เทศน์วันวิสาขบูชา วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 พฤษภาคม 2025 at 10:10.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    เทศน์วันสงกรานต์
    วันอังคารที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    พระธรรมเทศนา โดย พระมหาอุตตรา อุตฺตโร ป.ธ. ๖



    https://www.youtube.com/live/LFEn1EURHmE เทศน์เริ่มนาทีที่ ๑๓.๑๐

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส
    อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธิํ
    อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสิํ
    อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ ฯ

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวิสาขปูชากถา เพื่อเป็นเครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับสติปัญญาบารมี ของท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่ได้น้อมกายใจเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้ ตามนัยแห่งพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรมปิฎก

    ฉะนั้นจะขอหยิบยกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาชี้แจงแสดงเป็นลำดับสืบไป ดังมีใจความตามพระบาลีที่ยกขึ้นเป็นอุเทศบทว่า..
    อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส
    อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธิํ
    อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสิํ
    อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ฯ


    ซึ่งแปลเป็นใจความตามภาษาไทยได้ว่า..
    "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก
    เราจึงได้ปฏิญาณตนว่า
    เป็นผู้ตรัสรู้แล้วซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน
    และประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท"
    ดังนี้

     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อเทศกาลวันวิสาขบูชามาถึง พระประวัติอันงดงามของพระพุทธเจ้าก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ยังไม่เคยมีประวัติความเป็นมาของมนุษย์ เทวดา หรือพระพรหมองค์ใด ที่จะมีความมหัศจรรย์อันน่าศรัทธาได้เสมอเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา

    พระองค์ทรงเป็นผู้เลิศทางด้านสติปัญญา ประเสริฐสุดในความบริสุทธิ์ผุดผ่องแห่งพระหฤทัย ยิ่งใหญ่ในความกรุณา นี่ก็คือเหตุให้เกิดศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชน พากันทำอาหารใส่บาตร ผู้เฒ่าผู้แก่เข้าวัดรักษาศีล พ่อบ้านแม่บ้านก็พาลูกหลานมาไหว้พระขอพร ตกค่ำก็พากันเข้าวัดฟังพระธรรมเทศนา เสริมสติให้คมกล้า เพิ่มปัญญาให้แจ่มใส ส่วนมือก็ประนมถือธูปเทียนและดอกไม้ เพื่อใช้เป็นเครื่องสักการะ เดินเวียนประทักษิณบูชาองค์พระพุทธปฏิมาและพระเจดีย์

    กำเนิดวันวิสาขาบูชานั้นเกิดขึ้นเมื่อ ๒,๖๔๘ ปีที่แล้วมา วันหนึ่ง..พระนางสิริมหามายา พระอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช บรมกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระนางทรงพระครรภ์ถ้วนทศมาส ก็ได้เสด็จไปยังเทวทหะ พระนครหลวงของพระประยูรญาติ

    เมื่อเสด็จถึงป่าลุมพินีวัน ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ ขณะนั้นพระครรภ์ของพระนางก็เกิดอาการปั่นป่วน มีอันให้ทราบว่าพระสูติกาลจะบังเกิด ณ บัดเดี๋ยวนี้ เหล่านางสนมจึงได้ร่วมใจกันกางกั้นม่านผ้า เมื่อถึงเวลามงคลกาล พระราชกุมารพระโพธิสัตว์ ก็ได้เสด็จออกจากพระครรภ์ของพระมารดา เสด็จดำเนิน ๗ ก้าว มีปทุมชาติรองรับฝ่าพระบาท ๗ ดอก แล้วจึงได้เปล่งอาสภิวาจา มีใจความว่า..

    อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส
    เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส
    เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส,
    อยมนฺติมา เม ชาตินตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ


    แปลเป็นใจความได้ว่า..
    "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก
    เราเป็นผู้เจริญสูงสุดแห่งโลก
    เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
    การเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บัดนี้..ชาติภพใหม่ไม่มีแก่เรา"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    เหตุการณ์นี้ก็ได้ส่งผลให้มีเหตุอัศจรรย์ ที่พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณนาเอาไว้ในโพธิสัตตธัมมตาวรรณา อรรถกถา ทีฆนิกายมหาวรรค เป็นต้นว่า..

    หมื่นโลกธาตุเกิดความสะท้านสะเทือนหวั่นไหว เหล่าเทพในจักรวาลก็ได้ทำการสันนิบาต แม้แต่คนวิปลาสก็ได้สติระลึกรู้ คนที่พิการ แม้จะเป็นทางสายตา ทางหู ก็พลันมองเห็น ได้ยินเสียง นี่เป็นบุรพนิมิตแห่งการเสด็จอุบัติของพระโพธิสัตว์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยพระบารมี ผู้ที่จะยังโลกนี้และเทวโลกให้หายโศกหายเศร้า ให้บรรเทาความลุ่มหลงมืดมน ด้วยสาดแสงแห่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ นี่ก็คือเหตุอัศจรรย์ครั้งที่ ๑ ซึ่งเกิดในวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งก็คือวัน ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ นั่นเอง

    ครั้นเวลาล่วงเลยจากนั้นมา ๒๙ ปี พระบรมโพธิสัตว์ก็เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์สู่ป่า เพื่อที่จะเสาะแสวงหาซึ่งโมกขธรรม ก็ได้ท่องเที่ยว ตรากตรำคลำหาเส้นทางสู่ความหลุดพ้น เฝ้าคิดค้นศึกษาทดลองในสำนักของอาจารย์ทั้งสอง ซึ่งก็คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร จนสิ้นสุดขอบเขตวิชาของอาจารย์ จึงได้ทรงตระหนักรู้ว่า นี่ก็ยังไม่ใช่หนทางสู่ความพ้นทุกข์

    จึงได้เสด็จจาริกต่อไปเพื่อแสดงหาวิมุตติ ได้หยุดเข้าจำกระทำความพากเพียรอยู่ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เขตแคว้นมคธ ได้ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ในที่สุดก็ทรงมั่นพระทัยได้ว่า นี่ก็ยังไม่ใช่หนทางที่ทรงประสงค์ จึงได้หยุดการทรมานพระวรกาย หันมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    เช้าวันหนึ่ง..หลังจากที่เสวยข้าวมธุปายาส ที่นางสุชาดานำใส่ถาดทองคำมาถวาย จึงได้เสด็จไปอธิษฐานลอยถาดทอง ณ แม่น้ำเนรัญชรา ว่า..หากตัวเรานี้จะบรรลุซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณไซร้ ก็ขอให้สายธารอย่าได้พัดพาถาดทองนี้ไหลลงไป ขอให้มุ่งตรงย้อนทวนสายน้ำ

    ฉับพลันนั้นเอง..เหตุอัศจรรย์ก็ปรากฏ..! ถาดทองไม่ได้ไหลไปตามแม่น้ำ แต่กลับมุ่งตรงทวนสายธารขึ้นไป ฉับพลันพระทัยก็เบิกบาน จึงได้เสด็จกลับมาประทับนั่งอยู่เหนือบัลลังก์ กระทำต้นพระศรีมหาโพธิ์ไว้เบื้องหลัง หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงอธิษฐานพระทัยว่า ถ้ายังไม่บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะไม่ลุกขึ้น

    ในที่สุดพระองค์ก็ได้บรรลุถึงซึ่ง "สัจจะ" ก็คือ "ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ" ก็คือตรัสรู้ใน "อริยสัจ ๔" อันประกอบไปด้วย

    ๑) "ทุกข์" ก็คือ ความบีบคั้นทางกาย ทางใจ ทรงรู้ชัดว่าทุกข์เป็นสิ่งที่จะต้องกำหนดรู้ และพระองค์ก็กำหนดรู้ไปแล้ว
    ๒) "สมุทัย" ก็คือ สาเหตุแห่งความเกิดทุกข์ อันได้แก่ ตัณหา ก็ทรงรู้ชัดว่าตัณหาเป็นสิ่งที่จะต้องละ และพระองค์ก็ละแล้ว
    ๓) "นิโรธ" ก็คือ ความดับทุกข์ ทรงรู้ชัดว่านิโรธ เป็นสิ่งที่จะต้องกระทำให้แจ้ง พระองค์ก็ทรงได้
    ทราบว่าได้กระทำให้แจ้งแล้ว
    ๔) "มรรค" ก็คือ หนทางให้ถึงความดับทุกข์ ทรงรู้ชัดว่ามรรคเป็นสิ่งที่จะต้องเจริญ และพระองค์ก็ได้เจริญแล้ว


    เมื่อทรงรู้ชัดดังนี้แล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ปฏิญาณประกาศตน อันปรากฏอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นปฐมเทศนาว่า "อนุตตรํ สมฺมาสมฺโพธิํ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสิํ" แปลเป็นใจความว่า "เราจึงได้ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้แล้วซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ"

    โลกที่เคยมืดมนอยู่ในขอบข่ายของมารมาแต่ก่อน ก็ได้ถูกเพิกถอน ด้วยพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่าทวยเทพและมวลมหาพรหม ก็ได้ชื่นชมและสาธุการแซ่ซ้อง จนหมื่นห้องแห่งจักรวาลก็สะท้านสะเทือนหวั่นไหว นี่ก็คือ เหตุอัศจรรย์ใจในวาระที่ ๒ ซึ่งก็เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ก็คือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหมือนกัน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    ครั้นเมื่อทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ควงต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ก็ได้เสด็จจาริกไปแสดงพระธรรม โปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลาถึง ๔๕ ปี บัดนี้..พระสาวก พุทธบริษัท ผู้ได้สดับพระธรรมจนสงบระงับดับเย็นเป็นจำนวนมาก พระสาวกเหล่านั้นก็มีความสามารถอาจหาญในการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พระองค์จึงได้ทรงวางพระทัยว่า ถึงแล้วกาลสมัยที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงได้เสด็จออกจากหมู่บ้านเวฬุคาม แว่นแคว้นวัชชี เสด็จไปยังเมืองกุสินารา

    ครั้นแล้วจึงได้เสด็จเข้าไปในป่าสาลวโนทยาน อันเป็นสถานที่ของเหล่าเจ้ามัลลกษัตริย์ ขึ้นประทับเหนือแท่นพระบรรทม ทรงสำเร็จอนุฏฐานไสยาสน์ ก็คือ การประทับบรรทมโดยไม่มีการเสด็จลุกขึ้นอีก

    เหล่าเทวดาก็ได้โปรยปรายดอกไม้ และของหอมอันเป็นทิพย์ หอมตลบอบอวลทั่วทั้งสาลวโนทยาน จากนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร จึงได้ทรงเปล่งพระปัจฉิมโอวาทว่า..
    "หนฺททานิ ภิกฺขเว
    อามนฺตยามิ โว
    วยธมฺมา สงฺขารา
    อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ"


    แปลเป็นใจความว่า "ดูก่อน..ท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏะทั้งหลาย บัดนี้..เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท"

    พระโอวาทครั้งสุดท้ายที่ทรงประทานมา ก่อนที่เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน นับเป็นมรดกธรรมอันล้ำค่ำ พลันนั้นปฐวีก็เกิดหวั่นไหวสะท้านสะเทือน นี่ก็เป็นปรากฏการณ์สำคัญในวาระที่ ๓ ซึ่งก็บังเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ก็คือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหมือนกัน

    เพราะความอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เกิดขึ้นในวันเพ็ญกลางเดือน ๖ พุทธบริษัทจึงได้เชิดชูบูชาพระรัตนตรัยอย่างยิ่งใหญ่ และเรียกวันนี้ว่า "วันวิสาขบูชา" ทางรัฐบาลเองก็ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ และเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ ในการประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การยูเนสโก จึงได้มีมติให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก เรียกอย่างเป็นทางการว่า "วันสันติภาพโลก"
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในเรื่องของเจดีย์ทองคำ ซึ่งปรากฏมาในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท มีใจความโดยสรุปว่า การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา คือ พระพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวก เป็นต้น ด้วยอามิส คือ เครื่องสักการะ มีดอกไม้ธูปเทียนเป็นต้น เป็นเหตุให้ได้บุญมาก เกินกว่าที่ใครจะนับได้ก็จริงอยู่ แต่ว่าก็เป็นผลเฉพาะบุคคล เป็นกุศลเฉพาะส่วนตัว

    แต่ในมหาปรินิพพานสูตร พระองค์ทรงแสดงว่า หากพุทธบริษัทกระทำการบูชา ด้วยอามิสบูชาเพียงอย่างเดียว ไม่ฝักใฝ่ในพระธรรม พระพุทธศาสนาจะไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้ แต่หากพุทธบริษัทยังศึกษาพระธรรม แสดงพระธรรม สาธยายพระธรรม ตรึกตรองพระธรรม และน้อมนำพระธรรมมาปฏิบัติอยู่ตราบใด พระพุทธศาสนาก็ยังชื่อว่าดำรงคงอยู่ตราบนั้น

    ดังนั้น..พวกเราเหล่าพุทธบริษัท เมื่อได้ทำบุญในวันวิสาขบูชาด้วยอามิสบูชาอย่างนี้แล้ว ก็ควรที่จะบำเพ็ญกุศลที่สูงขึ้น ด้วยการปฏิบัติตามอธิษฐานธรรม ซึ่งก็คือ ธรรมะที่เป็นเครื่องตั้งมั่น ประดิษฐานตน เพื่อให้สามารถบรรลุผลเป้าหมายสูงสุด มีอยู่ ๔ ประการ ประกอบด้วย

    ๑) ปัญญา คือ ความหยั่งรู้ในเหตุผล พิจารณาให้เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลาย จนเข้าถึงความจริงของสิ่งนั้น ๆ
    ๒) สัจจะ คือ ความตั้งมั่นอยู่ในความจริง ที่กลั่นกรองจนรู้ชัดด้วยปัญญาแล้ว
    ๓) จาคะ คือ สละสิ่งที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความจริง นับตั้งแต่สละสิ่งของ จนถึงการสละกิเลส
    ๔) อุปสมะ คือ การสงบระงับความวุ่นวายอันเกิดจากกิเลส ทำจิตใจให้สงบเย็น ปลีกเร้นจากความขุ่นมัว
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย ขอให้พวกเราพิจารณาดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง แรกประสูติ..พระองค์ก็ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่เอาไว้ โดยการพัฒนาตนเองก่อน ด้วยการปลดเปลื้องพันธนาการในชีวิต สร้างอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ด้วยการฝึกฝนพระองค์จนบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วจึงช่วยเหลือหมู่เวไนยสัตว์ นี่ก็คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตด้วยปัญญา อันเป็นอธิษฐานธรรมข้อที่ ๑

    เมื่อพระองค์ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว จึงได้ใช้สัจจะ ความจริงใจในการฝึกฝน โดยยอมตนเป็นลูกศิษย์ของผู้อื่น เมื่อยังไม่บรรลุผลตามที่คาดหวัง พระองค์ก็ไม่หยุดยั้งล้มเลิก ทรงหันไปบุกเบิกทรมานตน ตามที่เชื่อกันมานาน

    เมื่อยังไม่ถึงหลักการเป้าหมาย พระองค์ก็ยังไม่ทรงเบื่อหน่ายท้อแท้ แต่ค่อย ๆ พิจารณา จนพอมั่นใจแล้วว่า นี่คือหนทางที่แท้จริง จึงตั้งสัจจะครั้งสำคัญว่า แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งหายไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ไว้ก็ตามที ถ้าเรานี้ยังไม่บรรลุซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะไม่ทิ้งหลักการหลบหนี นี่ก็คือ การตั้งสัจจะ อันเป็นอธิษฐานธรรมข้อที่ ๒

    ในการบำเพ็ญมาตั้งแต่ต้น พระองค์ก็ได้เสียสละมาหลายอย่าง เสียสละความนุ่มนวลบนพระแท่นที่น่ารื่นรมย์ มาบรรทมบนพื้นดินแข็ง ๆ กระด้าง ๆ สละความรื่นเริงในหมู่ญาติ มาจาริกด้วยสองพระบาทเพียงลำพัง สละพระกระยาหารอันรสเลิศ พอใจกับอาหารบิณฑบาตตามแต่จะได้ สละผ้าไหมแพรพรรณอันเลิศหรู ยินดีอยู่กับผ้าบังสุกุลที่เปื้อนฝุ่นดินโคลน

    ครั้นเมื่อได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ถือว่า เป้าหมายได้สำเร็จลงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็คือ การแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ พระองค์ทรงสละวิมุตติสุข อันเป็นวิหารธรรมเพียงลำพัง ทรงเที่ยวแสดงพระธรรมแก่มหาชน โดยไม่เลือกเพศ ชั้น วรรณะ นี่ก็คือ ความเสียสละอันเป็นจาคะ อธิษฐานธรรมในข้อที่ ๓

    หากว่าเราพิจารณาให้ชัดเจน ก็จะเห็นเป้าหมายที่พระองค์ทรงตั้งเอาไว้ ทั้งที่เป็นส่วนของพระองค์เอง และที่ทรงมุ่งหวังตั้งไว้เพื่อหมู่เวไนยสัตว์ นั่นก็คือ ความสงบสงัดจากกิเลสในจิตใจ พระองค์ก็ได้ใช้หลักธรรมส่องนำทาง

    อันว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น แจ่มแจ้ง ชัดเจน สงบเย็น และก็งดงามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และในที่สุด เป็นประทีปส่องนำทางแก่คนที่ยังเวียนวนอยู่ในความมืดมิดแห่งอวิชชา อันมีผลทำให้ผู้ที่ได้ดื่มด่ำ ปลาบปลื้มประโลมจิต เป็นโอสถถอนพิษคลายรุ่มร้อน ช่วยบั่นทอนความยึดมั่นในสันดาน นี่ก็คือ การบำเพ็ญอุปสมะ อันเป็นอธิษฐานธรรมข้อที่ ๔
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    สำหรับพวกเรา..เมื่อจะปฏิบัติตามหลักอธิษฐานธรรมเบื้องต้น เราก็ควรตั้งเป้าหมายชีวิตเอาไว้ให้มั่นคง ชีวิตก็คือร่างกายกับจิตใจ การตั้งเป้าหมายชีวิต ก็คือการตั้งเป้าหมายของร่างกายและเป้าหมายของจิตใจ

    เป้าหมายของร่างกายสูงสุดก็อยู่ที่ ความแข็งแรง ไม่มีโรคภัย หรือมีก็ให้น้อยที่สุด ดังพระบาลีที่ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา" แปลว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ส่วนเป้าหมายของจิตใจ สูงสุดก็อยู่ที่ความสุขอันเกิดจากความสงบ ดังพระบาลีที่ว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" แปลว่า ความสุขอื่นที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี

    ร่างกายต้องหมั่นออกกำลังกาย ไม่รับประทานเฉพาะอาหารที่มีรสอร่อย แต่ต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รับประทานให้พอดี ไม่มากไม่น้อยไป พักผ่อนหลับนอนให้เพียงพอ จึงจะแข็งแรง ไม่มีโรคภัย

    ส่วนจิตใจก็ต้องหมั่นฝึกฝน ให้จิตนิ่ง ๆ พิจารณาให้เห็นความจริงของทุกสิ่ง ที่จิตสัมผัสรับรู้ นั่นก็คือ

    ๑) ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ หากแต่จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย
    ๒) สิ่งที่จิตรับรู้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็ตั้งอยู่ไม่นาน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

    เมื่อฝึกฝนจิตใจ พิจารณาเช่นนี้ จึงจะพบกับความสุขอันเป็นเป้าหมายตามที่หวัง

     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    ขั้นต่อไปก็คือ การใช้สัจจะ อันได้แก่ความจริงใจ ไม่ทอดธุระในการฝึกฝน อันจะนำไปสู่เป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้

    จริงใจที่จะออกกำลังกาย แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยในตอนแรก ๆ จริงใจในการที่จะหมั่นบำเพ็ญภาวนา ฝึกใจให้สงบ แล้วนำร่างกายที่แข็งแรง ความนิ่งของจิตใจที่ได้จากการฝึก นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ฝึกความแข็งแรงของร่างกาย เสริมความสงบให้จิตใจ กายจะแข็งแรงต้องเคลื่อนไหว จิตจะผ่องใสต้องสงบนิ่ง

    ต่อมาก็คือ การพัฒนาจาคะ ในการตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว แล้วก็ฝึกฝน หากจะมีปัญหาอุปสรรคใดมาขัดขวาง เราก็ต้องตั้งมั่นอยู่ในการสละ เช่นการช่วยเหลือผู้อื่นทางด้านทรัพย์สินเงินทอง เราก็ต้องสละความตระหนี่ยึดมั่นในใจก่อน จึงจะสามารถหยิบยื่นแบ่งปัน

    ในการออกกำลังกายและการฝึกสมาธิ เราก็ต้องสละความเกียจคร้าน ยอมปวดเมื่อยในช่วงแรก ๆ การออกกำลังกาย หรือการฝึกสมาธิก็เหมือนกัน เริ่มแรกก็จะมีอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขบ แต่ไม่นานก็จะเคยชินในการฝึกฝนสู่ความดีงามได้

    ขั้นสุดท้ายก็คือ การใช้อุปสมะ อันได้แก่การตั้งความสงบเอาไว้เป็นเป้าหมายในชีวิต พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา อย่าได้ประมาทในชีวิต เปิดดวงตาแห่งปัญญาดูเอาเถิด ในความแข็งแรงก็มีความเจ็บป่วยอยู่ในที่สุด สมบัติก็คือความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง ก็ยังมีวิบัติ คือ ความพร่อง สูญสลายปลายทาง ชีวิตทั้งหลายมีความตายรออยู่ ไม่เว้นแม้แต่องค์พระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ก็ยังเสด็จสู่มหาปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน ๖

    ความจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้ ก็ล้วนแล้วแต่มีความเปลี่ยนไป เคลื่อนไหวอยู่ทุกเวลา เราจึงควรตั้งความสงบ ตั้งความสงัดเงียบในกายใจ เพื่อดูความเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา พิจารณาด้วยปัญญาให้เข้าถึง

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย อธิษฐานธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ มีผลให้ผู้ประพฤติปฏิบัติสมหวังได้ ตามเป้าหมายสูงสุด ตามแบบอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญมา
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    และในท้ายที่สุด ก็ได้สรุปพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงมาทั้งหมดลงอยู่ในความไม่ประมาท อันเป็นปัจฉิมโอวาท ก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน สมดังพระบาลีที่ได้ยกขึ้นเป็นอุเทศบท ณ เบื้องต้นเอาไว้ว่า
    อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส
    อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธิํ
    อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญฺญาสิํ
    อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ


    แปลเป็นใจความว่า "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราจึงปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด" ดังนี้

    ซึ่งการประกาศอาสภิวาจาในวันประสูติ การปฏิญาณพระองค์ว่าได้รู้ชัดตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันตรัสรู้ และการตรัสปัจฉิมโอวาท ในวันเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน ทั้ง ๓ ประการนี้ก็เกิดขึ้นในวันเพ็ญกลางเดือน ๖ ก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ชาวพุทธเรียกกันว่าวันวิสาขบูชานั่นเอง จึงได้เกิดศรัทธา น้อมกายน้อมใจ มาบำเพ็ญบุญกุศลตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,775
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +26,609
    เทสนาวสาเน ในที่สุดลงแห่งพระธรรมเทศนานี้ ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส เป็นบ่อเกิดแห่งศิริมงคล และขอบุญกุศลที่พุทธบริษัทได้บำเพ็ญปฏิบัติมา ด้วยศรัทธามั่นคง จงดลส่งให้ทุก ๆ ท่านปราศจากโรคาพาธ นิราศอุปัทวันตราย สำเร็จตามความมุ่งหมายจงทุกประการ

    แสดงพระธรรมเทศนามา ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

    พระมหาอุตตรา อุตฺตโร ป.ธ. ๖
    เทศน์วันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...