สนทนากับคนตาย : เรื่องเอเลี่ยนและครอปเซอร์เคิล

จากเวบไซต์ Channeling Erik - conversations with my son in the afterlife

หลังจากอีริคบุตรชายได้เสียชีวิต พบว่าพี่สาวของเขาสามารถสื่อสารกันได้

Jamie: No, you can tell that Erik really likes the topic, and he says that this was something he looked into on his own after he passed away, because he found it so intriguing.

Erik: Crop circles are definitely made by alien life forces, and it’s not just one race of aliens.

Me: Okay.

Erik: There are three different kinds that are leaving their mark. It’s not like graffiti, but it kind of is. In the graffiti, it’s definitely leaving a message. Some of it is just an emblem or symbol of who they are. Of course to you guys it’ll mean nothing. It’ll look like artwork or something.

Me: Yeah, I can imagine.

Erik: And them some of them are complete messages: accurate locations of where their star system exists, how they live. Some of them are actually encoded in binary code, and—

Jamie: He’s talking about the most interesting one being in England, and they apparently, um the aliens replied to a message that humans sent.

Me: Oh, yeah. That’s one where someone sent information like our DNA code, the fact that we are carbon based life forms, which planet we are from the sun in the planet order from the sun, what our body looks like and lots of other things.

Jamie: That, that, that!


เจมี่ : เอาล่ะๆ แม่คะ รู้มั๊ยว่าอีริคชอบหัวข้อนี้มาก และเขาบอกว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่เขาค้นหาหลังจากที่ตายไป เขาเห็นว่ามันน่าสนใจมาก

อีริค "ครอปเซอร์เคิลเกือบทั้งหมดถูกสร้างโดยการกระทำของสิ่งมีชีวิตต่างดาวและไม่ใช่เอเลี่ยนเผ่าเดียวเสียด้วย"

ดิฉํน "โอเค"

อิริค "ครอปเซอร์เคิลถูกส่งมาจากสามจุดของจักรวาล มันไม่ใช่กราฟิติหรือการสร้างงานศิลปะ แต่มันคือข้อความที่จะสื่อสารให้พวกเรารู้ว่าพวกเขาเป็นใครผ่านทางสัญลักษณ์ แน่นอนว่าสำหรับมนุษย์แล้วย่อมมองว่ามันคืองานศิลปะ"

ดิฉัน "อืม แม่พอนึกออกละ"

อืริค "และเป็นข้อความที่ถูกต้องสมบูรณ์ และสถานที่ที่ปรากฏครอปเซอร์เคิลนั้นก็ตรงกับกลุ่มดาวที่พวกเขาส่งมา บางข้อความถูกส่งมาในรหัสเลขฐานสอง ไบนารี่โค้ด"

เจมี่ "อีริคกะลังพูดถึงครอปเซอร์เคิลที่น่าสนใจมาก ซึ่งถูกพบในอังกฤษ ปรากฏเป็นลักษณะตามข้อความที่มนุษย์ส่งคลื่นความถี่ไป"(Arecibo Reply - ผู้แปล)

ดิฉัน "อ๋อ ใช่ละ ที่มีคนส่งสัญญาณวิทยุเกี่ยวกับข้อมูลรหัสพันธุกรรม DNA ของเรา และเรามีธาตุคาร์บอนเป็นหลัก ดาวเราอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่จากดวงอาทิตย์ และร่างกายของมนุษย์มีขนาดเท่าไหร่"

เจมี่ "อ้าา นั่นละค่ะๆ"

 

Me: Now, I think we sent it just by radiofrequency, but I’m not sure.

Erik: It was at a tower. We’re being understood and we understand them, but governments in all kinds of countries feel that it’s important that we’re removed from understanding why they ARE here. A lot of the crop circles are specifically telling us to be ready.

Me: Be ready for what?

Erik: For when we are no longer protected. That’s when other races who have been kept away—

Jamie: Okay, wait, Erik, because now I have a million questions.

Me: Me too!

Jamie: Yeah, is this a war effort?

Erik: Well, it does deal with protection. The earth is being protected, I’ll give you that.

Me: By whom? By those races you spoke about?

Erik: Yes, by those three alien races. They’re working with us and protecting us.

Me: Well, why won’t they just continue to protect us?

Erik: They will continue to be on our side, even when the contract opens for –

Me: The protection to end?

Erik: Yeah.


ดิฉัน "ตอนนี้ แม่คิดว่าเราคงทำได้แค่ส่งสัญญาณวิทยุไปหาพวกเขา ไม่แน่ใจนะ"

อีริค "มันเป็นเรื่องที่ยาก พวกเขากำลังเข้าใจเราและเราก็เข้าใจพวกเขา แต่รัฐบาลของทุกประเทศเห็นว่ามันสำคัญมากที่จะหลีกเลี่ยงให้เราเข้าใจว่าพวกเขามาโลกกันทำไม หลายข้อความที่ส่งมาเตือนให้เราเตรียมพร้อมรับมือโดยเฉพาะ"

ดิฉัน "พร้อมสำหรับอะไร"

อีริค "เมื่อเราไม่สามารถถูกปกป้องได้อีกต่อไป และเมื่อเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์อื่นๆที่ถูกผลักดันออกไป..."

เจมี่ "โอเค เดี๋ยวก่อนนะ อีริค เพราะตอนนี้พี่มีคำถามเป็นล้านในหัว"

ดิฉัน "แม่ก็เหมือนกัน"

เจมี่ "นี่ใช่ความพยายามในการก่อสงครามมั๊ย"

อีริค "ถูกต้อง แต่มันยังคงได้รับการปกป้องอยู่ โลกยังได้รับการคุ้มครองอยู่ ผมบอกพี่ได้เลย"

ดิฉัน "จากใคร จากเอเลี่ยนสามเผ่าพันธุ์ที่ลูกพูดถึงน่ะเหรอ"

อีริค "ช่าย สามเผ่าที่ผมพูดถึงนั่นแหละ พวกเขากะลังทำงานร่วมกับเรา และปกป้องเราอยู่"

ดิฉัน "ดีจัง ทำไมพวกเขาถึงยังคอยปกป้องเราอยู่ฤ

อีริค "พวกเขายังคงเคียงข้างเราเสมอ แม้เมื่อมีการทำข้อตกลงสำหรับ..."

ดิฉัน "ปกป้องเราตลอดไป"

อีริค "ใช่"

 

Jamie: Okay, I’m going to use my own words. Sorry, Erik. He’s talking really quick. What he’s describing is a long time ago when we were a young human race, we had open communication with the external alien world, but we couldn’t keep up with the technology, we couldn’t understand what they could, so we needed protection from the alien races that believed that our life was a bit of a purity. They thought Earth was a special place to be kind of like a Garden of Eden, if you want to take it in a religious context.

Me: Oh!

Jamie: They do, as you have heard from spirits and entities, reincarnate into our world—into our bodies.

Me: Yes, Erik told us that before.

Erik: Yes, and that’s why some people are much more understanding of technology and more highly advanced—like Steve Jobs.

Me: Oh, yeah.

Erik: Dead on alien.

Me: Yeah, and Carl Sagan, I bet.

Erik (chuckling): Perfect example. And our world has been so blessed, because it’s been allowed to be so simple.

I guess we’re in the remedial class.

Erik: I don’t know where people get off on trying to put aliens against God—that prime source energy. Personally, Mom, that prime source energy—kinda where we’re from—that IS an alien source. We’re all aliens, but nobody wants to put the terminology out like that, because then it makes us, you know, sound like we’re all a member of Scientology



เจมี่ "เดี๋ยวนะแม่ หนูกำลังหาคำพูดอยู่ อีริคอธิบายเร็วมาก เขาเล่าประมาณว่า ในอดีตที่นานมาแล้ว ในขณะที่เราเพิ่งมีเผ่าพันธุ์มนุษย์โลกใหม่ๆ เราได้มีการติดต่อกับโลกต่างดาว แต่เราไม่สามารถเก็บเกี่ยวความรู้ที่พวกเขามอบให้ได้ เราไม่สามารถเข้าใจได้อย่างที่เขาเข้าใจ ดังนั้นเราจึงต้องการการปกป้องจากเอเลี่ยน เผ่าพันธุ์ที่พวกเขายังคิดว่า ชีวิตของพวกเราเป็นความบริสุทธิ์ พวกเขาคิดว่าโลกเป็นสถานที่ที่สวยงามเสมือนหนึ่งสวนเอเดนแห่งสวรรค์ถ้าจะพูดในบริบทของศาสนา"

ดิฉัน "โอ้ว"

เจมี่ "พวกเขาได้ทำเหมือนที่เคยเล่าพี่มั๊ย คือลงมาเกิดบนโลก มาเป็นมนุษย์"

ดิฉัน "อืม อีริคเคยบอกอย่างนั้นจริงๆ"

อีริค "ใช่ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนเกิดมาถึงมีความรู้ในเทคโนโลยีอย่างมากและพัฒนาได้รวดเร็วอย่างเช่น สตีฟ จ๊อบส์"

ดิฉัน "อ้อ ใช่ๆ"

อีริค "ตายแล้วก็เป็นมนุษย์ต่างดาว"

ดิฉัน "ช่าย และก็ คาร์ล ซากาน แม่เดาได้เลย"

อีริค"(หัวเราะ)ยกตัวอย่างได้ดีครับ และโลกของเราได้รับพรอยู่เสมอ เพราะโลกได้รับอนุญาติให้และรับพรได้ง่ายมาก"

ดิฉันเดาว่าเราคงต้องทบทวนความรู้กันใหม่

อีริค "ผมไม่รู้ว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่มักมองว่าเรื่องเอลี่ยนนี้มันขัดแย้งกับพระเจ้า หรือแหล่งพลังงานปฐมภูมิของแต่ละคน เหมือนมารดา ที่ให้กำเนิดพวกเรามา มันคือแหล่งเดียวกับที่สร้างเอเลี่ยนด้วย เราล้วนแต่เป็นมนุษย์ต่างดาวเหมือนกันหมด แต่เราต่างไม่ยอมรับในนิยามนี้ เพราะในเมื่อพลังงานนนั้นสร้างเรามา รู้ป่ะ ว่าที่แท้พวกเราทั้งหมดก็คือส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์"

 

Erik: But we’re not far apart. We really aren’t.

Me: So you’re saying that we’re all aliens, and we came from other star systems, and some of us came to Earth and some of did not?

Erik: Yes!

Me: Okay, got it.

Erik: Yes, and we’re being protected so that we can grow on our own terms and learn our own technology, and when we reach a certain point, then that’s when it’s going to be open for us to be able to communicate with other planets and star systems.

Me: And there’s obviously some good behind that.

Erik: You know, there’s obviously a lot of good behind that. There’s more good out there than evil.

Me: Yeah, exactly. So, there are some advantages to opening up those communication channels in the form of technology, obviously, but what else?

Erik: Saving our earth from dying of pollution.

Me: Yeah.

Erik: Let’s just throw that one out right away.

Me: Okay.


อีริค "ซึ่งเราไม่ได้แตกต่างกันเลย ไม่เลยจริงๆ"

ดิฉัน "ซึ่งลูกกำลังพูดว่า เราล้วนแต่เป็นเอเลี่ยนและเรามาจากกลุ่มดาวอื่น และคนกลุ่มนึงมาที่โลก บางกลุ่มก็ไม่มา"

อีริค "ถูกครับ"

ดิฉัน "โอเค เข้าใจละ"

อืริค "ใช่แล้ว และเรากำลังถูกปกป้อง ดังนั้นเราจึงสามารถวิวัฒนาการไปตามช่วงเวลาของเราและเรียนรู้เทคโนโลยีของเรา และเมื่อเรายืนหยัดได้ด้วยตนเอง
เราก็จะถูกเปิดโอกาสให้ได้มีโอกาสติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวจากกลุ่มดาวอื่นๆ"

ดิฉัน "และดูเหมือนว่าจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นหลังจากนั้น"

อีริค "แม่รู้มะ มันมีอะไรดีๆจะเกิดขึ้นอย่างมากมายเลยมากกว่าสิ่งไม่ดีมาก"

ดิฉัน "ดังนั้น จึงมีประโยชน์มากที่ จะเปิดโอกาสในการติดต่อกันผ่านในรูปแบบเทคโนโลยีและอะไรอื่นๆอีก"

อีริค "ช่วยโลกของเรา ไม่ให้ตายจากมลภาวะ"

ดิฉัน "ถูก"

อีริค "มาช่วยกันกำจัดปัญหานี้กันเสียที"

ดิฉัน "ใช่แล้ว"

 

ง่วงล่ะครับ พรุ่งนี้แปลอันใหม่ละกันฮะ

ใครพอแปลได้ อ่านล่วงหน้าไปก่อนครับ

ราตรีสวัสดิ์ พี่น้องชาวไทย

Erik on Aliens and Crop Circles, Part Two - Channeling Erik

 

อยากช่วยแปลนะ ภาษาไม่ยาก แต่กำลังสอบ เลยต้องรอไปก่อน

 

Now for the last part of the alien and crop circle series.Prepare to be amazed.

Erik: And what about saving the human race? As we kill the earth, we kill ourselves.

Me: So, what are the disadvantages of this new open line of communication with aliens?

Erik: Well, that we’re so naïve that we’ll trust the ones that aren’t honest, and we’ll believe what they want and we’ll just kind of become—you can’t print this—

Me: Okay, great. (Of course I always do.)

Erik: We’ll kind of become their little guinea pigs. There are so many of us now that get abducted; a lot of it is just for observation—no harm is intended—but a few are being picked up for abduction, and it’s not just for observation. It’s making us ill. It’s giving us disease and hardship.

Me: Well at the very least does it help bring alien races knowledge that might eventually help us and the greater good?

Erik: Not for the humans, but for the aliens, it’s helping them, yeah. They just want to understand how we’re adapting and what’s going on.


ต่อไปจะเป็นบทสัมภาษณ์อีริคเรื่องเอเลี่ยนและครอปเซอร์เคิลตอนสุดท้าย แล้วคุณจะทึ่ง

อีริค "วิธีที่จะรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์น่ะหรืิอ ในขณะที่เรากำลังทำลายโลก ทำลายตัวเราเอง"

ดิฉัน "แล้วอะไรคือข้อเสียเปรียบสำหรับการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว"

อีริค "ครับ พวกเรายังไร้เดียงสา รู้ไม่เท่าทัน เราจะไว้ใจเผ่าพันธุ์หนึ่งมากเกินไป ซึ่งพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ เราจะมีความเชื่อในแบบที่เขาต้องการ แล้วเราก็จะเป็นเพียงแค่...."

ดิฉัน "อืม เยี่ยมเลย"

อีริค "เราจะกลายเป็นหมูในอวยหรือลูกไก่ในกำมือของเขา มีพวกเราหลายคนถูกลักพาตัว ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักเพียงสังเกตุการณ์ ไม่ทำอันตราย แต่มีบางพวกที่ลักพาตัวเราไป ไม่ใช่แค่สังเกตุการณ์ ทำให้พวกเราป่วยไข้ นำพาโรคมาสู่เรา รวมถึงความทุกข์ยาก"

ดิฉัน" เอาล่ะ แต่อย่างน้อยที่สุด เราจะได้ความรู้จากมนุษย์ต่างดาวมาช่วยเหลือเรา และอาหารที่ดีขึ้น"

อีริค "ไม่ใช่สำหรับมนุษย์ แต่ดีสำหรับพวกเอเลี่ยนเอง พวกเขาได้ประโยชน์ ใช่ พวกเขาเพียงต้องการเข้าใจว่าพวกเราปรับตัวในโลกกันอย่างไร และดำเนินชีวิตอย่างไร"

 

ประเทศไหนก็มีครับ สนทนากับคนตาย

โดยเฉพาะประเทศไทยที่ เยอะที่สุดครับ ไม่ว่าจะวิญญาณ ไหนๆ พี่ไทย คุยด้วยได้หมดครับ ดังนั้น จะเห็นว่า วิญญาณที่คุยด้วยนั้น เขา ติด ในสิ่งใด วิญญาณนั้นก็จะคุยในสิ่งนั้นแหล่ะครับ แต่ก็นะ คนไทยชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อะไรๆ ที่ ตนเอง ไม่รุ้ไม่เห็น ยิ่งชอบ เพราะ คิดว่า เป็นเรื่องลึกลับ

คนไทยเรา รู้ว่าเขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอกครับ
ฝรั่งเองหลอกฝรั่งด้วยกันไม่ได้ ก็เลย ต้อง มาหลอกคนไทย ถึงเมืองไทย

 

คนไทยเรานี่ก็แปลก ถ้าเป็นเรื่องของฝรั่งมังค่าล่ะ อดใจไม่ได้
แต่พอคนไทย เรา เรื่องของคนไทยด้วยกันเอง มีอย่างเดียว คือ อิจฉา แล้วก็ ไม่เชื่อ

 

เช่นกัน ถ้าเจ้าของกระทู้เอง จะพูดว่า เรื่องนี้ ตนเองก็รู้ แต่ไม่พุด แต่จะยกเอา ฝรั่งมาก่อน
เพื่อ ที่ตนเองจะได้ บอกว่า ตนเอง ก็รู้

จะเห็นว่า ฝรั่งนี่ จิตวิทยาสูงมาก พยามยาม ทำให้ ประเทศอื่น ชื่นชมยกย่อง และ นิยมยินดี เพื่อที่ เวลาเข้าไปประเทศอื่น จะได้ เข้าง่ายๆ แต่เวลาที่คนประเทศอื่น จะเข้าไปเที่ยว ประเทศฝรั่งมั่ง ข้อแม้เยอะมาก ข้อแม้ที่เหมือนจะดูดี

ตอนนี้ก็เข้ามา หาลูก หาเมีย ซื้อที่ดินในเมืองไทย กันเยอะแล้ว
ก็ถ้าว่าประเทศเขาดี เขาจะ มาปลูกหลักปลูกฐานอะไรที่เมืองไทย ล่ะ
แต่คนไทยสิ ไม่ได้เห็นคนไทย ดี เลย ไม่แปลก นะครับ

แม้แต่ รัฐบาล ยัง ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ว่าคนไทย ดี

 

เมืองฝรั่ง เขาทำลายโลก ทำลาย ทรัพยากร ล่าอาณานิคมเพื่อเอา ทรัพยากร มานานแล้ว

ทำลายโลก มานานแล้ว สร้าง เครื่องยนต์กลไก ทำลายน้ำมัน ถ่านหิน มาก่อนทุกประเทศ แล้ว ตนเองก็ กดขี่ประเทศอื่นด้วย เทคโนโลยีของตนเอง ที่ อ้างว่า เลอเลิศ

ตอนนี้ คนในประเทศ ฝรั่ง เป็นจำพวกที่ ถือตัว (อ้างสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน)แต่ที่จริง ไม่ไช่ ในแบบที่เห็น แต่มันคือ ความเห็นแก่ตัว ความไม่มีน้ำใจ ความไร้มนุษยธรรม ต่างหาก ซึ่ง เด็กไทยเราทุกวันก็ ก็ กำลัง จะเดินตามหลัง ฝรั่งมังค่า มัน

 

Me: Oh, okay. So, in other words, it’ll never translate into greater good for a larger cause.

Erik: Like for healing purposes?

Me: Yeah, I guess.

Erik: Well, maybe once we reach that level where the contract is broken then the aliens can help us cure our diseases.

Me: Why did those aliens sign the contract to be inhibited from opening communication? There were the protectors—that side—but why would the other side—

Erik: No, they didn’t agree to it. The others rallied around and made the universal agreement that this planet was to be protected.

Me: I see.

Pause as Jamie listens to Jamie

Jamie (to Erik): God, Erik. I’m sorry, but it’s hard for me to swallow the whole sci fi thing.

I laugh.

Jamie: Uh, he’s talking about a code of respect that if they come into a new solar system and they see it at the beginning of life—and we’re considered to be at that beginning—that it’s respectful to let that planet grow until it reaches a level of intelligence where it can either equal or surpass them to make a band or relationship or to fight.

Me: Otherwise the playing field isn’t level?

Erik: Yes.


ดิฉัน "โอ้ เอาล่ะ ดังนั้นก็หมายความว่าอาหารที่ดีขึ้นไม่ใช่ประเด็นหลัก"

อีริค "แต่เป็นเรื่องการรักษาเยียวยา"

ดิฉัน " อืม แม่ก็คิดเช่นนั้น"

อีริค "ครับ และเมื่อเราพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง ซึ่งข้อตกลงถูกยกเลิก พวกเอเลี่ยนก็จะเข้ามาช่วยกำจัดโรคต่างๆของเราให้หมดไป"

ดิฉัน "ทำไมพวกเอเลี่ยนถึงยอมทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อไม่ให้ติดต่อกับมนุษย์โลกล่ะ ก็ในเมื่อเอเลี่ยนส่วนหนึ่งปกป้องเรา แต่ทำไมอีกพวกหนึ่งถึง..."

อีริค "ไม่หรอก พวกเขาก็ไม่เห็นด้วย แต่อีกพวกหนึ่งวิ่งเต้นทั่วจักรวาลเพื่อแสดงให้เห็นว่าโลกเราควรได้รับการปกป้อง"

ดิฉัน "เข้าใจละ"

เจมี่หยุดไปสักพักขณะกำลังฟังอีริค

เจมี่(พูดถึงอีริค) "พระเจ้า อีริค ขอโทษนะ มันยากเกินไปสำหรับพี่ที่จะพูดเรื่องไซไฟนี่ออกมาได้ทั้งหมด"

ดิฉันหัวเราะ

เจมี่ "อีริคกำลังพูดถึงการเคารพในสิทธิ เช่นเมื่อเขาไปยังระบบสุริยะอื่นๆ และได้เห็นจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิต และเราอยากจะมีส่วนร่วมกับสิ่งมีชีวิตพวกนั้นได้ ซึ่งเราต้องเคารพสิทธิที่ดาวดวงนั้นจะต้องเติบโตพอที่จะพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาระดับเดียวกันหรือมากกว่าพวกเขา เพื่อที่จะได้สร้างมิตรภาพหรือต่อสู้กัน"

ดิฉัน "จะเรียกว่าเป็นสนามเด็กเล่นใหม่คงไม่ผิดใช่ไหม"

อีริค "ครับ"

 

คนที่รู้เรื่อง เอเลี่ยน พวกนี้ดี ก็สันโดษ ไง
เพียงแต่ คุณสันโดษคนสวย ยังไม่พูด เท่านั้น เพราะ เข้าใจหมดแล้ว

เหมือนกัน ถ้า โลกเราไม่ดีจริง เอเลี่ยน จะมา ทำอะไร ที่โลก

เช่นกัน ถ้าเมืองไทย ไม่ดีจริง ประเทศอื่นๆ เขาจะเข้ามา อยู่ทำไม ที่เมืองไทย

แล้วเมื่อไหร่ คนไทยจะเห็นคนไทยด้วยกัน ดี ซะทีครับ

 

อยากจะขำเป็นภาษามนุษย์ต่างดาวกับคุณ ไร่หว้า55 จริงๆ

ผมไม่ได้ยกย่องเขา แล้วอยู่ๆก็เชื่อนะครับ

มีคน follow พวกเขามากมายในเวบไซต์นั่นประเด็นหนึ่ง

คน follow ให้ช่วยถามสารทุกข์สุขดิบของญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วมากมาย

และมันจะต้องมีเรื่องที่สามารถยืนยันได้ว่านั่นคือญาติของเขาจริงๆบ้างพอสมควร

คนถึงได้เพิ่ม follow กันเยอะขึ้นๆ ไม่ใช่ลดลงๆเมื่อไร้ความน่าเชื่อถือ

ทั้งๆที่ศาสนาคริสต์ของเขา ไม่ได้พูดถึงชีวิต หรือวิญญาณหลังความตาย การกลับชาติมาเกิด มนุษย์บนโลกอื่นเลยด้วยซ้ำ

แต่ทำไมเขาถึง(หลอก)ทำให้คนศาสนาเดียวกันเชื่อได้มากขนาดนี้ เพราะแม้ในใจเขาก็ยังนับถือพระเยซูคริสต์ แต่ทุกบทสัมภาษณ์ของเขาก็ยังไม่พ้นเรื่องเหล่านี้อยู่ดี

เพราะอะไรล่ะ เพราะความจริงก็คือความจริงไงล่ะครับ หลักฐานมันทนโท่ ถ้าไม่มีกรอบความคิดอะไรมันมาปิดกั้นความจริงตรงหน้าเรา จนทำให้เราเพิกเฉย และพลาดโอกาสในการเกิดมาชาติหนึ่ง หลงเชื่อในกรอบที่ไร้การพิสูจน์เลยก็น่าเสียดายไม่น้อย

ไม่ได้นับถือ ไม่ได้เชื่อฝรั่งมากกว่าคนไทย เพียงพยายามสื่อให้เห็นว่า วิถีทางของคนไทยที่เป็นอยู่นั้น ฝรั่งเขายังเชื่อตาม แล้วคนไทยที่มองว่าความเชื่อแบบฝรั่งนั้นดีกว่าถูกต้องกว่า เคยเหลือบมองไปรอบๆบ้างหรือไม่ ว่ามันมีค่าเพียงใด


ผมยืนยันว่าผมไม่ใช่ พวกใกล้เกลือกินด่าง แต่ผมเป็นพวกยกตัวอย่างของคนที่ใกล้ด่างกินเกลือว่ามีเยอะขนาดไหน

 

คุณไร่หว้าไม่ต้องน้อยใจแทนคุณสันโดษนะครับ

ในการเล่าหรือตั้งกระทู้ใดๆ ขออนุญาตแนะนำว่า อย่าเล่าไปเรื่อยโดยไม่มีประเด็น กระทู้หนึ่งอย่าไปทำให้ยืดยาวเป็น สิบๆคอลัมน์ พยายามแตกออกมาเป็นคอลัมน์ย่อยๆ

เป็นประเด็นให้คนอ่านได้จับใจความว่า ในกระทู้นี้จะสื่อถึงเรื่องอะไร มีเรื่องอะไรที่สื่อเชื่อมโยงกับความเป็นจริงได้บ้าง มีเหตุมีผลพอที่มนุษย์ยุคเราเข้าใจได้บ้าง มีอะไรพิสูจน์บ้างมั้ย

พระเกจิหลายรูปก่อนจะเทศน์จะเล่า บรรยายอะไรยืดยาวนั้น จะต้องใช้วิธีการบางอย่างให้คนเชื่อก่อนครับ นี่ไม่ผิดหลักอวดอุตริ เป็นวิธีให้คนศรัทธาในศาสนา ถือว่าไม่ผิด


พระพุทธเจ้าถึงให้ความสำคัญกับพระสงฆ์สาวกที่สามารถบรรยายธรรมให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายๆไงครับ

 

ครับ เรื่องพวกนี้ ศาสนาพุทธเราก็ ว่าเอาไว้ หมดแล้ว เรื่อง วัฏจักร การเวียนว่ายตายเกิด

การจุติของจิตวิญญาณหลังความตาย การดับทุกข์ การนิพพาน

ดังนั้น การที่ วิญญาณคนตาย มีอยู่ หรือ ไม่มีอยู่ เรื่องพวกนี้ ศาสนาพุทธเรา สอนกันมานานแล้ว

ซึ่งศาสดาท่านก้อได้ เปิดสิ่งที่คว่ำ นี้ หงายให้ ทุกคนได้รู้เห็น หมดแล้ว

ดังนั้น ถ้าเรื่องอย่างนี้แล้ว คนที่บอกตนเองว่า เป็นพุทธศาสนิกชน ยัง ให้ความสำคัญ ว่า น่าสนใจ ลึกลับ อยู่ แสดงว่า สังคมพุทธ ก็ไม่ ไม่สังคมพุทธที่แท้จริง

ก็แค่ เพิ่มคำว่า ตายแล้ว กลับไปเป็น เอเลี่ยน เท่านั้นเอง

แต่ ของพวกเรา ที่รู้มา คือ ตายแล้ว ถ้าไม่นิพพาน ก็คือ ไม่นรก ก็สวรรค์

ดังนั้น เอเลี่ยน ก็คือ ไม่นรก ก็สวรรค์ นั่นเอง

 

ภพภูมิ มีตั้งเยอะแยะ

ดังนั้น เอเลี่ยน พวกนี้ ก้ออยู่ใน ภพภูมิ ต่างๆ นี่แหล่ะ

 

ผมกินเกลือครับ เพราะ อร่อยกว่า กินด่าง แน่นอน

 

คุณไร่หว้า เชื่อมั๊ยล่ะครับว่า มากกว่าครึ่งคนไทยไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าจริงๆ

ส่วนใหญ่เพิกเฉย

แต่สำหรับผมนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าพระพุทธตรัสว่าอย่างไร

ในบทสนทนานี้ผมไม่ได้ให้ยึดพวกเขาเป็นหลัก ว่านี้นะ พวกเขาถูกต้องแล้ว มีสัมมาทิฏฐิแล้ว

แต่ทว่า ถ้ามองลึกๆ ตัวคนตายยังมีความเห็นผิดไม่ใช่น้อย แต่อยากให้ลองเก็บความรู้ที่คนตายรู้มาเอามาเปรียบเทียบว่า พวกเขากำลังพัฒนานะด้านจิตวิญญาณ พัฒนาตามใคร พัฒนาตามหลักพระพุทธนี่แหละครับ

 

ไม่ผิดหรอกครับ คุนไร่หว้า พูดถูกทั้งหมด

แต่คุณอย่าลืมว่า หน้าที่ของคนที่รู้แล้วคือ ชักชวนหรือหาวิธีการใดๆก็ได้ให้ผู้อื่นรู้ตาม

ไม่ใช่เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ จนคนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ถอยห่างๆออกไปทุกที


สมัยก่อนพระเทศน์ ทำไมคนถึงสนใจ เพราะพระรู้จริตคนที่ฟัง รู้ภาวะจิตของคนที่มาหา

คนสมัยก่อนจึงเข้าหาพระเยอะ เพราะสอนอะไรก็กระทบใจให้เกิดปัญญา

ปัจจุบัน พระที่ยังไม่รู้จริง ไม่ปฏิบัติถึงขั้นใดๆ แต่ก็กล่าวเทศน์ไปเรื่อยเปื่อย นึกอยากหยิบพระสูตรไหนมาเทศน์ก็เทศน์

ฟังดูก็น่ายกย่องดีว่ามีความจำเป็นเลิศ มีเสียงอันไพเราะ หน้าตาหล่อเหลา แต่ทว่ากระทบจิตใจให้ผู้ฟังเกิดปัญญา นำมาซึ่งศรัทธาแลปฏิบัติได้อย่างจริงใจหรือไม่