หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอนเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม ตอนที่ ๒

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 7 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอนเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม ตอนที่ ๒
    [​IMG]
    วันนี้เป็นวันที่ 26 มิถุนายน 2533 ขอต่อเรื่องของหลวงพ่อเนียมต่อไปว่า การละสังโยชน์ 3 เบื้องต้น มีอารมณ์ตามนี้ คือ จิตมีความสุข เพราะคิดว่า เราตายเมื่อไรก็ตาม เราจะไม่ไปอบายภูมิ ประการที่ 2 จิตมีอารมณ์รักพระนิพพานมาก ตอนนี้ยังเป็น สังโยชน์ 3 อย่างหยาบ

    เมื่อจิตมีความละเอียด จิตมีอารมณ์ทรงตัวในกรรมบถทั้ง 10 ประการ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ลักไม่ขโมยของใคร ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ดื่มสุราเมรัย ไม่พูดปด ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล และจิตใจไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร โดยไม่ชอบธรรม จิตไม่คิดจองล้างจองผลาญ คือตัดพยาบาท จิตมีความเห็นตรงเฉพาะนิพพานอย่างยิ่ง อย่างนี้เป็นอย่างกลาง ที่เรียกว่า พระโสดาบันอย่างกลาง

    ถ้าอย่างละเอียด จิตจะมีอารมณ์สงบสงัดมาก มีอารมณ์ทรงตัวนิ่มนวล ทุกอย่างไม่ต้องระวัง

    พอเข้าถึงสกิทาคามี ความอ่อนตัวของความรักระหว่างเพศ อ่อนตัวของความโลภ อ่อนตัวของความโกรธ อ่อนตัวของความหลงจะมีขึ้น มันมีบ้าง แต่มีความอ่อนตัวมาก มีกำลังเล็กน้อยไม่หนักหนาไม่รุนแรง และในขั้นสุดท้ายปลายของสกิทาคามี จิตจะไม่มีความรู้สึกในระหว่างเพศเลย จิตจะไม่มีความความรู้ในความโกรธ

    ทั้งนี้เพราะว่าอารมณ์ละเอียดมาก บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่าเวลานี้เราเป็นพระอนาคามี อันนี้ไม่ใช่ ต้องสังเกตว่านาน ๆ ในอารมณ์สงัด จะมีความรักโผล่เข้ามานิดหนึ่ง หรือมีอารมณ์ไม่พอใจโผล่เข้ามานิดหนึ่ง แล้วก็ถูกตีกลับไป อย่างนี้เป็น พระสกิทาคามีละเอียด

    ต่อมา เราก็ต้องศึกษาเป็น พระอนาคามี (การศึกษาทุกอย่าง เราจะทิ้งฌานไม่ได้เด็ดขาด คำว่า ฌาน1,2,3,4,5,6,7,8 ว่าให้มันตรงตัว ให้มันตรงจริง ๆ ต้องการเมื่อไรต้องได้เมื่อนั้น และไม่ต้องไปนั่งหลับตาทรงฌาน การนั่งหลับตาทรงฌาน นี่ไม่ใช่ของจริง การทรงฌานจริง ๆ คือ ไม่มีการหลับตา ใช้กำลังใจได้ทันทีทันใด) ใช้กำลังฌานช่วยระงับเป็นกำลังป้องกัน ใช้มีดดาบฟัน นั่นคือ วิปัสสนาญาณ ฟันต่อไป คือ

    กามฉันทะ มันก็ฟันง่ายเสียแล้วนี่ ความรู้สึกในกามฉันทะมันจะไม่มีอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงความจริง ใช้กำลัง พรหมวิหาร คือ เมตตา หรือกสิณ 4 คือ กสิณสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เป็นพื้นฐาน

    และหลังจากนั้นก็จับ อสุภกรรมฐาน ขึ้นมาเห็นว่าร่างกายของคน และสัตว์มันสกปรก ในที่สุดก็จับ สักกายทิฎฐิ ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ก็คิดว่าร่างกายจริง ๆ ไม่ใช่ของใครมันเป็นของโลก ชาวโลก มันเป็นธาตุ 4 ที่ประกอบเข้าด้วยกัน เป็นร่างกายขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก

    ความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน ใช้พรหมวิหาร 4 เข้าตัด และใช้สักกายทิฎฐิเข้าห้ำหั่น ในที่สุดเราก็จะเห็นว่า ร่างกายของคนไม่เป็นที่ปรารถนา ความโมโหโทโส ความโกรธ ความเป็นมา ไม่เป็นที่ปรารถนาของคน เราไม่มีความต้องการอย่างนั้น อารมณ์ก็ทรงตัว จิตจะมีความเยือกเย็นมากขึ้น ขึ้นชื่อว่า ความรักนิดหนึ่ง ในวัตถุก็ดีในคนก็ดี ในสัตว์ทั้งหลายก็ตาม คำว่า รักด้วยกิเลสไม่มี แต่รักด้วยเมตตา มีกำลังสูง มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย ตัวนี้มีกำลังแก่กล้า ในเมื่อมีกำลัง แก่กล้า ความรักในระหว่างเพศไม่มี ความโกรธไม่มี เราก็เป็นอนาคามี มันก็เป็นของไม่ยาก

    ต่อไปก็ก้าวเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ ตอนนี้ไม่มีอะไรหนัก การเข้าในเขตความเป็นอรหันต์นี่ไม่มีอะไรหนัก เพราะเป็นการใช้ปัญญาอย่างเดียว หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า ใช้ความฉลาด การเป็นอรหันต์ให้ตัดรูปราคะ คือ ตัดรูปฌาน

    (คำว่า ตัด ไม่ได้หมายความว่า โยนทิ้งไม่ใช้ ใช้รูปฌาน และอรูปฌานเป็นปกติ คือ รูปราคะ อรูปราคะ เราใช้ ใช้ทุกวัน ทุกเวลา จะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ฌานขั้น 1 ขั้น 2 ขั้น 3 ขั้น 4 ขั้น 5 ขั้น 6 ขั้น 7 ขั้น 8 เราชอบใจฌานขั้นไหน เหมาะแก่กาลสมัย เวลานั่งคุยกันอยู่นี่ อย่างน้อยที่สุดให้ทรงฌานที่ 2 และก็ใช้วิปัสสนาญาณดูไปด้วย ฟังคำพูดของคน ดูรูปร่างของคน ดูภายนอกไม่พอต้องดูภายใน ภายนอกก็แก่ทุกวัน สกปรก ภายในก็สกปรก)

    ก็รวมความว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี เรายึดไว้เป็นกำลัง แต่ไม่หลงอยู่แค่นั้น ถ้าหลงในรูปฌาน หรืออรูปฌาน หรืออรูปฌานทั้ง 2 อย่าง ก็ถือว่าหลงความโง่ คนโง่เท่านั้นที่คิดว่า รูปฌาน และอรูปฌานเป็นของดี

    ต่อมาก็ ตัดมานะ การถือตัวถือตน นี่เป็นของไม่ยาก เราจะถือตัวถือตนเพื่ออะไรในเมื่อร่างกายของเรามันก็เลว มันเป็นธาตุ 4 ที่เข้าประชุมกัน มีอาการ 32 เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เราหันไปดูร่างกายที่เป็นทิพย์ ร่างกายเทวดา ร่างกายนางฟ้า ร่างกายพรหม ร่างกายพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า ที่ท่านนิพพานแล้ว ดีกว่าร่างกายนี้ แล้วก็จงดูร่างกายภายในของเรา กายภายนอกมันสกปรก กายภายในเราผ่องใสไหม ต้องดูร่างกายภายในให้ผ่องใสคล้ายพระอริยเจ้าไว้เสมอ ๆ อย่างนี้

    เธอปรารถนาพุทธภูมิต้องทำตามนี้นะ ดูพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้วหรือพระอริยเจ้าที่ตายไปแล้ว พระอริยเจ้าเบื้องต่ำ อย่างพระโสดาบัน ท่านตายไปแล้ว รูปร่างหน้าท่าน สวยสดงดงามขนาดไหน ดูร่างกายของเรา สวยเหมือนท่านไหม(ร่างกายภายใน) และพระสกิทาคามี อนาคามี ก็เหมือนกัน เหมือนท่านไหม ถ้าไม่เหมือนท่าน ยังใช้ไม่ได้ ยังเลวมาก

    ต่อไปก็ให้ดูร่างกายพระอรหันต์ ร่างกายพระอรหันต์ ท่านสวยขนาดไหน ร่างกายของเรา สวยถึงขนาดนั้นแล้วหรือยัง (ร่างกายภายใน) ถ้ายังก็ถือว่าเรายังเลวมาก เราไม่เอาร่างกายของเราเข้าไปเปรียบกับพระพุทธเจ้า เพราะเวลานี้เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า ต้องทำอย่างนี้เป็นปกติ

    ในเมื่ออารมณ์จิตเป็นอย่างนี้ อารมณ์มานะทิฏฐิการถือเนื้อถือตัวมันจะมาจากไหน เราคิดว่า เราดีกว่าเขา มันมีอะไรดี ร่างกายเน่า ร่างกายแก่ ร่างกายสกปรก ก็ไม่ใช่ของดี ร่างกายต้องตาย เราคิดว่า เราเลวกว่าเขา เราจะเลวอย่างไร มันเลวไม่ได้ เพราะว่ามันเท่าเขา มันเน่า มันเปื่อยเหมือนกัน

    เราคิดว่า เราเสมอเขา มันก็เสมอไม่ได้ เพราะร่างกายของคน ย่อมคล้ายคลึงกัน แต่ว่าจิตใจของคนไม่เท่ากัน จิตใจของเขาอาจจะเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ต้องดูภายใน คือ จิตใจ หรือร่างกายภายใน

    ก็รวมความว่า ตัดอารมณ์ความรู้สึก 3 อย่าง ว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ตัดโยนทิ้งไป เราไม่สนใจเขา เราสนใจแต่ตัวเราอย่างเดียว ชำระกายภายในให้สะอาด ให้สวยที่สุด เท่าพระอรหันต์

    ท่านบอกว่า ถ้าจิตเข้าถึงตอนนี้ อารมณ์จะมีแต่ความเป็นสุข จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นของธรรมดาไปหมด คนที่เขาแสดงความรักในเราก็จงทราบว่า ไม่ช้าเขาก็เกลียดเรา เพราะมันเป็นของธรรมดาของชาวโลก ถ้าใครเขารักในเรา เราก็จงอย่าดีใจ ใครเขาเกลียดเรา เราก็อย่าเสียใจ เขาสรรเสริญเรา เราก็อย่าดีใจ เขานินทาเรา เราก็อย่าสะเทือนใจ ทำอารมณ์ใจเป็นสุข ท่านบอกว่า ในเมื่อถึงตอนนี้แล้ว ไม่ต้องไปคุมอารมณ์ใจ อารมณ์ใจมันจะเป็นของมันเอง

    และต่อมา ความเป็นทิพย์ของจิต นี่เธอไปเรียนกับท่านโหน่งมาแล้วใช่ไหม ก็บอกว่าใช่ขอรับ เรียนกับท่านโหน่งมาแล้ ท่านบอกว่า เป็นของดีมาก ท่านปานก็ดี ท่านโหน่งก็ดีเป็นพระดีมาก ท่านจงอีกองค์หนึ่งนะ ถอดแบบฉบับเขาไว้ ทั้งหมดนี้ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ ผ่องใสมาก และการปรึกษาหารือกับพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์องค์ไหนก็ตาม พรหม เทวดา นางฟ้าก็ได้ ที่ท่านมีความดี มีความรู้ยิ่งไปกว่าเราเราศึกษากับท่าน ท่านบอกอะไร เราเชื่อ

    แต่จงจำไว้ว่า เทวดา นางฟ้า พรหมก็ตามและรูปพระที่เราเห็นก็ตาม เขาจะต้องสอนตามพระไตรปิฏก ถ้าสอนผิดจากพระไตรปิฏกนั่นไม่ใช่ เป็นมาร ต้องระวังมารให้มาก (คำว่า มาร แปลว่า ผู้ฆ่า) เขามาทำลายความดี มารนี่รบกวนไม่ว่าใคร แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตร คือพระพุทธเจ้า มารก็เคยเข้าไปรบกวนอยู่เสมอ ๆ

    ก็รวมความว่า ทุกองค์ที่มาศึกษาที่นี่ ความจริงความรุ้จริง ๆ นี่ ท่านปานสอนหมดแล้ว ท่านปานสอนไม่มีอะไรเหลือ แต่ว่าที่ท่านปานให้กลับมาหาฉัน ท่านปานต้องการให้ซ้อมจากฉันอีกทีหนึ่ง เพื่อความมั่นใจของเธอ ท่านปานนี่เป็นครูที่มีความฉลาดมาก ไม่ทะนงตนว่าเป็นคนดี หรือไม่ทะนงตนว่า เป็นคนรู้แต่ผู้เดียว

    และพวกคณะเธอทั้ง 3 องค์ ก็เป็นลูกศิษย์ที่มีความสำคัญ เพราะเชื่อครูทุกอย่าง ครูจะสอนแบบไหนก็เชื่อให้ทำอะไรก็เชื่อ ให้ไปอยู่ในป่า ไปอยู่ในป่าศรีประจันต์สนุกไหม ก็ตอบว่า สนุกขอรับ ท่านเลยบอกว่า คนที่มาคุยกับเธอทุกคนที่ป่าศรีประจันต์ เป็นเทวดา กับนางฟ้าทั้งนั้นใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ต่อมาภายหลัง บางทีเราเที่ยวเพลินเกินไป กลับมาสว่าง เทวดา นางฟ้ามาใส่บาตรให้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่

    ท่านบอกว่า ลีลานี้จงอย่าทิ้ง ท่านปานสอนดีแล้ว แต่ที่ฉันนี่ สอนเฉพาะสังโยชน์ 10 ท่านโหน่งสอนทุกอย่าง ให้รู้จักเทวดา รู้จักพระ ดีทั้งหมด จำเอาไว้ และก็ปฏิบัติให้ดี ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ ภายในไม่ช้าพวกเธอก็พ้นทุกข์ แล้วก็จะรู้อะไรได้ทุกอย่าง แต่ความรู้ของพระ จงระมัดระวังให้มาก ถ้าคนเขามาถาม ดูสีหน้าคน ดูใจเขา ถ้าถามเพื่อลองใจ ลองภูมิ อย่างนี้ก็ใช้แบบฉันธรรมดา ๆ ก็แล้วกัน ฉันก็ทำตนเองเหมือนคนบ้า ทั้งนี้เพราะอะไร

    เพราะว่า คนบ้าในโลกนี้มีมาก คนบ้ามันมาหาฉัน ฉันก็ต้องบ้าตอบ ถ้าคนดีมาหาฉัน ฉันก็ดีตอบ พวกเธอนี่ อาจารย์เธอดี และเธอก็ดีตามอาจารย์ ฉันก็ดีตอบ วิชาอย่างนี้ฉันไม่เคยสอนใครมาก่อน นอกจากท่านปาน กับท่านโหน่ง เคยสอนมาก่อนก็แค่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ดีถมเถไป เพราะเขาถือว่า เท่านั้นดี แต่คนที่ต้องการที่สุดของความดีมีน้อยเหลือเกิน

    หลังจากนี้ไป พวกเธอจงไปพักและรักษากำลังใจให้ดี จงอยู่ที่นี่ 15 วัน ในเวลา 15 วันนี้ ถ้าสงสัยอะไร ถามฉันได้ หรือว่าถ้าเธอคิดว่า เธอไม่สงสัย ถ้าเธอมีกำลังใจคิดพลาดไป ฉันจะบอกให้ ก็รวมความว่า กราบท่านแล้วก็ออกมา ออกมาก็คุยกันว่า เอ๊ะ…องค์เมื่อกี้นี้ไม่ใช่หลวงพ่อเนียมนี่นะ เราเห็นหลวงพ่อเนียมนั่งเฉย ๆ องค์นั้นมาคุมรูปร่างหลวงพ่อเนียมและก็พูดไพเราะมาก ผิวเหลืองคล้ายจีวร สดสวย หน้าตาดีมาก ตาก็ใส ริมฝีปากก็แดงเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เราเห็นทั้ง 3 องค์ก็ตอบว่า เหมือนกันก็เลยคุยกัน บอกว่าถ้าอย่างนั้น เราก็พบพระซ้อนพระอีกแล้ว

    เราไปหาหลวงพ่อโหน่งก็พบพระซ้อนพระ เรามาหาหลวงพ่อเนียม เราก็พบพระซ้อนพระ และคนอย่างพวกเราจะมีวาสนาบารมีเป็นพระซ้อนพระกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ คุยกันแล้วก็มาที่พัก เมื่อมาที่พักก็อาศัยธรรมปีติ ปีติมันมาก ความสดชื่นมันมาก ก็นั่งใคร่ครวญกรรมฐาน คุยกันถึงความเป็นมาของธรรมะ ที่หลวงพ่อเนียมสอนถึงสังโยชน์ 10

    ก็คุยกันอยู่ประมาณตี 2 เสียงหลวงพ่อเนียมร้องตะโกนมาบอก เอ้อ..ทั้ง 3 องค์คุยกันถูกแล้วนะ คิดอย่างนี้ถูก วิปัสสนาญาณไม่ใช่เฉพาะเอาไปนั่งคิดคนเดียว ต้องคุยกันตามนี้ เวลาที่เราคุยกัน เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส เมื่อจิตว่างจากกิเลส อารมณ์ก็มีความสุข แต่ว่าเวลานี้มันตี 2 แล้วนี่คุณ จิตใจมันจะเพลียเกินไป พักผ่อนเสียนะ เวลาพักผ่อน จิตจับอานาปานสติกรรมฐาน จับพระองค์ที่เธอเห็น (ท่านพูดเสียงดัง ๆ มาจาก กุฏิของท่านนะ)

    พระที่เธอทั้ง 3 องค์เห็นนั้นไม่ใช่ฉัน คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสวมกายฉัน และก็ใช้เสียงฉันพูด แต่เสียงก็ไม่เหมือนเสียงฉัน พวกเราก็ดีใจ ก็ต้องเชื่ออาจารย์ ต่างคนต่างก็ลุกแยกกันไป พอศรีษะถึงหมอน เริ่มตะแคงขวา จับอานาปานสติ เสียงท่านบอกว่า อย่างนั้นถูกแล้ว จิตจับพระเป็นอารมณ์ จิตก็จับถึงพระพุทธเจ้าองค์นั้น ประเดี๋ยวเดียวก็หลับ

    พอตี 4 ก็ตื่น ตื่นขึ้นมาก็เจริญกรรมฐาน ทั้งกำลังนอน พอรู้สึกตัวพับ จิตก็จับอานาปานสติ ใช้กำลังฌานให้มีการทรงตัว สำหรับเรื่องฤทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา เราไม่เรียนกันเรื่องฤทธิ์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าห้าม แต่ว่าตอนเช้า พวกเราก็ไปบิณฑบาตไปในป่าช้า หลวงพ่อเนียมสั่งตามนั้น เพราะทำเป็นปกติ

    พอไปถึงป่าช้าเราก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้ ยืนหลับตา จับอานาปานสติ กับพุทธานุสสติ ประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงบอกว่า ไม่ต้องหลับตาหรอก ลืมตาก็ได้ ชินกันแล้วนี่นะ ก็ลืมตาขึ้นมา เห็นภุมเทวดาที่รักษาวัดอยู่ ท่านก็บอกว่า เวลานี้เทวดา กับนางฟ้าเขามาพร้อมแล้ว ท่านเปิดบาตร เขาจะใส่บาตรทุกคนก็เปิดบาตร ท่านก็ใส่บาตร แต่ว่าท่านมาในรูปร่างของชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่ว่าข้าวที่นำมากิน นั่นคือ ข้าวสีเหลือง ไม่มีกับ เป็นของธรรมดาปฏิบัติอย่างนี้ทุกวัน

    เมื่อฉันข้าวไปแล้วก็ไปนั่งคิดว่า ท่านทุกคนที่ใส่บาตรเรา เดิมท่านก็เป็นมนุษย์อย่างเรา เวลานี้ท่านตายจากความเป็นคนไปแล้ว เราก็ต้องตายเหมือนกัน แต่ว่าท่านตายแล้วท่านเป็นเทวดา เราตายแล้ว เราจะไปไหน ถ้าอย่างเลว เราก็อยากเป็นเทวดา เพราะเราไม่ลงนรก อย่างกลางเราก็อยากเป็นพรหม อย่างดีที่สุด เราก็อยากเป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน

    พอนึกอย่างนี้เท่านั้น ได้ยินเสียงหลวงพ่อเนียมบอกว่า ถูกแล้ว ๆ ต้องเป็นอย่างนั้น อันดับแรก ต้องจับความเป็นเทวดาให้ได้ก่อน แต่ว่าเวลานี้เธอกินข้าวของเทวดา เธอต้องเป็นเทวดาได้แน่ เพราะเทวดายอมรับ อย่าทิ้งความดีนี้เสีย

    และประการที่ 2 ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเลยจากเทวดา เราจะไปเป็นพรหม ต้องจับกำลังพรหมให้ได้ ด้วยการทรงฌานทั้ง 8 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรงตัวก่อนตาย ไม่ต้องทั้ง 8 ฌาน เวลาเข้าไม่ต้องเข้าเรียงลำดับ จับเอาตามจุดที่เราต้องการทันทีทันใด แต่การใช้ฌานเรียงลำดับ ต้องใช้เป็นปกติ เป็นการฝึกเข้าไว้ ฌาน 1,2 , 3, 4, 5, 6, 7, 8 ต้องฝึกให้คล่อง จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ขัดข้อง

    หลังจากนั้น จับวิปัสสนาญาณ คือ สังโยชน์ 10 อย่าไปจับส่งเดชมันจะป้วนเปี้ยนไป การจับส่งเดชป้วนเปี้ยนเป็นของไม่ดี จับให้ทรงตัว หลังจากนั้นแล้วก็ปล่อยใจตามสบาย ๆ ขณะที่ปล่อยใจตามปกติ ก็ดูใจ เวลาไหนใจเราผิดจากสังโยชน์ 10 บ้าง ถ้าคลาดจากสังโยชน์ 10 ข้อไหน ต้องถือว่าเวลานั้นเราเลว จงตำหนิตัวเองว่าเราเลว สังโยชน์ทั้ง 10 ประการ ต้องไม่มีในเรา ความจริงมันมี เราต้องทำให้มันไม่มี มันจะมี เราก็ฝืนไม่ให้มันมี มันก็ต้องสู้กันแบบนี้ ไม่ช้าเราก็ชนะ

    ในที่สุด เมื่ออยู่ครบถึง 15 วัน ท่านก็บอกว่า 2 องค์นี่สามารถตัดสังโยชน์ 5 ได้แล้วนะ แต่ว่าสำหรับเธอ (หันมาที่อาตมา) กำลังก็เทียบเคียงสังโยชน์ 5 เพราะเธอปรารถนาพุทธภูมิ ต่อไปก็เร่งรัดสังโยชน์อีก 5 ให้จิตมันละเอียดจริง ๆ

    ในเมื่อถึงวาระท่านให้กลับ ก็ลาท่านกลับ กราบด้วยความเคารพและกราบเรียนท่านว่า กระผมจะมีโอกาสจะมาหาหลวงพ่ออีกไหมขอรับ ท่านบอก เธอไม่มีโอกาสมาพบฉันอีกเพราะไม่ช้าฉันก็ตายแล้ว ร่างกายคือขันธ์ 5 มันตาย แต่ว่าฉันจะไปอยู่บ้านฉัน แล้วท่านก็ชี้ให้ดูบอกว่า หลังนี้บ้านฉัน ฉันเตรียมไว้นานแล้ว พวกเธอเคยเห็นบ้านเธอไหม ก็บอกท่านว่าไม่เคยสังเกต ท่านบอก ต้องสังเกต ต้องเตรียม เราจะไปอยู่ที่ไหน ต้องเตรียมที่นั่น

    เวลานี้เธอต้องการอะไรก็บอกท่านบอกว่า ต้องการนิพพาน ท่านหันมาถามอาตมาบอกว่า เธอไม่ต้องการพุทธภูมิหรือ บอก พุทธภูมิก็เอา นิพพานก็เอา ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ก็ไปพุทธภูมิ ไปพุทธภูมิได้ ก็ไม่เอานิพพาน ท่านบอกว่า ทำไมเป็นคน 2 ใจ ก็เลยบอกท่านว่าหลวงพ่อปานชวนไว้ ท่านก็เลยบอกว่า ท่านปานจะชวนหรือไม่ชวนก็ตาม เธอก็ต้องทำหน้าที่พุทธภูมิ ไปจนกว่าจะตาย

    ต่อไปเบื้องหน้า เธอจะมีภาระหนักเรื่องการสอนพระกรรมฐาน พยายามศึกษาให้ละเอียด พยายามหาแนวทางสอนให้ง่ายที่สุด เพราะว่ามนุษย์ที่ติดตามเธอมาเกิดมีมาก เธอยังเป็นหนี้เขา ถึงอย่างไรก็ดี บ้านหลังนี้ ท่านชี้เลย บ้านหลังนี้ ที่มีบ้าน 3 หลัง และมีหอระฆังอยู่ข้าง ๆ มีรั้วเป็นเพชร เป็นสีคล้ายเพชรประดับทอง มีสระโบกขรณี มีแท่นแก้วและมีต้นไม้แก้ว มีบริเวณกว้าง เป็นบ้าน 3 หลัง บ้านสำหรับเธอ

    เพราะในฐานะที่เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แต่ว่าพุทธภูมิของเธอต้องลา ถามว่าจะลาเมื่อไร ท่านบอก ลาอายุประมาณ 40 ปีเศษ ๆ นิดหน่อย ถามว่า ทำไมต้องลา ท่านบอกว่า เป็นไปตามสัญญา สัญญาเดิมมีอย่างไร ต้องปฏิบัติตามนั้น ก่อนที่จะมาเกิด มาเกิดเพราะอะไร สัญญากันไว้

    ตอนที่เธอลาพุทธภูมิ เธอจะสังเกตได้ว่า กรรมฐานจะแพร่หลายมาก จะมีคนเจริญกรรมฐานมาก และการสอนกรรมฐานของคนบางคน บางทีเพียงแค่เห็นภาพเล็ก ภาพน้อย ก็บอกว่า สำเร็จแล้วอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ ก็มีหลายท่านที่สอนถูก และก็มีหลายท่านที่สอนไม่ถูก คนที่จะมาเรียนกับเธอ ก็เป็นคนของเธอ ไม่ใช่คนของคนอื่น เธอก็แนะนำชำระหนี้เขาไป อายุประมาณ 70 กว่า ๆ 80 กว่า ๆ 90 กว่า ๆ 100 กว่า ๆ (อีตอนกว่า ๆ นี่สำคัญ มันจะตายกันกว่า 70 มันก็ยังไม่ตาย จะตายกว่า ก็ตาย 70 กว่า พอถึง 80 กว่าไม่ตายก็ถึง 100 ถึง 100 ยังไม่ตาย ต้องตายกว่า 100)

    ก็เลยบอกท่านว่า ท่าจะไม่ไหวขอเวลาสัก 2 ปี พอไหม ท่านบอกว่า เรื่องเวลานี่มันเป็นสัญญาเดิม ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของเธอ เธออย่าสนใจกับร่างกาย มันจะตายเมื่อไรก็ช่างมันเถอะ เราทำถึงที่สุดของกำลังใจก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อเนียมกลับวัด
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9917844
     

แชร์หน้านี้

Loading...