อาการของอวิชชา (พระมหากัจจายนะโปรดให้โอวาท) :หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 11 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    [​IMG]
    อาการของอวิชชา (พระมหากัจจายนะโปรดให้โอวาท) :หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง



    .. ท่านมหากัจจายนะ โปรดให้โอวาทว่า จงกำจัดอุปาทานนั้นเสีย


    อุปาทาน นั้นได้แก่
    ฉันทะ คือความพอใจ หนึ่ง
    ราคะ ได้แก่ ความกำหนัดยินดี หนึ่ง


    ฉันทะ คือความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นเทวดา การเกิดเป็นพรหม
    ราคะ คือความเห็นว่ามนุษย์โลกสวยน่าอยู่ เทวโลกสวยน่าอยู่สบาย พรหมโลกสวยน่าอยู่สบาย
    จงอย่ามีในใจของเธอ ตัดอารมณ์อย่างนี้เสียให้ขาดไป
    เรามีความพอใจอย่างเดียว คือพระนิพพาน


    ท่านกล่าวว่า ถ้าฉันทะเกิดขึ้น ให้พิจารณาว่า อนิจจังมันไม่เที่ยงหนอ ทุกขังมันไม่เที่ยงหนอ อนัตตา เมื่อฉันทะความพอใจเกิดขึ้น ก็บอกว่า
    อนิจจัง มันไม่เที่ยง อย่าไปเกาะมันเลย โลกมนุษย์ พรหมโลก เทวโลก มันไม่อยู่กันจริงจัง เป็นมนุษย์เดี๋ยวก็ตาย เป็นเทวดาหรือพรหมเดี๋ยวก็จุติ
    ทุกขัง มนุษย์ทุกข์มาก เทวโลกกับพรหมโลกก็ยังไม่หมดทุกข์เพราะยังไม่เสร็จกิจ มีกิจที่จะต้องทำต่อไป
    อนัตตา อาการทั้งหลายทั้งสามภพนี้มันสลายตัวเสมอ มันไม่มีการทรงตัว


    นี่ฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด ปฏิบัติได้ก็ปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ได้ก็เอาตามใจของท่าน ถนัดแบบไหนทำแบบนั้น นี่เอาเรื่องของท่านผู้เฒ่ามาเล่าให้ฟัง


    ท่านบอกว่าถ้าราคะเกิดขึ้น ให้พิจารณาอย่างนี้ ให้พิจารณาเป็นปฏิกูลสัญญา คือเป็นอสุภเสียให้หมด
    ก็รวมความว่า ถ้าราคะความรักสวยรักงามในภพใดๆ คนใดๆ เทวดาหรือพรหมใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม ให้เห็นว่าท่านผู้นั้นก็คือผีเน่านั่นเอง


    จงจำไว้ ว่าถ้าปรารถนานิพพาน จงพยายามตัดฉันทะและราคะ
    ฉันทะกับราคะ ท่านเรียกกันว่า เป็นอุปาทาน


    นี่มันเป็นอะไร ความจริงผมเคยบอกไว้เสมอๆ นะ เคยเจอในขันธวรรค ท่านเคยพูดถึง อารมณ์ของอวิชชา
    อวิชชา นี่เราแปลกันว่าไม่รู้กันตะบัน ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้น
    แต่ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์โตท่านบอกว่า คำว่าอวิชชานี่แปลว่ารู้ไม่ครบ คนและสัตว์ที่เกิดมาไม่รู้ไม่มี
    ในขันธวรรคท่านบอกว่า การตัดอวิชชาก็คือการตัดฉันทะกับราคะนั่นเอง


    คำว่า อวิชชา แยกศัพท์ออกมาได้เป็นจริยา คือเป็นอาการของอวิชชา คือ ฉันทะความพอใจ ราคะความกำหนัดยินดี
    ถ้าอารมณ์ทั้งสองประการนี้ยังมีในจิต ก็เชื่อว่าบุคคลนั้นยังมีอวิชชาอยู่ในใจ ไปนิพพานยังไม่ได้


    ฉันทะ พอใจอะไร พอใจความร่ำรวย พอใจความสดสวยงดงาม
    พอใจในความโกรธ พอใจในความพยาบาท
    พอใจในชาติในภพ ชาติภพคือ ชาติมนุษย์ ชาติเทวดา ชาติพรหม

    ราคะ มีความกำหนัดยินดี นี่ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน มีความร่ำรวย มีของสวย
    โกรธใครเขาได้ ติดชาติติดภพ
    เกิดเป็นคนได้ เกิดเป็นเทวดาได้ เกิดเป็นพรหมได้ ดีอกดีใจ ชื่นใจ รักมาก


    นี่อาการอย่างนี้ เป็นอาการของอวิชชาความโง่ คืออุปาทาน
    ที่ดึงตัวให้ติดอยู่ เรียกว่าอุปาทาน ถ้าตัดเหตุทั้งสองประการนี้ได้แล้วก็ไม่ต้องไปตัดอะไร
    ถ้ามุ่งใจตัดฉันทะกับราคะสองตัวพอแล้ว อารมณ์ของท่านก็ไปถึงนิพพาน
    เพราะทำลายอวิชชา อย่างอื่นมันก็ไม่เหลือ กิเลสทั้งหมดที่มันจะเกิดได้ก็เพราะอาศัย อวิชชา เป็นนาย ..


    ที่มา : ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า (บันทึกแนวทางการปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
    ฟัง 19_ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า_10A
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มีนาคม 2016
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     
  3. ทางสวรรค์

    ทางสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +347
    ขอขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ และขออนุโมทนานะขอรับ
     
  4. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    มนุษย์เราเริ่มต้นจากการเป็นฆราวาสมาก่อนทั้งนั้น อยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง กันทุกคน มีครอบครัวก็รักครอบครัว ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ ยินดีในความรวย รังเกียจในความยากจน แล้วก็แก่ชรา เจ็บป่วย สุดท้ายก็ตาย มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยผ่านตรงจุดนี้มาก่อน

    แต่กาลเวลาของระบบสังสารวัฏเวียนว่ายตายเกิดนี้ ทำให้มนุษย์มีการสั่งสมบุญ พัฒนาบารมี จนสามารถที่จะเข้าถึงธรรมอันลึกซึ้งได้ คนผู้นั้นก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนผู้ชี้ทางสว่าง นำหนทางแห่งความเจริญมาบอกแก่มวลมนุษย์ เพราะถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า มนุษย์ก็เหมือนคนตาบอดที่ใช้ชีวิตไปแบบไม่รู้ทิศทาง บาปก็ไม่รู้ บุญก็ไม่รู้ ศีลธรรมก็ไม่รู้

    ดังนั้น อวิชชาจึงเป็นของคู่โลกที่ทุกคนต้องพบเจอ ต้องประสบด้วยกันทุกคน อวิชชาคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติมีมาก่อนมนุษย์จะเกิดและอวิชชาจะอยู่ต่อไปคู่กับระบบสังสารวัฏนี้ตลอดไม่มีวันจบสิ้น การจะกำจัดอวิชชาออกไปจากใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดั่งใจนึกคิดเอาได้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างๆ เช่น เวลา ความอดทน ความเพียร ความตั้งใจ ศรัทธา ปัญญา และที่ขาดไม่ได้คือองค์พระพุทธเจ้าผู้ที่จะมาชี้ทางสว่างให้แก่เรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...