เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 มีนาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ทางคณะสงฆ์หนกลางมีการจัดงานพิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศและผ้าไตร สำหรับพระครูสัญญาบัตร ทั้งที่ได้รับพระราชทานตั้งและได้รับพระราชทานเลื่อน ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง จังหวัดกาญจนบุรีก็ได้รับพระราชทานเลื่อนหลายรูปด้วยกัน และมีที่ได้รับพระราชทานตั้งใหม่อีกหลายรูปเช่นกัน

    ของอำเภอทองผาภูมินั้น ที่ได้รับพระราชทานตั้งผ่านพ้นไปแล้ว
    ส่วนที่ได้รับพระราชทานเลื่อนก็มี พระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก พระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ วัดเขื่อนวชิราลงกรณ เลื่อนขึ้นเป็นเทียบเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก แต่เนื่องจากว่าน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) พลขับของกระผม/อาตมภาพนั้น มีอาการเจ็บหัวเข่าเนื่องจากเอ็นอักเสบ กระผม/อาตมภาพจึงไม่ได้เดินทางไปยังสถานที่จัดพิธี ซึ่งก็คือวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง)

    แต่ปรากฎว่าอยู่สบายได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง พรรคพวกเพื่อนฝูงก็คือพระครูดิลกสุตคุณ (ทองดี วราสโย ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดตรีมิตรประดิษฐาราม เจ้าคณะตำบลรางหวายเขต ๑ ก็โทรศัพท์มาหา เนื่องจากว่าท่านเป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่นพระธรรมทูต เป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ บอกว่ากระผม/อาตมภาพที่เป็นประธานรุ่น ขอให้มาเป็นตัวแทนของเพื่อนทั้งรุ่นด้วย จึงกลายเป็น "ไฟต์บังคับ" ที่มิอาจจะปฏิเสธได้ ต้องให้น้องเล็กกัดฟันขับรถมาให้ทั้ง ๆ ที่หัวเข่าอักเสบ..!

    มาถึงวัดตรีมิตรประดิษฐาราม ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ เนื่องจากได้รับนิมนต์ว่าจะมีพิธีการฉลองสมณศักดิ์ตอน ๔ โมงเย็น แต่ปรากฏว่ารอไปจน ๖ โมงครึ่ง ถึงจะได้ขึ้นเจริญชัยมงคลคาถา ในพิธีฉลองสัญญาบัตร พัดยศและผ้าไตร พระครูดิลกสุตคุณ ที่ได้เลื่อนจาก
    พระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นโท ขึ้นเป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นเอก

    เรื่องเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำสำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็คือเมื่อจัดงานแล้วก็หาความตรงเวลาไม่ได้ หลังจากนั้น งานอื่น ๆ ก็จะต้องเสียเวลาทยอยไล่กันไป ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดผู้หนึ่งเสียหายในเรื่องทั้งหลายหรือไม่ ? แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ปรากฏเป็นที่ประจักษ์กันอยู่ทั่วไป

    มีแต่กระผม/อาตมภาพเท่านั้น ที่บรรดาชาวทองผาภูมิเขาบอกว่า "ตรงเวลาจนน่าเกลียด" เพราะว่าการคำนวณเวลาทุกอย่างนั้น ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะทำงานได้ทันตามกำหนดเวลา กระผม/อาตมภาพจะไม่ตั้งเวลากำหนดการเลย ถ้าหากว่าตั้งเวลา แปลว่าทุกอย่างต้องไปเป็นตามกำหนดการนั้น ๆ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ดังนั้น..ในส่วนนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ในเรื่องของความตรงต่อเวลาของคนไทยเรานั้น เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก บุคคลที่ตรงต่อเวลากลายเป็นบุคคลที่ต้องเสียเวลา ไปรอบุคคลที่ไม่ตรงต่อเวลาเสมอ ซึ่งการตรงต่อเวลานั้น เป็นการวัดบารมีที่ชัดเจนที่สุด ก็คือทำให้เห็นว่า ท่านทั้งหลายมีสัจจบารมีเต็มแล้วหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่มีสัจจบารมีเต็มครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกอย่างจะเป็นไปตามเวลา "มีแต่ก่อน ไม่มีหลัง" แต่ถ้าหากว่าสัจจบารมียังบกพร่องอยู่ ก็จะมีความผิดพลาด ไม่ตรงเวลากันเป็นเรื่องปกติ

    กระผม/อาตมภาพนั้นมีนิสัยตรงต่อเวลาตั้งแต่ฆราวาสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของฆราวาสทั่วไป หรือตลอดจนกระทั่งชีวิตของความเป็นทหารก็ตาม ในชีวิตฆราวาสนั้น กระผม/อาตมภาพจะไปถึงงานก่อนเวลาอย่างน้อย ๑๕ นาทีเสมอ และจะรอจนเลยเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าหากว่าเกินครึ่งชั่วโมงเมื่อไร กระผม/อาตมภาพก็จะไปทำธุระของตนเองต่อทันที ถือว่าบุคคลที่ผิดในครั้งนี้ไม่ใช่เรา..!

    ส่วนในขณะที่เป็นทหารนั้น วัน ว. เวลา น. เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเป็นการเข้าตีข้าศึก ถึงเวลาแล้วปืนใหญ่ของฝ่ายเราก็จะยิงปูพรมเข้าไปก่อน ถ้าเราไม่สามารถที่จะเคลื่อนกำลังไปสู่จุดนัดพบได้ตรงเวลา อาจจะต้องตายด้วยอาวุธหนักของฝ่ายเดียวกัน..!

    ดังนั้น..ในเมื่อตนเองก็เป็นคนตรงต่อเวลา แล้วยังได้รับการฝึกฝนอบรมมาจากวิชาทหารอีก จึงทำให้กระผม/อาตมภาพโดนชาวบ้านต่อว่าในเรื่องที่ว่าตรงเวลาจนน่าเกลียด แต่ก็ยินดีที่จะให้ญาติโยมต่อว่าต่อไป เพราะว่าทุกคนที่มางานวัดท่าขนุนนั้น สามารถที่จะคำนวณได้เลยว่า ตนเองจะรับงานต่อไปได้หรือไม่ ? เพราะว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกำหนดการทั้งสิ้น

    สำหรับในเรื่องของสมณศักดิ์ พัดยศ ผ้าไตรพระราชทานต่าง ๆ นั้น ถ้าหากว่าจะว่าไปแล้ว ในทางด้านพระภิกษุสงฆ์ของเราก็ต้องใช้คำว่า "ยศช้างขุนนางพระ" ก็คือต่อให้แต่งตั้งยศให้กับช้างเป็นคุณพระหรือว่าเป็นพระยาก็ตาม ช้างก็ยังคงกินกล้วย กินอ้อย กินหญ้าอยู่เหมือนเดิม

    ส่วนพระของเรานั้นจะต้องเป็นผู้มีจิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือว่าความ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ในโลกธรรมทั้ง ๘ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงไม่ควรที่จะทำให้เรายินดียินร้ายมากจนเกินไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    แต่ว่าในส่วนที่ยินดีมาก ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นลูกศิษย์ลูกหา หรือญาติโยมที่มาให้การอุปถัมภ์ค้ำชูวัดวาอาราม ตลอดจนกระทั่งหลวงปู่หลวงพ่อท่านนั้น ๆ เมื่อเห็นหลวงปู่หลวงพ่อของตนได้ยศได้ตำแหน่ง หรือว่าเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ก็มักจะยินดีมากกว่าทางผู้ที่ได้รับเลื่อนรับแต่งตั้งเสียอีก แต่ว่าก็เป็นเรื่องปกติของปุถุชนทั่ว ๆ ไป เนื่องเพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี

    เพียงแต่ว่าพระภิกษุสงฆ์ของเรานั้น ควรที่จะรักษากำลังใจของตนให้มั่นคง ถ้าหากว่าไม่หวั่นไหวไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่หวั่นไหวไปกับการ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านทั้งหลายนั้นอยู่ในด้านที่ดี มีความมั่นคงเพียงพอที่จะฝ่ากระแสกิเลสไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ก็คือการบวชเข้ามาเพื่อความพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถที่จะไปให้พ้นทุกข์ได้ในชาตินี้เลยทีเดียว อย่างน้อยท่านทั้งหลายก็ยังมีเกาะ ก็คือที่มั่นของตนเองอยู่กลางกระแสแห่งโอฆสงสาร หรือถ้าหากว่าก้าวขึ้นเหยียบฝั่ง แม้ว่าจะไม่เต็มเท้านัก แต่อย่างน้อย ๆ ท่านก็ไม่ต้องลอยคออยู่ในทะเลทุกข์เนิ่นนานเหมือนอย่างกับคนอื่นเขา

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่บรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายควรที่จะต้องฝึกฝนกำลังใจของตนเอง เมื่อประสบกับสิ่งที่ดี ก็อย่าให้ยินดีฟูฟ่องจนเกินไป เมื่อประสบกับสิ่งที่ร้าย ก็อย่ายินร้ายจนกระทั่งห่อเหี่ยวฟุบแฟบ ถึงขนาดหมดกำลังใจท้อแท้ไปเลย

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าจะได้รับการฝึกฝนขัดเกลามามากน้อยเท่าไร เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า
    ครูบาอาจารย์แต่ละรูปแต่ละท่านนั้น นอกจากมีความสามารถไม่เสมอกันแล้ว ยังมีแนวทางในการสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาพระภิกษุสามเณรต่าง ๆ กันไป ท่านใดที่มีครูบาอาจารย์เข้มงวดกวดขัน พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็จะบ่มเพาะ ขัดเกลาท่านทั้งหลาย ให้ไปอยู่ในกระแสด้านที่มีโอกาสจะล่วงพ้นจากกองทุกข์
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,529
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ส่วนท่านใดที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ขัดเกลาให้ท่านไปทางคันถธุระ ท่านทั้งหลายก็จะต้องทำหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียน เพื่อรักษาพระพุทธวจนะอันถูกต้องเอาไว้ จะได้สืบทอดอายุพระศาสนาต่อไป แต่ว่าโอกาสที่ท่านจะล่วงพ้นจากกองทุกข์ทีเดียวก็จะมีน้อยกว่าคนอื่นเขา เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะตำหนิใครได้ว่า "คุณยินดียินร้ายจนเกินไป" หรือว่า "คุณสามารถทำใจปล่อยวางได้ดีแล้ว" เป็นต้น

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับตนเองและคนรอบข้าง ว่าจะช่วยกันบริหารจัดการอย่างไร ถึงจะให้ออกมาในลักษณะที่ดีที่สุด ไม่ได้ "เว่อร์วังอลังการ" ถึงขนาด จัดขบวนแห่กันทีหนึ่งเป็นที่เลื่องลือกันไปทั้งประเทศ..! ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็เป็นการสิ้นเปลืองจนเกินไป

    โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดงานฉลองนั้น สมัยที่พระเดชพระคุณพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D.) ที่ปรึกษาคณะสงฆ์วัดสามพระยา วรวิหาร ท่านยังเป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ อยู่ ในสมณศักดิ์ที่พระเทพสุธี กระผม/อาตมภาพฉลองตำแหน่งเจ้าคณะตำบล พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็ถามว่า "แกจะฉลองให้เปลืองตังค์ไปทำไมวะ ?"

    กระผม/อาตมภาพกราบเรียนว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อขอรับ กินของพรรคพวกเพื่อนฝูงเขามามากต่อมากแล้ว ถึงคิวตัวเอง ถ้าไม่จัดงานฉลอง มีหวังบาทามารอบทิศแน่นอนเลยครับ..!" พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลกในสมัยนั้น พอได้รับฟังเหตุผลก็พยักหน้าอนุญาต บอกว่า "เออ..ถ้าคิดอย่างนั้นก็แล้วไป แต่ข้าไม่อยากให้ทุกคนต้องมาสิ้นเปลืองกับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เลย"

    เราจะเห็นได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านนั้น มีความมั่นคง ไม่ได้หวั่นไหวไปกับเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือว่าการ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ดังนั้น..เมื่อโดนข้อหา โดนคดีเงินทอน ท่านก็มิได้หวั่นไหว ปล่อยให้เขาดำเนินการไปตามพิธีการทางโลก จนกระทั่งผ่านพ้นมาด้วยดี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์กลับคืนมาเป็นพระพรหมดิลกเหมือนเดิม ท่านเองก็ไม่ได้ยินดียินร้ายมากมาย แถมยังทำองค์ท่านเอง ตลอดจนกระทั่งว่ากล่าวสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า "เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องของ "ยศช้าง ขุนนางพระ" ได้มาก็ไม่ควรดีใจเกินไป เสียไปก็ไม่ควรยินร้ายจนเกินไป รักษาใจเอาไว้ได้ เราก็จะมีความสุข มีความทุกข์น้อยกว่าคนอื่นเขา"

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...