><v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><v:path o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></v:path><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"></o:lock></v:shapetype><v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_9 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1027" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    จาก หลวงปู่ฝากไว้ โดยหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    เรื่อง จริง แต่ไม่จริง
    ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฎผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฎในอวัยวะของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็น นรก สรรรค์ วิมาน เทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ
    หลวงปู่บอกว่า
    "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"
    [หลวงปู่กล่าวดังนี้เพราะ ผู้ที่เห็นนั้น เขาก็เห็นจริงๆตามความรู้สึกนึกคิดหรือสังขารที่เกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของสัญญาเขา เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ได้เป็นจริงตามนั้น]

    เรื่อง แนะวิธีละนิมิต
    ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกยังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบ ก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที หลวงปู่โปรดได้แนะนำวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผล
    หลวงปู่ตอบว่า
    เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น "ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง".
    เรื่อง เป็นของภายนอก
    เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่อยู่ในงานประจำปี วัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถาม ทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูปในหัวใจของเขา บางคนว่า ได้เห็น(นิมิต)สวรรค์ เห็นวิมานของตนเองบ้าง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ
    หลวงปู่อธิบายว่า
    "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น(เพราะเป็นเพียงนิมิต อันเกิดแต่อำนาจของสมถสมาธิเท่านั้น ยังไม่ใช่มรรคผลแต่ประการใด) จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก."
    เรื่อง หลักธรรมแท้
    มีอยู่อย่างหนึ่งที่นักปฏิบัติชอบพูดถึง คือ ชอบโจษขานกันว่า นั่งภาวนาแล้วเห็นอะไรบ้าง ปรากฎอะไรออกมาบ้าง หรือไม่ก็ว่า ตนนั่งภาวนามานานแล้วไม่เคยเห็นปรากฏอะไรออกมาบ้างเลย หรือบางคนก็ว่า ตนได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอ ทำให้บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ภาวนาแล้วตนจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการเป็นต้น
    หลวงปู่เคยเตือนว่า การปรารถนาเช่นนั้นผิดทั้งหมด เพราะการภาวนานั้นเพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริง
    "หลักธรรมที่แท้จริงนั้น คือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม."
    <v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_10 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1026" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    ดังนั้นการสอนหรือการปฏิบัติที่ไปยึด,ไปชอบ,ไปเชื่อ ในนิมิตที่เกิดขึ้นแบบต่างๆนาๆ ดังเช่น ภาพ แสง สี เสียง นรก สวรรค์ เทวดา ครูบาอาจารย์ แม้แต่พระพุทธเจ้าฯ. แม้แต่นามนิมิตที่อาจผุดขึ้นแต่ไม่ได้เกิดแต่ปัญญาจากการพิจารณาหาเหตุหาผลก็ตามที ที่เกิดขึ้นในภวังค์ หรือจากการปฏิบัติ จึงเป็นการปฏิบัติที่ยังไม่ถูกต้องแนวทางอย่างแน่นอน และยังให้เกิดโทษในภายภาคหน้าอีกด้วย.
    พนมพร
    <v:shape style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 2.25pt; VISIBILITY: visible; mso-wrap-style: square" id=Picture_x0020_11 alt="http://nkgen.com/bar_n_1.gif" o:spid="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\Users\x\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.gif" o:title="bar_n_1"></v:imagedata></v:shape>​
    ข้อคิด แนวทางการปฏิบัติ
    หลักปฏิบัติ สมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)
    - ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ ให้กำลังอันยิ่ง
    หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)
    - ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล ให้ปัญญาอันยิ่ง
    หลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา
    - เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นกำลังแล้ว ให้เจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) ให้ทั้งกำลังและปัญญาอันยิ่งขึ้นไปอีก
    พนมพร
     
  4. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ยังมีนักปฏิบัติอีกประเภทแอบจิตอยากได้โลกียอภิญญาประเภทมีฤทธิ์มีเดชก็มีมาก
    ไม่ว่าจะด้วยโมหะอันเกิดแต่ความไม่รู้ด้วยอวิชชา
    หรือความคึกคะนองอวดเก่งอวดกล้าอันเกิดจากอำนาจของฌานสมาธิที่คัดหลั่งมาโดยตรง
    หรือโลภะเพื่อประโยชน์ในทางโลกก็ตามที
    จึงมุ่งเน้นปฏิบัติแต่ด้านสมถะล้วนแต่ฝ่ายเดียวขาดการวิปัสสนา
    จนต้องประสบทุกข์โทษภัยเป็นที่สุด
    ด้วยไปติดบ่วงของฌานสมาบัติอันประณีตเสียจนดิ้นไม่หลุดไปจนวันตาย
    และสภาวะอันสุขสงบประณีตเหล่านั้นก็แปรไปเป็นทุกข์อย่างยิ่งยวดเสียด้วยในที่สุด
    ด้วยคิดเข้าใจว่าจักควบคุมบังคับได้ตามใจปรารถนาด้วยอวิชชา
    จึงไม่รู้ว่าการเลื่อนไหลเข้าไปติดเพลินของฌานสมาบัตินั้นช่างแสนง่ายดายและแสนละเอียดอ่อนนอนเนื่อง
    จนจัดเป็นสังโยชน์ขั้นสูงหรือขั้นละเอียดคือรูปราคะและอรูปราคะ
    ที่ปุถุชนยังไม่สามารถสลัดออกได้
    จึงพากันเป็นทุกข์กันจนวันตายดังที่มีพระอริยะได้กล่าวไว้เป็นอเนก
     
  5. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    "สมาธิ เป็นองค์ธรรมที่สำคัญยิ่งข้อหนึ่งก็จริง
    แต่ก็มีขอบเขตความสำคัญที่พึงตระหนักว่า สมาธิมีความจำเป็นแค่ไหนเพียงใด
    ในกระบวนการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงวิมุตติ
    อันเป็นจุดหมายของพุทธธรรม(ธรรมของพระพุทธเจ้า อันมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความสุข
    อันเกิดจากการหลุดพ้นจากความทุกข์ - webmaster) ขอบเขตความสำคัญนี้
    อาจสรุปดังนี้
    ๑. ประโยชน์ของสมาธิ ในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายของพุทธธรรมนั้น
    อยู่ที่การนำมาใช้เป็นที่ทำการสำหรับให้ปัญญาปฏิบัติการอย่างได้ผลที่สุด
    และสมาธิที่ใช้ในการนี้ก็ไม่จำต้องเป็นขั้นที่เจริญถึงที่สุด
    ลำพังสมาธิอย่างเดียวแม้จะเจริญถึงขั้นฌานสูงสุด หากไม่ก้าวสู่ขั้นใช้ปัญญาแล้ว
    ย่อมไม่สามารถทำให้ถึงจุดหมายของพุทธธรรมได้อย่างเป็นอันขาด
    ๒. ฌานต่างๆทั้ง ๘ ขั้น แม้จะเป็นภาวะจิตที่ลึกซึ้ง
    แต่ในเมื่อเป็นผลของกระบวนการปฏิบัติที่เรียกว่าสมถะอย่างเดียวแล้ว
    ยังเป็นเพียงโลกีย์เท่านั้น จะนำไปปะปนกับจุดมุ่งหมายทางพุทธธรรมหาได้ไม่
    ๓. ในภาวะแห่งฌานที่เป็นผลสำเร็จของสมาธินั้น กิเลสต่างๆสงบระงับไป
    จึงเรียกว่าเป็นการหลุดพ้นเหมือนกัน
    แต่ความหลุดพ้นนี้มีชั่วคราวเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะนั้นเท่านั้น
    และถอยกลับสู่สภาพเดิมได้ ไม่ยั่งยืนแน่นอน
    ท่านจึงเรียกการหลุดพ้นชนิดนี้ว่าเป็นโลกียวิโมกข์ (ความหลุดพ้นขั้นโลกีย์)
    เป็นกุปปวิโมกข์ (ความหลุดพ้นที่กำเริบคือเปลี่ยนแปลงกลับกลายหายสูญได้)
    และเป็นวิกขัมภนวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยข่มไว้ คือ
    กิเลสระงับไปเพราะถูกกำลังสมาธิข่มไว้ เหมือนเอาแผ่นหินทับหญ้า
    ยกแผ่นหินออกเมื่อใด หญ้าย่อมกลับงอกงามขึ้นได้ใหม่)
    จากข้อพิจารณาที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่า
    ในการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่จุดมุ่งหมายของพุทธธรรมนั้น
    องค์ธรรมหรือตัวการสำคัญที่สุดที่เป็นตัวตัดสินใจในขั้นสุดท้าย จะต้องเป็นปัญญา
    และปัญญาที่ใช้ในการปฎิบัติการในขั้นนี้ เรียกชื่อเฉพาะได้ว่า วิปัสสนา ดังนั้น
    การปฏิบัติจึงต้องก้าวมาถึงขั้นวิปัสสนาด้วยเสมอ ส่วนสมาธินั้น แม้จะจำเป็น
    แต่อาจยืดหยุ่นเลือกใช้ขั้นใดขั้นหนึ่งก็ได้ เริ่มแต่ขั้นต้นๆ
    ที่เรียกวิปัสสนา-สมาธิ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับขณิกสมาธิ และอุปจารสมาธิ
    เป็นต้นไป..........................."
    (พุทธธรรม หน้า ๘๖๘ - ๘๖๙)
     
  6. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลำดับต่อไปผู้เขียน ขอกราบอาราธนาข้อธรรมจาก ท่านหลวงปู่ เทสก์ เทสรังสี
    ในหนังสือส่องทางสมถวิปัสสนาของหลวงปู่ เทสก์ เทสรังสี
    ได้มีกล่าวถึงการปฏิบัติไว้ทั้ง ๒ ทาง คือแบบสมถะหรือสมาธิล้วนๆ
    และอีกแบบหนึ่งที่ท่านกล่าวว่า แนวนี้เดินสมํ่าเสมอกว่าแนวสมถะล้วนๆ คือ
    แนวสมถวิปัสสนา กล่าวคือ การใช้สมาธิเป็นบาทฐานของวิปัสสนานั่นเอง
    ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้
    "บริกรรมหรือเพ่งอย่างนั้นเหมือนกัน(หมายถึงเหมือนสมถะ) แต่ไม่ให้จิตสงบ
    คือน้อมจิตให้เข้าไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว(webmaster - เช่นในข้อธรรม
    หรือนิมิตอันดีงามถูกต้องเช่น อสุภหรือธาตุ)
    เพ่งพิจารณานิมิตนั้นให้เป็นธาตุหรือเป็นอสุภ
    ยกขึ้นสู่(การพิจารณาด้วยปัญญาใน)ไตรลักษณ์เป็นต้น
    เมื่อเห็นชัดแล้วจิตจะรวมลงไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว หรือจะเป็นสมาธิ
    หรือจะเกิดปัญญาให้สลดสังเวชก็ได้ พูดย่อๆ เรียกว่า
    หัดสมถะเป็นไปพร้อมกันกับวิปัสสนา" (ก็คือ สมถวิปัสสนา)
    (จาก ส่องทางสมถวิปัสสนา)
    ส่วนใน โมกขุบายวิธี ก็มีกล่าวไว้เช่นกันถึงการปฏิบัติแต่สมถะแต่ฝ่ายเดียว
    จนยังให้โทษ
    "ฌาน ได้แก่ การเพ่ง และเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว จะเป็นกสิณ
    หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
    แต่ข้อสำคัญจะต้องให้จิตจับจ้องอยู่ในเฉพาะอารมณ์อันนั้นเป็นใช้ได้
    เบื้องต้นจะต้องตั้งสติควบคุมจิตให้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างแน่นแฟ้น
    เมื่อจิตถอนออกจากอารมณ์อื่นมารวมอยู่ในอารมณ์อันเดียวเรียกว่า เอกัคคตารมณ์
    เสวยความสุขอันไม่เคยได้รับมาแต่ก่อน
    จิตก็จะยินดีและน้อมเข้าไปสู่เอกัคคตารมณ์อย่างยิ่ง เรียกว่า
    เพ่งเอาความสุขอันเกิดจากเอกัคคตารมณ์เป็นอารมณ์ของฌานต่อไป
    จนเป็นเหตุให้เผลอตัวลืมสติไปยึดมั่นเอาเอกัคคตาว่าเป็นของบริสุทธิ์และดีเลิศ
    จิตตอนนี้จะรวมวูบเข้า ภวังค์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับเผลอสติ
    หรือลืมสติไปเสียเลยอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงรู้สึกตัวขึ้นมา
    แต่ผู้ที่เคยเป็นบ่อยและชำนาญแล้ว จะมีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกันแต่เป็นไม่แรง
    และนิมิตหรือความรู้อะไรจะเกิดก็มักเกิดในระยะนี้
    เมื่อนิมิตและความรู้เกิดขึ้นแล้ว
    จิตที่อยู่ในเอกัคคตานั้นจะวิ่งตามไปอย่างง่ายดาย
    จิตที่อยู่ในเอกัคคตารมณ์เป็นของเบาและไวต่ออารมณ์มาก(อารมณ์ จึงหมายถึง
    ไวต่อสิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยวในการกระทบเช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิดต่างๆ
    - webmaster) ที่เรียกว่า จิตส่งใน เป็นภัยต่อผู้เจริญฌานอย่างยิ่ง
    บางทีอาจทำให้เสียผู้เสียคนไปก็มี ฌานมีเอกัคคตารมณ์เป็นเครื่องวัดในที่สุด
    แต่ไม่มีปัญญาจะพิจารณาสังขารให้เห็นเป็นพระไตรลักษณญาณได้
    กิเลสของผู้ได้ฌานก็คือมานะแข็งกระด้างทิฐิถือรั้นเอาความเห็นของตัวว่าเป็นถูกทั้งหมด
    คนอื่นสู้ไม่ได้
    เรื่องนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแน่วแน่ของฌานหรือทิฐินิสัยเดิมของแต่ละบุคคลอีกด้วย

    ผู้ที่ผ่านเรื่องนั้นมาด้วยกันแล้วหรือมีจิตใจสูงกว่าเท่านั้นจึงจะแก้และแสดงให้เขาเห็นจริงตามได้
    ถ้าแก้ไม่ตกก็เสียคนไปเลย"
    จาก โมกขุบายวิธี โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    การฝึกหัดสมถะ (ที่เรียกว่า ฌาน สมาธิ) นี้
    ความประสงค์ที่แท้จริงทางพุทธศาสนา ก็คือต้องการความสงบแห่งจิต
    เพื่อรวบรวมกำลังใจ ให้มีความเข้มแข็งอยู่ในจุดเดียว (ที่เรียกว่าเอกัคคตารมณ์)
    อันเป็นมูลฐานให้เกิดความรู้ความฉลาด
    สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมทั้งหลายด้วยญาณทัสสนะ
    และขจัดสรรพกิเลสบาปธรรมทั้งปวงให้สิ้นไป
    มิใช่เพียงเพื่อจะนำไปใช้ด้วยเหตุอื่นภายนอก
    มีการนำไปใช้ในทางวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ เป็นต้น
    แต่เป็นการชำระใจให้ผ่องใสโดยเฉพาะจากนิวรณ์ ๕ เป็นต้น แต่เมื่อหัดให้ชำนาญแล้ว
    จะนำไปใช้ในทางใดก็ได้ตามประสงค์ ถ้าหากการใช้นั้นไม่ทำให้เกิดโทษแก่ตนและคนอื่น
    จาก เทสโกวาท โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หน้า ๘๔
    ปัญญาวิปัสสนา
    วิปัสสนาเป็นยอดเยี่ยมของปัญญาในพระพุทธศาสนา
    เป็นคู่กับสมถะคือสมาธินั่นเอง
    ท่านผู้รู้บางท่านถือว่าสมถะเป็นเรื่องหนึ่ง วิปัสสนาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ผู้เจริญสมถะไม่ต้องเจริญวิปัสสนา เมื่อเจริญสมถะแก่กล้าแล้ว จึงค่อยเจริญวิปัสสนา
    ความข้อนั้นไม่จริง
    ตามความเป็นมา ผู้เจริญสมถะมักต้องเจริญวิปัสสนาเป็นคู่กันไป เช่น
    เจริญสมถะต้องพิจารณาธาตุ ๔ อินทรีย์ ๖ เป็นต้น
    จาก สิ้นโลก เหลือธรรม โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หน้า ๕๗
     
  7. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลำดับต่อไปผู้เขียน ขอกราบอาราธนาข้อธรรมจาก หลวงพ่อชา สุภัทโท
    คำถาม - ขอให้(หลวงพ่อชา)อธิบายเพิ่มที่ว่าสมถะหรือสมาธิ
    และวิปัสสนาหรือปัญญานี้เป็นสิ่งเดียวกัน
    นี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ นี่เอง สมาธิ (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) นี้
    ต้องควบคู่กันไป เบื้องแรกจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ได้โดยอาศัยอารมณ์ภาวนา
    จิตจะสงบตั้งมั่นอยู่ได้เฉพาะขณะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น
    นี่คือสมถะและอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน ช่วยให้เกิดปัญญาหรือวิปัสสนาได้
    ในที่สุดแล้วจิตก็จะสงบไม่ว่าท่านจะนั่งหลับตาอยู่หรือเดินอยู่ในเมืองวุ่นวาย
    เปรียบเหมือนกับว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่
    แล้วเด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า ท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็น
    คนคนเดียวกัน หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่งท่านก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละคนกัน
    ในทำนองเดียวกัน สมถะกับวิปัสสนา ก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน
    หรือเปรียบเหมือนอาหารกับอุจจาระ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนละสิ่งกัน
    อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่ผมพูดมานี้ จงฝึกปฏิบัติต่อไป
    และเห็นจริงด้วยตัวของท่านเอง ไม่ต้องทำอะไร พิเศษไปกว่านี้
    ถ้าท่านพิจารณาว่าสมาธิและปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว ท่านจะรู้ความจริงได้ด้วยตัว
    ของท่านเอง
    ทุกวันนี้ผู้คนไปยึดมั่นอยู่กับชื่อเรียก
    ผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า “วิปัสสนา” สมถะก็ถูกเหยียดหยาม
    หรือผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า “สมถะ” ก็จะพูดว่าจำเป็นต้องฝึกสมถะก่อน
    วิปัสสนา เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ อย่าไปวุ่นวายคิดถึงมันเลย
    เพียงแต่ฝึกปฏิบัติไป แล้วท่านจะรู้ได้ด้วย ตัวท่านเอง
    คำถาม - ในการปฏิบัติของเรา จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่
    ไม่ ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบ
    และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง(เอกัคคตา) แล้วอาศัยอันนี้สำรวจตนเอง
    ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน
    แต่อย่าไปหลงติดอยู่ในฌาน หลายคนชะงักติดอยู่ในฌาน
    มันทำให้เพลิดเพลินได้มากเมื่อไปเล่นกับมัน ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร
    ถ้าท่านฉลาดท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขตของฌาน
    เช่นเดียวกับที่ท่านรู้ขั้นความสามารถของเด็ก และขั้นความสามารถของผู้ใหญ่
    จาก หลวงพ่อชา สุภัทโท ตอบปัญหาธรรม
     
  8. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลำดับต่อไปผู้เขียน ขอกราบอาราธนาข้อธรรมจาก ท่านหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    "....แล้วการที่เรามาใช้ปัญญาพิจารณา เหตุผลต่างๆ
    ที่จิตใจมันยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น
    อันนั้นมันเป็นวิธีการที่จะละอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นให้หมดไปสิ้นไป
    แต่ลำพังสมาธินั้น เพียงแต่ระงับความอยาก ความหิวไปได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเอง
    ส่วนที่จะละความอยากความหิวให้มันขาดเด็ดออกไปจากจิตใจได้
    ต้องอาศัยปัญญา....(และ)ปัญญานั้นก็ต้องเกิดจากสมาธิ(เป็นเครื่องหนุน) ....ฯ."
    จาก บุญญาพาชีวิตรอด

    หลักปฏิบัติ สมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)
    - ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์
    อันมีสุขและกำลังยิ่ง
    หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)
    - ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง
    มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล
    อันเป็นปัญญายิ่ง
    ส่วนหลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา
    - เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นสุขและมีกำลัง
    แล้วเจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) จึงยังทั้งสุขและกำลังและปัญญาอันยิ่งขึ้นๆไป
    หนึ่งในสมถวิปัสสนาอันดีงามยิ่ง คือวิปัสสนาสมาธิ
    พนมพร
    วิปัสสนาสมาธิ
    คัมภีร์บางแห่งกล่าวถึง วิปัสสนาสมาธิ เพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง
    แทรกอยู่ระหว่างขณิกสมาธิ กับ อุปจารสมาธิ พึงทราบว่า วิปัสสนาสมาธิ นั้น ก็คือ
    ขณิกสมาธิที่นำไปใช้ในการเจริญวิปัสสนานั่นเอง
    และมีความประณีตขึ้นไปเพราะการปฏิบัติ......
    [พุทธธรรม หน้า ๘๒๘ โดย ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)]
    (webmaster - หมายความว่า
    เป็นการปฏิบัติโดยใช้สมาธิระดับขณิกสมาธิไปในการเริ่มพิจารณาธรรมหรือวิปัสสนา
    กล่าวคือใช้การพิจารณาธรรมนั้นเป็นอารมณ์หรือเป็นวิตกโดยตรงเลยนั่นเอง
    เมื่อดำเนินไปได้อย่างแนบแน่นในธรรม
    ซึ่งในบางครั้งหรือบางขณะก็จะเกิดความประณีตเลื่อนไหลไปสู่สมาธิในระดับละเอียดประณีตขึ้นไปได้เองเป็นลำดับด้วย
    จึงอาจเจริญสมาบัติระดับปณะณีตไปด้วยในที่สุด
    ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมิจฉาฌานหรือมิจฉาสมาธิชนิดไปติดเพลินหรือนันทิในองค์ฌานสมาธิอันยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสอีกด้วยอันมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มุ่งหวังในฌานสมาบัติระดับประณีตก่อน
    โดยขาดการวิปัสสนา, วิปัสสนาสมาธิจึงเป็นสมถวิปัสสนาอันดีงามยิ่ง เหมาะกับทุกเพศ
    ทุกฐานะ ฯ.)
    พุทธธรรม หน้า ๘๒๘
    มหามาลุงโกฺยวาทสูตร
    พระสูตรนี้ แสดงสมถวิปัสสนาในการปฏิบัติเพื่อการละสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำ
    หรือโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ กล่าวคือ แสดงสมถะในการปฏิบัติในรูปฌานและอรูปฌานทั้ง ๘
    พร้อมทั้งแสดงการเจริญวิปัสสนาเป็นลำดับต่อไปเป็นสำคัญ
    โยนิโสมนสิการโดยแยบคายจะพบว่า
    สามารถใช้การเจริญสมาธิ(สมาบัติ)ทุกระดับขั้นได้ในการเจริญวิปัสสนา(หมายถึงเมื่อถอนออกมาจากสมาบัติแล้วดำเนินการวิปัสสนา)
    ที่ต่างก็ล้วนยังผลให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ หรือละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
    ได้ตามกำลังอินทรีย์แห่งตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...