เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,336
    ค่าพลัง:
    +26,093
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๗

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2024
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,336
    ค่าพลัง:
    +26,093
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดท่าขนุนของเรา เปิดเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว

    คราวนี้ส่วนหนึ่งที่อยากจะเตือนนักเรียนทั้งหลายเอาไว้ ก็คือว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเรียนบาลีอยู่ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.๙) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้เตือนกระผม/อาตมภาพว่า "ท่านเล็ก เรียนบาลีอย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาด บาลีเป็นของยาก ถ้าทิ้งสมาธิแล้วเราจะท้อ เมื่อไม่มีกำลังสมาธิช่วย ท้ายสุดอาจจะเรียนไม่สำเร็จเลยก็ได้"

    นี่เป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ซึ่งท่านจบประโยค ๙ ได้เตือนเอาไว้ หลวงพ่อสมเด็จ ฯ วัดสระเกศ ท่านเป็นสามเณรเรียนบาลีอยู่ปักษ์ใต้ ต้องเข้าไปนั่งสมาธิในป่าช้าอยู่ทุกวัน นั่งเสียจนงูคิดว่าเป็นท่อนไม้ก็เลยเลื้อยขึ้นมาบนตัก ท่านบอกว่าเพิ่งรู้เหมือนกันว่างูพิษนั้นตัวร้อนมาก คือโดยปกติงูเป็นสัตว์เลือดเย็น แต่งูพิษประเภทงูเห่า งูจงอาง ท่านสัมผัสมาด้วยตนเอง ท่านบอกว่าตัวร้อนมาก..!

    พวกเราไม่ต้องถึงขนาดไปนั่งสมาธิในป่าช้า แต่ว่ากรรมฐานเช้า ๆ เย็น ๆ ไม่ควรทิ้ง เพราะว่านอกจากจะช่วยให้เรามีกำลังในการสู้กับเรื่องเรียน เรื่องทางโลกแล้ว ยังทำให้เรามีกำลังในการต่อสู้กับ รัก โลภ โกรธ หลง อีกด้วย โดยเฉพาะทนต่อคำพูดของบุคคลอื่น..!

    วัดท่าขนุนของเรายังดีตรงที่ว่าคนอื่นไม่ได้เรียนด้วย แต่ก็ไม่ขัดขวางหรือไม่ใช้วาจาถากถาง แต่ว่าหลายสถานที่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น พอเห็นเริ่มเรียนบาลีก็ "เอ้า..ดูมัน..จะเป็นมหาประโยค ๙ แล้ว เดี๋ยวเราต้องรอไหว้ท่านตอนจบประโยค ๙ แล้วได้เป็นเจ้าคุณ..!" สารพัดที่จะพูดไป
    เรื่องพวกนี้ความจริงเราไม่ควรที่จะเอามาใส่ใจเลย แต่ด้วยความที่เป็นปุถุชนธรรมดา อดไม่ได้ที่จะเอามาคิด ทำให้เสียเวล่ำเวลาในการประพฤติปฏิบัติหรือการเรียนของเราไปเปล่า ๆ

    ตัวกระผม/อาตมภาพเองตั้งแต่เด็กที่เริ่มปฏิบัติธรรม ก็โดนครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูงว่า "บ้า" กันทุกคน แล้วท้ายที่สุด แม้แต่พี่น้องก็บอกว่าบ้า แต่ก็สู้ทนเรื่อยมา เพราะรู้ว่าเราทำอะไรแล้วจะได้อะไร จนกระทั่งท้ายสุด พระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล น้องชายของตัวเอง เพิ่งจะพูดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า "ถ้าสมัยนั้นผมทำอย่างหลวงพี่ ผมก็สบายไปแล้ว" กระผม/อาตมภาพจะตอบอะไรได้ นอกจากบอกว่า "ก็ตอนนั้นมึงว่ากูบ้านี่หว่า..!"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,336
    ค่าพลัง:
    +26,093
    เรื่องของกำลังใจ ความแน่วแน่ต่อเป้าหมายในชีวิตของเรา จัดอยู่ในหลักอิทธิบาท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเมื่อพอใจที่จะทำสิ่งนั้นแล้ว ก็พากเพียรทำไป กำลังใจปักมั่นไม่ท้อถอยจนกว่าจะประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกัน ก็มีการทบทวนอยู่เสมอว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ? ห่างไกลจากวัตถุประสงค์มากน้อยเท่าไร ? ต้องเร่งรัดตัวเองในจุดใดบ้าง ?

    ดังนั้น..ในคำว่า "อิทธิบาท" คือ "พื้นฐานที่สร้างความสำเร็จ" เป็นเรื่องที่จำเป็นในทุกงาน ถ้าหากว่าขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ก็ไม่สามารถที่จะสำเร็จได้ตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะภาษาบาลี กระผม/อาตมภาพเองยืนยันเองว่า ใครที่เรียนจบบาลีประโยค ๙ ได้ สามารถเรียนปริญญาเอกจบได้อย่างน้อย ๓ ใบ..! เพราะว่าความยากต่างกันถึงระดับนั้น

    แล้วท่านทั้งหลายถ้าหากว่าทำสำเร็จ ก็คือการสร้างสมณศักดิ์ให้กับตนเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างคุณงามความดีอื่น ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายสมณศักดิ์ "พระมหา" ให้ แล้วพระมหาประโยค ๓ ขึ้นไป ต้องบอกว่าแทบจะนั่งหน้าบรรดาฐานานุกรมระดับต้นทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายซึ่งสร้างตนเองด้วยการเรียนบาลี สามารถที่จะไขว่คว้าหามาได้ด้วยความสามารถของตน

    ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นอย่างหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (พระราชสังวรญาณ) วัดป่าสาลวัน ครูบาอาจารย์สายวัดป่ารูปหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเคารพมาก ท่านใช้การท่องบาลีเป็นคำภาวนา ท่องไปท่องมา เห็นตัวเองนั่งท่องบาลีอยู่ "แล้วไอ้ที่มองไอ้ตัวนั้นอยู่เป็นใคร ?" คือท่านภาวนาด้วยการท่องบาลี จนกระทั่งกายในหลุดออกไป ยืนมองตัวเองท่องบาลีอยู่ ก็แปลว่า
    ถ้าเรามีพื้นฐานของวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณมา ถ้าท่องหนังสือจนจิตสงบระดับหนึ่ง ความสามารถเดิม ๆ จะย้อนกลับมาเอง

    แต่คราวนี้นักเรียนบาลี ถ้าหากว่าเราจะภาวนา ให้ใช้พระคาถาที่ช่วยในเรื่องการเรียนก็ได้ ส่วนใหญ่นักเรียนบาลีในกรุงเทพก็ใช้คาถาสุนทรีวาณี ซึ่งเชื่อว่าเป็น "นางฟ้าผู้พิทักษ์พระไตรปิฎก" คาถามีดังนี้ มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภวะ สุนทะรี ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,336
    ค่าพลัง:
    +26,093
    แต่ว่าถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง มักจะใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ ก็คือ สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ ซึ่งภายหลังกระผม/อาตมภาพได้รับเพิ่มมา ท่านให้ต่อด้วย อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู ซึ่งท่านทั้งหลายจะใช้แค่ช่วงต้น หรือใช้ทั้งหมดก็ไม่เป็นไร

    หรือถ้าหมดท่าขึ้นมาก็เหรียญเสริมปัญญาก็ได้ เพราะว่าช่วงนี้เท่าที่เขาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง บางอย่างกระผม/อาตมภาพก็ "น้ำตาจิไหล" เหมือนกัน

    "หมอหนุ่ม" ที่ช่วยดูแลในเรื่องของอาการกระดูกทับเส้นประสาทของกระผม/อาตมภาพเล่าให้ฟังว่า มีคนไข้เป็นเด็กวัยรุ่น จะเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๔ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยด้วยโควต้านักกีฬา แต่ถึงจะเป็นโควต้านักกีฬาก็ต้องสอบเข้า ไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งใคร ก็เลยหันไปถามหมอหนุ่มว่า "อา..มีของดีอะไร
    ที่จะช่วยผมได้บ้างไหม ?" "หมอหนุ่ม" ก็เลยให้เหรียญเสริมปัญญาไป บอกคาถาให้ไปภาวนา เจ้าเด็กนั่นน่าจะไม่มีที่พึ่งอะไรแล้วจริง ๆ ก็เลยว่าเสียเต็มที่เลย

    เขาบอกว่าวันสอบเหมือนมีใครกางคำตอบทับอยู่หน้ากระดาษ หน้าที่ของเขาก็คือลอกให้ทันเท่านั้น อีกไม่กี่วัน ทั้งแม่ทั้งลูกเอากระเช้ามากราบขอบพระคุณ
    "หมอหนุ่ม" ที่ช่วย "หมอหนุ่ม" บอกว่าเป็นเหรียญของหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหมอเลย..!

    ส่วนอีกรายหนึ่งตั้งใจจะสอบ ก.พ. สอบมาหลายปีแล้วไม่ติดเสียที ไปหาลูกศิษย์สายวัดท่าขนุนท่านหนึ่ง ก็ได้เหรียญเสริมปัญญาพร้อมกับคาถาไป ไอ้เวรนั่นดันจำคาถาไม่ได้..! แต่ก็อาศัยนึกถึงเหรียญอย่างเดียว แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาลุยข้อสอบไป ปรากฏว่า "ฟลุค" หรือเปล่าไม่รู้ ? สอบได้เหมือนกัน..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,336
    ค่าพลัง:
    +26,093
    ดังนั้น..ใครจะใช้คาถาเสริญปัญญา ก็ภาวนา

    ปัญญาเสฏฐัง ปัญญาพะลัง ปัญญาปาสาทิโก ปัญโญภาโส ปัญญาปัชโชโต ปัญญาระตะนัง ภูริปัญโญ มหาญาณัง สัมปะฏิจฉามิ ดูก็ได้

    หรือจะเล่นหมดทั้ง ๓ บทก็ได้ มั่วดีเหมือนกัน..!

    เพราะว่าหลักใหญ่ ๆ ก็คือสร้างสมาธิให้เกิด คนที่สมาธิทรงตัว ความจำจะดีโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็แปลว่านอกจากต้องทนคำพูดของคนได้แล้ว ยังต้องอาศัยการ "เล่นของ" อยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นการเล่นในลักษณะที่ดี ก็คืออยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้

    กระผม/อาตมภาพเองนั้นต้องบอกว่าไม่มีบุญกับบาลี เพราะว่าไม่มีโอกาสสอบเอาประโยค แต่พอเวลาแปลหนังสือให้ฟัง บางทีเพื่อนจบประโยค ๙ แล้วยังงง ๆ ว่าไอ้ตัวนี้แปลแบบนี้ได้ด้วยหรือ ? ก็ถามท่านไปว่าแล้วความหมายได้ไหม ? ท่านบอกว่าได้ แล้วชัดเจนด้วย ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น

    เพราะว่าท่องบาลีไปเรื่อย ท่องบาลีไปเรื่อย อยู่ ๆ เหมือนมีอะไรแตกโป๊ะอยู่ในหัว แล้วเข้าใจขึ้นมาเอง ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ต้องบอกว่าต้องมี "ของเก่า" อยู่บ้าง แต่คราวนี้ในเมื่อไม่มีโอกาสที่จะไปสอบประโยคบาลี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็ถือว่าวาสนาของเราไม่มี คอยสนับสนุนพวกท่านไปก็แล้วกัน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...