ร่วมทำบุญบูชา ชุดเก่าตะกรุดดอกครูนามธรรมบุญหนุนส่งวาสนานำพา(เอื้อบุญ) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    สติกับการฝึกปฏิบัติ

    มิจฉาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีมิจฉาสติ
    สัมมาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีสัมมาสติ
    มิจฺฉาสติสฺส มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ
    สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหติ (อวิชชาสูตร ๑๙/๑)

    สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง

    สติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เช่น สติในมรรค๘ หรือสติในโพชฌงค์๗ สติในสติปัฏฐาน๔ เป็นต้น. อันเป็นเหตุปัจจัยอันสําคัญยิ่งในการบรรลุถึงจุดหมายในการดับทุกข์ หรือความจางคลายหายจากทุกข์ ในที่นี้ผู้เขียนจะกล่าวจําเพาะเจาะจงลงไปในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะสติให้เห็นเวทนาและจิตเป็นสําคัญ (เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา ในสติปัฏฐาน๔)

    สตินั้นก็คือ กริยาหรืออาการหนึ่งของจิตนั่นเองที่ทำหน้าที่ระลึกได้หรือสำนึกพร้อม เป็นหนึ่งในเจตสิก๕๒(ข้อที่๒๙) เป็นสังขารขันธ์คือการกระทำทางใจหรือจิตอย่างหนึ่ง และเป็นสังขารขันธ์ที่พระพุทธองธ์ทรงสรรเสริญยิ่งว่า "สติ มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง" จึงเป็นภาเวตัพพธรรม สิ่งที่ควรภาวนาคือทำให้เจริญขึ้น

    พึงจดจำไว้ว่า สติที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์นั้น ทำหน้าที่สำคัญที่สุดอย่างยิ่ง คือเพื่อระลึกอย่างเท่าทันในเวทนาและกายคตาสติสูตรนั้น ก็เป็นการฝึกสติและเป็นเครื่องอยู่ของจิตอันดียิ่งอย่างหนึ่ง แต่พึงเข้าใจด้วยว่าเป็นการฝึกสติในเบื้องต้น รวมทั้งเป็นเครื่องอยู่ของจิตไม่ให้ซัดส่ายออกไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านออกไปภายนอกให้เป็นทุกข์ ก็เพื่อให้มีสติเป็นสัมมาสมาธิที่หมายถึงต่อเนื่องหรือตั้งมั่นในระดับขณิกสมาธิ เพื่อเป็นกำลังหรือบาทฐานในการฝึกสติต่อไปในขั้นเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาดังที่กล่าวข้างต้น หรือเพื่อใช้สติไปในการพิจารณาธรรม(ธรรมานุปัสสนา) อันเป็นไปเพื่อการดับอุปาทานทุกข์โดยตรง ดังนั้นถ้าปฏิบัติแต่ตามลมหายใจ อิริยาบถหรือสัมปชัญญะโดยไม่ดำเนินการปฏิบัติในขั้นต่อไปเลย ย่อมก่อให้เกิดความชงักงันเป็นธรรมดา ในขั้นแรกอาจได้ความสงบ แต่ถ้าไม่ดำเนินให้เกิดปัญญาต่อไป จนถึงขั้นไปติดเพลินจึงกลายเป็นมิจฉาสติหรือมิจฉาสมาธิเสียก็เป็นได้

    มีสติเห็นเวทนาหรือจิต พร้อมทั้งปัญญาความเข้าใจ(ญาณ)ในเวทนาหรือจิตหรือจิตสังขาร ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง กล่าวคือ มีสติระลึกรู้ในเวทนาหรือจิตคิด พร้อมทั้งปัญญาความเข้าใจ ให้ได้อุปมาดั่งตาเห็นรูปหรือตัวอักษร ที่สติเห็นระลึกรู้และปัญญาเข้าใจในสิ่งที่เห็นนั้น หรือดั่งเมื่อหูได้ยินระลึกรู้เสียงไพเราะหรือไม่, พร้อมทั้งเข้าใจในความหมายที่สื่อนั้น หรือกล่าวอย่างสั้นๆว่า

    มีสติเพื่อทำญาณให้เห็นจิต ให้เหมือนตาเห็นรูป
    อันเป็นไปตามหลักปฏิบัติ สติปัฎฐาน๔
    คือเห็นเวทนาหรือจิต(จิตสังขาร)ที่เกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นความเสื่อมไปบ้าง หรือเห็นความดับลงไปบ้าง หรือเห็นความเกิดขึ้นในบุคคลอื่นบ้าง ในตนเองบ้าง ฯ.

    อนึ่งควรมีความเข้าใจให้ถูกต้อง เมื่อฝึกสติ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยเครื่องสนับสนุนให้เกิดสมาธิขึ้นด้วยเป็นธรรมดา กล่าวคือ การมีสติ อย่างแน่วแน่คือเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องในการปฏิบัติ

    สมาธินี้ จึงหมายถึง ความมีสติต่อเนื่องอยู่ในการปฏิบัติ มิได้หมายถึงสมถสมาธิที่เข้าถึงแต่ความประณีตความสงบความสบายแต่อย่างใด สมถสมาธิเป็นสมาธิเริ่มต้นเพื่อฝึกจิตให้เป็นสมาธิในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ซัดส่ายเป็นทุกข์ เพื่อให้มีกำลังของจิตใช้ไปในการปฏิบัติขั้นต่อไป คือการวิปัสสนาเพื่อการดับทุกข์อย่างจริงจังเท่านั้น เนื่องจากในปัจจุบันมีการเน้นการฝึกสมถสมาธิแต่อย่างเดียว แต่ก็เรียกกันโดยทั่วไปว่าสมถวิปัสสนาบ้าง พระกรรมฐานบ้าง ผู้ไม่รู้จึงไปเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติวิปัสสนาที่จำเป็นต้องอาศัยปัญญาให้เข้าใจธรรมอันเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์แล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาแต่อย่างใด จึงกลับกลายดำเนินไปในรูปของมิจฉาสมาธิแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ดังเช่นการปฏิบัติอานาปานสติแต่กลายเป็นมิจฉาสติ จึงยังให้เกิดเป็นมิจฉาสมาธิอันให้โทษ ดังนั้นเมื่อปฏิบัติสมถสมาธิแล้ว จึงควรเจริญในวิปัสสนาทุกครั้ง จึงยังให้สมาธินั้นเป็นสัมมาสมาธิอันถูกต้อง กล่าวคือเป็นบาทฐานเครื่องสนับสนุนการวิปัสสนา


    วัตถุประสงค์ในการเจริญสติ
    ๑. ฝึกสติให้เห็นจิต หมายถึง ระลึกรู้เท่าทันจิต (หมายรวมทั้ง เวทนา-ความรู้สึกรับรู้ และจิตสังขาร เช่น ความคิด, คิดปรุงแต่ง, โมหะ, โทสะ, โลภะ ฯ.)
    ๒. ฝึกสติให้เห็นความแตกต่างของความรู้สึก(เวทนา)ระหว่าง จิตขณะปกติ และขณะที่ จิตปรุงแต่ง เพื่อให้เห็นโดยปัจจัตตัง คือเห็นรู้ด้วยตนเอง
    ๓. ฝึกสติ ให้ชำนาญอย่างต่อเนื่องในการเห็น จิต (เห็นใน เวทนา+จิตสังขาร อย่างเป็นสัมมาสมาธิ)
    ๔. ฝึกสติ ไม่ให้ไปคิดนึกปรุงแต่งต่อจากจิต(เวทนา+จิตสังขาร)ที่เห็นหรือเกิดขึ้นนั้น (หมายถึงยังมีคิดเป็นปกติธรรมดาของขันธ์๕ที่ยังกระทบแล้วรู้สึกเป็นธรรมดา แต่ไม่คิดปรุงแต่งชนิดที่ยังให้เกิดทุกข์ต่อ) หรือคือการฝึกสติในการถืออุเบกขานั่นเอง
    ๕. ฝึกสติให้เห็นความแตกต่างของความรู้สึกระหว่าง เมื่อจิตไม่รู้เท่าทันไปปรุงแต่ง กับ จิตที่รู้เท่าทันแล้วถืออุเบกขา (แลคล้าย ข้อ๒. แต่แตกต่างกัน)


    ข้อสําคัญในการปฏิบัติ
    ในระยะแรกๆ อย่าปฏิบัติในขณะที่รู้สึกเป็นทุกข์ หรือจิตใจซัดส่าย ข้อสำคัญให้มีใจสบายๆพอสมควร หรือสมาธิก็แค่ระดับขณิกสมาธิคือจิตแน่วแน่ ไม่วอกแวกมากเกินไป ให้มีสติอยู่ในกิจหรือการปฏิบัติ, เพราะต้องการใช้จิตที่อยู่ในสภาวะขณะปกติไปเปรียบเทียบให้เห็นกับขณะจิตปรุงแต่ง จึงจะเห็นสภาวะหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอย่างปัจจัตตัง จึงจะคลายวิจิกิจฉาความสงสัย

    ถ้าปฏิบัติในรูปแบบ ให้มีสติ อย่าปล่อยให้เลื่อนไหลลงภวังค์ คือไม่เลื่อนไหลไปสู่สมาธิหรือฌานในระดับลึก สมาธิก็แค่ขณิกสมาธิ เพราะเราต้องการฝึกฝนปฏิบัติการใช้สติในการปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทหรือสติปัฏฐาน๔ มิใช่การปฏิบัติสมถสมาธิหรือฌานเพราะถ้าลึกกว่านี้แล้วสติจะไม่บริบูรณ์มีอาการเคลิบเคลิ้ม ลงภวังค์ หรือเกิดนิมิตต่างๆนาๆ ถ้าหลับตาแล้วเลื่อนไหลลงภวังค์หรือหลับง่ายๆก็ให้ลืมตาขึ้น หรือยืน เดิน ในอริยาบทสบายๆได้ โดยไม่ต้องกังวล, ให้มีสติยาวนานต่อเนื่องอย่าง ไม่เลื่อนไหล


    ปฏิบัติโดยให้มีสติกํากับความคิด สําหรับนักปฏิบัติใหม่ๆอาจมองไม่เห็นความคิด หรือมีความรู้สึกว่า ไม่รู้จะวางสติไว้กับอะไรหรือ ณ.ตําแหน่งใด ก็ให้ลองบริกรรมพุทธโธ ในใจสักระยะ หรือคิดภาวนาพิจารณาในใจอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุให้ขุ่นเคืองหรือวุ่นวายใจ เพื่อเป็นเครื่องกำหนด เครื่องระลึก โดยปรับกายใจให้ผ่อนคลาย คำบริกรรมอาจสั้นหรือยาวก็ได้ ดังเช่น พุทโธ สั้นๆ หรือดังเช่น
    " ที่นี่แหละฐานแห่งจิต " หรือ " มีสติ ไม่คิดปรุง " หรือ " สัมมาอรหัง " เหล่านี้เป็นต้น หรือภาวนาอะไรก็ได้ อย่างสั้นๆตามจริตก็ได้

    เพราะคำบริกรรมภาวนาเหล่านี้เอง เป็นจิตสังขารหรือความคิดที่เป็นผลที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง หรือการพูดในใจโดยไม่ออกเสียงมานั่นเอง ที่เราต้องการจะฝึกให้มีสติระลึกรู้เท่าทัน ที่บางทีเรียกกันว่า"เห็น" และควรฝึกหัดให้เห็นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง(สัมมาสมาธิ)ไม่เลื่อนไหล และปัญญาที่เกิดแต่การพิจารณาจนเกิดความเข้าใจในสภาวะธรรมจะเป็นผู้แก้ปัญหา อันรวมทั้งจำแนกแจกแจงว่า อันใดเป็นคิดที่ควรเกิดควรมี อันใดเป็นคิดปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ที่ควรอุเบกขา

    แล้วภาวนาพิจารณาในใจอย่างใจเบาๆนุ่มนวล พร้อมสังเกตุกําหนดชัดว่าอยู่ที่ใด อาจจะอยู่ที่ใดก็ได้ แค่พอให้สังเกตุเห็นฐานแห่งจิต คือหาโฟกัส(จุดรวม)ความคิดให้ชัดเจนของจิตเท่านั้น อย่ากังวล เพียงแต่ให้สติระลึกรู้ว่ามีความรู้สึกชัดเจนที่สุดตรงไหน อาจอยู่ภายในกายหรือนอกกายก็ได้ ก็ให้ถือว่าที่นั่นแหละฐานแห่งจิตหรือตําแหน่งของจิตที่เราต้องมีสติคอยกํากับ คือ จิตหรือสติเห็นคำภาวนานั้นอย่างมีสติได้อย่างต่อเนื่อง, เมื่อฝึกปฏิบัติบ่อยๆจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็เปลี่ยนจากจิตหรือสติที่เห็นคำบริกรรมนั้นเป็นคอยมีจิตหรือสติเห็นเวทนาหรือจิตคิดหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นแทนในภายหลัง แล้วมีสติถืออุเบกขาไม่ปรุงแต่ง ไม่แทรกแซง หรือไม่เอนเอียงไปทั้งในด้านดีหรือร้าย เช่น เราดีหรือเขาชั่ว,นั่นดีหรือนี่ชั่ว,เราถูกหรือเขาผิด คืออยู่ในภาวะเหนือดีเหนือชั่ว หรือเหนือบุญเหนือบาปทั้งปวงนั่นเอง ตามที่ได้กล่าวมาในบทก่อนๆแล้ว, ฐานแห่งจิตนี้เป็นนามธรรม เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนจริงๆเป็นเพียงอุบายวิธีในการปฏิบัติเพื่อจําลองเป้าหมาย ช่วยในการก่อสติ ให้สติเกาะระลึกรู้อยู่กับสิ่งที่ตั้งใจอันถูกต้องดีงาม ในแต่ละท่านตําแหน่งอาจไม่เหมือนกัน และบางทีบางครั้งก็รู้สึกคนละตําแหน่งกับที่เคยปฏิบัติมาเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องใส่ใจ เพราะในที่สุดจะเข้าใจถูกต้องเอง

    เมื่อสติกำกับจิต หรือเห็นจิต หรือจิตเห็นจิต ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้วางเฉยเสีย อย่าคิดหรือคิดปรุงแต่งใดๆให้ได้สักระยะหนึ่ง ปฏิบัติใหม่ๆก็จะยากอยู่เป็นธรรมดา (เพราะมักเกิดอาการที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวไว้ บอกว่าให้หยุดคิด กลับไปคิดว่าจะหยุดคิดอย่างไร กลับกลายไปคอยคิดคำนึงปรุงแต่งในเรื่องการหยุดคิดนั่นเอง) เมื่อหยุดคิดได้สักระยะหนึ่ง สังเกตุความรู้สึกหรือเวทนาที่มีอยู่ (แต่ไม่ใช่จิตส่งในที่ติดเพลินไม่ปล่อยวาง) จะพิจารณาสังเกตุพบความสงบ สบาย ไม่กระวนกระวาย ไม่ร้อนรุ่ม ไม่เผาลน แล้วต้องปล่อยวาง เมื่อปฏิบัติได้สักพักหนึ่งจิตจะเริ่มส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่งในบางเรื่องขึ้นมาเป็นธรรมดา หมายถึงต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนจึงอย่าไปหงุดหงิดกังวล แต่เมื่อจิตส่งออกนอกไปปรุงแต่งจนอิ่มตัวหรือมีสติกลับคืนมาเห็นจิตปรุงแต่งเหล่านั้นแล้ว สังเกตุความรู้สึก(เวทนา)ที่เกิดขึ้นเพื่อให้รู้ว่าเมื่อจิตส่งออกไปปรุงแต่งแล้วเกิดเวทนาอย่างไรขึ้นมา แล้วปล่อยวาง ให้กลับมาอยู่ที่สติหรือฐานเดิม คือเพียงพิจารณาสังเกตุรู้ในความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วละเสีย และอย่าปรุงต่อ

    จิตที่แว็บออกไปปรุงแต่งดังข้างต้นนั้น มีสองลักษณะ คือ บางครั้งยังไม่ทันก่อทุกข์ขึ้น เป็นแค่การผุดการแว๊บออกไปปรุงแต่งแรกๆ แล้วมีสติรู้ทัน จะได้ประโยชน์ คือ ฝึกสติให้เห็นและรู้ทันจิตที่ส่งออกไปภายนอกหรือผุดหรือแว๊บขึ้นมานั้น, อีกลักษณะหนึ่งคือความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์เลย หรือขณะแรกไม่เป็นทุกข์แต่ขาดสติปรุงแต่งเลื่อนไหลต่อไปเรื่อยๆจนเกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด เมื่อจิตปรุงจนอิ่มตัวแล้วหรือมีสติรู้เท่าทันขึ้นมา ก็ให้หยุดการปรุงแต่งเหล่านั้นเสีย แล้วพิจารณาด้วยปัญญาก็จักได้ประโยชน์คือเปรียบเทียบเห็นความรู้สึก(เวทนา)ที่เป็นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งด้วยตนเองได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ในขณะฝึกสตินั้นจึงให้ทำจิตว่างๆที่หมายถึงหยุดคิด,หยุดปรุงแต่งชั่วขณะ จุดประสงค์ก็เพื่อให้สังเกตุเห็นความรู้สึกหรือเวทนาที่เกิดขึ้นชัดเจน คือเปรียบเทียบเวทนาหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างจิตไม่ปรุงแต่งและจิตปรุงแต่งกันให้เห็นหรือเข้าใจอย่างชัดเจน, แต่ระมัดระวังไว้ด้วย อย่าไปยึดในจิตว่างหรือหยุดคิดนั้น เป็นขั้นตอนการใช้ตอนปฏิบัติเท่านั้น ในการดำรงชีวิตโดยทั่วไปนั้น ความคิดนั้นยังต้องมีอยู่ แต่อยู่ในระดับขันธ์๕ คือไม่คิดปรุงแต่งเท่านั้น หรือหยุดเฉพาะคิดนึกปรุงแต่งเท่านั้น อย่าได้พยามยามไปทำจิตว่างหรือพยายามหยุดทุกๆความคิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน หยุดแค่การคิดปรุงแต่ง

    ข้อสําคัญในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
    ไม่ใช่การห้ามหรือหยุดเวทนาหรือจิตคิดอย่างดื้อๆ มันทําหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องตามสภาวะธรรม(ธรรมชาติ) เป็นขันธ์๕ในการดำรงขันธ์(ชีวิต) ส่วนความคิดนึกปรุงแต่งหรือจิตฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งนั้นต้องหยุด

    เราจึงทําหน้าที่หลักๆ เพียง๒ประการคือ

    ๑.มีสติรู้ทันเวทนาหรือความคิด(จิต)ที่เกิดขึ้น ก็ให้มีสติรู้ว่ามี คือ เมื่อจิตสอดส่ายออกไปคิดปรุงแต่งเกิดความรู้สึก(เวทนา) หรือจิตสังขารใดๆเช่น จิตปรุงแต่ง จิตหดหู่ โมหะ โทสะ โลภะ ฯ. ก็รับรู้ตามความเป็นจริงอย่างมีความเข้าใจในเวทนาหรือจิต(อ่านในปฏิจจสมุปบาท หรือขันธ์๕) หรือเห็นความเกิดขึ้นบ้าง เห็นความเสื่อม ความดับไปบ้าง (ความสําคัญอยู่ที่รับรู้สิ่งที่กระทบนั้นตามความเป็นจริง แล้วรีบละไม่จดจ้องหรือพิรี้พิไรต่อมัน ) จิตที่สอดส่ายออกไปนี้มันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเมื่อเกิดการกระทบผัสสะย่อมเกิดผลขึ้นเป็นธรรมดา ตามที่ได้ปัญญาญาณจากปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์๕ ไม่ต้องพยายามทําอื่นใดทั้งสิ้น เช่น ไม่ติดเพลินหรือผลักไสใดๆ ไม่พยายามทําให้ความรู้สึกรับรู้(เวทนา)หายหรือดับไป และควรพิจาณาเมื่อสติกลับมาแล้ว คือรู้ตัว ให้สังเกตุความแตกต่างระหว่างความรู้สึกขณะที่มีสติ กับ ขณะที่จิตคิดปรุงแต่งเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่เห็นได้ด้วยตนเอง(ปัจจัตตัง) ข้อสำคัญแค่สังเกตุอยู่ในความแตกต่าง แล้วต้องไม่ปรุงแต่งต่อ
    มีความเข้าใจและรับรู้ตามความเป็นจริง เช่น อร่อยเป็นอร่อย สวยเป็นสวย ทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข เศร้าเป็นเศร้า มีความจําเป็นอย่างยิ่ง มิฉนั้นจะเกิดการวางอุเบกขาในข้อ๒ทุกๆเรื่อง อันเมื่อเป็นสังขารที่สั่งสมแล้วจะเกิดเป็นปัญหาขึ้น เพราะจะไปถืออุเบกขาเช่นวางเวทนาหรือความคิดหรือสิ่งอื่นที่มีคุณต่อการดำรงขันธ์(ดําเนินชีวิต)ไปโดยไม่รู้ตัว, การรู้ตามความเป็นจริงเช่นเกิดทุกขเวทนาก็รู้และรับรู้ความรู้สึกที่เกิดนั้น เป็นสุขเวทนาก็รู้ เป็นไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้, เห็นจิตคิดชนิดโมหะ โทสะ โลภะ ก็มีสติรู้เท่าทัน อันล้วนมีเจตจํานงให้มีสติรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตอันแฝงกิเลสหรือตัณหาอยู่ในที เป็นจุดประสงค์สำคัญ แล้วปฏิบัติตามข้อ๒
    ๒.แล้วมีสติ ถืออุเบกขา(ในโพชฌงค์) เท่านั้น กล่าวคือเมื่อเกิดรู้สึกสุข,ทุกข์ หรือเห็นจิตสังขารดังที่กล่าวไว้ก็ตาม เพราะย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมคือธรรมชาตินั้นๆในการรับรู้ของชีวิตจากการผัสสะต่างๆ แต่เราต้องมีสติ แล้วเป็นกลาง ด้วยอาการตั้งใจไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในสิ่งนั้น (ไม่ว่าจะ ดีชั่ว บุญบาป ถูกผิด อันล้วนเป็นมายาจิตหลอกล่อให้ไปปรุงแต่งทั้งสิ้น)
    อุเบกขานี้จะเกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม เป็นกลางโดยการวางทีเฉยต่อเวทนาหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นนั้นอย่างมีสติมีอุเบกขา รู้สึกอย่างไรก็รู้เท่าทันตามความเป็นจริงอย่างนั้น เช่น โกรธ โลภ หลง ฯ. เพียงแต่ไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซง ไม่คิดนึกปรุงแต่ง ด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ ไปทั้งในทางดีหรือร้าย, อุเบกขามิใช่การวางจิตเฉยๆ หรือต้องรู้สึกเฉยๆตามที่บางคนเข้าใจ และไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง, จักเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการเจตนาปฏิบัติ หรือสังขารขึ้นเท่านั้น, ปฏิบัติใหม่ๆอาจรู้สึกยากแสนยาก แต่เมื่อปฏิบัติไปอย่างสมํ่าเสมอก็จักราบรื่นขึ้น, ถ้ากระทําด้วยความเพียรไม่เกียจคร้านในที่สุดก็จะเป็นดั่งสังขารที่สั่งสมในปฏิจจสมุปบาทเพียงแต่ว่ามิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาของพระองค์, ซึ่งเมื่อเวทนาหรือจิตคิดมากระทบ อุเบกขา(อันมีญาณรู้เข้าใจว่าสิ่งใดทำให้เป็นทุกข์ จากการปฏิบัติในข้อ๑.)จะกลับกลายเป็นสังขารแล้วก็จักทํางานเป็นธรรมชาติเหมือนหนึ่งดังบุคคลิกลักษณะประจําตัวหรือทำโดยอัตโนมัตินั่นเอง อันทําให้เวทนาหรือจิตคิดที่ยังให้เกิดทุกข์เมื่อมากระทบผัสสะเหล่านั้น ขาดเหตุเกิดอันยังให้ต่อเนื่อง หรือขาดเชื้อไฟที่จะทำให้ลุกไหม้ต่อไปได้ เพราะขาดเวทนาหรือคิดปรุงแต่งต่อสืบเนื่อง จึงยังให้ไม่เกิดเวทนาต่อเนื่องขึ้นมาอีก เมื่อขาดปัจจัยคือเวทนาอันเป็นเหตุเกิดของตัณหา ตัณหาก็ต้องมอดดับลงไป อันเป็นไปตามหลักปรมัตถธรรมปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง, เวทนาหรือจิตคิดเหล่านั้นจะยังคงเกิดแค่ขันธ์๕ อันเป็นเพียงทุกขเวทนาอันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติธรรมดาๆขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นทุกข์จริงๆ(ความทุกข์จริงคือทุกข์อุปาทาน-อันกระวนกระวาย ร้อนรุ่ม และเผาลน อย่างยาวนานและต่อเนื่อง และยังเก็บไปหมักหมมนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสอันก่อทุกข์โทษภัยในภายหน้า)

    ถ้าปฏิบัติแล้วมีความรู้สึก ตึง แน่น เครียด หรืออึดอัด ส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไป แสดงว่าอาจเกิดจากเหตุปัจจัย ๒ อย่างนี้
    ๑.อาจกําหนดฐานของจิตผิด เช่นไปกําหนดจดจ่อที่กายส่วนหนึ่งส่วนใดโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นไปในลักษณะจิตส่งในโดยไม่รู้ตัว อันมักเป็นผลมาจากการปฏิบัติหรือความเคยชินเก่าๆที่สั่งสม(สังขาร) เช่น อาจรู้สึกหายใจไม่สะดวก หรือตึง แน่น อึดอัดตามจมูก หน้าอก ขมับหรือสมองมากเกินไป เนื่องจากเลื่อนไหลไปกำหนดตามความเคยชินในฐานของสมาธิเดิมๆ ให้ลองปรับฐานจิตแห่งความคิดใหม่
    ๒.หรืออาจเกิดจากใช้สติระลึกรู้จดจ่อหรือจดจ้องแก่กล้าเกินไป ให้ผ่อนคลายสติระลึกรู้นั้นลง ปรับให้พอดีๆ ระลึกรู้อย่างเบาๆ อันเป็นเรื่องของจริตแต่ละบุคคลที่ต้องหาให้พบ การจดจ่อหรือจดจ้องระลึกรู้(สติ)อย่างแรงกล้ามากเกินไปก็ใช้พลังงานมากและก่อให้เครียดและล้า อาการนี้มักเกิดกับการปฏิบัติในรูปแบบเช่นนั่งในรูปแบบสมาธิและหลับตาอันทําให้เกิดการจดจ้องหรือตั้งใจเกินพอดี ไปจดจ่ออยู่ที่สิ่งๆเดียวอย่างมุ่งมั่นหรือแน่วแน่จนเกินพอดีไป อาจใช้วิธีแก้ไขโดยลืมตาขึ้น หรือเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเดิน หรือการนั่งอย่างสบายๆก็ได้


    ปฏิบัติดังนี้ให้ได้ต่อเนื่องยาวขึ้น นานขึ้น และเป็นประจําสมํ่าเสมอขึ้น สามารถกระทําได้ในทุกอิริยาบถ ยิ่งปฏิบัติในขณะดําเนินชีวิตประจําวันได้ยิ่งเป็นคุณอันประเสริฐ อันเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วผู้ปฏิบัติควรรู้ได้ด้วยตนเองว่าทุกข์นั้นลดน้อยลงไปไหม? มีความเข้าใจเกิดขึ้นไหม? เห็นการดับไปของทุกข์ไหมเมื่อขาดเหตุปัจจัยหรือเหตุเกิดต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการถืออุเบกขา? ถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ไม่ลดลงให้หยุดการปฏิบัติ แล้วพิจารณาการปฏิบัติใหม่ให้ดีเช่นพิจารณาในธรรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น อย่าพยายามฝืนปฏิบัติต่อไป ค้นหาจุดบกพร่องหรือข้อสงสัยเสียก่อน.

    การปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่างไม่เคร่งเครียด อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดดังสังขารในวงจรปฏิจสมุปบาท หรือเป็นมหาสตินั่นเอง เพียงแต่สังขารนี้มิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาโดยตรง อันเมื่อเป็นสังขารแล้วการปฏิบัติจะเป็นไปเองตามความเคยชินที่ได้สั่งสมอบรมไว้อันเป็นสภาวะธรรมของชีวิตอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง โดยมีกําลังของสัมมาญาณและสติเป็นกําลังแห่งจิต เพราะการดับทุกข์นั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสอยู่เนืองๆว่า ธรรมของพระองค์เป็นเรื่องสวนทวนกระแส, ซึ่งก็เป็นจริงตามพระพุทธดํารัสนั้น เพราะเป็นการทวนสวนกระแสของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ดึงดูดมวลหมู่สัตว์เข้าสู่กองทุกข์โดยธรรมชาติดุจดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่ากว่า แต่ด้วยพระปรีชาญาณจึงได้อาศัยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นเอง มาปฏิบัติสวนทวนกระแสธรรมชาติฝ่ายก่อให้เกิดทุกข์จนสําเร็จได้ อุปมาดั่งเรือใบที่แล่นทวนสวนกระแสลมหรือกระแสนํ้าอันเชี่ยวกรากของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของลมและใช้ธรรมชาติของลมนั้นเองเป็นเหตุปัจจัยเช่นกัน โดยอาศัยใบเรือที่ถูกต้องอันอุปมาได้ดั่งสังขารธรรมหรือธรรมะของพระพุทธองค์ ที่ทําให้สามารถใช้ธรรมชาติของลมนั้นเอง ทําให้เรือแล่นสวนทวนกระแสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของลมหรือแม้กระแสนํ้าได้

    นอกจากปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ด้วยเมื่อมีโอกาส
    สติหมั่นพิจารณากาย(กายานุปัสสนา) เช่น กายสักแต่ว่าเกิดแต่ธาตุ๔เป็น เหตุปัจจัย เพื่อให้เกิดนิพพิทาลดละอุปาทานในความเป็นตัวตนของตน และเพื่อความเข้าใจในความเป็นเหตุปัจจัยอันปรุงแต่ง อันล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ขณะหนึ่ง แล้วดับไป

    โยนิโสมนสิการ ให้เห็นสภาวะธรรมหรือปรมัตถสัจจะของการกระทบผัสสะ ดังเช่น การที่กายกระทบผัสสะกับสิ่งใด แล้วย้อนกลับมาโยนิโสมนสิการ จิตที่กระทบกับความคิด โดยเฉพาะความคิดนึกปรุงแต่ง

    สติหมั่นพิจารณาในธรรมคือธรรมะวิจยะหรือธรรมานุปัสสนา อันเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวดในอันยังให้เกิดมรรคองค์ที่๙ สัมมาญาณความรู้ความเข้าใจอันเป็นกําลังแห่งจิต และเพื่อใช้แก้ไขปัญหาข้อสงสัยต่างๆที่จักเกิดขึ้นในการปฏิบัติอันต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ธรรมที่ใช้ในการพิจารณาอาจเลือกตามจริตของผู้ปฏิบัติ, สําหรับผู้เขียนเองแนะนําปฏิจจสมุปบาทที่ลึกซึ้ง จึงก่อให้เกิดสัมมาญาณได้อย่างดีจึงให้คุณอนันต์สมดั่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า
    ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม

    edu-photo-197576089587.jpg
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่สุรวุฒิ EI 2170 4379 6 TH

    พี่ศิระ EI 2170 4380 5 TH

    พี่เสฏฐณันฐ EI 2170 4381 9 TH

    พี่พรหมพล EI 2170 4382 2 TH

    พี่เมธาพันธ์ EI 2170 4383 6 TH

    พี่ณธพรหม EI 2170 4384 0 TH

    พี่พรเทพ EI 2170 4385 3 TH
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เกริ่นทิ้งไว้นานจนสอบถามกันเข้ามาหลายคน ใครที่รอสายฤาษีบรมครูติดตามกันดีๆนะครับ
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    เรื่องฤาษีบรมครูนี่จากที่สอบถามกันเข้ามาผมจะนำมาพูดคุยกันคร่าวๆไว่ ว่าพ่ออาจารย์ท่านทำแบบพระผงค่ายกล ### ซ้ำในองค์พระยังถือว่ามีการทำอาถรรพ์แก้เคล็ด มีการวางวิชาต่างๆเอาไว้เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของผู้ใช้อย่างแท้จริง อันนี้เดี๋ยวมาติดตามพูดคุยกันนะครับ
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ความเข้าใจผิด(บรมครูปู่ฤาษี)

    พอดีวันนี้มีเรื่องเข้ามา ก็ก่อนจะเข้าเรื่องก็ขอบอกไว้ก่อนเพราะมันพาดพิงกับความเชื่อที่อื่นหลายที่ ก็ขอให้เป็นแค่ความเชื่อในกลุ่มตรงนี้ใครจะเชื่อก็แล้วไป ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแค่เราถามท่านเพื่อตอบคำถามให้กระจ่างเท่านั้น

    คำถามนี้มีอยู่ว่า ทำไมถึงห้ามเอาฤาษีเข้าบ้าน บูชาได้ทำไมห้ามเอาเข้าบ้าน ถ้าเอาเข้ามาแล้วจะไม่ดี จะร้อนมั๊ย บ้านจะแตกจะมีเรื่องร้ายๆหรืออย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นข้อคิดของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังท่านหนึ่งที่มรณภาพไปแล้ว ผู้สงสัยได้ฝากไว้ให้สอบถามพ่ออาจารย์ท่านด้วยว่าจริงมั๊ย ผมก็มาคิดเองนะว่าถ้าจริงคงซวยน่าดูแล้วแหละเพราะรูปฤาษีที่เป็นเครื่องรางวัตถุมงคลสมัยนี้มีแทบจะทุกวัด คนที่บูชาครูพ่อแก่ก็มีแทบจะทุกบ้าน

    ในเรื่องนี้พ่ออาจารย์ท่านวิสัชนาว่า รูปพ่อแม่ รูปครูบาอาจารย์ ผู้ใดบูชาถือเป็นมงคลแก่ชีวิต มันอยู่ด้วยว่าเรามองรูปนั้นในทัศนะใด และที่มาที่เราได้รับท่าน เรานำมาจากใคร ด้วยวิธีใด ท่านแยกเป็น 2 กรณี
    1. ถ้าได้มาด้วยวิธีการไม่ถูกต้อง โกงเขามา ทำให้เขาเดือดร้อนหรือโขมยเขามา ผู้ให้ไม่ให้ด้วยความเต็มใจ เช่นนี้แล้ว บ้านลุกเป็นไฟแน่นอน
    2. เป็นครูอะไร สมัยนี้มีความเชื่อมากมาย มีคนตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์มากมาย ด้วยว่าเขานั้นรู้จริงหรือไม่ ถ้าหากไม่รู้จริง เขาไม่มีความสามารถอัญเชิญได้จริง เศียรพ่อแก่ หรือรูปฤาษีนี้ ก็ไม่ต่างจากของอัปมงคลอะไร ด้วยว่าญาณภายในนั้นอาจจะเป็นเพียงวิญญาณของสัมภเวสีผีเร่ร่อนแอบอ้างที่ไหนก็ได้ เช่นศาลเจ้าที่หรือศาลพระภูมิที่ผู้เชิญไม่มีบารมีก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสมอไป

    หากเป็นญาณฤาษีเป็นญาณครูลงมาครอบจริงก็ต้องดูด้วย ว่าเป็นครูอะไร เป็นครูชั้นไหน อย่าลืมว่าวิญญาณ กับญาณฤาษีบรมครูชั้นเทพชั้นพรหมนี่ไม่เหมือนกัน พูดให้นึกภาพออกก็เหมือนเทวดามีทั้งที่ดีที่เกเร ฤาษีก็เช่นกัน

    เมื่อพูดถึงครูฤาษี ก็มักจะมีคนอวดอุตริ ด้วยเอาสามัญสำนึกเเละตรรกะความเชื่อของตนไปตัดสินอะไรหลายๆอย่างเสมอ เช่นว่าพระไหว้ฤาษีมิได้ด้วยศีลนั้นสูงกว่า ถ้าพระองค์ไหนไหว้พระองค์นั้นศีลไม่บริสุทธิ์ดูไม่ดี แล้วอย่างไรทำไมพระกราบมารดาได้ ในเมื่อพระก็มีศีลสูงกว่ามารดา ก็เพราะมารดานั้นมีคุณให้กำเนิดพระ ในทางกลับกันฤาษีก็เช่นกันถ้ามองทัศนะที่เขาให้กำเนิดความรู้และวิชา ถ้าพระองค์นั้นเคยเรียนความรู้จากฤาษีมาก่อนหรือเรียนวิชาที่มีครูฤาษีเป็นผู้คิดค้นสืบต่อมา การรู้ซึ่งกตเวทิตาคุณนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าไม่ไหว้ก็ได้ชื่อว่าโฉดเขลามิรู้คุณคนเป็นที่สาปแช่งในหมู่เทพยดา

    ก็ด้วยบุคคลที่ปัญญาโฉดเขลาเพียงเท่านั้นแหละที่มักจะคิดไปเอง ด้วยว่าพระนั้นต้องเป็นใหญ่กว่าฤาษี พระต้องใช้ฤาษีได้ คนที่คิดได้แบบนี้ดวงจิตคงมืดบอดน่าดู ก็เหมือนที่คนไทยชอบคิดว่าพระนารายณ์นั้นมีพาหนะเป็นครุฑจะเรียกมาขี่เหมือนสตาร์ทรถเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วทั้งครุฑและพระนารายณ์ท่านให้เกียรติซึ่งกันและกัน หามีเพียงกี่ครั้งไม่ที่พระนารายณ์จะเชิญพญาครุฑมาขี่ ฤาษีกับพระก็เช่นกัน เพราะเขาไม่รู้คุณธรรมของฤาษีบางจำพวก เเค่เห็นมีชฏานุ่งหนังเสือหรือมีผ้าย้อมฟาดก็คิดว่าเป็นฤาษีกันไปหมดไม่ได้แยกประเภทเลยว่านี่คือฤาษีหรือไม่ มุนีหรือไม่ ชฏิลหรือไม่ ดาบสหรือไม่ เพราะเค้ายึดติดแต่เพียงว่าความเป็นอรหันต์นั้นคือที่สุด ก็มิผิดที่พระพุทธศาสนานั้นดีเลิศ แต่ในทางกลับกันฤาษีเหล่านี้แหละคือผู้แสวงหาและค้นพบหนทางเดินใหม่ๆอยู่เสมอก่อนจะมีพระพุทธเจ้า ก่อนจะมีพระพุทธศาสนา ก็ฤาษีนี่แหละที่เป็นคนค้นพบเส้นทางสู่พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    การไหว้ผู้ให้กำเนิดชีวิตเป็นหนที่สองของตนเองจะอัปมงคลได้อย่างไร บุคคลผู้นั้นก็เหมือนเกิดสองครั้งคือเกิดทางโลกโดยบิดามารดา เกิดมาก็ยังมืดมนมิรู้ผิดรู้ถูก เกิดครั้งที่สองนั้นก็ด้วยครูผู้มอบปัญญาชี้ทางสว่างให้ ถ้าครูของเค้าคือฤาษี ต่อให้เค้าได้ดีหรือมีฐานะสูงเทียมฟ้าเพียงใด สิ่งที่มีอยู่ก็คงเป็นของปลอมและฉาบฉวยทั้งสิ้น ถ้าเขาลืมคุณครูที่สั่งสอนตนเองมา จะอ้างเพียงว่าพระมีศีลสูงกว่าพูดให้สนุกปากนั้นคงไม่ได้ เพราะพระอริยบุคคลที่ไม่รู้คุณครูบาอาจารย์นั้นไม่มีอยู่ในโลก

    หากมนุษย์จะพึงระลึกเสียบ้างก็คงดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เคยเกิดเป็นฤาษีมาก่อนไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แล้วยังไหว้ได้หรือไม่

    เพราะความโฉดเขลาไม่รู้จักความกว้างใหญ่ในสงสารวัฏ พอพูดถึงฤาษีก็มึงมาพาโวยเห็นใครบวชในป่าก็เป็นฤาษีไปหมดเอามาปนกันเสียมั่ว ความจริงเขามีแยกประเภทของเขาทั้งดีและเลว มีระดับต่างๆ ต่างพวกต่างประเภทกันตั้งแต่ฤาษี มุนี ชฏิล ดาบส พวกนี้คนละประเภทกันทั้งสิ้น

    บางพวกก็ลุ่มหลงในไสยศาสตร์มนต์ดำ บางพวกก็สนใจในฤทธิ์อภิญญา ที่บวชเพื่อคุณธรรมศึกษาหลักธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มี ฤาษีบางพวกก็เป็นวงศ์พระโพธิสัตว์อันอยู่ในขอบข่ายพระโพธิญาณทั้งสิ้นประเภทนี้ก็มีอยู่มาก

    ซึ่งฤาษีประเภทนี้แหละ ฤาษีชั้นบรมโพธิสัตว์อันมีพระชาติแน่นอนในพุทธวงศ์นี่แหละ อย่าว่าแต่ด้วยพระสงฆ์องค์เจ้าธรรมดาสามัญเลย แม้พระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์เมื่อจะพูดคุยด้วยยังต้องให้เกียรติประพฤติตนไม่ต่างจากผู้น้อยอยู่เบื้องหน้าผู้ใหญ่เพราะถือด้วยว่าเป็นวงศ์แห่งพระพุทธเจ้าอันมีพระชาติที่จะได้อภิเษกซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นการแน่นอนแล้ว จะล่วงเกินหามิได้ ด้วยภิกษุนั้นจะพึงบูชาพระพุทธคุณในอนาคตกาลของมหาโพธิสัตว์นั้น

    และฤาษีส่วนมากที่ไหว้ๆกันอยู่ก็มักจะมีวิมานอยู่ในปัญจสุทธาวาสมหาพรหมเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงทั้งสิ้น อันนี้เราพูดถึงฤาษีฝ่ายดี

    ถ้าด้วยว่ามนุษย์จะเอาเพียงจิตสำนึกของตนไปตัดสิน ไปเจออาถรรพ์ร้ายแรงต่างๆด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจของตนเอง บูชาครูผิดเป็นครูที่เชิญมาโดยผู้ใดก็ไม่ทราบหรือเป็นหมอทรงเชิญมา แล้วไปได้ญาณพวกมุนี ชฏิล ดาบส เหล่านี้ ซึ่งก็มีอยู่มากในปัจจุบัน ทำให้บ้านร้อนบ้านแตก ชะตาชีวิตตกต่ำ พอเจอเรื่องร้ายก็หมายรวมไปโทษฤาษี ก็ถือว่าคนผู้นั้นได้ลบหลู่ครูอาจาริย์เจ้าอย่างร้ายกาจ

    ด้วยว่านั่นไม่ใช่ฤาษี ตานอกเราเห็นเป็นหัวโขนเป็นรูปพ่อแก่ เป็นฤาษีองค์นั้นองค์นี้ แต่เรามีตาในดูแล้วหรือว่าญาณที่สรวมลงมานั้นเป็นมุนี ชฏิล หรือดาบสรึเปล่า เป็นฤาษีอันทรงพระคุณดีงามที่ถูกต้องตามรูปลักษณ์หรือไม่ ซึ่งสมัยนี้ก็อยากเตือนให้ระวังเพราะมันมีอยู่มากด้วยว่า รูปนอกนั้นเป็นองค์หนึ่ง แต่ญาณภายในนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็นเสมอไป
    ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าควรกราบไหว้ฤาษีหรือไม่

    *** อันนี้ก็ขออ้างอิงบทความเก่าเกี่ยวกับเรื่องฤาษีมาให้อ่านกันอีกรอบนะครับ
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ใครที่รอฤาษีบรมครูชุดนี้นอกจากจะเป็นองค์ครูแทนสัปตะฤาษีทั้งเจ็ด เรียกว่ารวมมหาฤาษีขั้นสุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งเจ็ดองค์ไว้อยู่ตรงนี้ห้อยคอสบายใจ นอกจากนั้นยังผนวกวิชาทำตะกรุดสังวาลย์ของท่านด้วยและยังมีของฝังพิเศษด้วย *** แต่ที่พิเศษสุดจริงๆรายการนี้พ่ออาจารย์ท่านให้ฝากบอกว่าท่านตั้งใจแถมเองค์ปกติที่เป็นมวลสารชนิดเดียวกันให้อีกหนึ่งองค์ นอกจากองค์ครูแล้วเรียกว่าบูชาหนึ่งองค์ได้ถึงสององค์เลย เผื่อใครจะให้คนในครอบครัวใช้ รายการนี้ติดตามกันดีๆนะครับ
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา พระผงพึ่งบารมีครูปฐมพรหมโยคีสัปตะมหาฤาษี(ตะกรุดสังวาลย์พระอินทร์,หุ่นราวัณแบกภาระ)

    "สัปตะฤาษีที่ได้ชื่อว่าเป็นครูซึ่งเชิญยากที่สุด" ด้วยสัปตะฤาษีหรือมหาฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดตน ซึ่งได้รับการเคารพสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้า(ตรีเทพ)ในฐานะมหาคุรุและมหามุนี และทั้งเจ็ดท่านนั้นยังเปรียบเป็นเสมือนบิดาของวงศ์วานเทพฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อาจหาญทั้งหลายในชั้นถัดมา ด้วยชั้นสัปตะมหาฤาษีนั้นมีเดชมากถึงขั้นมอบคำพรและคำสาปแก่พระเป็นเจ้า(ตรีเทพ)ตลอดจนทำให้เหล่าเทวดา,อสูร,ยักษ์,รากษส ทั้งหลายน้อมบูชาต่อคณะท่านอย่างมาก พ่ออาจารย์ท่านว่าครูสัปตะฤาษีนั้นเป็นมานัสบุตร(ลูกอันเกิดแต่มโนความคิดของพระพรหมา)ทั้งเจ็ดตน การสร้างเครื่องมงคลแทนครูสัปตะฤาษีนี้พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจทำไว้เพื่อแทนครูต้นผู้ให้กำเนิดกลไกสรรพชีวิตในจักรวาลทั้งหมด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ายอดฤาษีทั้งเจ็ดนั้นได้รับความเคารพยำเกรงจากทุกภพภูมิ จะเรียกว่าหากบูชาท่านเเล้วปรารถนาพรใดก็สามารถบอกกล่าวขอให้ท่านเปิดทางได้ ไม่ว่าอยู่มิติไหนท่านย่อมให้ความเคารพเเละปกปักรักษา พ่ออาจารย์ท่านว่า ดีเกินดี ดีแบบคาดไม่ถึง ใครที่ชะตาต้องอาถรรพ์จะมีวิบัติที่เกิดจากเทวดา,อสูร,หรือภูติผีแม้แต่พระเป็นเจ้าหรือสิ่งที่ทรงอานุภาพอื่นใดก็ดีมีครูสัปตะมหาฤาษีที่เราทำไว้ ต่อให้อาถรรพ์ใดๆไม่กล้าส่งผลต่อชีวิตเราเพราะเกรงใจเเละเคารพในเดชะของยอดฤาษีทั้งเจ็ดนั้น นี่แบบนี้ ที่ว่าดีแบบคาดไม่ถึง

    ด้วยยอดฤาษีทั้งเจ็ดนั้นเป็นที่เคารพเกรงกลัวของเหล่าทวยเทพรวมถึงสรรพชีวิตในกฏแห่งวัฏฏสงสารนี้ ถึงขั้นได้นามว่าฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดตนซึ่งได้รับเกียรติและการเคารพสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะคุรุและมหามุนี ทั้งเจ็ดท่านนั้นได้แก่ 1.โคตม 2.ภัทรวาช 3.วิศวามิตร 4.ชมทัศนี 5.วศิษฐ์ 6.กัศยป และ 7.อัตริ ซึ่งครูทั้งเจ็ดนั้นพ่ออาจารย์ท่านว่าก่อนทำการมงคลใดๆก็ดีท่านจะต้องระลึกถึงครูทั้งเจ็ดนี้ก่อนเสมอและยังเชิญท่านมาช่วยมาอำนวยพรเป็นประจำเวลาท่านทำพิธีใดๆ เมื่อท่านตั้งใจจะทำมงคลแทนครูนี้ครูทั้งเจ็ดจึงอนุญาติให้ท่านทำโดยใช้รูปพระกศยปะเทพบิดรเป็นตัวแทนของท่านทั้งหมด ในที่นี้จะกล่าวถึงพระกศยปะเทพบิดรอีกครั้ง นอกจากจะเป็นสัปตะฤาษีท่านยังควบตำแหน่งเป็นพระมหาประชาบดีที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดมวลมนุษย์เเละเทพเทวะทั้งปวงตลอดจนสร้างกลไกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดพระกัศยปะเทพบิดรนั้นในบางตำราก็ว่าเป็นพระบิดาของพระนารายณ์ ในวิษณุปุราณะก็กล่าวว่าเป็นบิดาของมหาฤาษีนารทมุนี ซึ่งพระฤาษีกัศยปะเทพบิดรองค์นี้ยิ่งใหญ่ในตบะฌาณทรงศักดิ์และทรงสิทธิ์เหนือมวลเทพเจ้าทั้งปวงหากแต่ไม่ค่อยมีผู้ใดกล่าวถึงเเละสร้างท่านกันมากนัก พระกัศยปะมหาฤาษี มีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อ พระกศป,พระประชาบดี อื่นๆและด้วยเหตุที่เป็นผู้ให้กำเนิดเทพเทวดา,มนุษย์ และสรรพสัตว์ตลอดจนวงศ์อสูรทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น แทตย์,ทานพ,นาค,ครุฑ และปีศาจ ไม่เว้นแม้แต่พระผู้เป็นเจ้า ท่านจึงได้รับการขนานพระนามด้วยเกียรติยศสูงสุดว่าพระเทพบิดร พระองค์มีที่สถิตอยู่ที่เขาเหมกูฎบรรพตเป็นผู้แต่งโศลกต่างๆในคัมภีร์ฤคเวทเป็นอันมากทั้งยังแต่งพระเวทอื่นๆบางตอนด้วย ว่ากันว่าพระกัศยปะองค์นี้ยังเป็นพระอาจารย์ที่สอนศิลปะศาสตร์แก่ 2 ศิษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาอวตารของพระวิษณุที่เก่งที่สุดในโลก สาเหตุของความเก่งกล้าก็มาจากครูผู้นี้นั่นเองได้แก่ ปรศุราม(รามสูร)และพระรามจันทร์(พระราม) ทั้งในยุคไตรเภทคัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะเจ้าว่าทรงประสูติจากพระนางสุรภีและพระบิดาก็คือพระกัศยปะเทพบิดรและในคัมภีร์พรหมมานัสก็ยังกล่าวไว้เช่นกันจะเห็นได้ว่าพระมหาฤาษีองค์นี้ไม่ธรรมดาเลยด้วยทั้งพระวิษณุหรือพระศิวะก็ได้มาจุติเป็นลูกของพระองค์ทั้งนั้น พระกัศยปะมีอัครมเหสีชื่อพระอทิติและมีมเหสีฝ่ายซ้าย(องค์รอง)คือนางทิติ แล้วก็มีชายาอีก12องค์บางตำราก็ว่ามี13องค์ นอกจากนั้นยังมีนอกสมรสอีกนับพันล้านนาง ด้วยพระกัศยปะเทพบิดรมีโอรสอยู่มาก เช่น พวกอาทิตย์ทั้ง 8 คือ สุริยาทิตย์,วรุณาทิตย์,มิตราทิตย์,อริยมนาทิตย์,ภคาทิตย์,องศาทิตย์,อินทราทิตย์และธาตราทิตย์ โดยเป็นโอรสที่เกิดกับนางอทิติอัครมเหสี พูดง่ายๆคือพระมหาฤาษีองค์นี้เป็นพ่อของพระอินทร์,พระอาทิตย์,พระวรุณ,พระยม เป็นต้น กล่าวง่ายๆคือลูกของท่านล้วนกุมกลไกต่างๆในมหาจักรวาลไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีกองค์หนึ่งที่สำคัญมากคือพระวามนซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตารปางที่ 5 โดยเกิดกับพระนางอทิติเช่นกัน จะเห็นได้ว่าท่านเป็นฤาษีที่อยู่สูงเเละมีความสำคัญมากแม้เเต่พระเป็นเจ้ายังเลือกที่จะเกิดเป็นพระโอรสของท่านเลย นอกจากนั้นท่านยังมีบุตรอีกมากได้แก่
    - ครุฑ นั้นเกิดกับนางวินตา อันว่าครุฑบุตรของพระกศยปะเทพบิดรที่หมายถึงนั้น ไม่ใช่ครุฑธรรมดาสามัญทั่วไป แต่เป็นจอมครุฑพญาสุเรนทรชิตที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ เป็นครุฑที่ชนะพระอินทร์มีอานุภาพเสมอด้วยพระนารายณ์เป็นเจ้า
    - นาค กับ อรุณ เกิดกับนางกัทรุ พญานาคที่เกิดเป็นโอรสนี้ก็รวมไปถึงองค์อนันตนาคราช บรรพบุรุษแห่งสายนาคพันธุ์ทั้งปวง
    - มารุต(ลมหรือพระพาย) และแทตย์เกิดกับนางทิติ พระมารุตหรือพระพายที่เป็นบิดาของหนุมานก็เป็นบุตรของพระองค์
    - ทานพ เกิดกับนางทนุ
    - ปีศาจ เกิดกับนางโกรธศา
    - อสุรินทรราหู ผู้เป็นใหญ่แห่งอสุรกายภูมิผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งมาร ก็เป็นบุตรที่เกิดจากพระกัศยปะเทพบิดรกับนางสิงหิกาด้วย
    ท่านเป็นพระบิดาของเทพเจ้าหลายพระองค์มากจริงๆไม่อาจกล่าวได้หมด จึงทำให้ท่านเป็นประชาบดีที่ได้รับเกียรติให้ใช้พระนามว่าพระเทพบิดรจะเห็นได้ว่าชื่อพระกัศยปะเทพบิดร ก็ได้มาเพราะเหตุที่มีลูกเป็นเทพที่คนรู้จักกันมากมายหลายองค์นี่เอง ซึ่งเเต่ละพระองค์ก็ล้วนมีอำนาจก็ยิ่งใหญ่จนมิอาจจะกล่าวได้ แต่ไม่ว่าลูกจะดีเพียงไหน ..ผู้เป็นพ่อก็ย่อมเป็นผู้ที่ลูกเคารพและเกรงใจมากที่สุดอยู่ดี หากมองดีๆแล้วพระกัศยปะเทพบิดรท่านเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่างๆที่เป็นระบบโครงสร้างของจักรวาลก็ไม่ผิด ด้วยว่าท่านมีตบะที่สั่งสมมานานเป็นเอนกอนันต์กาลทั้งด้วยฐานะประชาบดีแถมเป็นถึงพระเทพบิดรนั้นจึงเป็นที่เคารพเเละยำเกรงต่อทุกสรรพชีวิตเพราะท่านเป็นปฐมบิดาด้วยว่าท่านเป็นถึงบิดาของเหล่าเทพองค์สำคัญมากมายเเละที่สำคัญยังเป็นครูเสน่ห์ชั้นสูงสุดที่ไม่ค่อยมีใครกล้าสร้างเเละกล้าเเตะต้องอีกด้วย เพราะเเรงครูนั้นสูงมากต้องสร้างเเละเชิญได้จริงเท่านั้น


    พระมหาฤาษีผู้ได้รับพระนามยิ่งใหญ่ว่าพระเทพบิดรหรือบรมครูพระเทพบิดรนี้ พ่ออาจารย์ท่านเล่าว่ามีอวตารของพระองค์ท่านมากมายแต่ไม่มีใครพูดถึงกัน บางที่ก็เรียกจอมภพบ้าง,โลกบิดาบ้าง(บิดาของชนทั้งโลกเช่นนี้ท่านจึงให้ถือรูปพระเทพบิดรไว้เป็นประธานสัปตะฤาษีให้ศิษย์บูชาเสมือนได้กราบไว้บิดาตนเอง) ทั้งการลงมาของท่านก็จะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แปลกๆไว้เสมอๆ เป็นการเพิ่มกลไกของชาติพันธุ์และระบบวัฏฏสงสารเรียกว่าเป็นองค์พลังแห่งการให้กำเนิดพลังเเห่งชีวิต เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงถือว่าพระเทพบิดรคือต้นตอและรากเหง้าแห่งความเจริญทั้งปวงก็ไม่ผิด ซ้ำสตรีที่จะได้เกิดบุตรกับท่านนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้กว่าจะได้พระองค์ท่านนี่ต้องเสียเวลาบำเพ็ญตบะระลึกถึงท่านเป็นพันๆปีถึงจะมีบุตรกับท่านได้ พ่ออาจารย์ท่านได้สร้างพระกัศยปะเทพบิดรขึ้นมาอย่างรู้จริง ท่านว่านอกจากจะเป็นยอดบรมครูเสน่ห์สายฮินดูแล้วยังมีอภิสิทธิ์เด็ดขาดในทุกๆเรื่องเนื่องจากเป็นบรมบิดาแห่งทวยเทพทั้งปวงด้วย อยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักในทุกที่ ผู้ที่บูชาพระกัศยปะที่พ่ออาจารย์สร้างท่านว่าอย่าได้กลัวภัยอันจะเกิดเเก่ภพภูมิทั้งหลายเลย เพราะลูกๆของท่านที่ครองภพภูมิต่างๆย่อมเกรงใจเเละเคารพท่าน แค่ออกพระนามก็เป็นที่รักต่อสรรพชีวิตโดยรอบเเล้ว เวลาขอพรท่านเเค่ขอให้ลูกๆของท่านทุกองค์รักและเมตตาช่วยเหลือเรา ท่านว่าเท่านี้ไปไหนเทวดาก็ลงมาอภิบาลกันตรงนั้นเเล้ว

    ด้วยครูทั้งเจ็ดนั้นประกอบด้วยความสว่างรุ่งเรือง เป็นผู้ประคับประคองโลกและสรรพสัตว์ทั้งปวงในวัฏจักรนี้ ได้ชื่อว่าคุ้มครองคนจากความทุกข์ให้ความปลอดภัยและช่วยให้คนพ้นจากบาปทั้งมวล มีอำนาจเป็นอิสระไร้ขอบเขตหรืออำนาจใดมาขวางกั้นแม้กระทั่งอำนาจของพระเป็นเจ้า ท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์คือกล่าวอะไรหรือให้พรแก่ใครต้องเป็นไปดั่งปากเหมือนพระผู้เป็นเจ้าทั้ง 3 ดังนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงได้สร้างและขอให้ครูทั้งเจ็ดนี้ช่วยปลดปล่อยผู้ที่เคารพพ้นจากบาปของเขาตามขอบเขตอำนาจอันยิ่งใหญ่ของบรมครูสัปตะมหาฤาษี ท่านว่าให้ใช้อาราธนาไปเรื่อยๆจะเห็นจะรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับตัวของเราเอง ด้วยคำพรของครูทั้งเจ็ดก็ถือได้ว่าเป็นยอดแห่งคำอวยพรที่มีศักดิ์และสิทธิ์อันประเสริฐกว่าเทพยดาทั้งหลายด้วยเช่นกัน กล่าวได้ว่าแม้ใครได้สักการะบูชาด้วยใจศรัทธาและอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านก็จะดีด้วยอย่างถึงที่สุดแบบเรียกว่าเวลาดีก็จะดีใจหาย ประสิทธิประสาทพรอันจำเป็นต่อเหตุการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตครอบคลุมถ้วนทั่ว ซ้ำยังคุ้มเกรงให้ปัจจามิตรที่คิดร้ายมอดดับถึงคราพินาศราพณาสูร ท่านว่าครูสัปตะมหาฤาษีนี้เวลาเชิญมานั้นหากเป็นเรื่องช่วยคนท่านจะยินดีมาก หากใครมีตาในจะรู้ได้ว่าท่านเมตตากับผู้ศรัทธามากเพียงใดท่านใจดีๆสุดเหมือนคุณปู่คุณตาร่วมสายตระกูลนั้นห่วงใยลูกหลานอันเป็นเชื้อสายของท่านนั่นทีเดียว ด้วยญาณทัศนะของท่านที่พึงรู้ว่ากรรมของสัตว์ใดจะดำเนินไปในรูปแบบใดท่านจะแก้ไขวาระกรรมนั้นให้โลดแล่นและได้ดีเป็นเกียรติยศสูงสุดในชีวิตครอบคลุมเหตุการณ์ทั้งปัจจุบันแลอนาคต ด้วยครูสัปตะมหาฤาษีนี้ปกติพ่ออาจารย์ท่านจะไม่ทำขึ้นเลยเหตุด้วยว่าแรงครูสูงและเมื่อจะทำนั้นจะทำเล่นๆตามแต่อารมณ์มิได้ พ่ออาจารย์ท่านว่าท่านพูดแบบตรงๆนะ หนนี้เราไม่ได้ทำเอาสวยหรือปราณีตใดๆเลย แต่เราทำแบบโบราณที่เอาขลังและพลังงานศักดิ์สิทธิ์เข้าว่า

    ด้วยท่านใช้เวทย์สวรรค์ลงมนต์กูโบ๊สด้วยวิชาเปิดพลังจักรวาลในผงวิชาที่ท่านเตรียมไว้ พ่ออาจารย์ท่านว่าการเปิดพลังงานจักรวาลและดึงเข้าเครื่องมงคลนี้ จะเป็นแหล่งพลังงานอันอนันต์ตลอดไปให้กับวัตถุธาตุก่อนนำมาขึ้นรูปเป็นสัปตะมหาฤาษี ทำไมต้องเปิดพลังงานจักรวาล พ่ออาจารย์ท่านว่าการเปิดพลังงานจักรวาลนั้นคือเปิดพลังงานแห่งการเคลื่อนไหว พลังงานที่ให้กำเนิดชีวิต มหาธาตุ และสสารต่างๆ เป็นพลังงานที่จะผลักดันและดำเนินเรื่องราวต่างๆให้เป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น พ่ออาจารย์ท่านได้รวบรวมมวลสารตามที่ครูให้หามาเข้ากับผงวิชาที่ท่านลบถมไว้ได้แก่ ดินขุยปู,ดินกลางโบสถ์,ดินกลางฐานพระประธาน,ดินกลางนา,ดินกลางหนอง,ดินรังชันโรงใต้ดิน,ดินหน้าตะโพนผสมเข้ากับผงโองการพินธุฤาษี,ผงหัวใจยอดฤาษี,ผงฤาษีพรหมปราบไตรจักร,ผงฤาษีพรหมเตล็ดไตรจักร,ผงฤาษีแปลงรูป,ผงฤาษีแปลงสาสน์,ผงนารายณ์กลึงจักร,ผงนารายณ์เกลื่อนสมุทร,ผงนารายณ์ตวาดป่าหิมพานต์,ผงนารายณ์ขว้างจักร,ผงนารายณ์ทรงเมือง,ผงนารายณ์พลิกแผ่นดิน,ผงนาราย์ถอดรูป,ผงนารายณ์แปลงรูป,ผงนารายณ์บันลือสีหนาท,ผงเทพนิมิตร,ผงเทพชุมนุม,ผงสะเดาะเคราะห์,ผงมงกุฏพระเจ้า,ผงชฎาพระพรหม,ผงคุ้มดวงชะตา,ผงวิชาเสริมดวง,ผงกำจัดอุปสรรค,ผงต์กันแก้กระทำย่ำยี,ผงมหาจักรพรรดิ์,ผงดับโทสะ,ผงดับทิฐิ,ผงดับโมหะ,ทรายเงินทรายทองกลางถ้ำ,ผงรากรักหันทิศตะวันออก,เครือรัก,เครือหลง,เครือให้,กาฝากรัก,กาฝากมะรุม,กาฝากมะยม,กาฝากกาหลง,ว่านกินเงิน,ว่านกินทอง,ว่านกินกระดาษ,ว่านกินเหล็ก.. ผงต่างๆที่กล่าวมาแต่ละชนิดมีอุปเท่ห์การใช้และวิธีการลบถมที่แตกต่างกันไป ทั้งว่านยาต่างๆบางชนิดก็มีศักดิ์สูง มีชีวิต ต้องเลี้ยงดูตามพิธีกรรมว่านจึงจะให้คุณแก่เจ้าของบางชนิดก็รู้วิธีหากินเองสามารถหาเงินทองและสิริมงคลมาให้เจ้าของได้ ท่านว่าบางอย่างกว่าจะกลายมาเป็นผงว่านนั้นต้องพลีต้องให้เขากินให้อิ่มเลี้ยงสิ่งที่ชอบเสียก่อน

    ด้านหลังท่านฝังของวิเศษไว้
    - ตะกรุดครูลงหัวใจสังวาลพระอินทร์ ตะกรุดชุดพิศดารที่พ่ออาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่าต่อให้เราตาย ก็ทำไว้ได้ไม่ครบ100เส้นเป็นอมตะวาจาที่พ่ออาจารย์กล่าวถึงตะกรุดชนิดนี้ ครั้งนี้ท่านได้ลงหัวใจวิชาครูไว้เพื่อใช้กับสัปตะมหาฤาษีโดยเฉพาะ ด้วยปกติตะกรุดครูชุดนี้ถือเป็นของที่ทำยากออกยากต้องรองานเทศกาลสำคัญๆซักครั้งหนึ่งพ่ออาจารย์ถึงจะทำมาซักเส้นหนึ่ง(ไม่ใช่ทุกงานเทศกาล) ท่านว่าทำยากลงยากฤกษ์มีน้อยเเต่ตะกรุดที่จะต้องลงให้ครบมีมาก จะไม่ให้มากได้อย่างไรตั้ง26ดอกเข้าไปแบบนั้นพ่ออาจารย์ลงเองกับมือทุกขั้นตอน ตะกรุดนี้ถามว่าทำยากขนาดนั้นเเล้วมันดีอย่างไร พ่ออาจารย์อธิบายไว้ว่าดีครอบจักรวาลเเล้วเเต่จะอธิษฐานใช้เหมือนสังวาลย์แก้วพระอินทร์สังวาลย์เพชรพระอิศวร ให้ใส่พานไว้บูชาคู่บ้านก็ได้ ไปไหนพกพาอาราธนาไปด้วยก็ได้ท่านว่าตะกรุดนี้คุ้มครองเรารวมไปถึงคนรอบข้างได้นับเเสนคนตำราเขาบอกไว้แบบนั้น เเต่ไม่จำเป็นต้องใส่ให้หนักเนื้อหนักตัว นำมาใส่เวลาสวดมนต์ไหว้พระก็ได้ เวลาทำสมาธิสวมเทพสังวาลย์นี้ภาวนาธาตุทั้ง4นะมะพะธะก็ได้กันอาวุธมีดปืนต่างๆ อยู่ที่ไหนเทวดาก็รักษา อะไรที่ไม่เกินกรรมเเก้ได้หมด หยุดเคราะห์ภัยได้ท่านว่าครอบจักรวาล มีไว้จุดไหนภูติผีปีศาจไม่กล้ารังควาญ หากถอดสวมใส่ผู้ที่ถูกคุณถูกของท่านว่าได้ผลนัก ด้วยเป็นตะกรุดที่ทำยากท่านจึงลงชุดหัวใจไว้ฝังยอดฤาษีบรมครูนี้ ท่านว่าคนที่ไม่เคยมีชุดสังวาลย์พระอินทร์ก็ใช้ได้เหมือนกัน
    - หุ่นแบกภาระเทพอสูรราวัณยกเขาไกรลาสพระศิวะบรรทม พ่ออาจารย์ท่านว่าราวัณก็คือทศกัณฐ์นั่นเอง แม้ราวัณจะเป็นเทพอสูรแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของพระศิวะ เป็นเจ้าแห่งเผ่าพันพ์อสูรมีอำนาจเหนือท้าวเวสสุวรรณผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา นอกจากเป็นยักษ์ที่เจ้าชู้มีสนมบริวารมากมายตั้งแต่ใต้บาดาลยันบนสรวงสวรรค์แล้วยังเป็นยักษ์ที่ฆ่าไม่ตายเพราะได้ฝากดวงใจไว้กับฤาษีผู้เป็นอาจารย์อีกด้วย พ่ออาจารย์ท่านจึงได้ทำหุ่นวิชาขึ้นตามที่ครูพระสยมบัญชาให้ทำเก็บไว้เพื่อให้คนที่มีภาระหนักเป็นพิเศษได้ใช้ ท่านว่าราวัณนั้นสามารถยกเขาไกรลาสพระศิวะบรรทมอันไม่มีใครกล้ายกให้ตั้งตรงได้ แม้ว่าจะเป็นเทพเทวดาหรือทุกสรรพชีวิตก็ยังขยาดในกำลังของของราวัณเมื่อเที่ยงตรงในคุณของพระเป็นเจ้ายามนั้น เวลานั้นคือเวลาที่ราวัณมีฤทธิ์สูงสุดอย่างแท้จริงก่อนที่จะตกลงสู่อหังการครอบงำ..การยกเขาไกรลาสที่ไม่มีใครทำได้ถือว่าได้รับความสำเร็จยิ่งใหญ่มีเกียรติก้องไปทั้งสามภพ ทั้งเสร็จงานยังได้ของสมณาคุณแทนคุณเป็นบำเหน็จความชอบหลังจากลงแรงลงความเหนื่อยอย่างยิ่งใหญ่สูงสุดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะกล้าขอนั่นคือได้พระอุมาเป็นรางวัล(ในภายหลังต้องช้อนพระบาททูนหัวกลับมาคืนพระศิวะเปลี่ยนเป็นมณโฑเพราะแค่เข้าใกล้พระอุมาก็ร้อนเหมือนโดนไฟเผา) ครูพระสยมท่านจึงตั้งใจให้สร้างหุ่นตอนราวัณรุ่งเรืองสูงสุดมีฤทธิ์สูงสุดกำลังแบกเขาไกรลาสนี้ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องรางเฉพาะที่จะช่วยให้ผู้ที่มีภาระหนักบนบ่าทั้งหลาย สามารถทำงานยิ่งใหญ่ได้สำเร็จง่ายๆในเวลาไม่ช้านาน แม้งานและภาระนั้นจะหนักดุจเขาไกรลาสที่ทรุดเอียงลงไปแล้วหาใครมากู้เพื่อให้เป็นเกียรติยศสืบไปมิได้ ก็ยังแบกยังชะลอขึ้นให้ตั้งตรงได้ทำให้ปรากฏเกียรติยศก้องกำจายออกไปจากงานที่ได้ลงแรงกระทำทุกสิ่ง ตลอดจนได้บำเหน็จได้รางวัลที่ดีที่สุดของชีวิตจากงานที่ตัวเองได้ทำไว้ ท่านว่าหุ่นแบกภาระนี้มีอาถรรพ์มาก...ให้คุณมาก ยิ่งใครภาระเยอะก็ยิ่งมีเกียรติ ยิ่งใครมีภาระมากก็ยิ่งมีรางวัลมีบำเหน็จชีวิตมากเป็นเงาตามตัว ***ท่านว่าวิชานี้ลองติดตัวไว้เถิดคนที่มีภาระทั้งหลายมากๆจะปลดออกง่ายดุจจับวางทั้งภาระที่ว่าหนักว่าตึงมือเรายังเบาดุจปุยนุ่นยกออกได้ไม่ยากเลย

    คาถาบูชา
    โอม ตะวะเมวะมาตา จะบิตา ตะวะเมวะ ตะวะเมวะพันธุศจะ สะขา ตะวะเมวะ ตะวะเมวะวิทะยา ทรวิณัม ตะวะเมวะ ตะวะเมวะสรวัม มะมะ เทวะ เทวะ ..โอม สะระเวโภย ฤาษีโภย นะมัส

    *** พระผงสัปตะมหาฤาษีนั้นพ่ออาจารย์ท่านสร้างขึ้นมาเป็นชุด โดยหนึ่งชุดจะมีสององค์มวลสารเดียวหัน องค์หนึ่งเป็นองค์ครูฝังพิเศษส่วนอีกองค์เป้นองค์ลูกไม่ได้ฝังสิ่งใด ท่านว่าจะแถมให้ไปพร้อมกัน ท่านสร้างไว้ทั้งหมดห้าชุด รายการนี้ท่านว่ามีแรงครูสูงมาก รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น ผู้บูชาให้แจ้งชื่อนามสกุลตลอดจนเรื่องที่อยากบอกกล่าวครูทั้งเจ็ดเป็นพิเศษไว้ด้วย ท่านจะมนต์บอกกล่าวครูสัปตะมหาฤาษีและเจิมประสิทธิ์แรงครูให้อีกคำรบหนึ่ง รายได้ร่วมสมทบทุนอาหารกลางวันเด็กขาดโอกาสทางการศึกษาสืบต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา พระผงพึ่งบารมีครูปฐมพรหมโยคีสัปตะมหาฤาษี(ตะกรุดสังวาลย์พระอินทร์,หุ่นราวัณแบกภาระ) บูชา 4,000 บาท

    70504673-327138841418551-7019673692221210624-n.jpg 71964482-458957774830062-86515416028938240-n.jpg
    71185047-896831474021769-4728226000339468288-n.jpg
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พระฤาษีชุดนี้มีแถมองค์ลูกมวลสารเดียวกันไว้ด้วยนะครับ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดจาวู

    เคยเกิดอาการแปลกๆ บ้างไหม
    อาการที่เหมือนกับตัวเองฝันไป แล้วฝันก็เป็นจริง
    อาการที่เห็นภาพและอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา แล้วก็เป็นจริง
    อาการเหมือนคนมาเตือนให้ระวังภัยและเตือนภัยแล้วก็เกิดขึ้น
    อาการเหมือนตกหลุมรักโดยฉับพลัน...คนนี้ใช่เลย
    อาการที่คล้ายกับเคยพบเห็น เคยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน
    นั่นแหละคับ เรียกว่าอาการ เดจาวู

    ตัวอย่างเหตุการณ์
    - อับบราฮับ ลินคอร์น ก็เคยเห็นเดจาวู เขาเห็นว่าตนจะโดนลอบสังหารและไม่มีใครหยุดได้ ก่อนนอนเขาได้กล่าวอำลากับทหารที่รักษาการนอกห้องประธานาธิบดีว่า ลาก่อนเราคงไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว หลังจากนั้นเขาก็โดนลอบยิงเข้าที่หน้าอกเสียชีวิตทันที
    - บางคนรู้สึกว่าตนนั่งรถทัวร์กลับต่างจังหวัดตอนดึก ระหว่างทางเห็นอุบัติเหตุข้างทาง แล้วก็ผ่านไป สักพักก็เห็นอีก เห็นอยู่เรื่อย ที่สำคัญเป็นรถคันเดิม คนเดิม บางทีกำลังหันมามองเขาด้วย โดนที่ไม่ใช่ฝันแน่นอน พอรู้สึกตัวอีกที รถจอด ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเห็น
    - มนุษย์ในบางครั้งมีความรู้สึกว่า ตนเองเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าในฝันหรือในอดีต เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไม่เคยไปมาก่อน เดินไปยืนที่ระเบียงแล้วรู้สึก ตนเองคุ้นกับระเบียงนี้ มุมนี้ และการยืนแบบนี้..
    - เมื่อได้พบใครเป็นครั้งแรกแล้วเกิดอาการ “ปิ๊ง” ขึ้นมาทันที...ใช่เลย เขาคนนี้แหละที่เคยปรากฏในจินตนาการของเรา
    - บางคนที่เคยเขียนภาพทิวทัศน์จากจินตนาการ แล้วก็ได้ไปพบทัศนียภาพนั้นตรงกับที่เขียนไว้เป๊ะๆ... เนินตรงนั้น...ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น...วัวกำลังยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น


    เดจาวู ทางการแพทย์เขาเรียกว่า การไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองเกิดการผิดปกติ คือ ไหลไปยังไงไม่รู้ทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้วแต่ไม่สามารถจำเวลาได้
    แต่โดยความเชื่อของเราเองแล้วนั้นที่เรียกว่าเดจาวูนี่เป็นประสบการณ์ทางจิตที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา คือมันเป็นทั้งโลกคู่ขนานและเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล(ชาติก่อนๆโน้น) คล้ายๆกับทฦษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์คือสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีตจะย้อนกลับมาเกิดซ้ำอีกเหมือนกับการที่เรากลับชาติมาหลายๆชาติ

    ทฤษฏีของเดจาวู
    เดจาวู (ฝรั่งเศส:ทฤษฏีของเดจาวู Déjà vu เดชาวู แปลว่า เคยได้พบเห็นมาแล้ว) คำว่าเดจาวูได้บันทึกขึ้นมาจากนักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส Emile Boirac (1851–1917) ในหนังสือ L'Avenir des sciences psychiques (แปลว่า อนาคตของวิทยาศาสตร์จิตวิทยา)
    อาการเดจาวูคือรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเคยพบมาแล้วทั้งๆที่เพิ่งพบครั้งแรก โดยเราอาจจะคิดว่าเราเพ้อฝันไป เดจาวูเป็นประสบการณ์ทางจิตที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา อาจเป็นอดีตชาติ อาจเป็นโลกคู่ขนาน อาจเป็นพลังจิต หรืออาจเป็นแค่ภาพลวงตาทางสมอง
    - ทฤษฎีแรก อดีต สิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีตจะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมายและบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำแล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน เดจาวูเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ.. ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเดจาวู มันเกิดจากการที่ขณะหลับจะมีการหลับอยู่หลายขั้น(ประมาณ 5 ขั้น) ถ้าเห็นอนาคตที่เคยทำก็จะอยู่ประมาณขั้นที่ 3 ยิ่งขั้นมากขึ้นความสัมพันธ์กับร่างกายและวิญญาณจะยิ่งห่างไกลกันออกไป ถ้าหลับลึกถึงขั้นที่ 5 ก่อนหลับจะรู้สึกชาตามร่างกายทั้งตัวขยับตัวเองไม่ได้พูดไม่ได้(ลักษณะที่คนทั่วไปเรียกว่าถูกผีอำ) ถ้าหลับในสภาพนี้อัตราค่าซิงโครกับร่างกายจะลดต่ำลงจนเหลือ 0 แล้ววิญญาณก็จะหลุดออกจากร่างกาย
    - ทฤษฎีที่สอง พลังจิต บ้างก็ว่า เดจาวู เป็นพลังจิตรูปหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นทิพจักขุญาณ (ความรู้คล้ายตาทิพย์) ซึ่งได้มาจากการเจริญสมถะภาวนาในหมวดของกสิณ 3 กองคือ เตโชกสิณ(กสิณไฟ),โอทากสิณ(กสิณสีขาว) และอาโลกสิณ(กสิณแสงสว่าง) จากทั้งหมด 10 กอง เราทุกคนมีพลังจิต เพียงแต่จะอ่อนจะเข้มบางทีเพราะเราไม่ได้ฝึกจะเก็บกดไว้ภายในวันดีคืนดีก็ล้นออกมา ตามตำราถ้าได้ฝึ เราสามารถควบคุมได้ มีนักพยากรณ์หลายคนพยากรณ์ได้จากการเพ่ง ว่ากันว่ามีผู้หนึ่งมีเดจาวูแรงกล้ามากหาใครเปรียบได้ไม่เขาชื่อนอสตราดามุส

    - ทฤษฎีที่สาม จักรวาลคู่ขนาน อธิบายเกี่ยวกับโลกคู่ขนาน หรือจักรวาลคู่ขนานก่อน หมายถึงจักรวาลที่ดำเนินไปพร้อมกับจักรวาลที่เราอยู่นี้ ทฤษฎีนี้นักฟิสิกส์ริเริ่มคิดขึ้นมา มีเหตุการณ์ที่เราลังเลอยู่ 2 ทาง แต่เราก็ตัดสินใจไปทางหนึ่งแล้วคิดไหมว่าถ้า ณ วันนั้นเราตัดสินใจเป็นอย่างอื่นอะไรจะเกิดขึ้น ในโลกนี้ที่เรามีตัวตนอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันก็มีเราอีกคนหนึ่งในอีกโลกหนึ่งและมีโลกคู่ขนานมากมายนับไม่ถ้วน

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ชิตพล EI 2170 2787 8 TH

    พี่เกียรติศักดิ์ EI 2170 2788 1 TH

    พี่ณธพรหม EI 2170 2789 5 TH

    พี่กานต์ธิดา EI 2170 2790 4 TH

    พี่ศิระ EI 2170 2791 8 TH

    พี่จารุวรรณ EI 2170 2792 1 TH

    พี่กษิดิ์เดช EI 2170 2793 5 TH
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้เดี๋ยวมาติดตามพูดคุยกันนะครับ
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้ติดตามพูดคุยเรื่อง...(ยังไม่บอกใบ้) ใครพลาดรับรองมีคนเอาหัวโหม่งกำแพงจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2019
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้จะมากล่าวถึงเหรียญหล่อพิมพ์เจ้าสัวหลวงปู่บุญ...ซึ่งปกติพระสกุลเจ้าสัวพ่ออาจารย์ท่านจะทำแต่เนื้อผงไม่ได้ทำเป็นเหรียญหล่อไว้เลย ด้วยว่าถ้าจะทำก็ต้องทำให้ขลังใช้แทนของเก่าได้ท่านถือคติแบบนั้น เช่นนั้นเหรียญหล่อเจ้าสัวของท่านจึงลงวิชาพิเศษที่มีประสบการณ์สูงฝังไว้ด้านหลัง(เฉพาะของฝังชุดนี้ปกติท่านก็ให้บูชาตกหกพันอยู่แล้วเพราะต้องลงจารบีบอักขระ)และถือว่าเฉพาะแค่ของฝังนั้นก็มีประสบการณ์มาก เพราะเป็นชุดวิชาโคตรเศรษฐีมหาคฤหบดีที่มีประสบการณ์สูง แต่ชุดที่ทำฝังเหรียญนี้จะพิเศษกว่าโคตรเศรษฐีตัวปกติ โดยชุดนี้จะเป็นตะกรุดชุดจิ๋วของตะกรุดโคตรเศรษฐีที่พ่ออาจารย์ท่านต้องจำแนกวิชาออกมาเฉพาะอย่างถึงห้าดอก ท่านเจาะจงใช้วิชาเฉพาะห้าสาย คือดับทุกข์ทางการเงินที่เกิดจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...โดยเฉพาะ เหรียญหล่อเจ้าสัวหนนี้เดี๋ยวจะนำมาพูดคุยกัน บอกได้แค่ว่าใครขอเช่าตะกรุดชุดนี้อย่างเดียวราคายังแพงกว่าด้วยซ้ำ ใครพลาดจึงบอกได้เลยว่าน่าเสียดายยิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2019
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่เมธี EI 2170 6228 2 TH

    พี่ศิระ EI 2170 6229 6 TH

    พี่กีรติศักดิ์ EI 2170 6230 5 TH

    พี่พรเทพ EI 2170 6231 9 TH
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เกี่ยวกับเรื่องกิจกรรม

    จริงๆผมก็อยากได้บรรยากาศกระทู้แบบเดิมๆนะแบบจับแจกไปเรื่อยๆหมดแล้วก็แจกใหม่ แต่พอเล่นนานๆมันหมดจริงๆเราแจกไม่มีกั๊กกันเลย หลายๆครั้งก็นับร้อยชิ้นบางคนขอพิเศษทั้งครอบครัวทั้งโรงงานก็มีให้ไป อันนี้ก็ต้องยึดหลักตามความเป็นจริงว่าแจกถี่ๆกันมาหลายปีของที่ท่านทำสะสมไว้เพื่อแจกมันก็หมดเป็นธรรมดา ต้องเรียกว่าแจกให้หมดหน้าตักหากิจกรรมมาป้อนตลอดเดือนนึงหลายครั้ง อันนี้ยอมรับว่าที่ผ่านมาหมดไม่เหลือจริงๆขนาดคนเช่าขอของแถมก็ยังไม่มีแถมให้เขาเพราะแจกกันบ้าระห่ำจนหมดไปแล้ว

    พอเราจะไปเอาเครื่องรางแบบตลาดๆทั้งพระผ้ายันต์สำเร็จรูปมาให้ท่านเสกแจกไปแบบนี้คนก็ไม่อยากได้ เพราะที่เขาอยากได้ก็คือที่ท่านทำเองกับมือ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าท่านตอบสนองตรงนี้เหมือนเดิมไม่ได้เพราะที่สะสมไว้ก็รังแต่จะหมดไปแล้วด้วยที่แจกไปนั่นคือท่านทำสะสมไว้มาหลายปีมากๆ

    ด้วยเอาของที่ควรจะแจกได้หลายๆปีถึงสิบปีมาจัดกิจกรรมถี่ๆแจกติดๆกันนานนับปี ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของผมเองที่ขอท่านมาแจกไปเรื่อยจนของหมดลงจริงๆ บางอย่างก็เหลือไว้ดูอย่างละชิ้นสองชิ้น แต่บางอย่างหมดจนไม่มีเก็บไว้ดู ดังนั้นหากอยากให้มีกิจกรรมแจกอีกก็ต้องพักและขอเวลาให้ท่านนานๆเลยค่อยๆทำสะสมไปให้ท่านเสกของท่านไป พอถึงจุดๆหนึ่งเปรียบง่ายๆคือมีเสบียงตุนพอแล้วเราก็จะแจกเสบียงที่ตุนไว้ให้ได้ ไม่ใช่จัดกิจกรรมแล้วมานั่งทำเพื่อแจกเพราะโดยปกติท่านจะเอาของที่ทำไว้เสกไว้ดีแล้วมาแจกนะครับ
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา เหรียญหล่อโคตรเจ้าสัวมนต์เศรษฐีกำเนิดทรัพย์ดับภัยอภิสังขาร(ทำลายสิ่งรบกวนลาภสักการะ)

    พระเจ้าสัวชุดนี้พิเศษอย่างไร
    เพราะท่านเน้นแก้ปัญหาการเงิน การงาน การค้า วิบากกรรมหนัก วิกฤตชีวิตการเงิน หนี้สินที่รุมเร้า ทั้งยังรวมไปถึงเรื่องคนไม่รักใคร่ ไม่เมตตา ไม่ซื่อสัตย์ ทำมาหากินไม่ขึ้น... นอกจากนั้นท่านว่าทำพระเจ้าสัวแล้วยังต้องทำให้เก่งมากนั่นคือดับเคราะห์เขาได้ จะสะเดาะเคราะห์วิบากกรรมชีวิต ให้รับโชค เรียกลาภ เปิดดวงโภคทรัพย์ การงานการเงินเพื่อให้โอกาสผู้ห้อยได้อาราธนาสร้างฐานบุญบารมีของตนให้เข้มแข็ง เสริมดวงชะตาราศีให้ผ่องแผ้วทั้งภายนอกภายในให้โชคดีมีโชคลาภทั้งอธิษฐานใช้สะเดาะห์เคราะห์ดับกรรมทั้งปวงด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ เมื่อท่านตั้งใจจะสร้างพระไว้ใช้เองพร้อมกับให้คนที่มีบุญร่วมชาติทั้งหลายได้อาราธนาเอาไว้เปิดวาสนาของตน ท่านจึงได้รับนิมิตจากเสด็จพระใหญ่ให้ทำพระเจ้าสัวที่เน้นใช้งานทางด้านดับทุกข์,ดับภัยทั้งหลายในกายสังขาร ท่านว่าชีวิตนี้ถ้าไม่มีภัยไร้ทุกข์เหตุที่จะทำให้เสียทรัพย์นั้นย่อมไม่เกิดขึ้นเลย เราจึงต้องระงับไว้เสียจากภายใน เพื่อความปลอดภัยอย่างมั่นคงที่สุด
    พระเจ้าสัวนี้ถ้าตกอยู่กับผู้ใดเมื่อดับภัยในอภิสังขารแล้วจะทำให้ก้าวหน้ามหาศาล ทั้งความเป็นอยู่การงานจะเจริญโอฬารเฟื่องฟู เมื่อจะทำพระเจ้าสัวชุดนี้พ่ออาจารย์ท่านได้เพิ่มเติมชนวนมวลสารตามบัญชาของเสด็จพระใหญ่ โดยท่านได้หาตะกั่วอวนร่างแหร้างที่ทิ้งอยู่ชายหาดและต้องมีปลาเข้ามาติดเพื่อเอาเคล็ดว่าคนใช้แม้อยู่เฉยๆไม่ต้องลงแรงก็มีมาหามาให้ถึงที่ จะดึงดูดดักจับทรัพย์ได้ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ดี ท่านว่าตะกั่วอวนนี้เป็นอาถรรพ์เบื้องต้นนำมาประสระเป่ามนต์หัวใจเศรษฐีร้อยแปดคาบในราชาฤกษ์ ท่านว่าจะได้เป็นใหญ่เป็นโตมีชีวิตการงานที่มั่นคงเป็นเศรษฐีได้อย่างมั่นคงไร้คู่แข่ง ไร้คู่เปรียบ ทางด้านทำมาหากินนั้นใครก็ชนะเราไม่ได้ ท่านเลือกทำในวันอังคารเพราะถือเป็นวันแข็งเพื่อให้เอาชัยได้ทุกคน ดุจว่าเรานั้นต้องรวยคนเดียวเป็นใหญ่ผู้เดียว ทั้งจะชนะอุปสรรคขัดขวางทุกทิศทาง จากนั้นจึงนำอวนอาถรรพ์ไปหลอมรีดแล้วนำกลับมาลงยันต์อาถรรพ์อีกสี่ชุด

    - กำเนิดทรัพย์ ท่านว่าวิชานี้ปกติจะใช้เรียกความมั่งคั่งเปลี่ยนคนธรรมดาแม้จะเป็นขอทานยากไร้หากรู้จักทำกินยังกลายเป็นเศรษฐีมหาศาลได้ จะทำให้เกิดลาภสักการะมากมายไม่มีวันรู้สูญรู้สิ้น แม้คนที่เคยดวงตกหรือทำมาหากินไม่ขึ้น ลงทุนแล้วขาดทุน หมดเดือนชนเดือนไม่เห็นกำไรเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนพลิกกลับให้วาสนาเงินทองหลั่งไหลทำอะไรก็เห็นกำไร สำเร็จโดยง่าย วิชานี้คือกำเนิดทรัพย์ พ่ออาจารย์ท่านว่าพอทรัพย์กำเนิดทุกสิ่งก็จะเกิดขึ้นตาม คนที่มีหนี้จะหมดหนี้ คนโสดจะได้คู่ คนที่อยู่ใต้บัญชาผู้อื่นเจ้านายก็จะรักเมตตา คนที่แสวงหาลาภจะได้ลาภ คนที่ไร้ยศจะได้ยศ คนที่ไร้ตำแหน่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง ท่านว่ามันกำเนิดเกิดขึ้นทีละอย่างเป็นวงจรวนไปเช่นนี้
    - หนุนทรัพย์ ท่านว่าหนุนทรัพย์ก็เหมือนหนุนดวง แต่เป็นดวงทางด้านทรัพย์สินเฉพาะเจาะจง เป็นวิชาที่ใช้หนุนทางด้านการเงินโดยเฉพาะ หนุนให้รับโชคก่อนใคร ให้คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเงินไม่คล่องตัวหรือการงานไม่ราบรื่น ติดขัดเหล่านี้หนุนให้ฝ่าวิกฤติปัญหาต่างๆได้ ท่านว่าหนุนทรัพย์นี้จะชูดวงเราขึ้นเพื่อเรียกลาภโดยเฉพาะ แม้คนที่เงินขาดมือก็หนุนให้เต็มมือหยิบจับอะไรก็กลายเป็นเรื่องเงินๆทองๆไปหมด หนุนโอกาสให้เราได้รับไวขึ้น...
    - เปิดทางรวย วิชานี้ท่านว่าอาศัยอำนาจเทวดาเข้าหนุนให้เทวดารักผีสงสารเจ้าที่เจ้าทางเมตตา อยู่ที่ไหนเขาก็เอ็นดูเปิดทางให้เราให้ลาภให้โชคให้มีกินมีใช้ไม่ขาด แม้คนก็เมตตาอุปถัมภ์ค้ำชูเราให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เปิดทางรวยให้เราเห็นช่องทาง ชี้ทาง นำทางเราไปสู่หนทางแห่งความเจริญรุ่งเรือง
    - ข่มศัตรู วิชานี้พ่ออาจารย์ท่านว่าต้องใส่ไว้เพราะคนใช้เจ้าสัวนั้นถ้าไปเจอคนดีคนที่เขาเก่งกว่าเราแล้วโดนเขาข่มมันก็จะแย่ ด้วยการทำมาหากินต้องเอาชนะคู่แข่งได้ ปราบศัตรูและสะกดข่มเขาได้เพียงแค่เห็นก็เกรงใจหลีกทางให้เรา เห็นเราแล้วก็ไม่อยากสู้ไม่อยากแข่งด้วย ท่านว่าเป็นวิชาสะกดคนให้อยู่ในอำนาจเรา เราพูดอะไรเขาก็เชื่อทำตามเราทุกอย่าง ยิ่งใครที่โดนบ่นโดนด่าว่าอยู่บ่อยๆ หรือใครที่พูดอะไรแล้วไม่มีคนเชื่อเหล่านี้ พ่ออาจารย์ท่านว่านี่แก้ทางกัน พอข่มเขาแล้วทำอะไรไปเขาก็เชื่อเรา ฟังเรา ยอมรับเราทั้งสิ้น เปลี่ยนคนที่เคยดุเคยเกลียดเป็นดาวข่มให้อยู่ใต้อำนาจเราเป็นมิตรกับเรา

    พ่ออาจารย์ท่านนำชนวนพิเศษชุดนี้มาเข้ากับชนวนตำรับทำพระเจ้าสัวที่เตรียมไว้ พ่ออาจารย์ท่านว่าการสร้างพระเจ้าสัวนั้นเป็นเรื่องของเศรษฐี พูดกันง่ายๆก็คือพระที่ทำให้คนเป็นเจ้าสัวหรือเศรษฐีนั่นเอง แล้วพระจะทำให้คนเป็นเศรษฐีได้อย่างไร ตรงนี้ท่านว่ามันมีความหมายโดยนัยน์อยู่ลึกๆเกินกว่าที่คนจะเข้าใจได้ไปมากนัก แต่เมื่อท่านพิจารณาและอาราธนาเสด็จพระใหญ่แล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ปฐมรับอาราธนาสร้างพระเจ้าสัวทั้งที ก็แปลว่าพระนี้ย่อมมีอานุภาพสร้างคนได้ นั่นคือสร้างคนให้เป็นเจ้าสัวได้ พ่ออาจารย์ท่านบอกไว้ตั้งแต่สมัยนั้นเลยว่าเจ้าสัวหล่อโบราณของเรานี้คนรับจะต้องเป็นเจ้าสัวทุกคนนะ แต่จะรวยมาก รวยน้อย ยังไงก็แล้วแต่มันต่างกันอยู่ตรงที่วาสนา แต่เอาว่าต้องรวย พ่ออาจารย์ท่านทำด้วยเจตนาที่ตั้งใจช่วยผู้ศรัทธาให้ลืมตาอ้าปากได้ แต่การสร้างพระเจ้าสัวที่จะใช้เปิดชะตาวาสนาคนนั้น ก็ยากมากเช่นกันเพราะท่านว่าที่เราเรียนมานั้นมันต้องใช้ชนวนอาถรรพ์ตำรับของเราจริงๆ เป็นชนวนที่จะสร้างคน เปลี่ยนคนจากยากจนให้เป็นเศรษฐี
    ท่านดำริว่าการสร้างพระเจ้าสัวนั้น
    จะต้องมีเชื้อ มีชาติ มีสัญญา มีอานุภาพที่เป็นของเจ้าสัวจริงๆ โดยตำราของท่านว่าจะทำของแรงๆที่มีอานุภาพเปลี่ยนคนสร้างคนได้ก็ต้องใช้ตะกั่วพันโกฏิของเจ้าสัวโบราณมาทำ ท่านว่าเรารวบรวมไว้ เอาแค่โกฏิเค้ามาเป็นสื่อเป็นชนวนให้ตรงตามตำราเท่านั้นไม่ได้มีกระดูกหรือมวลสารอาถรรพ์ใดๆ ท่านว่าลำพังโกฏินี่ก็อาถรรพ์มากพอแล้ว กว่าจะเจรจาจนได้มาต้องหาโกฏิใหม่ไปเปลี่ยนให้เค้า ซึ่งเศรษฐีทั้งเก้านี้ท่านว่าได้แก่
    - เศรษฐีคุณพระ เป็นถึงท่านเจ้าคุณมีทรัพย์สินและบริวารมาก คนใช้จะเจริญด้วยยศศักดิ์
    - เศรษฐีที่ดิน เป็นเจ้าของที่ดินมหาศาล คนใช้จะได้มีที่ดินทำกินมีบ้านช่องเป็นของตัวเอง
    - เศรษฐีพ่อค้าทอง เป็นเจ้าของร้านทองชื่อดัง ท่านว่าคนใช้จะได้จับเงินทองไม่ขาดมือทำมาหากินอะไรก็ซื้อง่ายขายคล่อง
    - เศรษฐีสวนส้ม สมัยก่อนใครมีสวนส้มยิ่งทำเป็นกิจการใหญ่โตส่งออกถือว่ารวย ท่านว่าคนใช้นั้นจะได้มีทรัพย์ ทรัพย์ที่มีจะได้ออกดอกออกผล
    - เศรษฐีนายหน้า มีวาสนาได้ด้วยการพูดจาติดต่อประสานงาน ท่านว่าจะได้เปิดและเพิ่มวาสนาคนใช้ให้ติดต่อสื่อสารเจรจางานใดๆก็สำเร็จร่ำรวย
    - เศรษฐีเจ้าปัญญา เป็นชีวิตที่เรียนเก่ง ได้ดีเพราะมีปัญญามาก สอบได้เป็นอันดับแรกของจังหวัด กลายเป็นเศรษฐีเพราะวาสนาบวกกับสติปัญญาที่สูงส่งเกินมนุษย์ ท่านว่าคนใช้จะได้มีปัญญา รู้ทันคำพูดและความคิดฉลาดหลักแหลม
    - เศรษฐีโรงบ่อน เป็นเจ้าของบ่อนพนันท่านว่าคนผู้นี้มีอำนาจ วาสนา บารมีครบถ้วน การจะเป็นเจ้าของบ่อนที่ท้าทายอำนาจรัฐได้ย่อมไม่ธรรมดา ท่านว่าคนใช้จะได้มีบารมีมากเช่นเดียวกัน
    - เศรษฐีเจ้าสำราญ เป็นคนที่ได้ดีเพราะแต่งเมีย เหมือนหนูตกถังข้าวสาร อยู่เฉยๆโชคลาภ ทรัพย์สิน ศฤงคาร ความสุขทุกประการก็มากองอยู่ตรงหน้าโดยไม่ต้องหาต้องลงแรงทำอะไร ท่านว่าคนใช้จะได้สะดวกสบายทำอะไรลื่นไหล ได้ลาภได้ทรัพย์กันง่ายๆ
    - เศรษฐีเหมืองแร่ แร่ธาตุทั้งหลายเป็นทรัพย์ในดินเป็นสิ่งที่เกิดที่งอกเงยตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้มีในดินทุกที่ การเป็นเศรษฐีเป็นเจ้าสัวเพราะทรัพย์สินที่เกิดที่งอกขึ้นเองในที่ดินตนนับว่าเป็นวาสนาแต่เดิม ท่านว่าทำอะไรจะได้งอกเงยและทรัพย์จะเกิดขึ้นได้เอง
    พระเจ้าสัวก็ต้องเกิดจากบารมีอันสั่งสมไว้นับชาติไม่ถ้วนของเหล่าเจ้าสัว จึงจะสำเร็จเป็นเจ้าสัวจริงๆ โดยท่านนำตะกั่วโกฏิเหล่านั้นมาหลอมรีดไล่เอาตะกันออกจนบริสุทธิ์ ก่อนจะนำมาลงถมด้วยยันต์สำคัญต่างๆดังนี้ ดวงประสูติ,ดวงตรัสรู้,ดวงปรินิพพาน,ยันต์พระพุทธเจ้าถอดรูป,ยันต์พระพุทธเจ้าแปลงรูป,ยันต์พระพุทธเจ้าแบ่งภาค,ยันต์พระพุทธเจ้าเปล่งรัศมี,ยันต์พระพุทธคุณ108,ยันต์มหาจักรพรรดิ,ยันต์รัตนมาล,ยันต์มหาปราบ,ยันต์มหาระงับ,ยันต์คู่ชีวิต,ยันต์ตารางเพชร,ยันต์เฉลียวเพชร,ยันต์เกราะเพชร...พ่ออาจารย์ท่านว่าเช่นนี้ถึงจะเป็นพระเจ้าสัวโดยแท้จริง ทั้งองค์พระที่เป็นเจ้าสัว เกิดจากมวลสารที่มีชีวิตและบารมีเก่าของเจ้าสัว ท่านว่าทุกอย่างตั้งแต่ปั้นหุ่นเทียนทำบล้อก เสกชวนวมวลสาร การลงถม เททอง ปลุกเสก เบิกเนตรทุกอย่างทำในฤกษ์มหาเศรษฐีทั้งนั้นไม่ว่าจะเศรษฐีโยค ภูมิปาโลฤกษ์ เทวีฤกษ์ ไม่มีฤกษ์เสียหรืออวมงคลใดๆเลย ท่านว่าฤกษ์นี้สำคัญมาก นั่นก็เพราะจะทำให้เครื่องมงคลที่คนเอาไปถือเอาไปใช้มีปาฏิหาริย์มากตามไปด้วย ยิ่งท่านหล่อด้วยไฟเตโชกสิณพระนั้นจึงมีอิทธิฤทธิ์มากเป็นเงาตามตัว ด้วยเจ้าสัวสำคัญชุดนี้ ท่านฝังตะกรุดชุดพิเศษลงไปด้วย


    ตะกรุดพลิกฟ้าหนุนดวงโคตรเศรษฐีชุดดับภัยอภิสังขาร(ทำลายสิ่งรบกวนลาภสักการะ)
    ### ตะกรุดจิ๋วนี้แต่ละดอกสำคัญอย่างไร ด้วยพ่ออาจารย์ท่านต้องใช้ความเพียรพยายามแลอุตสาหะอย่างยิ่ง ท่านว่าเห็นดอกเล็กๆนี้ทุกดอกล้วนแต่ต้องตีตารางบีบอักขระลงจารทั้งตัวขอมตัวเลขเรียกสูตรคาถากันเต็มสูตรกว่าจะได้ดอกหนึ่งต้องใช้สมาธิสูงมากเพราะอักขระจะวิบัติไปทับกระดูกยันต์ก็ไม่ได้ ทั้งตอนจารก็ต้องภาวนาแต่ละตัวให้จบพอดีกว่าจะได้ซักดอก กว่าจะได้ซักชุดหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย ยากกว่าและเหนื่อยกว่าทำซ้ำยังใช้พลังจิตดอกใหญ่หลายเท่า ต้องรอฤกษ์ยามอย่างดีถ้ามีฤกษ์ก็ทำได้แค่วันละชุด
    ### โคตรเศรษฐีจิ๋วนี้เน้นใช้งานทางดับภัยที่ทำให้ทรัพย์จาง ทรัพย์พร่องไร้วาสนาในทรัพย์สินเงินตรา ท่านว่าดับแม้ภัยที่จะเกิดกับเราทั้งบนบกในน้ำแลในอากาศ ดับภัยทั้งห้าอันจะเบียดเบียนทรัพย์เรา ดับทำลายสิ่งที่รบกวนวาสนาการเงินเรา รบกวนคลังสมบัติของเรามิให้เต็มมิให้เราได้มาซึ่งลาภสักการะโดยเฉพาะ ดับภัยในขันธ์ทั้งห้าอันได้แก่

    - ภัยรบกวนที่เกิดจากรูปขันธ์
    - ภัยรบกวนที่เกิดจากสัญญาขันธ์
    - ภัยรบกวนที่เกิดจากเวทนาขันธ์
    - ภัยรบกวนที่เกิดจากสังขารขันธ์
    - ภัยรบกวนที่เกิดจากวิญญาณขันธ์

    ทุกอย่างที่เป็นภัยและตามราวีรบกวนเราบั่นทอนชะตาสังขารท่านว่าดับทั้งสิ้นด้วยเกี่ยวเนื่องกับขันธ์ทั้งห้า นั่นย่อมหมายความว่าภัยนับแต่อดีตก็จะสงบระงับลงไปด้วย

    ### วิชาตะกรุดพลิกฟ้าหนุนดวงโคตรเศรษฐีมหาคฤหบดี ...ถ้าไม่ถึงกลียุค ไม่มีความจำเป็นอย่าได้สร้าง เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้ท่านได้สั่งไว้เป็นการเฉพาะ โดยวิชานี้ท่านให้ใช้ช่วยคนเมื่อถึงคราวเคราะห์เเละได้รับทุกข์ร้อนแสนสาหัสจริงๆ ซึ่งวิชานี้มีดีอยู่สองด้านใหญ่ๆ ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ
    1. โชคลาภโภคทรัพย์แบบบุญหล่นทับ ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเเละเร่งบุญเเละวาสนามาสู่ตัวของเรา
    2. เสน่ห์เมตตาควบคู่กับเงินทอง ท่านว่าตะกรุดนี้อย่าไปแช่น้ำให้ใครกินเพียงแค่พกไว้ก็เป็นเมตตาแล้ว ตราบใดที่โลกนี้ยังมีลมอยู่ มนุษย์ยังต้องหายใจกันอยู่ กระแสลมนั้นพัดไปในทิศใดเขาก็รักเราเมตตาเราในทิศนั้น
    วิชานี้ด้วยต้นกำเนิดและมติเเห่งครูบาอาจารย์ได้สร้างให้ดำรงค์ไว้เพื่อสืบสานช่วยเหลือคน โดยใช้ความเป็นอริยบุคคลและบุญญาธิการอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ของอัครมหาเศรษฐี 2 ท่าน แห่งพุทธกาล มาเกื้อหนุนดวงชะตาแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งก็คือ

    - ท่านเมณฑกเศรษฐี ซึ่งท่านเมณฑกเศรษฐีนี้ มีบุญญาธิการมากขนาดมีขุมทรัพย์แพะทองคำไว้ในครอบครองนับสิบตัว แต่ละตัวหนักเท่าม้าเท่าโค ประสงค์สิ่งใดก็ใช้ไหมแก้วสารพัดนึก เพียงเเค่นึกก็ดึงออกมาจากปากแพะได้ จะเพชรนิลจินดา ข้าวของเงินทองเสื้อผ้าเเพรพรรณทุกอย่าง ดึงได้ตลอดชีวิตดึงได้ไม่จำกัด ทำให้ท่านร่ำรวยมากเป็นมหาเศรษฐีของพระราชา ใครอยากได้อะไรมาขอท่านก็ดึงออกมาให้ ถามว่า รวยเเค่ไหน ท่านว่า เจ้าสัวสมัยนี้ยังทำแบบท่านไม่ได้ เพราะทรัพย์ท่านใช้ได้ไม่มีวันหมดเเละไม่มีวันพร่องอันเกิดเเต่บุญญาธิการของท่านนั่นเอง
    - ท่านโชติกะเศรษฐี ผู้มีบุญญาธิการมาก ได้ครอบครองสมบัติจักรพรรดิ์ ซ้ำยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เฉกเช่นเทพเจ้า ด้วยของวิเศษคู่บุญบารมีแม้แต่กษัตริย์อย่างพระเจ้าอชาติศัตรูก็ไม่สามารถจะเเย่งชิงทรัพย์สมบัติของท่านไปได้ ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันพร่อง อาศัยอยู่ในปราสาทแก้วรัตนที่พระอินทร์ลงมาเนรมิตรถวาย มีคู่ครองเป็นนางแก้วในอุตรกุรุทวีป บุญญาธิการของท่านนั้นไม่สามารถไล่เรียงได้หมด
    ครูบาอาจารย์แต่โบราณนั้นหวงเเหนวิชาเหล่านี้มาก เพราะว่าสามารถบันดาลให้ผู้ใช้สำเร็จได้ไว รวยได้ไวเเบบบุญหล่นทับ ท่านเกรงว่าคนใช้จะขาดสติควบคุมตนเองไม่ได้เเล้วจะลืมตัว พ่ออาจารย์ท่านพิจารณาเเล้วว่าวิชานี้เหมาะแก่การณ์แก่ยุคสมัยที่จะทำตะกรุดนี้เพราะท่านอยากเห็นลูกหลานมั่นคงร่ำรวยกันถ้วนทุกคน การทำตะกรุดนี้ยุ่งยากในเรื่องของพระคาถาการเดินอักขระบังคับเเบบกลบท ลงมั่วไม่ได้ข้ามตอนไม่ได้ ก่อนหลังต่องแม่น คาถาต้องแม่น เเละที่ยากที่สุดคือการอธิษฐานจิตเสกให้ชีวิตเจริญขึ้นได้ดีร่ำรวยเเบบเดียวกับเมณฑกเศรษฐีและโชติกะเศรษฐี
    วิชานี้เเต่เดิมท่านไม่ทำเเละเวลาทำก็ต้องเลือกคนทำคนให้ ให้เค้าเอาไปใช้งานจริงๆ ให้เค้ามั่นใจจริงๆว่าตนเองจะไม่หลงลืมตัวเมื่อได้ดี ให้เค้าเอาไปสร้างเนื้อสร้างตัวแบบนั้น
    ในการเสกต้องเชิญบารมีของพระสีวลีมหาเถระ ท่านเมณฑกเศรษฐีและท่านโชติกะเศรษฐีมาลงมาโปรดโดยเฉพาะ ให้ท่านทั้งสามสงเคราะห์เอาบารมีท่านเป็นที่พึ่ง ให้ทั้งสามท่านทำให้เป็นคนๆช่วยเป็นคนๆ ถือเป็นตะกรุดที่ใช้ฝืนดวงตัดเคราะห์กรรมเก่าได้อย่างเเท้จริง ซึ่งตะกรุดนี้ทั้งยันต์และอักขระทุกสูตรทุกกลบทจะช่วยเสริมช่วยหนุนเราด้วยโชคลาภบุญพาวาสนาส่ง ให้ได้ดีลืมตาอ้าปากได้ เรื่องเสี่ยงโชคเรื่องลาภลอยเเบบฟลุ๊คๆก็ใช้ได้ พ่ออาจารย์ท่านสรุปให้ฟังว่าอะไรที่เกี่ยวกับชะตาวาสนาของเราใช้ได้ทั้งหมด ทำให้เราได้ดี ถ้าไม่มีคู่ครองก็ให้เจอนางแก้วเจอคู่ครองที่ดี ถ้าชีวิตยังไม่ดีก็ปรับแก้ให้ดีขึ้นไม่ต่ำลง

    ตะกรุดนีัคาถาไม่มี มีแต่วิธีใช้
    วิธีใช้นั้นท่านให้นำตะกรุดจบหัวระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่สุด มีพระสีวลี ท่านโชติกะเศรษฐี ท่านเมณฑกเศรษฐี ปรารถนาอะไรจะโชคลาภการงานหรือนางแก้วก็ให้สร้างมโนภาพตั้งความปรารถนาของเราเอาไว้ ขอเอาจากท่านโดยตรงอยากขออะไรขอได้ทุกอย่างอย่าให้ผิดศีลธรรมและเกินวาระกรรมของตนเอง ขอให้ท่านเมณฑกชักลากจากปากแพะทองคำออกมาให้ ขอให้ท่านโชติกะประทานขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันพร่องของท่านมาให้เเก่เรา
    ตะกรุดนี้หนุนชีวิตของผู้บูชาอาศัยวิชาของมหาเศรษฐีในตำนานทั้งสองท่านที่ร่ำรวยมาก ให้ผลมาก มาสงเคราะห์ตัวของเราโดยตรง แม้เเต่มหาราชายังอิจฉาปรารถนาจะครอบครองทรัพย์สมบัติของท่านร่ำรวยขนาดไหนก็คิดดูเอาเองเเล้วกัน
    การที่ใช้วิชาเเละเชิญมหาเศรษฐีทั้งสองท่านนี้มาช่วยด้วยกระเเสแห่งวิปัสสนาญาณและความเป็นอริยบุคคลของท่านทั้งสอง เมื่อท่านเหยียบดวงเราช่วยเหลือค้ำชูเราจึงปิดตายหนทางตกต่ำ ทำการงานไม่ขึ้น ให้ผลิดอกออกผลงอกเงยเบบเจาะจงเรียงหัวเรียงตัว พ่ออาจารย์ท่านสร้างตะกรุดนี้เน้นให้ใช้เห็นผลให้ตรงและไว ด้วยท่านเสกคลุกในผงนะปถมังต่างๆที่เน้นทางงอกงามเจริญรุ่งเรืองช่วยเร่งให้ผลิดอกออกผลงอกเงยไวกว่าปกติ เป็นการเสริมอานุภาพของดวงเราของพระยันต์ที่สงเคราะห์ดวงเราให้ทวีสูงขึ้นไปอีก

    การลงตะกรุดนั้นมีความลำบากนับทวีเพราะท่านต้องใช้สมาธิหนักเเละกระเเสจิตมากกว่าปกติเนื่องจากท่านบีบให้เล็กลงที่สุดเพื่อให้ศิษย์ได้บูชากันจริงๆ ท่านว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ท่านก็ทำให้เกิดขึ้นเเล้ว ต่อไปชีวิตคนที่เขาใช้ต่อให้เจอเรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายๆ ผ่านไปได้อย่างไม่ขุ่นข้องหมองใจ การลงนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่ท่านทำให้เพราะจิตใจท่านอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาเป็นเหตุ เพียงเฉพาะยันต์เเละวิชานั้นก็เป็นเสน่ห์เมตตาแก่ผู้ครอบครองแล้ว ทั้งยังเพิ่มเจตนาและความตั้งใจของท่านผู้สร้างลงไปอีกที่เวลาลง มีเจตนาลงด้วยพื้นฐานแห่งความเมตตาเเละความตั้งใจจริงที่จะทำของดีไว้ให้ได้ใช้กัน จึงถือว่าเป็นคติกลเเละอุปเท่ห์แห่งเมตตาแฝงไว้ในตะกรุดอีกชั้นเพื่อเสริมและรองรับกระเเสจิตเเละความปรารถนาดีจากทิพย์กายที่มาสำเร็จตะกรุดชุดนี้ กล้ากล่าวได้เลยว่ายุคสมัยนี้จะหาครูบาอาจารย์มานั่งลงตะกรุดดอกเล็กๆ จิ๋วๆ เองกับมือให้เต็มสูตรซึ่งจำเป็นต้องใช้ปราณและพลังใจความตั้งใจมากกว่าปกตินั้น แทบจะไม่ต้องหากันเเล้ว

    คาถาบูชาองค์พระ
    นะมามีมามหาลาภา นะสะมานิลาโภ เมตตามามา นะหะปาลิหิโภคัง เมตตาลาโภ นิโสธะยะ

    ### พระเจ้าสัวชุดนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าใครที่ทำมาหากินไม่ขึ้น ให้อาราธนาพระแล้วจุดธูปบอกกล่าวกับแม่พระธรณีและครูบาอาจารย์ได้เลย เสด็จพระใหญ่ท่านฝากพระธรณีเอาไว้แล้ว อาศัยเหตุปัจจัยว่าตราบใดที่เรายังเหยียบดิน ทำมาหากินอยู่บนแผ่นดิน อาศัยกำลังแม่พระธรณีเกื้อหนุนชีวิตเราอยู่ ตราบนั้นก็ขอกำลังแม่พระธรณีมาหนุนชะตาให้เราทำมาค้าขึ้นเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองได้ ท่านว่าเจ้าสัวนี้อยู่ที่ไหนทรัพย์สินจะเพิ่มพูนไม่มีวันหมดดุจทรัพย์ในแผ่นดินที่ประมาณค่าไม่ได้เช่นนั้น

    * พ่ออาจารย์ท่านสร้างพระเจ้าสัวชุดโคตรเศรษฐีนี้ไว้หกองค์ ท่านอาราธนาเองหนึ่งองค์จึงมีให้ร่วมบูชาเพียงห้าองค์ รายการนี้รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น ผู้จองให้แจ้งชื่อนามสกุลวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากไว้ด้วย พ่ออาจารย์ท่านจะสวดบูชาดวงชะตาและมนต์วิชาหนุนดวงให้อีกคำรบหนึ่ง รายได้ร่วมสมทบทุนการศึกษาเด็กที่ขาดโอกาสสืบต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา เหรียญหล่อโคตรเจ้าสัวมนต์เศรษฐีกำเนิดทรัพย์ดับภัยอภิสังขาร(ทำลายสิ่งรบกวนลาภสักการะ) บูชา 4,000 บาท

    71118941-806388546426178-4249285602932948992-n.jpg 70762857-617129438814268-6826898556201205760-n.jpg
    71276143-2644635708922608-8090465968905519104-n.jpg
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พระขันทกุมาร

    ตำนานและการกำเนิดพระขันทกุมารนั้น มีเป้าหมายเพื่อมาปราบอสูรร้ายในโลกของเทวดา โดยท่านมี 6 พระเศียร 6 พระพักตร์และมี 12 พระกร ส่วนผิวพรรณนั้นงดงามราวกับดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญแต่รูปร่างสง่างามดุจพระสุริยะเทพ

    ทั้งนี้แต่ละพระพักตร์เป็นตัวแทนถึง 1.ความฉลาด 2.พละกำลัง 3.ความร่ำรวย 4.ชื่อเสียง 5.ความเที่ยงธรรม และ 6.พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีพาหนะคือนกยูง พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ เพื่อปกป้องสวรรค์จากการรังควาญของเหล่าอสูรร้ายใครได้กราบไหว้และบูชาพระขันธกุมาร จะได้รับพรทั้ง 6 ประการ ทำให้พระองค์เป็นที่เคารพนับถืออย่างมากของชาวอินเดียตอนใต้โดยเฉพาะพวกทมิฬ


    พรแห่งพระขันทกุมาร

    เนื่องจากพระองค์คือเทพแห่งสงครามและการต่อสู้ ผู้บูชาพระขันทกุมารทุกคนจึงได้รับความคุ้มครองจากพระองค์ พระองค์จะประทานความกล้าหาญชาญชัย ความเป็นผู้นำผู้อื่น ความมีศักดิ์ศรีในสังคม นอกจากพระขันทกุมารจะประทานความคุ้มครองแล้ว ยังประทานกำลังกาย กำลังใจในการกระทำการต่างๆให้ลุล่วง พระองค์ไม่โปรดความอ่อนแอ ขี้ขลาด ลังเลใจ รวมถึงความอิจฉาริษยา

    พระขันธกุมารคือตัวแทนแห่งความองอาจ คล่องแคล่วว่องไว ความยุติธรรมและการเรียกร้องความถูกต้อง การจะได้มาซึ่งชัยชนะของพระขันทกุมารคือการโหมพละกำลังเข้าต่อสู้กับอสูร มีความกล้าได้กล้าเสีย พระขันธกุมารมีอิทธิฤทธิ์มหาศาลพละกำลังที่พระองค์ใช้ปราบอสูรนั้นเปรียบดั่งพละกำลังของพระศิวะและพระแม่ทุรการวมกัน

    ผู้บูชาพระขันทกุมารจะได้รับกำลังใจในการต่อกรกับปัญหาต่างๆ รวมถึงการได้รับความยุติธรรม พ้นจากการถูกเอาเปรียบกลั่นแกล้ง พระองค์ยึดมั่นในเกียรติยศศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ทำให้กษัตริย์ มหาราชาผู้ครองแคว้นต่างๆตลอดจนนักการเมืองนิยมบูชาพระขันทกุมาร

    พระขันทกุมารปรากฎทิพยรูปในลักษณะของเด็กหนุ่มรูปงาม พระพักต์ผ่องใส สดชื่น แสดงถึงพลังแห่งชายหนุ่มผู้ไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด ฉลองพระองค์ในชุดขุนศึกสมัยโบราณ ภาพวาดบางภาพมีเสื้อเกราะ หอกศักติ(หอกรูปดอกบัวตูม เป็นหอกแห่งขุนศึก) ประคำหลากสี พระขันธกุมารมีสัตว์พาหนะคือ นกยูง

    ggwn1h.jpg
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่เมธี EI 2170 8400 5 TH

    พี่นฐมน EI 2170 8401 9 TH

    พี่กฤตยชญ์ EI 2170 8402 2 TH

    พี่วิศณูกร EI 2170 8403 6 TH

    พี่มยุรี EI 2170 8404 0 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EI 2170 8405 3 TH

    พี่ณธพรหม EI 2170 8406 7 TH

    พี่เมธาพันธ์ EI 2170 8407 5 TH

    พี่บุญชนะ EI 2170 8408 4 TH
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เรื่องพระมุรุกันนั้น...ท่านทำขลังมานานแล้ว
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,109
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้จะลงชุดเครื่องรางพระมุรุกันนะครับ แอบกะซิบว่าใครที่ขอๆกันเข้ามาเรื่องตะกรุดลงถมแผ่นหนาๆรับรองได้เลยว่ามีลุ้น เพราะชุดนี้ท่านสร้างด้วยตะกั่วน้ำนมกรุศรีสวัสดิ์ เนื้อเดียวพุทธคุณแบบเดียวกับพระท่ากระดานเลย ท่านว่าใช้แทนกันได้ ท่านเอาตะกั่วสำคัญนี้มารีดทำการลงถมสร้าง...(ชุดตะกั่วอาถรรพ์ลงถมอย่างหนานี่ไม่ได้ออกมานานมากจริงๆ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...