เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 กรกฎาคม 2024 at 19:41.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช เป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งของปวงชนชาวไทย คือเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา ในนามของคณะสงฆ์และคณะศิษย์วัดท่าขนุน ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    สำหรับวันนี้กิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำกันมาตั้งแต่เช้า ส่วนใหญ่แล้วก็ทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลต่อพระองค์ทั้งสิ้น คราวนี้ในส่วนที่พวกเราพร้อมใจกันทำนั้น ในทางโลก ๆ อย่างเก่งก็เห็นความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน แต่ว่าในอีกโลกหนึ่ง เรียกง่าย ๆ ว่า "โลกทิพย์" ก็ได้ คุณงามความดีที่เราทั้งหลายได้ทำไปนั้น รวมกันเป็นพลังงานจำนวนมหาศาล สามารถที่จะไป "คาน" กำลังฝ่ายไม่ดีเอาไว้ได้ อย่างน้อยก็อีกระยะหนึ่ง

    เราท่านทุกคนจะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนแก่พวกเราก็คือผลของกรรม ภาษาบาลีว่าวิปาก (วิ-ปา-กะ) คนไทยเรียกวิบาก พระองค์ท่านให้เราเชื่อกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม เชื่อว่ามนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามมีกรรมเป็นของตน และท้ายที่สุด เชื่อในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คราวนี้กรรมที่แปลว่าการกระทำนั้นเป็นคำกลาง ๆ ถ้าหากว่าทำดีก็เป็นกุศลกรรม แปลเป็นไทยชัด ๆ ว่ากระทำอย่างฉลาด ถ้าทำชั่วก็เป็นอกุศลกรรม แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่าทำแบบไม่ฉลาด

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งทั้งหลายที่ทำ
    เหล่านี้ย่อมเกิดผลทั้งสิ้น ในเมื่อมีผลการกระทำเกิดขึ้น พลังงานทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเกิดผลกระทบต่อทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกำลังของฝ่ายดีหรือว่าฝ่ายไม่ดี เมื่อรวมตัวกันมาก ๆ เข้าก็ส่งผลกระทบ ไม่ใช่แต่สรรพชีวิตเท่านั้น หากแต่หมายถึงโลก โลกในที่นี้ก็คือดวงดาวต่าง ๆ ที่มีมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ ทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ภัยต่าง ๆ รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะภัยจากธรรมชาติ

    การที่เราท่านทั้งหลายมาเจริญพระกรรมฐาน หรือว่ามาบวชปฏิบัติธรรม นอกจากจะเป็นการสร้างเสริมคุณงามความดีให้กับตนเองแล้ว กำลังที่พวกเราทำส่วนหนึ่งก็ยังไป "คาน" กับฝ่ายที่ไม่ดี ทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหาย ต้องบอกว่าเป็นความชาญฉลาดของบรรพบุรุษของเรา ที่กำหนดเอาวันสำคัญต่าง ๆ เป็นวันที่เราทั้งหลายได้เสริมสร้างความดี ในทาน ในศีล ในภาวนา นอกจากจะส่งผลให้เราได้อยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นทางอ้อมอีกด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    ในสมัยโบราณ ถ้าหากว่าดินฟ้าอากาศวิปริต ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาก็จะโทษว่าผู้ปกครอง ซึ่งสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นพระราชา กระทำในเรื่องที่ผิดศีลผิดธรรม จนกระทั่งดินฟ้าอากาศวิปริตผิดอาเพศ ก็จะรวมกำลังกันไปกดดัน บังคับผู้ปกครองคือพระราชา ให้ถือศีลปฏิบัติธรรม ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง เพื่อให้คุณความดีทั้งหลายเหล่านั้น ไปแก้ไขธรรมชาติที่วิปริตไปเพราะการกระทำของท่าน แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดผลดี

    แต่คราวนี้บ้านเราเมืองเรานั้น อำนาจในการปกครอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแบ่งปันให้กับทางรัฐสภา ให้กับวุฒิสภา และให้กับฝ่ายตุลาการ เรื่องที่ไม่ดีไม่งามทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงเป็นฝีมือการบริหารงานของบุคคลทั้งหลาย ที่รวมกันอยู่ในรัฐสภาบ้าง วุฒิสภาบ้าง คณะตุลาการบ้าง แล้วสมัยนี้ใครจะไปบังคับให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมาถือศีลปฏิบัติธรรมได้ ? ก็คงจะมีแต่คนบอกว่า "มันบ้า..!"

    เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่บุคคลทั่วไปมองไม่เห็น บอกกล่าวไปเขาจะว่าเราบ้าเสียมากกว่า แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความจริงที่มองเห็นกันได้ สัมผัสกันได้อยู่ในปัจจุบัน ว่าภัยธรรมชาติต่าง ๆ นั้นร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในเวียดนาม หรือว่าสงครามในประเทศลาว กระผม/อาตมภาพยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ ไม่ได้ฝึกฝนกรรมฐานจนกระทั่งรู้เห็นอะไรบางอย่างได้เหมือนสมัยต่อมา ก็ไม่เห็นว่าผลกระทบที่จะส่งผลต่อทั่วโลกนั้นเป็นอย่างไร

    แต่เมื่อมาถึงสงครามในอัฟกานิสถาน พอทางฝ่ายสหรัฐอเมริการะดมทิ้งระเบิดไป กระผม/อาตมภาพก็ว่า "งานนี้มีเฮ" เนื่องเพราะว่าแรงอัดที่เกิดจากระเบิดนั้น เมื่อรวมตัวกันมากเข้า ๆ คลื่นพลังงานก็จะดันไกลออกไปเรื่อย แล้วท้ายที่สุดก็กลายเป็นพายุทอร์นาโดถล่มสหรัฐอเมริกา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใกล้สถานที่นั้นเลย..!

    แล้วปัจจุบันนี้ก็ยังมีสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน อิสราเอลกับปาเลสไตน์ แล้วแต่ละฝ่ายก็มีคนถือหางอยู่ ยิ่งสู้รบกันด้วยขีปนาวุธและระเบิดชนิดต่าง ๆ มากเท่าไร ภัยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นพายุทอร์นาโด พายุเฮอร์ริเคน พายุไซโคลน ตลอดจนกระทั่งพายุไต้ฝุ่นก็จะรุนแรงมากขึ้น สังเกตง่าย ๆ แค่ว่า ที่ใดก็ตามถ้ามีการระเบิดหิน มีการสัมปทานเพื่อให้ทำปูนซีเมนต์ บริเวณนั้นจะหาฝนตกได้ยากมาก เนื่องเพราะว่าแรงระเบิดจะดันเมฆหนีไปที่อื่นจนหมด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,389
    ค่าพลัง:
    +26,204
    สมัยที่เจ้าคุณหลวงตา - พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี ไปอยู่ที่บริเวณวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ใหม่ ๆ ช่วงนั้นฝนฟ้าไม่มีตกเลย กระผม/อาตมภาพไปช่วยขุดดินปลูกต้นไม้ จนมือไม้แตกบรรลัยหมด..!

    เจ้าคุณหลวงตาต้องซื้อน้ำมารดต้นไม้ทีละคันรถ จนกระทั่งสามารถที่จะชนะ ทำให้ทางราชการระงับการผลิตปูนซีเมนต์จากบริเวณนั้น การระเบิดหินถึงได้หมดไป ทำให้มีฝนฟ้าตกลงมาตามฤดูกาลได้บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้ว ช่วงใหม่ ๆ ที่ไปอยู่แถวนั้น กระผม/อาตมภาพจะเป็นโรคปอดตาย..! อยู่แค่ ๔ วัน ๕ วันก็ไอค็อกไอแค็กแล้ว เนื่องเพราะว่ามีแต่ฝุ่นปูนเต็มไปหมด แล้วยุคนั้นก็ยังไม่มีหน้ากากอนามัยแพร่หลายเหมือนกับสมัยนี้ ต้องหาวิธีป้องกันเอาเอง

    เพราะฉะนั้น..วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ที่เห็นสวยงามกันอยู่ในปัจจุบันนี้ มองย้อนหลังไป ไม่ได้เป็นเช่นนั้นง่าย ๆ เลย เจ้าคุณหลวงตาท่านทุ่มเทแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ลงไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หมดสตางค์เมื่อไรก็ "เฮ้ย..เล็กโว้ย ยืมก่อนสี่แสน หาได้เมื่อไรแล้วค่อยคืน" ไม่น่าเชื่อว่าไปถึงแถวนั้นใหม่ ๆ ต้องขุดซีเมนต์เพื่อหาพื้นดิน ฝุ่นหินที่ตกลงมาสะสมไปเรื่อย ๆ กลายเป็นชั้นซีเมนต์ หนาประมาณเกือบ ๓ นิ้วมือ..! แล้วแบบนั้นถ้าอยู่ในปอดคนแล้วจะเหลือไหม ?

    นั่นก็คือในส่วนของกรรมที่คนเราได้ทำเอาไว้ แล้วส่งผลกระทบต่อธรรมชาติไปทั่ว เราท่านทั้งหลายจะต้องเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดา ถ้าหากว่ากระทำในสิ่งที่ดีงามย่อมได้รับผลดีตอบ กระทำในสิ่งที่เลวร้ายก็ย่อมได้รับผลร้ายตอบ

    ดังพระบาลีที่มีมาในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ที่ว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลที่ทำดีย่อมได้รับผลดี บุคคลที่ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
    ถ้าเรามองเห็นตรงนี้ สภาพจิตจะปล่อยวางได้ เราก็จะไม่ทุกข์มาก เพราะเห็นชัดเจนว่าธรรมดาเป็นเช่นนั้นเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...